xs
xsm
sm
md
lg

คิวบิก ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คิวบิก ตอนที่ 4

คืนเดียวกันนั้น หลินหลานเซ่อนั่งอยู่ในห้องจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกในอดีต มาเฟียรูปงามนั่งนิ่งอยู่ในห้องที่ตกแต่งหรูหรา แต่บรรยากาศกลับดูเงียบเหงาอ้างว้างและโดดเดี่ยว เหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 15 ปีที่แล้วผุดขึ้นมาในห้วงคิดของเขา

ในค่ำคืนนั้น มากาเร็ต แม่ของหลินหลานเซ่อนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องนอน หลินหย่งสือผู้เป็นพ่อของเขา เดินเข้ามาถอดเนคไทสีหน้าเครียดไม่ต่างกัน
“นี่ยังไม่นอนอีกหรือ”
“ชั้นมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“พรุ่งนี้ได้มั้ย ผมง่วงแล้ว”
มากาเร็ตเสียงแข็ง “ไม่ได้”
หย่งสือฉุนนิดๆ “ผมบอกว่าพรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้สิ”
“ชั้นจะไม่รอถึงพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะพรุ่งนี้ชั้นจะไปจากคุณ”
หลินหย่งสือชะงักหันมามอง “คุณพูดอะไรนะมากาเร็ต”
“ชั้นบอกว่าชั้นจะไปจากคุณและชั้นจะไม่กลับมาที่นี่อีกต่อไป”
หย่งสืออึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“เรื่องอะไรหรือ ก็เรื่องที่ชั้นเบื่อไง เบื่อที่ต้องนอนรอด้วยความหวาดกลัวว่าคุณจะมีชีวิตกลับบ้านมั้ย จะโดนยิงรึเปล่า” มากาเร็ตระเบิดอารมณ์ใส่
“มากาเร็ต ไม่มีใครทำอะไรผมหรอก ผมเป็นเจ้าพ่อที่นี่”
“นี่ หย่งสือชั้นจะบอกให้คุณรู้นะ วงการนี้ไม่มีใครใหญ่หรอก มันมีแต่การฆ่ากัน วันนึงก็ต้องมีคนอยากขึ้นมาใหญ่กว่าคุณ ชั้นจะไม่รอให้ถึงวันนั้นหรอก ชั้นจะเอาลูกไป”
หย่งสือเสียงแข็ง “ไม่ จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น เราต้องอยู่ด้วยกัน”
“คุณบ้าไปแล้วหรือ คุณอยากให้คนฆ่าลูกฆ่าชั้นไปด้วยหรือไง”
“เชื่อผมสิ ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอก”
“ชั้นไม่เชื่อ ชั้นไม่เชื่อ”
ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง โดยไม่รู้ว่าหลินหลานเซ่อในวัยเด็ก ราว 10 ขวบ ยืนแอบมองมาที่พ่อกับแม่หน้าเศร้า

อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันต่อมา ขณะที่เด็กชายหลินหลานเซ่อนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะ มากาเร็ตเดินเข้ามาลงนั่งข้างๆ
“หลานเซ่อแม่มีเรื่องจะบอกลูก”
“ครับ”
“เราจะไปอังกฤษกันคืนนี้”
“แล้วพ่อล่ะครับ”
“เราจะไปกันแค่สองคน”
หลินหลานเซ่อไม่ยอม “ไม่ ผมจะไม่ทิ้งพ่อ”
“ฟังแม่นะ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม่ไม่อยากให้ลูกมีชีวิตเหมือนพ่อลูกต้องไปกับแม่”
“ผมไม่ไป แม่ครับ อย่าทิ้งพ่อไปเลยนะครับ นะครับแม่ อย่าทิ้งพ่อไป”
หลินหลานเซ่อกอดแม่ร้องไห้โฮ มากาเร็ตดึงมือออก หันเดิน หลินหลานเซ่อร้องไห้
“แม่อย่าทิ้งพ่อไป...แม่ครับแม่...”
มากาเร็ตหันมามองลูกชาย แล้วตัดใจหันเดินจากไป
“แม่ครับ อย่าทิ้งพ่อไป”
เสียงร้องขออ้อนวอนในวัยเด็กของหลินหลานเซ่อยังดังแว่วมา
“แม่ครับ อย่าทิ้งพ่อไป แม่...”
หลินหลานเซ่อยืนนิ่งทอดสายตา เหม่อมองออกไปไกลลิบนอกหน้าต่าง อยู่ภายในห้องอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างเพียงลำพัง

เช้าวันนี้ฤทัยนาคขี่จักรยานลัดเลาะมาตามถนนในเมืองส่งของตามที่ต่างๆ ตามปกติ

ขณะเดียวแม่บ้านถือถาดกาแฟกับครัวซองก์ เข้ามาในห้องโถงเห็นหลินหลานเซ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ แม่บ้านรินกาแฟให้แล้วลุกเดินออกไป ขณะจงซินเดินเข้ามา เอ่ยทักเจ้านาย
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหลิน”
“อืมม์” หลินหลานเซ่อพยักหน้า พลางรินกาแฟให้ “กาแฟ”
“ขอบคุณครับ เช้านี้ผมนัดกับหัวหน้าสาขาทางใต้ เค้าจะมาคุยเรื่องขอส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ใหม่”
“แต่ถ้าเราขึ้นให้สาขาใต้ สาขาอื่นก็ต้องขอขึ้นนะ”
“ผมจะให้คุณบอกเค้าว่าเราจะขึ้นเปอร์เซ็นต์ให้ แต่เค้าจะต้องทำยอดให้ได้เพิ่มขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“อืมม์ ถ้าเป็นอย่างงั้นก็คงไม่มีปัญหา” หลานเซ่อยกกาแฟขึ้นดื่ม “แล้วเมื่อคืนเอาของขวัญไปให้เหม่ยจิง เธอชอบมั้ย” จงซินชะงัก “ทำไม”
จงซินมีท่าเกรงใจ “เธอเสียใจมากที่คุณไม่ไปหาเธอ”
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นไม่ว่าง”
“อย่าหาว่าผมก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเลยนะครับ ผมว่าเหม่ยจิงคงรักคุณจริง ๆ แล้วก็คงอยากให้คุณมีใจกับเธอบ้าง”
“นายก็รู้อยู่เต็มอกว่าชั้นรักใครไม่ได้ ชั้นไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนไหนเอาชีวิตมาแขวนไว้กับชั้น เหมือนที่แม่ชั้นต้องมีชีวิตอยู่กับพ่อด้วยความหวาดกลัว”
จงซินทักท้วง “แต่มันอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้นะครับ”
“ไม่เหมือนยังไง พ่อชั้นอยู่ในวงการนี้ แล้วตอนนี้ชั้นก็รับช่วงต่อจากพ่อ มันมีอะไรแตกต่างหรือจงซิน”
“แต่ชีวิตคนเราก็ต้องมีคู่ มีครอบครัวนะครับ”
“แล้วนายล่ะ ทำไมนายถึงไม่มีเมีย นายอยู่กับชั้นมาเป็นสิบปี ชั้นไม่เคยเห็นนายชอบผู้หญิงที่ไหนซักคน”
จงซินอึกอัก “คือ...”
“เห็นมั้ย นายก็กลัว กลัวว่าคนที่นายรักอาจจะมาตายเพราะนายใช่มั้ย”
“มันก็จริงของคุณ”
“วิถีชีวิตมาเฟีย สุดท้ายเราคงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”

จงซินมองหลินหลานเซ่อนิ่งๆ มาเฟียหนุ่มสบตาจงซินแล้วยกกาแฟจิบ

ฤทัยนาคในชุดนักเรียน ขี่จักรยานขึ้นเนินมา และปั่นขี่ไปเรื่อยๆ ตามทาง มุ่งหน้าไปโรงเรียน

สักครู่หนึ่งจึงเห็นรถหลินหลานเซ่อขับขึ้นเนินตามหลังมา ก่อนจะเสียงบีบแตรใส่เสียงดัง
ฤทัยนาคขี่รถชิดด้านข้าง หลินหลานเซ่อขับรถผ่านขึ้นมา ฤทัยนาคหันไปมองงงๆ มาเฟียหนุ่มเปิดกระจกบอก
“ชิดซ้ายหน่อย”
“อะไรนะ” ฤทัยนาคได้ยินไม่ถนัด
“ขี่ให้มันชิดซ้ายหน่อย ระวังรถจะชน”
“อ้อ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ชั้นไม่ได้ห่วงแต่กลัวเธอตายก่อนที่จะใช้หนี้หมด”
หลานเซ่อพูดเท่านั้นก็รถขับออกไปเฉยเลย ฤทัยนาคมองตามตาคว่ำ
“โธ่เอ๊ย นึกว่าห่วงเรา ที่แท้ก็ห่วงเงิน”
ฤทัยนาคบ่น แล้วปั่นจักรยานเลี้ยวไปตามทาง

หลินหลานนั่งอยู่ในรถที่อาเหลียงขับแล่นมา พลางเหลือบมองลูกหนี้สาวแล้วหันกลับมาส่ายหน้า
“ไอ้เด็กคนนี้มันไม่กลัวอะไรเลยหรือไงนะ ขี่รถกลางถนน เดี๋ยวรถเมล์ก็ชนจนได้”
“แต่เธอก็น่ารักดีเหมือนกันนะครับคุณหลิน” อาเหลียงเอ่ยขึ้น
มาเฟียผู้เคร่งขรึมชะงักไม่ตอบเหลือบมองอาเหลียงเห็นอาเหลียงยิ้มให้ เลยทำเก๊กหน้าเข้ม

ตอนพักเที่ยงฤทัยนาคนั่งกินข้าวอยู่กับแดนนี่ที่โรงอาหารไฮสกูล
“ตอนนี้ไอ้แพทริคมันยกเลิกด่านแล้วนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็พ่อชั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว มันก็เลยต้องตามหาพ่อชั้นต่อไป”
“แต่มันคงโกรธน่าดูเลยนะที่รู้ว่าพ่อนายสามารถเอาอาวุธข้ามไปส่งได้สำเร็จ”
“ใช่ เค้าว่ามันโกรธมาก แต่เธอก็ระวังตัวนะ ถ้ามันรู้ว่าเธอเป็นคนขนอาวุธให้พ่อชั้นล่ะก็ เธอไม่เหลือแน่” แดนนี่นึกเป็นห่วง
“มันจำชั้นไม่ได้หรอก ตอนนั้นชั้นใส่หน้ากาก”
“แต่คนอย่างไอ้แพทริคมันไม่มีวันลืมเรื่องเธอหรอก”
“แต่กว่าจะถึงวันนั้นชั้นอาจจะกลับเมืองไทยไปแล้ว”
ฤทัยนาคมองไปหน้าโรงอาหาร เห็นหลินหลานเซ่อมองเข้ามาพอดี เด็กสาวชะงัก แดนนี่มองอย่างสงสัย
“มองอะไร”
แดนนี่หันมองตาม จึงเห็นหลินหลานเซ่อเดินเข้ามาหา
“หวัดดีครับครูใหญ่ ทานข้าวกลางวันด้วยกันมั้ยครับ”
“นายยังอยู่ที่นี่อีกหรือ ชั้นนึกว่านายไปกับพ่อนายแล้วซะอีก”
“ผมจะไปได้ไง ผมต้องเรียนหนังสือ”
“นายแค่มาเรียนบังหน้า เพื่อมาดูลู่ทางส่งของให้พ่อไม่ใช่หรือ” มาเฟียหนุ่มเหน็บ
“แหม ดูครูใหญ่จะไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่นะครับ” แดนนี่กระเซ้า
“ใช่ เพราะจากรายงานของครูประจำชั้น เค้าบอกว่านายไม่สนใจการเรียน แล้วถ้าเทอมนี้นายสอบไม่ได้ถึงเกณฑ์ล่ะก็ ชั้นจะให้นายออก”
หลินหลานเซ่อเดินออกไป ปรายมองมายังฤทัยนาคแวบเดียว ฤทัยนาคยิ้มให้ มองตามไป
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเค้าจะเป็นครูใหญ่ที่ดุจริงๆ นายต้องตั้งใจเรียนหน่อยนะ แดนนี่”
“เธอก็ไปเชื่อ ที่เค้าพูดแบบนี้เค้าไม่ได้สนใจเรื่องการเรียนของชั้นหรอก เค้าไม่ชอบขี้หน้าชั้นต่างหาก”
“แล้วเค้าจะไม่ชอบนายเรื่องอะไร”
“เค้าคงคิดว่าชั้นชอบเธอมั้ง”
“แล้วชั้นไปเกี่ยวอะไรกับเค้า”
“เค้าอาจจะแอบชอบเธอก็ได้”
ฤทัยนาคไม่เชื่อ “บ้า ฟ้าผ่าหมาตายพอดี นายไม่เคยเห็นผู้หญิงของเค้าหรือระดับนางเอกซุปเปอร์สตาร์ทั้งนั้นนะ หน้าตาอย่างชั้นมากสุดก็ได้แค่…บทเสี่ยวเอ้อเสิร์ฟน้ำชา”
“ไม่แน่ เค้าอาจจะเบื่อดาราแล้วชอบแปลกๆ แบบเธอก็ได้” แดนนี่เย้า
“เป็นไปไม่ได้ ชั้นว่าเค้าห่วงเรื่องการเรียนของนายจริงๆ แล้วที่เค้าขู่ก็เพื่อให้นายตั้งใจเรียน เอาล่ะ นายรีบกินข้าวเดี๋ยวชั้นจะติวให้”
แดนนี่มองเพื่อนสาวไทยแล้วส่ายหน้าในความซื่อบื้อของหล่อน

ที่บ้านซานกุ้ย ตอนเย็นๆ หย่งเหวินถือกระเป๋าเงินเดินเข้ามาหาซานกุ้ยที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะในห้องโถงกลางบ้าน
“ขออนุญาตครับคุณพ่อ” มาเฟียชราเงยหน้าขึ้นทัก
“อ้าว หย่งเหวิน”
“นี่ครับเงินค่าคุ้มครองของเดือนนี้
ซานกุ้ยส่งกุญแจให้อย่างไว้ใจ “เอาเข้าเซฟได้เลย”
“คุณพ่อเอาเก็บเองดีกว่ามั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นเชื่อใจแก เพราะในไม่ช้าชั้นก็จะวางมือ แล้วแกก็จะต้องเป็นคนรับมันต่อจากชั้น”
“ขอบคุณครับคุณพ่อ ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวัง”
ไป่หลิงเข้ามาพอดี
“อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะคุณลุง พี่หย่งเหวินทานข้าวค่ะ วันนี้ไป่หลิงทำไก่ขอทานของโปรดของพี่ด้วยนะคะ”
“ขอบใจมากจ้ะ วันนี้พี่จะกินข้าวให้หมดหม้อเลย”
“ขอให้มันจริงเถอะค่ะ ไปค่ะคุณลุง”
“เดี๋ยวผมเก็บเงินแล้วตามไปครับ”
ซานกุ้ยกับไป่หลิงออกไปทางห้องอาหาร หย่งเหวินหันไปอีกทางยิ้มร้ายในแววตาอันชั่วช้า

หย่งเหวินตรงมายังตู้เซฟ หยิบเงินปึกหนึ่งขึ้นมาดูแล้วยัดใส่กระเป๋าสูทด้านใน หยิบเงินปึกที่สองใส่กระเป๋าเสื้อด้านในอีกข้าง แล้วเอาเงินในกระเป๋าเก็บใส่ตู้เซฟปิดประตูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย

สองคนอยู่ที่โต๊ะอาหาร ไป่หลิงหนีบคีบอาหารให้ซานกุ้ย

“นี่ค่ะคุณลุง”
“ขอบใจลูก”
“นี่ซุปไก่ตุ๋นค่ะ”
ไป่หลิงตักซุปแบ่งใส่ถ้วยให้ซานกุ้ย หย่งเหวินเดินเข้ามาสมทบ
“พี่หย่งเหวินมานั่งเลยค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” หย่งเหวินยิ้มซื่อ ลงนั่งข้างไป่หลิง
“นี่ค่ะซุปเห็ดร้อนๆ” ไป่หลิงตักซุปให้หย่งเหวิน “แล้วนี่ค่ะ ไก่ขอทานที่พี่ชอบ”
ซานกุ้ยเหลือบมองสองคนอย่างจับสังเกต
“ขอบใจมากจ้ะ หือม์ หอมน่าทานจัง”
“อย่าลืมนะคะ พี่ต้องทานข้าวให้หมดหม้อ” ไป่หลิงเย้า
“ขืนพี่ทานหมดต้องท้องแตกตายแน่” หย่งเหวินคีบไก่ขอทานมาเข้าปากเคี้ยวกรุบๆ
“อร่อยมั้ยคะ”
“เป็นไก่ขอทานที่อร่อยที่สุดในโลกเลย”
ไป่หลิงยิ้มปลื้มสุดๆ หย่งเหวินยิ้มให้ ซานกุ้ยมองทั้งสองหนุ่มสาว
“หย่งเหวิน”
“ครับคุณพ่อ”
“ปีนี้ไป่หลิงก็อายุยี่สิบแล้ว พ่อเองก็รักไป่หลิงเหมือนลูก พ่ออยากให้เธอสองคนแต่งงานกัน”
ไป่หลิงแปลกใจ “เอ่อ คุณลุงคะ ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ล่ะคะ”
“ลุงคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แล้วก็เห็นว่าหย่งเหวินเป็นคนดีมีความกตัญญูรู้คุณและที่สำคัญเค้ารักหลาน แล้วหลานเองก็รักหย่งเหวินเหมือนกันใช่มั้ย”
ไป่หลิงเขินอาย “เอ่อ...”
ไป่หลิงมองหน้าหย่งเหวินเขม็ง หย่งเหวินอมยิ้ม
“รักค่ะ” ไป่หลิงบอกออกมา
“ในเมื่อเธอสองคนรักกันก็คงไม่ต้องรออะไรอีกต่อไป ลุงเองก็อยากจะมีหลานมาอุ้มไวๆ เพราะบ้านเรามันก็เงียบเหงาเกินไป ถ้ามีเด็กๆมาวิ่งคงทำให้ชีวิตสดชื่น ว่าไง หย่งเหวิน”
หย่งเหวินพูดเอาใจสุดๆ “อย่างที่ผมเรียนให้คุณพ่อทราบ อะไรที่เป็นความประสงค์ของคุณพ่อ ผมก็น้อมรับทุกอย่างครับ”
ซานกุ้ยหัวเราร่า “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ เห็นมั้ยไป่หลิง ว่าหลานโชคดีแค่ไหนที่ได้ผู้ชายอย่างหย่งเหวินเป็นสามี”
ไป่หลิงมองยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจ หย่งเหวินยิ้มให้ไป่หลิงแล้วก้มลงคุกเข่าช้าๆ ต่อหน้าซานกุ้ย
“ผมขอบคุณคุณพ่อสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อเมตตาผม ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวัง”
ซานกุ้ยหัวเราะอย่างสุขใจ “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” ดึงร่างหย่งเหวินขึ้นมากอด ไป่หลิงยิ้มอย่างปลื้มใจ

ขณะเดียวกันวิษณุถูกลูกน้องเพ่ยอิงหิ้วตัวเข้ามาในบ้าน วิษณุโวยลั่น
“นี่พวกลื้อบ้าไปแล้วหรือ รู้รึเปล่าวว่าอั๊วเป็นใคร ปล่อยอั๊วเดี๋ยวนี้นะ ทำอย่างนี้มันไม่ให้เกียรติกันเลยนี่หว่า”
“หุบปาก นั่งลง”
ลูกน้องจับวิษณุโยนลงนั่งเก้าอี้ เพ่ยอิงเดินออกมาพอดี วิษณุโวยไม่หยุด
“คุณเพ่ยอิงเรื่องอะไรให้ลูกน้องไปหิ้วผมมาจากบ่อนเนี่ย”
“ที่บ่อนบอกว่าคุณติดหนี้ห้าแสนแล้วไม่ยอมเลิก”
“อ้าว ผมเสียไปยี่สิบล้านแล้วนะ แสนครึ่งแสนติดหน่อยไม่ได้หรือ ให้โอกาสผมบ้างสิ”
“ผมให้โอกาสคุณเยอะแล้ว คราวนี้คุณต้องตอบแทนผมบ้าง”
“ตอบแทนอะไร” วิษณุงง
“คุณต้องรีบไปหาเงินมาคืนผมสิบล้านด่วน”
“ผมบอกแล้วไงว่าใช้คืนแน่ ไม่ต้องห่วง”
“ผมจะให้เวลาคุณเจ็ดวัน”
“บ้าหรือ เจ็ดวันใครจะไปหาทัน ผมหาไม่ทันหรอก”
“แล้วจะใช้ให้เมื่อไหร่”
“เอาเป็นว่าผมมีเมื่อไหร่ผมจะส่งมาให้ เข้าใจนะ ผมจะรีบกลับไปเล่น”
เพ่ยอิงเอาจริง “เดี๋ยวคุณวิษณุ คุณยังไปไหนไม่ได้ ถ้าคุณไม่เอาเงินมาใช้หนี้ผม”
“คุณนี่พูดภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง ตอนนี้ผมหมดตัวผมยังไม่มีเงินให้คุณหรอก ถ้าอยากให้ผมใช้หนี้ให้ผมยืมอีกสองล้านได้มั้ย ผมจะไปเสี่ยงอีกที”
“ผมบอกแล้วไงว่าจะให้เวลาคุณเจ็ดวันถ้าคุณหาเงินมาใช้ผมไม่ได้ลูกสาวคุณไม่ได้กลับเมืองไทยแน่”
“อะไรนะ ลูกสาวผมไม่เกี่ยวนะ อย่ามาขู่ผมเลย ผมไม่กลัวหรอก”
วิษณุไม่รู้ว่าลูกสาววัยใสอยู่ที่ระเบียงชั้นบน ถูกลูกน้องเพ่ยอิงล็อคตัวไว้ มีนาตะโกนเรียก
“พ่อ พ่อคะ ช่วยหนูด้วย”
“มีนา” วิษณุจะวิ่งขึ้นไปหาลูกสาว ถูกลูกน้องเพ่ยอิงจับตัวไว้
“นี่เรื่องอะไรมาจับลูกสาวผมไว้เนี่ย”
“อีกเจ็ดวันถ้าคุณไม่ได้เงิน คุณไม่ได้ลูกสาวคืน”
“พ่อ ช่วยหนูด้วย”
“มีนา มีนาลูกพ่อ คุณเพ่ยอิงปล่อยลูกสาวผม”
เพ่ยอิงขู่ “แล้วถ้าคุณแจ้งตำรวจ คุณจะไม่เจอลูกสาวอีกตลอดทั้งชีวิต”
ลูกน้องดึงมีนาออกไปอีกห้อง มีนาร้องเรียกพ่อ
“ปล่อยผม”

ลูกน้องด้านล่างดึงวิษณุออกไป เพ่ยอิงมองตามแล้วมองกลับไปที่ห้องขังตัวมีนา

ประตูห้องที่ขังมีนาเปิดเข้ามา เด็กสาววิ่งถลาไปที่ประตู

“พ่อ”
มีนาชะงักผงะถอยหลัง เป็นเพ่ยอิงที่เดินเข้ามา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงจับตัวชั้นมา พ่อชั้นล่ะ พ่ออยู่ไหน ชั้นจะไปหาพ่อ”
มีนาวิ่งถลาลิ่วจะออกไป เพ่ยอิงคว้าตัวกอดไว้
“ปล่อยชั้นนะ ปล่อย” มีนาดิ้นรนเป็นการใหญ่
เพ่ยอิงโมโหดึงตัวมีนาเหวี่ยงลงไปที่เตียง มีนาผวามองอย่างหวาดกลัว
“นี่คุณจะทำอะไรชั้น”
“ตอนนี้ยังไม่ทำ แต่ถ้าอีกเจ็ดวันพ่อเธอหาเงินใช้หนี้ชั้นไม่ได้ ชั้นจะทำแน่”
“ไม่นะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
“ไม่มีใครได้ยินเธอหรอก ร้องไปเดี๋ยวก็เสียงแหบเปล่าๆ”
เพ่ยอิงเดินเข้าหา มีนาชะงักถอยกรูด เพ่ยอิงเดินเข้ามาจนใกล้ มีนาถอยหนีชิดผนังเตียง เพ่ยอิงหยุดมอง
“เธอนี่สวยจริงๆ นะ”
มีนากลัวสุดขีด “อย่าทำอะไรชั้นนะ”
“ถ้าเธอไม่อยากให้ชั้นทำ เธอก็ต้องภาวนาให้พ่อเธอหาเงินมาใช้หนี้ชั้นให้ได้แล้วกัน”
เพ่ยอิงหันเดินออก มีนามองตาม เพ่ยอิงไปหยุดที่ประตู หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ท่าทีกรุ้มกริ่ม ก่อนจะหันเดินออก
ปล่อยมีนาร้องไห้สะอื้นอยู่ในห้องเพียงลำพัง
“พ่อ ช่วยหนูด้วย”

ขณะที่เพ่ยอิงเดินออกมาจากห้อง เจอป้าเหมยเข้าพอดี
“ป้าเหมย”
“ว่าไงคะ คุณเพ่ยอิง”
“จัดอาหารอย่างดีแล้วก็ดูแลน้องผู้หญิงด้วยนะ”
“แล้วทำไมต้องเอาเด็กผู้หญิงมาขังด้วยคะ สงสารเด็ก เค้าไม่รู้เรื่องด้วยนะคะ” ป้าเหมยเตือน
“ถ้าผมไม่เอามาขังพ่อเค้าจะหาเงินมาใช้หนี้เรางั้นหรือ ป้าเหมย มีหน้าที่คอยดูแลให้ดีแล้วกัน คนนี้สวยนะ ชั้นชอบ”
เพ่ยอิงเดินออก ป้าเหมยมองค้อนควัก ท่าทีน่าขัน
“ฮื้อ คุณเพ่ยอิงนี่เจ้าชู้จริงๆ เห็นผู้หญิงสวยไม่ได้”

มีนาเดินไปเดินมามองกระจกพยายามแงะดูหาทางจะหนี เดินไปบิดลูกบิดประตูเปิดไม่ได้ พอมองซ้ายขวาเจอเศษไม้เหมือนตะเกียบดึงออกมางัดประตู ตะเกียบหัก
“นี่เราไม่มีทางหนีได้เลยหรือเนี่ย”
ประตูห้องเปิดเข้ามา มีนารีบเอาของซ่อนด้านหลัง เห็นป้าเหมยถือถาดอาหารเข้ามา
“อาหารกลางวันจ้ะ”
มีนามองอย่างไม่ไว้ใจ แม่บ้านผู้อารีดูออก
“มากินอาหารก่อนเถอะ หนูจะต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันนะ”
“ไม่ ชั้นไม่อยู่ ชั้นจะไปหาพ่อ”
มีนาวิ่งออกไป เจอลูกน้องเพ่ยอิงยืนขวางประตู มีนาชะงัก
“อย่าคิดหนีเลย เชื่อป้าเถอะ ที่นี่มีคนคุมเธออยู่ตลอดเวลา มากินข้าวซะ อีกไม่กี่วันพ่อหนูคงหาเงินมาไถ่ตัวหนูได้แล้วล่ะ”
มีนามองป้าเหมยแล้วร้องไห้
“หนูไม่อยากอยู่ที่นี่ หนูอยากกลับบ้าน ฮือฮือ พ่อช่วยหนูด้วย”
ป้าเหมยเดินเข้ามากอด
“อย่าร้องไห้ไปเลย ไม่ต้องกลัวหรอก คุณเพ่ยอิงเค้าไม่ทำอะไรหนูหรอกจ้ะ”
“แต่เค้าบอกว่าถ้าเจ็ดวันพ่อหนูไม่เอาเงินมาให้เค้า เค้าจะทำอะไรหนู ฮือฮือฮือ”
“เค้าก็พูดไปอย่างงั้นล่ะ อย่าร้องนะ กินข้าวซะเดี๋ยวป้ามา”
ป้าเหมยลุกเดินออกไป มีนามองตามยังร้องไห้ไม่ยอมหยุด

ฤทัยนาคมุทำงานเพื่อหาเงินใช้หนี้อย่างไม่ย่อท้อ เช้าวันนี้ปั่นจักรยานส่งของให้ร้านค้าในอพาร์ทเม้นท์ ยกของส่งให้จนเสร็จ เจ้าของร้านส่งเงินค่าแรงให้
จากนั้นไปส่งของตามสั่งตามในอพาร์ทเมนท์ต่อ โดยยกของไปส่งขึ้นบันไดอพาร์ทเมนท์อย่างไม่รู้เหนื่อย ลูกค้าส่งเงินให้

ที่ไซต์ก่อสร้างวันหนึ่ง ฤทัยนาคเริ่มงานทั้งผูกเหล็ก ยกปูน เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ท้อ ปาดเหงื่อแล้วทำงานต่อ พอตกตอนเย็นหัวหน้าคนงานส่งเงินให้ ฤทัยนาครับเงินเก็บใส่กระเป๋า หน้าตาเบิกบาน
ถัดมาอีกวัน ฤทัยนาคยกถาดเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะในโรงอาหารโรงเรียน เสร็จแล้วเดินเก็บชามยกจานตั้งสูงเดินมาทางหลังร้าน
ขณะที่ฤทัยนาคล้างจานอยู่ แดนนี่เข้ามาชวนไปเที่ยว แต่ถูกหล่อนส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่าต้องทำงาน

วันต่อมา ฤทัยนาควางเงินลงบนโต๊ะ เป็นแบงค์เศษรวมกันถึงสองพันหลินหลานเซ่อมองเงินแล้วมองหน้าเด็กสาวนิ่งๆ ฤทัยนาคยิ้มให้
“แล้วนี่ชั้นซื้อทาร์ตไข่มาฝากนายด้วย เจ้าดังของที่นี่เชียวนะ”
“ทำไมอาทิตย์นี้ใช้หนี้ตั้งสองพัน ไปเอาเงินมาจากไหน”
“ก็ชั้นทำงานหนักน่ะสิ แล้วชั้นก็บอกนายไปแล้วว่าชั้นจะต้องใช้หนี้นายให้หมดก่อนที่นายจะเจอตัวพี่สาวชั้นให้ได้”
“แต่ชั้นว่าเธอไม่ทันแล้ว”
ฤทัยนาคตกใจ “หา นี่นายเจอพี่นันแล้วหรือ”
“ใช่”
“แล้วพี่นันอยู่ไหน”
“เธอหนีไปได้อีก”
“ชั้นขอร้องล่ะนะ เลิกตามจับพี่สาวชั้นเถอะ ชั้นก็พยายามใช้หนี้นายตลอด ไม่เห็นหรือ”
“กว่าเธอจะใช้หนี้ครบยี่สิบล้านถึงตอนนั้นชั้นอาจจะตายไปแล้วก็ได้” มาเฟียหนุ่มแดกดัน
“นายนี่มันหน้าเลือดจริงๆ ไม่มีมนุษยธรรมเลยหรือไง”
หลานเซ่อย้อน “แล้วพ่อเธอล่ะ เอาเงินชั้นไปตั้งยี่สิบล้าน เค้าไม่เห็นนึกถึงชั้นเลย” ฤทัยนาคอึ้งไป “อ้าว ทำไมเงียบไปล่ะ”
“ก็นั่นมันพ่อ แต่พี่สาวชั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนี่ ความจริงนายน่าจะจับพ่อมาตัดนิ้วมากกว่า”
“จับพ่อเธอมามีประโยชน์อะไร พ่อเธอแก่แล้ว ตายไปก็เหมือนผักเหมือนปลา สู้พี่สาวเธอไม่ได้ทั้งสาวทั้งสวย”
“นายนี่มันเป็นบ้ากามจริงๆ” ฤทัยนาคโมโห
“นี่ ชั้นเป็นผู้ปกครองเธอนะแล้วก็เป็นเจ้าหนี้เธอด้วย จะพูดจาอะไรควรระวังปากเธอด้วย”
ฤทัยนาคมองหลินหลานเซ่อเซ็งๆ แล้วหันหลังเดินออก ไปหยุดหน้าประตูแล้วชะงักเดินย้อนกลับมาอีก
“ชั้นอยากถามอะไรนายอีกซักข้อ”
“อะไร”
“นายคิดจะลดหย่อนหนี้ให้ชั้นบ้างมั้ย”
“ไม่ นี่ชั้นยังไม่ได้บวกดอกเบี้ยที่ชั้นเสียเวลานะ”
“นายนี่มันเป็นมาเฟียหน้าเลือดจริงๆ”

ฤทัยนาคบ่นบอกเน้นคำก่อนจะเดินออก หลินหลานเซ่อมองตามอมยิ้มขำๆ แล้วหยิบทาร์ตไข่ขึ้นมากิน อย่างอารมณ์ดี

อ่านต่อหน้า 2

คิวบิก ตอนที่ 4 (ต่อ)

ที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง เช้าวันนี้ เหม่ยจิงโพสต์ท่าถ่ายแฟชั่นอยู่ในฉากของสตู แสงแฟลชพรึบพรับเป็นระลอก แลเห็นช่างภาพกำลังถ่ายแบบอย่างรู้งานกัน

“สวยครับ ดี...ยิ้มหน่อยครับคุณเหม่ยจิง
เหม่ยจิงยิ้ม
ช่างภาพบอก “สวยมากครับ” เสียงแสงแฟลชดังพรึบ
“หมุนหน่อยครับ สวยครับ” ช่างภาพหันไปบอกทีมงาน “เอาพัดลมเป่าเข้ามาหน่อย”

จงซินยืนมอง เหม่ยจิงมองกล้อง เปลี่ยนท่าโพสต์ไปเรื่อยอย่างแคล่วคล่อง
“อีกรูปนะครับ”
เหม่ยจิงยิ้มกับกล้อง
“โอเคครับคุณเหม่ยจิง ขอเซ็ตต่อไปเลยครับ”
เหม่ยจิงกำชับช่างภาพ “นี่หยวนเปียว อย่าลืมรีทัชแก้มซ้ายให้ชั้นด้วยล่ะ แล้วหัวไหล่ด้านซ้ายเอาให้เนียน”
“ครับคุณเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงเดินออก มีคอสตูมถือเสื้อคลุมเดินนำ “ทางนี้ค่ะคุณเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงเดินก้าวออกมาเห็นจงซินยืนรอตั้งแต่เมใอไหร่ไม่รู้ ซุปตาร์สาวชะงัก
“อ้าวจงซิน มีธุระอะไรหรือ คุณหลินให้มาตามชั้นใช่มั้ย”
“ไม่ใช่” จงซินบอกเสียงเรียบ
เหม่ยจิงฉุน “ไม่ใช่ แล้วมาทำไม”
“ผมมีธุระจะคุยกับคุณ”
“หลิว ขอเสื้อคลุมชั้นหน่อย ไปรอที่ห้องแต่งตัวเดี๋ยวชั้นตามไป”
“ค่ะ” คอสตูมเดินออกไป เหม่ยจิงเดินไปที่มุมหนึ่งลงนั่งเก้าอี้
“มีอะไรก็ว่ามา ชั้นต้องรีบไปเปลี่ยนชุด”
จงซินเข้าเรื่อง “ทำไมคุณถึงไม่ไปหาคุณหลิน”
“ก็เค้าไม่อยากเจอชั้นนี่ ชั้นไม่หน้าด้านพอที่จะไปหาเค้าหรอก”
“แต่คุณอย่าลืมนะ ว่าเค้าจ่ายเงินค่าจ้างคุณอยู่ ผมว่าคุณควรจะกลับไปทำหน้าที่ตัวเอง”
“นี่ จงซิน ชั้นไม่ใช่ผู้หญิงหากินนะ”
“ก็เพราะคุณไม่ใช่ผู้หญิงหากินไง คุณถึงควรจะกลับไปทำงานตามที่เราทำสัญญากันไว้”
เหม่ยจิงมองหน้าจงซินยิ้มแสยะ
“คุณนี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับหลินหลานเซ่อหรอกนะ มองทุกอย่างเป็นธุรกิจ แล้วถ้าชั้นจะขอเลิกสัญญาตอนนี้ได้มั้ย”
“ได้ แต่คุณแน่ใจนะ ว่าคุณจะรับได้ถ้าคุณหลินเค้าไม่ส่งเสริมคุณและหนังเรื่องต่อไป รวมทั้งงานเดินแบบ อีเว้นท์ ทั้งหมดของคุณจะถูกระงับหมด”
ฟางเหม่ยจิงนิ่งอึ้ง ไม่สามารถปฏิเสธได้
“ผมว่าคุณกลับไปทำหน้าที่ของคุณตามเดิมเถอะ มันอาจจะเจ็บปวดบ้าง แต่มันก็ยังดีกว่าที่คุณจะตกงานและไม่มีใครรู้จักคุณอีกต่อไป”
เหม่ยจิงมองนิ่งๆ น้ำตาคลอ กัดฟันกรอด
“ผมรู้ว่าคุณเสียใจที่คุณหลินไม่รักคุณ แต่การได้อยู่ใกล้เค้า อย่างน้อยคุณก็มีความสุขไม่ใช่หรือ”
เหม่ยจิงเมินหน้าหันไปปาดน้ำตา จงซินมองจ้องบอกต่อ
“การที่เรารักใครซักคน มันอาจจะไม่จำเป็นต้องได้รับความรักตอบหรอกเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงหันมามองหน้าจงซิน เห็นแววตาเขาเหมือนมีความในใจ จงซินลุกขึ้น ส่งกล่องของขวัญให้
“คุณหลินตั้งใจซื้อให้คุณ รับไว้เถอะ”
เหม่ยจิงมองกล่องของขวัญก่อนจะรับไป จงซินหันตัวจะเดินออก เหม่ยจิงเรียกไว้
“จงซิน” จงซินชะงัก เหม่ยจิงเดินเข้ามาหา “ขอบใจนะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็...ที่คุณพูดเมื่อกี้”
จงซินมองนิ่งไม่ตอบอะไร ก่อนจะหันหลังเดินออกไป เหม่ยจิงเปิดกล่องของขวัญเห็นแหวนมรกต
หยิบมาดูแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ

จงซินเดินมาหน้าสตูฯ หยุดพลางหันมองกลับไปมองด้านหลัง แล้วเหลียวกลับมาพึมพำกับตัวเอง
“หวังว่าเธอคงชอบนะเหม่ยจิง

จงซินหันหน้ากลับแล้วเดินออกไป

เช้าวันนี้หลินหลานเซ่อเข้าอาคารฉายหงส์กรุ๊ปแต่เช้า เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เจอฟางเหม่ยจิงนั่งรออยู่ก็ให้แปลกใจ

“อ้าว เหม่ยจิง ไปไหนมา”
“ก็ตั้งใจมาหาคุณน่ะสิคะ ไม่เจอคุณหลายวันคิดถึงคุณจังเลย แล้วคุณล่ะคิดถึงเหม่ยจิงบ้างมั้ย”
หลินหลานเซ่อพยักหน้านิดๆ “อืมม์”
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับของขวัญ” เหม่ยจิงหอมแก้มมาเฟียหนุ่มฟอดหนึ่ง
“ชอบมั้ย” เขาถามนิ่งๆ
“ชอบสิคะ อะไรที่คุณซื้อให้มันมีค่าและมีความหมายกับเหม่ยจิงทุกชิ้น ทำไมถึงรู้ล่ะคะว่าเหม่ยจิงอยากได้มรกต”
“ต้องขอบคุณจงซิน จงซินเค้าเป็นคนเลือกแหวนวงนี้”
เหม่ยจิงชะงัก “หมายความว่าคุณไม่ได้เป็นคนเลือกเองหรือคะ”
“ชั้นไม่มีเวลาก็เลยฝากจงซินซื้อ นั่นไง เค้ามาแล้ว ขอบคุณเค้าสิ”
จงซินเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร
“สวัสดีครับคุณเหม่ยจิง”
“เหม่ยจิงเค้าชอบแหวนที่นายเลือกให้” ผู้เป็นเจ้านายบอก
จงซินมองหน้าเหม่ยจิงแล้วฝืนยิ้ม เหม่ยจิงข่มอารมณ์ ฝืนยิ้มเช่นกัน
“ขอบใจนะจงซิน” นางแบบซุปตาร์สาวสวยหันมาหาหลินหลานเซ่อ “ถึงจงซินจะเป็นคนซื้อ แต่คุณ
เป็นคนให้ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
เหม่ยจิงหอมแก้มหลินหลานเซ่ออีก จงซินมอง
“ถ้าคุณหลินว่างช่วยอ่านรายละเอียดการประชุมด้วยนะครับ”
จงซินเดินออก เหม่ยจิงมองตาม
“จงซินนี่ดูเค้ารักและซื่อสัตย์กับคุณมากนะคะ ถ้าเป็นผู้หญิงเหม่ยจิงต้องหึงเค้าแน่ ๆ”
หลินหลานเซ่อมองตามจงซินแล้วยิ้มบางๆ
“ไม่แน่นะ บางทีชั้นอาจจะชอบเค้าก็ได้”
เหม่ยจิงค้อนควักพอน่ารัก กิริยากระเง้ากระงอด “คุณน่ะ อย่าพูดอย่างนี้สิคะ”

ในย่านการค้า แลเห็นผู้คนเดินข้ามถนนขวักไขว่ ร้านค้าสวยๆ มีคนจับจ่ายซื้อของอยู่หน้าร้าน
ฤทัยนาคอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะละแวกนั้น กำลังกดโทรออก พลิกหน้าหันออกมาด้านนอก รอฟังเสียงปลายสาย แต่ไม่มีสัญญาณ
ฤทัยนาคกดเบอร์ใหม่ สัญญาณดัง รอสาย เด็กสาวมองไปยังแดนนี่ที่รออยู่ด้วย แดนนี่เองก็มองมาเห็นฤทัยนาควางหูโทรศัพท์ลง
“เป็นไง”
“ติดต่อใครไม่ได้ซักคน ทั้งพ่อทั้งพี่นัน”
“ชั้นว่าป่านนี้พ่อเธอกับพี่สาวถูกคนของหลินหลานเซ่อฆ่าตายไปแล้ว” แดนนี่ว่า
“พูดบ้าๆ”
“จริงนะ คนอย่าหลินหลานเซ่อมันไม่ยอมเสียเงินฟรีหรอก”
“ถึงยังไงเค้าไม่มีวันฆ่าพี่นันหรอก เพราะเค้าอยากได้ตัวพี่นัน”
ฤทัยนาคกระโดดลงข้ามทางเดิน แดนนี่เดินตาม คุยกันมา
“ถามจริงๆ ที่พ่อเธอทำอย่างนี้กับเธอ เธอไม่โกรธเค้าเลยหรือ”
“ตอนแรกก็โกรธเหมือนกัน แต่มาคิดดูอีกที ให้ชั้นมาก็ยังดีกว่าให้พี่นันมา ถ้าพี่นันมาป่านนี้คงตกเป็นนางบำเรอของหลินหลานเซ่อแล้ว”
“เธอนี่รักพี่สาวจริงๆ แต่ชั้นว่าพี่เธอเค้าไม่รักเธอหรอก” แดนนี่ฟังแล้วปลื้ม
“รักสิ ทำไมจะไม่รัก”
“ถ้าเค้ารัก ทำไมไม่ตามมาช่วยเธอหรือส่งคนมาช่วยเธอกลับไป”
“พี่นันเค้าไม่เหมือนชั้น เค้าบอบบางนุ่มนิ่ม ขนาดมดยังไม่กล้าบี้เลย”
“เธอนี่น้ำใจประเสริฐจริงๆ แล้วเธอคิดว่าเธอจะทำงานใช้หนี้หลินหลานเซ่อได้หมดจริงหรือ” เด็กหนุ่มถาม
“หมดสิ ถ้าไม่หมด เค้าก็ไม่ปล่อยชั้นกลับไปหรอก”
“เออ แล้วถ้าหลินหลานเซ่อมันอยากเอาเธอเป็นเมียแทนพี่สาวเธอจะทำไง”
“ไม่มีทางหรอก ชั้นไม่ได้สวยเหมือนพี่นัน”
“ก็ชั้นบอกแล้วไง หลินหลานเซ่ออาจจะชอบแปลกๆ แบบเธอก็ได้”
ฤทัยนาคชักรำคาญ “เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีชั้นไม่ชอบ แล้วมันก็ไม่มีวันเป็นไปได้ด้วยที่คนอย่างหลินหลานเซ่อจะชอบชั้น เข้าใจปะ”

ฤทัยนาคเดินนำออกไป แดนนี่มองตามพร้อมกับยิ้มเยาะ ก่อนจะตามไปติดๆ

เหตุการณ์ที่เมืองไทย รถสองแถวแล่นมาจอด เห็นขาใครคนหนึ่งก้าวลงมา ที่แท้เป็นยุทธพงษ์ในชุดชาวบ้านเสื้อหม้อฮ่อม ติดหนวดใส่แว่นสวมหมวกถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อม นันทกาก้าวลงตามมาในชุดผ้าถุง มีกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กมาด้วย

“ทางนี้ลูก”
ยุทธพงษ์พานันทกาเดินเข้าไปในสวน กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง

ยุทธพงษ์พานันทกาเดินไปตามร่องสวน นันทกาเดินตามมองบรรยากาศอย่างไม่คุ้นเท้าสะดุดจะล้ม
“โอ๊ยพ่อ” ยุทธพงษ์คว้าแขนไว้ทัน
“เดินระวังสิลูก”
ยุทธพงษ์จูงนันทกาเดินเข้าไปในสวน มาหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง
“หงวน ... หงวนอยู่รึเปล่า”
สงวนชายชาวบ้านโผล่หน้าลงมา
“หวัดดีครับเจ้านาย”
“เออ หวัดดี”
“เชิญบนบ้านก่อนเลยครับ มาครับคุณหนูผมช่วยยกของ”
“ขอบคุณค่ะ”
สงวนช่วยถือกระเป๋าขึ้นบ้านไป นันทกามองรอบตัวอย่างระแวง

ยุทธพงษ์ และนันทกาเดินขึ้นมาบนบ้าน สงวนถามขึ้น
“อยู่ได้มั้ยครับเจ้านาย”
“สบาย นัน นี่สงวนเคยอยู่กับพ่อสมัยก่อน”
นันทกาทักทาย “หวัดดีค่ะ”
“ผมเห็นคุณหนูตั้งแต่เด็กๆ น่ะครับ”
“หงวน เอ็งไม่ต้องเรียกข้าว่าเจ้านายนะ ถ้าใครถามก็บอกว่าเป็นญาติมาจากปักษ์ใต้”
“เข้าใจครับนาย อ้อโทษครับ”
“เอ็งจำไว้นะ ถ้าใครถามหาข้า เอ็งต้องบอกไม่รู้จักนะ เข้าใจมั้ย”
“ครับ รับรอง เจ้านายอยากได้อะไรก็บอกผมแล้วกัน”
“เออ ขอบใจ” สงวนออกไป
“พ่อ ทำไมเราต้องหนีมาไกลขนาดนี้ด้วย”
“ก็พ่อบอกแล้วไงว่าจำเป็น ถ้าเราไม่หนีมาที่นี่ พวกมันก็ต้องตามหาเราเจอ”
“แล้วเราต้องอยู่อีกนานมั้ย”
“ก็คงอีกซักระยะ”
“พ่อนะพ่อ พ่อไม่น่าสร้างเรื่องเลย หนูกับน้องต้องมารับกรรมไปกับพ่อด้วย”
“ที่พ่อทำทุกอย่างก็เพื่อลูกนะ”
“เพื่อหนูงั้นหรือ ถ้าเพื่อหนู หนูก็คงไม่ต้องลำบากอย่างนี้หรอก”
“เอาน่ะ อย่าบ่นเลย เก็บข้าวของเข้าห้องไป”

นันทกายกกระเป๋าเดินเข้าไปห้องด้านใน ยุทธพงษ์มองรอบตัว เผยให้เห็นว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่กลางเขาบนดอยสูง

วันหนึ่ง ห้องโถง ในคฤหาสน์ของซานกุ้ย ถูกใช้เป็นสถานที่แต่งงานระหว่าง ไป่หลิง กับ หลางหย่งเหวิน พิธีจัดขึ้นตามประเพณีจีน
แขกในงานซึ่งล้วนเป็นผู้คนในแวดวงมาเฟีย และหุ้นส่วนในเครือ ฉายหงส์กรุ๊ป ทุกคนยืนปรบมือร่วมยินดี ทางเดินในงานแหวกออก เผยให้เห็นหย่งเหวินกับไป่หลิงนั่งคุกเข่ากับพื้น ซานกุ้ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไป่หลิงรินน้ำชาให้ ซานกุ้ยส่งซองแดงให้ พร้อมกับอำนวยพร สีหน้ามาเฟียชราเปล่งสุขเต็มที่ และตลอดเวลา
“ขอให้เธอทั้งสองครองรักกันจนแก่เฒ่า
หย่งเหวินและไป่หลิงก้มรับคำ
“ไป่หลิง ในฐานะภรรยาหลานมีหน้าที่ดูแลปรนนิบัติสามี หลานต้องอดทนหนักแน่นและคอยเป็นกำลังใจให้กับสามี”
“ค่ะคุณลุง หนูจะทำตามที่คุณลุงบอกทุกประการ”
ซานกุ้ยมองมายังบุตรบุญธรรม “หย่งเหวิน”
“ครับคุณพ่อ”
“ในฐานะสามี เธอต้องรักและซื่อสัตย์ต่อภรรยา หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน”
“ครับคุณพ่อ ผมจะรักไป่หลิงให้เหมือนกับที่คุณพ่อรัก”
แขกในงานปรบมือ หลินหลานเซ่อ เหม่ยจิง และจงซินปรบมือ เพ่ยอิงปรบมือ
“เอาล่ะลุกขึ้น” ซานกุ้ยจับทั้งสองลุกขึ้นยืน “ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาเป็นสักขีพยานในวันแต่งงานของลูกชายผม”

ทุกคนปรบมือ หย่งเหวินกับไป่หลิงมองหน้ากันอย่างปลาบปลื้ม

หลินหลานเซ่อยืนอยู่กับจงซินและเหม่ยจิงปรบมือ เพ่ยอิงยืนอยู่อิงมุมปรบมือเช่นกัน  หลางหย่งเหวินเดินเข้ามาหากลุ่มหลินหลานเซ่อ

“ขอบคุณมากครับคุณหลินที่ให้เกียรติมางานแต่งงานผม”
“ดีใจด้วยนะหย่งเหวิน” หลานเซ่อบอก
“ขอบคุณนะคะคุณหลินพี่เหม่ยจิงที่อุตส่าห์มา” ไป่หลิงยิ้มชื่น
“ต้องมาสิจ๊ะ พี่เองก็รักน้องไป่หลิงเหมือนน้องสาว”
หย่งเหวินหันมาทางจงซิน “ขอบคุณนะจงซิน”
จงซินยิ้มบอก “ยินดีด้วยครับ”
หย่งเหวินกับไป่หลิงเดินเข้าไปหาเพ่ยอิง
“ขอบคุณมากนะครับคุณเพ่ยอิง”
“ขอบคุณนะคะคุณเพ่ยอิง”
เพ่ยอิงยิ้มยวน “ขอให้มีลูกเร็วๆแล้วกัน หวังว่านายคงทำเป็นนะ หย่งเหวิน แต่ถ้าอยากให้ชั้นช่วยล่ะก็ โทรบอกได้ตลอดเวลา ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
หย่งเหวินฝืนยิ้ม ควบคุมความไม่พอใจ “คงไม่ต้องหรอกครับ”
แขกในงานปรบมือ หย่งเหวินและไป่หลิงยกมือไหว้ สีหน้ามังกรชราซานกุ้ยยิ้มปีติ

งานเลี้ยงจบลง เพ่ยอิงเดินมายืนรอรถอยู่กับลูกน้อง 2 คนที่หน้าบ้าน เหม่ยจิงเดินออกมากับหลินหลานเซ่อ มีลูกน้อง 2 คนยืนรอ เหม่ยจิงเห็นเพ่ยอิง ก็ชะงัก
“มีอะไร” หลินหลานเซ่อแปลกใจ
“เปล่าค่ะ”
“มีปัญหากับเพ่ยอิงหรือ”
“ไม่มีค่ะ เพียงแต่ไม่ชอบวิธีพูดของเค้า”
“ก็อย่าไปฟัง ถือว่าหมาเห่าแล้วกัน”
เพ่ยอิงหันมามอง “อ้าว ไม่อยู่ส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอก่อนหรือ”
“ชั้นมีงานต้องทำ”
“ว่าไง เหม่ยจิง ไม่อยากแต่งงานกับเค้าบ้างหรือ”
เหม่ยจิงนิ่งไม่ตอบ
เพ่ยอิงเหน็บ “หรือว่าหาเจ้าบ่าวไม่ได้”
“ไม่ใช่ธุระของคุณ”
“แค่จะบอกเธอว่าถ้าหาไม่ได้ ชั้นยังว่างอยู่นะ”
หลินหลานเซ่อไม่พอใจ “เพ่ยอิง ชั้นว่าแกควรจะให้เกียรติเหม่ยจิงบ้างนะ แล้วเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่แกจะมาพูดล้อเล่น”
“ไม่ยักรู้ว่านายแคร์ผู้หญิงหากิน”
หลินหลานเซ่อต่อยโครมเข้าที่หน้าเพ่ยอิงเต็มแรง เพ่ยอิงเซ ผงะหงายไป ลูกน้องเพ่ยอิงขยับ จงซินคว้าตะปบมือลูกน้องเพ่ยอิงไว้
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
เพ่ยอิงโกรธหันมาจะต่อยกลับ ถูกหลินหลานเซ่อคว้ามือไว้แล้วซัดเข้าที่ท้องเต็มๆ ลูกน้องเพ่ยอิงอีกคนจะขยับ ลูกน้องหลินอีกคนตะปบมือ
“เฮ้ย อยู่เฉยๆ”
หลินหลานเซ่อซัดเข้าที่หน้าเพ่ยอิงแล้วชกท้องอีกหมัด ร่างเพ่ยอิงทรุดลง หลินหลานเซ่อเอาเท้าเหยียบหน้าอกเพ่ยอิงบอกเสียงเข้ม ดุ จริงจัง
“ถ้าชั้นไม่เห็นว่าวันนี้เป็นงานมงคลล่ะก็ชั้นจะยิงปากแกให้ทะลุเลย”
รถแล่นเข้ามาจอดเทียบ หลินหลานเซ่อกับเหม่ยจิงขึ้นรถไป พวกลูกน้องเข้ามาพยุงเพ่ยอิง
“ปล่อย” เพ่ยอิงสะบัดแขนลูกน้องออก “ไอ้หลินหลานเซ่อ มึงชกกูสองครั้งแล้วนะ ถ้าครั้งที่สามกูจะไม่ไว้ชีวิตมึง”
เพ่ยอิงตะโกนด่าตามหลังอย่างโกรธ
หย่งเหวินเดินออกมามุมหนึ่งทันเห็นเหตุการณ์
แต่ซานกุ้ยไม่รู้เรื่อง “มีเรื่องอะไรกัน”
หย่งเหวิน “คุณเพ่ยอิงถูกคุณหลินต่อยครับ”
“ดี มันปากดีนักให้เลือดปากมันออกบ้าง”
ซานกุ้ยว่าแล้วเดิน หลางหย่งเหวินมองแล้วยิ้มแสยะ

รถแล่นมาตามทาง เหม่ยจิงหันมาพูดกับหลินหลานเซ่อ ท่าทีเป็นกังวล
“เหม่ยจิงว่าคุณต้องระวังเพ่ยอิงนะคะ เค้าต้องหาโอกาสทำร้ายคุณแน่”
“ช่างมัน ถ้ามันไม่กลัวตาย”
“แต่เค้าอาจจะไม่เล่นงานคุณซึ่งๆ หน้านะคะ เค้าอาจจะลอบกัดคุณ”

หลินหลานเซ่อนิ่งขึงไม่ยอมตอบ สีหน้าเคร่งขรึมอันหล่อเหลา ครุ่นคิดตามคำพูดเหม่ยจิง

อ่านต่อหน้า 3

คิวบิก ตอนที่ 4 (ต่อ)

ไม่นานนักรถแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารฉายหงส์กรุ๊ป หลินหลานเซ่อลงมากับเหม่ยจิง หลินหลานเซ่อหันมาบอกอาเหลียง

“แกกลับได้เลย อาเหลียง”
“ไม่ให้ผมรอส่งคุณเหม่ยจิงหรือครับ”
“ไม่ต้อง คืนนี้เค้าจะค้างที่นี่”
อาเหลียงถาม “แล้วคุณหลินไม่ออกไปทานข้าวข้างนอกหรือครับ”
“ไม่ ชั้นจะกินข้างบนเลย”
“ครับ”
“พรุ่งนี้มาเช้านะชั้นมีนัดประชุมแต่เช้า”
“ครับ”
สองเดินขึ้นตึกไป อาเหลียงจะขึ้นรถเสียงโทรศัพท์มือถือดัง
“ฮัลโหล อ้าวหวัดดีครับพี่ฉินฝู มีอะไรให้น้องรับใช้หรือครับ”
ชายชื่อฉินฝูกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องเช่าไม่รู้สถานที่
“มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเอ็งหน่อย”
“เรื่องสำคัญอะไร”
“เออ แวะมาคุยกันหน่อย ว่างรึเปล่า”
“ได้พี่ ชั้นเลิกงานพอดี”
“งั้นมาเจอกับพี่ที่โกดังสิบเอ็ดท่าเรือวิคตอเรีย”
“ได้ เดี๋ยวชั้นไป”
อาเหลียงขึ้นรถขับเลี้ยวออกไป

ที่โกดังในท่าเรือวิคตอเรีย ตอนเย็น อาเหลียงเปิดประตูโกดังเข้ามา มองซ้ายขวาเห็นในโกดังมืดสลัวไม่มีใคร อาเหลียงหยุดมองรอบตัว ฉินฝู ชายวัยสามสิบกว่า หนึ่งในแก๊งมาเฟีย ยืนอยู่ในเงามืดด้านหลัง
“ทางนี้ อาเหลียง”
อาเหลียงหันมามองทางเสียง เห็นฉินฝูเดินออกมาจากเงามืด
“มีธุระสำคัญอะไรหรือพี่ฉินฝู”
“นั่งสิ” อาเหลียงลงนั่ง ฉินฝูนั่งลงฝั่งตรงข้าม “อีกสองวันหลินหลานเซ่อจะมีประชุมที่ภัตตาคารเมืองใหม่”
“แล้วทำไมหรือ” อาเหลียงงง
“ไม่มีอะไรมาก แค่พอเอ็งขับรถถึงด่านเก็บเงินเฉินตู เอ็งก็เปิดประตูรถ แล้ววิ่งหนีหายไป”
อาเหลียงไม่พอใจมาก ลุกขึ้นอย่างโกรธกริ้ว “เฮ้ย พี่ฉิน นี่พี่คิดจะทำอะไรเนี่ย”
“ทำอะไรไม่สำคัญ เอ็งแค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”
“ชั้นทำอย่างงั้นไม่ได้หรอก”
ฉินฝูโน้มน้าวเอาเงินมาล่อ “ช้าก่อน อาเหลียง เอ็งไม่อยากได้เงินล้านเหรียญหรือ” อาเหลียงชะงัก “เอ็งอยู่กับหลินหลานเซ่อ อีกกี่ปีถึงจะได้เงินล้าน”
“แต่ชั้นไม่มีวันหักหลังคุณหลินหรอก” อาเหลียงเสียงแข็ง
“เฮ้ย อาเหลียง คิดให้ดีนะ เงินล้านเหรียญไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ”
อาเหลียงยืนกรานคำเดิม “ชั้นไม่เอาหรอก เอาเป็นว่าชั้นไม่เคยคุยเรื่องนี้กับพี่ฉินฝูแล้วกัน”
“ก็ตามใจเอ็ง ข้าแค่เป็นตัวกลาง มีคนเค้าขอให้มาพูดกับเอ็งก็แค่นั้น”
“ชั้นอยากจะเตือนพี่นะ ถ้าหลินหลานเซ่อรู้ว่าพี่คิดจะทำเรื่องนี้ล่ะก็ ชั้นว่าพี่ไม่มีแผ่นดินอยู่แน่”
อาเหลียงมองตาขวางอย่างไม่พอใจมาก ก่อนจะหันเดินออกไป ฉินฝูมองตาม อาเหลียงเดินไปหยุดหน้าประตู แล้วหันกลับมามอง ฉินฝูโบกมือให้ อาเหลียงหันตัวกลับดึงประตูเปิดออก เสียงปืนดัง เปรี้ยงในจังหวะนี้ ร่างอาเหลียงกระเด็นไปตามแรงปืน เป็นผลงานของอาเส็ง 1 ในบอดี้การ์ดของหลินหลานเซ่อนั่นเอง มันยิงซ้ำที่ร่างอาเหลียงอีกนัด
อาเหลียงล้มลงกองพื้น ฉินฝูเดินเข้ามามองศพ
“คนที่ไม่มีแผ่นดินอยู่คือเอ็งมากกว่าไอ้เหลียง” ฉินฝูหันมาบอกอาเส็ง “ไอ้เหลียงมันไม่ทำก็ต้องเป็นเอ็งแล้วล่ะ อาเส็ง”
“ไม่มีปัญหาพี่ฉิน แต่ผมคงต้องขอสองล้านนะ เพราะงานนี้มันเสี่ยงมาก”
ฉินฝูตกลง “ได้ ข้าจะบอกนายเค้าให้ อ้อ เอ็งอย่าลืมจัดการเคลียร์ที่นี่ล่ะ”
อาเส็งบอก “ไม่มีปัญหา”

เฉินฝูหันกลับเดินหายเข้าไปในเงามืด อาเส็งมองศพอาเหลียงแล้วลากออกไป

เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากกลางคืนเปลี่ยนเป็นเช้า

หลินหลานเซ่อเข้าออฟฟิศที่ฉายหงส์กรุ๊ปแต่เช้า เขากำลังนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทำงาน เลขาส่วนตัวชื่อ ซุ่นลี่ เอาเอกสารเข้ามาวาง
“ซุ่นลี่”
“คะคุณหลิน”
“อาเหลียงมารึยัง”
“ยังเลยค่ะ”
“โทร.ตามรึยัง”
“โทรแล้วค่ะ อาเหลียงไม่เปิดเครื่อง”
“ถ้ามันมาให้มาหาชั้นด่วน”
“ค่ะ”
ซุ่นลี่ออกไป สวนกับจงซินที่เปิดประตูเข้ามาสีหน้าเครียด
“คุณหลินครับ อาเหลียงตายแล้ว”
หลานเซ่อชะงัก “เป็นอะไร”
“ถูกยิงครับ ตำรวจพบศพที่ปากแม่น้ำ”
“รู้มั้ยฝีมือใคร”
“ยังไม่ทราบครับ ผมให้คนของเราเช็คข่าวอยู่”
“หรือมันไปกินเหล้าแล้วมีเรื่องกับนักเลง”
“ไม่น่าใช่หรอกครับ เพราะตำรวจบอกว่ามันตายหลังจากที่ส่งคุณไม่ถึงชั่วโมง”
หลินหลานเซ่อประเมิน “แสดงว่ามีคนตั้งใจที่จะเก็บมัน”
“ผมก็คิดอย่างงั้น”
“เพื่ออะไร”
“บางทีเค้าอาจจะต้องการซื้อตัวมันแต่มันไม่เล่นด้วย ก็เลยถูกฆ่าปิดปาก”
“แล้วนายสงสัยใคร” หลานเซ่อมองหน้าจงซิน
“ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ยังไงช่วงนี้คุณต้องระวังตัวให้มาก”
“งั้นเอาอาเจียงมาขับรถแทน”
“ผมว่าอย่าดีกว่า ตอนนี้เราไว้วางใจใครไม่ได้”
หลินหลานเซ่อแย้ง “แต่อาเจียงอยู่กับเรามานานแล้วนะ นายคิดมากไปรึเปล่าจงซิน”
“อย่าลืมนะครับคุณหลิน ถ้ามันกล้าซื้ออาเหลียง ผมว่ามันก็ต้องกล้าซื้อคนอื่นที่อยู่ใกล้ตัวเรา”
“หมายความว่าตอนนี้ชั้นไว้ใจใครไม่ได้เลยงั้นหรือ”
“ถูกต้องครับ ช่วงนี้ถ้าคุณจะไปไหนผมจะขับรถให้เอง”
หลินหลานเซ่อถอนหายใจอย่างโกรธแค้น

ส่วนมีนายังถูกขังอยู่ในห้องเดิมที่บ้านเพ่ยอิง เด็กสาวนั่งร้องไห้ มองไปรอบตัวอย่างหวาดหวั่น
“พ่อ เมื่อไหร่พ่อจะมารับหนู หนูอยากกลับบ้าน”
ประตูห้องเปิดเข้ามา ป้าเหมยเอาอาหารเข้ามาให้ มือปืนปิดประตูตามหลัง
“มากินข้าวเร็ว เอานี่ ชั้นเอาช้อนส้อมมาแทนตะเกียบให้แล้ว”
“ป้า ป้าช่วยพาหนูหนีไปได้มั้ย” เด็กสาวขอร้องทั้งน้ำตา
“ชั้นจะทำอย่างงั้นได้ไง ถ้าคุณเพ่ยอิงรู้ขึ้นมาจะฆ่าชั้นน่ะสิ”
“แต่หนูอยากกลับบ้าน หนูคิดถึงพ่อ ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ”
“ใจเย็นน่า อีกวันสองวันพ่อเธอเค้าก็คงหาเงินมาไถ่ตัวเธอได้แล้ว กินข้าวซะ แล้วก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมามันจะยุ่ง”
ป้าเหมยเดินออกไปมีนามองตาม เห็นมือปืนเปิดประตูให้แล้วปิดล็อคทันที มีนามองจานข้าวเห็นช้อนส้อมในจาน เด็กสาวหยิบส้อมขึ้นมากำไว้ในมือแน่น ตาเป็นประกาย

เพ่ยอิงกินบะหมี่อยู่ในห้องอาหาร อีกมือไล่เช็คงานในไอแพด อาจงเดินเข้ามา
“คุณเพ่ยอิงครับ”
“ชั้นบอกหลายครั้งแล้วนะ เวลาชั้นกินอาหารอย่าเข้ามา”
“แต่นี่มันเรื่องสำคัญครับ”
“เรื่องสำคัญอะไร ว่ามา”
“สายของเราที่สนามบิน โทร.มาบอกว่า เห็นนายวิษณุขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไปแล้วครับ”
เพ่ยอิงชะงัก “จริงหรือ”
“จริงครับ นี่ไงครับมันส่งรูปถ่ายมาให้ดู”
อาจงส่งโทรศัพท์มือถือให้ เป็นคลิปภาพวิษณุเดินหลบๆ เลี่ยงๆ ในสนามบิน
“ระยำ” เพ่ยอิงสบถปาโทรศัพท์ทิ้งอย่างฉุนเฉียว
อาจงเอ๋อ“นั่นโทรศัพท์ผมครับคุณเพ่ยอิง”
“กูรู้แล้ว กูจะซื้อให้มึงใหม่อีกสิบเครื่องถ้ามึงจับมันได้”
“งั้นผมตามไปเก็บมันที่เมืองไทยเลยนะครับ”
“ไปให้เสียค่าเครื่องบินหรืองไง สิ่งที่กูต้องการ คือเงินที่มันเอาไป”
“งั้นคุณเพ่ยอิงก็เสียเงินฟรีสิครับ”
“ไม่ฟรีหรอก ลูกสาวมันนอนอยู่ข้างบนไง”
อาจงแย้งซื่อๆ “แต่มันจะคุ้มหรือครับ ยี่สิบล้านแลกกับผู้หญิงคนนึง”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเอ็ง”
เพ่ยอิงลุกเดินออก อาจงมองตามส่ายหัว ไม่เห็นด้วย

“แค่ผู้หญิงคนเดียว ตั้งยี่สิบล้าน”

มีนากินข้าวอิ่มแล้ว หยิบทิชชู่มาเช็ดส้อม แล้วคว่ำจานครอบช้อนในถาดไว้ ก่อนจะลุกขึ้นมองรอบตัว เอาส้อมไปซ่อนไว้ใต้หมอน เพ่ยอิงเปิดประตูเข้ามา เด็กสาวมองไปอย่างระวังตัว

“อาหมิง เอาจานไปเก็บซิ”
“ครับ”
ลูกน้องหน้าห้องมาหยิบถาดอาหารออกไปแล้วปิดประตู เพ่ยอิงมองจ้องมีนา
“นี่คุณเข้ามาทำไม”
“เธอลืมไปแล้วหรือว่านี่บ้านชั้น ชั้นมีสิทธิ์เข้าออกห้องไหนก็ได้”
“ชั้นว่าคุณออกไปดีกว่า”
“ทำเป็นดุนะ ชั้นรู้ว่าเธอไม่ดุหรอก ไหน มาคุยกันหน่อยซิ”
“คุยเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องพ่อเธอไง”
“นี่พ่อชั้นเอาเงินมาใช้แล้วใช่มั้ย”
“เอามาใช้ก็ดีสิ ตอนนี้พ่อเธอเค้าทิ้งเธอแล้วหนีกลับไปเมืองไทยแล้ว” เพ่ยอิงบอก
มีนาไม่เชื่อ “ไม่จริง คุณอย่ามาโกหก พ่อชั้นไม่มีวันทำอย่างงั้นหรอก”
“เธอนี่เป็นลูกกตัญญูจริงๆ นะ พ่อเธอทิ้งเธอไว้ที่นี่แล้วจริงๆ”
“ชั้นไม่เชื่อ”
“ก็ตามใจเธอ แต่ตอนนี้เธอต้องใช้หนี้แทนพ่อเธอแล้ว”
เพ่ยอิงเดินเข้ามาหา มีนาถอยหนี “นี่คุณจะทำอะไรชั้น”
“ก็บอกแล้วไงว่าเธอต้องใช้หนี้แทนพ่อเธอ”
มีนาถอยหลังไปชนหมอน กำส้อมไว้ด้านหลัง “อย่าเข้ามานะ”
“ทำยังกะว่าเธอมีมีดซ่อนอยู่งั้นล่ะ”
“ไม่เชื่อก็เข้ามาสิ”
“ท้าหรือ ได้”
เพ่ยอิงโผเข้ามากอด
มีนาดิ้นรนขัดขืน “ปล่อยชั้นนะ”
“นี่ไง มาเป็นของชั้นซะเถอะ”
เพ่ยอิงซุกไซร้ซอกคอ มีนาเอาส้อมจิ้มหลังเพ่ยอิงดังฉึก
เพ่ยอิงร้องลั่น “โอ๊ย”
“ถ้าคุณเข้ามาชั้นจะจิ้มคุณอีก”
ลูกน้องสองคนเปิดประตูเข้ามา 1 ในนั้นคืออาจง
“มีอะไรครับคุณเพ่ยอิง”
“ออกไป ไม่เกี่ยวกับพวกเอ็ง”
2 ลูกน้องออกไป
“นี่เธอทำชั้นเลือดออกนะ”
เพ่ยอิงโมโหจะก้าวเข้าไปหาอีก มีนายกส้อมขึ้น
“ถ้าคุณก้าวเข้ามาชั้นจะแทงคอตัวเอง”
“อย่ามาขู่เลย เธอไม่กล้าหรอก”
“ก็ลองดูสิ” มีนายกส้อมขึ้นจะแทงคอตัวเอง ท่าทีจริงจัง
เพ่ยอิงตกใจ “เฮ้ย เฮ้ย ใจเย็น”
“ออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้”
เพ่ยอิงตัดใจมองมีนาเป็นเชิงขู่ ฝากไว้ก่อน
“เธอนี่มีฤทธิ์เหมือนกันนะ เอาละ วันนี้ชั้นจะปล่อยเธอไปก่อน”
เพ่ยอิงจับหลังที่ถูกซ่อมแทง เจ็บแปล๊บขึ้นมาเดินออก แล้วปิดประตูล็อคด้านหน้า
มีนาทรุดลงร้องไห้ “พ่อ นี่พ่อ ทิ้งหนูไปจริงๆหรือ ฮือ ฮือ ฮือ”

เพ่ยอิงเดินจับหลังที่เจ็บลงมา ป้าเหมยเดินเข้ามาเจอ
“นี่คุณหนูเป็นอะไรคะ”
“นังเด็กนั่นน่ะสิ เอาส้อมแทงชั้น”
ป้าเหมยตกใจ “ตายแล้ว จริงหรือคะ”
“แล้วเธอไปเอาส้อมมาจากไหน ป้าเหมยเอาไปให้ใช่มั้ย”
“ป้าขอโทษค่ะ เป็นความผิดของป้าเอง ป้าเอาตะเกียบให้เค้ากิน เค้าบอกกินไม่ถนัด”
เพ่ยอิงเซ็ง “ป้าเหมยนี่นะ ไม่ได้เรื่องเลย จากนี้ไปให้เธอกินมือ”

เพ่ยอิงเดินออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว ป้าเหมยมองตามแล้วส่ายหน้า

รถประจำตัวหลินเข้ามาจอดคนขับเปิดประตูลงจากรถ จงซินเดินเข้ามาหาบอกว่า

“แกไปได้แล้ว ชั้นจะขับเอง”
คนขับรถงงเต๊ก “ทำไมล่ะครับนาย”
“ไม่มีอะไร ชั้นอยากขับเอง”
อาเส็งเดินเข้ามาหาจงซิน อาสาขับให้
“นายครับ ผมขับให้มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง นายคอยคุ้มกันคุณหลินให้ดี”
“ครับ”
หลินหลานเซ่อเดินลงมาจากตึกพอดี จงซินบอก
“คุณหลินมาแล้ว”
คุณหลินของลูกน้องเดินมาที่รถ อาเส็งเปิดประตูให้ เขาก้าวขึ้นไปนั่ง จงซินยืนรอจนอาเส็งปิดประตูแล้วเดินกลับไปที่รถคันหลัง จงซินมองตามแล้วมองรอบตัวก่อนจะเดินไปประจำที่นั่งคนขับ
ที่รถบอดี้การ์ดด้านหลัง ลูกน้องคนหนึ่งหลินหันมาถามอาเส็ง
“ทำไมคุณจงซินถึงขับรถเอง”
“คงไม่ไว้ใจพวกเรา”
ลูกน้องบ่นท่าทีงงๆ “ไม่ไว้ใจพวกเราหรือ พวกเราอยู่กับนายมาเป็นสิบปี ไม่เชื่อใจเรา
แล้วนายจะเชื่อใจใคร”
อาเส็งตัดบท “อย่าพูดมาก ไปได้แล้ว”
ลูกน้องขึ้นรถ อาเส็งขึ้นตาม รถขับแล่นออกไป

ในขณะที่นาคขี่จักรยานมาติดไฟแดงแห่งนั้น เห็นรถหลินหลานเซ่อเข้ามาจอด มาเฟียหนุ่มมองนิ่งไปข้างหน้า ฤทัยนาคเคาะกระจกรถ เขาหันขวับมา
สาว 17 ยิ้มทัก “มอร์นิ่ง
หลินหลานเซ่อหันมาพยักหน้าให้นิดเดียว จงซินขับรถออกไป ฤทัยนาคปั่นจักรยานพยายามโยกตาม
จงซินขับรถตรงไป ฤทัยนาคขี่จักรยานเลี้ยวไปทางลัด

จงซินขับรถมาตามทางเหลือบมองกระจกหลังบอกผู้เป็นเจ้านาย
“พรุ่งนี้ 10 โมงมีประชุมผู้ถือหุ้นนะครับ”
“ชั้นรู้แล้ว นายเตรียมหัวข้อการประชุมไว้ให้พร้อมแล้วกัน”
“ครับ”
เสียงโทรศัพท์ทมือถือดังขึ้น หลินหลานเซ่อมองเบอร์แล้วกดรับ
“สวัสดีครับท่านผู้ว่า...ครับ...พรุ่งนี้หรือครับ...กี่โมงครับ...สิบโมงนะครับ ได้ครับ”
เขากดปิดโทรศัพท์
“มีอะไรหรือครับ” จงซินแปลกใจ ด้วยได้ยินเวลานัดตรงกับการประชุมผู้ถือหุ้น
“ผู้ว่ามีธุระสำคัญอยากพบชั้นพรุ่งนี้สิบโมง”
“งั้นให้ผมเลื่อนการประชุมออกไปก่อนดีมั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นไปสิบโมง อย่างมากคุยไม่น่าเกินชั่วโมง นายนั่งเป็นประธานประชุมแทนชั้นไปก่อน”
“แต่ผมเป็นห่วงว่า ถ้าผมอยู่ประชุมใครจะขับรถให้คุณ”
“อาเส็งหรืออาเปาก็ได้” หลินหลานเซ่อบอก
“แต่ผมก็ยังไม่ไว้ใจใครอยู่ดี ผมว่าเราควรจะเลื่อนการประชุมไปก่อน แล้วผมขับรถไปให้คุณดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก มันต้องมีใครซักคนที่เราไว้ใจได้สิ”
เจ้าของใบหน้าหล่อคมครุ่นคิด จงซินมองกระจกหลังอย่างหนักใจ

จงซินขับรถเข้ามาจอดในไฮสกูล มองจากในรถ เห็นฤทัยนาคจอดจักรยานอยู่ และกำลังคุยอยู่กับเพื่อน
จงซินทึ่ง “ไม่น่าเชื่อว่าฤทัยนาคจะมาถึงก่อนเรา”
“นั่นน่ะสิ เธอคงมีทางลัดถึงมาก่อนเราได้”
หลินหลานเซ่อลงจากรถ จงซินตามมา ฤทัยนาคเดินเตร่เข้ามาทัก
“จงซิน เมื่อกี้ที่สี่แยกชั้นจะบอกนายขับตามมา แต่บอกไม่ทัน”
จงซินฉงน “ทำไม”
“ก็ชั้นมีทางลัดน่ะสิ นายจะได้ไม่ต้องไปติดไฟแดงไง”
ฤทัยนาคยิ้มให้จงซิน แล้วหันมาสบตามาเฟียหนุ่ม หลินหลานเซ่อมองนิ่ง ฤทัยนาคยิ้มขยับจะผละไปถูกเขาเรียกไว้
“เดี๋ยวฤทัยนาค” ฤทัยนาคชะงัก หันกลับมามอง “เธอขับรถเป็นมั้ย”
“นี่ ถึงพ่อชั้นจะเป็นหนี้นาย แต่เค้าก็มีรถหลายคันนะ”
ฤทัยนาคเม้ง หันกลับแล้วเดินไปทางอาคารเรียน หลินหลานเซ่อมองตามใช้ความคิด

ประสาคนรู้ใจ จงซินมองตามรู้ความนัยทันที หันมาถามผู้เป็นเจ้านาย
“คุณหลินจะให้เธอขับรถหรือครับ”
“ใช่”
จงซินท้วง “แต่ผมว่าอย่าเลยครับ เธอยังเด็ก ยังขาดประสบการณ์”
หลินหลานเซ่อย้อน “นายลืมไปแล้วหรือ ตอนที่นายเสนอให้เธอไปคุยกับคาร์ลอส ชั้นบอกว่านายบ้าที่เอาเด็กที่ไหนไม่รู้ไปคุยธุรกิจให้เรา แต่เธอก็ทำได้สำเร็จ” จงซินมองหน้านายเป็นเชิงถามว่าเอาจริงหรือ “แล้วตอนนี้ชั้นว่าเธอคือคนที่ชั้นไว้ใจได้มากที่สุด”
จงซินพยักหน้าอย่างเข้าใจเหตุผล “ก็ได้ครับ”
“เรียกเธอขึ้นไปพบชั้นที่ห้องทำงาน”
“ครับ”
หลินหลานเซ่อเดินขึ้นตึกอำนวยการไป จงซินมองตามแล้วหันกลับไปมองฤทัยนาคอย่างหนักใจ

เห็นนักเรียนเดินสวนไปมาตามระเบียง ตอนช่วงพักกลางวัน
ฤทัยนาคถูกจงซินตามตัวมา เวลานี้ในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ ที่ไฮสกูล เด็กสาวลงนั่ง มองอย่างงงๆ พอรู้เรื่อง
“ให้ชั้นขับรถให้นายอย่างงั้นหรือ”
“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ”
“ไม่มี ชั้นแค่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นชั้น ในเมื่อนายมีคนขับรถตั้งเยอะแยะ นี่จะทดสอบอะไรชั้นบอกมาตรงๆ”
“เราไม่ได้ทดสอบอะไรเธอ เพียงแต่ตอนนี้อาเหลียงตาย เราเลยต้องการคนขับรถคนใหม่”
ฤทัยนาคซักไซ้ “ก็แล้วทำไมต้องเป็นชั้นด้วยล่ะ”
“ก็ชั้นเห็นว่าเธอรู้จักเส้นทางดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลารถติดไง” มาเฟียหนุ่มพูดจริงครึ่งเดียว
ฤทัยนาคมองอย่างไม่เชื่อคิดอีกแป๊บเดียว
“ชั้นไม่เชื่อนายหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น หรือว่าตอนนี้นายตกอยู่ในอันตราย เลยไม่ไว้ใจใครก็เลยเลือกชั้นใช่มั้ย”
จงซินตัดบท “นี่ เธออย่าเดาให้มันมากนักเลย คุณหลินบอกให้ขับรถก็ขับรถไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ไปได้แล้ว”
ฤทัยนาคไม่ยอม “ชั้นยังไม่ไป ชั้นต้องรู้ว่างานที่ชั้นทำมันเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน”
หลินหลานเซ่อเซ็งปนงง “มันเกี่ยวอะไรด้วย”
“เกี่ยวสิ ถ้าเกิดมีคนมาสาดกระสุนใส่นาย ชั้นก็ต้องตายด้วยสิ ชั้นไม่เอาหรอก”
“ชั้นบอกให้ทำก็ต้องทำ” มาเฟียหนุ่มบอกเป็นเชิงสั่ง
“ไม่ ชั้นมีสิทธิ์ไม่ทำ”
“เอาล่ะ ชั้นจ้างเธอวันละห้าพัน” หลานเซ่อตัดบทอย่างรำคาญ
“ห้าพันเหรียญ” ฤทัยนาคทวนคำ
“ใช่ เธอจะได้ใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ ไง” มาเฟียหนุ่มแดกดัน
“ชั้นไม่เอา เพราะชั้นไม่อยากเสี่ยงตาย” ฤทัยนาคลุก จะเดินออก
หลินหลานเซ่อบอก “หมื่นนึง”
ฤทัยนาคหยุดกึก คิดนิ่ง สองหนุ่มมองลุ้น ฤทัยนาคหันกลับมาบอก
“สองหมื่น”
หลินหลานเซ่อ ต่อรอง “หมื่นห้า”
ยัยเด็กบื้อมองอย่างเป็นต่อ ไม่ยอมลด“สองหมื่น อย่าลืมนะตอนนี้นายไม่มีใครไว้วางใจได้มากเท่าชั้น
แล้วที่สำคัญชั้นรู้จักถนนทุกเส้น ทุกตรอก ทุกซอก ทุกซอยชั้นรู้หมด สองหมื่นเนี่ยมันเหมาะกับดีกรีชั้นนะ”
จงซินมองฤทัยนาคแล้วเหลือบมองเจ้านาย หลินหลานเซ่อพยักหน้า บอกอย่างจำยอม
“ตกลง สองหมื่น”
ฤทัยนาคยิ้มพอใจ

รุ่งเช้า ในตู้คอนเทนเนอร์ กางเกงคนขับรถถูกยัดสวมขึ้นมาที่เอว ฤทัยนาคหยิบเสื้อคนขับรถมาสวมทับเสื้อกล้ามตัวใน หยิบหมวกขึ้นมาใส่ มองตัวเองในกระจกยิ้มพอใจ
“จะว่าไปเราใส่ชุดนี้ก็เท่ไม่เบา ที่สำคัญได้วันละสองหมื่น สิบวันก็สองแสน ยี่สิบวันก็สี่แสน ปีนึงก็ใช้หนี้ให้พ่อได้เกือบครึ่งแล้วไม่อยากเชื่อเล้ยว่าโชคจะเข้าข้างเรา”

ฤทัยนาคดี๊ด๊าสุดขีด เต้นท่าแรพโย่ล้อตัวเองหน้ากระจกอย่างน่าหมั่นไส้

อ่านต่อหน้า 4

คิวบิก ตอนที่ 4 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา ฤทัยนาคอยู่ในชุดคนขับรถชายดูแปลกตายืนรออยู่ข้างรถ มองซ้ายขวาดึงถุงมือให้กระชับ เห็นบอดี้การ์ด 6 คนยืนรอเช่นกัน จงซินเดินตรงเข้ามาหา

ฤทัยนาคทำเก๊กแมนตะเบ๊ะใส่ “สวัสดีครับนาย”
“อย่าล้อเล่น ที่ชั้นให้เธอทำหน้าที่นี้ มันสำคัญมากนะ”
“ชั้นรู้น่ะ ก็แค่ทำความเคารพ ให้บอดี้การ์ดนายรู้ว่าชั้นเป็นคนขับรถนะ”
“เอาล่ะ ฟังให้ดี เธอไปส่งคุณหลินที่จวนผู้ว่า ไปถูกรึเปล่า”
“ถูกครับ บ้านเลขที่สิบถนนซินตึ๊ง”
“ดี จำไว้นะ เธอต้องคอยดูแลคุณหลิน ห้ามอยู่ห่างจากรถ ห้ามใครขึ้นรถหรือเข้ามาใกล้รถ เข้าใจรึเปล่า”
“เข้าใจ นายกลัวว่าจะมีคนเอาระเบิดมาซ่อนไว้ใต้ท้องรถใช่มั้ย”
“เธอนี่รู้มากดีนะ”
“แต่กระจกนี่ชั้นเช็คมาแล้ว มันเป็นกระจกกันกระสุน ไม่กันเฉพาะเอ็ม 79 เท่านั้น”
“ถูกต้อง แล้วเวลากลับ อย่ากลับเส้นทางเดิม หาทางกลับให้เร็วที่สุดและสั้นที่สุด”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นศึกษาเส้นทางมาเรียบร้อยแล้ว ขาไปสี่สิบห้านาที ขากลับสามสิบนาที”
มีมือปืนมองมายังจงซินกับฤทัยนาค โดยมีอาเส่งมองมาจากอีกทาง
หลินหลานเซ่อเดินออกมาจากตึกพอดี
“คุณหลินมาแล้ว”
หลินหลานเซ่อเดินหล่อเก๊กเข้ามาที่รถ ฤทัยนาคยิ้มให้ มาเฟียหนุ่มมองสบตา ลูกหนี้สาววัยใสเปิดประตูให้ หลินหลานเซ่อก้าวขึ้นรถ ฤทัยนาคปิดประตูจะเดินไปขึ้นรถ จงซินเรียก
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ”
จงซินส่งมือถือให้ กำชับหนักแน่น “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหลินโทร.หาชั้น”
“มันจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือ”
“เผื่อไว้ก่อน เพื่อความไม่ประมาท”
“นายนี่สมกับเป็นมือขวาจริงๆ นะ”
ฤทัยนาคทึ่ง ขึ้นรถแล้วปิดประตู หลินหลานเซ่อมองจงซินอย่างรู้กัน จงซินพยักหน้าให้ ฤทัยนาคขับรถออกไป ขบวนรถตาม จงซินมองแล้วเดินกลับเข้าตึกเพื่อไปประชุมหุ้นส่วน

รถแล่นมาตามทาง ฤทัยนาคเหลือบมองจากกระจกหลัง เห็นหลินหลานเซ่อนั่งนิ่ง เหลือบมองซ้ายขวาเป็นบางจังหวะ
“เจ้านายครับ” หลินหลานเซ่อมองมา “ไม่ทราบว่าเจ้านายหิวมั้ยครับ”
“ไม่”
“คือ...พอดีชั้นออกมาตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย ถ้าชั้นจะขอแวะซื้ออะไรกินหน่อยได้มั้ย”
“ไม่ได้ ชั้นมีธุระสำคัญ”
“แต่ชั้นแค่ขอแวะซื้อแซนด์วิชกับนมซักกล่องไม่ได้หรือ”
“ชั้นจ่ายเธอวันละสองหมื่น อย่ามาเสียเวลาชั้น”
“โอเค...ชั้นขอโทษ”
ฤทัยนาคมองอย่างเซ็งเป็ด หลินหลานเซ่อมองดุ
รถเลี้ยวไปตามทาง รถบอดี้การ์ดตามไปสองคัน

ไม่นานนักรถขับเข้ามาจอดหน้าจวนผู้ว่า มีรถบอดี้การ์ดตามมา อาเส่งลงจากรถคันหลังเดินก้าวเข้ามาเปิดประตูรถให้ หลินหลานเซ่อก้าวลงจะเดินเข้าไป ฤทัยนาคลดกระจกลงเรียก
“หลินหลานเซ่อ” หลินหลานเซ่อชะงักหันมามอง “ชั้นจะรออยู่ตรงนี้นะ”
มาเฟียหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แล้วขยับตัวออกเดิน ลูกน้องบอดี้การ์ด 1 บอดี้การ์ด 2 เดินตามไป หลินหลานเซ่อหยุดหน้าประตูทางเข้า ยกมือบอกลูกน้อง
“พวกแกรอชั้นอยู่ตรงนี้ไม่ต้องเข้าไป”
หลินหลานเซ่อเดินเข้าไปด้านใน บอดี้การ์ดเดินมาหยุดสังเกตการณ์รอบๆ ฤทัยนาคลงมาจากรถมองรอบตัวยิ้มให้อาเส่ง แต่อาเส่งไม่ยิ้มตอบ เลยต้องหุบยิ้ม มองไปทางอื่น

ที่ห้องประชุมในอาคารฉายหงส์กรุ๊ป แม่บ้านเสิร์ฟน้ำชาให้เพ่ยอิง เห็นซานกุ้ยมองนาฬิกา จงซินนั่งเป็นประธานการประชุม
ซานกุ้ยเอ่ยขึ้น “ชั้นว่าเราเริ่มประชุมกันไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ”
“แต่หลินหลานเซ่อไม่อยู่ ใครจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องต่างๆ” เพ่ยอิงท้วง
จงซินบอก “คุณหลินมอบอำนาจให้ผมตัดสินใจแทนครับ”
เพ่ยอิงติง “นายพูดเองเออเองนะ หลินหลานเซ่อไม่ได้บอกพวกเราว่าจะให้นายมาแทน เดี๋ยวนายตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปจะว่าไง ใช่มั้ยท่านซาน”
ซานกุ้ยแย้ง “แต่หลินหลานเซ่อก็เคยให้จงซินเป็นประธานแทนเค้ามาหลายหนแล้ว ชั้นว่าเราเริ่มต้นประชุมเถอะจะได้ไม่เสียเวลา ชั้นมีธุระด้วย”
เพ่ยอิงมองอย่างไม่พอใจ
“ตามใจ ผมก็แค่ติงเท่านั้นเอง แต่ผมบอกก่อนนะถ้ามีอะไรผิดพลาดท่านซานกับหลินหลานเซ่อต้องเป็นคนรับผิดชอบนะ”
“เออ” ซานกุ้ยตอบอย่างรำคาญ “เริ่มได้จงซิน”
จงซินส่งเอกสารให้ซานกุ้ยกับเพ่ยอิง “นี่เป็นรายรับรายจ่ายรวมของทุกสาขาในหกเดือนแรกของปี ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านดู ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ช่วยเซ็นชื่อรับรองด้วยครับ”

เพ่ยอิงกับซานกุ้ยเปิดเอกสารอ่าน จงซินมอง

ทางด้านฤทัยนาคยืนสำรวจตรวจตรารอบตัว มองรอบรถ มองซ้าย ขวา แล้วสุดท้ายก้มมองใต้ท้องรถ พอเงยหน้าขึ้นเห็นอาเส่งมองจ้อง

“ก้มดูอะไร”
“ชั้นคอยเช็คดูว่ามีใครมาวางระเบิดรถเจ้านายรึเปล่า”
“ใครจะกล้าเข้ามาวาง พวกเรายืนคุมอยู่ตรงนี้”
“ก็เพื่อความไม่ประมาทน่ะ”
“ทำไมคุณหลินถึงให้เธอมาขับรถ” อาเส่งแกล้งถาม
“ไม่รู้สิ เค้าไม่ได้บอก ถ้านายอยากรู้เดี๋ยวเค้าออกมานายก็ถามเค้าสิ”
อาเส่งมองหน้าอย่างหมั่นไส้ หันตัวเดินไปที่หน้าจวนผู้ว่า มองเข้าไปด้านใน นาคมองตามเห็นอาเส่งเดินกลับไปกลับมา ท่าทีกระวนกระวาย

ด้านจงซินอยู่ในห้องประชุม เหลือบมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ กดดูหน้าจอ ซานกุ้ยกำลังอ่านเอกสารเหลือบมอง
“มีอะไรหรือจงซิน เห็นมองโทรศัพท์บ่อยๆ”
เพ่ยอิงมองมา “นั่นสิ หรือว่ารอโทรศัพท์ใคร”
“อ๋อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมแค่ดูว่ากี่โมงแล้วเท่านั้นผมขอคำรับรองหัวข้อที่สองนี้ด้วยครับ”
ซานกุ้ยยกมือ มองเพ่ยอิง เพ่ยอิงยกมือตาม
“เห็นด้วยแล้วกัน”
“งั้นวาระนี้ผ่านนะครับ หัวข้อต่อไป คุณหลินมีความคิดว่าจะเก็บค่าคุ้มครองกาสิโนระหว่างเมืองใหม่กับเมืองเก่าให้เท่ากัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองคิดยังไง”
ซานกุ้ยค้าน “แต่ชั้นไม่เห็นด้วยนะ คุณอย่าลืมว่าฝั่งเมืองใหม่ได้เปรียบเรื่องโลเกชั่น ควรจะเก็บให้มากกว่าเมืองเก่า”
เพ่ยอิงแย้ง “แต่ผมไม่เห็นด้วยกับท่านซาน ผมว่าควรจะเก็บเท่ากัน เพราะเมืองเก่าก็มีนักพนันขาประจำอยู่เยอะยังไงรายได้ก็แน่นอนอยู่แล้ว”
“แต่ชั้นจะเตือนพวกเธอนะ ถ้าเจ้าของกาสิโนฝั่งเมืองใหม่ไม่พอใจว่าทำไมต้องจ่ายมาก มันจะเกิดปัญหากับเราภายหลังได้” มังกรชราบอก
“ผมว่าไม่น่ามีปัญหา ถ้าใครไม่ยอม เราก็ไม่รับรองความปลอดภัยของมัน” เพ่ยอิงบอกอย่างอวดเก่ง
“แต่คุณหลินก็คงไม่อยากใช้วิธีข่มขู่” จงซินบอก
“เราไม่ได้ขู่ เราพูดจริง จงซิน”
จงซินตัดบท “งั้นประเด็นนี้ผมว่าเราข้ามไปก่อน รอขอให้คุณหลินมาตัดสินใจแล้วกันนะครับ”
“อืมม์ แล้วนี่เมื่อไหร่จะมา” ซานกุ้ยถาม
จงซินมองนาฬิกา เห็นเวลา 11 โมง
“คงใกล้แล้วล่ะครับ”

เวลาเดียวกัน ที่บริเวณหน้าจวนผู้ว่า อาเส่งเดินไปเดินมามองเข้าไปในจวนผู้ว่าอย่างเคร่งเครียด ฤทัยนาคเหลือบมองอาเส่งอย่างแปลกใจในท่าที อาเส่งชะเง้อมองแล้วหันกลับมา พบว่าฤทัยนาคมองอยู่ อาเส่งจ้องตอบ ฤทัยนาคจึงเมินหน้าไปทางอื่น แล้วเหลือบมองอีกที
ครู่ต่อมา หลินหลานเซ่อเดินก้าวออกมาจากจวน อาเส่งชะงักมอง ก่อนจะหันไปสบตากับมือปืน 1 ให้สัญญาณ
พอหลินหลานเซ่อเดินมา อาเส่งขยับตัวมองตาม มาเฟียหนุ่มเดินมาอย่างช้าๆ ฤทัยนาคมองจ้อง
อาเส่งขยับตัวเดินเข้าไปหาหลินหลานเซ่อ
ฤทัยนาคมองตามอาเส่งแล้วมองหลินหลานเซ่อสลับกัน

หลินหลานเซ่อเดินมุ่งหน้าตรงมาที่รถ อาเส่งเดินเข้าไปหา ฤทัยนาคพบบางอย่างไม่น่าไว้ใจ ขยับตัวมองเขม็ง พบว่าอาเส่งขยับมือ
สุดท้ายอาเส่งเอื้อมมือดึงเปิดประตูรถให้ ฤทัยนาคถอนใจเหลือบสายตามองไปด้านหลัง เห็นมือปืน 1 อยู่ด้านหลัง กระชากปืนออกมาเล็งจะยิงใส่หลินหลานเซ่อ
“ระวังค่ะ” ฤทัยนาคตะโกนก้อง
หลินหลานเซ่อหันขวับไปมอง เบี่ยงตัวหลบด้วยสัญชาติญาณ กระสุนเฉี่ยวผ่านหน้าไปเฉียดฉิว
ฤทัยนาคตกตะลึง
บอดี้การ์ด 1 กระชากปืนยิงใส่มือปืน 1 ทันที
“ขึ้นรถเร็วค่ะ” เด็กสาวร้องบอก
หลินหลานเซ่อกระชากปืนออก ย่อตัวจะวิ่งขึ้นรถ อาเส่งตามมาจะยิงด้านหลัง ฤทัยนาคเห็นเข้า
“หลินหลานเซ่อ ระวัง”
หลินหลานเซ่อพลิกตัวมา อาเส่งยิงสวนใส่ก่อน กระสุนเจาะเข้าที่ท้องจังๆ หลินหลานเซ่อยิงสวนไปเป็น อาเส่งพลิกตัวหลบ บอดี้การ์ด 2 ของ หลินหลานเซ่อ ยิงใส่ด้านหลังอาเส่ง แต่อาเส่งหลบทันหันไปยิงสวน
มือปืน 2 โผล่ออกมาจากหลังเสา สาดกระสุนใส่บอดี้การ์ด 1 และ2 บอดี้การ์ดแดดิ้น
จากนั้นกลุ่มมือปืนหันมาระดมยิงใส่ประธานฉายหงส์กรุ๊ปไม่ยั้ง หลินหลานเซ่อฉากหลบพร้อมกับยิงสวนกลับไป มือปืนกระเด็น
หลินหลานเซ่อขึ้นรถแล้วตะโกนบอกฤทัยนาค
“ออกรถเร็ว”
ฤทัยนาคตกใจกับเหตุการณ์อันระทึกขวัญ จึงออกรถอย่างรวดเร็ว กลุ่มมือปืนระดมยิงตามหลัง
“เอารถมาเร็ว” อาเส่งตะโกนสั่ง

รถตู้มือปืนขับเข้ามาจอด อาเส่งโดดขึ้น รถทะยานตามหลินหลานเซ่อไป

รถแล่นมาตามทาง หลินหลานเซ่อพบว่าตัวเองถูกยิงเลือดไหลโชก ฤทัยนาคหันมองอย่างตกใจ

“นี่นายถูกยิงหรือ”
“ขับรถไป ไม่ต้องหันมอง”
“นายเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงชั้น ขับรถหนีไปให้ได้”
หลินหลานเซ่อเหลียวมองไปด้านหลัง เห็นรถตู้กลุ่มมือปืนนำโดยอาเส่งตามมา
“หนีจากรถตู้คันหลังให้ได้”
“ชั้นโทร.บอกจงซินก่อนนะ” ฤทัยนาคคว้าโทรศัพท์ข้างตัว
“ไม่ต้อง” มาเฟียหนุ่มร้องบอก
“แต่จงซินบอกว่าถ้ามีเรื่อง”
“ชั้นบอกว่าไม่ต้อง ห้ามโทร.หาจงซิน เข้าใจรึเปล่า”
“เข้าใจ...เข้าใจ” ฤทัยนาคโยนโทรศัพท์ทิ้งไป

อาเส่งโผล่ออกมาจากรถยิงใส่ กระสุนเฉียดล้อรถ จนรถเซไป ฤทัยนาคหวีดร้อง
“นี่อะไรกันเนี่ย พวกมันยิงเรานะ”
“ขับไป อย่าหันมามอง”
หลินหลานเซ่อเปิดกระจกโผล่หันไปยิงสู้ โดยเล็งยิงใส่ล้อรถตู้ รถตู้ขับหักหลบ
ฤทัยนาคตกใจหวีดร้อง
“แล้วเราจะไปไหนกันเนี่ย มันจะฆ่านายเรื่องอะไร”
มาเฟียหนุ่มตวาด “หุบปาก หนีไปให้ได้”
ฤทัยนาคหักพวงมาลัย เลี้ยวเข้าซอยเบื้องหน้า รถตู้เลี้ยวตาม มือปืนโผล่ออกมาสาดกระสุนใส่
ฤทัยนาคขับรถหลบกระสุน หลินหลานเซ่อหมอบหลบ
รถหลินเลี้ยวเข้ามาอีกซอย แต่รถตู้ยังเลี้ยวตามไม่ลดละ

จงซินเหลือบตามองโทรศัพท์ ซานกุ้ยยกชาจิบมองมา เห็นจงซินดูกังวลหนัก
“นายเหมือนมีเรื่องกังวลใจอะไรอยู่นะจงซิน”
จงซินแสร้งทำปกติ “แล้วท่านซานคิดว่ามีอะไรที่ผมต้องกังวลหรือครับ”
ซานกุ้ยไม่ตอบยกชาจิบ
เพ่ยอิงเป็นฝ่ายสอดขึ้นมา “ชั้นว่านายกำลังกังวลกลัวว่าจะมีใครลอบสังหารหลินหลานเซ่อ”
จงซินมองเพ่ยอิงอย่างระแวง
“ทำไมคุณเพ่ยอิงถึงคิดว่าจะมีคนลอบสังหารคุณหลินล่ะครับ”
“อ้าว ก็ตามกฎของเราบอกว่าถ้าประธานฉายหงส์กรุ๊ปเป็นอะไรไปหรือตกอยู่ในอันตรายระหว่างการประชุมวันนี้ เราจะต้องมอบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดให้กับหนึ่งในสองของหุ้นส่วนที่อยู่ห้องประชุม ซึ่งหมายถึงชั้นหรือท่านซาน นายก็เลยกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลินหลานเซ่อชั้นหรือท่านซานก็จะยึดตำแหน่งประธานไง”
สีหน้าจงซินนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“ชั้นว่านายควรจะโทร.ไปเช็คดูหน่อยนะจงซิน ว่าหลินหลานเซ่อเป็นอะไรรึเปล่า เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเค้า เราจะได้ถอนเค้าออกจากตำแหน่งประธานก่อน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหลินแน่เพราะผมได้จัดบอดี้การ์ดและคนขับรถฝีมือดีไปกับคุณหลินแล้ว”
เพ่ยอิงมอง ซานกุ้ยพยักหน้ารับรู้ จงซินมองทั้งสองอย่างระแวง

ฟากฤทัยนาคขับรถห้องตะบึงมาราวกับจะบิน หลินหลานเซ่อโดนแรงกระแทกเลือดไหลโทรม เลอะเปื้อนเสื้อแดงฉาน แต่ยังกัดฟันทนอย่างองอาจ
ฤทัยนาคมองไป เห็นรถอีกคันวิ่งมาขวางทางปิดถนนด้านหน้าไว้ จึงเหยียบเบรคเต็มเหนี่ยว หลินหลานเซ่อขยับมอง เห็นรถปิดทางรีบสั่งการ
“ถอยหลังเร็ว”
“อะไรนะ”
“ชั้นบอกให้ถอยเร็ว”
ฤทัยนาคมองไปหน้ารถ เห็นมือปืนจากรถด้านหน้าเปิดประตูกระโดดลง ในนั้นมีฉินฝูมาด้วย ฤทัยนาคหันขวับมามองด้านหลัง เห็นรถตู้มือปืนตามกระชั้นใกล้เข้ามา
“ถอยไม่ได้ มันปิดทางเรา”
หลินหลานเซ่อเหลียวมองกลับหลัง เห็นรถตู้วิ่งเข้ามาพวกมือปืนกระโดดลง
“เราถูกพวกมันล้อม ทำไงดี เราต้องตายแน่ๆ” ฤทัยนาคขวัญกระเจิง
หลินหลานมองด้านหน้า เห็นทีมมือปืนด้านหน้ายกปืนเล็งมา พอหันมองด้านหลัง ก็เห็นมือปืนยกปืนเล็งใส่เช่นกัน เขาตะโกนบอก
“ลงจากรถเร็ว”
ไวเท่าความคิด หลินหลานเซ่อเปิดประตูกระโดดลง ฤทัยนาคกระโดดตาม
มือปืนทั้งกลุ่มหน้ากลุ่มหลังสาดกระสุนใส่รถไม่ยั้ง และสาดตามตัวสองคนที่กระโจนเข้าตรอกข้างๆ
สองคนคลานต่ำหลบกระสุนแล้ววิ่งหนีเข้าตรอก มือปืนทีมหน้าและทีมหลังวิ่งมาสมทบกัน อาเส่งกับฉินฝูมาเจอกัน
“อาเส่งเอ็งอ้อมไปดักข้างหน้า ข้าจะตามมันไปเอง”
อาเส่งวิ่งออกไปพร้อมมือปืน

ในสภาพเลือดโทรมกายและเลือดยังไหลไม่หยุด หลินหลานเซ่อวิ่งกระเซอะกระเซิงมากับฤทัยนาค เลี้ยวเลาะหลบเข้าซอกตึก ฤทัยนาคมองเห็นเลือดเต็มมือหลานเซ่อที่กดแผลอยู่ก็ยิ่งตกใจ
“นี่เลือดนายไหลเยอะมากเลยนะ ชั้นว่านายต้องรีบไปโรงพยาบาลนะ ไม่งั้นเลือดไหลหมดตัวแน่”
“ชั้นรู้แล้ว”
“งั้นก็รีบไปสิ” เด็กบื้อบอก
หลินหลานเซ่อเซ็ง “จะไปได้ไง ขืนเราออกไปก็ถูกพวกมันฆ่าน่ะสิ”
“แล้วจะทำไงล่ะ”
หลินหลานไม่ตอบพยายามควบคุมความเจ็บ ฤทัยนาคดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้
“เอา ชั้นว่าอุดปากแผลก่อน”
เสียงมือปืนตะโกนแว่วมา “เฮ้ย ตามหาให้เจอนะ”
ฤทัยนาคมองซ้ายขวา หาทางไป เห็นป้ายชื่อซอย
“เข้าซอยนี้”

ฤทัยนาคหลบวิ่งนำ หลินหลานเซ่อวิ่งตามออกไป

ภายในตรอกแห่งนั้น มือปืนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาเห็นหยดเลือดเป็นทาง จึงหันไปตะโกนบอกฉินฝูที่วิ่งตามเข้ามา

“พี่ฉินทางนี้”
ฉินฝูวิ่งมาหยุดมองเห็นหยดเลือดไปทางหนึ่งจึงสั่งการ
“แยกกันออกไป มันอยู่แถวนี้ อย่าให้มันหนีรอดไปได้”
ลูกน้องวิ่งแยกย้ายกันไป ฉินฝูวิ่งตรงไปทางที่ฤทัยนาคกับหลินหลานเซ่อเพิ่งออกไปเมื่อครู่นั่นเอง

ฝ่ายอาเส่งวิ่งเข้ามาหยุดตรอกเดียวกันแต่เป็นอีกด้าน พวกลูกน้องตามมา
“เอ็งไปทางนี้” หันไปบอกอีกคน “ส่วนเอ็งไปทางนู้น กวาดมันเข้ามา อย่าให้มันหนีไปได้นะ”
“ครับ”
ลูกน้องรับพร้อมเพรียง แล้ววิ่งแยกย้ายกันไป อาเส่งวิ่งออกอีกทาง
ฤทัยนาควิ่งนำมา หลินหลานเซ่อวิ่งตามมาอย่างอ่อนแรงเต็มที เขาหยุดลงข้างซอกตึก
“ฤทัยนาค”
“ว่าไง”
“ชั้น...ไปไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้นะ คุณต้องไหว ถ้าอยู่ตรงนี้พวกมันต้องฆ่านายแน่”
“เธอหนีไปซะ ทิ้งชั้นไว้ที่นี่ พวกมันต้องการแค่ชีวิตชั้น ไปเร็ว”
“ไม่ ชั้นทิ้งนายไปไม่ได้หรอก ถึงชั้นจะไม่ชอบนายนักแต่ชั้นก็ไม่ใจดำพอที่จะปล่อยให้นายตายหรอก” หลานเซ่อมองอึ้ง “ชั้นจะต้องพานายหนีไปให้ได้”
ขณะนั้นเอง มือปืนโผล่เข้ามาด้านซ้าย หลินหลานเซ่อเห็นยิงมือปืนกระเด็น มือปืนอีกคนโผล่เข้ามาทางขวา หลานเซ่อยิงเปรี้ยง

ฉินฝูอยู่ในตรอกได้ยินเสียงปืนหันมองตามเสียง
“มันอยู่ทางนู้น” ฉินฝูวิ่งนำลูกน้องออกไปทางเสียงปืน

อาเส่งวิ่งนำลูกน้องมาตามทางเสียงปืน “เร็ว มันอยู่แถวนี้แหละ”

ฤทัยนาคเห็นโกดังแห่งหนึ่ง ตัดสินใจเอาไม้งัดกุญแจโกดัง
“ทนหน่อยนะ หลินหลานเซ่อ”
จังหวะนี้ฉินฝูกับอาเส่งวิ่งมาเจอกันที่ทางแยกในตรอก
“มันอยู่ไหน”
อาเส่งบอก “ทางนี้”

ส่วนฤทัยนาคพยายามเอาไม้งัดประตู แต่ไม่สำเร็จสักที
“ไปซะ ทิ้งชั้นไว้ที่นี่”
“หยุดพูดเถอะน่า ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นไม่มีทางทิ้งนายหรอก”
อาเส่งกับฉินฝูพร้อมกลุ่มลูกน้องวิ่งกรูมาเป็นในตรอก
ฤทัยนาคงัดกุญแจจนหลุด ดึงประตูเปิดเข้าไป
“เข้าไปในนี้ก่อนเร็ว” หลินหลานเซ่อตามฤทัยนาคเข้าไปด้านใน

ฉินฝูกับอาเส่งวิ่งเข้ามาเห็นลูกน้องนอนตาย ทั้งสองมองหน้ากันมองไปที่โกดัง
“มันต้องอยู่ในนี้แน่” ฉินฝูเดินนำไปที่โกดัง
ฉินฝูโผล่เข้ามาขวา ส่วนอาเส่งโผล่เข้ามาซ้าย
ทั้งสองเดินเข้ามาเห็นโกดังมืดสนิท มีช่องทางเป็นหลืบภายใน ลูกน้องทั้งสองฝ่ายตามเข้ามา
ฉินฝูกระชากมืออาเส่ง
“อาเส่งเอ็งพาคนไปทางนู้น ข้าจะพาไปทางนี้”
อาเส่งพาลูกน้องวิ่งอ้อมไปอีกฝั่งของโกดัง ฉินฝูหันไปบอกลูกน้อง
“ไอ้หยวน เอ็งกะไอ้เปียวเฝ้าประตูไว้นะ ถ้าเห็นเงาใครโผล่ออกมายิงได้เลย”
“ครับพี่”
ฉินฝูเดินนำลูกน้องที่เหลือเดินเข้าไป

มองจากมุมสูงลงมาเบื้องล่าง เห็นสภาพภายในโกดังเป็นช่องเป็นหลืบมากมาย ฤทัยนาคพาหลินหลานเข้ามาหลบในช่องมืด อาการหลินหลานเซ่อเริ่มทรุด เขาแทบไม่มีแรงแล้ว หน้าซีด ฤทัยนาคจับใบหน้าเรียกสติ
“หลินหลานเซ่อ นายตายไม่ได้นะ”
“แต่ชั้นกำลังจะตาย”
“ไม่นะ ชั้นยอมให้นายตายไม่ได้หรอก ขอเวลาชั้นคิดหน่อยทำไงดี”
ฤทัยนาคมองซ้ายขวาอย่างตระหนกตกใจเสียงสั่นรัว

ฉินฝูเดินอยู่ในความมืด ลูกน้องโผล่ออกมาจากมุมหลืบ ต่างคนต่างสะดุ้ง ยกปืนจ่อ
“ผมเองพี่” ลูกน้องร้องบอก
เช่นเดียวกัน ในโกดังอีกด้าน อาเส่งเดินไปชนกับลูกน้องตัวเอง ต่างคนต่างตกใจยกปืนจ่อ
“ชั้นเองพี่เส็ง”

หลินหลานเซ่อรู้ตัวว่าไม่ไหวแน่ คว้ามือฤทัยนาค
“เชื่อชั้น หนีไปซะ ชั้นไม่มีทางรอดแล้ว ทิ้งชั้นไว้ที่นี่”
“ไม่ ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นจะไม่ทิ้งนาย” ฤทัยนาคขวัญเสียจนร้องไห้ “เราต้องรอดไปด้วยกัน” เด็กสาวจับมือมาเฟียหนุ่ม “ได้ยินมั้ยว่าเราจะไปด้วยกัน” ฤทัยนาคกลั้นก้อนสะอื้นบอกตัวเอง “ไม่...ชั้นต้องไม่ร้องไห้ ชั้นร้องไห้ไม่ได้ ถ้าชั้นร้องไห้หมายถึงทุกอย่างต้องจบ... ชั้นต้องคิดให้ได้ว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง...ชั้นต้องคิดให้ได้”
ฤทัยนาคมองซ้ายขวาพยายามคุมสติ

ฉินฝูเดินมาทางซ้าย เห็นลูกน้อง 2 เดินขนาบ ทางฝั่งขวาแลเห็นลูกน้องอีก 2 คนเดินขนาบเช่นกัน พวกมันเดินเป็นแผงหน้ากระดาน

อีกฟาก ลูกน้อง อาเส่ง 2คน เดินมา มีอาเส่งเดินกลาง ลูกน้องอีก 2 คน เดินเรียงเป็นแผงเช่นเดียวกับฉินฝู
ฉินฝูและอาเส่งเดินไปกระชับปืนในมือแน่น

ตรงซอกหลืบในโกดัง ฤทัยนาคเงยหน้ามองหลินหลานเซ่อ ที่กำลังจะหมดแรงลงทุกขณะ
“นายเหลือกระสุนกี่นัด”
“ไม่เกินสี่”
“ชั้นต้องการแค่สองนัด” มาเฟียหนุ่มมองอย่างไม่เข้าใจ ใกล้จะหมดแรง “นายยังยิงปืนไหวมั้ย”
หลินหลานเซ่อพยักหน้า “ได้”
“ดี งั้นขอยืมโทรศัพท์นายหน่อยสิ”
“ชั้นบอกแล้วไงห้ามโทร.หาใครทั้งนั้น”
“ชั้นไม่ได้โทร.”
ฤทัยนาคไม่รออนุญาตหยิบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อหลินหลานเซ่อออกมา
“เธอจะทำอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้”

ฉินฝูกับลูกน้องเดินมาทางซ้าย อาเส่งกับลูกน้องเดินมาทางขวา โดยฉินฝูกับอาเส่งอยู่คนละฝั่ง พาลูกน้องเดินเข้าหาเหมือนจะเผชิญหน้ากัน
หลินหลานเซ่อก้าวออกมาจากหลืบ เปิดโทรศัพท์เห็นแสงไฟเรืองๆ จากโทรศัพท์ส่องหน้า ฉินฝูมองเห็นจุดแสงไฟในความมืด
“เฮ้ย”
หลินหลานเซ่อยิงใส่ฉินฝู 1 นัด แล้วหันไปหาอาเส่งอย่างเร็ว อาเส่งเห็นแสงไฟนั้น หลินหลานเซ่อยกปืนยิง ใส่อาเส่ง แล้วดับไฟโทรศัพท์ทันที ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด พร้อมๆกับ เสียงปืนดังรัวไม่นับ
ฉินฝูกับลูกน้องยิงใส่กลุ่มอาเส่ง ขณะที่อาเส่งกับลูกน้องยิงใส่กลุ่มฉินฝู แต่ละคนยิงและโดนกระสุน
มือปืนร่วงลง เห็นไฟโทรศัพท์สว่างตรงจุดที่หลินหลานเซ่อนอนกอดฤทัยนาคอยู่กับพื้น
หลินหลานเซ่อนอนกอดฤทัยนาคไว้ในอ้อมแขน เด็กสาวปิดหูหลับตาอย่างหวาดกลัว เสียงปืนยังดังสนั่นหวั่นไหว
สักครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็เงียบเสียงลง มองจากมุมสูงลงมาพบว่ามือปืนนอนตายเกลื่อน ควันปืนลอยฉุย ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดและเงียบสงัด หลินหลานเซ่อขยับตัว ฤทัยนาคยังหลับตาปิดหูอยู่อย่างนั้น
“ไป ฤทัยนาค พวกมันตายหมดแล้ว”
“นายว่าอะไรนะ คนตายหรือ”
“ใช่ ไป”
หลินหลานเซ่อลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ฤทัยนาคช่วยประคอง ทั้งสองเดินผ่านศพมือปืน และก้าวข้ามฉินฝูไป

ฉินฝูลืมตาขยับตัว เจ็บปวดแผลมาก แต่รวบรวมเรี่ยวแรงหยิบปืนขึ้นหมายจะยิงตามหลัง แต่ปืนดันกระสุนหมด มันจึงสบถอย่างโกรธแค้นและเสียดาย

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น