xs
xsm
sm
md
lg

คิวบิก ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คิวบิก ตอนที่ 3

สองคนเผชิญหน้ากันอยู่อย่างนิ่งและนาน ภายในห้องทำงานหลินหลานเซ่อนั่นเอง จนสุดท้ายจงซินถามย้ำ

“เธอแน่ใจหรือว่าเธอจะทำได้สำเร็จ”
“ก็...ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ”
ฟังคำตอบแล้วจงซินมองจ้องเด็กสาวด้วยความโมโห
“คือ...ชั้นหมายถึงว่าชั้นจะทำให้เต็มที่ รับรอง”
“เอาล่ะ เธอต้องการข้อมูลอะไรในใบรับรองแพทย์”
“หนึ่ง ขอชื่อปลอมให้ชั้น” จงซินเขียนจดในกระดาษ “สอง ระบุว่าชั้นเป็นโรคหัวใจ”
“ทำไมต้องเป็นโรคหัวใจ” จงซินฉงน
“เอาเถอะน่า ใส่ไปเถอะ”
จงซินก้มลงเขียนตามที่นาคบอกในกระดาษ “แล้วไงต่อ”
“ให้ประวัติของชั้นไปอยู่ในทะเบียนของโรงพยาบาลในเป่ยเปียน”
“แล้วอะไรอีก”
“แค่นี้ก็พอ”
จงซินงง “แค่นี้น่ะหรือ ที่เธอคิดว่าเธอจะผ่านด่านตำรวจไปได้”
“ตอนนี้ขอแค่นี้ก่อน ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมชั้นจะรีบบอกนาย”
“ฤทัยนาค เธอรู้รึเปล่าว่าด่านตรวจที่นี่มันเข้มงวดแค่ไหน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ตำรวจสากลขอตั้งด่านตรวจที่เป่ยเปียน ขนาดบริษัทเรามีอิทธิพลยังถูกตรวจค้นรถสินค้าทุกคัน” เฟ่ยจงซินเตือนอย่างหวังดี
“ชั้นรู้แล้ว ขอบคุณมากนะ”
ฤทัยนาคเดินออกไป ปิดประตูลง จงซินมองตามแล้วกุมขมับ
“นี่เราทำอะไรลงไป เราถึงได้เชื่อใจไอ้เด็กบ้านี่”
ฤทัยนาคเปิดประตูกลับเข้ามาอีก “อ้อ จงซิน”
“อะไร” จงซินหงุดหงิด
“ระบุไปด้วยว่าชั้นเพิ่งขาหัก อย่าลืมนะ อันนี้สำคัญ”
จงซินพยักหน้า ฤทัยนาคปิดประตูลง จงซินเขียนลงกระดาษตามที่เด็กสาวบอกแล้วถอนใจอย่างเคร่งเครียด นั่งอยู่ในห้องอย่างหนักใจ

ตอนกลางวัน ในร้านอาหารจีนแห่งนั้น เห็นหลินหลานเซ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งกับเหม่ยจิง พนักงานเข็นรถติ่มซำเข้ามาวาง ยกเข่งวางบนโต๊ะควันฉุย เหม่ยจิงหนีบฮะเก๋าให้
“ฮะเก๋าค่ะร้อนๆ”
“เธอทานเถอะ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง”
“เหม่ยจิงอยากดูแลคุณนี่คะ” เหม่ยจิงวางฮะเก๋าในจานเบื้องหน้าหลินหลานเซ่อ เขาคีบกิน “เหม่ยจิงอยากให้คุณรู้นะคะว่าเหม่ยจิงรักแค่ไหน”
“ชั้นเคยบอกเธอแล้วไงว่าชั้นไม่เคยรักใคร”
“เหม่ยจิงรู้ค่ะ แต่เหม่ยจิงอยากให้คุณรู้ว่าเหม่ยจิงรักคุณ”
หลินหลานเซ่อยกชาจิบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ แล้วคีบอาหารเข้าปากโดยไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเหม่ยจิง
จังหวะนี้เห็นหย่งเหวินเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับไป่หลิง มีพนักงานเดินนำเข้ามา
ไป่หลิงร้องขึ้น “อุ๊ย พี่หย่งเหวินคะ”
“ว่าไงจ๊ะ”
“นั่นคุณหลินหลานเซ่อนี่คะ” ไป่หลิงมองไปทางหนึ่ง
หย่งเหวินมองตามเห็นหลินนั่งอยู่กับเหม่ยจิง
“ใช่ ไป ไปสวัสดีคุณหลินกัน”
หย่งเหวินกับไป่หลิงเดินตรงเข้าไปหาที่โต๊ะทักทายหลินหลานเซ่อ ก่อน
“สวัสดีครับคุณหลิน” / “สวัสดีค่ะคุณหลิน”
“อ้าวหย่งเหวิน ไป่หลิง” หลินหลานเซ่อทักตอบ
“สวัสดีครับคุณเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงทักทาย “สวัสดีค่ะคุณหย่งเหวิน”
หย่งเหวินแนะนำ “นี่น้องไป่หลิงหลานสาวท่านซานครับ”
“สวัสดีค่ะคุณเหม่ยจิง คุณเหม่ยจิงเนี่ยตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีกนะคะ” ไป่หลิงปลื้มที่เจอยอดนางแบบตัวเป็นๆ
“ขอบคุณค่ะ”
“ไป่หลิงขอถ่ายรูปคู่ด้วยได้มั้ยคะ”
“ได้สิคะ”
“พี่หย่งเหวินถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้จ้ะ” หย่งเหวินยกมือถือขึ้นถ่ายรูปให้ไป่หลิงกับเหม่ยจิง
“นี่มากันสองคนหรือคะ” เหม่ยจิงถาม
“ครับ” หย่งเหวินบอก
“นั่งด้วยกันมั้ยหย่งเหวิน” มาเฟียหนุ่มเชื้อชวน
“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้เป็นวันเกิดน้องไป่หลิง ผมตั้งใจจะมาเลี้ยงวันเกิดให้เธอ”
“งั้นก็เชิญ”
“แฮปปี้เบิรธเดย์นะจ๊ะน้องไป่หลิง ขอให้มีความสุขมากๆนะ” เหม่ยจิงยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
หย่งเหวินขอตัว “ขอตัวนะครับคุณหลิน”
พนักงานเดินนำหย่งเหวินและไป่หลิงไปที่โต๊ะว่าง หลินหลานเซ่อหันไปเรียกกัปตันร้านอาหาร
“มีอะไรครับคุณหลิน”
“สั่งดอกไม้ช่อใหญ่มาให้คุณผู้หญิงโต๊ะนั้นด้วย”
“ครับ”

ไป่หลิงดูรูปเหม่ยจิงกับตัวเองจากโทรศัพท์มือถืออย่างเป็นปลื้ม หย่งเหวินนั่งตรงข้าม
“พี่เหม่ยจิงสวยจังเลย น่ารักจริงๆ”
“แต่พี่ว่าไป่หลิงสวยกว่า”
ไป่หลิงชะงักมอง เห็นหย่งเหวินมองจ้อง พบว่าไป่หลิงเอียงอาย
“พี่หย่งเหวินอย่ามาหลอกให้ไป่หลิงดีใจเลย”
“พี่พูดจริงๆนะ ไป่หลิงสวยที่สุดสำหรับพี่”
หย่งเหวินกุมมือไป่หลิง
“พี่รักไป่หลิงนะ” ไป่หลิงเขินสะเทิ้นอาย “แล้วไป่หลิงล่ะคิดยังไงกับพี่”
“ไป่หลิงก็รักพี่หย่งเหวินค่ะ”

หย่งเหวินยกมือไป่หลิงขึ้นมาจูบอย่างนุ่มนวล ไป่หลิงมองปลื้มปนเขิน กายสาวสะเทิ้น

ฟางเหม่ยจิงมองไปที่หย่งเหวินกับไป่หลิงอย่างอิจฉา

“น่าอิจฉาคุณไป่หลิงจัง”
“ทำไม” หลินหลานเซ่อถามเสียงเรียบ
“ก็ดูคุณหย่งเหวินเค้ารักและทะนุถนอมคุณไป่หลิงมาก”
“เธอกำลังต่อว่าชั้นหรือ”
“ใครจะกล้าต่อว่าคุณคะ เหม่ยจิงรู้ค่ะว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร”
“ถ้ารู้ก็ดี ชั้นจะได้ไม่รำคาญใจ”
หลินหลานเซ่อบอกเสียงเรียบธรรมดา สีหน้าเหม่ยจิงอึ้งๆ คล้ายน้อยใจ
“ชั้นขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
เหม่ยจิงฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้หยดริน ลุกเดินออกไป หลินหลานเซ่อยกชาจิบ

เหม่ยจิงอยู่ในห้องน้ำแล้ว เปิดน้ำล้างมือ น้ำไหลระมือช้าๆ เหม่ยจิงเงยหน้าจ้องกระจกน้ำตาไหลรดแก้มนวล นึกถึงคำพูดไม่รักษาน้ำใจของมาเฟียหนุ่มเมื่อครู่
“ชั้นบอกแล้วไงคนอย่างชั้นไม่เคยรักใคร”
เหม่ยจิงน้ำตาไหลรินอย่างเจ็บปวด ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างสุดกลั้น

ด้านหลินหลานเซ่อเหลือบมองคนที่เดินมาหยุดข้างโต๊ะ แล้วหันกลับมาหยิบชาดื่มโดยไม่สนใจ เป็นเพ่ยอิงที่กำลังลากเก้าอี้มานั่งด้วยอย่างถือวิสาสะ
“ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้ให้เด็กนักเรียนผู้หญิงไปเจรจาธุรกิจแทนหรือ”
“ชั้นจะทำอะไรไม่เกี่ยวกับแก”
“เกี่ยวสิหลินหลานเซ่อ ฉายหงส์กรุ๊ปก็เป็นของชั้นเหมือนกันนะ”
“แต่ตอนนี้ชั้นเป็นคนบริหาร ชั้นมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้”
“แต่นายไม่ควรเอาเด็ก ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนมาคุยธุรกิจของเรานะ” เพ่ยอิงหยัน
“แล้วแกรู้ได้ไงว่าชั้นไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนเด็กคนนั้น”
“อ้อ นี่หมายความว่าเด็กนั่นมันเป็นเมียลับของนายใช่มั้ย”
หลินหลานเซ่อตบผัวะเข้าให้ที่ใบหน้าเพ่ยอิงเต็มแรง เพ่ยอิงผงะไป โกรธสุดขีด
“นี่แกกล้าตบหน้าชั้นต่อหน้าคนงั้นหรือ”
“ชั้นจะสั่งสอนให้แกรู้ว่าอย่าพูดจาพล่อยๆ กับชั้น” มาเฟียหนุ่มตาเข้มจัด
เพ่ยอิงกระชากปืนจ่อหลินหลานเซ่อ อาเหลียงที่ยืนดูอยู่กระชากปืนจ่อเพ่ยอิงทันที ลูกน้องเพ่ยอิงจ่อปืนใส่อาเหลียง
“ชั้นยิงแกเดี๋ยวนี้ก็ได้นะหลินหลานเซ่อ ขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้”
“แกยิงชั้นได้เลย เพราะชั้นไม่มีวันขอโทษแกแน่”
เพ่ยอิงโกรธสุดขีด หลินหลานเซ่อมองจ้องอย่างไม่กลัว
อาเหลียงมองจ้องเพ่ยอิง ลูกน้องเพ่ยอิงมองจ้องอาเหลียง
“งั้นแกก็อย่าอยู่เลย”
เพ่ยอิงขยับปืนในมือ หลินหลานเซ่อนิ่งเฉย
หย่งเหวินเข้ามาด้านหลังเพ่ยอิง “พอเถอะครับคุณเพ่ยอิง”
เพ่ยอิงหันมอง เห็นหย่งเหวินจ่อปืนมายังตน
“หย่งเหวิน ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าสอด”
“แต่ถ้าคุณยิงคุณหลินหลานเซ่อ ผมก็จำเป็นต้องยิงคุณเหมือนกัน”
เพ่ยอิง หย่งเหวินสู้สายตากันอยู่ หลินหลานเซ่อเหลือบมองหย่งเหวิน
เหม่ยจิงออกมาจากห้องน้ำยืนมองเหตุการณ์ปิดปากอย่างตื่ตระหนกตกใจ ส่วนไป่หลิงมองมาสีหน้าตกใจกลัวจนตัวสั่น
“วันนี้แกโชคดีนะที่มีหมาเข้ามาสอด” เพ่ยอิงหยันหลานเซ่อ ก่อนจะหันมองหย่งเหวิน “ไอ้หย่งเหวิน แกกับชั้นต้องได้เห็นดีกันแน่”
เพ่ยอิงออกไป ลูกน้องลดปืนลงเดินตามไป อาเหลียงมองตาม
“ขอบใจมากหย่งเหวิน” หลานเซ่อบอก
“ไม่เป็นไรครับ”
เหม่ยจิงวิ่งเข้ามาหาหลินหลานเซ่ออย่างตกใจ “มีเรื่องอะไรกันคะ”
“ไม่มีอะไร ผมขอตัว”
หลินหลานเซ่อเดินออกไปเลย เหม่ยจิงคว้ากระเป๋าวิ่งตาม หย่งเหวินมองตามก่อนจะเดินกลับไปนั่งโต๊ะ

หย่งเหวินเดินกลับเข้ามานั่งโต๊ะ ไป่หลิงยังไม่หายตกใจกลัว
“พี่หย่งเหวินคะ คุณเพ่ยอิงเค้าโกรธพี่มากนะคะ ที่พี่ทำอย่างงั้น”
“จะให้พี่ทำยังไง จะปล่อยให้เค้ายิงคุณหลินหรือ”
“พี่หย่งเหวินนี่เป็นคนดีจริงๆ”
“พี่ขอโทษด้วย วันนี้วันเกิดน้องไป่หลิง ไม่น่ามีเรื่องอย่างนี้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“งั้นทานอาหารต่อเถอะ”
หย่งเหวินคีบอาหารให้ ไป่หลิงยิ้มหวาน

หย่งเหวินคีบขนมจีบใส่ปากเคี้ยวกิน ยิ้มในสีหน้ามีเลศนัย

เพ่ยอิงอารมณ์ค้างโกรธสุดขีด กลับถึงบ้านเขาเล็งปืนใส่กระจกยิงเปรี้ยง กระจกแตกเพล้ง

“หลินหลานเซ่อ แกกับชั้นตายไม่เผาเงาไม่เหยียบกัน”
ป้าเหมยได้ยินเสียงปืน วิ่งออกมามองอย่างตกใจ
“มีเรื่องอะไรหรือคะคุณหนู”
“ไม่มี แค่กำลังโกรธอยากจะฆ่าใครซักคน”
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะคุณหนู คุณหนูใจร้อนอย่างนี้ไม่ได้นะคะ วันนี้คุณหนูโตแล้วเป็นถึงหัวหน้าสาขาฉายหงส์กรุ๊ป ขืนอารมณ์วู่วามแบบนี้จะปกครองคนไม่ได้นะคะ” ป้าเหมยปลอบ
“ก็จะให้ชั้นทำยังไง ไอ้หลินหลานเซ่อมันไม่ให้เกียรติชั้นเลย แถมไอ้หย่งเหวินยังเข้าข้างมันอีก ตอนนี้ชั้นมีศัตรูเพิ่มเป็นสองคนแล้วนะ ป้าเหมย”
“ป้าว่าคุณหนูใจเย็นลงซักนิดเถอะค่ะ ที่เกิดเรื่องก็คงเพราะคุณหนูเป็นฝ่ายเริ่มต้นอีกแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“นี่ป้าเหมยเข้าข้างมันอีกคนงั้นหรือ” เพ่ยอิงฉุน
“เห็นมั้ยล่ะคะ คุณหนูเป็นซะอย่างนี้ ป้าจะไปเข้าข้างสองคนนั่นได้ยังไง ป้าเลี้ยงคุณหนูมากับมือ”
เพ่ยอิงตัดบทท่าทีรำคาญ “เอาละ เอาละ เลิกพูดซะที ผมยิ่งปวดหัวอยู่ด้วย ป้าเหมย ไปหาอะไรให้ผมกินหน่อย ผมยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย”
“ค่ะ เดี๋ยวป้าไปทำบะหมี่ให้”
ป้าเหมยออกไป อาจงเข้ามา
“คุณเพ่ยอิงครับ”
เพ่ยอิงรำคาญสุดขีด “อะไรอีกล่ะ”
“มีลูกค้าที่บ่อนเป็นคนไทยมาขอพบครับ”
“คนไทย...ชื่ออะไร”
องจงว่า “เค้าบอกวิษณุ”
เพ่ยอิงพยักหน้าบอก “ให้เข้ามา”
อาจงออกไป เพ่ยอิงนั่งรอ ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุด เขาคือ วิษณุ นักพนันตัวเอ้จากไทย
“เชิญนั่งคุณวิษณุ มีอะไรหรือ”
“คือ...วันนี้ผมโชคไม่ดี เสียหมดตัวที่บ่อน”
“แล้วไง”
“ผมอยากจะขอเครดิตเพิ่มหน่อย” วิษณุบอก
“แต่คุณเอาผมไปสิบล้านแล้วนะ”
“ผมรู้ แต่สองสามวันมาเนี่ยมันดวงไม่ดี เอาน่า ขออีกซักสิบล้าน ได้มั้ย ผมจะไปแก้มือ”
“ยี่สิบล้านไม่ใช่เงินน้อยนะคุณวิษณุ คุณควรจะมีอะไรค้ำประกันหน่อยนะ”
จังหวะนี้ มีนา เด็กสาววัยสิบเจ็ดเดินเข้ามาด้านหลังวิษณุ
“พ่อคะ”
เพ่ยอิงชะงักมองไป วิษณุหันมองตาม
“ลูกสาวผมเอง เค้าติดรถผมมาด้วย ว่าไงลูก”
“หนูขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ยคะ” เพ่ยอิงว่า
“เดินตรงไปอยู่ซ้ายมือ” เพ่ยอิงบอก
“ขอบคุณค่ะ” มีนาเดินออกไป เพ่ยอิงมองตามอย่างสนใจ
“ว่าไงคุณเพ่ยอิง สิบล้านนี้ผมว่าผมได้คืนแน่ รับรอง สิ้นเดือนผมเอาเงินมาคืนคุณแน่”
“ก็อย่างที่ผมบอก คุณมีหลักประกันอะไร”
“โธ่ คุณเพ่ยอิง ผมเล่นที่บ่อนคุณมาเป็นปีๆ นะ เสียไปไม่รู้กี่ร้อยล้านแล้ว”
เพ่ยอิงบอกออกมา “ก็ได้”
วิษณุดีใจมาก “ขอบคุณมาก มันต้องอย่างนี้สิ ถึงได้เล่นกันนานหน่อย” เซียนพนันลุกขึ้นยืน
เพ่ยอิงบอกต่อ “เดี๋ยว สิ้นเดือนคุณต้องเคลียร์ผมจริงๆนะ”
“เคลียร์สิ ผมไม่เคยติดหนี้คุณนะ”
วิษณุรับคำ เตรียมเดินออก มีนาเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“เสร็จธุระรึยังคะพ่อ”
“ผมไปก่อนละ”
“ขอบคุณนะคะที่ให้เข้าห้องน้ำ”
มีนายิ้มให้ เพ่ยอิงยิ้มพยักหน้ารับ สาววัยใสเดินตามพ่อออกไป เพ่ยอิงลุกเดินตามไปมองที่กระจก ทางเดินหน้าบ้าน มีนาเดินออกมากับวิษณุ มีนาเหลียวกลับมามองเห็นเพ่ยอิงมองอยู่ จึงยิ้มให้ก่อนจะเดินตามพ่อออกไป

เพ่ยอิงมองตาม ยิ้มอย่างถูกใจ

อีกวันหนึ่ง แดนนี่ยกน้ำดื่มน้ำรอฤทัยนาคอยู่ที่ริมอ่าว แลเห็นตึกสูงริมน้ำเบื้องหลัง สักครู่หนึ่งฤทัยนาคขี่จักรยานเข้ามาจอด กระโดดลงแล้วเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่ สองคนยังอยู่ในชุดนักเรียนกันทั้งคู่

“โทษทีแดนนี่ สายไปหน่อย”
“ชั้นจะเตือนเธอนะ ตอนที่เอาของไปส่ง เธอต้องตรงเวลานะ เพราะถ้าเธอผิดเวลา คนซื้อมันจะไม่รอเรา”
“เอาน่า เมื่อกี้ชั้นแค่ปวดท้อง แวะเข้าส้วมสาธารณะหน่อยเดียว ไหนล่ะของที่ชั้นให้นายไปหา”
แดนนี่ดึงเอกสารออกมาจากซอง “นี่เป็นรายละเอียดของรถพยาบาล และนี่คนนี้จะเป็นคนขับรถ” เด็กหนุ่มหยิบรูปถ่ายให้ดู “คนนี้เป็นบุรุษพยาบาลและคนนี้คือผู้ช่วยพยาบาล” ฤทัยนาครับรูปไปดู “และนี่คือแผนที่จุดนัดหมายที่เธอต้องเอาของไปส่ง” แดนนี่ส่งเอกสารทั้งหมดให้
“แล้วเมื่อชั้นไปถึงจุดนัดหมายทำไงต่อ”
“เมื่อเธอไปถึงจุดนัดหมาย คนซื้อจะมารออยู่เค้าจะส่งเป้ที่มีเงินดอลลาร์จำนวนห้าแสนเหรียญให้เธอ”
“แล้วชั้นต้องนับมั้ย”
“ไม่ต้อง เธอรับเงินแล้วส่งของให้เค้า รีบออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แล้วเรามาเจอกันที่นี่ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจ”
“ทีนี้บอกชั้นได้รึยังว่าเธอจะหาวิธีผ่านด่านที่สามออกไปได้ยังไง โดยไม่ถูกตรวจ”
ฤทัยนาคดึงคัตเตอร์จากในกระเป๋ากางเกงออกมาส่งให้แดนนี่
“อะไร”
“ชั้นบอกนายไปแล้วนี่ว่าชั้นต้องขาหัก”
แดนนี่งงเต๊ก “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคัตเตอร์”
“นายก็รู้ว่าชั้นขาหักจริงๆไม่ได้ กรีดขาชั้นให้เป็นแผล”
เด็กหนุ่มตาเหลือก “หา อะไรนะ”
“ในทะเบียนผู้ป่วยบอกว่าชั้นขาหักแบบต้องดามกระดูก นั่นหมายความว่าชั้นต้องมีแผลผ่าตัด แล้วชั้นจะมีแผลได้ยังไงถ้าไม่ทำมันขึ้นมา กรีดให้ที” ฤทัยนาคพูดราวกับรายงานดินฟ้าอากาศ
“บ้า ชั้นว่าเธอบ้าไปแล้ว ชั้นไม่ทำหรอก ชั้นทำไม่ได้”
“แต่เราเป็นทีมเดียวกันนะ นายต้องช่วยชั้น”
“ไม่ ขอร้องล่ะนาค ชั้นเป็นคนกลัวเลือด”
“นายนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ”
ฤทัยนาคเซ็ง มองคัตเตอร์ในมือแล้วมองขาตัวเอง ก่อนจะยกคัตเตอร์ขึ้น แดนนี่หลับตาปี๋อย่างหวาดเสียว
“อย่าเลยนาค ชั้นกลัว”
ฤทัยนาคมองคัตเตอร์ในมือทำท่าจิ้มลงไปที่ขา สักครู่มีเสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วเบย์
“อ๊าก....โอ๊ย ย...”

ไม่นานต่อมาสองคนอยู่ในห้องพยาบาลโรงเรียน หมอกำลังทำความสะอาดแผลที่ขาฤทัยนาค ที่ถูกกรีดเป็นแผลยาวเป็นทางน่าสยอง
“นี่แผลลึกมากนะ เธอไปทำอีท่าไหนเนี่ย” หมอสอบถามอาการ
“เราไปเดินเล่นแถวหลังโรงยิมน่ะครับ ไม่คิดว่าจะมีของมีคม”
“ต้องบอกเจ้าของโรงเรียนนะคะว่าให้ช่วยดูแลหน่อย เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน” ฤทัยนาคพูดให้น่าเชื่อถือ
“เดี๋ยวหมอจะสั่งให้ภารโรงไปเก็บทำความสะอาด แผลลึกมากขนาดนี้ต้องเย็บหลายเข็มหน่อยนะ”
แดนนี่ขนลุกขนพอง หันหลังให้อย่างหวาดเสียว “งั้นผมออกไปรอข้างนอกดีกว่า”
หมอหันไปหยิบอุปกรณ์เย็บแผล “เจ็บหน่อยนะ”
“เอาเถอะค่ะหมอ เย็บซะที อย่าพูดอยู่เลย ยิ่งพูดหนูยิ่งเสียว”
หมอหยิบเข็มเย็บแผลให้อย่างชำนาญ

แดนนี่ยืนรออยู่หน้าห้องได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฤทัยนาค
“โอ๊ย ย ย ย...”
“ไอ้นี่มันบ้าหรือโง่วะเนี่ย มันถึงกล้าทำแบบนี้”
เสียงร้องโอดโอยของฤทัยนาคยังดังต่อเนื่อง จนแดนนี่รู้สึกกลัวเสียวสยองไปด้วย

ด้านหลินหลานเซ่อยืนทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ปลายสายตาคือริมอ่าวจงซินเดินเข้ามาหา
“คุณหลินมีอะไรกับผมอีกมั้ยครับ ผมจะกลับแล้ว”
“ไม่มี”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ” จงซินหันกลับเตรียมเดินออก หลานเซ่อเรียกไว้
“เดี๋ยวจงซิน”
“ครับ”
“เมื่อวานฤทัยนาคมาคุยอะไรกับนาย”
“เอ่อ...” เฟ่ยจงซินอึกอักไม่กล้าบอก
“ทำไม อยู่กับเด็กนั่นไม่นานติดโรคเอ๋อมาหรือไง”
“เด็กนั่นมาขอใบรับรองแพทย์ครับ”
“เธอไม่สบายหรือ” มาเฟียรูปงามประหลาดใจ
“เปล่าครับ”
“แล้วเอาใบรับรองแพทย์ไปทำอะไร”
จงซินถอนใจตัดสินใจบอกความจริง “คือ.. เธอไปตกลงกับคาลอสว่าถ้าเธอส่งอาวุธให้คาลอส
สำเร็จ คาลอสต้องเซ็นต์สัญญากับเรา”
หลินหลานเซ่อพิศวง “นายพูดอะไรนะ เด็กนั่นจะไปส่งอาวุธให้ไอ้คาลอสงั้นหรือ”
“ใช่ครับ”
“ไปเอาตัวเด็กนั่นมา”
“คงไม่ทันแล้วครับ”
“หมายความว่าไงไม่ทัน”
“ป่านนี้เธอคงกำลังขนอาวุธอยู่ครับ”
“ขนไปที่ไหน”
“เป่ยเปียนครับ”

หลินหลานเซ่อรำพึง “เป่ยเปียน”

อ่านต่อหน้า 2

คิวบิก ตอนที่ 3 (ต่อ)

มันเป็นเวลาราว 00.30 น. แล้วในขณะนี้ แม่บ้านของโรงพยาบาล ถือถาดใส่กาแฟสองแก้วเข้ามาในห้องพักเจ้าหน้าที่ประจำรถพยาบาล โดยเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งอ่านหนังสือพิมพ์ อีกคนนั่งเล่นมือถือ

“กาแฟ ชาลี”
“ขอบใจ” ชายชื่อชาลีบอก แม่บ้านเดินออกไปเลย เจ้าหน้าที่ยกกาแฟดื่ม

ขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์บนเคาน์เตอร์ในล็อบบี้โรงพยาบาลเป่ยเปียนกรีดเสียงดังขึ้น มือพยาบาลคนหนึ่งเข้ามารับสาย
“สวัสดีค่ะ เป่ยเปียนฮอสพิทัลค่ะ...ให้ไปรับคนไข้ที่ไหนนะคะ”
เป็นแดนนี่นั่นเอง เขาโทร.มาจากในรถตู้ พูดสายต่อ
“หนานชางครับ ด่วนเลยนะครับ คนไข้มีประวัติอยู่ที่นั่นแล้ว”
“ค่ะ ขอชื่อคนไข้ด้วยนะคะ”
แดนนี่บอก “จางหลี่ปิง”
พยาบาลซักอาการ “แล้วคนไข้เป็นอะไรคะ”
“เป็นลมหมดสติครับ”
“โอเคค่ะจะไปเดี๋ยวนี้เลย” พยาบาลหันไปกดโทรศัพท์บอกเจ้าหน้าที่ “เอารถพยาบาลออกไปรับคนไข้ที่หนานชางด่วน”

สักครู่หนึ่ง เห็นรถพยาบาลวิ่งออกไปจากใต้ถุนลานจอดรถ พร้อมเปิดเสียงหวอก้องกังวาน โดยพบว่าเจ้าหน้าที่ประจำรถสองคนถูกมัดมือปิดปากหลับอยู่ ข้างซอกตึก

รถพยาบาลมาจอดยังจุดนัดหมายแห่งหนึ่ง เมื่อประตูรถเปิดออก เผยให้เห็นพยาบาลนั่งอยู่ด้านใน ฤทัยนาคกับแดนนี่เดินเข้ามาหา พยาบาลสาวสวยดุแนะนำตัวยืนมือมาให้ฤทัยนาคจับ
"ฉัน...เจินม่านอี้ค่ะ"
“เอาเตียงออก”
“ครับ” บุรุษพยาบาลกับคนขับที่เป็นคนของฤทัยนาคกับแดนนี่ ช่วยกันยกเตียงออก
“เธอจะเอาปืนซ่อนไว้ใต้เตียงหรือ” แดนนี่ถาม
“ใช่ ปืนจะต้องอยู่ติดกับตัวชั้นมากที่สุด เอาละ ขนปืนไปวางใต้เตียง”
เจ้าหน้าที่ช่วยกันยกลังปืนเอ็ม16 จำนวน 10 กระบอก และปืนสั้นอีก 10 กระบอกไปวางใต้เตียง
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“คลุมผ้าแล้วเอาเตียงเข้าที่” ฤทัยนาคสั่ง เจ้าหน้าที่ทำตาม “คราวนี้พวกคุณก็ช่วยอุ้มชั้นขึ้นเตียงหน่อย”
บุรุษพยาบาลกับคนขับช่วยพยุงฤทัยนาคขึ้นเตียง
“พวกคุณจำไว้ให้ดีนะ ห้ามตำรวจเคลื่อนย้ายตัวชั้นออกจากเตียงเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
สองคนรับ “ค่ะ” / “ครับ”
“เรียบร้อยแดนนี่”
“โชคดีนะ ฤทัยนาค หวังว่าจะได้เจอเธอที่จุดนัดพบนะ”
“ชั้นก็หวังอย่างงั้น”
เจ้าหน้าที่ดึงประตูปิดกระโดดขึ้นรถ เห็นรถพยาบาลวิ่งออกไป แดนนี่มองตาม เอาใจช่วยสุดๆ
“หวังว่าเธอจะทำงานสำเร็จนะ ฤทัยนาค”

รถพยาบาลวิ่งผ่านไป พร้อมเสียงหวอดังสนั่น
ฤทัยนาคนอนนิ่งมองเพดานรถ หน้าตาเครียดเคร่งคิดถึงภารกิจเพื่อความอยู่รอดครั้งนี้ กิริยาอาการลุ้นสุดขีด

ไฟตรงด่านตรวจ จุดที่ 1 วิบวับอยู่ไม่ไกล รถพยาบาลวิ่งเข้ามาถึงด่าน ตำรวจออกมาโบกเรียก
รถพยาบาลเข้ามาจอดเทียบ ตำรวจเข้ามาถามคนขับ
“ไปไหน”
“พาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลเป่ยเปียน” คนขับบอก
ตำรวจสั่ง “เปิดท้ายหน่อย”
ฤทัยนาค ซึ่งเวลานี้มีหน้ากากให้ออกซิเจนสวมอยู่ลุ้นระทึก
“แต่คนไข้อาการสาหัสนะครับ” คนขับท้วง
“มันเป็นคำสั่ง ต้องตรวจค้น”
บุรุษพยาบาลมองหน้าคนขับ คนขับพยักหน้าให้ บุรุษพยาบาลลงมาเปิดท้ายรถให้
ตำรวจมองเข้าไปในรถ พบฤทัยนาคนอนหลับ ใส่หน้ากากออกซิเจนอยู่
“คนเจ็บเป็นอะไร”
“โรคหัวใจรุนแรงค่ะ”
ตำรวจตกใจ “อ้าว งั้นก็รีบไปเลย”
บุรุษพยาบาลปิดประตูหลังรถ แล้วรีบกระโดดขึ้นอย่างสมบทบาท รถวิ่งออกไป เสียงหวอดังสนั่น

รถแล่นมาสักระยะ พยาบาลมองไปด้านหลังแล้วหันมาบอกฤทัยนาค
“ผ่านด่านแรกแล้ว”
ฤทัยนาคลืมตาถอนใจ ดึงหน้ากากออกซิเจนออกหายใจหอบอาการลุ้นเช่นเดิม

ตำรวจด่าน1 วอบอก ด่าน 2
“ด่านหนึ่งเรียกด่านสอง ช่วยเปิดทางให้รถพยาบาลไปเป่ยเปียนด้วยมีคนไข้เจ็บหนัก”
เสียงวอจากด่าน 3 ตอบ “รับทราบ”

รถพยาบาลเปิดหวอวิ่งผ่านด่าน 2 ออกไปโดยไม่ถูกกัก ตำรวจหน้าด่าน 2 วอบอกด่าน 3
“ด่านสองเรียกด่านสาม มีคนไข้เจ็บหนักช่วยเปิดทางให้รถพยาบาลด้วย”

รถแล่นมาเรื่อยๆ เสียงหวอดังสนั่น พยาบาลบอกฤทัยนาค
“ถึงด่านสามแล้ว”
“อย่าลืมนะ อย่าให้ตำรวจเคลื่อนย้ายชั้นออกจากรถ เข้าใจมั้ย” ฤทัยนาคกำชับ
“เข้าใจค่ะ”

ฤทัยนาคหยิบหน้ากากออกซิเจนมาใส่แล้วหลับตาลง

รถติดเป็นแถวยาวเป็นแพรอตรวจเพื่อผ่านด่าน เห็นตำรวจหลายนายเดินตรวจรถที่จะผ่าน สักครู่จึงแพทริคเดินเข้ามามองซ้ายขวาอย่างเอาเรื่อง ตำรวจลูกน้องเข้ามารายงาน

“ผู้กองครับมีวิทยุจากด่านสองวอมาที่นี่ บอกว่ามีรถพยาบาลจะเข้าไปในเป่ยเปียน ให้เราเคลียร์ทางให้ด้วยครับ”
“รถพยาบาลมาจากไหน”
“หนานชางครับ ทางด่านสองแจ้งมาว่าเป็นคนไข้ฉุกเฉิน”
แพทริคชะงักเอะใจ “มีรถพยาบาลจากเป่ยเปียนไปรับคนไข้ที่หนานชางงั้นหรือ”
“ใช่ครับ ผมเปิดทางให้ผ่านไปเลยนะครับ”
ตำรวจจะยกวอตอบ เสียงรถหวอพยาบาลดังใกล้เข้ามา
“เดี๋ยว” แพทริคเรียกไว้
“มีอะไรหรือครับ” ลูกน้องงง
“กักรถพยาบาลไว้ก่อน”
ตำรวจตกใจ “อะไรนะครับ ทางนู้นบอกว่ามีคนไข้โรคหัวใจต้องได้รับการรักษาด่วนนะครับ”
“จะเป็นอะไรก็ช่าง ต้องให้ชั้นตรวจก่อน”
“แต่คนไข้อาการสาหัสนะครับ อาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้” ตำรวจลูกน้องทักท้วงใหญ่
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าแกเป็นโรคหัวใจกำลังจะตายแกจะเรียกรถพยาบาลจากเป่ยเปียนมารับแกที่หนานชางรึเปล่า มีโรงพยาบาลเป็นสิบในหนานชางทำไมไม่เรียก กักรถพยาบาลเดี๋ยวนี้”
ลูกน้องตำรวจมองแพทริคอย่างไม่อยากเชื่อ

รถพยาบาลวิ่งเข้ามายังด่านที่ 3 ล้อรถเบรคเอี้ยดแล้วลดความเร็ว ตำรวจโบกรถขวางทางไว้ คนขับรถโผล่หน้าออกมาออกอาการไม่พอใจอย่างสมบทบาท น่าขว้างรางวัลออสการ์ให้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย อยู่ๆ มาห้ามรถ ผมมีคนไข้เจ็บหนักนะ”
“ขอโทษครับ มีเหตุฉุกเฉินต้องขอตรวจค้นครับ”
คนขับเปิดประตูรถ วิ่งลงมากระชากแขนตำรวจอย่างไม่พอใจ
“แต่เรามีคนไข้ป่วยหนักที่ต้องการการรักษาด่วนนะ
แพทริคเข้ามากระชากแขนคนขับ “เฮ้ย ด่วนยังไงก็ต้องตรวจ แกอยู่เฉยๆ”
“คุณตำรวจ นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ คนไข้อาจจะปุบปับตายเดี๋ยวนี้ก็ได้นะ”
“เรื่องของมัน ถ้ามันอยากตาย ชั้นมีหน้าที่ตรวจ”
แพทริคไม่แยแส เดินดุ่มๆ ไปที่ท้ายรถ บุรษพยาบาลกระโดดเข้ามากระชากแขนแพทริคไว้ แพทริคจับบิดแขนค้ำคอ
“ถ้าแกยังขืนขัดขวางชั้นอีกล่ะก็ ชั้นจะจับแกยัดเข้าคุกแน่” แพคทิคสั่งตำรวจลูกน้องเสียงดัง “ตรวจหน้ารถค้นให้ทั่ว”
แพทริคจับบุรุษพยาบาลผลักกระเด็นไปหน้ารถ
“เปิดประตูรถ”
แพทริคสั่งลูกน้องอีก พวกตำรวจมองหน้า
“เอ่อ ผู้กองครับ นี่มันรถพยาบาลนะครับ เรากำลังทำผิดกฎหมายอยู่นะครับ”
“ตอนนี้คนที่ใหญ่ที่สุดที่นี่คือชั้น เกิดอะไรขึ้นชั้นรับผิดชอบทั้งหมด เปิดประตู”
ตำรวจลูกน้องจำใจเปิดท้ายรถออกช้าๆ
แพทริคเดินมาหยุดมองจ้องเข้ามาในรถ พยาบาลที่นั่งอยู่ในรถขยับตัวมาขวาง
“มีอะไรหรือคะคุณตำรวจ พวกคุณเข้ามาในนี้ไม่ได้นะคะ นี่คนไข้ฉุกเฉินนะคะ”
แพทริคไม่ใส่ใจ “ผมรู้แล้ว คนไข้ป่วยเป็นอะไร”
“เป็นโรคหัวใจค่ะ”
“แล้วใครเป็นคนโทร.แจ้งเรียกรถ”
“เพื่อนเธอค่ะ พอเธอเป็นลมเพื่อนเธอก็โทร.แจ้งมาเลย” พยาบาลบอกอีก
“แล้วทำไมเธอต้องเรียกรถพยาบาลมาจากเป่ยเปียน ทั้งๆ ที่เธออยู่หนานชาง” แพทริคซักไซร้
ฤทัยนาคเหลือบตามอง แอบฟัง
“อ๋อ เธอเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลเราและมีหมอประจำตัวอยู่ที่นั่นค่ะ”
แพทริคไม่สน “หมวด ติดต่อไปโรงพยาบาลเป่ยเปียนให้เค้าแฟกซ์ประวัติคนไข้มาให้ผม”
“ครับ”

ตำรวจลูกน้องเดินออกไป คนขับรถชำเลืองมองหน้าสบตากับบุรุษพยาบาล

ที่ด่าน 3 อันเป็นปราการที่แดนนี่และฤทัยนาคหนักใจที่สุดนั้น บรรยากาศลุ้นระทึกสุดขีด แพทริคหันไปบอกลูกน้อง

“จ่า ขอเครื่องตรวจจับอาวุธด้วย”
ฤทัยนาคที่แกล้งหลับตาอยู่ หรี่ตาขึ้นมามองอึ้งๆ พยาบาลเองก็มองฤทัยนาคอย่างเป็นกังวล จ่าตำรวจเอาเครื่องตรวจจับอาวุธมาให้แพทริค
“เอาล่ะ คุณลงมาได้แล้ว”
พยาบาลขัดขึ้น “เดี๋ยวนะคะคุณตำรวจ ชั้นขอชี้แจงหน่อยนะคะ คุณห้ามเอาเครื่องมือที่มีแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าใกล้ผู้ป่วยนะคะ”
“ทำไมถึงเข้าใกล้ไม่ได้ มีอะไรซ่อนอยู่งั้นหรือ”
พยาบาลเสียงเข้ม “ไม่ใช่ค่ะ คนไข้มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ แล้วในตัวเธอก็ฝังเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ”
แพทริคไม่แยแส “แล้วไง”
“ก็เครื่องตรวจจับโลหะมันมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจจะส่งผลให้หัวใจเธอหยุดเต้นกระทันหันน่ะสิคะ”
ท่าทีอันจริงจังของนางพยาบาล ทำเอาแพทริคอึ้งกับเหตุผล เขาโกรธสุดขีด
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
แพทริคมองพยาบาลค้นความจริง พยาบาลมองสบตาไม่มีหลบ
แพทริคละสายตามามองคนขับรถกับบุรุษพยาบาล ทั้งสองมองจ้องรอลุ้น แพทริคมองมายังลูกน้องตำรวจ บรรดาตำรวจมองตาละห้อง ต้องการให้ปล่อยรถ
แพรทริคมองไปที่ผู้ป่วย เห็นฤทัยนาคยังหลับพริ้ม สุดท้ายแพทริคจำใจตัดสินใจ
“เอาล่ะไปได้”
แพทริคโมโหเอาเครื่องตรวจเคาะที่ปลายเตียงใกล้ขาฤทัยนาค เสียงเครื่องตรวจจับร้อง ปี๊ดดดด..
แพทริคชะงัก ฤทัยนาคเบิ่งตาเบิกโพลงคล้ายตกใจ พยาบาลเจินม่านอี้อึ้งใจหายวาบ คนขับรถกับบุรุษพยาบาลมองหน้ากันช้าๆ
แพทริคมองจ้อง ยื่นเครื่องตรวจไปที่ขาฤทัยนาคอีกครั้ง เสียงเครื่องยิ่งดัง ปี๊ดด ดังยาวไม่หยุด แพทริคมองจ้องโกรธสุดขีด กระชากแขนเจินม่านอี้เต็มแรง
“ลงมานี่”

ไม่เท่านั้นแพทริคกระชากผ้าคลุมตัวฤทัยนาคออกช้าๆ
บุรุษพยาบาลกับคนขับรถและเจินม่านอี้ข้ามากระชากยื้อตัวแพทริคไม่ให้เข้าไปที่รถ
“คุณทำอย่างงั้นไม่ได้นะครับ”
“อย่าค่ะ เดี๋ยวคนไข้ตายนะคะ” พยาบาลเสริม
คนขับเสริม “ใช่ครับ คุณทำเกินไปแล้วนะ”
“ถอย”
แพทริคตวาด สะบัดทุกคนออกไป ลูกน้องตำรวจเข้ามาดึงแพทริค หน้าตาจริงจัง
“ผู้กองครับ ผมว่าเราทำเกินไปนะครับ ถ้าคนไข้ตายขึ้นมาเราติดคุกทั้งหมดนะครับ”
“แต่แกไม่ได้ยินเสียงเครื่องตรวจหรือไง มันมีอาวุธซ่อนอยู่ในรถ”
“ไม่ใช่นะคะ” พยาบาลเจินม่านอี้คุมสติ
“ไม่ใช่แล้วทำไม เครื่องตรวจถึงดัง”
“คงเป็นเพราะว่าเธอผ่าตัดดามขาน่ะครับ” บุรุษพยาบาลบอก
แพทริคชะงัก “ว่าไงนะ”
“เธอเพิ่งผ่าตัดดามขามา นี่ไงครับ”
บุรุษพยาบาลชี้ให้ดู แพทริคมองแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นที่ขามีผ้าพันแผลพันไว้
“เปิดผ้าพันแผลออก”
ตำรวจลูกน้องท้วงอีก “ผู้กองครับผมว่าเราทำเกินไปนะครับ”
“หุบปาก ชั้นจะดูด้วยตาของชั้น เปิดผ้าพันแผลให้ชั้นดู”
เจินม่านอี้พยักหน้าให้ บุรุษพยาบาลเปิดผ้าพันแผลออกช้าๆ
แพทริคเพ่งมองจ้องนิ่ง เห็นขาฤทัยนาคเห็นรอยแผลถูกเย็บยาว แพทริคจ้องตาแทบถลน ยกเครื่องตรวจในมือไปจี้ที่ขา เครื่องร้องดังปี๊ดดอีก
“ขาหักแล้วทำไมไม่ใส่เฝือก”
“เธอเพิ่งเย็บแผลตอนที่หกล้มเมื่อกี้ เราเลยจำเป็นต้องตัดเฝือกเธอออก”
แพทริคมองร่างฤทัยนาคอย่างครุ่นคิด
“แต่เครื่องมือนี่มันเอาไว้สำหรับตรวจโลหะที่ทำอาวุธ ขาเธอดามด้วยอะไร”
แพทริคหันมาถามบุรุษพยาบาล บุรุษพยาบาลอึ้งมองหน้าพยาบาล แพทริคมองหน้าเจินม่านอี้ หล่อนคิดปราดเดียวแล้วบอก
“อ๋อ ไททาเนียมค่ะ”
แพทริคอึ้ง ถอนใจกับคำตอบ
“คุณตำรวจคะชั้นขอร้องล่ะ กรุณานำเครื่องออกห่างจากตัวคนไข้ด้วยค่ะ เดี๋ยวหัวใจเธอหยุดเต้นมันจะยุ่งนะคะ”
แพทริคมองพยาบาล พยาบาลมองจ้อง
หมวดตำรวจลูกน้องเข้ามาพร้อมกระดาษแฟกซ์
“ผู้กองครับโรงพยาบาลส่งแฟกซ์มาแล้วครับ เธอเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจริงๆ แล้วเธอก็เพิ่งผ่าตัดดามกระดูกเมื่อสามวันที่แล้วครับ
แพทริคพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะไล่สายตามองพยาบาล บุรุษพยาบาลและคนขับรถ เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“ต่อโรงพยาบาล ชั้นต้องการรู้ประวัติสามคนนี้”

พยาบาลเจินม่านอี้ บุรุษพยาบาล และคนขับรถ อึ้งตะลึงงัน

ตำรวจต่อโทรศัพท์เสร็จ ส่งให้แพทริค

“นี่ครับผู้กอง”
“ผมอยากได้รายชื่อเจ้าหน้าที่สามคนที่ออกมารับคนไข้ที่หนานชาง ด่วนเลยนะครับ”
ที่เคาน์เตอร์ในโรงพยาบาล พยาบาลรับสายพูดโทรศัพท์อยู่
“รอซักครู่นะคะ”
แพทริคถือโทรศัพท์รอสาย พลางมองจ้องหน้าพยาบาล บุรุษพยาบาล และคนขับรถ ทั้งสามเริ่มใจไม่ดี
ฤทัยนาคนอนนิ่ง แต่หัวใจเต้นโครมคราม ตื่นเต้นสุดขีด

สักครู่พยาบาลพูดโทรศัพท์ “ขอโทษที่ต้องให้ถือสายรอนะคะ”
“ว่าไง พยาบาลที่มากับรถชื่ออะไร”
“พยาบาลชื่อ...”
หมวดลูกน้องเอ่ยขึ้น “ผู้กองครับ”
“มีอะไร”
“มีวอแจ้งเข้ามาว่า คาลอส ทาร์เปีย ขับรถฝ่าด่านที่สองมาทางเราครับ”
“อะไรนะ” แพทริคโยนโทรศัพท์ทิ้งกระชากไหล่ตำรวจ “ไอ้คาลอสงั้นหรือ”
“ใช่ครับ ด่านที่สองให้เราสกัดจับครับ”
“แล้วยืนทำอะไรกันเล่า ไปเตรียมตั้งด่านจับมัน”
ตำรวจแยกย้ายกันออกไป
พยาบาลเรียกขึ้น “ผู้กองคะ”
“มีอะไร”
“ดิชั้นไปได้รึยังคะ”
“เชิญ”
แพทริคหันหลังให้รถพยาบาล พยาบาลกระโดดขึ้นรถ บุรุษพยาบาลปิดประตูปัง

รถหวอพยาบาลขับออกไป แลเห็นแพทริคยืนสั่งการอยู่กลางถนน กำลังตำรวจตั้งแถวเล็งปืนรอจับคาลอส
แพทริคเหลียวมองกลับไปยังรถพยาบาลที่วิ่งจากไป อย่างหงุดหงิด
“นึกว่ามันจะแอบขนอาวุธมาในรถพยาบาลซะอีก”

รถแล่นห่างออกมาสักระยะ พยาบาลมองไปทางหลังรถอย่างโล่งอก ฤทัยนาคกระชากหน้ากากออกซิเจนออก ดีดตัวขึ้นนั่ง
“โอ๊ย หัวใจแทบจะหยุดเต้น”
“ชั้นหนักกว่าเธอ หัวใจหยุดไปแล้วสามนาที”
เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ฤทัยนาคกดรับ “ฮัลโหล”
เป็นแดนนี่ที่พูดโทรศัพท์จากรถคันหนึ่ง “เธอผ่านด่านสามออกไปแล้วใช่มั้ย”
ฤทัยนาคฉุนนิดๆ “ใช่ ทำไมพ่อนายมาช้าจัง รู้มั้ย ถ้าช้าอีกครึ่งนาที พวกเราทั้งหมดต้องเข้าไปอยู่ในคุกแล้วนะ”
“เอาน่า ถึงยังไงพ่อชั้นก็มาทันเวลาแล้วกัน เธอรีบเอาของไปส่ง ชั้นจะโทร.บอกลูกค้า”
“โอเค” ฤทัยนาคปิดโทรศัพท์ หันมาบอกพยาบาล “บอกเสี่ยวผิงไปที่นัดพบเลย”
“ค่ะ” เจินม่านอี้หยิบวอขึ้นมาบอก “เสี่ยวผิงไปที่นัดพบเลย”
บุรุษพยาบาลที่อยู่ที่นั่งตอนหน้าพูดวอตอบ
“โอเค.” บุรุษพยาบาลหันไปบอกคนขับ “เหยียบให้มิดเลย”

รถพยาบาลวิ่งทะยานลงเนินไปอย่างรวดเร็ว

อ่านต่อหน้า 3

คิวบิก ตอนที่ 3 (ต่อ)

ตรงจุดนัดพบส่งอาวุธ ในเวลาไม่นานต่อมา แลเห็นรถพยาบาลและรถเฉินจอดหลบอยู่ในที่เปลี่ยว ถัดมาไม่ไกล ลังปืนถูกเปิดออกเผยให้เห็นปืนเอ็ม16 และปืนสั้นอยู่ในลัง ครบจำนวนตามออเดอร์

เฉินมาเฟียย่านอะเบอร์ดีนหยิบอาวุธขึ้นมาดู แล้วหันไปบอกลูกน้อง
“ส่งเงินมา” เฉินส่งเป้ใส่เงินให้ฤทัยนาค
“ขอบใจ” ฤทัยนาคขยับจะไป
“เดี๋ยว”
“มีอะไรอีก”
“เธออายุเท่าไหร่”
“สิบเจ็ด”
เฉินยิ้ม ทึ่ง ประทับใจ “เธอนี่มันสุดยอดจริง ๆ”
“ขอบคุณ”
ฤทัยนาคตะเบ๊ะให้แล้วกระโดดขึ้นรถไปเลย พยาบาลปิดประตู เฉินและลูกน้องกลับขึ้นรถ รถพยาบาลและรถเฉินขับเลี้ยวออกไปคนละทาง

อีกด้านหนึ่ง ไฟตรวจตรงหน้าด่าน 3 ยังคงกระพริบอยู่อย่างนั้น แพทริคก้าวเข้ามามองอย่างหงุดหงิด แล้วเดินไป เดินมา อยู่กลางถนนที่โล่งเตียนไม่มีรถสักคัน ตำรวจลูกทีมยังตรึงกำลังตั้งปืนรอ แพทริคเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย จนเสียงวอดังขึ้น
“ด่านสองเรียกด่านสาม”
แพทริคยกวอรับ “ว่าไง”
ตำรวจด่านสองพูดวอ
“เราได้รับรายงานจากด่านหนึ่งว่าไอ้คาลอสมันไหวตัวทัน มันชิงหนีวนรถกลับ แหกด่านหนึ่งไปแล้วครับ”
แพทริคโมโห “ว่าไงนะ”
เสียงวอดังมาอีก “ไอ้คาลอส มันแหกด่านหนึ่งย้อนกลับไปแล้วครับ”
แพทริคแค้นสุดขีด สบถอย่างหัวเสีย “ไอ้คาลอส กูสาบานกูต้องจับมึงให้ได้ซักวัน”

ฝนตกปรอยๆ ขณะฤทัยนาคเดินกระเผลกๆ มาที่หน้าโรงพยาบาลอะเบอร์ดีน แผลที่ขาถูกพันเรียบร้อย เด็กสาวสะพายเป้ใส่เงินเดินออกมา
ฤทัยนาคเดินมาหยุดด้านหน้าโรงพยาบาลมองซ้ายแลขวา พบว่าท่ามกลางสายฝนโปรยปราย แทบไม่มีสิ่งชีวิตใดอื่น นอกจากลูกสาวไทยวัย 17 อย่างเธอ
ฤทัยนาคยืนมองฝนเซ็งสุดขีด
“จะตกทำไมเนี่ย ชั้นมีเรื่องต้องรีบไปนะ”
ฤทัยนาคมองซ้ายขวาหารถรับจ้าง
“แท๊กซี่ก็ไม่เลี้ยวเข้ามาซักคัน อย่าบอกนะว่าเราต้องฝ่าฝนออกไปเรียกแท็กซี่เนี่ย”
ในจังหวะที่ฤทัยนาคขยับจะเดินไป รถคันหนึ่งขับเลี้ยวมาจอดเทียบ ฤทัยนาคชะงัก เขม้นมองงงๆ ก่อนจะเห็นหลินหลานเซ่อเปิดประตูรถก้าวลงมามาดหล่อลากกระชากใจ พร้อมกับกางร่มสีดำเดินก้าวเข้ามาหา
ฤทัยนาคอึ้ง มองตะลึง
หลินหลานเซ่อเดินเข้ามาหยุดใกล้ ฤทัยนาคมองจ้อง ไม่อยากเชื่อสายตาที่เห็นมาเฟียหนุ่มมาปรากฏตัวต่อหน้าต่อตา ทักทายด้วยคำพูดชวนงง?
“เธอจะทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว งั้นสิ”
ฤทัยนาคยิ่งงง “เรื่องโง่อะไรหรอ”
“ก็จะเดินฝ่าสายฝนออกไปไม่ใช่หรือ” มาเฟียหนุ่มบอกเสียงขุ่นเป็นเชิงตำหนิ
“เอ่อ...แล้วนี่นายไม่สบายหรือถึงมาหาหมอไกลถึงนี่”
“แล้วเธอล่ะ เธอมาทำอะไรที่นี่”
ฤทัยนาคมองเขาอย่างรู้สึกผิด “ชั้นรู้ว่าเรื่องนี้ชั้นควรจะบอกนายเป็นคนแรก”
“ขึ้นรถซะ”
“เอ่อ...”
“เธอต้องเอาเงินนั่นไปให้แดนนี่ไม่ใช่หรือ”
ฤทัยนาคอึ้งหนักยิ้มเจื่อนๆ “ค่ะ” เด็กสาวนาคก้าวเข้ามาหยุดมองจ้องหน้าหลินหลานเซ่อ ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะ”
หลินหลานเซ่อกางร่มให้ฤทัยนาค พาเดินมายังรถ เปิดประตูให้ฤทัยนาคมุดก้มลงเข้ารถช้าๆ มาเฟียหนุ่มก้าวตามเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ปิดประตู รถวิ่งออกไป ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย

ฤทัยนาคนั่งหนาวตัวสั่นอยู่ในรถ เหลือบมองหลิน
หลินดึงผ้าพันคอออกส่งให้ ฤทัยนาคมอง ไม่กล้ารับ
“อย่าบอกนะว่าไม่หนาว”
“ขอบคุณ” ฤทัยนาครับผ้าพันคอมาห่มตัว ก่อนจะถาม “ทำไมนายไม่ด่าชั้น”
“ชั้นด่าเธอแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อเธอทำมันไปแล้ว”
ฤทัยนาคเหลือบมองมาเฟียหนุ่มแต่เห็นเขาทำเมินเฉย จึงหันกลับกระชับผ้าพันคอมองไปนอกกระจก
หลินหลานเซ่อเหลือบมองดูฤทัยนาคที่มองออกไปนอกกระจก ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายไม่ขาดสาย

ทั้งสองนั่งอยู่ในรถ ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันไป

มองจากบริเวณท่าน้ำริมอ่าว แลเห็นเงาสะท้อนในน้ำเป็นภาพอาคารทรงสูงต่ำลดหลั่นกันไปแสงไฟส่องสว่างดูสวยงามแปลกตา แดนนี่ไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศนั้นเลยสักเพียงน้อย เด็กหนุ่มเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ ด้วยความเป็นห่วงฤทัยนาค

สักครู่หนึ่งรถที่หลินหลานเซ่อขับแล่นเข้ามาจอดนิ่งไม่ไกลนัก แดนนี่ชะงัก เขม้นมองไปอย่างประหลาดใจ
ฤทัยนาคขยับตัวคว้าเป้ใส่เงินจะเปิดประตูลงจากรถ ถูกหลินหลานเซ่ดึงเป้กระเป๋าเงินจากมือนาค
“เอามานี่”
“แต่ชั้นเอาต้องเอาไปให้แดนนี่นะ”
“ชั้นจะให้เค้าเอง เธอนั่งรออยู่ในรถ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ ชั้นบอกให้นั่งรออยู่ในรถ”
ฤทัยนาคจำใจปล่อยมือ หลินหลานเซ่อหยิบกระเป๋าเป้ลงจากรถเดินตรงไปหาแดนนี่ ฤทัยนาคมองตาม เห็นด้านแผ่นหลังสง่าของ คุณหลิน เดินเข้าไปหาแดนนี่
เด็กสาวมองตามอย่างเป็นกังวล

หลินหลานเซ่อเดินเข้ามายังท่าน้ำ แดนนี่มองอย่างแปลกประหลาดใจ มาเฟียรูปงามเดินเข้ามาหยุด แดนนี่เหลียวมองไปยังรถ เห็นฤทัยนาคนั่งอยู่ในนั้นมองมาเช่นกัน
เด็กหนุ่มหันกลับมา “หลินหลานเซ่อ”
หลินหลานเซ่อโยนเป้ใส่หน้าแดนนี่อย่างไม่พอใจ
“เลิกยุ่งกับฤทัยนาค เธอเป็นแค่ลูกหนี้ชั้นไม่ได้เป็นอาชญากรเหมือนนายกับพ่อ”
แดนนี่ย้อนเจ็บ “แล้วนายเป็นพ่อเธอหรือไง ถึงพูดจาเหมือนหวงลูกสาว”
หลินหลานเซ่อชะงักนิดๆ มองจ้องเด็กหนุ่ม
“ชั้นไม่ได้เป็นคนเสนองานนี้ให้เธอ ฤทัยนาคเป็นคนเสนอตัวขอทำงานนี้กับพ่อชั้นเอง และถ้าจำไม่ผิดคนที่เริ่มต้นเรื่องนี้ก็คือนาย”
อาตี๋แดนนี่ยอกย้อนมาเฟียหนุ่มเจ็บแสบพอประมาณ

ฤทัยนาคมองมาที่ท่าน้ำด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง เห็นทั้งสองหนุ่มพูดกัน หล่อนอยากรู้ว่าทั้งคู่พูดอะไรกัน
หลินหลานเซ่อโต้แดนนี่
“แต่ชั้นไม่ได้หวังว่าฤทัยนาคจะเจรจากับพ่อนายได้สำเร็จ”
“แต่เธอก็ทำได้ไม่ใช่หรือ แล้วนายเองก็แอบภูมิใจกับความ สามารถของเธอ ใช่รึเปล่า”
หลานเซ่อนิ่ง มองจ้องแดนนี่อย่างไม่สบอารมณ์
“ฤทัยนาคอาจจะทำเรื่องเหนือความคาดหมายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเข้ามาอยู่ในวงการนี้ เพียงแค่ความสามารถที่บังเอิญทำได้แค่ครั้งหรือสองครั้ง”
แดนนี่ฟัง ก่อนจะยิ้มแสยะคล้ายไม่แยแส หลานเซ่อบอกต่อ
“วงการนี้เข้าและออกไม่ได้ ทางเดียวที่จะเป็นอิสระคือความตาย และเด็กนั่นไม่สมควรตาย”
แดนนี่ยิ้มเยาะ “อย่าบอกนะว่าเจ้าพ่อมาเฟียอย่างนายก็ห่วงคนเป็นเหมือนกัน”
หลินหลานมองแดนนี่ตาคมวับ ไม่สบอารมณ์ที่ถูกพูดจี้ใจดำ
“อย่ายุ่งกับเธออีก”
ขาดคำ หลินหลานเซ่อหันหลังเดินออกกลับไปยังรถ แดนนี่ตะโกนตามหลัง
“ไม่ว่านายจะรู้สึกยังไง แต่ผมยอมรับนะว่า นายเก็บไข่ทองคำไว้ได้จริงๆ”

ด้านฤทัยนาคมองออกมาจากในรถ เห็นหลินหลานเซ่อเดินจากแดนนี่มา ก็ยิ่งสงสัย มาเฟียหนุ่มเดินมาขึ้นรถปิดประตูปัง ฤทัยนาคมองกลับไปที่แดนนี่ เห็นแดนนี่ยกมือให้ จึงพยักหน้าให้ รถหลินหลานเคลื่อนออกไป
แดนนี่มองตามไปแสยะยิ้ม รำพึงออกมา

“หลินหลานเซ่อชั้นรู้นะว่านายคิดอะไร”

รถยนต์หลินหลานเซ่อแล่นเข้ามาจอดในไซต์งาน หลินหลานเซ่อจูงฤทัยนาคเดินมาหยุดหน้าตู้คอนเทนเนอร์ที่พัก

“ที่จริงนายไม่ต้องมาส่งชั้นถึงนี่หรอก”
“เธอคิดว่าเธอจะมีปัญญาลากขาที่ถูกเย็บมาได้ไกลแค่ไหน” มาเฟียรูปงามแดกดัน
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าขาชั้นถูกเย็บ”
“จงซินเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชั้นฟัง แล้วหมอที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนก็รายงานให้ชั้นรู้เรื่องของเธอ”
ฤทัยนาคหงุดหงิดไม่ชอบใจ “ทำไมหมอต้องรายงานเรื่องชั้นให้นายรู้ด้วย”
“ชั้นเป็นคนฝากเธอเข้าโรงเรียนนั่น หมายถึงชั้นต้องเป็นผู้ปกครอง ของเธอด้วย รู้รึเปล่า”
ฤทัยนาคเหล่มองเขา “ไม่อยากนึกถึงวันพบผู้ปกครองเล้ย”
“เอาล่ะ ถึงที่พักเธอแล้ว”
สองคนมองหน้ากันไปมา
“ชั้นขอโทษนะ ที่ทำเรื่องใหญ่โตแบบนี้ แล้วก็ขอบคุณที่นายไม่ฆ่าชั้นซะก่อน”
“เพราะเธอทำมันสำเร็จ” หลินหลานเซ่อขยับจะไป
“เดี๋ยวหลินหลานเซ่อ”
หลินหลานเซ่อพูดโดยไม่หันมามอง “มีอะไร”
“ขอบคุณมากนะที่เชื่อว่าชั้นจะทำได้ แล้วรอชั้นอยู่ที่โรงพยาบาล”
มาเฟียหนุ่มหันหน้ามามองหน้าเด็กสาว ฤทัยนาคยิ้มให้หน้าตาซื่อๆ
“กู๊ดไนท์ ฝันดีนะ”
หลินหลานเซ่อหันหน้ากลับเดินออกไป ฤทัยนาคมองตามหลังเขาไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับเข้าห้อง ในจังหวะที่มาเฟียขี้เก๊กหันกลับมามอง อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“หึ กู๊ดไนท์”

รุ่งเช้าวันนี้ คาลอส ทาร์เปีย พาตัวเองมาอยู่ในห้องทำงานหลินหลานซื่อ ที่อาคารฉายหงส์กรุ๊ป และกำลังจรดมือเซ็นชื่อในเอกสารหนังสือสัญญา เสร็จแล้วพลิกสมุดเลื่อนให้คู่สัญญา หลินหลานเซ่อเซ็นส่วนของตน ทั้งสองลุกยืนจับมือกัน จงซินยืนอยู่ด้านหลัง
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณ”
คาลอสยิ้มร่า “เช่นกัน เด็กของคุณนี่มหัศจรรย์จริงๆ ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะทำงานนี้ได้สำเร็จ นับถือจริงๆ”
“ขอบคุณ”
“แต่คุณต้องระวังความเก่งและความมหัศจรรย์ของเธอด้วยนะ”
หลินหลานเซ่อฉงน “ทำไม”
“ถ้าเธอเข้าสู่วงการอาชญากรรมเต็มตัวล่ะก็ ผมว่าเราสองคนอาจจะต้องหลบทางให้เธอนะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
คาลอสหันกลับเดินออกไป หลินหลานเซ่อกับจงซินมองตาม หลานเซ่อหันมาบอกจงซิน
“แต่สำหรับชั้น ชั้นว่าเธอฟลุคมากกว่า”
จงซินไม่ตอบ แต่พอนึกถึงฤทัยนาคก็ยิ่งทึ่ง

มีการประชุมใหญ่ ณ ห้องประชุมฉายหงส์กรุ๊ป ในเวลาต่อมา บรรดาคณะกรรมการปรบมือให้หลินหลานเซ่อที่ทำงานสำเร็จลุล่วง เห็นจงซินยืนอยู่ด้านหลัง เพ่ยอิง ซานกุ้ยและหย่งเหวินอยู่ในห้องด้วย
“ขอบคุณครับ” หลินหลานเซ่อยิ้มรับ
“อย่าเพิ่งย่ามใจในความสำเร็จ หลินหลานเซ่อ เพราะหนทางของเธอยังอีกยาวไกล” ซานกุ้ยพูดลอยๆ
หลินมองหน้าซานกุ้ยอย่างไม่พอใจ ซานกุ้ยลุกเดินออกไปเลย มีหย่งเหวินเดินตาม
“ชั้นบอกได้เลยถ้านายก้าวพลาดเมื่อไหร่ ชั้นจะขึ้นมายืนแทนนาย”
เพ่ยอิงเดินออก เห็นคนอื่นเข้ามาจับมือยินดี

ฤทัยนาคในชุดนักเรียนเดินออกจากตู้คอนเทนเนอร์อย่างเร่งรีบ เดินผ่านพวกคนงานที่ทำงานกันอยู่
สายมากแล้ว ฤทัยนาคเดินออกมาริมถนนอย่างรีบเร่งรวดเร็ว พออกมาหน้าไซต์งานพบว่า รถหลินหลานเซ่อที่อาเหลียงเป็นตนขับ แล่นเข้ามาจอดพอดี มาเฟียหนุ่มเปิดกระจกลง ฤทัยนาคมองงงๆ
“ขึ้นรถสิ”
“ชั้นมีเรียนนะวันนี้”
“ชั้นกำลังจะไปโรงเรียน เร็ว เดี๋ยวจะสาย”
ฤทัยนาคเดินไปหยุดหลังฝากระโปรงรถ
“อาเหลียงเปิดท้ายให้หน่อยสิ”
หลินหลานเซ่อร้องบอก “ขึ้นมานั่งข้างหน้ากับอาเหลียง”
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าต้องขาดอากาศหายใจซะแล้ว”
ฤทัยนาคขึ้นรถนั่งข้างอาเหลียงแล้ว
“รัดเข็มขัดด้วย” อาเหลียงบอก
“ขอโทษ”

ฤทัยนาครัดเข็มขัด อาเหลียงมองพลางส่ายหน้า หลินหลานเซ่อเหลือบมอง ขณะรถเคลื่อนออกไปจากไซต์งาน

รถแล่นมาตามทาง ฤทัยนาคหันมาถามหลินหลานเซ่อ

“ทำไมวันนี้ถึงให้ชั้นนั่งข้างหน้า”
“หรือเธออยากจะนั่งท้ายรถ”
“ไม่ละ นั่งข้างหน้าดีกว่า เย็นสบาย แถมไม่ต้องเสี่ยงตายเพราะขาดอากาศ”
“ชั้นว่าเธอเงียบซะที”
ฤทัยนาคเม้มปาก แถมยังเอามือปิดปากไว้ด้วย มาเฟียหนุ่มเหลือบมอง
“พี่สาวเธอพูดมากเหมือนเธอรึเปล่า”
ฤทัยนาคนิ่ง
“ชั้นถามไม่ได้ยินหรือไง”
“ก็นายบอกไม่ให้พูด”
“เธอนี่มันซื่อหรือว่าแกล้งบื้อกันแน่”
“พี่นันเค้าไม่ค่อยพูดหรอก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า นี่ชั้นถามจริง นายอยากได้ตัวพี่สาวชั้นจริงๆ หรือ”
“พี่สาวเธอเป็นสมบัติของชั้น ชั้นก็ควรจะได้ครอบครอง”
“แต่ชั้นก็กำลังหาเงินใช้หนี้นายอยู่ไง ชั้นขอร้องล่ะนะ เลิกยุ่งกับพี่สาวชั้นเถอะ”
“ก็บอกแล้วไงถ้าเธอหาเงินได้ครบยี่สิบล้านเมื่อไหร่ ชั้นจะเลิกตามหาตัวพี่สาวเธอ”
“แต่ว่า...”
“เธอหยุดพูดได้แล้ว” หลินหลานเซ่อเสียงเขียว
ฤทัยนาคปิดปากหมับเอามือป้ายปาก เหลือบมองอาเหลียง อาเหลียงยิ้มยักคิ้วให้เป็นเชิงเยาะว่า สม!

รถเข้ามาจอดหน้าตึกเรียน ประตูเปิดออก หลินหลานเซ่อก้าวออกมาช้าๆ ด้วยมาดอันชวนบิดลำไส้ บรรดานักเรียนสาวๆ มองตามเยิ้ม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พอฤทัยนาคก้าวลงตามมา พวกนักเรียนมอง ซุบซิบกันงงๆ ชะนีน้อยบางคนไม่พอใจ
หลินหลานเซ่อเดินขึ้นตึกผู้บริหาร ฤทัยนาคขยับเดิน เพื่อนนักเรียนเข้ามาซัก
“นี่เธอนั่งรถมากับคุณหลินหลานเซ่องั้นหรือ”
“ใช่”
“หมายความว่าเธอเป็นผู้หญิงของเค้าแล้วหรือ” อีกนางถาม
“ไม่ใช่ เค้าเจอชั้นข้างทาง ก็เลยให้ชั้นอาศัยรถมาก็แค่นั้น พวกเธออย่าคิดมาก”
ฤทัยนาคแหวกเพื่อนออกไป เห็นแดนนี่เดินขึ้นตึก
“แดนนี่”
แดนนี่เดินต่อไม่สนใจ ฤทัยนาควิ่งมากระชากแขน “เดี๋ยวสิ”
“มีอะไร” แดนนี่เสียงขุ่น
“พักนี้นายเป็นอะไรทำไมหลบหน้าชั้น อยู่ในห้องก็ไม่คุยกับชั้น”
“เปล่า ชั้นแค่ไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอ”
“ไม่จริง ชั้นว่านายต้องโกรธหรือไม่ก็เคืองชั้น เพราะหลังจากวันที่ชั้นทำงานสำเร็จนายก็ไม่พูดกับชั้นเลย”
“ชั้นขี้เกียจพูด”
“ไม่เอาน่าแดนนี่ เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“นั่นมันเมื่อก่อน เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เธอเป็นเด็กของหลินหลานเซ่อ”
“เค้าเป็นผู้ปกครองชั้น”
“เค้าไม่ใช่ผู้ปกครองแต่เค้าเป็นเจ้าของเธอ”
“บ้า”
“ไม่บ้า เค้าบอกให้ชั้นเลิกยุ่งกับเธอ”
“เค้าพูดอย่างงั้นจริงหรือ”
“ใช่”
“แล้วทำไมเค้าถึงพูดอย่างงั้น“
“ก็เพราะว่าเค้า...” แดนนี่จะบอกว่า...ชอบเธอ แต่ชะงักไม่พูด
“เค้าทำไม
“เอาล่ะ ชั้นไม่พูดกับเธอดีกว่า” แดนนี่เดินไปเลย
“เฮ้ย เดี๋ยวสิแดนนี่” ฤทัยนาคมองตามงงเต๊ก “นี่มันเรื่องอะไรกัน เรามีสิทธิ์ที่จะคบใครก็ได้นี่นา”

ฤทัยนาคเข้าเรียน และเก็บความค้างคาใจคำพูดแปลกๆ ที่แดนนี่บอก จนกระทั่งเสียงกริ่งพักเที่ยงดังไปทั่วโรงเรียน นักเรียนแตกฮือเดินออกจากห้อง
หลินหลานเซ่อนั่งทำงานอยู่ เสียงเปิดประตูห้องดังเข้ามา
“จงซิน เดี๋ยวสั่งอาหารขึ้นมากินข้างบนดีกว่านะ”
ฤทัยนาคเดินเข้ามาชะงัก “ชั้นเอง ไม่ใช่จงซิน”
หลินหลานเซ่อเงยหน้ามอง “อ้าว นี่ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา”
“ชั้นเข้ามาเอง ชั้นมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“เรื่องอะไรนายไปห้ามไม่ให้แดนนี่มาคบกับชั้น”
“ชั้นบอกแล้วไงว่ามันไว้ใจไม่ได้”
“แต่เค้าเป็นเพื่อนชั้นแล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของชั้นด้วย ชั้นจะไม่เลิกคบกับเค้า”
สองคนสบตากัน หลินหลานเซ่อจ้องมอง จนฤทัยนาคชักกลัว
“นายจ้องชั้นทำไม”
“เธอลืมไปแล้วหรือว่าชั้นเป็นผู้ปกครองเธอ ชั้นย่อมมีสิทธิ์ในตัวเธอทุกอย่าง”
“นายเป็นผู้ปกครองชั้นเฉพาะในสมุดพกโรงเรียนนะ แต่ในชีวิตชั้น ชั้นเป็นเจ้าของตัวชั้นเอง รู้ไว้ซะด้วย”
ฤทัยนาคหันหลังเดินออกจะปิดประตู
“อ้อ จะให้ชั้นสั่งอาหารกลางวันให้นายมั้ย”
หลินหลานเซ่อนิ่งมองจ้องไม่ตอบ
“ก็ตามใจ นายรอสั่งกับจงซินก็แล้วกัน”
ฤทัยนาคออกไปแล้ว มาเฟียรูปงามมองแล้วส่ายหน้า

ขณะที่แดนนี่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ฤทัยนาคเข้ามาตบไหล่
“แดนนี่”
“ชั้นบอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับชั้น”
“ชั้นจะบอกว่าตอนนี้เราคบกันได้เหมือนเดิมแล้ว เพราะชั้นบอกหลินหลานเซ่อไปแล้วว่าอย่ามายุ่งกับชีวิตส่วนตัวของชั้น”
“จริงหรือ”
“จริงสิ ไม่เชื่อขึ้นไปถามเค้าเลย” แดนนี่มองหน้า “เป็นไง ขอมือหน่อย” ฤทัยนาคยกมือไฟว์ฟิงเกอร์ให้แดนนี่ยกตอบ “ไป กินข้าวกัน วันนี้ชั้นเลี้ยงนายเอง”
ฤทัยนาคจูงมือแดนนี่ออกเดิน แดนนี่ชะงัก เมื่อมองขึ้นไป เห็นหลินมองมาจากหน้าต่างชั้นบน
“มองอะไร”
ฤทัยนาคมองตามเห็นหลินหลานเซ่อยืนมอง จึงโบกมือให้พลางบอกโดยไม่คิดอะไร  
“อย่าไปสนใจเค้าเลย ไป”

หลินหลานเซ่อมองลงไปด้านล่างไม่ละตา จงซินมองตามเห็นฤทัยนาคกับแดนนี่เดินจับมือกันไป
“ความรักทำให้คนเราตาบอดจริง ๆ คุณหลินว่ามั้ย”
หลินหลานเซ่อเหลือบมองจงซิน เขินแต่ทำเก๊กขรึม
“กินข้าวเถอะ ชั้นหิวแล้ว”
จงซินยิ้มให้ แล้วเดินไปเตรียมอาหาร

หลินหลานเซ่อมองกลับไปที่ฤทัยนาคกับแดนนี่อย่างหงุดหงิด

อ่านต่อหน้า 4

คิวบิก ตอนที่ 3 (ต่อ)

สองคนทานมื้อเที่ยงกันอยู่ในห้อง หลินหลานเซ่อคีบไก่เข้าปากเคี้ยว พลางถามจงซินขึ้น

“แล้วเรื่องนันทกาตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะได้ตัวเธอ”
“เมื่อเช้า ผมโทรคุยกับอาเหวย มันบอกว่าให้รอบ่ายนี้ มันเจอที่กบดานของไอ้ยุทธพงษ์แล้ว”
เสียงโทรศัพท์มือถือจงซินดังพอดี จงซินหยิบดูหันมาบอกเจ้านาย
“อาเหว่ยโทร.มาพอดี” จงซินกดรับ “ว่าไงอาเหว่ย”
อาเหว่ยโทร.มาจากหัวหิน ประเทศไทย
“ผมเจอตัวไอ้ยุทธพงษ์แล้ว”
“มันอยู่ที่ไหน” หลินหลานเซ่อมองมา ฟังอย่างสนใจ
“หัวหินครับ”
“แล้วลูกสาวล่ะ”
“อยู่ด้วยกันครับ”
“ดี เอาตัวนันทกามาให้ได้” จงซินบอก หลินหลานเซ่อมองอยู่
“แล้วไอ้ยุทธพงษ์ล่ะครับ”
“ถ้ามันขัดขวางก็เก็บมันทิ้งเลย”
อาเหว่ยรับ “ครับ”
จงซินปิดโทรศัพท์ หันมาบอกเจ้านาย
“อาเหว่ยเจอตัวนันทกาแล้วครับ”
หลินหลานเซ่อพยักหน้ารับรู้ อย่างพอใจ

ที่หัวหิน ประเทศไทย
นันทกาคนน้ำมะพร้าวแล้วดูด พลางมองยุทธพงษ์ที่กำลังกินอาหารอย่างเครียดๆ คล้ายมีเรื่องในใจ ยุทธพงษ์เหลือบมองลูกสาว
“กินสิลูก”
“ค่ะ”
เสียงรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่เข้ามาจอด ยุทธพงษ์กับนันทกาหันไปมองแล้วชะงัก เมื่อเห็นหนุ่มสาววัยรุ่นใส่หมวกกันน็อคลงจากรถ สองพ่อลูกมองอย่างระแวง หนุ่มสาวเดินเข้ามาที่โต๊ะว่าง พนักงานเสิร์ฟวัยรุ่นตบมือทักทายกันอย่างคุ้นเคย สองพ่อลูกถอนใจ โล่งอก ก่อนที่นันทนาจะถาม
“เราต้องหนีไอ้พวกนั้นไปอีกนานแค่ไหนคะพ่อ”
“พ่อว่าอีกซักพัก ถ้ามันหาเราไม่เจอ มันก็เลิกตามไปเองกินข้าวเถอะ”
“หนูกินไม่ลงหรอกค่ะ แล้วนาคล่ะพ่อ พ่อไม่คิดจะตามไปช่วยน้องหรือ ตอนนี้นาคจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ป่านนี้ไอ้พวกนั้นมันไม่ฆ่าน้องไปแล้วหรือพ่อ”
“ใจเย็นก่อนลูก มันไม่ฆ่านาคหรอก”
“พ่อรู้ได้ไง”
“เชื่อพ่อสิ ตราบใดที่มันยังไม่ได้ตัวลูก มันจะไม่ทำอะไรน้องเด็ดขาด”
นันทกากังวลไม่หาย “ถ้างั้นหนูกับพ่อ ก็ต้องหนีไปตลอดทั้งชีวิตงั้นหรือคะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกลูก นี่พ่อก็กำลังหาเงินไปใช้หนี้มันอยู่”
“แล้วพ่อจะไปหาที่ไหน ตอนนี้บริษัทก็ล้มละลาย พ่อไม่มีทางหาได้หรอก พวกเราต้องหนีไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็ต้องตาย”
นันทกาโวยวายแล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น คนในร้านหันมอง
ยุทธพงษ์ปลอบ “นัน ใจเย็นก่อนนะลูก เชื่อพ่อสิ พ่อให้สัญญา พ่อจะหาเงินไปใช้พวกมันให้ได้ พ่อจะเอาตัวน้องกลับมา”
เห็นพ่อจริงจัง นันทการู้สึกดีขึ้น “จริงนะคะ พ่อสัญญานะ พ่อต้องช่วยน้องกลับมานะ”
“พ่อสัญญา มากินข้าวเถอะลูก”
นันทกาพยักหน้า ท่าทีสงบลง เช็ดน้ำตาป้อยๆ “หนูขอไปล้างหน้าหน่อยค่ะ”
“จะเอาอะไรอีกมั้ย”
“ไม่ค่ะ”
นันทกาเดินออกไป ยุทธพงษ์มองตามหลังลูกสาว ถอนใจอย่างเครียดหนัก
นันทกาเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ยุทธพงษ์ตักอาหารกินไปมองชะเง้อไปทางห้องน้ำ
สักครู่หนึ่งนันทกาเสร็จธุระ จะเดินกลับมาที่โต๊ะ จู่ๆ มืออาเหว่ยเข้ามาปิดปาก พร้อมจ่อปืน
“อยู่เฉยๆ ถ้าส่งเสียงเธอตายแน่ เข้าใจรึเปล่า”
ลูกน้อง 1 โผล่หน้ามองออกไปที่โต๊ะ พบว่ายุทธพงษ์นั่งกินอาหาร
“จะให้ผมเก็บไอ้ยุทธพงษ์เลยมั้ย”
“ไม่ต้อง นายบอกให้เอาผู้หญิงไปอย่างเดียว” อาเหว่ยบอกเป็นเชิงสั่งกับนันทกา “ฟังให้ดีนะ ถ้าเธอคิดหนีชั้นจะยิงพ่อเธอ เข้าใจมั้ย”
ลูกน้อง 1 จัดการเอาเทปปิดปากนันกทา เอาเชือกมัดมือข้างหน้า อาเหว่ยลากตัวนันทกาออกไปอย่างรวดเร็ว

ด้านยุทธพงษ์ตักอาหารกิน ชะเง้อมองไปทางห้องน้ำ แล้วรู้สึกแปลกใจที่นันทกาหายไปนาน ยุทธพงษ์ไม่สบายใจวางช้อน
“ทำไม นันไปเข้าห้องน้ำนานจัง”
ยุทธพงษ์จิบน้ำดื่ม แล้วลุกเดินไปหยุดหน้าห้องน้ำหญิง ร้องเรียก
“นัน...นัน....อยู่ในห้องน้ำรึเปล่าลูก...นัน...พ่อถามว่าอยู่ในห้องน้ำรึเปล่า”
ยุทธพงษ์เอะใจ กระชากปืนที่เหน็บเอวออกมา เปิดประตูเข้าไปพบว่าในนั้นไม่มีใคร ยุทธพงษ์ร้องเรียก กวาดมองรอบห้องน้ำอย่างตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งออกไป

ยุทธพงษ์วิ่งออกมาหน้าร้านมองซ้ายขวาอย่างตกใจ หันไปเจอเด็กเสิร์ฟ
“เห็นลูกสาวผมมั้ย”
“ไม่เห็นนะครับ”
“เดี๋ยวผมมานะ”
ยุทธพงษ์วิ่งออกไปกลางถนน มองซ้ายขวา กลับไปกลับมา สแกนหาแทบทุกจุดเป็นห่วงลูกสาวคนโตจับจิต

“นัน นี่ลูกอยู่ไหน”

รถตู้แล่นมาตามทาง นันทกานั่งอยู่หลังรถตู้ถูกปิดปากด้วยเทป มีมือปืนสองคนนั่งประกบซ้ายขวา อาเหว่ยกดโทรศัพท์ออกหันพร้อมกับหันมามองนันทกาที่มองมาอย่างหวาดกลัว

“ครับคุณจงซิน เราได้ตัวผู้หญิงแล้ว ผมกำลังพาไปสนามบิน คงถึงที่นู่นค่ำๆ”
จงซิน อยู่ที่ฮ่องกง คุยสายด้วย
“ดี ชั้นจะรอ เอาตัวไปที่เซฟเฮาส์เลยนะ”
“ครับ”
นันทกาได้ยินชัด หวาดวิตก มองซ้ายขวา เอามือทุบเบาะไปมา
“อะไร” อาเหว่ยตวาด
นันทกาทำท่าฮึดฮัด
“เอาเทปออกซิ” อาเหว่ยสั่งลูกน้องที่นั่งข้างๆ
ลูกน้อง 2 ดึงเทปที่ปากนันทกาออก
“โอ๊ย”
“มีอะไร”
“ชั้นอยากเข้าห้องน้ำ”
“อย่ามาลูกไม้ อั้นไว้เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” อาเหว่ยไม่เชื่อ
“แต่ชั้นปวดท้องอึนะ”
อาเหว่ยมองหน้าอย่างชั่งใจ
นันทกาย้ำ “ชั้นปวดจริงๆแล้วก็กลั้นไม่อยู่ เร็ว ชั้นปวดท้องมาก”
ลูกน้อง 2 มองหน้าอาเหว่ยเป็นเชิงถาม สุดท้ายอาเหว่ยพยักหน้า”
“หมิง จอดปั๊มข้างหน้าด้วย”
นันทกามองมือปืนสมุนที่ประกบซ้ายขวา มองอาเหว่ยอย่างประเมินสถานการณ์หาทางหนีทีไล่

รถตู้เลี้ยวเข้าปั๊มจอดหน้าห้องน้ำ ประตูรถเปิดออก นันทกาบอก
“แก้มัดให้ชั้นหน่อย” อาเหว่ยมองหน้า นันทกาบอกอีก “ชั้นต้องถอดกางเกงแล้วล้างก้นนะ”
อาเหว่ยพยักหน้าให้ลูกน้อง ลูกน้อง 2 ดึงเชือกออก นันทกาจะก้าวลง อาเหว่ยคว้ามือหมับ พูดขู่
“ชั้นจะเตือนก่อนนะ อย่าคิดหนี เพราะชั้นไม่อยากฆ่าเธอ เข้าใจรึเปล่า”
“รู้แล้วน่ะ”
อาเหว่ยจูงมือนันทกาเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ ลูกน้อง 1 เดินตามไป
“เข้าไป” นันทกาเดินเข้าไป อาเหว่ยหันไปบอกลูกน้อง 1 “ไปดูด้านหลังด้วย”

นันทกาเดินเข้ามาในห้องน้ำ มองหาทางหนีซ้ายขวา ปีนดูไม่มีทางไป
“นี่เราจะหนีไปได้ไงเนี่ย”
อาเหว่ยยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ที่ลูกน้อง 1 ยืนรอปิดทาง
นันทกาเดินออกมาจากห้องน้ำ ชะเง้อมองเห็นอาเหว่ยและมือปืน 1 ยืนซ้ายขวา
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาที่อ่างล้างมือ นันทกาคิดบางอย่างออกเดินตรงไปหา ทำทีไปล้างมือ กระซิบบอก
“คุณคะ ขอยืมมือถือหน่อยได้มั้ยคะ ชั้นถูกโจรจับตัวมาจะโทร.แจ้งตำรวจ”
ผู้หญิงมองอาเหว่ย เห็นอาเหว่ยมองจ้องมาบอกนันทกาเสียงดุ
“เร็วๆ”
ผู้หญิงคนนั้นสะดุ้งมอง
“ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยชั้นด้วย” นันทกากระซิบอ้อนวอน
ผู้หญิงหันเดินหนีไป
“คุณคะ คุณ”
“เสร็จแล้วก็ไป” อาเหว่ยเข้ามากระชากมือนันทกาเดินออกไปช้าๆ วินาทีนั้นนันทกาเหลือบมองเห็นเศษกระจกที่แตกอยู่ที่อ่างล้างมือ
ทันใดนั้นนันทกาคว้าเศษกระจกขึ้นมาปาดเข้าที่แขนอาเหว่ยเต็มแรง
“โอ๊ย” อาเหว่ยร้องลั่น นันทกาสะบัดมือหลุดวิ่งออกไปตรงรถตู้ที่ขวางอยู่
ลูกน้อง 2 ยืนรออยู่ใกล้รถ จะคว้าตัวนันทกา เด็กสาวก้มหลบ ลูกน้อง 2 เลยคว้าพลาด นันทกาวิ่งหนีสุดชีวิต ปากก็ร้องตะโกน
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
นันทกามองไป จะวิ่งเข้าร้านค้า ดันมีรถขับตัดหน้ามา แถมบีบแตรใส่ นันทกาชะงักวิ่งออกไปนอกปั๊ม
“จับเธอไว้”
ลูกน้องทั้งหมดวิ่งกรูกันตามไป

นันทกาวิ่งโกยแนบออกมาจากปั๊มตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยชั้นด้วย”
นันทกามองหลังไปเห็นอาเหว่ยและลูกน้อง 2 วิ่งตามหลังมา ลูกน้อง 1 และ ลูกน้อง 4 วิ่งมาจากด้านซ้าย นันทกาตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่ง
“จับเธอให้ได้”
อาเหวยวิ่งข้ามถนนมือปืนทั้งหมดตามอาเหวยไป

นันทกาวิ่งไปยังริมถนนฝั่งตรงข้าม ปากก็ร้องตะโกนไป
“ช่วยด้วยค่ะ
มีชายชาวบ้านเดินสวนมา นันทกาวิ่งเข้าไปคว้าแขนร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยชั้นด้วย มีคนตามฆ่าชั้น”
ชาวบ้านแกะมือแล้วเดินหนี “ผมไม่รู้เรื่อง”
นันทกาเหลียวไปมองด้านหลัง เห็นอาเหว่ยและลูกน้องมือปืนอีก 3 คนวิ่งตามมา นันทกาวิ่งหนีอย่างเร็ว อาเหว่ยและมือปืนวิ่งตาม

นันทกาวิ่งหนีมามองเห็นสะพานลอยข้างหน้า ตัดสินใจวิ่งขึ้นไป
“ตามไป เร็ว รีบไปดักฝั่งนู้นเร็ว”
มือปืนลูกน้อง 2 คน วิ่งแยกข้ามถนนไป อาเหวยกับมือปืนอีกคนวิ่งตามขึ้นไป

นันทกาวิ่งขึ้นบันไดมา มีอาเหว่ยและลูกน้องวิ่งตามไม่ลดละ นันทกาจะวิ่งลงฝั่งตรงข้าม พบว่า ลูกน้องมือปืน อีก 2 คน วิ่งขึ้นมาปิดทาง
“จะหนีไปไหน” ลูกน้อง 4 ขู่
“อย่าให้เธอหนี ปิดทางไว้” อาเหว่ยตะโกนบอก
นันทกามองรอบตัว หาทางหนีทีไล่ มองหน้า มองหลัง เห็นมือปืนลูกน้องปิดทางทั้งสองฝั่ง
อาเหว่ยเดินย่างสามขุมเข้ามาหาอย่างโกรธจัด
“ชั้นบอกแล้วไงว่าเธอหนีไม่พ้นหรอก”
นันทกาเดินไปมา มองซ้ายมองขวา “อย่านะ อย่าเข้ามานะ”
“ถ้าไม่กลัวตายก็โดดลงไปสิ” อาเหว่ยเยาะ
“ชั้นบอกว่าอย่าเข้ามา”
“จับเธอ” อาเหว่ยสั่ง
ลูกน้องทั้งหมดขยับจะเข้ามาหา
โดยไม่มีใครคิด นันทกาตัดสินใจกระโดดลงจากสะพาน ทุกคนมองอย่างตกใจ
“เฮ้ย อย่า” อาเหว่ยร้องลั่น ทุกคนวิ่งเข้ามาคว้าแต่ไม่ทัน
นันทกากระโดดลงบนท้ายรถสิบล้อพอดิบพอดี

นันทกาตกลงมาบนหลังคารถ ตัวหมุนเซม้วนจะกลิ้งตกรถ แต่เอื้อมมือคว้าหลังคารถเกาะไว้ได้
รถสิบล้อวิ่งผ่านถนนไป อาเหว่ยและลูกน้องวิ่งเข้ามาดู
อาเหว่ยมองตามสบถอย่างโกรธแค้น

“ไอ้บ้าเอ๊ย”

ที่ห้องทำงานหลินหลานเซ่อในอาคารฉายหงส์กรุ๊ป มาเฟียหนุ่มรู้เรื่องในเวลาต่อมา เขาตบโต๊ะปัง ทั้งโกรธ ทั้งแค้น

“แค่ผู้หญิงคนเดียวยังจับไม่ได้จะไปทำอะไรกินวะ”
“อาเหว่ยบอกว่าเธอขอเข้าห้องน้ำแล้วฉวยโอกาสวิ่งหนี”
“บอกพวกมันนะ ชั้นจะให้โอกาสอีกครั้ง ถ้าพวกมันพลาดอีกล่ะก็ ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่”
“ครับ”
ฟางเหม่ยจิงเปิดประตูห้องเดินยิ้มเข้ามาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มาหยุดมองจ้องหน้าหลินหลานเซ่อ
“เธอมีอะไร”
เหม่ยจิงยิ้มหวาน “วันนี้วันอะไรคะ”
“ชั้นจะไปรู้ได้ยังไง มีอะไรก็พูดมา”
“วันนี้วันเกิดเหม่ยจิงไงคะ คุณจำไม่ได้จริงๆ หรือ”
“งานชั้นเยอะแยะ ชั้นไม่มีเวลามาจำเรื่องพวกนี้หรอก”
เหม่ยจิงหน้าเสีย จงซินเหลือบมองอึ้งๆ เหม่ยงจิงมองจงซินอย่างอับอาย สุดท้ายฝืนยิ้มบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเย็นนี้เหม่ยจิงจองโต๊ะไว้ที่เพนนินนะคะ” พลางหันมาบอกจงซิน “จงซิน เชิญคุณด้วยนะ” แล้วหันกลับมาหาหลินหลานเซ่ออีก “เหม่ยจิงจะเชิญคุณหย่งเหวินกับไป่หลิงด้วยนะคะ”
“เธอจะเชิญใครก็ตามใจ แต่วันนี้ชั้นยังไม่รู้ว่าจะไปได้รึเปล่า”
“แต่วันนี้วันเกิดเหม่ยจิงนะคะ”
“เหม่ยจิง ชั้นจะบอกให้เธอรู้นะ ธุรกิจของชั้นมันสำคัญมากกว่างานวันเกิดของเธอ”
เหม่ยจิงอึ้ง น้ำตาหยดริน
“ค่ะ”
จงซินเหลือบมอง เหม่ยจิงหันกลับเดินออกไป หลินหลานเซ่อมองแล้วหันกลับ มองออกไปข้างนอกอย่างหงุดหงิด เสียงประตูห้องปิดตามหลังเหม่ยจิง
“จงซิน”
“ครับ”
“เย็นนี้นายช่วยซื้อของขวัญวันเกิดแล้วเอาไปให้เหม่ยจิงด้วย”
“อะไรดีครับ ที่คุณเหม่ยจิงชอบ”
“ชั้นไม่รู้หรอก นายคิดว่าเธอชอบอะไรก็ซื้อไปเถอะ”
หลินหลานเซ่อบอกอย่างตัดบท เมินหน้าไปอย่างไม่ใส่ใจ จงซินมองนึกถึงเหม่ยจิงอย่างเห็นใจ
ฟางเหม่ยจิงเดินออกมาทั้งน้ำตา เลี้ยวพ้นมุมห้อง เจอฤทัยนาคเดินเข้ามา
“หวัดดีค่ะคุณเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงมองสะบัดหน้าไป ฤทัยนาคมองตามงงๆ จงซินเดินมาพอดี
“จงซิน”
“มีอะไร”
“คุณเหม่ยจิงเป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้ออกมา”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ แล้วนี่มาทำไม”
“ชั้นเอาเงินมาใช้หนี้ไง”
“เอาไปให้คุณหลิน”
จงซินเดินออก ฤทัยนาคมองงงๆ ก่อนจะเดินไปที่หน้าห้อง

พอฤทัยนาคเปิดประตูเข้ามา เห็นหลินหลานเซ่อยืนหันหลัง มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างหงุดหงิด ฤทัยนาคเดิน มาที่โต๊ะสายตาเหลือบมองมาเฟียขี้เก๊กที่ยืนนิ่งเป็นหินอยู่
ฤทัยนาคมองอีกครู่หนึ่ง จึงหยิบเงินในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะแล้วย่องออกไป
“เข้ามาทำอะไร” หลินหลานเซ่อเสียงขุ่น
ฤทัยนาคสะดุ้ง “อ๋อ ชั้น ชั้นเอาเงินมาใช้หนี้นายน่ะ”
“แล้วทำไมไม่เรียกชั้น”
“ก็ชั้นเห็นนายท่าทางอารมณ์ไม่ดี ก็เลยไม่อยากจะกวนใจ”
หลินหลานเซ่อหันกลับมามอง ฤทัยนาคยิ้มให้ มาเฟียหนุ่มหยิบเงินมาดู เห็นเศษแบงค์ราวพันเหรียญ วางกลับไป
“อ้าว แล้วนายไม่จดลงบัญชีหรือนั่นมันพันเหรียญนะ”
“ดูเธอจริงจังกับการใช้หนี้เหลือเกินนะ”
“ก็จริงจังสิ ชั้นเป็นหนี้นาย แล้วชั้นก็รับปากนายแล้วว่าจะใช้หนี้นายให้หมด ชั้นก็ต้องทำให้ได้ตามสัญญา”
“เธอนึกว่าเธอจะใช้หนี้ยี่สิบล้านของพ่อได้หมดจริงๆ งั้นหรือ”
“ยังไงชั้นก็ต้องทำให้ได้ เพราะชั้นจะไม่ยอมให้พี่สาวมาเป็นนางบำเรอนายหรอก แล้วตอนนี้ชั้นก็เหลือหนี้อีก สิบแปดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเจ็ดพัน”
หลินหลานเซ่อมองเห็นความมุ่งมั่นในแววตาของฤทัยนาค
“แต่ชั้นว่าเธอไม่มีวันทำสำเร็จหรอก”
“อ้ะ อ้ะ อย่ามาสบประมาทนะ นายคงไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่เค้าว่า ยังไม่เสร็จศึกอย่าเพิ่งนับศพขุนพล เรายังไม่รู้ว่าใครจะชนะระหว่างนายกับชั้น ชั้นไปละ อ้อ อย่าลืมจดลงบัญชีด้วยล่ะว่า วันนี้ชั้นมาใช้หนี้อีกพัน”
ฤทัยนาคออกไปเลย

หลินหลานเซ่อมองตามแวบหนึ่ง หยิบเงินมาดูแล้วมองรูปนันทกา ก่อนจะโยนเงินกลับไปบนโต๊ะ มองที่รูปภาพนันทกาเขม็ง

ตกตอนกลางคืน เครื่องดื่มสีแดงมีลูกเชอรี่ลอยอยู่ในแก้วถูกวางลงบนเคาน์เตอร์บาร์ของร้านเหล้าแห่งหนึ่งย่านท่องเที่ยวยามราตรี ฟางเหม่ยจิง นางแบบสาวสวย นั่งเหงาอยู่ที่เคาน์เตอร์คนเดียว หล่อนหยิบลูกเชอรี่ในแก้วคนเล่น ท่าทีเหม่อลอยแล้วยกขึ้นจิบ

นึกเรื่องที่คุยกับหลินหลานเซ่อเมื่อเย็น แต่เขาคล้ายไม่สนใจใยดี
“วันนี้วันเกิดเหม่ยจิงไงคะ คุณจำไม่ได้จริงๆ หรือ”
“งานชั้นเยอะแยะ ชั้นไม่มีเวลามาจำเรื่องพวกนี้หรอก”
เหม่ยจิงนึกน้อยใจ ยกแก้วดื่ม
ภาพเหตุการณ์ที่หลินหลานเซ่อบอกอย่างตัดรอนน้ำใจผุดขึ้นมาอีก
“เหม่ยจิง ชั้นจะบอกให้เธอรู้นะ ธุรกิจของชั้นมันสำคัญมากกว่างานวันเกิดของเธอ”
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ เหม่ยจิงยกแก้วดื่มอีก วางแก้วลงน้ำตาไหลริน
“ขออีกแก้ว”
บาร์เทนเดอร์หยิบแก้วเก่าออกไป วางแก้วใหม่ให้ เหม่ยจิงจะหยิบแก้วมาดื่ม มีมือใครคนหนึ่งหยิบตัดหน้า เป็นเพ่ยอิงที่ยกแก้วนั้นขึ้นดื่ม
“เพ่ยอิง นี่คุณกล้าดียังไงมาหยิบแก้วชั้นไปดื่ม” เหม่ยจิงโกรธ
“แล้วทำไมชั้นจะดื่มไม่ได้ เธอเป็นเจ้าหญิงหรือไง”
“ชั้นไม่ใช่เจ้าหญิง แต่ชั้นเป็นแฟนของหลินหลานเซ่อนะ”
เพ่ยอิงหยัน “แฟนหรือ ถ้าเป็นแฟน คงไม่มานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้หรอกมั้ง”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ชั้นรู้นะเหม่ยจิง ว่าหลินหลานเซ่อ เค้าแค่จ้างเธอมาเป็นคู่นอนคู่ควงไว้ออกงานเฉยๆ”
เหม่ยจิงบันดาลโทสะ ตบเผียะเข้าให้ที่หน้าเพ่ยอิง
“นี่คุณกล้าดียังไงถึงพูดแบบนี้กับชั้น”
เพ่ยอิงจับแก้มตัวเองลูบเบาๆ “ความจริงเธอไม่ควรตบชั้นนะ เพราะชั้นพูดเรื่องจริง ที่เธอได้เป็นดารา ได้รางวัลม้าทองคำก็เพราะหลินหลานเซ่อใช้อิทธิพลซื้อทั้งนั้น”
เหม่ยจิงลุกขึ้นอย่างโกรธขึ้ง เพ่ยอิงคว้าแขนไว้ “เดี๋ยว”
“ปล่อยชั้นนะ”
“ชั้นยังพูดไม่จบเลย”
“ชั้นบอกให้ปล่อย”
“นี่ ชั้นว่าเธอย้ายช่องมาอยู่กับชั้นมั้ย บางทีเรตติ้งเธอ อาจจะสูงกว่าอยู่กับหลินหลานเซ่อนะ”
เหม่ยจิงมองตาวาว โกรธจัด
“ชั้นจะให้เธอมากกว่าหลินหลานเซ่ออีกเท่านึง แล้วชั้นก็จะให้ความรักเธอมากกว่าด้วย”
เหม่ยจิงสะบัดแขน “พอทีเถอะเพ่ยอิง หยุดพล่ามได้แล้ว ชั้นจะบอกให้คุณรู้นะ ต่อให้หลินหลานเซ่อไม่รักชั้น ชั้นก็ไม่มีวันอยู่กับคนอย่างคุณหรอก เพราะคนอย่างคุณมันน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน”
เหม่ยจิงจะไป เพ่ยอิงโกรธ คว้าแขนกระชากมาหา
“โอ๊ย”
“ชั้นอุตส่าห์เสนอเงื่อนไขตั้งเยอะแยะแต่เธอไม่ยอมรับ งั้นขอหมาขี้เรื้อนจูบปากทีนะ”
เพ่ยอิงก้มลงจะจูบ จงซินเข้ามาขัด ดึงแขนเพ่ยอิงออก
“อย่าทำอย่างงั้นเลยครับคุณเพ่ยอิง”
เพ่ยอิงชะงัก
“เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณหลินคงจะโกรธคุณมาก แล้วคุณคงรู้ว่าถ้าคุณหลินโกรธใคร ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง”
เพ่ยอิงมองจงซินอย่างไม่พอใจ
“ก็ได้” เขาหันมาบอกเหม่ยจิง “วันนี้ไม่ได้จูบ แต่คงมีซักวันที่เธอจะเปลี่ยนใจ ชั้นยังรอเธออยู่นะ”
เพ่ยอิงเดินออก จงซินกับเหม่ยจิงมองตาม
“จงซิน อย่าบอกเรื่องนี้กับหลินหลานเซ่อนะ ชั้นไม่อยากให้มีเรื่อง”
“ครับ” เหม่ยจิงถอนใจ จงซินมอง “คุณหลินให้ผมเอาของ ขวัญวันเกิดมาให้คุณ”
จงซินวางกล่องของขวัญเป็นกล่องใส่แหวนให้เหม่ยจิง นางแบบนางเอกชื่อดังมองกล่องของขวัญ อย่างเสียใจ
“ในที่สุดเค้าก็ไม่มาจริงๆ”
เหม่ยจิงร้องไห้วิ่งเตลิดออกไป จงซินคว้าของวิ่งตามไป
“เดี๋ยวครับคุณเหม่ยจิง”

เหม่ยจิงวิ่งออกมาหยุดตรงริมน้ำหน้าร้านร้องไห้สะอึกสะอื้น จงซินถือกล่องของขวัญวิ่งตามมาหยุดมองอย่างเห็นใจ จงซินเดินเข้ามาหา
“อย่าเสียใจไปเลยคุณเหม่ยจิง คุณก็รู้ว่าคุณหลินเป็นคนนิสัยยังไง”
“ชั้นรู้ แต่ชั้นก็อยากให้เค้าหันมามองชั้นจริงๆ บ้าง ตลอดเวลาที่ชั้นอยู่กับเค้า เค้ามองชั้นเหมือนเป็นตุ๊กตาตัวนึงหรือไม่ก็หุ่นยนต์ที่เป็นคู่ควงสำหรับไปงาน ไปนู่นไปนี่” นางแบบสาวระบาย
“แต่คุณก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วนี่ว่าคุณหลินจ้างคุณมาทำหน้าที่อะไร”
“แต่ชั้นมีหัวใจ มีความรู้สึกนะจงซิน ชั้นเป็นคนนะ เป็นคนเหมือนกับคุณ”
จงซินมองมาอย่างเห็นใจ เหม่ยจิงร้องไห้สะอื้นโผเข้ากอด
“ชั้นอยากให้เค้ารักชั้นบ้าง ซักนิดนึงก็ยังดี”
เหม่ยจิงร่ำไห้ระบาย จงซินอึ้ง
“คุณเป็นผู้ชายคุณไม่รู้หรอกว่าความรักมันเป็นยังไง”

จงซินก้มมองเหม่ยจิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ด้วยความรู้สึกกล้ำกลืน สงสารจับใจแต่ช่วยอะไรหล่อนไม่ได้เลย

อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น