คิวบิก ตอนที่ 5
เวลาเย็นจวนค่ำ คนขับรถแท๊กซี่คันหนึ่งขับรถมาแล่นมาตามทาง โดยที่ด้านหลังมีฤทัยนาคเอาปืนจ่อหัวอยู่ ส่วนหลินหลานเซ่อนอนหายใจรวยรินใกล้หมดสติอยู่เบาะด้านข้าง
“ไปให้มันเร็วกว่านี้ได้มั้ย”
“ชั้นว่าเธอเลิกจ่อปืนชั้นได้แล้ว เดี๋ยวมันลั่นขึ้นมา ถึงยังไงชั้นจะพาเธอไปถึงโรงพยาบาลแน่”
“คุณพูดจริงนะ”
“จริงสิ ชั้นไม่ใจดำพอที่จะปล่อยให้คนตายหรอก แล้วตอนนี้ชั้นว่า เธอควรจะดูเค้ามากกว่านะ เพราะเค้าหลับไปแล้ว”
ฤทัยนาคหันขวับมามองข้างๆ พบว่าหลินหลานเซ่อหลับคอพับหมดสติไปแล้วจริงๆ จึงหันมาเขย่าตัวเรียกสติ
“หลินหลานเซ่อ...หลินหลานเซ่อ...นายได้ยินชั้นมั้ย”
หลินหลานเซ่อนิ่งไม่ไหวติง เด็กสาวตกใจเขย่าอีก
“ไม่นะ นายต้องไม่ตายนะ ตื่นสิ หลินหลานเซ่อ ตื่น”
คนขับเหลือบมองทางกระจกมองหลัง เห็นฤทัยนาคพยายามเรียกเขย่าเป็นการใหญ่
“หลินหลานเซ่อ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
สุดท้ายฤทัยนาคตบเผียะเข้าที่ใบหน้า แต่หลินหลานเซ่อยังคงหลับนิ่งอย่างเก่า ฤทัยนาคฟาดอีกหลายเผียะ
“ตื่นสิ ชั้นบอกให้นายตื่น หลินหลานเซ่อ นายต้องตื่นนะนายจะตายไม่ได้นะ”
ฤทัยนาคใจเสีย แต่ไม่หยุด เงื้อมือจะตบอีก คราวนี้หลินหลานเซ่อหายใจหอบลึก ปรือตาขึ้นมามอง แต่เห็นใบหน้าฤทัยนาคพร่าเลือนเต็มทน
“ฤทัยนาค”
“สัญญากับชั้นนะว่านายจะไม่หลับ เราจะถึงโรงพยาบาลแล้วทนอีกนิด”
หลินหลานเซ่อพยายามฝืนความเจ็บปวดทั้งปวง พยักหน้าให้ ฤทัยนาคมองยิ้มทั้งน้ำตา
“นายต้องไม่ตายนะ เข้าใจมั้ย”
หลินหลานเซ่อมองฤทัยนาคที่พยายามช่วยชีวิตตนไว้อย่างซาบซึ้ง
ในห้องฝ่าตัด บรรยากาศชุลมุน ฝาครอบออกซิเจนเสียบเข้าที่ปากหลินหลานเซ่อ หมอ และพยาบาบาลเข้ามารุมที่เตียง พยาบาลดึงเสื้อหลินหลานเซ่อออก ขณะที่มาฟัยหนุ่มสำลักเลือด
ฤทัยนาคเดินวนไปวนมาที่หน้ากห้องผ่าตัด เป็นห่วงมาก ขณะหยิบโทรศัพท์มือถือหลินหลานเซ่อขึ้นมาดูอย่างชั่งใจ
“หรือว่าเราควรจะโทร.บอกจงซิน”
แต่จำเหตุการณ์และคำพูดหลินหลานเซ่อที่กำชับหนักแน่น ตอนอยู่ในรถได้
“จำไว้นะ อย่าโทรหาจงซินรอจนกว่าเค้าจะโทร.มาหาเธอเอง”
“แต่ว่า...”
“ให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชั้น”
“ชั้นไม่เข้าใจ”
“มีคนต้องการโค่นอำนาจชั้น”
ฤทัยนาคครุ่นคิด “ใครกันนะที่ต้องการโค่นอำนาจเค้า”
ภายในห้องพักห้องหนึ่งในบ้านซานกุ้ย โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในนั้น มีมือใครคนหนึ่งเข้ามาหยิบกด
“ว่าไป ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย”
ฉินฝูนอนอยู่บนเตียงในคลินิกเถื่อน ให้หมอเถื่อนทำแผลที่ถูกยิง คุยสายอยู่
“มันหนีไปได้ครับ
เมื่อชายคนนั้นหันหน้ามา พบว่าเป็นหย่งเหวิน
“หมายความว่าหลินหลานเซ่อยังไม่ตายงั้นหรือ”
“ครับนาย นี่ผมก็เกือบเอาตัวไม่รอด”
“นี่แกอยู่ไหน”
“ผมอยู่คลินิกให้หมอเอากระสุนปืนออกอยู่”
“สรุปว่าแกทำงานพลาด”
“ใจเย็นก่อนครับนาย ผมขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง”
“จะแก้ตัวยังไง”
“ผมจะตามไปโรงพยาบาล ไปฆ่าไอ้หลินหลานเซ่อด้วยมือผม”
“งั้นก็รีบเลย ถ้าไม่สำเร็จแกรู้นะว่าแกก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือนกัน”
“ครับนาย”
หย่งเหวินตาแข็งกร้าว ปิดโทรศัพท์อย่างโกรธแค้น
“บัดซบ กะอีแค่คนๆ เดียวยังฆ่าไม่ได้”
หลินหลานเซ่อผ่าตัดเสร็จ เวลานี้นอนพักอยู่ในห้องพิเศษ เห็นมีขวดน้ำเกลือและขวดเลือด หมอแลพพยาบาลกำลังดูอาการ ฤทัยนาคยืนมอง หมอหันมาถาม
“ตอนนี้เค้าปลอดภัยดีแล้ว คุณจะให้เราเรียกตำรวจมาอารักขามั้ย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
“ถ้าต้องการอะไรก็บอกพยาบาล”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะหมอ”
หมอและพยาบาลออกไป ฤทัยนาคเดินเข้ามาที่เตียงมองหลินหลานเซ่อที่หลับสนิทจึงเอื้อมมือมาแตะมือเขา
“โชคดีนะที่นายไม่ตาย”
ใกล้มืดเต็มที เพ่ยอิงปิดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ โวยวายขึ้นมา
“นี่หลินหลานเซ่อหายหัวไปไหนตั้งหลายชั่วโมง”
“นั่นน่ะสิ นี่มันหกโมงกว่าแล้วนะ” ซานกุ้ยว่า
เพ่ยอิงตั้งข้อสังเกต “หรือจะเกิดเรื่องอะไรกับหลินหลานเซ่อ”
จงซินนิ่งฟัง
ซานกุ้ยบอกค้าน “คงไม่หรอก เพราะถ้าเกิดเรื่องหลินหลานเซ่อก็ต้องโทร.หาจงซิน”
“นอกซะจากว่าถูกยิงตายเลยยังไม่ทันหยิบโทรศัพท์”
จงซินมองเพ่ยอิงอย่างไม่ค่อยชอบใจ
“เออ ท่านซาน ถ้าหลินหลานเซ่อเป็นอะไรไปตอนนี้ ท่านกับผมใครจะขึ้นเป็นหัวหน้า”
“ก็ต้องชั้นน่ะสิ”
“แต่ผมก็มีสิทธิ์ขึ้นเป็นหัวหน้าได้นะ”
“แต่ชั้นมีอาวุโสสูงกว่าแก”
“แต่ผมเป็นคนรุ่นใหม่ ยุคนี้มันเป็นยุคดิจิตอล ผมจะพาองค์กรไปข้างหน้าได้ดีกว่า”
จงซินขัดขึ้น “เอาล่ะครับ คุณเพ่ยอิง ผมว่าเราอย่าเถียงกันเลย เพราะคุณหลินหลานเซ่อยังไม่เป็นอะไร เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอปิดการประชุมแค่นี้นะครับ”
ซานกุ้ยลุกขึ้น “ถ้าหลินหลานเซ่อกลับมา ให้โทร.หาชั้นด้วย”
ซานกุ้ยลุกเดินออกไป เพ่ยอิงลุกตามบอกจงซินท่าทางยียวน
“แต่ชั้นว่านายควรจะรีบเช็คข่าวนะ เพราะหลินหลานเซ่อขาดการติดต่อหลายชั่วโมงแล้ว บางทีอาจจะไปสวรรค์แล้วก็ได้”
เห็นเพ่ยอิงเดินออกไปลับตัวแล้ว จงซินจึงกดโทรศัพท์
ตอนนี้ใกล้มืดมากแล้ว เสียงมือถือของหลินหลานเซ่อดังขึ้น ฤทัยนาคสะดุ้ง มองเบอร์เห็นชื่อจงซิน จึงรีบกดรับ
“ฮัลโหล...จงซิน”
จงซินอยู่ในห้องประชุมคุยสาย
“คุณหลินอยู่ไหน”
“หลินหลานเซ่อถูกยิง” ฤทัยนาค
จงซินตกใจ “ว่าไงนะ”
“แต่ตอนนี้เค้าปลอดภัยแล้วอยู่โรงพยาบาล”
“โรงพยาบาลอะไร”
“ม่งจ๋าย”
“เอาล่ะ เธอฟังให้ดีนะ เธออยู่กับคุณหลินห้ามใครเข้าออกห้องคุณหลินเด็ดขาด อีกไม่เกินสิบห้านาทีชั้นจะไป
“ได้ รีบมาหน่อยแล้วกัน”
จงซินเดินรีบรุดออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
ฤทัยนาควางสายหันมามองมาเฟียหนุ่ม เห็นเขากำลังหลับ จึงเดินเข้ามาหยุดมองจับมือ
“ชั้นสัญญานะ ชั้นจะไม่ให้ใครเข้ามาทำร้ายนาย” ฤมทัยนาคมองหน้าเขาแล้วชะงัก “เอ๊ะ แล้วถ้ามือปืนมันตามมาฆ่าเค้าที่โรง พยา บาลเราจะทำยังไง เราคนเดียว เราจะช่วยเค้าได้ไง”
ฤทัยนาคเดินไปเดินมา ครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้ม
จริงดังที่ฤทัยนาคกังวล เวลานี้ฉินฝูใส่หมวกพรางหน้าก้าวเข้ามาในล็อบบี้โรงพยาบาล เดินตรงไปหาพยาบาลที่เคาน์เตอร์
“หลินหลานเซ่ออยู่ห้องไหนหรือครับ”
“เอ่อ...” พยาบาลลังเลจะไม่บอก
ฉินฝูบอกมาดขรึมไร้พิรุธ “ผมเป็นพี่ชายเค้า ได้ข่าวว่าเค้าบาดเจ็บ”
“อ๋อ ชั้น 3 ห้อง 308 ค่ะ”
ฤทัยนาคเดินมาหยุดหน้าห้องพิเศษ พูดกับตัวเอง
“ใช่ เราควรจะบอกพยาบาลให้ย้ายห้องดีกว่า” พลางหันมาบอกหลินหลานเซ่อที่ยังหลับอยู่ “นายอยู่นี่ก่อนนะ แป๊บเดียว ชั้นจะรีบไปบอกพยาบาลขอให้เค้าเปลี่ยนห้อง”
ฤทัยนาคหันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ปิดประตูลง
ด้านฉินฝูกดลิฟต์ ยืนรอ ลิฟต์เปิดออก โดยมีฤทัยนาคยืนอยู่ในนั้น ฉินฝูมองจ้อง ฤทัยนาคยืนอึ้ง จำได้ ฉินฝูมอง
ฤทัยนาคทำหน้านิ่ง ก้าวออกมาจากลิฟต์ สวนกับฉินฝูที่ก้าวเข้าไป ลิฟต์ปิดลง ฤทัยนาคมองกลับไปที่ฉินฝูท่าทีตื่นตระหนัก
“หรือว่าไอ้นี่จะเป็นมือปืน ทำไงดี” เด็กสาวมองซ้ายแลขวา “เราต้องไปช่วยหลินหลานเซ่อก่อน”
ฤทัยนาคหันหลังวิ่งกลับไปที่บันได
ตัวเลขในลิฟท์วิ่งขึ้นมาที่เลขสอง ลิฟต์เปิดออก เห็นมีเตียงคนไข้กับบุรุษพยาบาลรอลิฟต์อยู่
บุรุษพยาบาลเข้ามากดล็อกลิฟต์
“ขอโทษครับ”
ฤทัยนาควิ่งขึ้นบันไดมาถึงชั้นสองแล้ว
ส่วนในลิฟต์ บุรุษพยาบาลเข็นคนเตียงคนไข้เข้าลิฟต์มา พอลิฟต์จะปิด พยาบาลวิ่งตามหลังเข้ามา
“เดี๋ยวค่ะ ไปด้วยคน”
ฉินฝูมองเหตุการณ์อย่างหงุดหงิด
ฤทัยนาควิ่งหอบขึ้นบันไดมาถึงชั้นสามเลี้ยวตรงไปที่ห้องหลินหลานเซ่ออย่างรีบเร่ง
ลิฟต์ชั้น 3 เปิดออก ฉินฝูขยับจะเดินออก บุรุษพยาบาลบอกก่อน
“เดี๋ยวครับ ขอคนไข้ออกก่อนครับ”
พยาบาลออกมายืนขวางทางช่วยเข็นรถคนไข้ ฉินฝูมองอย่างโมโหแต่เก็บอาการ
ฤทัยนาคเข็นเตียงหลินหลานเซ่อออกมาจากห้องพุ่งเลี้ยวไปตามทาง
ฉินฝูเดินออกจากลิฟต์ มองป้ายบอกทาง เห็นป้ายห้อง 308 จึงเดินเลี้ยวตรงไปตามทาง
ฝ่ายฤทัยนาคเข็นเตียงหลินหลานเซ่อมาแล้วเลี้ยวเข้าห้องว่าง ปิดประตูทันที ในจังหวะที่ฉินฝูเดินเลี้ยวเข้ามาตามทาง
ฤทัยนาคอยู่ในห้องว่าง แลเห็นเงาฉินฝูเดินผ่านประตูไป
“ไอ้นี่แน่เลย”
ฉินฝูเปิดประตูห้องพิเศษเข้ามากระชากปืนจะยิง พบว่าในห้องว่างเปล่าแถมไม่มีเตียง เดินไปเปิดประตูห้องน้ำ ก็ไม่มีใคร
“มันอยู่ห้องไหนกันแน่วะเนี่ย” ฉินฝูเดินออกอย่างหงุดหงิด
ฉินฝูเดินออกจากห้องพิเศษ มองซ้ายแลขวา แล้วเดินไปเปิดประตูห้องคนไข้ตรงข้าม เจอคนแก่นอนอยู่บนเตียง
“ขอโทษครับ” ฉินฝูปิดประตู เดินไปอีกห้องเปิดประตูเข้าไป ภายในเป็นห้องว่างไม่มีคนไข้
ฤทัยนาคพาหลินหลานเซ่อมาหลบในห้องว่างอีกห้อง มองลุ้นไปที่ประตู พร้อมกับกดโทรศัพท์หาจงซิน แต่แบตดันหมด
“ไอ้บ้าเอ๊ย แบตหมดอีก โธ่เว้ย”
ด้านฉินฝูเดินไปเปิดประตูอีกห้อง เปิดเข้าไปมีคนไข้นอนอยู่รีบบอก “ขอโทษครับ”
ฤทัยนาคมองซ้ายแลขวาหาทางหนีทีไล่อย่างหวาดกลัว เดินไปมาเครียดหนัก
“ทำไงดี มันต้องหาเราเจอแน่เลย” เด็กสาวมองมายังมาเฟียที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง “หลินหลานเซ่อบอกชั้นทีสิ ว่าทำไงดี”
สุดท้ายฤทัยนาคมองเห็นเก้าอี้ในห้อง วิ่งไปยกเก้าอี้ดันประตูไว้ก่อน
ฉินฝูเดินมาหยุดหน้าห้องที่สองคนอยู่ กำลูกบิดประตูหมุน ฤทัยนาคมองจ้องอย่างตกใจ ฉินฝูขยับหมุนลูกบิดอีก แต่ลูกบิดหมุนไม่ไป
ฉินฝูถอยหลังออกมามองซ้ายขวาไม่มีใคร ยกขาถีบประตูเปรี้ยงเข้าไป ประตูเปิดเข้ามา เก้าอี้กระเด็นกระดอน ฤทัยนาคยืนขวางเตียงหลินหลานเซ่อไว้อย่างปกป้อง
“อย่านะ”
“นึกว่าจะหนีพ้นหรือ”
“ถ้าแกจะฆ่าหลินหลานเซ่อ แกต้องข้ามศพชั้นไปก่อน”
ฉินฝูยกปืนจ่อจะยิงฤทัยนาค เตรียมลั่นไก
จังหวะนี้ จงซินวิ่งเข้ามาตรงระเบียงทางเดินชั้นสาม มองซ้ายมองขวา แล้วเห็นฉินฝูยกปืนเล็งยืนอยู่หน้าห้อง ไวเท่าความคิด จงซินยิงใส่ฉินฝูเปรี้ยง แต่กระสุนเฉียดไป ฉินฝูหลบทัน
ฤทัยนาครีบวิ่งไปที่เตียงหลินหลานเซ่อ
ฉินฝูหันกลับไปที่จงซินยิงสู้ จงซินหลบ ฉินฝูหันมาจะยิงใส่หลินหลานเซ่อ แต่นาคเข็นเตียงพุ่งใส่จังๆ ฉินฝูผงะถอยไปชนอีกห้องฝั่งตรงข้าม
จงซินตามเข้ามายิงใส่ฉินฝู แต่ฉินฝูหลบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว จงซินไล่ยิงตาม ฉินฝูกระโดดหนีลงระเบียง จงซินไล่ตามยิง เห็นฉินฝูหนีไปได้
จงซินวิ่งกลับมาหาฤทัยนาค ถามเร็วรี่ “คุณหลินปลอดภัยรึเปล่า ฤทัยนาค”
“ปลอดภัย...จงซิน
“หือม์”
“ชั้นจะเป็นลม”
พูดได้เท่านั้นฤทัยนาคร่วงล้มลง จงซินรับไว้ได้ทัน
“ฤทัยนาค”
จงซินมองสองคนไปมา หมอ พยาบาล ตลอดจนคนไข้และญาติห้องข้างๆ วิ่งขึ้นมาดูเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนกตกใจ
คืนเดียวกันที่บ้านซานกุ้ย หย่งเหวินหยิบแก้วชาจะดื่มแล้วจู่ๆ ขว้างใส่ผนังแตกกระจาย ไป่หลิงได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาดู
“มีอะไรหรือคะพี่หย่งเหวิน”
“ไม่มีอะไร”
ไป่หลิงงวยงง “แล้ว...ทำไมแก้วชาแตกล่ะคะ”
“ชั้นขว้างมันเอง”
หย่งเหวินบอกเสียงห้วนอย่างโกรธจัด ไป่หลิงชะงัก มองสามีอย่างแปลกใจ
“พี่หย่งเหวินเป็นอะไรไปคะ ทำไมต้องเสียงดังด้วย”
“เธอจะทำอะไรก็ไปทำ อย่ามาเซ้าซี้ ชั้นอยากอยู่คนเดียว” หย่งเหวินตวาดใส่
ไป่หลิงตะลึงมองอย่างช็อกๆ หันหลังจะเดินออก เจอซานกุ้ยกลับเข้ามาพอดี
“อ้าว ไป่หลิง”
สีหน้าหย่งเหวินชะงัก รีบปรับความรู้สึก
“คุณลุง”
“มีอะไรได้ยินเสียงเอะอะ”
หย่งเหวินรีบบอก “เปล่าครับคุณพ่อ พอดีผมลื่นทำแก้วชาตกน่ะครับ ใช่มั้ยไป่หลิง”
หย่งเหวินมองจ้องหน้า ไป่หลิงมองสบตาท่าทีมึนตึง
“ค่ะ”
“แกรู้เรื่องหลินหลานเซ่อถูกลอบยิงรึยัง” ชายชราถาม
หย่งเหวินทำเป็นตกใจ “จริงหรือครับคุณพ่อ”
“เมื่อกี้เพิ่งมีคนโทรมาบอกชั้นในรถ”
“แล้วคุณหลินปลอดภัยมั้ยครับ”
“ตอนนี้ปลอดภัย”
“แล้วรู้มั้ยครับว่าฝีมือใคร”
“ยัง แกช่วยหาข่าวด้วยแล้วกัน เดี๋ยวพ่อจะไปเยี่ยมเค้าซะหน่อย”
หย่งเหวินบอก “ผมไปด้วยครับ”
ซานกุ้ยเดินออก ไป่หลิงจะเดินตาม
หย่งเหวินเรียก “เดี๋ยวไป่หลิง”
“มีอะไรหรือคะ”
“เมื่อกี้พี่ขอโทษ” ไป่หลิงมองงงๆ “พี่แค่กำลังโกรธลูกน้องที่ทำงานไม่เรียบร้อย”
“ค่ะ”
ไป่หลิงขยับจะไป หย่งเหวินคว้าแขน
“เดี๋ยวสิไป่หลิง ไป่หลิงโกรธพี่หรือ” ไป่หลิงหน้านิ่ง พลางส่ายหน้า “ถ้าไม่โกรธทำไมไม่ยิ้มกับพี่”
“น้องไม่ได้โกรธจริงๆค่ะ ขอตัวนะคะ”
ไป่หลิงเดินออกไป หย่งเหวินฮึดฮัดมองตามสบถอย่างโกรธไม่หายเรื่องหลินหลานเซ่อ
“ฮึ่ย”
จากนั้นหย่งเหวินเดินตามซานกุ้ยออกไป
คืนนั้น หลินหลานเซ่อมองจ้องไปข้างหน้า แววตาเครียดขึงโกรธแค้นกับเหตุการณ์วันนี้ จงซินส่งน้ำให้
“น้ำส้มครับ”
“ขอบใจ ได้ข่าวรึยังว่าพวกมันเป็นใคร”
“ยังเลยครับ เพราะไอ้พวกที่ตายมันเป็นมือปืนมาจากฮ่องกง”
“แล้วไอ้คนที่หนีไปได้ล่ะ”
“ผมจำหน้ามันไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมให้คนของเราออกหาข่าวมันอยู่คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะรู้ว่ามันเป็นใคร”
“ชั้นว่าไอ้คนที่บงการมัน ต้องเป็นคนใกล้ตัวเรา”
“คุณหมายถึงเพ่ยอิงกับท่านซานหรือครับ”
“ใช่ เพราะถ้าชั้นตายสองคนนี้คนใดคนนึงก็ต้องขึ้นมาแทนชั้น แล้วหุ้นจากสามส่วน ก็จะเหลือสองส่วน”
“แล้วสองคนนี้คุณหลินสงสัยใคร”
“ชั้นสงสัยซานกุ้ย แล้วนายล่ะ”
“แต่ผมว่าเพ่ยอิงดูไม่น่าไว้วางใจ”
“แล้วระหว่างประชุมมีใครดูพิรุธมากกว่ากัน”
จงซินคิดถึงคำพูดซานกุ้ยและเพ่ยอิง
“แต่จะว่าไปสองคนนี้ก็มีน้ำหนักเท่าๆกัน”
เสียงเคาะประตูดัง ลูกน้องที่คุมหน้าห้องเปิดเข้ามา
“ท่านซานกุ้ยมาเยี่ยมครับ”
จงซินพยักหน้า ลูกน้องขยับตัวเปิดประตูให้ซานกุ้ย ซานกุ้ยเข้ามา หลางหย่งเหวินเดินตาม
“เป็นยังไงบ้างหลินหลานเซ่อ”
หลินหลานเซ่อมองไม่ไว้ใจ “อย่างที่ท่านเห็น ผมปลอดภัย”
“เสียใจด้วยนะที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นกับเธอ”
“ขอบคุณครับ”
“ขอให้หายไวๆนะครับ คุณหลิน”
หย่งเหวินส่งกระเช้าเยี่ยมไข้ให้ จงซินรับไป
“ขอบใจมากหย่งเหวิน”
มีเสียงเคาะประตูดัง ทุกคนหันมอง เป็นเพ่ยอิงก้าวเข้ามา
“นายนี่กระดูกเหล็กจริงๆนะหลินหลานเซ่อ มือปืนยี่สิบคนรุม แต่นายโดนยิงแค่นัดเดียว นับถือ”
เพ่ยอิงส่งกระเช้าดอกไม้ให้
“นายรู้ได้ไงว่ามีมือปืนยี่สิบคน”
“ระดับนายถูกยิง ข่าวมันปิดไม่มิดหรอก แล้วนายรู้ตัวรึยังว่ามันผู้ใดที่ต้องการเก็บนาย”
หย่งเหวินเหลือบมองเพ่ยอิง
“ยังไม่รู้”
“แต่ชั้นว่านะ คนที่อยากให้นายตายอยู่ในห้องนี้”
ทุกคนชะงักมองเพ่ยอิง
ซานกุ้ยไม่พอใจ “เพ่ยอิง ทำไมถึงพูดจาหมาๆอย่างนี้”
“อ้าว ถ้าเกิดหลินหลานเซ่อตาย ไม่ท่านซานก็ผมที่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์ แต่ผมไม่ได้เป็นคนยิง เมื่อผมไม่ได้ยิงก็ต้องเป็นท่านซาน แต่ถ้าท่านซานบอกว่าไม่ได้ยิงก็ต้องเป็นจงซิน”
จงซินบอก “ผมคงไม่ทำอย่างงั้นแน่ครับ”
“ถ้าอย่างงั้นก็เหลือคนเดียว”
ทุกคนหันมองหย่งเหวินเป็นตาเดียว หย่งเหวินอึ้ง
“ต้องเป็นนายแน่หย่งเหวิน”
หย่งเหวินมองสบตาเพ่ยอิง ควบคุมความรู้สึกแล้วยิ้ม
“แล้วถ้าคุณหลินตาย ผมจะได้ผลประโยชน์อะไรหรือครับคุณเพ่ยอิง”
ซานกุ้ยเห็นด้วย “ใช่ หย่งเหวินเป็นคนนอกไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ ชั้นว่านายน่ะแหละที่น่าสงสัย”
เพ่ยอิงฉุน แดกดันกลับอย่างอวดเก่งปนยโส “อ้าว ท่านซาน อย่าสรุปง่ายๆ สิ คนอย่างผมถ้าจะฆ่าหลินหลานเซ่อ ผมต้องฆ่าด้วยมือผมเอง”
หลินหลานเซ่อเหลือบมองสบตากับจงซิน เพ่ยอิงหันมาหาหลินหลานเซ่อ
“นายต้องคิดหนักหน่อยนะว่าใครที่เล่นไม่ซื่อกับนาย เอาละ ชั้นมีงานต้องทำ หายไวๆ นะ”
เพ่ยอิงเดินกร่างออกไป หย่งเหวินมองตาม ซานกุ้ยหันมาบอกหลินหลานเซ่อ
“นายคงรู้จักชั้นดีนะ ชั้นกับพ่อนายเป็นเพื่อนกัน ชั้นคงไม่ทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นกับนายแน่”
หลินหลานเซ่อมองจ้องซานกุ้ยนิ่งๆ
“ขอบคุณ”
ซานกุ้ยเดินนำออกไป หย่งเหวินยิ้มให้
“คุณหลินไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะต้องหาข่าวให้ได้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
“ขอบใจหย่งเหวิน”
หย่งเหวินเดินออกไป จงซินมองสบตากับหลินหลานเซ่อ
“ผมว่าจากนี้ไปคุณต้องระวังตัวมากไปอีกสองเท่า”
มาเฟียหนุ่มพยักหน้า เห็นด้วยแล้วถอนใจ
“แล้วนี่ฤทัยนาคอยู่ไหน”
“หลังจากย้ายคุณมาที่นี่ ผมก็ให้คนไปส่งเธอแล้วครับ”
“ถ้าไม่ได้ฤทัยนาค ป่านนี้ชั้นอาจจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว”
ยิ่งคิดถึงวีรกรรมจงซินก็ยิ่งทึ่ง “ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าเด็กนั่นจะพาคุณหนีรอดมาได้”
“ใช่”
จงซินมองหน้าเจ้านาย ขณะที่หลินหลานถอนหายใจอย่างหนักหน่วง นึกถึงเหตุการณ์เฉียดตาย
เช้าวันนี้ ฤทัยนาคเดินเข้ามาในห้องเรียน เพื่อนนักเรียนสาวๆ ร้องเรียกท่าทางตื่นเต้น
นำโดยเพื่อน 1 ที่เห็นก่อนใคร “นาคมาแล้ว นาค มานี่เร็ว”
เพื่อน 2 เข้ามาดึงแขน
“อะไรกัน” ฤทัยนาคงงเต๊กว่าเพื่อนๆ เป็นอะไร
เพื่อน 2 บอกอีก “นี่ เดี๋ยวถ้าเธอไปหาคุณหลินชั้นฝากดอกไม้ไปด้วยนะ บอกว่าชั้นเป็นห่วงเค้ามาก”
เพื่อน 1ยื่นโหลขนมมาให้ “แล้วนี่คุ้กกี้ของชั้น บอกเค้าว่าชั้นเห็นข่าวทางทีวีตกใจเป็นลมไปเลย
เพื่อน 3ไม่ยอมแพ้ “แล้วนี่ดอกไม้ของชั้น ฝากบอกว่าชั้นเอามาให้นะ แล้วเธอก็ถามคุณหลินด้วยว่า วันหยุดนี้ให้พวกเราไปเยี่ยมได้มั้ย”
เพื่อน 2บอกอีก “ใช่ บอกว่าพวกเราอยากไปเยี่ยมเค้านะ”
“เดี๋ยว ๆ พวกเธอฟังก่อนนะ ชั้นยังไม่รู้เลยว่าเค้าจะให้ชั้นเยี่ยมรึเปล่า”
เพื่อน 3 หมั่นไส้ “อะไรกัน เธอเป็นถึงมือซ้ายของหลินหลานเซ่อนะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าเธอไปไม่ได้เธอก็ฝากคุณจงซินหรือคนขับรถเค้าไปก็ได้” เพื่อน 1 บอก
“เอาๆ จะลองดู แต่ถ้าไม่ได้อย่ามาด่าชั้นแล้วกัน”
ฤทัยนาคหอบของฝากมานั่งที่โต๊ะ แดนนี่รอจังหวะปาก้อนกระดาษใส่หัวตามเคย ฤทัยนาคสะดุ้งหันขวับมามอง
“เรื่องอะไรมาปาหัวชั้น”
“มานี่หน่อยซิ” แดนนี่พยักหน้าเรียก
ฤทัยนาคลุกมานั่งข้าง “อะไร”
“เล่ามาให้หมดเหตุการณ์เป็นยังไง”
“ก็เหมือนที่หนังสือพิมพ์ลง”
“ไม่จริง ชั้นรู้นะว่าเธอเป็นคนขับรถให้หลินหลานเซ่อตอนเกิดเรื่อง”
“จุ๊ จุ๊ อย่าเสียงดังไป ถ้าคนรู้ชั้นจะไม่ปลอดภัย”
“ก็เล่ามาสิ” แดนนี่คาดคั้น
ฤทัยนาคเล่าจบ แดนนี่เซ็งมองจ้องแล้วส่ายหน้า
“เธอนี่มันโง่จริงๆ”
“โง่ยังไง”
“ก็ถ้าตอนนั้นเธอปล่อยให้หลินหลานเซ่อโดนฆ่าตายเธอก็ไม่ต้องใช้หนี้แล้ว”
“เออ จริงของนาย ทำไมชั้นคิดไม่ถึง”
“ไม่งั้นป่านนี้เธอก็ได้กลับเมืองไทยแล้ว”
ฤทัยนาคยิ่งโมโหตัวเอง “นั่นสิ ชั้นไม่น่าโง่เลย เอ๊ะ หรือว่าชั้นควรหาโอกาสฆ่าเค้าด้วยมือชั้นเอง”
“ใช่ เพราะตอนนี้หลินหลานเซ่อไว้ใจเธอมาก เป็นโอกาสที่เธอจะปลดหนี้ได้ เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ชั้นจะหาปืนให้เธอ เธอไปหาเค้าที่โรงพยาบาล เอาหมอนปิดหน้าเค้าแล้วยิงใส่” แดนนี่ฟุ้งใหญ่
ฤทัยนาคคิดตามคำพูดแดนนี่แล้วถอนใจส่ายหน้า
“แต่ชั้นคงทำอย่างงั้นไม่ได้”
“ทำไม”
“ชั้นฆ่าคนไม่เป็นหรอก แล้วอีกอย่างตอนที่เกิดเรื่อง ตอนที่เราสองคนหนีไปเจอทางตัน เค้าบอกกับชั้นว่าให้ทิ้งเค้าแล้วหนีไปซะ เค้าอุตส่าห์เป็นห่วงชั้น ชั้นฆ่าเค้าไม่ลงหรอก”
แดนนี่เซ็ง “อ๋อ นี่เธอซึ้งหรือ ไอ้หลินหลานเซ่อมันก็พูดไปงั้นแหละ มันไม่มีใจให้ใครหรอก”
“แต่ตอนนั้นเค้าพูดจริงนะแดน เค้ายังตะคอกไล่ชั้นเลยว่าให้ไปซะ เค้าบอกหนีไปซะฤทัยนาคทิ้งชั้นไว้ที่นี่”
แดนนี่มองจ้องหน้าฤทัยนาคค้นหาความจริง
“เธอจ้องอะไรชั้น”
“ชั้นกำลังสงสัยว่า เธอแอบมีใจให้หลินหลานเซ่อใช่มั้ย” แดนนี่ถามโต้งๆ
“บ้าเหรอ สถานการณ์แบบนั้นใครจะไปคิดเรื่องนั้น ชั้นคิดแค่ว่าชั้นปล่อยให้เค้าตายแล้วหนีไปไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่ชั้นเลย ถ้าตอนนั้นเป็นนาย นายก็ไม่ทิ้งเค้าหรอก”
“ไม่ สำหรับชั้นชีวิตชั้นสำคัญที่สุด เผลอๆ ชั้นจะจับมันส่งให้ไอ้พวกที่ตามฆ่า”
ฤทัยนาคคร้านจะเถียง “นายนี่มันโหดจริงๆ เออ นี่ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“จะไปเยี่ยมหลินหลานเซ่อเหรอ”
“ก็พวกสาวๆ ฝากของไปเยี่ยมน่ะ จะให้ทำไงเล่า”
แดนนี่ตีรวน “แล้วทำไมชั้นต้องไปกับเธอด้วย”
“ก็นายมีรถแต่ชั้นไม่มี เอาน่า หลังจากเยี่ยมเสร็จชั้นจะเลี้ยงข้าวนาย” ฤทัยนาคหยิกแก้มแดนนี่หมับ บอกอย่างน่ารักอ้อนสุดๆ “นะ แดนนี่คนดี”
ครูประจำวิชาเดินเข้าห้องมา
“เอาล่ะ เลิกคุยกันได้แล้ว”
ฤทัยนาคลุกเดินกลับไปนั่งโต๊ะตัวเอง แดนนี่มองแล้วส่ายหน้าดิก
ฟากฟางเหม่ยจิงเดินมาตามทางในโรงพยาบาลอย่างร้อนใจ พยาบาลช่วยถือของเยี่ยมตามมา มีคนขอถ่ายรูปเป็นระยะ นักข่าวตามติด บอดี้การ์ดเดินตามอารักขา
“ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ คุณเหม่ยจิง” พยาบาลบอก
“เดี๋ยวนะคะ ขอไปเยี่ยมคนไข้ก่อนนะคะ”
นักข่าวยิงคำถาม “ขอโทษครับคุณเหม่ยจิง พอทราบรายละเอียดมั้ยครับว่าใครเป็นคนยิง”
“ไม่ทราบเลยค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
เหม่ยจิงเดินเลี้ยวไปทางห้องหลินหลานเซ่อ บอดี้การ์ดที่ตามหลังมากันคนออกไป
เหม่ยจิงเลี้ยวมุมเดินมาถึงหน้าห้อง เห็นบอดี้การ์ดสะพายเอ็ม16 ยืนอยู่หน้าห้องสองคน
ซุปตาร์สาวเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นหลินหลานเซ่อนอนอยู่บนเตียง
“คุณเป็นยังไงบ้างคะ เหม่ยจิงรู้ข่าวแล้วตกใจมาก”
“ชั้นไม่เป็นไรแล้ว”
“พอเหม่ยจิงรู้ข่าว เหม่ยจิงก็ขอให้กองถ่ายเค้ายกเลิกกองเลยค่ะ”
“ความจริงเธอกลับไปถ่ายหนังต่อเถอะ เดี๋ยวจะเสียงานเปล่าๆ”
เหม่ยจิงบอก “อะไรกัน คุณโดนยิงขนาดนี้จะให้เหม่ยจิงมีใจทำงานได้หรือคะ เหม่ยจิงเป็นห่วงคุณ”
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แล้วมันเป็นฝีมือใคร รู้รึยังคะ”
“ยัง”
“แล้วเหตุการณ์มันเป็นยังไงคะ แล้วใครที่มาช่วยคุณ”
“ไม่มี”
เหม่ยจิงแปลกใจ “จริงหรือคะ ลูกน้องคุณเยอะแยะไม่มีใครช่วยคุณได้เลยหรือ”
“เธออย่าเพิ่งถามอะไรได้มั้ย ชั้นกำลังปวดหัว เธอกลับไปก่อน ชั้นอยากนอนพัก”
“ให้เหม่ยจิงอยู่เป็นเพื่อนเถอะค่ะ”
“ไม่ต้อง ชั้นบอกแล้วไงชั้นอยากอยู่คนเดียว อาฉี”
ลูกน้องชื่ออาฉีเปิดประตูเข้ามา “ครับคุณหลิน”
“พาคุณเหม่ยจิงไปส่ง”
“แต่เหม่ยจิงอยากดูแลคุณนะคะ”
“ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นอยากพักผ่อน”
หลินหลานบอกอย่างจิงจังเสียงดุเข้ม จงซินมาถึงเดินเข้ามา
“จงซินมาก็ดีแล้ว พาเหม่ยจิงไปส่งหน่อย”
“เชิญครับคุณเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงมองมาเฟียรูปงามอย่างน้อยใจ คว้ากระเป๋าหันหลังจะไป
“จงซิน” หลินหลานเซ่อเรียก
“ครับ”
“เห็นฤทัยนาคมาบ้างรึเปล่า”
ฟางเหม่ยจิงชะงัก
“ยังไม่เห็นเลยครับ”
จงซินพยักหน้าให้เหม่ยจิงเดินออกไปก่อน เหม่ยจิงเดินไปหน้าตาบูดบึ้ง หลินหลานเซ่อถอนใจอย่างรำคาญ
เหม่ยจิงเดินมาตามทางกับจงซิน ถามเรื่องคาใจ
“ทำไมคุณหลินถึงถามหาเด็กคนนี้”
“อ๋อ เธอทำงานให้คุณหลินน่ะครับ”
“ทำงาน งานอะไร”
“เห็นคุณหลินว่าจะให้มาขับรถแทนอาเหลียง”
“ชั้นอุตส่าห์มาเยี่ยมไม่สนใจ กลับไปถามหาเด็กขับรถ”
เหม่ยจิงบ่นอย่างน้อยใจ จงซินมองไม่ตอบ เดินตามไปเงียบๆ
ทางด้านฤทัยนาคหอบของฝากจากบรรดาเพื่อนๆ เอฟซีหลินหลานเซ่อ เดินออกจากลิฟต์กับแดนนี่ ทั้งสองเดินไปเคาน์เตอร์พยาบาลประจำชั้น
“ขอโทษค่ะ ชั้นจะฝากของเยี่ยมให้หลินหลานเซ่อได้มั้ยคะ”
“ได้ค่ะ จากใครคะ”
“ฤทัยนาคค่ะ”
พยาบาลยิ้ม “อ๋อ ถ้าอย่างงั้นเชิญเค้าเยี่ยมได้เลยค่ะ คุณหลินสั่งไว้ว่าถ้าคุณฤทัยนาคมา ให้เข้าไปเยี่ยมได้เลย”
“ชั้นเนี่ยหรือคะ” ฤทัยนาคถ้ามย้ำ ไม่อยากเชื่อ
“ใช่ค่ะ คุณหลินสั่งไว้
ฤทัยนาคหันมาบอกแดนนี่ “ไม่อยากเชื่อว่าเราก็เป็นวีไอ้พีเหมือนกันนะแดน”
แดนนี่ไม่ตอบได้แต่แสยะยิ้ม นาคหันเดินไปทางห้องพัก เหม่ยจิงกับจงซินเดินเลี้ยวมาพอดี
เหม่ยจิงมองฤทัยนาคเขม็ง
“ฤทัยนาค เธอมาก็ดีแล้ว คุณหลินอยากพบเธอ” จงซินบอก
“ค่ะ”
ฤทัยนาคขยับจะเดินผ่านไป เหม่ยจิงเรียกไว้
“เดี๋ยว นี่เธอมาเยี่ยมคุณหลินเหรอ”
“เปล่าค่ะ พอดีเพื่อนที่โรงเรียนเค้าฝากของเยี่ยมพวกนี้มาให้หลินหลานเซ่อค่ะ”
เหม่ยจิงพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ติดใจอะไรหันเดินออก จงซินเดินตามไป
ฤทัยนาคกับแดนนี่จะเดินผ่านบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าระเบียงขวาง
“เดี๋ยว เธอเข้าไปได้คนเดียว”
แดนนี่ไม่พอใจ “แต่ชั้นมากับฤทัยนาคนะ”
“ใช่ เค้าเป็นเพื่อนชั้นเอง เค้ามาเยี่ยมหลินหลานเซ่อด้วย”
“ยังไงก็เข้าไปไม่ได้ ถ้าไม่มีรายชื่อที่คุณหลินสั่ง ห้ามเข้า”
แดนนี่มองอย่างหมั่นไส้
“งั้นเธอรอชั้นก่อนนะแดน”
“ก็คงต้องเป็นอย่างงั้นล่ะ ชั้นจะลงไปรอข้างล่างแล้วกัน ขี้เกียจอยู่แถวนี้”
“งั้นเดี๋ยวชั้นตามไปนะ”
แดนนี่หันตัวเดินออกไป ฤทัยนาคเดินผ่านบอดี้การ์ดไปที่ห้อง
ฤทัยนาคเคาะประตู หลินหลานเซ่อนั่งอยู่บนเตียงได้ยินเสียงเคาะรู้สึกรำคาญ
“ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นอยากอยู่คนเดียว”
ฤทัยนาคหันกลับมาคิดอย่างลังเล
“เอาไงดี เค้าบอกเค้าอยากอยู่คนเดียว” มองของฝากในมือ “แล้วพวกนี้ดันฝากของมากับเราอีก”
ฤทัยนาคตัดสินใจหันกลับมาเคาะอีกที
หลินหลานเซ่อหันหน้ามาเตรียมจะด่า เห็นฤทัยนาคเปิดประตูโผล่เข้ามา สองคนมองสบตากัน ต่างตนต่างอึ้ง ฤทัยนาคเดินเข้ามา
“ขอโทษ ชั้นแค่จะเอาของฝากจากเพื่อนๆ ที่โรงเรียนมาให้นาย นี่ของหว่าหวา นี่ของหลิงหลิง นี่ของลิ่วหง” ฤทัยนาคเอาของไปวางที่โต๊ะหลินหลานเซ่อมองตาม “อ้อ แล้วหลิงหลิงเค้าบอกว่าเป็นห่วงนายมาก แค่นี้ล่ะค่ะ ขอโทษนะ ที่มารบกวนนาย”
ฤทัยนาคขยับจะไป
“เดี๋ยว แล้วเธอจะไปไหน”
“ก็...กลับไปทำงานน่ะสิคะ ชั้นมีงานรอบดึก”
“ที่เธอมานี่ไม่ได้มาเพราะเป็นห่วงชั้นใช่มั้ย”
“ใช่ ถ้าเพื่อนๆไม่ฝากของมา ชั้นก็ไม่มาหรอก”
ฤทัยนาคบอกอย่างเกรงใจ มาเฟียหนุ่มมองตาเขียว ไม่พอใจในคำตอบ ฤทัยนาคหันจะไป
“เดี๋ยว” ฤทัยนาคชะงักหันกลับมา “จงซินบอกว่าเธอตบหน้าชั้น”
เด็กสาวสะดุ้ง “เอ่อ คือ...ที่ชั้นจำเป็นต้องทำอย่างงั้นเพราะชั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี อยู่ๆนายก็หมดสติไป ชั้นทำอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าต้องทำให้นายฟื้นให้ได้ ชั้นก็เลยตบหน้านาย”
“กี่ที” มาเฟียหนุ่มถาม
“ชั้นจำไม่ได้ แต่รู้ว่าหลายผัวะเลย ตอนนั้นชั้นคิดว่านายตายไปแล้ว ชั้นตกใจมากกลัวว่านายจะตาย ก็เลยกระหน่ำตี ใหญ่เลย”
หลินหลานเซ่อมองฤทัยนาคนิ่งๆ อึ้งในสิ่งที่เธอพูด ฤทัยนาคมองจ้อง
“แต่ชั้นไม่ลืมสัญญาหรอกนะ”
“สัญญาอะไร”
“ก็ตอนนั้นชั้นบอกกับนายว่า ถ้านายฟื้นขึ้นมาชั้นจะให้นายตบหน้าคืน”
หลินหลานเซ่อ มองอย่างประหลาดใจ
“แต่ชั้นให้ตบวันละครั้งได้มั้ย เพราะชั้นกลัวหน้าบวม แต่ชั้นจะมาให้นายตบทุกวันหลังจากเลิกเรียน” ฤทัยบาคบอกซื่อๆ
“จริงนะ”
“จริงสิ แต่ต้องวันละครั้งเดียวนะ แล้วก็สลับข้างด้วย เพราะถ้ามันบวม มันจะได้บวมเท่ากัน” หลินหลานเซ่อมองแล้วอมยิ้มขำ “เอา งั้นเริ่มวันนี้เลยแล้วกัน”
ฤทัยนาคหลับตา หลินหลานเซ่อมองจ้องนิ่งนาน ฤทัยนาคลืมตานึกได้
“อ้อ เดี๋ยวนะ ตบข้างขวาก่อนแล้วกันนะ”
ฤทัยนาคหลับตายื่นหน้าข้างขวาให้ พร้อมกับเกร็งหน้าอย่างหวาดเสียว กลัวเจ็บ
หลินหลานเซ่อมองแล้วยิ้มขำ ส่ายหน้าในความซื่อของเด็กสาว
ฤทัยนาคหลับตาเกร็งหน้า หลินหลานเซ่อยกมือขึ้น มองที่มือ แล้วมองหน้า หลินหลานเซ่อยื่นมือไปแนบที่แก้ม ฤทัยนาคลืมตาช้าๆ มองอย่างแปลกใจ
“ทำไมนายไม่ตบหน้าชั้นล่ะ”
“ชั้นคงตบหน้าคนที่ช่วยชีวิตชั้นไว้ไม่ได้หรอก”
ฤทัยนาคอึ้ง มองงงๆ หลินหลานเซ่อมองจ้องไม่วางตา ฤทัยนาคจับมือหลินหลานเซ่อที่แก้มออก แต่เขาคว้าไว้ ฤทัยนาคชะงักงง
“มีอะไรหรือ”
“ชั้นจะบอกว่าจากวันนี้ไป เธอจะต้องมาที่นี่ทุกวัน”
“ไหนคุณบอกว่าชั้นช่วยชีวิตนายไว้ นายจะไม่ตบหน้าชั้นไง”
“ชั้นจะให้เธอมาช่วยงานชั้น ชั้นมีงานเอกสารที่ต้องสะสาง เธอต้องมาช่วยอ่านให้ชั้นฟัง”
“แล้วจงซินล่ะ เป็นหน้าที่ของเค้าไม่ใช่หรือ”
“จงซินต้องอยู่ออฟฟิศดูงานแทนชั้น ส่วนเธอต้องมาช่วยชั้นที่นี่”
“แต่ชั้นว่าให้เลขานายมาอ่านแทนดีกว่ามั้ย เค้าจะรู้เรื่องมากกว่าชั้นนะ”
“ในสถานการณ์อย่างนี้เธอว่าชั้นจะไว้ใจใครได้อีกหรือ แล้วเธอเองก็รับปากชั้นแล้วว่าจะมาที่นี่ทุกวัน”
“เอาอย่างงั้นก็ได้”
ฤทัยนาคจะดึงมือออก แต่หลินหลานเซ่อดึงรั้งไว้จนฤทัยนาคชะงักมอง มาฟียหนุ่มกุมมือแน่น
นาคเหลือบมองมือหลิน มองหน้าหลิน เห็นหลินมองนิ่ง นาครู้สึกประหม่าทำหน้าไม่ถูก
“ขอบใจนะที่เธอไม่ทิ้งชั้น”
ฤทัยนาคอึ้งกับคำพูดนั้น ยิ้มมองสบตา หลินยิ้มให้ กล้องเคลื่อนไปรอบเตียง
นาคมองยิ้มให้หลิน กล้องเคลื่อนมาที่ใกล้หน้าหลินยิ้ม กล้องเคลื่อนกลับมาที่หน้านาคอีกครั้งยิ้มอย่างเกรงใจ
“แต่ชั้นขอเปลี่ยนเป็นเงินได้มั้ย เพราะชั้นเป็นหนี้นายอีกเยอะเลย”
หลินหลานเซ่อมองฝืนยิ้ม แล้วทำเข้มพร้อมกับส่ายหน้า
แดนนี่ยืนหงุดหงิดรอหน้าลิฟท์อย่างสุดเซ็ง สักครู่เห็นฤทัยนาคเดินเลี้ยว ตรงเข้ามาหา
“ไป แดน”
“หายไปซะนานเลยนะ นี่ชั้นเกือบจะกลับแล้วนะเนี่ย”
“พอดีคุณหลินเค้าชวนชั้นคุยหลายเรื่อง”
“เรื่องอะไร”
“เค้าก็ขอบคุณที่ชั้นช่วยชีวิตเค้า”
“แล้วคุยอะไรอีก”
“เค้าก็บอกให้ชั้นมาช่วยงานเค้าที่นี่”
“งานอะไร”
“ก็งานอ่านเอกสารอะไรพวกนี้ ช่วงนี้เค้าต้องอยู่โรงพยาบาลเค้าก็เลยให้ชั้นมาช่วยอ่านให้ฟัง”
แดนนี่รู้ทัน “ไอ้หลินหลานเซ่อนี่มันมุกเยอะนะ”
“มุกอะไรหรือ” ฤทัยนาคไม่รู้เรื่อง
“มุกหมาแก่ไง รู้จักปะ”
“ไม่รู้ หมาแก่คืออะไร”
แดนนี่ถอนใจเซ็งๆ ในความซื่อบื้อ “เธอนี่มัน...เอาเหอะ ไปกินข้าวดีกว่า ชั้นหิวแล้ว เธอจะเลี้ยงใช่มั้ย”
“ใช่ ชั้นเลี้ยงเอง ไป”
ฤทัยนาคตบไหล่แดนนี่แล้วเดินลงบันไดไป
ต่อจากตอนที่แล้ว
รถแล่นเข้ามาจอดหน้าอพาร์ทเม้นท์หรูที่พักเหม่ยจิง จงซินหันมาบอกคนขับ
“รออยู่นี่นะ ชั้นจะขึ้นไปส่งคุณเหม่ยจิง”
จงซินก้าวลงรถ ไปเปิดประตูให้ เหม่ยจิงมีท่าทีแปลกใจ
“ทุกทีไม่เคยขึ้นไปส่ง ทำไมวันนี้ต้องขึ้นไปส่งด้วย”
“ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดี มีคนจ้องเล่นงานคุณหลินอยู่ ผมก็เลยอยากให้คุณปลอดภัย”
เหม่ยจิงค้อนนิดๆ มองอย่างหมั่นไส้ในความเคร่งขรึมของเฟ่ยจงซิน ก่อนจะเดินเข้าไปในอพาร์ทเมนท์ จงซินตามไป
จงซินยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์ เหม่ยจิงเหลือบมอง เห็นจงซินหน้านิ่งขรึม
“นี่จงซิน”
“มีอะไรหรือครับ”
“เธอเนี่ยมีความรู้สึกอะไรบ้างมั้ย”
จงซินฉงน “ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“ก็มีอารมณ์รัก โลภ โกรธหลงอะไรพวกเนี้ยบ้างมั้ย”
“ทำไมหรือครับ”
“ก็ตั้งแต่ชั้นรู้จักหลินหลานเซ่อมา ชั้นเห็นเธอยืนทื่อไร้อารมณ์ตลอดเวลา มีแต่ครับ ครับ ครับ ไม่เคยหลวมบ้างเลยหรือ”
“นั่นมันเป็นงานของผม”
จงซินบอกเสียงเรียบ เหม่ยจิงมองหมั่นไส้
ลิฟต์เปิดออก เหม่ยจิงเดินออก จงซินเดินตามไป
ประตูห้องพักเหม่ยจิงเปิดเข้ามา
“ผมขออนุญาตเข้าไปเช็คความปลอดภัยหน่อย”
“เชิญ” จงซินเดินเข้ามาในห้อง เหม่ยจิงเดินตามมา พูดประชดชีวิต “ความจริงชั้นอยากให้มีผู้ร้ายแอบเข้ามาที่นี่แล้วก็มาข่มขืนชั้น หลินหลานเซ่อจะได้หึงหวงชั้นบ้าง”
จงซินมองสำรวจในห้อง แล้วเดินไปดูในห้องน้ำ มองสำรวจไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเดินออกมา
“เรียบร้อยครับ”
“แล้วในห้องนอนกับตู้เสื้อผ้าไม่ดูหรือ เกิดมีโจรแอบเข้ามาจริงๆ จะว่าไง”
“งั้นผมขออนุญาต”
“เชิญ”
จงซินเดินเข้าไปในห้องนอน เหม่ยจิงเดินตามเข้าไป
จงซินเดินตรงไปเปิดตรวจดูตู้เสื้อผ้า เหม่ยจิงเดินตามเข้ามาปลดผมที่รวบไว้ แล้วหันหลังให้จงซิน
“นี่ ช่วยรูดซิปให้หน่อยสิ มือชั้นเจ็บ”
จงซินสะดุ้ง “ผมว่าคุณทำเองดีกว่า” เขาขยับจะออกไป
“เดี๋ยวจงซิน” จงซินชะงักเหลียวมามอง เหม่ยจิงเดินเข้ามาหา “หวั่นไหวชั้นหรือไงถึงไม่กล้ารูดซิปให้ชั้น”
“ไม่ใช่อย่างงั้นครับ มันไม่สมควร ถ้าคุณหลินทราบมันจะไม่ดี”
เหม่ยจิงหมั่นไส้ “คำก็คุณหลินสองคำก็คุณหลิน ชั้นถามจริงๆ ในสายตาเธอชั้นสวยมั้ย”
เหม่ยจิงมองจ้องอย่างท้าทาย จงซินอึ้ง
“ว่าไง ตอบมาสิ”
“สวย เอาล่ะครับ ผมขอตัว”
จงซินหันเดินงุดๆ ออกไป เหม่ยจิงเรียก
“เดี๋ยวสิจงซิน จงซิน”
จงซินเดินลิ่วออกไปไม่ยอมเหลียวมามอง เหม่ยจิงมองตามอย่างขำๆ
“แค่ลองใจอยากจะรู้ว่ากล้าตีท้ายครัวหลินหลานเซ่อรึเปล่า ที่แท้ก็ซื่อสัตย์ยิ่งกว่าหมาจู”
ลิฟต์เปิดออกจงซินก้าวเข้ามาในลิฟต์ สูดหายใจลึกๆ บอกตัวเอง
“เราต้องพยายามไม่อยู่ใกล้เธอ”
เช้าวันต่อมา หลางหย่งเหวินอยู่ในห้องนอนที่บ้านซานกุ้ย กำลังกดโทรศัพท์โทรออก เห็นเบอร์หน้าจอขึ้นคำว่า PRIVATE
เวลาเดียวกันในห้องพักที่ฉินฝูกบดานอยู่ เสียงโทรศัพท์ดัง ฉินฝูนอนอยู่มองโทรศัพท์เห็นขึ้นหน้าจอว่า VIP
หย่งเหวินรอฟังเสียงปลายสาย
โทรศัพท์ดังไม่หยุด ฉินฝูลังเลว่าจะรับดีหรือไม่
หย่งเหวินรออย่างหงุดหงิด ฉินฝูหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะรับ แต่เปลี่ยนใจวางลง
ที่สุดหย่งเหวินกดปิดโทรศัพท์ แล้วกดออกอีกเบอร์ ฟังเสียงปลายสาย คราวนี้มีคนรับ
“ตามหาตัวไอ้ฉินฝูให้เจอ แล้วเก็บมันทิ้งเลย”
ขณะกดปิดโทรศัพท์ ไป่หลิงเดินเข้ามา หย่งเหวินหันมาหา
“โทร.หาใครแต่เช้าหรือคะ”
“อ๋อ พี่จองโต๊ะทานอาหารค่ำสำหรับเราสองคน”
“เนื่องในโอกาสอะไรหรือคะ”
“เป็นการเลี้ยงขอโทษที่วันก่อนพี่พูดจาไม่ดีกับไป่หลิงไงจ๊ะ” หย่งเหวินยิ้มหวาน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไป่หลิงไม่ได้คิดอะไรแล้ว”
“ไม่ได้ พี่ทำผิดพี่ก็ต้องขอโทษ เดี๋ยวบ่ายนี้พี่ว่างไปซื้อเพชรกันนะ พี่อยากซื้อเป็นของขวัญให้ไป่หลิง”
“ขอบคุณค่ะ”
หย่งเหวินดึงไป่หลิงมากอด โดยไม่รู้ว่าไป่หลิงมองหย่งเหวินอย่างระแวง นึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่
โดยตอนนั้นไป่หลิงเดินมาหยุดหน้าประตู เห็นหย่งเหวินกำลังพูดโทรศัพท์
“สั่งคนออกตามหาไอ้ฉินฝูให้เจอ แล้วเก็บมันซะ”
ไป่หลิงครุ่นคิด มองหย่งเหวินอย่างสงสัยมากขึ้นๆ ว่าทำไมต้องโกหก
ซานกุ้ยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ไป่หลิงเอาชาร้อนเข้ามาเสิร์ฟให้
“ชาค่ะคุณลุง”
“อืมม์ ขอบใจลูก”
“คุณลุงจะทานพุทราทอดมั้ยคะ”
“ไม่ละ ขอบใจ เออนี่...ไป่หลิง”
“คะ”
“หลานไม่ต้องมาดูแลลุงมากนักหรอก เอาเวลาไปปรนนิบัติหย่งเหวินเค้าบ้าง วันนี้เราเป็นภรรยาเค้าแล้วนะ”
ไป่หลิงชะงัก นึกถึงเรื่องที่หย่งเหวินโกหกเมื่อเช้า
“ค่ะ”
ไป่หลิงหันจะเดินออกแล้วหยุดตัดสินใจหันมาถาม
“คุณลุงคะ”
“ว่าไง”
“คุณลุงรู้จักคนชื่อฉินฝูมั้ยคะ”
ซานกุ้ยพยายามนึก “ฉินฝู ไม่เคยได้ยิน เค้าเป็นใครหรือ”
“เปล่าหรอกค่ะ เผอิญวันนี้มีคนโทร.ผิดน่ะค่ะ เค้าถามหาคนชื่อฉินฝู หนูก็เลยลองถามคุณลุงดู”
“ไม่มีนะ ลุงไม่รู้จัก”
“งั้นก็แล้วไปเถอะค่ะ หนูก็แค่ถามดู หนูขอตัวก่อนนะคะ”
ไป่หลิงเดินออก ซานกุ้ยมองตามพึมพำ
“ฉินฝู”
ซานกุ้ยส่ายหน้า นึกไม่ออกว่าเป็นใครกัน
ด้านฉินฝูเดินออกจากห้องปิดประตู เดินมาหยุดที่หน้าลิฟต์ ยืนรออยู่นานลิฟต์ไม่มาสักที ฉินฝูตัดสินใจเดินลงบันไดแทน
ขณะที่ฉินฝูกำลังจะเดินลงบันไดจากชั้น 5 ลงมาที่ ชั้น 4 แต่พอมองลงมาที่ล้อบบี้ชั้น 1 ต้องชะงัก เมื่อเห็นชาย 3 คนกำลังเดินเข้ามา
ชาย1บอกชาย 3 “เอ็งเฝ้าอยู่ตรงนี้นะ”
ชาย 3 ซึ่งเป็นมือปืนที่หย่งเหวินส่งมารับคำ “ครับ”
ชาย 1 เดินไปที่ลิฟต์ ชาย 2 เดินขึ้นบันได ฉินฝูเอะใจ มองอย่างระแวง เดินย้อนกลับขึ้นไปยังชั้น 5
ลิฟต์เปิดออก ฉินฝูกระโดดหลบเข้าซ่อนตัว ชาย 1 ออกมาจากลิฟต์ ชาย 2 วิ่งขึ้นบันไดมาสมทบทั้งสองเดินไปตามทางเดิน ฉินฝูโผล่หน้าออกมามอง เห็นทั้งสองคนกระชากปืนเดินไปที่หน้าห้องพักของตน ฉินฝูชักปืนออกมา
ชาย 1 อยู่หน้าห้องฉินฝู พยักหน้าให้ชาย 2 เป็นเชิงบอก ชาย 2 ถีบประตูเปรี้ยงเปิดเข้าไป
ฉินฝูตัดสินใจวิ่งหนีลงบันได ในจังหวะเดียวกับที่ชาย 2 วิ่งออกมาจากห้อง
“มันไม่อยู่ในห้อง”
“แต่ข้างล่างบอกมันยังอยู่ หาให้ทั่ว” ชาย 1 สั่งการ
ฉินฝูวิ่งลงมาที่ทางเดินชั้น 4 ปีนออกมาทางช่องหน้าต่างไปนอกระเบียงอย่างรู้ทางหนีทีไล่
ไม่นานต่อมา ชาย 1 วิ่งลงมาหาชาย 3 ที่รออยู่ชั้นล่าง
“ไอ้ฉินฝูมันลงมารึเปล่า”
ชาย 3 เอะใจ “ไม่มีครับ ออกไปดูข้างนอกเร็ว”
ฉินฝูเดินมาตามระเบียง แล้วกระโดดลงมาชั้นล่าง เห็นชายทั้งสามวิ่งมาสมทบกัน
“ไม่มี หรือว่ามันรู้ตัวหนีไปแล้ว” ชาย 2 บอก
ฉินฝูโผล่หน้าแอบมองออกมาจากที่ซ่อน
ได้ยินชาย1 พูดกับลูกน้อง
“มันจะหนีไปไหน ก็เค้าบอกว่ามันอยู่ที่นี่”
ฉินฝูชักหน้ากลับที่ซ่อน
“นี่มันส่งคนมาเก็บเราหรือเนี่ย อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
ฉินฝูมองซ้ายขวา วิ่งออกไปอย่างว่องไว
สายวันนั้นจงซินนั่งคุยอยู่กับหลินหลานเซ่อในห้องพักฟื้น
“ผมกำลังให้คนของเราออกตามหาตัวไอ้มือปืนที่รอดไปได้ ถ้าเราได้ตัวมันเราก็จะได้รู้ว่าใครเป็นคนที่บงการฆ่าคุณหลิน”
“ชั้นกลัวว่ากว่าเราจะตามตัวเจอมันอาจจะเป็นศพไปแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้ไอ้คนที่ว่าจ้างมันคงตามฆ่าปิดปากอยู่เหมือนกัน”
มีเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ ฤทัยนาคเปิดเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ
“ขอโทษ ที่มาสายไปหน่อย”
“เธอมาก็ดีแล้ว นั่งซิ” จงซินบอก ฤทัยนาคลงนั่งอย่างงงๆ “ชั้นอยากจะถามเธอหน่อย วันนั้นเธอเห็นหน้าไอ้มือปืนที่มาตามฆ่าคุณหลินที่โรงพยาบาลใช่มั้ย”
“ใช่”
“หน้าตาเป็นยังไง เล่ามาซิ” จงซินซักเป็นชุด
ฤทัยนาคนึกถึงหน้าฉินฝู “ก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ”
“อายุเท่าไหร่”
“สามสิบกว่าๆ”
“สูงประมาณไหน”
“สูงกว่าชั้นหน่อย”
“ถ้าเธอเจอมันอีกที จะจำมันได้มั้ย”
“จำได้ นี่นายจับตัวมันได้แล้วหรือ”
“ยัง”
ฤทัยนาคเซ็ง “โธ่เอ๊ย ชั้นก็นึกว่าจับได้แล้ว”
จงซินไม่ตอบอะไร ขยับตัวลุกขึ้นหันมาบอกหลินหลานเซ่อ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณหลิน พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมใหม่”
“ขอบใจมากจงซิน”
จงซินเดินออกไป หลินหลานเซ่อหน้าเครียด นึกถึงเรื่องคนลอบฆ่า ฤทัยนาคเหลือบมอง เห็นเขายังนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ไหนล่ะงานที่จะให้ชั้นทำ”
มาเฟียหนุ่มเหลือบมองมา แล้วบอก “เธอหยิบรายงานบนโต๊ะอ่านให้ชั้นฟังหน่อย”
ฤทัยนาคลุกไปหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะมาดู “ชั้นจะอ่านออกได้ไงมันเป็นภาษาจีน”
“จริงสินะ ชั้นลืมไป เธอไม่ใช่คนที่นี่ เอา งั้นเธอดูนี่ เข้ามาใกล้ๆ หน่อย”
ฤทัยนาคขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ หลานเซ่อชี้ไปที่เอกสารช่องรายรับจ่าย เป็นภาษาจีน
“นี่อ่านว่ารายรับ นี่รายจ่าย ไอ้นี่...”
“ผลรวม” ฤทัยนาคตอบ
“ถูกต้อง เธอนี่หัวไวดีจริงๆ”
หลินหลานเซ่อชี้ตัวหนังสือรายการในบัญชีรายรับภาษาจีน พูดอธิบายให้ฟัง ฤทัยนาคพยักหน้า
ฤทัยนาคเริ่มเข้าใจชี้บัญชีแล้วถาม หลานเซ่อส่ายหน้าว่าไม่ใช่
ฤทัยนาคถามคราวนี้หลินหลานเซ่อพยักหน้า
เวลาผ่านไป ฤทัยนาคป้อนน้ำส้มให้หลินหลานเซ่อ ตามด้วยตักอาหารป้อน
พอเสร็จฤทัยนาคนั่งกินข้าว หลินหลานเซ่อมองมา เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ฤทัยนาคหลับคาเก้าอี้พร้อมเอกสารในมือ
ส่วนที่เมืองไทย คืนเดียวกันนั้น
นันทกาอยู่ในบ้านที่ซ่อนตัว นั่งเหม่อมองออกไปไกล นึกถึงค่ำคืนที่เจอกับหลินหลานเซ่อ และถูกเขามองจ้องเอาๆ นันทกาออกอาการขวยเขิน แววตาชวนฝัน
“เราจะมีโอกาสได้เจอผู้ชายคนนั้นอีกมั้ยนะ” เด็กสาวทอดถอนใจ “อยากรู้จังว่าเค้าเป็นใคร”
นันทกาคิดถึงหลินหลานเซ่อ แล้วอดนึกถึงน้องสาวขึ้นมาไม่ได้ ภาพฤทัยนาคยิ้ม หัวเราะ พูดกับนันทกาอย่างอารมณ์ดีผุดขึ้นมา
ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ด้วยความเป็นห่วงน้องสาว นันทกาถอนใจอีกครั้ง
“ป่านนี้นาคจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” นันทกายกมือไหว้พระ “ขอให้พระคุ้มครองน้องด้วยเถอะนะคะ”
เช้านี้ ที่บ้านเพ่ยอิง ในไต้หวัน มีนาเดินวนไปรอบห้องพัก พยายามทางทางหนีทุกทาง ทั้งแงะประตู ปีนหน้าต่าง มองออกไป เห็นมีคนเฝ้ายืนคุมตามจุดต่างๆ ทั่วบ้าน
“เราต้องหาทางหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างงั้นเราต้องตกนรกทั้งเป็น”
เพ่ยอิงเปิดประตูห้องเข้ามา มีนาเหลียวขวับไปมองอย่างตกใจ
“คุณเข้ามาทำไม ถ้าคุณจะทำอะไรชั้นล่ะก็ ชั้นจะตายต่อหน้าคุณ”
เพ่ยอิงกล่อม “ใจเย็นก่อน คำก็ตายสองคำก็ตาย ไม่คิดถึงหัวอกชั้นบ้างหรือไง”
“ทำไมชั้นต้องคิดถึงหัวอกคุณ”
“อ้าว เธออย่าลืมนะ พ่อเธอเอาเงินชั้นไปตั้งยี่สิบกว่าล้าน อยู่ๆ เธอจะมาตายโดยที่ชั้นไม่ได้อะไรเลยงั้นหรือ ชั้นว่าเธอถอดเสื้อผ้าออกดีกว่า”
มีนาตาโตตกใจ “นี่คุณบ้าไปแล้วหรือ อยู่ๆจะให้ชั้นถอดเสื้อผ้า”
“ถ้าเธอไม่ถอด งั้นชั้นจะถอดให้”
เพ่ยอิงตวัดมือจะกอด มีนาฉากหลบ
“อย่านะ”
เพ่ยอิงตวัดมืออีกที มีนากระโดดเหย็งหลบขึ้นเตียง เพ่ยอิงโดดตามคว้าตัวไว้ได้
“ปล่อยชั้นนะ ปล่อย”
เพ่ยอิงออกอาการหื่นเต็มที่ “ไม่ วันนี้เธอต้องเป็นของชั้น”
เพ่ยอิงก้มจะจูบ มีนาเอามือดันหน้าไว้ “เดี๋ยวก่อนได้มั้ย”
“อะไรอีก”
“ขอชั้นอาบน้ำก่อนได้มั้ย”
เพ่ยอิงไม่วางใจ “เธออย่ามาทำบ่ายเบี่ยงเหมือนในละครทีวีเลย”
“ชั้นไม่ได้บ่ายเบี่ยง ชั้นยังไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่เช้า ถ้าไม่เชื่อคุณดมรักแร้ชั้นดูสิ”
มีนายกรักแร้ให้ดม เพ่ยอิงเบ้หน้า
“ฮึ่ย เธอนี่พูดให้ชั้นเสียอารมณ์หมดเลย เอา ไป รีบไปอาบเลย ชั้นจะนอนรออยู่นี่”
มีนาลุกเข้าห้องน้ำ เพ่ยอิงมองตามตาเยิ้ม ยิ้มกรุ้มกริ่ม
พอเข้าห้องน้ำมามีนาก็รีบปิดล็อคประตู มองซ้ายขวาคิดหาหนทางหนี
“นี่เราจะทำไงดี เราต้องเป็นเมียไอ้บ้ากามนี่เหรอ”
เพ่ยอิงนอนรออยู่บนเตียงได้ยินเสียงน้ำเปิด ชะโงกไปมองที่ประตูห้องน้ำซึ่งเปิดแง้มออก เห็นมีนาผมเปียกโผล่หน้าเปลือยไหล่โชว์ร้องเรียก
“คุณเพ่ยอิงคะ”
เพ่ยอิงมองสะดุ้งที่เห็นมีนาดูวาบหวิว
“ช่วยหยิบเสื้อที่ปลายเตียงให้หน่อยได้มั้ยคะ”
มีนาทำเสียงอ้อน ยื่นขาออกมาทำยั่ว เพ่ยอิงมองกลืนน้ำลาย แล้วทำเก๊กเสียงเข้ม
“ทำไมไม่ออกมาเอาเองล่ะ”
“ก็ชั้นไม่ได้นุ่งผ้าจะออกไปเอาได้ไงล่ะคะ”
เพ่ยอิงตาลุกวาว “อย่าบอกนะว่าเธอเปลือยกายหลังประตู”
“ก็ใช่สิ ใครเค้าใส่เสื้อผ้าอาบน้ำล่ะคะ”
เพ่ยอิงได้ฟังแล้วยิ้มหื่น หยิบเสื้อคลุมที่ปลายเตียงเดินมาหยุดหน้าประตูห้องน้ำ ส่งเสื้อให้ทำตาหวาน มีนายิ้มอาย เอื้อมมือไปรับเสื้อ เพ่ยอิงดึงไว้
“อุ๊ย ปล่อยสิคะ”
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะคะ” มีนายิ้มสะเทิ้น
“แล้วนี่ฟอกสบู่รึยัง”
“ทำไมคะ คุณจะเข้ามาฟอกให้ชั้นหรือไง” เด็กสาวถามตาหวานฉ่ำ
“ก็ถ้าเธอไม่ว่าอะไร ชั้นก็ยินดีที่จะอาบน้ำถูตัวให้เธอนะ”
“คุณเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้ ชั้นอายนะ” มีนาทำเป็นอายม้วน
“น่านะ ให้ชั้นอาบน้ำให้” เพ่ยอิงมองตาเยิ้ม
“ก็ได้ แต่ต้องหลับตานะ ชั้นอาย”
“ได้จ้ะ”
เพ่ยอิงหลับตา มีนาเปิดประตูให้ เพ่ยอิงก้าวเข้ามาควานหาจะกอด
“เธออยู่ไหน”
“อยู่นี่ค่ะ”
มีนารอจังหวะ ฟาดไม้ดูดส้วมตีเข้าที่คอ ซ้าย ขวา เต็มแรง แล้วตีหัวซ้ำจนเพ่ยอิงทรุด
“โอ๊ย”
มีนาสวมคว้าเสื้อคลุมตัวโคร่งมาสวมแล้ววิ่งออกจากห้องน้ำโดยไม่คิดชีวิต ยกเก้าอี้มาดันประตูห้องน้ำไว้ วิ่งไปเคาะประตู
มือปืนเฝ้าหน้าห้องเปิดเข้ามา
“มีอะไรครับ”
มีนาคว้ากล้องทิชชู่ทำจากเหล็กตีเข้าที่หน้ามือปืน สองที มือปืนทรุดลงไปกองคาพื้น
เพ่ยอิงกุมหัวลุกขึ้น เคาะประตูห้องน้ำดังโครมคราม
“ไอ้เฮี้ยบ เปิดประตูให้กูซิ”
มือปืนวิ่งเข้ามาเปิดประตูให้
มีนาวิ่งลงบันไดมาชั้นล่าง มองเห็นมือปืนยืนหันหลังให้ ก็ชะงัก แล้วค่อยๆ ย่องออกไปด้านหลัง วิ่งไปที่รั้วปีนออกไปอย่างรวดเร็ว
เพ่ยอิงวิ่งลงมาชั้นล่าง ตะโกนถามลูกน้อง “ผู้หญิงล่ะ”
อาจง งง “ผู้หญิงที่ไหนครับ”
“มีนา เธอหนีออกมา เอ็งไม่เห็นหรือ”
อาจงจอมบื้อถามซื่อๆ “ไม่เห็นนะครับ เธอหนีไปหรือครับ”
“ก็เออสิวะ ไอ้บ้าเอ๊ย ผู้หญิงคนเดียวให้หนีไปได้”
ฝ่ายมีนาวิ่งมาหยุดมองซ้ายขวาอย่างเคว้งคว้างไม่รู้จะไปทางไหน ปากร้องไม่หยุด
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยด้วย ผู้ร้ายจับตัวชั้นมาเรียกค่าไถ่ค่ะ”
เพ่ยอิงวิ่งตามออกมาตรงถนน ตะโกนบอกลูกน้องสองคน
“เฮ้ย พวกเอ็งตามไปเร็ว”
มีนาวิ่งหนีลงเนินมาในหมู่บ้าน เจอผู้หญิงแม่บ้านถือของกลับมาจากตลาด
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ผู้ร้ายมันจับตัวชั้น”
ผู้หญิงตะเพิดไล่ พร้อมกับเดินหนีไม่อยากยุ่งเกี่ยว มีนาหันกลับวิ่งออกไปทางหนึ่ง
มีนาวิ่งลงเนินเลี้ยวโค้งมาชนเพ่ยอิง มีนาสะดุ้งสุดตัว
“ชั้นบอกแล้วไงเธอไม่มีทางหนีชั้นพ้นหรอก ไป”
เพ่ยอิงกระชากแขน มีนาร้อง “ช่วยด้วย”
“ถ้าเธอร้องชั้นยิงเธอเดี๋ยวนี้”
เพ่ยอิงยกปืนขู่ แล้วลากมีนาเดินขึ้นเนินหายไป
หลอดไฟเปลือยไม่มีโคม ถูกกระตุกเชือกสวิชท์เปิดไฟไฟสว่างขึ้น ร่างมีนาถูกผลักเข้ามาในห้องเก็บของสี่เหลี่ยม ที่มีเพียงเตียงตั้งอยู่ เพ่ยอิงบอกอย่างโกรธ
“ให้อยู่ที่ดีๆไม่ชอบ งั้นเธอต้องถูกขังเดี่ยวที่นี่ละ”
เพ่ยอิงปิดประตูโครม มีนาวิ่งมาทุบประตูร้องห่มร้องไห้
“ไม่ ปล่อยชั้นไปนะ ฮือ ฮือ พ่อช่วยหนูด้วย ฮือ ฮือ”
“เฝ้าเธอไว้ให้ดี ถ้าเธอหนีไปได้อีกล่ะก็ เอ็งหัวขาด”
เพ่ยอิงกำชับลูกน้องที่คุมหน้าห้อง แล้วเดินออกไป
วันนี้ไป่หลิงแวะมาเยี่ยมหลินหลานเซ่อที่โรงพยาบาล กำลังเทซุปจากหม้อใส่ชาม ก่อนจะเดินมาส่งให้หลินหลานเซ่อที่นั่งเอนอยู่บนเตียง หลางหย่งเหวินมาด้วยเพื่อสืบความเคลื่อนไหว
“ทานซุปร้อนๆ หน่อยค่ะคุณหลิน จะได้มีกำลัง”
“ขอบใจมากไป่หลิง”
หย่งเหวินเอ่ยเย้า “หวังว่าคุณหลินคงกล้าทานนะครับ เพราะไป่หลิงเค้าต้มเองตั้งแต่เช้า”
“ใช่ค่ะ รับรองปลอดภัย ไป่หลิงทำกับมือ”
หลินหลานเซ่อตักซุปกิน หย่งเหวินสร้างภาพทำเป็นแสนดี
“ตอนนี้ผมกำลังให้คนของผมออกตามหาไอ้มือปืนที่หนีรอดไปได้ อีกไม่นานคงได้ตัวมัน”
“ขอบใจมาก”
หย่งเหวินหยั่งเชิง “แล้วคุณหลินคิดมั้ยครับว่าใครที่เป็นคนบงการ”
“ชั้นเองก็ไม่แน่ใจเพราะมีหลายคนและหลายกลุ่มที่อยากให้ชั้นตาย”
“แล้วคนใกล้ตัวล่ะครับ คุณหลินสงสัยคนบ้างมั้ยครับ” ไป่หลิงมองหน้าหย่งเหวิน
“หมายถึงใคร”
“อย่างเช่นว่าคุณเพ่ยอิง”
ไป่หลิงชะงักมอง หลินหลานเซ่อเหลือบมองหย่งเหวินก่อนตอบ
“ไม่ ชั้นว่าพวกเรากันเองคงไม่ทำหรอก แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เพ่ยอิงอยากให้ชั้นตาย”
“แต่เท่าที่ผมเห็น คุณเพ่ยอิงเค้าอยากขึ้นมาเป็นหัวหน้าของฉายหงส์กรุ๊ปนะครับ”
“ไม่ใช่เพ่ยอิงคนเดียว ท่านซานก็ต้องอยากขึ้นมาเหมือนกัน จริงมั้ย” หลินหลานเซ่อจ้องหน้าหย่งเหวิน
“แต่ผมรับรองครับท่านซานไม่มีวันคิดร้ายกับคุณหลินแน่”
ไป่หลิงเสริมในจังหวะนี้ “ใช่ค่ะ คุณลุงไม่มีวันทำเรื่องเลวทราบแบบนั้นเด็ดขาด ไป่หลิงรับรองค่ะ”
หลินหลานเซ่อมองหย่งเหวินกับไป่หลิงนิ่งๆ แล้วตักซุปกิน
“ผมได้ยินเค้าพูดกันว่า วันนั้นที่คุณหลินรอดมาได้ เพราะมีคนช่วยหรือครับ”
ใบหน้าหลินหลานเซ่อนิ่งไม่แสดงความรู้สึก หย่งเหวินมองจ้องจับสังเกต
“ใครหรือครับ”
“ไม่มีหรอก” มาเฟียหนุ่มตอบห้วนสั้น
หย่งเหวินพยายามซัก “แต่คนเค้าพูดกันว่าวันนั้น...”
หลินหลานเซ่อตัดบท “ใครพูดให้นายฟัง เพราะวันนั้นไม่มีใครมีชีวิตรอดนอกจากไอ้มือปืนที่เรากำลังตามตัวมันอยู่”
หย่งเหวินชะงัก รู้ตัวว่าพลาดไป “อ๋อ อย่างงั้นหรือครับ”
“นับว่าเป็นโชคดีของคุณหลินนะคะ พระยังคุ้มครอง”
หลินหลานเซ่อวางถ้วยซุป
ไป่หลิงถาม “จะเติมซุปอีกซักหน่อยมั้ยคะ”
“ไม่ละ ชั้นอิ่มมาก”
“งั้นเรากลับกันดีกว่าไป่หลิง คุณหลินจะได้พักผ่อน”
“ค่ะ”
“ผมลาล่ะครับ ถ้าได้ข่าวอะไรคืบหน้าผมจะรีบมารายงาน” หย่งเหวินบอก
“ขอบใจมากหย่งเหวิน ขอบใจนะไป่หลิงสำหรับซุป”
“ค่ะ ถ้าคุณหลินอยากทานอะไรเป็นพิเศษบอกพี่หย่งเหวินได้นะคะ ไป่หลิงจะทำให้กับมือค่ะ”
หลินหลานเซ่อพยักหน้าให้ หย่งเหวินกับไป่หลิงเดินออก มาเฟียหนุ่มมองตามอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
“ใครกันนะที่บงการเรื่องนี้
อ่านต่อตอนที่ 6