xs
xsm
sm
md
lg

คิวบิก ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คิวบิก ตอนที่ 6

ระหว่างที่สองคนเดินมาด้วยกันตามระเบียงหน้าห้องคนไข้ตรงไปยังลิฟต์ ไป่หลิงหันไปติงหย่งเหวิน เรื่องที่พูดให้หลินหลานเซ่อเข้าใจผิดเพ่ยอิง

“ไป่หลิงว่าพี่ไม่น่าพูดเรื่องคุณเพ่ยอิงแบบนั้นนะคะ”
“ทำไม”
“เดี๋ยวคุณหลินจะคิดว่าพี่ไปใส่ความคุณเพ่ยอิง
“ก็มันจริงนี่ เธอไม่เห็นหรือว่าในงานแต่งเรา เพ่ยอิงก็มีเรื่องกับคุณหลิน”
“แต่ถ้าเราไม่มีหลักฐานก็ไม่ควรพูดนะคะ”
“พี่ว่าเธออย่ารู้ดีเลย ในวงการนี้เราไว้ใจใครไม่ได้หรอก”
ไป่หลิงเหลือบมองหย่งเหวินอย่างไม่ค่อยสบายใจ

ขณะเดียวกัน ฤทัยนาคในชุดนักเรียน เดินก้มหน้าก้มตาคิดอะไรเพลินๆ มาตามทาง
หย่งเหวินมองไปเบื้องหน้าเห็นฤทัยนาคก้มหน้าเดินมา ฤทัยนาคเงยหน้ามอง เห็นหย่งเหวินมองจ้อง ทั้งสองคนเดินสวนกันช้าๆ ต่างคนต่างเหลียวมองกัน
ทั้งสองเดินผ่านกันไป หย่งเหวินยังคงเหลียวมองตาม เช่นเดียวกับฤทัยนาคก็หันมามองหย่งเหวิน สุดท้ายหย่งเหวินเป็นฝ่ายหันหน้ากลับ สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ฤทัยนาคเกิดสังหรณ์ใจโดยประหลาด มองตามหย่งเหวินอย่างแปลกใจในท่าที
“ใคร มาจ้องหน้าเราแปลกๆ”
ฤทัยนาคหันหน้ากลับสลัดความคิดออกจากหัว แล้วเดินเลี้ยวไปทางห้องหลินหลานเซ่อ

เย็นแล้ว ฤทัยนาคเริ่มเปิดแฟ้มงานอ่านด้วยหน้าเครียดเคร่ง หลินหลานเซ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
ท่าทีฤทัยนาคเครียดเคร่งจริงจังเอามากๆ กดเครื่องคิดเลขคำนวณรายการจากรายงานในแฟ้ม
มาเฟียหนุ่มละสายตาไปมองจ้อง เห็นเด็กสาวกดเครื่องคิดเลข แล้วเขียนจดไว้ในกระดาษ สักครู่กดใหม่ด้วยคิดเลขผิด หันมาขีดทิ้ง เขียนใหม่ หลินหลานเซ่อมองเพลิน คราวนี้เห็นฤทัยนาคขยำกระดาษทิ้ง จดตัวเลขลงไปในกระดาษแผ่นใหม่สีหน้าเครียด ก่อนจะกดเครื่องคิดเลขบวกลบอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายฤทัยนาคดีดนิ้วดังเปาะ ยกมือขึ้นด้วยความดีใจ
หลินหลานเซ่อมองแล้วอมยิ้ม ฤทัยนาคหันมาเห็น มาเฟียขี้เก๊กหุบยิ้มแทบไม่ทัน รีบตีหน้าขรึมมองจ้อง
“เป็นอะไร ทำไมดูดีดดิ้นยังกะมดโดนไฟ”
“ชั้นคิดออกแล้วว่าจะช่วยบริษัทนายประหยัดค่าไฟได้ยังไง”
หลานเซ่อ มองงง “ค่าไฟอะไรของเธอ”
“ก็ค่าไฟบริษัทนายแต่ละเดือนน่ะตั้งหลายหมื่นเหรียญ ชั้นว่าจากนี้ไปนายควรจะบอกพนักงานของนายให้ปิดแอร์ก่อนเลิกงานซักชั่วโมง แล้วช่วงเช้าแทนที่จะเปิดแอร์เจ็ดโมง ควรจะเปิดแปดโมง เพราะตอนเช้าอากาศยังไม่เย็น นายรู้มั้ยถ้านายทำแบบนี้เดือนนึงนายจะเซฟค่าไฟได้หนึ่งหมื่นเหรียญเชียวนะ แล้วปีนึงจะเซฟได้ถึงหนึ่งแสนสองหมื่นเหรียญ”
หลินหลานเซ่อมองหน้าฤทัยนาคอย่างทึ่งๆ
“ว่าไง ซื้อไอเดียชั้นมั้ย”
“ก็ดีเหมือนกัน”
“ไม่ใช่ก็ดีนะ ชั้นจะบอกว่าถ้านายซื้อไอเดียชั้น ชั้นขายนายหมื่นนึง” เด็กสาวบอก
หลินหลานเซ่อโวย “อะไร ตั้งหมื่นเชียวหรือ”
“อ้าว นายอย่าลืมนะ นายจ่ายชั้นหมื่นเดียว แต่นายเซฟได้ปีละแสนสองเชียวนะ”
“เธอนี่หายใจเข้าออกเป็นเงินไปหมดนะ”
“ก็ชั้นเป็นหนี้นายตั้งเยอะนี่ สรุปว่าตัดหนี้ไปหมื่นนึงเลยนะ จะได้เหลือสิบแปดล้านเก้าแสนสองหมื่น”
หลินหลานเซ่อมองแล้วอมยิ้ม ดูฤทัยนาคหันไปเขียนหนังสืออย่างเพลิดเพลินอารมณ์ดี
ฤทัยนาคก้มหน้าก้มตาเขียนจนงานเสร็จ หันมาต้องชะงัก เมื่อพบสายตามาเฟียเจ้าหนี้จ้องอยู่
“นายจ้องหน้าชั้นทำไม”
“ชั้นจะบอกเธอว่า เธอเอาแฟ้มพวกนั้นไปหัดแปล แล้วพรุ่งนี้เอามาให้ชั้น”
“พรุ่งนี้เหรอ...พรุ่งนี้วันสิ้นปี ชั้นมีของขวัญต้องส่งให้ลูกค้าเยอะเลย เลื่อนไปอีกสองวันได้มั้ย”
“ไม่ได้ พรุ่งนี้ชั้นจะออกจากโรงพยาบาลเธอต้องไปพบชั้นที่บริษัทตอนทุ่มตรง”
“นายจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ”
“ใช่ ชั้นต้องการพบเธอพรุ่งนี้” หลานเซ่อย้ำ
“เอ่อ แต่...”
หลินหลานเซ่อขัดขึ้น “ไม่มีแต่ ชั้นต้องการพบเธอพรุ่งนี้”
“ก็ได้ ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ชั้นต้องตื่นตีสามแล้ว จะได้รีบส่งของให้เสร็จ เอาล่ะ งั้นชั้นไปก่อนนะคืนนี้จะได้รีบแปลให้นาย”
ฤทัยนาคลุกขึ้น หอบแฟ้มขยับจะออกไป
“เดี๋ยว”
“อะไร”
หลินหลานเซ่อลุกจากเตียงเดินมาหา ฤทัยนาคมองประหม่า เห็นเขามองจ้อง หลินหลานเซ่อเอื้อมมือมาที่แก้ม ฤทัยนาคอึ้ง หลานเซ่อแตะปาดลบรอยปากกาที่เลอะบนใบหน้า
“หน้าเธอเลอะปากกา”
“อ๋อ เมื่อกี้คงคิดเพลินไปหน่อย ชั้นไปได้ยัง”
หลินหลานเซ่อพยักหน้า ไม่ลืมกำชับ “อย่าลืม พรุ่งนี้ชั้นต้องเจอเธอนะ”
“นายพูดยังกะว่าถ้าชั้นไม่ไป นายจะนอนไม่หลับ”
“ใช่”
คำตอบนั้นทำเอาฤทัยนาคอึ้ง เหวอไปเลย “นายล้อชั้นเล่นใช่มั้ย”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบ หันหลังเดินกลับไปที่เตียง ฤทัยนาคมองตามขำๆ
“ที่แท้ก็หลอกให้เราไปทำงานให้”
ฤทัยนาคเปิดประตูออกไปแล้วปิดลง หลินหลานเซ่อหันกลับมามอง ใบหน้าหล่อเหลาขรึมเคร่ง คลี่ยิ้มระบายเต็มหน้า
ฤทัยนาคเดินออกมาเจอจงซินเดินสวนเข้ามาพอดี
“หวัดดีจงซิน”
“ทำไมรีบกลับเสร็จงานแล้วหรือ”
“รีบอะไร นี่ชั้นต้องกลับไปทำงานต่ออีก นายรู้มั้ยเจ้านายนายเนี่ยให้งานชั้นไปแปลแล้วจะเอาพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันสิ้นปี”
“แล้วไง”
“จะยังไง วันๆชั้นไม่ได้อยู่เฉยนะ พรุ่งนี้ชั้นมีงานต้องทำเยอะมาก ไหนจะงานที่เจ้านายนายให้มาใหม่ เอาล่ะ ชั้นไปแล้ว จะรีบกลับไปทำงาน”
ฤทัยนาคหันตัวเดินออกไปเลย จงซินมองตามยิ้มอย่างขำในความเป็นคนจริงจังของเด็กสาว แล้วหันกลับเดินตรงไปที่ห้องเจ้านาย

หลินหลานเซ่อยืนทอดสายตามองออกไปนอกระเบียง ฮัมเพลงรักอย่างอารมณ์ดี ในมือถือโทรศัพท์ไว้ด้านหลัง เขาเปิดเพลงจากโทรศัพท์ จงซินเปิดประตูเข้ามาแล้วชะงัก มองไปที่โทรศัพท์มือถือ มีเสียงเพลงรักดังออกมา
จงซินมองเจ้านายที่ปกติขรึมเป็นนิจสิน อย่างแปลกใจ
หลินหลานเซ่อฮัมเพลงตามเพลงมือถือ ยิ้มอย่างมีความสุข จงซินมองไม่อยากเชื่อสายตา หลินหลานเซ่อฮัมเพลงอยู่หันมาเจอ
“อ้าว จงซิน ไม่รู้ว่านายมา”
“ผมเห็นคุณกำลังปล่อยอารมณ์ฟังเพลงก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ”
“ก็อยากฟังเพลงคลายเครียดบ้าง” หลานเซ่อกดปิดเพลง
“ผมว่าพักนี้คุณหลินดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะครับ” จงซินเย้า
“ชั้นน่ะหรือ”
“ครับ ดูมีชีวิตชีวา”
“คงเป็นเพราะได้นอนพัก ไม่ได้ทำงานมั้ง”
“งั้นจากนี้กลับไปคุณควรจะหาเวลาพักบ่อยๆ นะครับ จะได้ไม่เครียด”
“ขอบใจที่เป็นห่วง”
จงซินนึกบางอย่างออก “อ้อ เมื่อบ่ายอาเหว่ยโทร.มาบอกว่ามันยังตามหาตัวนันทกาไม่เจอเลยครับ”
“อืมม์” หลินหลานเซ่อฟังอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ต่างจากทุกครั้ง
“มันบอกว่ามันไปเกือบจะทุกจังหวัดในเมืองไทยแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้ยุทธพงษ์เอาลูกสาวไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“อืมม์”
จงซินมองอย่างแปลกใจ
“คุณหลินคิดว่ายังไงครับ จะให้เปลี่ยนอาเหว่ยกลับมาแล้วเอาซังกับอาสี่ไปทำแทนดีมั้ยครับ”
“แล้วแต่นาย”
จงซินชะงัก “ผมขอโทษนะ ทำไมพักหลังมานี่ผมไม่เห็นคุณหลินสนใจเรื่องนันทกา”
“ก็...มันคงมีหลายเรื่องให้คิดมั้งเลยลืมไป แล้วอีกอย่างเรายังมีน้องสาวของเธอเป็นตัวประกันอยู่กับเรา”
“ผมว่าจะพูดเรื่องฤทัยนาคอยู่พอดี”
หลินหลานเซ่อฉงน “มีอะไรหรือ”
“เธอเป็นคนช่วยชีวิตคุณ ถ้าไม่ได้เธอ ป่านนี้คุณคงถูกไอ้พวกนั้นฆ่าตายไปแล้ว”
“แล้วยังไง”
“ผมว่าคุณควรจะยกหนี้ทั้งหมดให้กับเธอแล้วปล่อยเธอกลับไปเมืองไทยได้แล้ว เพราะชีวิตคุณ มีค่ามากกว่าหนี้ที่พ่อเธอติดเราไม่รู้กี่พันเท่า”
หลินหลานเซ่อเมินหน้ามองไปอีกทาง
“คุณหลินคิดว่ายังไงครับ”
หลินหลานเซ่อหันกลับมา สีหน้าและแววตาเรียบนิ่งเฉย “เรื่องนี้ชั้นจะตัดสินใจอีกที”
“แต่เธอเป็นเด็กดี ปล่อยเธอไปเถอะครับ”
“ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นจะตัดสินใจอีกที”
หลินหลานเซ่อบอกเสียงเข้มเด็ดขาด จงซินพยักหน้ารับรู้
“ถ้าอย่างงั้นก็ได้ครับ”
จงซินหันเดินออกปิดประตู หลินหลานเซ่อหันกลับมาบอกตัวเอง
“ไม่ ชั้นจะไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น”

จงซินเดินออกมาจากห้องสองสามก้าวหยุดคิด หันกลับไปมองที่หน้าห้องเจ้านายก่อนจะหันกลับมาพึมพำ
“อย่าบอกนะว่าคุณแอบรักเด็กคนนี้แล้ว”
จงซินยิ้มขำ แล้วเดินออกไปช้าๆ

บรรยากาศในตอนเช้าวันขึ้นปีใหม่คึกครื้น รื่นเริงสดใสเป็นพิเศษ แลเห็นธงทิวปลิวไสวทั่วเมือง รวมทั้งป้ายแฮปปี้นิวเยียร์ ติดประดับตามย่านการค้า

ฤทัยนาคถือกล่องของขวัญสามสี่กล่องไปส่งตามออเดอร์ เริ่มจาก บริษัท 1 เสร็จแล้วถือกล่องของขวัญอีกสองสามกล่องเดินเข้าบริษัท 2 อย่างรีบเร่ง
ต่อจากนั้นเห็นฤทัยนาคขี่จักรยานผ่านถนนสายหนึ่ง โดยยังมีสัมภาระกล่องของขวัญอันใหม่ในตระแกงหน้ารถ

หลินหลานเซ่ออยู่ในห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล กดโทรศัพท์หาซุ่นลี่ เลขาที่ออฟฟิศ ณ อาคารฉายหงส์กรุ๊ป
“ซุ่นลี่”
เลขาพูดโทรศัพท์อยู่ตรงโต๊ะหน้าห้อง “ขาคุณหลิน”
“เย็นนี้สั่งอาหารขึ้นไปที่ห้องพักชั้นให้ด้วย”
“กี่ที่คะ”
“สองที่”
“เป็นอาหารอะไรดีคะ อาหารโปตุกีสหรืออาหารจีนคะ”
“ทั้งสองอย่าง อ้อ ขอลอบสเตอร์ตัวใหญ่ด้วยนะ”
“ค่ะ”
หลินหลานเซ่อวางสาย นึกถึงหน้ายัยเด็กซื่อบื้อแล้วยิ้มกว้างอย่างสุขใจ

ทางด้านฤทัยนาคขี่จักรยานมาจอด แล้วยกกล่องของขวัญเดินเข้าไปในตึกฉายหงส์กรุ๊ป

ซุ่นลี่เดินเข้ามาที่โต๊ะผู้ช่วยเลขา เห็นช่อดอกไม้กับกล่องของขวัญยังวางอยู่
“อ้าว นี่เธอยังไม่ส่งดอกไม้กับของขวัญไปให้คุณเหม่ยจิงอีกหรือ”
“ยังเลยค่ะ ไม่มีใครว่างไปส่ง”
“แล้วแมสเซนเจอร์เราล่ะ”
“ไปส่งของยังไม่กลับเลย” ผู้ช่วยบอก
“ทั้งหมดเลยหรือ”
“ใช่ค่ะ เค้าบอกรถติด นี่ชั้นยังกลุ้มอยู่เลย”
ซุ่นลี่ตกใจ “ตายแล้ว นี่คุณหลินกำลังจะกลับมาแล้วด้วย”
ฤทัยนาคถือกล่องของขวัญเดินเข้ามาพอดี
“หวัดดีค่ะ คุณซุ่นลี่”
ซุ่นลี่กับผู้ช่วยเลขาหันมองมา “เอาของมาส่งค่ะ ช่วยเซ็นรับด้วย”
“เออ ฤทัยนาค เธอมาก็ดีแล้ว ชั้นวานเธอไปส่งดอกไม้กับของ ขวัญนี่ให้หน่อยได้มั้ย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวชั้นต้องกลับไปบริษัทมีของต้องส่งอีกเยอะ”
“แต่ช่วยชั้นหน่อยไม่ได้หรือ ชั้นขอร้องล่ะ ชั้นให้พิเศษห้าร้อย”
“ชั้นก็อยากช่วยนะคะ แต่ชั้นไปไม่ได้จริงๆ”
ซุ่นลี่โน้มน้าว “แต่นี่มันเป็นของที่คุณหลินจะส่งให้แฟน แล้วคนของชั้นก็ไม่มีซะด้วย ชั้นของร้องละ ช่วยหน่อยเถอะ อย่าให้คุณหลินโกรธเลยนะ”
ฤทัยนาคลังเล “เอ่อ...แต่ว่า...”
“นะ เอาไปให้คุณเหม่ยจิงเธอหน่อย”
ฤทัยนาคถอนใจ “เอา ก็ได้ค่ะ ไปที่ไหนคะ”
ซุ่นลี่บอกชื่อสถานที่ ฤทัยนาคตาเหลือก
“หา...ที่นี่เลยหรือคะ รถมันติดมากนะ กว่าจะไปแล้วกลับมาก็เกือบสองชั่วโมงนะคะ แล้วชั้นยังมีของที่ต้องไปส่งอีก”
“เอาน่า ถือว่าช่วยคุณหลินนะ อย่าให้คุณหลินเสียใจ”
ฤทัยนาคถอน “ค่ะ ค่ะ ของอยู่ไหนคะ”
ซุ่นลี่หยิบช่อดอกไม้กับกล่องของขวัญให้ “นี่จ้ะขอบใจเธอมาก เอา ชั้นให้ห้าร้อย” เลขาสาวส่งเงินให้ห้าร้อยเหรียญ “ขอบใจนะ ฤทัยนาค”
“ค่ะ”
ฤทัยนาคฝืนยิ้ม หอบของเดินออกไป ซุ่นลี่ถอนใจ
“โชคดีจริงๆ ไม่งั้นชะตาขาดแน่เรา”

หลินหลานเซ่อนั่งอยู่ในรถที่แล่นมาตามถนน มาเฟียรูปงามอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย

ทางฝ่ายฤทัยนาคปั่นจักรยานขึ้นเนินมาแล้วปั่นลงเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยมีช่อดอกไม้ถูกห่ออย่างดี วางไว้ตระแกงหน้ารถ

ฟางเหม่ยจิง ถ่ายแฟชั่นอยู่ในสตูดิโอ โดยช่างภาพคุ้นหน้าเป็นคนกดชัตเตอร์ สองคนทำงานอย่างรู้ทางกัน เหม่ยจิง หมุนซ้าย ขวา ดวงตากลมโตมองจิกมาที่เลนส์กล้อง บางจังหวะหล่อนมองบน มองล่าง โพสต์ไม่ซ้ำท่า ช่างภาพลั่นชัตเตอร์ช็อตสุดท้ายอย่างพึงพอใจ

“โอเคครับคุณเหม่ยจิง เซ็ตนี้โอเคแล้วครับ พวกเรา เบรกกินกาแฟครึ่งชั่วโมง”
เหม่ยจิงเดินออกมาจากเซ็ต บอกคนดูแล
“ขอมะนาวโซดาชั้นแก้ว คอแห้งมาก”
ฤทัยนาคหอบช่อดอกไม้และกล่องของขวัญเข้ามามองหา เห็นเหม่ยจิงเดินออกมาพอดี
“หวัดดีค่ะ คุณเหม่ยจิง”
เหม่ยจิงแปลกใจ “อ้าวฤทัยนาค มาทำอะไรแถวนี้”
“คุณหลินให้เอาดอกไม้กับของขวัญมาให้คุณค่ะ”
ฤทัยนาคส่งของให้ เหม่ยจิงแหวกดอกไม้ดูการ์ด มองด้วยท่าทีไม่ได้ดีใจ หรือตื่นเต้นสักนิด
“ขอบใจ แคทลียาขาวเหมือนทุกปี เธอเชื่อมั้ยแล้วในกล่องของขวัญนี่ ถ้าไม่เป็นสร้อยคอก็ต้องเป็นกำไล หรือไม่ก็ต่างหูเข็มกลัดเครื่องประดับอะไรซักอย่าง”
ฤทัยนาคฉงน “คุณไม่ชอบหรือคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ แต่ชั้นได้อย่างนี้ทุกปี จนชั้นไม่ตื่นเต้นแล้ว”
“แต่อย่างน้อยคุณหลินเค้าก็อยากให้คุณนะคะ”
เหม่ยจิงระบดระบาย “เค้าไม่ได้อยากให้ชั้นหรอก เลขาเค้าต่างหากที่เป็นคนซื้อให้ ตัวเค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในกล่องนี้มันมีอะไร”
ฤทัยนาคมองเหม่ยจิงอย่างเห็นใจ
“คนอย่างหลินหลานเซ่อ เค้าไม่เคยซื้อของขวัญให้ใครหรอก”
“จริงหรือคะ”
“จริงสิ ถ้าใครได้ของขวัญจากหลินหลานเซ่อ คนนั้นต้องเป็นคนพิเศษมากสำหรับเค้า”
“งั้นเอาอย่างนี้ ปีหน้าชั้นจะแอบกระซิบบอกให้เค้าไปเลือกซื้อของขวัญให้คุณดีมั้ยคะ”
เหม่ยจิงมองฤทัยนาคแล้วยิ้มขำในความซื่อและท่าทีจริงใจ
“ถ้าเธอทำได้อย่างที่พูดชั้นจะให้รางวัลเธอ”
“ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ชั้นขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปส่งของที่อื่นอีก”
ฤทัยนาคขยับตัวหันกลับจะไป
“เดี๋ยวฤทัยนาค”
“คะ” เด็กสาวหันมาหา
“ชั้นถามหน่อย เธอมาทำงานกับหลินหลานเซ่อได้ยังไง”
“พ่อชั้นติดหนี้เค้าน่ะค่ะ ชั้นก็เลยต้องมาทำงานใช้หนี้”
เหม่ยจิงหยิบเงินในกระเป๋าถือส่งให้ “เอา ชั้นให้เธอพันเหรียญ จะได้ช่วยใช้หนี้”
ฤทัยนาคยิ้มแป้น “ขอบคุณค่ะ คุณเนี่ยทั้งสวยทั้งน่ารักแถมยังใจดีอีกต่างหาก”
“เธอเองก็น่ารักนะ รู้ตัวรึเปล่า”
“ชั้นน่ะหรือน่ารัก คุณอย่ามาให้กำลังใจเลย”
“จริงๆ ถ้าไม่เชื่อ วันหลังจะให้เธอมาถ่ายแบบแทนชั้น”
“ได้อย่างงั้นก็ดีสิคะ ชั้นจะได้หมดหนี้เร็วๆ ขอบคุณนะคะ บ๊ายบาย”
ฤทัยนาคโบกมือให้ เหม่ยจิงโบกตอบ ฤทัยนาคออกไปแล้ว เหม่ยจิงมองของขวัญ และช่อดอกไม้ แล้วยิ้มอย่างจำใจรับสภาพ

รถหลินหลานเซ่อแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารฉายหงส์กรุ๊ปในตอนเย็น บอดี้การ์ดเปิดประตูรถให้หลานเซ่อก้าวลงมา จงซินเปิดลงมาจากฝั่งที่นั่งคนขับ
บรรดาพนักงาน และบอดี้การ์ดในชุดสูทยืนเรียงเป็นตับรอต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ คุณหลิน ยินดีต้อนรับกลับสู่บ้านค่ะ” ซุ่นลี่เอ่ยต้อนรับเป็นคนแรก
“สวัสดีครับคุณหลิน” / “สวัสดีค่ะคุณหลิน”
หลินหลานเซ่อพยักหน้ารับเสียงทักทายของพนักงานชายหญิง แล้วเดินขึ้นตึกไป

ครู่ต่อมาหลินหลานเซ่อเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน ซุ่นลี่เดินตาม
“คุณหลินจะดื่มอะไรดีคะ”
“ขอชาร้อน แล้วเรื่องที่ผมสั่งเรียบร้อยมั้ย”
“เรียบร้อยค่ะ อาหารจะเสิร์ฟทุ่มนึงค่ะ”
“ดี อ้อ ซุ่นลี่”
“คะคุณหลิน”
“เห็นฤทัยนาคมาที่นี่รึยัง”
“อ๋อ มาแล้วค่ะ”
“เรียกมาหาผมหน่อย”
“แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้วค่ะ”
หลินหลานเซ่อนิ่วหน้า “อ้าว เค้าไปไหน”
“พอดีซุ่นลี่ให้เค้าเอาดอกไม้กับของขวัญไปส่งให้คุณเหม่ยจิงน่ะค่ะ”
หลานเซ่อชะงัก ใบหน้าขรึมเคร่งดูออกว่าโกรธ
“เธอว่าอะไรนะ”
“เผอิญคนส่งของเราไม่อยู่ ซุ่นลี่ก็เลยวานฤทัยนาคไปส่งให้ค่ะ”
“เธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฤทัยนาคนะ”
ซุ่นลี่ตกใจระคนแปลกใจ “เอ่อ…ซุ่นลี่กลัวว่าถ้าคุณเหม่ยจิงไม่ได้รับของจะโดนดุน่ะค่ะ”
“แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฤทัยนาค แล้วก็ไม่มีใครมีสิทธิ์สั่งเธอได้นอกจากชั้นคนเดียว เข้าใจรึเปล่า”
“เข้าใจค่ะ ซุ่นลี่ขอโทษค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว”
ซุ่นลี่ออกไปอย่างรวดเร็ว หลินหลานเซ่อถอนใจอย่างโกรธขึ้ง นึกหมั่นไส้ฤทัยนาคขึ้นมา
“เด็กบ้านี่ ใครใช้อะไรก็ไปหมด”
หลินหลานเซ่อกดโทรศัพท์โทร.หาเหม่ยจิงรอสาย

ฟางเหม่ยจิงกำลังเติมหน้าเตรียมถ่ายแฟชั่นเซ็ตใหม่ เสียงโทรศัพท์ดัง เหม่ยจิงเห็นเบอร์ขึ้น LHIN LANG SUR รีบกดรับอย่างดีใจ
“ว่าไงคะ เหม่ยจิงได้รับของขวัญของคุณแล้วค่ะ เหม่ยจิงชอบมากค่ะ สร้อยสวยมาก”
หลินหลานเซ่อคล้ายไม่ใส่ใจฟัง “เด็กนั่นอยู่กับเธอรึเปล่า”
เหม่ยจิงงง “เด็กไหนคะ”
“ก็ฤทัยนาคไง เค้าเอาของไปส่งให้เธอไม่ใช่หรือ”
“ใช่ค่ะ แต่เธอกลับไปแล้วค่ะ”
“กลับไปเมื่อไหร่”
“เมื่อกี้นี้เองค่ะ”
หลินหลานเซ่อกดปิดโทรศัพท์ไปเลย
“เดี๋ยวค่ะ คุณหลิน คุณหลิน” ซุปตาร์สาวปิดโทรศัพท์อย่างงวยงง บ่นบ้าออกมา “เอ๊ะ นี่เค้าโทร.หาเรา
หรือโทรหาเด็กนั่น เฮ้อ เอาใจยากจริงๆ”

ฤทัยนาคขี่จักรยานข้ามสะพานเห็นพลุยิงขึ้นบนท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่ว ฤทัยนาคเงยหน้ามองอย่างตื่นเต้น แล้วขี่จักรยานผ่านสะพานไป หน้ารถยังมีกล่องของที่ต้องส่งอีก

หลินหลานเซ่อเดินวนไปมาอยู่ในห้องทำงาน เห็นพลุด้านนอกถูกยิงขึ้นฟ้า มาเฟียหนุ่มมองดูนาฬิกาแล้วบ่น
“สองทุ่มแล้วทำไมยังไม่มาอีกเนี่ย”
หลินหลานเซ่อเดินออกไป อย่างหงุดหงิด

ฤทัยนาคขี่จักรยานมาจอดหน้าตึก กระโดดลงคว้าแฟ้มเอกสารถือเดินเข้ามาหาเจ้าหน้าที่ตรงเค้าน์เตอร์ชั้นล่าง
“ชั้นมาพบคุณหลิน”
“คุณหลินออกไปแล้ว”
“หา...ออกไปไหน รู้มั้ย”
“ไม่รู้”
“อ้าวเหรอ คุณโทร.บอกคุณหลินให้หน่อยได้มั้ยว่าชั้นมาแล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่มีเบอร์คุณหลินหรอก”
ฤทัยนาคถอนใจ “เอาไงดีล่ะเรา” เด็กสาวมองซ้ายมองขวา ท่าทีลังเล “เอา รอหน่อยแล้วกัน เค้าอาจจะไปกินข้าวเดี๋ยวคงกลับมา”
ฤทัยนาคเดินคอตกออกไปนั่งรอที่หน้าตึก

ฤทัยนาคนั่งกอดแฟ้มรอ แกว่งขาบ้าง ก่อนจะลุกเดินไปมา เวลาผ่านไป ฤทัยนาคมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว เดินไปมาสักพัก นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง เด็กสาวมองแล้วทอดถอนใจ
“เค้าจะมารอเราเรื่องอะไร เราไม่มีความสำคัญอะไรกับเค้ากลับไปนอนดีกว่า”
ฤทัยนาคเดินไปคว้าจักรยานขึ้นมาขี่ปั่นออกไป

ฤทัยนาคขี่จักรยานมาจอดหน้าตู้คอนเทนเนอร์ ไม่ลืมหยิบแฟ้มงานมาด้วย เปิดประตูเดินเข้าไป
พอเข้ามาในห้องฤทัยนาคต้องสะดุ้ง เห็นใครคนหนึ่งคนอยู่ในความมืด ฤทัยนาคเปิดไฟพรึบ เป็นหลินหลานเซ่อที่มองจ้องมาตาวาว สองคนจ้องหน้ากัน
“ชั้นจำได้ว่าชั้นนัดเธอไว้ทุ่มนึง” มาเฟียหนุ่มถามเสียงขุ่น
“เอ่อ นาย...รอชั้นด้วยหรือ”
“คำสั่งชั้นไม่มีความหมายงั้นหรือ”
“ชั้นขอโทษ ชั้นไปส่งของขวัญของนายให้คุณเหม่ยจิง แล้วมันอยู่ไกลมากรถก็ติด ชั้นไม่คิดว่านายจะรอ”
หลินหลานเซ่อพาล “มันหน้าที่เธอหรือไง เธอคิดว่าเธอจะรับคำสั่งใครก็ได้โดยไม่ต้องสนใจคำพูดของชั้นใช่มั้ย”
“ชั้นขอโทษอีกครั้งจริงๆ ชั้นไม่คิดว่าเอกสารนี่มันจะสำคัญขนาดนั้น เอา ชั้นแปลเสร็จแล้ว นายเอาไปได้เลย”
นาคส่งเอกสารให้ หลินมองอย่างโกรธ นาคหลบตาอย่างกลัว หลินเดินก้าวเข้ามาหา
“เธอนี่มัน...”
ฤทัยนาคยื่นของขวัญให้ “แฮปปี้นิวเยียร์” หลินหลานเซ่อชะงัก เขม้นมอง “ชั้นมีเงินซื้อของขวัญให้นายได้แค่นี้ หวังว่านายจะชอบมันนะ”
หลินหลานเซ่อรับมาแกะดูเลย เห็นเป็นนาฬิกาข้อมือสควอร์ทสีทอง
“ชั้นเอามาชดใช้แทนนาฬิกานายที่ชั้นให้แท็กซี่ไปน่ะ”
หลินหลานเซ่อมองมาแววตาจดจำรำลึก ถึงเหตุการณ์ในรถแท็กซี่ที่จอดรอหน้าโรงพยาบาล สภาพเขาตอนนั้นใกล้จะหมดแรงสิ้นสติ ขณะฤทัยนาคถอดนาฬิกาให้คนขับแท๊กซี่
“เอานี่ เราไม่มีเงินสด คุณเอานาฬิกานี่ไปแทนค่ารถนะมันคงขายได้หลายตังค์”
หลินหลานเซ่อจำได้ มองจ้องเด็กสาวเขม็ง
“เธอคิดว่าของแค่นี้จะชดใช้ความผิดที่ทำให้ชั้นต้องรอได้งั้นเหรอ”
“ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษ”
ฤทัยนาคหลบตาลง มาเฟียหนุ่มเชยคางเธอขึ้นมาให้มองเขา
“จำไว้นะ อย่าผิดคำพูดกับชั้นอีก”
ฤทัยนาคพยักหน้ารับ “ชั้นจะจำไว้” จู่ๆ ยัยเด็กบื้อของหลินหลานเซ่อก็ยิ้มเผล่
“ยิ้มอะไร”
“ชั้นขอบคุณนะที่นายรอชั้นน่ะ”
หลินหลานเซ่อชะงักมองตาเป๋ง
“ชั้นบอกตรงๆนะ ชั้นไม่เคยมีสำคัญกับใคร ไม่ว่าพ่อหรือพี่หรือเพื่อน ชั้นก็เลยไม่คิดว่าการไม่อยู่ของชั้นมันจะสำคัญกับนาย”
หลินหลานเซ่อนิ่งมอง เห็นฤทัยนาคยิ้มให้อย่างจริงใจ
“เอาละ ทีนี้นายจะลงโทษอะไรชั้นก็ได้ จะเพิ่มหนี้หรือต่อยชั้นก็ได้”
“อะไรก็ได้งั้นรึ”
“ใช่”
“ต่อไปนี้ห้ามเธอรับคำสั่งจากใครนอกจากชั้น ชั้นเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สั่งเธอได้ เข้าใจรึเปล่า”
“ไม่เข้าใจนิดหน่อย ทำไมชั้นถึงรับคำสั่งคนอื่นไม่ได้”
“เธอเป็นลูกหนี้ใคร”
“นาย”
“ชั้นคนเดียวเท่านั้น”
“ใช่ นายคนเดียว”
หลินหลานเซ่อมองจ้อง สบตาฤทัยนาคก่อนจะจับแก้มเบาๆ เด็กสาววัยใสอึ้ง
“คราวนี้เข้าใจรึยังว่าทำไมต้องฟังชั้นคนเดียว”
“อืมม์ เข้าใจแล้ว เพราะนายเป็นเจ้าหนี้”
หลินหลานเซ่อหันตัวจะเดินออก แล้วหยุด นึกบางอย่างได้หันมาบอกเสียงดุ
“หัดล็อคประตูห้องด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ห้องชั้นไม่มีอะไรให้ขโมย”
“ชั้นบอกให้เธอล็อคห้อง” หลานเซ่อเสียงขุ่น
“ค่ะ”
“ของขวัญของเธออยู่บนโต๊ะ”
จากนั้นหลินหลานก็หันตัวเดินออก ฤทัยนาคมองตามก่อนจะหันกลับไปมองบนโต๊ะอ่านหนังสือ เห็นลูกคิวบิกวางอยู่ ฤทัยนาคหยิบมามองแล้ววิ่งออกประตูไป

ฤทัยนาควิ่งตามออกมา เห็นร่างสูงชะลูดของหลินหลานเซ่อเดินตรงไปยังรถ จึงร้องบอก
“ขอบคุณนะ”
หลินหลานเซ่อชะงักหันกลับมามอง เด็กสาวยกคิวบิกให้
“ชั้นชอบมันมากเลย”
เที่ยงคืนตรงเป๊ะ พลุปีใหม่ถูกยิงขึ้นท้องฟ้าในจังหวะนี้พอดิบพอดี หลินหลานเซ่อมองหน้าฤทัยนาค ขณะพลุแตกตัวกระจายออกเต็มฟ้า
ฤทัยนาคยิ้มแฉ่ง แหงนมองพลุสว่างไสวงดงามทั่วท้องฟ้า
“ขอบคุณอีกครั้ง ฝันดีนะ กู๊ดไนท์”
หลินหลานเซ่อเผลอยิ้มออกมาขณะพยักหน้าให้
“กู๊ดไนท์”
หลินหลานเซ่อเดินออกไป พลุถูกยิงขึ้นอีก ฤทัยนาคมองตามยิ้มกว้าง พลุกระจายตัวสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ฤทัยนาคมองตามมาเฟียหนุ่มอบอุ่นใจโดยประหลาด ท่ามกลางแสงจากพลุที่สว่างอยู่บนท้องฟ้า

พลุยังคงถูกจุดขึ้นจากบริเวณริมเบย์อย่างต่อเนื่อง อันบ่งบอกถึงบรรยากาศรื่นเริงในวันขึ้นปีใหม่
ไม่นานต่อมาฤทัยนาคนั่ง นอน เล่นคิวบิก ในห้อง คลิกหมุนซ้ายขวาอย่างจริงจังมุ่งมั่น
ส่วนหลินหลานเซ่อกลับถึงห้องพัก นั่งจิบชามองเหม่อไปเบื้องหน้าแววตาเปี่ยมสุข

เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ฤทัยนาคนั่งเล่นคิวบิกจนหลับคาเตียงไป ขณะที่หลินหลานเซ่อหลับอยู่ที่โซฟา

เช้านี้ฤทัยนาคขี่รถจักรยานผ่านถนนสายต่างๆ ในเมือง โดยมีรถหลินหลานเซ่อขับตีคู่กันมา ฤทัยนาคหันมามองเห็นเป็นเขาก็ยิ้มให้ หลานเซ่ออมยิ้ม

จงซินเหลือบมองเจ้านาย พอหลินหลานเซ่อมองมาเห็นก็ทำเก๊กหน้านิ่งขรึมตามเดิม จงซินขับรถลงเนิน ขณะที่ฤทัยนาคปั่นจักยานตามหลังไป

ถึงชั่วโมงเรียน แต่ฤทัยนาคบิดลูกคิวบิกในมืออย่างมุ่งมั่น มองแล้วส่ายหน้าหงุดหงิดที่ตัวเองบิดผิด ส่วนที่หน้าชั้นเรียนอาจารย์ลี่เขียนกระดานแล้วหันมาสอนหนังสือ นักเรียนในห้องตั้งใจฟัง ยกเว้นฤทัยนาคที่หน้าดำคร่ำเครียด และหมกมุ่นอยู่กับการหมุนคิวบิก
อาจารย์ลี่หันมาเห็นมองจ้อง แต่เด็กสาวเอาแต่เล่นคิวบิกไม่ได้สนใจครู
แดนนี่เรียกเตือน “ฤทัยนาค”
“อืมม์ อย่าเพิ่งเรียก”
ทั้งครูและเพื่อนนักเรียนเหลียวมามองเป็นตาเดียว ฤทัยนาคยังเพ่งตาเป๋งสนใจคิวบิก มือบิดหมุนคิวบิกอย่างจดจ่อ หมุนไปหมุนมา จนสีเข้าล็อคหมด
ฤทัยนาคยิ้มกว้างร้อง “เยส”
อาจารย์ลี่เดินฉับๆ เข้ามาคว้าลูกคิวบิกไปจากมือ ฤทัยนาคสะดุ้ง
“นั่นมันของหนูนะคะ อาจารย์”
“ใช่ แต่เธอไม่ควรเอามาเล่นในเวลาเรียน” อาจารย์ลี่หันมาบอกนักเรียน “จำไว้นะ ใครเอาของมาเล่นในเวลาเรียน ชั้นจะริบไปไม่ให้คืน”
“แต่อาจารย์คะ” ฤทัยนาคท้วง
“ไม่มีแต่ ปิดเทอมเธอค่อยมาเอาคืน”
ครูเดินกลับไปสอนต่อ แดนนี่ชะโงกหน้าเข้ามาด่า
“สมน้ำหน้า อยากเล่นดีนัก”
ฤทัยนาคมองค้อนแดนนี่ เซ็งเป็ด

ตอนพักเที่ยงฤทัยนาคยืนชะเง้อมองไปที่หน้าห้องพักครู เดินวนไปเวียนมาอยู่นานสองนาน แดนนี่เดินลงบันไดมาเจอเข้า
“อ้าว อยู่นี่เอง ชั้นตามหาซะทั่ว ไป กินข้าวกัน”
“ไม่ นายไปเถอะ”
“ทำไมอาจารย์เค้าเรียกเธอมาคุยหรือ” แดนนี่งง
“เปล่า ชั้นจะมาขอลูกคิวบิกคืน แต่เค้าไม่ให้ นายช่วยไปพูดให้หน่อยได้มั้ย”
“ไม่มีทางหรอก ก็เค้าบอกแล้วไงว่าปิดเทอมค่อยมาเอา”
“ไม่ได้นะแดน นี่มันสำคัญมากนะ เดี๋ยวหลินหลานเซ่อเล่นงานชั้น”
แดนนี่ยิ่งงง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเค้า”
“เกี่ยวสิ ก็เค้าเป็นคนให้ไอ้ลูกคิวบิกกับชั้น”
แดนนี่ตาเหลือก “หา...หลินหลานเซ่อให้เธอเป็นของขวัญงั้นหรือ”
“คงงั้นมั้ง”
แดนนี่ประชด “หึ เธอนี่ไม่ธรรมดานะ”
“อย่าพูดมากเลย ไปพูดกับอาจารย์ให้หน่อย”
“ชั้นพูดไปอาจารย์เค้าก็ไม่ให้หรอก มีแค่คนเดียวที่อาจารย์เค้าจะคืนให้”
“ใคร”
“หลินหลานเซ่อ ไป กินข้าวเถอะ”
แดนนี่ดึงมือฤทัยนาคออกไป
“ถ้าเค้ารู้ เค้าต้องเล่นงานชั้นแน่ๆ” เด็กสาวกังวลอย่างหนัก

ตามทางเดินหน้าห้องทำงานหลินหลานเซ่อ ในไฮสกูล แลเห็นลูกคิวบิกในมืออาจารย์ลี่ คุณครูท่านนั้น เดินมาหยุดหน้าห้อง เคาะประตู
“เชิญครับ” ครูเปิดประตูเข้ามา เห็นหลานเซ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน “มีอะไรหรือครับอาจารย์ลี่”
“มีค่ะ ดิชั้นจะมาเรียนคุณหลินในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของนางสาวฤทัยนาค”
หลินหลานเซ่อชะงัก “เธอมีปัญหาอะไรครับ”
“กรุณาตักเตือนเธอด้วยว่าอย่าเอาของเล่นนี่มาเล่นในเวลาเรียน”
ว่าพลางครูวางคิวบิกลงบนโต๊ะ หลินหลานเซ่อมองจ้อง จำได้
“ดิชั้นบอกเธอว่าปิดเทอมจะคืนให้ ฝากคุณหลินไว้ด้วยแล้วกัน”
“ผมต้องขอโทษแทนเธอด้วย ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก”
“ขอบคุณค่ะ”
ครูเดินออกไปเลย หลินหลานเซ่อหยิบคิวบิกมาดู นึกถึงเจ้าของแล้วส่ายหน้าเซ็งๆ
“หึ ยัยเด็กนี่”

หลินหลานเซ่อกับจงซินเดินลงจากตึกจะไปที่รถ ฤทัยนาคเดินเลี้ยวมาเห็นพอดี เด็กสาวชะงักจะหันกลับ
จงซินเห็นก่อน “เดี๋ยว ฤทัยนาค”
“มีอะไรหรือคะ”
“เป็นอะไร ทำไมเจอหน้าชั้นกับคุณหลินทำหลบหน้าหลบตาเหมือนทำอะไรผิด”
ฤทัยนาคมอง พบว่าหลินหลานเซ่อมองจ้องอยู่ “อ๋อ ไม่มีอะไร”
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ”
“แล้วลูกคิวบิกที่ชั้นให้ยังอยู่รึเปล่า” หลานเซ่อแกล้งถาม
ฤทัยนาคตกใจ รีบโกหก “อยู่ค่ะ”
“แล้วทำไมไม่เอามาเล่น”
“อ๋อ ชั้นไม่อยากเอามาเล่นในเวลาเรียน เลยเก็บไว้ที่ห้อง ชั้นไปก่อนนะ ชั้นรีบ”
ฤทัยนาครีบหันกลับเดินงุดๆ ออกไป จงซินหันมายิ้มกับเจ้านาย
“เธอคงกลัวนายเล่นงานนะครับ”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบแสยะยิ้มเดินนำไป จงซินเดินตาม

แดนนี่กำลังเตะฟุตบอลเล่นกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียน ฤทัยนาควิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามาร้องเรียกหน้าตาตื่น
“แดน แดนมานี่ก่อนเร็ว”
แดนนี่วิ่งเข้ามาหา “อะไร”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“ใครตายหรือไง”
“ไม่ใช่ ตอนนี้ยังไม่ตาย แต่ถ้าชั้นไม่ได้คิวบิกคืนชั้นตายแน่”
“ทำไม” แดนนี่งง
“ก็เมื่อกี้หลินหลานเซ่อเค้าถามหาลูกคิวบิก”
“เธอก็บอกไปสิว่าอยู่ที่อาจารย์ลี่”
“บ้า ขืนชั้นพูดอย่างงั้นเค้าฆ่าชั้นตายแน่”
“ทำไมเธอถึงกลัวเค้าเหลือเกิน”
“ก็ มันเป็นของที่เค้าให้ชั้นน่ะสิ นายรู้มั้ยเค้าไม่เคยให้ของใครเลยนะ ฉะนั้นมันต้องเป็นของสำคัญที่เค้ารักและหวงนะ”
แดนนี่หมั่นไส้ “แล้วเธอจะให้ชั้นทำไง”
“ไปเป็นเพื่อนชั้นหน่อย ไปช่วยกันพูดอ้อนวอนอาจารย์ ไปเร็ว”
ฤทัยนาคไม่รอคำตอบกระชากแดนนี่ไปเต็มแรง

อาจารย์ลี่ทรุดลงนั่งที่โต๊ะในห้องพักครู มองจ้องแดนนี่กับฤทัยนาคตาเป๋ง
“มีเรื่องอะไรหรือแดนนี่”
“ฤทัยนาคเค้าอยากจะมาขอลูกคิวบิกของเค้าคืนน่ะครับ”
“ใช่ค่ะอาจารย์ มันเป็นของสำคัญสำหรับหนูมากนะคะ”
“ถ้าอาจารย์ไม่คืน ฤทัยนาคอาจจะตายก็ได้”
“ใช่ค่ะ ได้โปรดเถอะนะคะ ถือว่าทำบุญกับลูกนกลูกกาเถอะค่ะ อาจารย์จะให้หนูทำอะไรก็ได้ค่ะ ซื้อข้าวซื้อน้ำ หรือล้างส้วมให้อาจารย์ หนูก็ทำได้ ขอลูกคิวบิกหนูคืนเถอะค่ะ”
“ชั้นคงให้คืนไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับชั้นแล้ว”
“แล้วมันอยู่ไหนหรือครับ”
“มันอยู่ที่คุณหลินหลานเซ่อ”
ฤทัยนาคตกใจสุดขีด “อะไรนะคะ อาจารย์ให้ลูกคิวบิกคุณหลินหลานเซ่อไปแล้วหรือคะ”
“ใช่ เพราะเค้าเป็นผู้ปกครองเธอ”
ความกลัวประสมความตกใจ ฤทัยนาคตะลึงหงายหลังล้มตึงไปต่อหน้าสองคน
“ฤทัยนาค” แดนนี่เขย่าเรียก

หลินหลานเซ่อก้าวเข้ามาหยุดที่หัวโต๊ะประชุมใหญ่ในอาคารฉายหงส์กรุ๊ป ทุกคนในห้องปรบมือต้อนรับ จงซินอยู่ด้านหลัง
ซานกุ้ย หย่งเหวิน เพ่ยอิง และคณะกรรมการมาร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง
โดยซานกุ้ยเป็นตัวแทนกล่าวต้อนรับ “ชั้นในฐานะตัวแทนพวกเรา ขอแสดงความยินดีที่เธอกลับมา
อย่างปลอดภัย หลินหลานเซ่อ”
“ขอบคุณทุกคนครับ”
หลินหลานเซ่อลงนั่งทุกคนนั่งตาม
“หลินหลานเซ่อ วันนี้คุณได้พิสูจน์แล้วว่าคุณคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำของฉายหงส์กรุ๊ปของเรา” กรรมการ 1 ชื่นชม
“หนึ่งต่อยี่สิบ ยากนักที่ใครจะรอดชีวิตมาได้ ผมนับถือคุณจริงๆ” กรรมการ 2 ทำมือคารวะ คนอื่นทำตาม
“ขอบคุณครับ เฮียจาง เฮียฉี”
เพ่ยอิงเอ่ยขัดขึ้น “ช้าก่อนหลินหลานเซ่อ แต่ชั้นได้ยินมาว่ามีคนขับรถอีกคนนึงที่เป็นคนช่วยเหลือนายให้รอดชีวิตมาได้ไม่ใช่หรือ”
“เออ เรื่องนี้มันจริงเท็จแค่ไหน เพราะชั้นก็ได้ยินมาว่าคนขับรถคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงด้วย”
คำพูดซานกุ้ยทำเอาหลินหลานเซ่ออึ้งไปชั่วขณะ หย่งเหวินมองจ้องอย่างสนใจ จงซินขยับตัวท่าทีร้อนใจ
“ขอโทษครับ เรื่องนี้ผมขอเป็นคนชี้แจงแล้วกันครับ”
“ไม่ต้องจงซิน” หลานเซ่อห้าม
“แต่ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นช่วยเหลือนาย ชั้นว่านายก็ควรจะให้เกียรติเธอด้วย ไม่ใช่ขโมยเครดิตว่าเป็นฝีมือของตัวเองคนเดียว” เพ่ยอิงกวนตามเคย
“ถ้าอย่างงั้นเรียกเธอมาดูตัวกันหน่อย หลินหลานเซ่อ” ซานกุ้ยว่า
กรรมการ1 ไม่เชื่อนัก “แต่มันจะเป็นไปได้หรือท่านซาน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะมีความสามารถอะไรมาช่วยเหลือคุณหลิน”
กรรมการ 2 เห็นด้วย “ใช่ ผมว่าอย่าไปฟังนักข่าวเลยก็เขียนกันไปอย่างงั้น”
หย่งเหวินเอ่ยขึ้น
“ผมว่าเราอย่าเถียงกันเลยครับ ให้คุณหลินเป็นคนชี้แจงจากปากคุณหลินจะดีกว่ามั้ยครับ”
หลินหลานเซ่อมองจ้องหย่งเหวิน ไล่สายตามองทุกคน หย่งเหวินยิ้มในสีหน้าเป็นเชิงบีบบังคับ
“เอาล่ะครับ ผมยอมรับว่ามีคนช่วยเหลือผม”
จงซินขยับ ทักท้วง “คุณหลินครับ”
หลินหลานเซ่อยกมือห้าม ไม่ให้จงซินพูด
เพ่ยอิงแหลมขึ้นอีก “นั่นไง ในที่สุดก็ยอมรับแล้วว่าเด็กผู้หญิงนั่นช่วยเหลือนาย”
“คนที่ช่วยเหลือผมไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้น”
ซานกุ้ยฉงน “แล้วใครที่ช่วยเหลือเธอ”
“พวกเราคงจำเรื่องของเงาผู้นำได้ใช่มั้ยครับ”
จงซินชะงักมองเจ้านาย ทุกคนมองมาอย่างประหลาดใจ
กรรมการ 1 ร้องขึ้น “เงา” กรรมการ 2 ร้องตาม “เงา”
ซานกุ้ยอึ้ง “ตำแหน่งเงาผู้นำอย่างงั้นหรือ”
“ถูกต้องแล้วครับ”
หย่งเหวินมองอย่างวิเคราะห์คำพูดและสถานการณ์
“เงา ที่แปลว่าชาโดว์นี่หรือครับ ผมไม่เข้าใจ” เพ่ยอิงว่า ท่าทีงงๆ
กรรมการ 1 บอก “เพ่ยอิงลื้อไม่เข้าใจหรอก ลื้อมันเด็กรุ่นหลัง
“แต่ก็ควรจะอธิบายให้ผมฟังนะ เพราะอย่างน้อยผมก็เป็นหนึ่งในสามของผู้ถือหุ้น” เพ่ยอิงฉุน
ซานกุ้ยอธิบาย “ในอดีต พ่อของหลินหลานเซ่อมีผู้ช่วยคนนึงซึ่งพวกเราไม่มีใครรู้จัก แม้กระทั่งชั้นและพ่อของนายเพ่ยอิง”
เพ่ยอิงมองฉงน
ซานกุ้ยบอกต่อ “เค้าคนนี้จะคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำและแก้ปัญหาต่างๆ อยู่เบื้องหลังท่านประธาน”
หย่งเหวินนิ่งฟังแล้วลอบมองหลินหลานเซ่อ
“เราทุกคนก็เลยเรียกคนๆ นี้ว่าเงา” มังกรชราสรุป
หลินหลานเซ่อมองทุกคนดูท่าที
กรรมการ 1 เสริม “ใช่ เงา เป็นตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของท่านประธาน”
หย่งเหวินซัก “แล้วเงาที่คุณหลินว่ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรือครับ”
“เกี่ยวสิ เพราะคนที่ช่วยเหลือชีวิตชั้นให้รอดจากคมกระสุนก็คือเงานี่ละ” หลินหลานเซ่อว่า
จงซินเหลือบมองเจ้านาย เริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร
“แต่เงาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่สมัยพ่อเธอแล้วนะหลินหลานเซ่อ” ซานกุ้ยท้วง
“ถูกต้องแล้วครับท่านซาน”
เพ่ยอิงแดกดันตามประสา “แล้วตอนนี้มีเงาผีที่ไหนโผล่มาช่วยนายอีก”
“ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งประธานฉายหงส์กรุ๊ป ผมได้แต่งตั้งคนๆ นึง ซึ่งผมรักและไว้วางใจมากที่สุดให้ดำรงตำแหน่งเงา”
เพ่ยอิงอยากรู้เต็มทน “แล้วเค้าคือใครล่ะ ถ้ามีตัวตนจริงก็พามาแนะนำเลย พวกเราจะได้รู้จัก”
“เสียใจด้วยเพ่ยอิง ที่ชั้นไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเงาได้ เพราะมันเป็นกฎของฉายหงส์กรุ๊ปใช่มั้ยครับท่านซาน”
ซานกุ้ยเห็นด้วย “ใช่ ตามกฎของเรา มีแค่ประธานคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ว่าเงาคือใคร”
“แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะรู้นะครับ ว่าเงาของคุณหลินมีชื่อแซ่หรือนิคเนมว่าอะไร”
คำถามนั้นกระแทกเข้าหน้าหลินหลานเซ่อจังๆ เขายกคิวบิกขึ้นมา
“เค้ามีโค้ดเนมว่า คิวบิก”
ซานกุ้ย เพ่ยอิงมองฉงน
หย่งเหวินทวนคำ “คิวบิก”
หลินหลานเซ่อพยักหน้า จงซินลอบถอนใจโล่งอก
ทุกคนในห้องประชุมนั่งอึ้งไปทั้งแถบ
หลินหลานเซ่อมองคิวบิกในมือแล้ววางลงบนโต๊ะคิดถึงเธอคนนั้น

ยามเย็นวันนี้ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมยืนตระหว่านโดดเด่นเป็นสง่าแลดูเข้มขลังอยู่ริมเบย์ชั่วนาตาปี พักตร์เจ้าแม่มองลงมาอย่างเปี่ยมเมตตา
หลินหลานเซ่อยืนไหว้เจ้าแม่กวนอิมอยู่นานแล้ว มาเฟียหนุ่มมองหน้าเจ้าแม่นิ่ง ภาวนาในใจ คำนับแล้วเดินออกมาหยุดสูดอากาศ มองออกไปในท้องทะเลกว้างเบื้องหน้า
จงซินเดินเข้ามาหา รอบบริเวณเห็นบอดี้การ์ดหลายคนคอยดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยสองคนมีปืนสะพายข้าง
“อยู่โรงพยาบาลซะหลายวัน ได้ออกมาสูดอากาศค่อยสดชื่นหน่อย”
“หรือคุณหลินอยากไปพักผ่อนที่ต่างประเทศบ้างมั้ยครับ”
“ที่ไหนดี”
“อเมริกาหรืออังกฤษก็ได้นี่ครับ เพราะคุณยังมีบ้านคุณแม่อยู่นะครับ”
“นายก็รู้นี่ว่าชั้นไม่มีวันไปอังกฤษ”
“ถ้าอย่างงั้นก็ไปอเมริกา”
ใบหน้าหล่อคมของหลินหลานเซ่อเครียดเคร่งขึ้นมาในจังหวะนี้
“ชั้นยังไปไหนไม่ได้หรอก ตราบใดที่ชั้นยังไม่รู้ว่าใครคิดจะฆ่าชั้น”
“แต่ผมว่าอีกไม่นานเราต้องรู้ตัวมันแน่”
“จงซิน”
“ครับ”
“ชั้นอยากให้นายเก็บเรื่องที่ฤทัยนาคช่วยชั้นไว้เป็นความลับนะ”
“คุณหลินกลัวว่าเธอจะเดือดร้อนหรือครับ”
“ใช่ ถ้าไอ้คนที่คิดจะฆ่าชั้น มันรู้ว่าเป็นเธอมันไม่เก็บเธอไว้แน่”
“ก็ถูกของคุณหลิน อย่างน้อยมันก็ไม่รู้ว่าคิวบิกคือใคร”
หลินหลานเซ่อพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจงซิน สองคนเดินออกไป มีบอดี้การ์ดเดินตาม

เย็นวันนั้นฤทัยนาคเดินมาตามทาง จนมาหยุดที่หน้าห้องทำงานหลินหลานเซ่อ เด็กสาวมีท่าทีลังเล หนัก สุดท้ายหันเดินกลับไป แต่เดินไปได้สองสามก้าวแล้วหยุดหันกลับมามอง ตัดสินใจใหม่ว่าจะลุย
“เอาน่ะ ถึงยังไงเค้าก็รู้แล้ว หลบหน้าต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”
ฤทัยนาคสูดลมหายใจลึกๆ แล้วหมุนตัวกลับเดินไปที่หน้าห้องเคาะประตู
“เข้ามา” เสียงหลินหลานเซ่อดังมาจากในห้อง
ฤทัยนาครวบรวมความกล้าเปิดประตูเข้าไป

ฤทัยนาคเดินเข้าห้องมา หลินหลานเซ่อมองจ้อง ฤทัยนาคมาหยุดตรงหน้าเขาฝืนยิ้ม
“ชั้นมาขอลูกคิวบิกคืน”
หลินหลานเซ่อยังมองจ้องนิ่งๆ ฤทัยนาคใจไม่ดี
“อาจารย์ลี่บอกว่าคิวบิกอยู่ที่นายใช่มั้ย”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบ ยังคงมองนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ชั้นขอโทษนะที่เอาไปเล่นในห้องเรียน แต่ชั้นสัญญาว่าชั้นจะไม่ทำอย่างนี้อีก”
เงียบกริบ
“นี่นายโกรธชั้นมากใช่มั้ยคะ งั้นชั้นไม่เอาคืนก็ได้”
ฤทัยนาคฉุนหันกลับจะเดินออก
“ฤทัยนาค” ฤทัยนาคหยุดหันกลับมามอง “นั่งสิ ชั้นมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
ฤทัยนาคมองหลินหลานเซ่ออย่างงงงัน ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง
“มีเรื่องอะไรหรือคะ”
“ชั้นอยากให้เธอเก็บเรื่องที่เธอช่วยชั้นไว้เป็นความลับ จำไว้อย่าเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด”
“ชั้นไม่มีวันพูดหรอก ชั้นเองก็กลัวตายเหมือนกัน เพราะถ้าไอ้พวกที่ตามฆ่านาย มันรู้ว่าชั้นอยู่กับนายตอนนั้นล่ะก็ มันต้องมาฆ่าชั้นแน่”
“ดีแล้วที่เธอเข้าใจ”
“แค่นี้ใช่มั้ยที่นายจะคุยกับชั้น”
“ทำไม ดูเธอเหมือนไม่อยากคุยกับชั้น”
“ก็ชั้นไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับนายนี่”
หลินหลานเซ่อนึกหมั่นไส้ “งั้นเธอก็ไปได้แล้ว”
ฤทัยนาคลุกเดินออกไป
“ฤทัยนาค” หลานเซ่อเรียกไว้
ฤทัยนาคหันมาหา เห็นหลินหลานเซ่อวางลูกคิวบิกไว้ที่โต๊ะ เด็กสาวมองคิวบิกแล้วมองหน้าเขาสลับกัน
หลินหลานเซ่อชี้ที่ลูกคิวบิก
“เธอไม่อยากได้มันแล้วหรือ”
“อยากได้สิ” ฤทัยนาคยิ้มอาย ท่าทีเกรงๆ
“ก็มาเอาไปสิ”
ฤทัยนาคยิ้มแล้วเดินมาที่โต๊ะหยิบคิวบิก หลินหลานเซ่อคว้ามือไว้ เด็กสาวสะดุ้งตกใจ มือหลินหลานเซ่อกอบกุมมือฤทัยนาคไว้อย่างนั้น ฤทัยนาคเงยหน้าขึ้นมองอึ้งๆ
“ชั้นน่ากลัวมากนักหรือไง”
“ก็...นายชอบทำหน้าดุ แล้วนายเองก็ไม่ค่อยชอบหน้าชั้นด้วย”
“ชั้นเคยบอกเธอหรือว่าไม่ชอบหน้าเธอ”
ฤทัยนาคอึ้งไปกับคำพูดของมาเฟียขี้เก๊ก
“จำไว้นะ อย่าหนีหน้าชั้นอีก”
ฤทัยนาคนิ่งอึ้ง ประหม่าไปหมด มือหลินหลานเซ่อบีบมือฤทัยนาคจนเธอสะดุ้งตัวสั่น
“เข้าใจที่ชั้นพูดมั้ย”
“อืม”
ฤทัยนาคหลบตาวูบ หลินหลานเซ่อรู้สึกตัวดึงมือออก ฤทัยนาคกำลูกคิวบิกขึ้นมามอง
มาเฟียรูปงามหันหน้าไปทางอื่น เด็กสาวมองแผ่นหลังเขาใจเต้นโครมคราม หันหลังกลับเดินไปที่ประตู
หลินหลานเซ่อมองไปทางอื่น แต่ใจจดจ่ออยู่ที่ลูกหนี้สาว
ฤทัยนาคเดินมาหยุดตรงหน้าประตู หัวใจยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ หันกลับมามองพบว่าหลินหลานเซ่อยังคงยืนนิ่งเฉย จึงหันหน้ากลับเดินออกไป

มาเฟียหนุ่มหันกลับมามองตามหลังเด็กสาวไป คลี่ยิ้มระบายเต็มหน้าด้วยหัวใจอันอิ่มเอิบ

ต่อจากตอนที่แล้ว

เวลาเคลื่อนคล้อย ท้องฟ้ายามเย็น ค่อยๆ มืดลงๆ เปลี่ยนเป็นกลางคืน

ฤทัยนาคนั่งหมุนคิวบิกเล่นอยู่ในห้องพักตู้คอนเทนเนอร์ สายตามองเหม่อไปข้างหน้านึกถึงที่หลินหลานเซ่อบอก ขณะกุมมือเธอไว้
“ชั้นน่ากลัวนักหรือไง”
“ก็...คุณชอบทำหน้าดุ แล้วคุณเองก็ไม่ค่อยชอบหน้าชั้นด้วย”
“ชั้นเคยบอกเธอหรือว่าไม่ชอบหน้าเธอ” ฤทัยนาคมอง อึ้งๆ “จำไว้นะ อย่าหนีหน้าชั้นอีก”
ฤทัยนาคอมยิ้มในท่าทีขวยเขิน เหลือบมองลูกคิวบิกในมือ แล้วนึกถึงที่เหม่ยจิงบอกตอนเอาของขวัญปีใหม่ไปให้ที่สตูดิโอ
“คนอย่างหลินหลานเซ่อ เค้าไม่เคยซื้อของขวัญให้ใครหรอก”
“จริงหรือคะ”
“จริงสิ ถ้าใครได้ของขวัญจากหลินหลานเซ่อ คนนั้นต้องเป็นคนพิเศษมากสำหรับเค้า”
คิดแล้วฤทัยนาคมองลูกคิวบิกในมือพลางส่ายหน้า
“เป็นไปไม่ได้หรอก อย่างเราน่ะหรือจะเป็นคนพิเศษสำหรับเค้า”
ฤทัยนาคมองลูกคิวบิก แล้วถอนใจก่อนจะล้มตัวลงนอน

รุ่งเช้า ซานกุ้ยนั่งอ่านเอกสารสำคัญอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน ตรวจทานดีแล้วจึงเซ็นชื่อ จังหวะนี้หย่งเหวินถือการ์ดเชิญสีแดงเข้ามา
“คุณพ่อครับ สาขาตะวันออกส่งเทียบมาเชิญจะเลี้ยงเปิดสาขาใหม่สิ้นเดือนนี้ครับ”
“อืมม์ ใกล้ๆ วัน เตือนชั้นอีกที”
หย่งเหวินเหลือบมองซานกุ้ย เห็นยังอ่านเอกสารอย่างจดจ่อ
“คุณพ่อครับ ผมมีเรื่องสงสัยอยากถามคุณพ่อหน่อย”
“อะไร” ซานกุ้ยละจากงาน ยกน้ำชาจิบ
“ที่คุณหลินพูดถึงเรื่องคิวบิก จริง ๆ แล้วคิวบิกมีตัวตนจริงๆ หรือครับ”
“มีสิ แกจำเด็กผู้หญิงที่คุยกับคาลอสในงานเลี้ยงบริษัทได้มั้ย”
“จำได้ครับ มันเกี่ยวอะไรหรือครับ”
“หลินหลานเซ่อบอกชั้นว่า คิวบิกเป็นคนวางแผนให้เด็กผู้หญิงคนนั้นไปคุยกับคาลอส”
หย่งเหวินครุ่นคิด ตอนเห็นฤทัยนาคคุยกับคาลอสในงานเลี้ยงครบรอบฉายหงส์กรุ๊ป
“แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าการคุยครั้งนั้นมันจะสำเร็จซะด้วย” ซานกุ้ยบอก
“แล้วคิวบิกรู้เรื่องการลอบสังหารหลินหลานเซ่อได้ยังไงครับ” หย่งเหวินคาใจ
“ก็อย่างที่บอก ในอดีตคนที่จะเป็นเงาผู้นำได้ จะต้องมีความคิดหลักแหลม ฉลาด มีสายตาที่กว้างไกล ไม่อย่างงั้นเค้าจะเตือนหลินหลานเซ่อทันการได้ยังไง”
หย่งเหวินบอกว่า “งั้นแสดงว่าคิวบิกมันต้องไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”
ซานกุ้ยพยักหน้าเห็นด้วย หย่งเหวินครุ่นคิด

หย่งเหวินเดินออกมาตรงระเบียงบ้านชั้นบน พูดสายโทรศัพท์กับสมุน
“สั่งพวกเราทุกคนออกตามหาข่าวคนชื่อคิวบิก สืบให้รู้ว่ามันเป็นใคร แล้วบอกชั้นด่วน”
หย่งเหวินปิดโทรศัพท์หันกลับมา เห็นไป่หลิงถือถาดน้ำชาเข้ามา
“ใครหรือคะ คิวบิก”
“นี่เธอได้ยินด้วยหรือ”
หย่งเหวินถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเขียวไม่พอใจ ไป่หลิงฟังแล้วไม่พอใจเช่นกัน
“ชั้นไม่ได้มาแอบฟัง บังเอิญเอาน้ำชามาให้พี่”
หย่งเหวินชะงักกับน้ำเสียงของไป่หลิง รู้ตัวว่าตัวเองหลุดอารมณ์ออกไป เลยปรับน้ำเสียง
“พี่ไม่ได้หมายความว่าเธอแอบฟัง เพียงแต่เวลาคุยเรื่องงานพี่ไม่อยากให้เธอรับรู้”
“แล้วพี่หย่งเหวินตามหาคิวบิกทำไมคะ
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ก็แค่เรื่องงานของคุณพ่อ”
ไป่หลิงพยักหน้ารับรู้ หันตัวกลับจะเดินออก
หย่งเหวินเรียกไว้ “อ้อ ไป่หลิง”
“คะ”
“อย่าพูดเรื่องคิวบิกกับคุณพ่อนะ เดี๋ยวท่านจะตำหนิพี่”
“ค่ะ ไป่หลิงทราบ”
ไป่หลิงหันเดินออกไปเลย หย่งเหวินมองตามตาขวางอย่างไม่พอใจ
“นังนี่ ชักจะสอดรู้สอดเห็น”
ไป่หลิงเดินลงบันไดมา หยุดแล้วมองกลับไปที่หย่งเหวิน คล้ายว่าหล่อนไม่มั่นใจและเชื่อใจในตัวสามีอีกแล้ว

อีกวันหนึ่ง ป้าเหมยถือถาดอาหารเดินลงบันไดมาหน้าห้องเก็บของที่เพ่ยอิงขังมีนาไว้ เห็นอาจงนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าห้อง

“อาจง เปิดประตูซิ”
“ป้าเหมยมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวผมฝากเฝ้าหน่อยนะ ขอไปกินข้าวหน่อยหิวข้าวจะแย่”
“อย่านานล่ะ ชั้นมีงานต้องทำนะ”
“ครับ”
อาจงไขกุญแจประตูให้ แล้วเดินออก ป้าเหมยเปิดประตูเข้าไปแล้วเบิกตากว้างมองตะลึง
“หา...ตายแล้ว”
ป้าเหมยปล่อยถาดจานอาหารตกลงพื้น เห็นมีนานอนจมกองเลือด แถมมีเลือดไหลจากข้อมือ
เป็นทาง ป้าเหมยวิ่งเข้าไปเขย่าตัว
“หนู...หนู”
อาจงได้ยินเสียงเอะอะโครมคราม วิ่งกลับเข้ามา
“อะไรกันป้าเหมย”
“เด็กมันเชือดข้อมือ พาเด็กไปโรงพยาบาลก่อนเร็ว”
ป้าเหมยเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาอุดเลือด อาจงเข้ามาอุ้มมีนาออกไป

ไม่นานต่อมามีนาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และกำลังเข็นพาเข้าห้องฉุกเฉิน ป้าเหมยกับอาจงวิ่งตามมารออยู่หน้าห้อง
“นังเด็กบ้านี่อยู่ๆเชือดข้อมือตัวเอง ตายมั้ยเนี่ย” ป้าเหมยหันไปบอกลูกน้อง “อาจงโทร.บอกคุณเพ่ยอิงซิ”
“ครับ”
หมอเจ้าของไข้เข้ามาในห้องฉุกเฉิน เปิดไฟในห้อง เห็นมีนานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“เป็นอะไร” หมอถามพยาบาลผู้ช่วย
“มีแผลที่ข้อมือค่ะ สงสัยจะเชือดข้อมือตัวเอง”
“ล้างแผลดูซิ เส้นเลือดใหญ่ขาดรึเปล่า”
พยาบาลหันไปหยิบยาล้างแผล หมอสวมถุงมือเตรียมพร้อม

เพ่ยอิงพูดโทรศัพท์กับอาจง ตกใจมาก
“อะไรนะ มีนาเชือดข้อมือตัวเองหรือ ตายรึเปล่า”
อาจงโทร.รายงานจากหน้าห้องฉุกเฉิน
“ไม่ทราบครับ ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัด”
“เอาล่ะ ชั้นจะรีบไป แกโทร.รายงานชั้นทุกระยะนะ”
“ครับ”
เพ่ยอิงปิดโทรศัพท์บ่นบ้าด้วยความโมโห “นังเด็กบ้า ทำไมทำอะไรโง่ๆ นะ”
จากนั้นเพ่ยอิงลุกเดินออกไป ลูกน้องเดินตาม

หมอเปิดประตูออกมา ป้าเหมยตรงเข้าไปถาม
“เด็กเป็นยังไงบ้างคะ”
“ปลอดภัยแล้ว ดีนะที่เค้าเชือดไม่ลึกไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ นี่เย็บแผลให้แล้ว หมดน้ำเกลือก็กลับบ้านได้”
“ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
หมอเดินออกไป ป้าเหมยหันมาบอกอาจง
“แกโทร.กลับไปบอกคุณเพ่ยอิงไปว่าเด็กปลอดภัยแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกป้าเหมย คุณเพ่ยอิงกำลังมาจะถึงแล้ว เดี๋ยวผมขอไปซื้อแซนด์วิชกับกาแฟหน่อยนะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
อาจงเดินออกไปเลย

ด้านมีนาลืมตาตื่นขึ้นมา มองสภาพตัวเองพบว่าที่แขนข้างหนึ่งมีผ้าปิดแผลไว้ แขนอีกข้างใส่สายน้ำเกลือ มีนากระชากสายน้ำเกลือออก ลุกลงจากเตียงเปิดประตูแง้มมองออกไป หน้าห้องฉุกเฉิน
เด็กสาวเห็นป้าเหมยที่ยืนรอเพ่ยอิงอยู่มองซ้ายขวา มีนาโผล่หน้ามา เห็นป้าเหมยหันไปอีกทาง จะย่องออกมา ป้าเหมยหันกลับ มีนาฉากหลบกลับเข้าไปในห้อง
พอเห็นป้าเหมยหันหน้าไปอีกทาง เด็กสาวรีบเปิดประตูย่องออกมา ป้าเหมยหันมาอีกมีนารีบกระโดดหลบแอบหลังเสา จนป้าเหมยหันไป มีนารีบวิ่งออกไปทางด้านหลัง
มีนาวิ่งหน้าตื่นออกมาทางด้านหลัง มองซ้ายมองขวา เลี้ยวออกโรงพยาบาลไปทันที

เพ่ยอิงเดินตรงเข้ามาหาป้าเหมย อาจงนั่งกินกาแฟอยู่ มีลูกน้องเพ่ยอิงตามมาอีกคน
“คุณเพ่ยอิง”
“เด็กนั่นอยู่ไหน”
“ให้น้ำเกลืออยู่ในห้องค่ะ หมอบอกว่าถ้าหมดน้ำเกลือก็กลับบ้านได้”
เพ่ยอิงเปิดประตูเข้าไปอย่างร้อนใจ
เมื่อเพ่ยอิงเปิดประตูเข้ามา มองทั่วห้องแต่ไม่เห็นมีนา รีบเดินออกไปถามป้าเหมย
“เด็กล่ะ”
“เมื่อกี้อยู่ในห้องนี่คะ”
เพ่ยอิงรู้ทันที “เธอหนีไปแล้ว เฮ้ย แยกย้ายกันตามหาเร็ว”
เพ่ยอิงและลูกน้องแยกย้ายกันวิ่งตามหา ป้าเหมยตกใจสุดขีด

ด้านมีนาหนีออกมามองซ้ายขวาแล้ววิ่งเตลิดไปทางหนึ่งโดยไม่คิดชีวิต

เพ่ยอิงวิ่งออกมาทางด้านหลัง กวาดตามองหารอบบริเวณแต่ไม่มีแม้เงา ลูกน้องตามมาสมทบ
“มีมั้ย”
“ไม่มีครับ”
“ปัดโธ่เว้ย ไปเอารถออกมาตามหาเธอเร็ว”
ลูกน้องวิ่งออกไป สีหน้าเพ่ยอิงบึ้งตึงโกรธสุดขีด
“มีนา อย่าคิดนะว่าจะหนีชั้นพ้น”

มีนาวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นเนินย่านถนนในเมือง มาหยุดหอบมองหาทางหนีทีไล่ เวลานี้เด็กสาวเริ่มเจ็บแผล เห็นที่ข้อมือมีเลือดซึมออกมาเลอะเต็มผ้าพันแผลแล้ว
“นี่เราจะไปหลบซ่อนตัวที่ไหนดีเนี่ย”
มีนามองซ้ายแลขวา ตัดสินใจ วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่ง

ขณะเดียวกันรถเพ่ยอิงเข้ามาจอด มาเฟียเลือดเดือดลงจากรถกวาดตามองหา จนหันไปเจอมีนาเดินอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามท่าทีระแวดระวัง ก็ชะงักดีใจ
“มีนา” เพ่ยอิงวิ่งข้ามถนนตามไป

มีนาเดินกึ่งวิ่งมองหน้ามองหลัง หันมาเห็นเพ่ยอิงกำลังวิ่งตามมา ก็ตกใจวิ่งหนีโดยไม่คิดชีวิต
“อย่าหนีนะมีนา” เพ่ยอิงตะโกนก้อง
มีนาวิ่งหนีหลบเข้าซอยด้านข้าง
มีนาวิ่งเข้ามาในตรอกซอกซอย โดยมีเพ่ยอิงวิ่งตามมาติดๆ
สุดท้ายมีนาวิ่งเข้าไปหลบในซอกตึกแอบหลังเสาใหญ่ เพ่ยอิงเข้ามาหยุดมองหาไม่เจอจึงเดินไปหาฝั่งตรงข้ามกับที่มีนาแอบ เพ่ยอิงเดินกลับมาที่เสาที่มีนาแอบตอนแรก แต่มีนาหายไป
“หายไปไหนวะ”
เพ่ยอิงวิ่งออกไปดูอีกทาง มีนาโผล่ออกมาจากที่ซ่อนอีกด้าน
“ไม่ เราจะไม่ให้จับเรา”
มีนาบอกตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว หันกลับวิ่งกระเซอะกระเซิงไปอีกทาง

ขณะที่มีนาวิ่งโผล่มาเจอทางแยก พอจะเลี้ยวก็ชนใครบางคนโครม มีนายกมือปิดหน้าหวีดร้อง
“อย่า ชั้นยอมแล้ว”
เป็นฤทัยนาคที่มองเห็นเลือดที่มือมีนา
“อะไรกัน”
“ช่วยด้วย ช่วยชั้นด้วย มีคนตามฆ่าชั้น”
ฤทัยนาคตาโต “หา...ตามฆ่าเหรอ”
“ค่ะ ช่วยชั้นด้วยนะพี่ อย่าให้มันจับชั้น”
เพ่ยอิงเดินเลี้ยวโผล่ออกมาไกลๆ มองซ้ายขวา แต่ไม่เห็นมีนา
“ได้โปรดเถอะช่วยชั้นด้วย”
“ชั้นช่วยไม่ได้หรอกนะ ชั้นยังเอาตัวเองไม่รอดเลย”
“ถ้าพี่ไม่ช่วยชั้น ชั้นจะโดดให้รถทับ”
มีนาทำท่าจะวิ่งออกไปจริงๆ ฤทัยนาคคว้าแขนไว้
“เฮ้ย อย่านะ”

ตรงบริเวณทางแยก เพ่ยอิงเดินเลี้ยวโค้งมาชนกับฤทัยนาคโครม มาเฟียเลือดร้อนด่าเอา
“เฮ้ย เดินประสาอะไรวะ”
“ขอโทษค่ะ”
“เดี๋ยว”
“อะไรคะ”
“เห็นเด็กผู้หญิงตัวเท่าๆ เธอ ผ่านมาทางนี้บ้างมั้ย”
“ไม่เห็นนี่คะ”
“ไม่เห็นใครเลยหรือ อายุเท่าๆ เธอ”
“ไม่มีนะคะ”
“ฮึ่ย ไปหลบอยู่ที่ไหนวะ”
เพ่ยอิงเตะถังขยะระบายอารมณ์ ฤทัยนาคสะดุ้งโหยง เพ่ยอิงเดินผ่านไป แต่แล้วหยุดกึก สีหน้าฉุกคิด หมุนตัวหันเดินกลับมามองถังขยะ เอื้อมมือจะเปิดถัง ฤทัยนาคตะโกนตะสุด
“อย่าค่ะพี่”
“ทำไม”
“เอ่อ...คือ…” ฤทัยนาคคิดหาทางออก
เพ่ยอิงจ้องตาค้นความจริง “มีคนซ่อนอยู่ในนี้ใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ...คือชั้นจะบอกว่าเมื่อกี้ชั้นท้องเสีย ชั้นหาส้วมไม่ได้เลยอึใส่ถังขยะไป พี่อย่าเปิดเลยนะ ถ้าขืนเปิดล่ะก็พี่อ้วกแน่”
“นี่เธอขี้ลงไปในถังขยะหรือ”
“ก็ใช่สิ บอกแล้วไงว่าท้องเสีย มันไม่ทันจริงๆ”
เพ่ยอิงปล่อยมือ มองถังขยะท่าทีลังเล
“ชั้นไปนะ แต่ถ้าพี่อยากดูก็แล้วแต่พี่ ชั้นเตือนไว้ก่อน
ฤทัยนาคทำเป็นเดินเลี้ยวออกไป เพ่ยอิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูก เอื้อมมือคว้าถังจะเปิด ฤทัยนาคโผล่หน้ากลับมาดูลุ้นสุดขีด
“ตายแน่ มันต้องเจอแน่ๆ”
เพ่ยอิงตัดสินใจปล่อยมือไม่เปิดถัง
“ฮึ่ย” เขาสบถอย่างหงุดหงิด แล้ววิ่งออกไป
ฤทัยนาควิ่งย้อนกลับมาเปิดถัง เห็นมีนานอนสลบอยู่ในนั้น
“เธอ...เธอ ...เฮ้อ ซวยจริงๆ ทำไมต้องเป็นเราด้วยเนี่ย”

ฤทัยนาคลากถังขยะออกไป คนละทางกับเพ่ยอิง

ติดตามอ่านตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น