คิวบิก ตอนที่ 1
ช่วงเวลาตอนพักเที่ยง ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง บรรยากาศวุ่นวายได้ที่ พอๆ กับเสียงดังจอแจจากรอบทิศ มองไปเห็นบรรดาเด็กนักเรียนหญิงทำกิจกรรมพักผ่อนหลังทานอาหารเสร็จตามจริต
ตรงบริเวณระเบียงห้องหน้าเรียนชั้นบนของอาคารหลังนั้น มีถังน้ำถูพื้น ตั้งวางอยู่ ก่อนจะมีไม้ม็อบจุ่มลงถังดังกล่าว น้ำในถังกลายเป็นสีดำ สกปรกทันตา มือใครคนหนึ่งบิดผ้าถูพื้น ขณะเศษขยะถูกเทรวมลงในถังน้ำ
มันเป็นผลงานจากงานฝีมือที่ครู อาจารย์ ไม่ต้องสอนของบรรดานักเรียนหญิงชั้นมัธยมปลาย ราวห้าคน ที่ช่วยกันกวนน้ำในถังอย่างเริงร่า ก่อนที่สาวแสบทั้งกลุ่มหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
ไม่บอกก็รู้ว่าไม่นานจากต้องมีเด็กสาวแสนซื่อ เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ที่สนองความคะนองของเกิร์ลกรุ๊ปก๋ากั่นกลุ่มนี้แน่นอน
ทางเดินชั้นล่างเวลาเดียวกัน แลเห็น ฤทัยนาค หรือ นาค เด็กนักเรียนหญิงชั้นม.ปลาย เดินอ่านหนังสือมาตามทาง
กลุ่มนักเรียนหญิงบนตึกชั้น 2 มองเห็นฤทัยนาค ทั้งกลุ่มให้สัญญาณกัน
ฤทัยนาคเดินมาเรื่อยๆ ขณะกลุ่มเด็กนักเรียนบนตึกรอจังหวะ
น้ำจากถังถูกเทลงมาจากบนตึก ฤทัยนาคไหวตัว เงยหน้าขึ้นมอง ไวเท่าความคิดเด็กสาวกระโดดหลบทัน ตะโกนขึ้นไปอย่างเอาเรื่อง
“อยากจะสาดก็สาดลงมาอีกสิ ไม่กลัวหรอก”
ฤทัยนาค มองขึ้นไป ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงหันตัวกลับจะเดินต่อ
ทันใดนั้นเองน้ำในถังขยะถูกเทลงมาใส่หัวฤทัยนาคจังๆ เด็กสาวชะงักเงยหน้าขึ้นมอง ผ้าขี้ริ้วตกแหมะมาใส่หน้าปิดจ๊อบ
กลุ่มนักเรียนบนตึกหัวเราะชอบใจ แล้วพากันวิ่งหนี ฤทัยนาคสะบัดผม ถอนใจอย่างเซ็ง
“เฮ้อ... นึกว่าจะรอดซะแล้ววันนี้”
ฤทัยนาคเข้าห้องน้ำโรงยิมมา มองสารรูปตัวเองหน้ากระจก เห็นหน้าเลอะ หัวเลอะ ฤทัยนาคถอนใจ
เปิดก๊อกวักน้ำล้างหน้าแล้วมองกระจก เซ็งใบหน้าตัวเอง
“หึ ขี้เหร่เข้าไปดิ...หน้าตาอย่างนี้ ถึงได้ถูกเค้าแกล้ง
ฤทัยนาคผละตัวเดินออกมาที่ล็อคเกอร์ เปิดล็อคเกอร์หยิบเสื้อพละมาใส่ ได้ยินเสียงตะโกนเรียก
“นาค นาค”
ฤทัยนาคปิดตู้ หันมามองทางเสียง เห็น นันทกา พี่สาวของเธอในชุดนักเรียนม.ปลายเช่นกันวิ่งเข้ามาหา
“นี่แกโดนแกล้งอีกแล้วหรือ”
“เรื่องปกติน่าพี่นันไม่เห็นต้องตกใจเลย”
“ไป ไปชี้ตัวซิคนไหน เดี๋ยวพี่จะจัดการให้” นันทกาเป็นเดือดเป็นแค้นแทนน้อง
“พี่นันน่ะหรือจะจัดการได้ ชั้นว่าพี่จัดการกับขบวนรถไฟหนุ่มๆ ของพี่ไม่ให้ชนกันก่อนดีกว่ามั้ง”
“อย่าพูดนอกเรื่อง แกไม่โกรธไอ้พวกที่มันแกล้งแกหรือไง”
ฤทัยนาคพูดเหมือนปล่อยปลง “โอ๊ย โกรธทำไม มันมีปัญญาแกล้ง ชั้นก็มีปัญญาอดทนให้มันแกล้งเหมือนกัน วันนึงพวกมันเบื่อ พวกมันก็หยุดแกล้งไปเอง”
“แต่ถ้าแกยอมพวกมันแบบนี้ พวกมันจะได้ใจนะ” นันทกาท้วง
“พี่นัน คนมีสมองน่ะเค้าไม่ใช้กำลังต่อสู้กันหรอก”
นันทกาหมั่นไส้ “จ้ะ แม่คนฉลาด งั้นแกก็ทนให้มันแกล้งต่อไปแล้วกัน พี่อุตส่าห์เป็นห่วง”
ฤทัยนาคซึ้ง “นาครู้น่าว่าพี่นันรักและเป็นห่วงนาค เรื่องแค่นี้จิ๊บจิ๊บพี่นันอย่าไปโกรธแทนนาคเลย เดี๋ยวไม่สวยนะ ไปเรียนเหอะ”
ฤทัยนาคเดินกอดเอวพี่สาวออกไป
สองพี่น้องเดินออกมาหน้าตึก ฤทัยนาคในชุดพละ ชะงัก สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยกับสิ่งที่เห็น
นันทกาฉงน “มีอะไร”
“พี่นันดูรถสีดำคันนั้นสิ” ฤทัยนาคบุ้ยใบ้ให้พี่สาวดู
นันทนามองตามสายตาน้องสาว เห็นรถลีมูซีนสีดำจอดอยู่ข้างทางเดินในบริเวณโรงเรียน
“ทำไม”
“ชั้นเห็นมันมาจอดตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“เค้ามารอรับใครมั้ง”
ฤทัยนาคสงสัยและคาใจไม่คลาย “แล้วใครล่ะ ชั้นไม่เคยเห็นรถคันนี้ที่โรงเรียนเรามาก่อน แล้วอีกอย่างถ้ามารอรับลูกคุณหนู ต้องมารอทั้งวันเลยหรือ”
“แกนี่มันช่างสงสัย ช่างสังเกตเหมือนพ่อเลยนะ”
“หรือว่ามันจะมาลักพาตัวนักเรียนไปเรียกค่าไถ่” ฤทัยนาคตั้งข้อสังเกต
นันทกาตัดบท “พี่ว่าแกคิดมากไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ไปเรียนเถอะ เข้าเรียนสายเดี๋ยวก็โดนทำโทษอีก”
นันทกาดึงแขนน้องสาวเดินขึ้นบันไดตึกเรียน ฤทัยนาคเดินพลางหันมองกลับไปที่รถ เห็นรถลีมูซีนมีสติกเกอร์โลโก้ของ ฉายหงส์กรุ๊ป เด่นชัด
นันทกาดึงแขนนาคเดินขึ้นตึกเรียนไป
รถลีมูซีนเปิดกระจกเลื่อนลง เผยให้เห็น เฟ่ยจงซิน หรือ จงซิน นั่งอยู่ในรถด้านหลังมองตามสองศรีพี่น้องไป
จงซิน เพ่งสายตาจ้องไปที่นันทกา พลางกดโทรศัพท์โทร.ออก รอฟังเสียงปลายสายสักครู่
“ผมคิดว่าเธอเริ่มสังเกตเห็นเราแล้วครับ”
ปลายสายของ เฟ่ยจงซิน อยู่ที่มือถือของชายคนหนึ่ง ที่อยู่ในห้องทำงานหรู ของออฟฟิศ ใน เกาะไต้หวัน
ชายรูปร่างสูงโปร่งคนนั้นยืนหันหลังอยู่ขณะฟังรายงานจากที่ปรึกษาและมือขวาคนสนิท เขาหันมาช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อคมในท่าทีนิ่งขรึม ทั่วเกาะเล็กๆ ต่างรู้ดีว่าเขาคือมาเฟียหนุ่ม รุ่นใหม่ หลินหลานเซ่อ ประธานบริษัทฉายหงส์กรุ๊ป
“ยังไงก็ต้องเอาตัวมาให้ได้” หลินหลานเซ่อ บอกไป
“ครับ พรุ่งนี้ผมจะนำตัวเธอไปให้คุณหลิน”
หลินหลานเซ่อกำชับ “จำไว้นะ ชั้นต้องการตัวนันทกาเท่านั้น เอาตัวเธอมาให้ชั้นให้ได้”
“ครับ”
หลินหลานเซ่อกดปิดโทรศัพท์ หันตัวกลับทอดสายตามองผ่านกระจกออกไปไกล
กลางบรรยากาศเงียบสงัด ออกไปทางเปลี่ยว ที่บ้านจัดสรรกลางทุ่งหลังหนึ่ง ในค่ำคืนนั้น เสียงนันทกาดังขึ้น
“พ่อ นันขอถามอะไรพ่ออย่างนะ”
“อะไรหรือลูก”
เสียงสนทนานั้นดังมาจาก โต๊ะกินข้าวในบ้าน
ยุทธพงษ์ชายวัยเกือบ 50 ปี ในชุดเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารกับฤทัยนาคและนันทกา
ทั้งสามคนพ่อ-ลูก กำลังกินอาหารเย็นด้วยกัน ยุทธพงษ์นั้นมีสีหน้าและแววตาเหมือนมีเรื่องหนักใจอยู่
“ทำไมเราต้องย้ายบ้านจากสุขุมวิทมาอยู่ชานเมืองอย่างนี้ล่ะคะไกลก็ไกล รอบๆ บ้านก็มีแต่ทุ่งนา”
“ก็พ่อบอกแล้วไงว่าอยากให้ลูกๆได้รับอากาศบริสุทธิ์ อยู่ในเมืองมันมีแต่มลพิษ”
ฤทัยนาคเห็นด้วยกับพ่อ “แต่ชั้นว่าดีนะพี่นัน ได้ใกล้ชิดท้องนาท้องไร่ เงียบสงบดีออก”
“แต่พี่ไม่ชอบ ยังกะอยู่บ้านนอก จะไปโรงเรียนก็ต้องตื่นตีสี่สีห้าแถมคนใช้ก็ไม่มี ไหนพ่อบอกประกาศรับสมัครไม่เห็นมีใครมาซักคน”
“ก็นาคไง ลูกอยากได้อะไรก็บอกน้อง น้องทำได้ทุกอย่าง ใช่มั้ยนาค” ยุทธพงษ์ว่า
ฤทัยนาคยิ้มรับ “ใช่จ้ะ พี่นันอยากได้อะไรก็บอกนาคเลย”
นันทกาทักท้วง “แต่นาคไม่ใช่คนใช้นะพ่อ หนูว่าพ่อใช้งานน้องเกินไปนะ”
“พี่นันไม่ต้องห่วงหรอก นาคเต็มใจทำให้”
“เห็นมั้ยนาคเต็มใจ ไม่ต้องเกรงใจน้องหรอกลูก”
ฤทัยนาคแอบมองค้อนผู้เป็นบิดา นันทกานึกบางอย่างออก
“เออพ่อ แล้วเมื่อเช้าพ่อบอกมีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับนัน”
“ไม่มีอะไรมากหรอก พ่อแค่อยากจะถามลูกว่าสมมุติถ้าธุรกิจของพ่อล้มละลายขึ้นมา ลูกจะว่ายังไง”
นันทกาตื่นเต้นตกใจ “จริงหรือคะพ่อ นี่หมายความว่าที่เราย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่เพราะพ่อล้มละลายหรือคะ”
“คืออย่างนี้นะลูก ความจริงเนี่ย...”
ฤทัยนาคจงใจกระแทกช้อนเสียงดังเพื่อเบรคพ่อ
“พ่อ ทำไมพ่อถึงเอาเรื่องไม่จริงมาพูดกับพี่นัน เดี๋ยวพี่นันก็ตกใจหรอก” นันทกาหันมามองน้องสาวแล้วหันกลับไปมองพ่ออย่างงุนงง
“เรื่องไม่จริง ...หมายความว่าไงคะพ่อ นี่ตกลงเราล้มละลายรึเปล่า”
ฤทัยนาคมองจ้องถลึงตาไม่ให้พ่อพูด
“อ๋อ เปล่าหรอกลูก ก็พ่อบอกแล้วไงว่าเป็นเรื่องสมมุติ”
“แล้วทำไมต้องสมมุติเรื่องนี้ด้วยล่ะคะ” นันทกาติดใจ
ฤทัยนาคคาใจ “ไม่มีอะไรพี่นัน พ่อเค้าแค่อยากจะลองใจพี่น่ะ ว่าในยามคับขันพี่นันจะเป็นยังไง”
“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงพี่รับไม่ได้หรอก อายเพื่อนแย่เลย คงต้องลาออกจากโรงเรียนเลยนะ” นันทกาหน้าเศร้า
“เห็นมั้ยพ่อ นาคบอกแล้วว่าอย่าพูดล้อเล่นกับพี่นันแบบนี้”
“นันไปอ่านหนังสือดีกว่า”
นันทกาวางช้อน ลุกเดินออกไป ฤทัยนาคหันมาเล่นงานผู้เป็นบิดาทันที
“ไหนพ่อบอกว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับพี่นันไง ทำไมพูดซะเอง”
“ชั้นก็แค่อยากดูปฏิกิริยาของนันเท่านั้นว่าเค้าจะรับได้รึเปล่า”
“แล้วพี่นันรับได้รึเปล่าล่ะ”
“ใช่ นันมันเปราะบางเกินไปไม่เหมือนแก”
“ใช่สิ หนูมันเป็นพวกกิ้งก่าไง เปลี่ยนสีไปได้ทุกที่” ฤทัยนาคสัพยอก ไม่อยากให้พ่อเครียด
“เฮ้อ นาค แกนี่น่าจะเป็นพี่มากกว่าน้องนะ”
“พอเถอะพ่อ อย่าพูดเลย หนูเซ็งประโยคนี้ของพ่อจริง ๆ ว่าแต่ว่า ค่าน้ำค่าไฟเดือนนี้เรายังไม่มีเลยนะพ่อ”
“เออ แกเป็นคนเก่ง แถมฉลาดมีไหวพริบ แกช่วยพ่อหาเงินมาจ่ายหน่อยสิ”
“หนูอีกแล้วหรือ”
“เออ แกน่ะแหละ พ่อรู้ว่าแกทำได้ อ้อ เก็บโต๊ะ ล้างจานด้วยนะลูก”
ยุทธพงษ์ลุกเดินออกไป ฤทัยนาคมองตาม บ่นบ้าอย่างเซ็งเป็ด
“อะไรวะ อะไรๆ ก็เรา”
ขณะที่ยุทธพงษ์เดินเข้ามาในห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดัง ยุทธพงษ์หยิบมาดูตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหล...พรุ่งนี้หรือครับ... ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะเตรียมไว้ให้”
ยุทธพงษ์กดปิดโทรศัพท์ ทิ้งตัวลงนั่งอึ้งอยู่บนเตียง แววตาดูครุ่นคิดตัดสินใจอย่างหนักหน่วง
เช้าวันต่อมา รถที่ยุทธพงษ์ขับแล่นมาจอดที่หน้าโรงเรียน สองศรีพี่น้องนั่งมาในรถด้วย ด้านนอกนักเรียนเดินเข้าโรงเรียนเป็นระยะ
“หวัดดีค่ะพ่อ”
นันทกาเปิดประตูลงจากรถเดินไปหาเพื่อนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าประตูทางเข้า ฤทัยนาคจะลงตามยุทธพงษ์เรียกไว้
“เดี๋ยวนาค”
“มีอะไรอีกล่ะพ่อ”
“พ่อจะบอกแกว่าธุรกิจของพ่อ...”
“มันเจ๊งนานแล้ว” ฤทัยนาคดักคออย่างรู้ทัน
“ใช่”
“หนูนึกแล้ว”
“แล้วตอนนี้พ่อก็ติดหนี้...”
“พวกเจ้าพ่อมาเฟีย” ฤทัยนาคแกล้งประชดเล่นๆ
“ใช่”
ฤทัยนาคตกใจ “ห๊า...นี่หนูพูดเล่นนะพ่อ”
“มันเป็นเรื่องจริง”
“แล้วไง พ่ออย่าบอกนะว่าพวกมันตามมาฆ่าพ่อ แล้วก็จะฆ่าพวกเราทั้งหมด”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พ่อแค่อยากจะบอกลูกว่า จากนี้ไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ขอให้ลูกใช้พรสวรรค์พิเศษของลูก” ยุทธพงษ์พูดราวกับสั่งเสีย
“พ่อพูดอะไรหนูไม่เข้าใจ”
“ลูกเป็นคนฉลาด ลูกสามารถแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ด้วยสมองอันพิเศษของลูก”
“แต่พ่อคะหนูเพิ่งอายุ 17 นะ หนูจะไปแก้ไขอะไรได้”
“ถึงเวลาลูกก็จะทำมันได้”
“แล้วพ่อบอกหนูทำไม ทำไมไม่บอกพี่นัน”
“พี่สาวแกเค้าอ่อนแอเกินไป จำไว้นะนาค จงเป็นเหยื่อที่เหนือกว่าผู้ล่า”
ฤทัยนาคมองพ่ออย่างงวยงง “พ่อหมายถึงอะไร”
นันทกาตะโกนเรียกน้องสาว “นาคเร็ว คุยอะไรอยู่ได้”
“ไปเถอะลูก”
นาคเปิดประตูลงจากรถ หันมองพ่ออย่างงุนงงไม่หาย
“พ่อรักลูกนะ”
ฤทัยนาคพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันเดินออกไป
“วันนี้มาแปลก มาทำซึ้งบอกรักเรา”
ยุทธพงษ์มองลูกสาวไม่วางตา นันทกากับฤทัยนาคโบกมือให้พ่อหยอยๆ ยุทธพงษ์มองลูกทั้งสองจนลับสายตา
ใบหน้าชายสูงวัยหมองจัดเหมือนมีเรื่องทุกข์ในใจ ก่อนจะเคลื่อนรถขับออก
ฤทัยนาคกับนันทกาเดินมาตามทางเดินในโรงเรียน
“เดี๋ยวเที่ยงพี่จะมารับไปกินข้าวนะ”
“ทำไมเราต้องไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวันเนี่ยพี่นัน”
“ก็เราเป็นพี่น้องกัน แล้วอีกอย่างถ้าพี่ไม่มากินกับแก แกมีพื่อนกินด้วยหรือไง”
“อืมม์ ก็จริง เพราะไม่มีใครอยากคบกับชั้น”
“เอาล่ะ เจอกันตอนเที่ยงนะ”
“จ้ะ”
นันทกาเดินแยกไปอีกทาง ฤทัยนาคหันหลังเดินไปสองก้าว จู่ๆ มีน้ำสาดโครมลงใส่หัวพอเงยหน้ามองไปก็เห็นเพื่อนนักเรียนก๊วนเดิมเจ้าประจำโห่ฮา พร้อมกับหัวเราะเยาะใส่
“แกล้งได้แกล้งไป ชั้นไม่สนหรอก”
ฤทัยนาคบอกอย่างไม่แคร์ กลุ่มนักเรียนแสบหัวเราะชอบใจ
เวลาผ่านไป เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ก่อนจะเห็นนักเรียนทยอยเดินออกจากห้องราวผึ้งแตกรัง ฤทัยนาคในเสื้อชุดพลศึกษาเช่นเคย เดินออกมาจากห้องยืนรอนันทกาตรงจัดนัดหมาย
รอนานจนฤทัยนาคมองนาฬิกาข้อมืออย่างแปลกใจ “ทำไมพี่นันยังไม่มา”
เด็กสาวมองซ้ายขวาแล้วเดินออก เห็นเพื่อนนักเรียนของนันทกาเดินลงบันไดมา
“พี่แคท เห็นพี่นันมั้ย ยังไม่ลงมาจากห้องอีกหรือ”
“นันเค้าลากลับบ้านไปตั้งแต่คาบที่สองแล้วนะ”
ฤทัยนาคแปลกใจมาก “กลับบ้านหรือ พี่นันเค้าเป็นอะไรไม่สบายหรือ”
“ไม่รู้สิ เห็นนันบอกว่าพ่อมารับนะ”
ฤทัยนาคยิ่งงงหนัก “พ่อมารับหรือ”
“ใช่ พี่ไปล่ะ”
แคทเดินออก นาคหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรอฟังเสียงปลายสาย
“ทำไมพ่อไม่รับสาย” เมื่อพ่อไม่รับสายฤทัยนาคจึงกดหาพี่สาว แล้วรอฟังเสียง “พี่นันก็ไม่เปิดเครื่อง”
เด็กสาววัยใสปิดโทรศัพท์ นึกสังหรณ์ใจโดยประหลาด
“หรือว่าจะมีเรื่องอะไร”
เย็นแล้ว รถเมล์สายประจำทางแล่นเข้ามาจอดป้ายหน้าปากซอยบ้าน ฤทัยนาคกระโดดลงจากรถเมล์
เดินเข้าซอย ตรงไปยังบ้าน
ฤทัยนาคเดินมาหยุดหน้าบ้าน มองซ้ายขวาไม่เห็นรถพ่อ ก็ยิ่งแปลกใจ แถมบ้านทั้งหลังปิดประตูเงียบ
“รถพ่อก็ไม่อยู่ นี่พ่อกับพี่นันยังไม่กลับบ้านอีกหรือ”
ฤทัยนาคล้วงกลอนประตูรั้ว เปิดเข้าไป
ฤทัยนาคเดินมาหยุดหน้าประตูบ้าน เอื้อมมือจับลูกบิดประตูแล้วชะงัก พบว่าลูกบิดประตูหมุนได้แสดงว่ามันไม่ล็อค!
“พ่อกับพี่นันไม่อยู่แล้วทำไมประตูไม่ล็อค”
ฤทัยนาคเอะใจว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ถอยหลังเตรียมจะวิ่ง ชายชุดดำเปิดประตูผัวะออกมา พอเด็กสาวหันหลังจะวิ่งหนีก็ชนเข้ากับชายชุดดำอีกคนที่อยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ฤทัยนาคสะดุ้งโหยง ชายในชุดดำกระชากคอเสื้อแล้วลากกลับเข้าไปในบ้าน
ร่างฤทัยนาคถูกโยนโครมลงบนโซฟาในบ้าน ใบหน้าเด็กสาวถูกกดลงก่อนที่ชายชุดดำจับมือไพล่หลังกดลงบนโซฟานั้น
“ชั้นเจ็บนะ ปล่อยชั้น ใครก็ได้ช่วยชั้นด้วย”
มือใครคนหนึ่งกระชากลูกเลื่อนปืนดังแครก ฤทัยนาคชะงักหยุดนิ่ง เห็นเฟ่ยจงซินถือปืนจ่อหน้า ถามเสียงขุ่น
“นันทกาอยู่ไหน”
“ชั้นไม่รู้”
จงซินคาดคั้น “ชั้นถามว่านันทกาอยู่ไหน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้ ชั้นเพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้เอง”
จงซินถามอีก “แล้วเธอเป็นใคร”
“แล้วพวกแกล่ะเป็นใคร ถึงมาจับชั้นแบบนี้”
ฤทัยนาคพยายามจะมองหน้า
จงซินบอกท่าทีรำคาญแล้ว “ไม่ต้องพูดมาก ถ้าเธอไม่ตอบชั้นจะยิงหัวเธอเดี๋ยวนี้”
“ชั้นไม่รู้จริงๆ ว่า พี่นันไปไหน ชั้นเป็นน้องสาวเค้า”
“น้องสาว” จงซินทวนคำ
“ใช่ พี่นันเค้าเป็นพี่สาวชั้น”
เฟ่ยจงซินกระชากมือเด็กสาวดึงขึ้นมา ฤทัยนาคมองสำรวจจงซิน สายตาไปชะงักกับเข็มกลัดที่ติดอยู่บนเสื้อสูท
มันเป็นลวดลายเดียวกับโลโก้ที่ติดข้างรถลีมูซีนที่เธอเห็นที่โรงเรียน ฤทัยนาคคิดวิเคราะห์ เริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
“นายเป็นเจ้าหนี้พ่อชั้นใช่มั้ย”
“เธอไม่มีสิทธิ์ถาม แค่ตอบว่านันทกาอยู่ที่ไหน” จงซินขู่เสียงดัง
ฤทัยนาคนิ่งคิด เรื่องที่คุยกับยุทธพงษ์ผู้เป็นพ่อเมื่อเช้านี้ที่ประตูหน้าโรงเรียน
“แล้วตอนนี้พ่อก็ติดหนี้...”
“พวกเจ้าพ่อมาเฟีย”
“ใช่”
“แล้วไง พ่ออย่าบอกนะว่ามันตามฆ่าพ่อแล้วก็จะฆ่าพวกเราทั้งหมด”
ฤทัยนาคประติดประต่อเรื่องราวได้ในที่สุด เธอจ้องหน้าจงซิน
“นี่พ่อชั้นเอาพี่สาวไปขัดดอกกับพวกแกงั้นหรือ”
“หัวไวดีนี่ พ่อเธอติดหนี้เจ้านายชั้น เค้าเซ็นสัญญาใช้หนี้เป็นลูกสาวชื่อนันทกา ซึ่งชั้นจะต้องมารับตัวพี่สาวเธอวันนี้”
คำพูดเมื่อเช้าของยุทธพงษ์ผุดขึ้นมาในห้วงคิดของเด็กสาววัย 17 ปี อีกครั้ง
“พ่อแค่อยากจะบอกลูกว่า จากนี้ไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ขอให้ลูกใช้พรสวรรค์พิเศษของลูก”
“พ่อพูดอะไรหนูไม่เข้าใจ”
“ลูกเป็นคนฉลาด ลูกสามารถแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ด้วยสมองอันพิเศษของลูก”
เมื่อนึกถึงคำพูดนี้ของพ่อ ฤทัยนาคตระหนักชัดพยักหน้ากับตัวเอง
“อ๋อ...ชั้นรู้แล้ว พ่อชั้นไหวตัวทัน เลยพาพี่นันหนีไป แล้วทิ้งชั้นไว้ขัดดอกแทน”
“นี่เธอพูดเรื่องอะไร”
“จะเรื่องอะไร ก็พ่อเค้าทิ้งชั้นไว้ให้พวกนายไง หึ นี่ไงพ่อที่แสนดีของชั้น พ่อที่หักหลังลูก พ่อที่รักลูกไม่เท่ากัน” ฤทัยนาคบ่นบ้าออกมา
จงซินพูดแทบเป็นตวาด “เธอหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว”
“ชั้นไม่ได้เพ้อเจ้อ ชั้นกำลังระบายความรู้สึกของชั้น แล้วพวกนายจะเอาไง พี่นันไม่อยู่ที่นี่แล้ว จะฆ่าชั้นตรงนี้เพื่อให้จบเรื่องใช่มั้ย”
จงซินแปลกใจในท่าทีนั้น “นี่เธอไม่กลัวตายหรือไง”
“จะบ้าหรือ ใครบอกไม่กลัว ชั้นก็รักชีวิตเหมือนกันนะ แต่ถ้าจะยิงชั้น ก็ขอให้ยิงนัดเดียวตายเลยได้รึเปล่า จะได้ไม่เจ็บ”
ฤทัยนาคมองจ้องสู้สายตา เฟ่ยจงซินอึ้งกับท่าทีของเด็กสาว พวกลูกน้องคนอื่นๆ มองแล้วส่ายหน้าเป็นแถบ
เฟ่ยจงซินมองฤทัยนาคอย่างหนักใจลดปืนลง หันไปกดโทรศัพท์
“คุณหลินครับ มีปัญหาแล้วครับ”
ฤทัยนาคมองจ้องพยายามฟัง จงซินเห็นว่าถูกเด็กสาวมอง เลยเดินออกไปหน้าบ้าน ฤทัยนาคมองตาม
ไป เห็นจงซินพูดอะไรบางอย่าง แล้วปิดโทรศัพท์เดินกลับเข้ามา สั่งสมุน
“เอาตัวเธอไป”
“จะเอาชั้นไปไหน”
“ไม่ต้องพูดมาก”
“ชั้นไม่ไป”
ลูกน้องสับเข้าที่ก้านคอฤทัยนาคจนสลบ ลูกน้องอีกคนอุ้มออกไป จงซินเดินตามไป
เย็นมากแล้ว นันทกานั่งรถมากับยุทธพงษ์ ที่กำลังขับรถมุ่งหน้าออกต่างจังหวัด
“พ่อคะ นี่เราจะไปไหนกัน”
“พ่อก็ยังไม่รู้ แต่ต้องหนีไปให้ไกลที่สุด”
“แล้วนาคล่ะคะพ่อ พ่อจะทิ้งน้องไว้คนเดียวหรือ”
“มันจำเป็นลูก ลูกไม่ต้องห่วง นาคต้องเอาตัวรอดได้”
“แต่หนูไม่เข้าใจ ทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วย”
ยุทธพงษ์ตัดบท “เรื่องมันยาวลูก แล้วพ่อจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
นันทกามองพ่ออย่างงงๆ ไม่เข้าใจ
รถแล่นไปตามถนน ขณะที่บรรยากาศรอบนอกค่อยๆ มืดลงๆ
อ่านต่อหน้่า 2
คิวบิก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขณะเดียวกันเครื่องบินส่วนตัวแลนดิ้งเข้ามาจอดในมุมหนึ่งย่านกลางเมืองของเกาะไต้หวันยามค่ำคืน สมุนหลานเซ่อคุมตัวฤทัยนาคไปขึ้นรถที่จอดรออยู่
รถคันนั้นแล่นมาตามถนนในเมือง ฤทัยนาคฟื้นแล้วนั่งอยู่ในรถตอนหลัง มองตึกรอบตัวอย่างสงสัย เฟ่ยจงซินนั่งประกบ
ไม่นานนักรถวิ่งเลี้ยวเข้าไปในอาคารฉายหงส์กรุ๊ป
สถานที่ที่ฤทัยนาคถูกจับตัวมาคือ ฮ่องกง นั่นเอง
ในเช้าวันต่อมา ฤทัยนาคพบว่าตัวเองถูกมัดนั่งหันหลังอยู่กลางห้องทำงานใหญ่ มีชายในชุดสูทดำยืนเฝ้าอยู่ 2 คน
ฤทัยนาคหมุนเก้าอี้มองไปรอบตัว เห็นชายทั้ง 2 มองจ้องมาที่เธอ เด็กสาวถอนใจอย่างหงุดหงิด ฤทัยนาคหมุนเก้าอี้ไปมาจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายในชุดสูทดำทั้ง 2 มองสบตากันอย่างรำคาญ
“นี่ พวกแกจับชั้นมานั่งอยู่ตรงนี้หกชั่วโมงแล้วนะ”
ที่ชายทั้ง 2 นิ่งไม่โต้ตอบ
“ชั้นเมื่อยแล้วก็หิวมากแล้วด้วย เมื่อไหร่เจ้านายพวกแกจะมา”
ชายทั้ง 2 ยังนิ่งอย่างเดิม ฤทัยนาคมองอย่างรำคาญที่ทั้งสองไม่โต้ตอบ เด็กสาวหันกลับมามองไปที่โต๊ะทำงาน เห็นด้านหลังกรอบรูปเงินขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ
ฤทัยนาคพยายามชะเง้อมอง เห็นรูปนันทกาในกรอบ ก็แปลกใจ พยายามชะโงกมองให้ชัดอีกครั้ง
เฟ่ยจงซินเดินเข้ามากระชากหลังกลับมา
“ถอยออกมา”
จงซินปล่อยมือ ฤทัยนาคเริ่มขยับหมุนเก้าอี้ไปมา จงซินมองอย่างรำคาญ
“แล้วก็เลิกทำเสียงน่ารำคาญซะที”
“ก็ชั้นเป็นโรคสมาธิสั้น แล้วนายก็หายไปตั้งหลายชั่วโมง จะให้ชั้นนั่งรอจนตายหรือไง จะเอาไงก็ว่ามา ชั้นเบื่อแล้วนะ”
ประตูห้องเปิดออก เผยให้เห็นหลินหลานเซ่อในชุดสูทสีเทาอมดำก้าวเข้ามา มาดเท่ดูหล่อขรึม มีชายในชุดสูทดำตามหลังอีก 4 นาย ฤทัยนาคหันไปมองแล้วชะงัก
หลินหลานเซ่อก้าวช้าๆ เดินเข้ามาลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามฤทัยนาค จงซินเดินมาหยุดยืนด้านหลังเขา
มาเฟียรูปหล่อมองจ้องฤทัยนาคนิ่งๆ ฤทัยนาคจ้องตอบ
หลินหลานเซ่อเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม “ฤทัยนาค”
“ใช่”
“ชั้นจะไม่อ้อมค้อมหรอกนะ พ่อเธอพานันทกาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ชั้นไม่รู้”
หลินหลานเซ่อเรียกเฟ่ยจงซิน ตามองจ้องฤทัยนาค “จงซิน”
จงซินกระชากปืนออกมาขึ้นลำ ฤทัยนาคสะดุ้งมอง
“ชั้นจะให้โอกาสเธออีกครั้ง บอกมาซะดีๆ ว่าพี่สาวเธออยู่ไหน”
“ชั้นบอกว่าชั้นไม่รู้”
“โกหก เธอเป็นพี่น้องกันเธอจะไม่รู้ได้ยังไง”
“ชั้นจะรู้ได้ยังไง ในเมื่อชั้นเป็นคนที่ถูกพ่อตัวเองทิ้ง เข้าใจรึเปล่าว่าพ่อเค้าทิ้งชั้น เค้าพาพี่นันหนีไป แล้วทิ้งชั้นไว้ให้กับพวกนาย”
“ชั้นไม่เชื่อ บางทีเธออาจจะร่วมมือวางแผนกับพ่อเธอ จงใจให้เธอมาอยู่ที่นี่แทนพี่สาว”
ฤทัยนาคต่อปาก “แหม นายนี่เก่งจังเลยนะ เป็นนักแต่งนิยายหรือไง ถึงได้สร้างเรื่องเป็นฉาก ๆ”
จงซินไม่พอใจ “ฤทัยนาค เธอรู้รึเปล่าว่าเธอกำลังพูดอยู่กับใคร คุณหลินไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอนะ”
ฤทัยนาคโต้ไม่ลดละ “ก็แล้วจะเอาไงล่ะ ชั้นบอกความจริงไป พวกนายก็ไม่เชื่อจะบังคับให้ชั้นรู้ให้ได้ ชั้นจะบอกให้นะต่อให้พวกนายฆ่าชั้น ชั้นก็ไม่รู้หรอกว่าพี่นันอยู่ไหน”
“แสดงว่าเธอยอมตายเพื่อปกปิดที่ซ่อนของพี่สาว”
หลานเซ่อพูดเป็นเชิงถาม
ฤทัยนาคขยับลุกพรวดขึ้นอย่างหมดความอดทน จงซินขยับปืน พร้อมกับลูกน้องยกปืนขึ้นเล็งมา ฤทัยนาคตกใจ
“ชั้นไม่ได้อยากเถียงนายเพื่อเอาชนะหรอกนะ แต่ชั้นไม่รู้จริงๆ เข้าใจรึเปล่า แล้วถ้าชั้นยอมตายเพื่อปกปิดที่ซ่อนของพี่นันล่ะก็ชั้นไม่ปล่อยให้พวกนาย เอาปืนมาจ่อแบบนี้หรอก ป่านนี้ชั้นหนีหรือไม่ก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว”
จงซินมองแล้วขยับปืนลดลง ทุกคนลดปืนตาม
“แล้วชั้นก็ไม่ได้อยากด่าว่านายโง่หรอกนะ”
หลินหลานเซ่อชะงัก
“แต่ชั้นก็เป็นคนนึงที่โดนพ่อตัวเองหลอกเหมือนกัน แทนที่นายจะมาง้างปากให้ชั้นพูดในสิ่งที่ชั้นไม่รู้ ชั้นว่านายควรจะให้คนไปสืบหาพ่อชั้นตอนนี้จะดีกว่านะ อย่ามานั่งเก๊กหน้าหล่ออยู่เลย”
ทุกคนชะงักมองจ้อง ยกปืนขึ้นจ่อ มาเฟียรูปงามมองจ้องฤทัยนาคอย่างประหลาดใจในความกล้าบ้าบิ่น
ฤทัยนาคมองไปรอบตัวเห็นทุกคนจ่อปืนมา เด็กสาวยิ้มเจื่อนค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง
“ชั้นขอโทษ...ชั้นเข้าใจนะว่านายคงผิดหวังมากที่เห็นหน้าชั้นแทนที่จะเป็นหน้าสวยๆ ของพี่นัน”
“พ่อเธอทำผิดกฎที่หักหลังชั้น” หลานเซ่อบอก
“ชั้นเข้าใจนะว่ากฎก็คือกฎ เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ แต่ปัญหาก็คือชั้นไม่รู้จริงๆว่าพ่อพาพี่นันไปไหน”
หลินหลานเซ่อมองจ้องฤทัยนาคเขม็ง ฤทัยนาคมองจ้องสู้สายตา
“จงซิน ฆ่าเธอซะ” มาเฟียหนุ่มบอก
ฤทัยนาคตกใจกลัวสุดขีด “ไม่นะ”
จงซินกระชากปืนออกมาเล็งไปที่ฤทัยนาคทันที ฤทัยนาคตะลึงหวีดร้อง
“อย่า...”
ภายในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ ตอนเช้า ชายในชุดสูทดำสี่คนยืนล้อมฤทัยนาคที่สลบอยู่ ทั้งสี่ถอยออกมาเห็นเฟ่ยจงซินกำลังเอายาดมจ่อให้ฤทัยนาคดม สักครู่เด็กสาวค่อยๆ ลืมตาฟื้นขึ้นมอง เห็นหน้าจงซิน
“นี่ชั้นตายไปแล้วใช่มั้ย”
“ยัง ชั้นยังไม่ได้ยิงเธอ เธอสลบหมดสติไปซะก่อน” จงซินบอก
ฤทัยนาคถอนใจ “โอ๊ย ชั้นนึกว่าชั้นตายไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย”
หลินหลานเซ่อนั่งมาดเข้มมองจ้องฤทัยนาค “แสดงว่าเธอไม่ได้ร่วมมือกับพ่อของเธอจริงๆ”
“ก็จริงน่ะสิ ชั้นจะโกหกให้ตัวเองตายฟรีทำไม เอาล่ะ ถ้านายเชื่อชั้นแล้ว ก็พาชั้นกลับไปส่งบ้านซะที”
หลินหลานเซ่อส่งกระดาษแฟกซ์ให้ฤทัยนาคอ่าน
“อะไร” ฤทัยนาครับกระดาษไปอ่าน
เสียงยุทธพงษ์ “คุณหลินหลานเซ่อ ผมขอเปลี่ยนแปลงสัญญาเรื่องการชดใช้หนี้จากนันทกา ลูกสาวคนโต ผมขอเปลี่ยนเป็นฤทัยนาคลูกสาวคนเล็ก
ฤทัยนาคชะงักเหลือบมองหน้ามาเฟียมาดเข้ม หลินหลานเซ่อมองจ้องแน่วนิ่ง ฤทัยนาคก้มหน้าอ่านต่อ
“ผมคิดว่าฤทัยนาคจะทำประโยชน์ให้คุณมากกว่านันทกา และถ้าเป็นไปได้ช่วยฝากฤทัยนาคเข้าเรียนหนังสือต่อด้วย เธอยังไม่จบไฮสกูล”
ฤทัยนาคแค้น กำกระดาษในมือแน่น
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย พ่อชั้นคิดจะทำอะไรกันแน่”
“เธอคงไม่คิดว่าชั้นจะทำตามข้อความในจดหมายใช่มั้ย”
“ใครทำตามก็บ้าแล้ว นี่มันจดหมายของคนบ้า พ่อต้องบ้าไปแล้วที่เอาตัวชั้นมาแลกเพื่อขัดดอกแทนพี่นัน”
หลินหลานเซ่อมองเยาะ
“ใช่ พ่อเธอบ้า เพราะคนที่ชั้นต้องการคือนันทกา ไม่ใช่เด็กบ๊องหน้าตาเหมือนเฟอบี้อย่างเธอ”
“ไม่ต้องมาย้ำหรอก ชั้นรู้ว่าชั้นไม่สวยเหมือนพี่สาว แล้วถ้านายได้ตัวพี่สาวชั้นมา นายจะทำอะไรเค้า”
“ชั้นจะทำอะไรมันก็เรื่องของชั้น ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“อย่าบอกนะว่า นายจะเอาตัวพี่นันมาเป็นนางบำเรอ”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบ ฤทัยนาคมองคาดคั้น
“ใช่มั้ย นายจะเอาตัวพี่นันมาเป็นนางบำเรอ”
“มันเป็นสิทธิ์ของชั้นที่จะทำอะไรกับพี่สาวเธอก็ได้”
ขณะเดียวกัน ที่ห้องพักของรีสอร์ตเรือนไทย ในเมืองไทย สองพ่อลูกมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่
นันทกาถามยุทธพงษ์อย่างตกใจ
“อะไรนะ นี่พ่อเป็นหนี้ยี่สิบล้านเหรียญงั้นหรือ”
“ใช่ พ่อยืมเงินจากคุณหลินหลานเซ่อมาลงทุนทำธุรกิจแต่ว่ามันเจ๊ง”
“แล้วไงคะ”
“คุณหลินเค้าบอกว่าถ้าพ่อหาเงินใช้หนี้เค้าไม่ได้ เค้าก็จะเอาตัวลูกไปขัดดอก”
นันทกาโมโห “ไอ้บ้า ไอ้ตัณหากลับ หนูไม่มีวันยอมเป็นนางบำเรอมันหรอก”
“พ่อรู้ พ่อถึงได้ส่งนาคไปแทนลูกไง”
“นี่พ่อพูดอะไรนะ พ่อส่งน้องไปเป็นนางบำเรอแทนหนูงั้นหรือ”
“มันจำเป็นนี่ลูก”
“แต่นาคเป็นลูกพ่อเหมือนกับหนูนะ พ่อทำอย่างนี้ได้ไง”
ยุทธพงษ์อธิบาย “เดี๋ยวก่อนลูก ฟังพ่อก่อนนะ ที่พ่อทำอย่างงั้นเพราะพ่อคิดว่านาคมันไม่สวยพอที่คุณหลินจะเอามันไปทำเมียหรอก”
“แต่ถึงยังไงพ่อก็ไม่ควรทำอย่างนี้”
“ถ้าพ่อไม่ทำอย่างนี้แกก็ต้องไปเป็นนางบำเรอเองนะ”
“ไม่มีวันหรอก ต่อให้หนูตายหนูก็ไม่ยอมทำอย่างงั้นแน่”
ทุกคนอยู่ในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ จู่ๆ ฤทัยนาคตบโต๊ะปัง
“เอาล่ะ หนี้ทั้งหมดของพ่อ ชั้นจะเป็นคนใช้ให้เอง”
หลินหลานเซ่อ ไม่เชื่อ “เธอน่ะหรือ เธอจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ชั้น พ่อเธอยังไม่มีปัญญาเลย”
“แต่ชั้นมีปัญญา”
“ชั้นไม่เชื่อ”
“งั้นเรามาพนันกันมั้ยล่ะ”
“ทำไมชั้นต้องพนันกับเธอ ในเมื่อพ่อเธอเป็นหนี้ชั้นแล้วไม่สามารถใช้ได้ พี่สาวเธอก็ต้องเป็นของชั้นตามสัญญา”
หลินหลานเซ่อขยับหันจะเดินออก
“เดี๋ยว”
หลินหลานเซ่อชะงัก ฤทัยนาควิ่งมาดักหน้า
“ที่ไม่กล้ารับคำท้าชั้นเพราะกลัวว่าจะแพ้ชั้นใช่มั้ยล่ะ”
“หึ” หลินหลานเซ่อแสยะยิ้มมองฤทัยนาคอย่างดูถูก
“นายเป็นถึงเจ้าพ่อมาเฟีย แต่ไม่กล้ารับคำท้าพนันจากเด็กโดยเฉพาะเป็นผู้หญิงด้วยนะ ไม่อายลูกน้องหรือ”
หลินหลานเซ่อชะงัก ลูกน้องมอง จงซินมองเด็กสาวอย่างไม่ชอบใจ
“เธอไม่ควรพูดอย่างนี้กับคุณหลินนะ ฤทัยนาค”
หลินหลานเซ่อเองก็ไม่พอใจมองจ้องหน้าฤทัยนาคเขม็ง ฤทัยนาคมองจ้องอย่างกวนบาทา
“ทำไม ชั้นพูดผิดหรือ นายกลัวชั้น กลัวว่าชั้นจะชนะใช่มั้ย”
“ไหนบอกมาซิว่าเธอจะพนันอะไรกับชั้น” หลานเซ่อถาม
“ก็ถ้าชั้นหาเงินมาใช้หนี้นายได้ ก่อนที่นายจะเจอตัวพี่สาวชั้น นายต้องปล่อยพี่สาวชั้นไป ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับเค้า”
“ก็ได้ ตกลง ชั้นรับคำท้าเธอ แต่ถ้าชั้นเจอตัวพี่สาวเธอก่อน ชั้นก็จะฆ่าเธอทิ้ง”
ฤทัยนาคอึ้ง กลืนน้ำลายเอื๊อกกลัวตายเหมือนกัน หลานเซ่อหันเดินออก ลูกน้องเดินตาม
“เดี๋ยว” เด็กสาวเรียกไว้
ลูกน้องชักปืน ฤทัยนาคสะดุ้ง
“ขอโทษ ชั้นยังไม่รู้เลยว่าชั้นทำสัญญาอยู่กับใคร”
“เธอไม่มีสิทธิ์มาถามชื่อชั้น” หลานเซ่อบอก
“ก็ได้ ตกลงนายจะไม่บอกใช่มั้ยว่านายชื่ออะไร ชั้นจะจำหน้านายไว้ก็แล้วกัน”
ฤทัยนาคหันหลังให้ หลินหลานเซ่อแนะนำตัว
“ชั้น หลินหลานเซ่อ”
หลินหลานเซ่อหันหลังเดินออก ฤทัยนาคหันกลับมามองตามหลัง
“หลินหลานเซ่อ แต่ดูท่าทางไม่น่าเซ่อ”
ฤทัยนาคบอกอย่างวิเคราะห์กับตัวเอง
ที่บริเวณไซต์งานแห่งหนึ่งในไต้หวัน กำลังมีการก่อสร้างตึกขนาดใหญ่
ประตูตู้คอนเทนเนอร์ตรงมุมหนึ่งของไซต์งานแห่งนี้เปิดออก จงซินเดินนำฤทัยนาคเข้ามา
“นี่คือที่พักของเธอ”
“ในตู้คอนเทนเนอร์เนี่ยนะ ชั้นไม่ใช่หมาแมวนะ” ฤทัยนาคโวย
“เธอลืมไปแล้วหรือว่าเธออยู่ในฐานะอะไร เธอมีสิทธิ์เรียกร้องด้วยหรือ”
“ขอโทษชั้นลืมตัวไปหน่อย จะว่าไปก็เท่ดีเหมือนกันนะ นอนในคอนเทนเนอร์” เด็กสาวประชด
“เอาล่ะ เลิกพล่ามได้แล้ว ตามชั้นมา ชั้นจะพาเธอไปดูงานที่เธอต้องทำ”
พูดจบจงซินเดินนำออกไป ฤทัยนาคมองตามอย่างหมั่นไส้
“ไอ้นี่มันเก๊กขรึมเหมือนเจ้านายเลย”
ที่ไซต์งานเวลานั้น เห็นปั้นจั่นตอกลงเสาเข็ม อีกมุมหนึ่งเครื่องผสมปูนเทปูนลง คนงานผูกเหล็กเทปูน
เครื่องจักรทำงาน คนงานโบกรถที่เข้าออกวุ่นวาย
ฤทัยนาคกับเฟ่ยจงซินเดินเข้ามาในเขตก่อสร้าง ขณะที่บรรดาคนงานทำงานตามหน้าที่ใครมันอย่างขันแข็ง
“งานของเธอคือทำทุกอย่างที่นี่ ตามที่หัวหน้างานสั่ง”
“จะให้ชั้นเป็นกรรมกรก่อสร้างงั้นหรือ”
“ถ้าเธอมีทางอื่นที่หางานได้ดีกว่านี้ก็ตามใจเธอ”
“จะบ้าหรือชั้นเพิ่งมาที่นี่เมื่อคืน ชั้นจะไปหางานที่ไหนได้”
“งั้นเธอก็ต้องทำงานที่นี่ ถ้าเธออยากมีเงินใช้หนี้คุณหลิน”
“แต่งานกรรมกรแบบนี้ทำไปจนตาย ก็หาเงินใช้หนี้ไม่หมดหรอก”
“นั่นมันเป็นเรื่องของเธอ ชั้นมีหน้าที่พาเธอมาดูที่พักและที่ทำงานเราจะเริ่มต้นหักหนี้เธอวันอาทิตย์หน้า จำไว้ให้ดี ทุกวันอาทิตย์ เธอต้องเอาเงินไปให้ชั้นที่ออฟฟิศเพื่อใช้หนี้คุณหลินเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจ”
จงซินบอกต่อ “และเธอต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนในวันจันทร์หน้า”
ฤทัยนาคตาโต “หา เรียนหนังสือหรือ แล้วชั้นจะเอาเวลาที่ไหนมาทำงานใช้หนี้ล่ะ”
“เธอมาทำได้หลังจากเลิกเรียน”
ฤทัยนาคต่อรอง “ชั้นไม่เรียนได้มั้ย”
“ไม่ได้ นี่เป็นคำสั่งของคุณหลิน” จงซินจะเดินออก แล้วหยุด “อ้อ เดี๋ยวเย็นนี้จะมีคนเอาเสื้อผ้ามาให้เธอและเธอไปกินอาหารได้สามมื้อในโรงอาหารของพนักงาน” จงซินเดินออกไปเลย
“มันแกล้งกันชัดๆ นี่หว่า หึ นึกหรือว่าคนอย่างไอ้นาคจะหาเงินมาใช้หนี้ไม่ได้ อย่าหวังเลย”
ฤทัยนาคมองตามอย่างไม่พอใจ
มองผ่านแผ่นหลังหลินหลานเซ่อ แลเห็นรูปนันทกาในมือเขา โดยมีจงซินนั่งตรงข้าม สองคนอยู่ในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ
“คุณหลินไม่น่าไปรับคำท้าเด็กนั่นเลย ทำให้วุ่นวายเปล่าๆ”
“ถ้าชั้นไม่รับคำท้า เด็กนั่นก็จะหาว่าชั้นกลัวน่ะสิ”
“ผมว่าคุณหลินไปใส่ใจกับคำพูดของเธอมากเกินไป เธอก็แค่เด็กคนนึงที่ไม่รู้ว่าคุณหลินเป็นใคร”
“แต่ชั้นว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาหรอก นายให้คนไปหาประวัติให้ชั้นหน่อย ชั้นอยากรู้ว่าทำไมพ่อเธอถึงส่งเธอมาแทนพี่สาว”
“ครับ” จงซินขยับลุกจะไป
“เดี๋ยวจงซิน...” จงซินชะงักมอง “ตามหาตัวนันทกาให้เจอ เพราะตอนนี้เธอเป็นสมบัติของชั้น”
“ครับ”
เฟ่ยจงซินเดินออกไป หลินหลานเซ่อมองรูปนันทกาในมือนิ่งอยู่อย่างนั้น หวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดภายในฟลอร์เต้นรำในห้องอาหาร ที่เมืองไทย เวลาตอนกลางคืน
เวลานั้นวงดนตรีเล่นเชลโล่ ไวโอลิน นันทกาเต้นรำอยู่กลางฟลอร์กับยุทธพงษ์ มีคู่เต้นอื่นอีก 3 คู่ นันทกาคุยยิ้มแย้มพูดคุยกับพ่ออย่างร่าเริง
หลินหลานเซ่อยืนอยู่ชั้นบนมองลงมา เห็นนันทกาที่ดูโดดเด่นสวยเหลือเกินกำลังเต้นรำกับยุทธพงษ์
หลินหลานเซ่อมองนันทกาเต้นรำไม่วางตา จังหวะหนึ่งนันทกาเหลือบสายตามองขึ้นมาแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นหลินหลานเซ่อมองอยู่ นันทกาหลบตา หลินหลานเซ่อยังยืนมองนันทกาอย่างสนใจอยู่อย่างนั้น
จากนั้นไม่นาน เฟ่ยจงซินเดินนำยุทธพงษ์เข้ามาหาหลินหลานเซ่อ ที่รออยู่แล้วในห้องชั้นบนของร้านอาหาร
“คุณหลินครับ”
“ว่าไง” หลานเซ่อมองนิ่งๆ
จงซินแนะนำ “นี่คุณยุทธพงษ์ นักธุรกิจไทยที่บอกว่ามีเรื่องจะขอปรึกษาคุณหลินน่ะครับ”
“สวัสดีครับคุณยุทธพงษ์”
ยุทธพงษ์ทักทาย “สวัสดีครับ คุณหลิน”
“เชิญนั่งครับ” ยุทธพงษ์ลงนั่งแล้วเหลือบมองจงซิน
“มีอะไรก็พูดได้เลยครับ จงซินเค้ารู้ทุกเรื่องที่ผมรู้”
“คือ... ตอนนี้ธุรกิจผมมีปัญหานิดหน่อย ผมอยากจะขอกู้เงินคุณหลินซักยี่สิบล้านน่ะครับ”
“ยี่สิบล้านบาท หรือยี่สิบล้านเหรียญฮ่องกง”
“ยี่สิบล้านเหรียญฮ่องกงครับ” ยุทธพงษ์บอก
“เท่ากับ 60 ล้านบาทไทย”
“ครับ”
“แล้วคุณจะใช้คืนผมได้เมื่อไหร่”
“ผมขอเวลาสามเดือนครับ”
“พร้อมดอกเบี้ยร้อยล่ะยี่สิบ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ”
“ถ้าอย่างงั้นก็โอเค จงซินจะจัดการเรื่องเงินให้คุณ”
ยุทธพงษ์ยิ้ม “ผมขอบคุณคุณหลินมากครับที่กรุณา”
“อย่าเพิ่งขอบคุณผม คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณจะเอาอะไรมาค้ำประกันให้ผม”
“ลูกสาวผม” ยุทธพงษ์บอกทันที
ภายในห้องทำงานของหลินหลานเซ่อ ที่ไต้หวัน หลินหลานเซ่อมองรูปนันทกาในกรอบแล้ววางลง เขานั่งอยู่คนเดียวในห้อง
ตกตอนกลางคืน ฤทัยนาคเดินวนไปมาในคอนเทนเนอร์ที่ไซต์งานก่อสร้าง ได้ยินเสียงพ่อพูดดังก้องในหัว
“คุณหลินหลานเซ่อ ผมขอเปลี่ยนแปลงสัญญาเรื่องการชดใช้หนี้จากนันทกา ลูกสาวคนโต ผมขอเปลี่ยนเป็นฤทัยนาคลูกสาวคนเล็ก”
ฤทัยนาคทรุดลงนั่งอย่างเสียใจ “นี่พ่อไม่รักเราเลยหรือ”
คำพูดของยุทธพงษ์ที่บอกคล้ายสั่งเสียดังขึ้นมาอีก
“จากนี้ไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ขอให้ลูกใช้พรสวรรค์พิเศษของลูก”
“พ่อพูดอะไรหนูไม่เข้าใจ”
“ลูกเป็นคนฉลาด ลูกสามารถแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ด้วยสมองอันพิเศษของลูก”
“แต่พ่อคะหนูเพิ่งอายุ 17 นะ หนูจะไปแก้ไขอะไรได้”
“ถึงเวลาลูกก็จะทำมันได้”
“แล้วพ่อบอกหนูทำไม ทำไมไม่บอกพี่นัน”
“พี่สาวแกเค้าอ่อนแอเกินไป จำไว้นะนาค จงเป็นเหยื่อที่เหนือกว่าผู้ล่า”
ฤทัยนาคส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “พ่อไม่รักเราจริงๆ พ่อรักพี่นันมากกว่าเรา”
ฤทัยนาคคิดถึงเหตุการณ์ที่ถามหลินหลานเซ่อในห้องทำงานของเขา
“แล้วคุณจะทำอะไรกับชั้น จะเอาชั้นเป็นนางบำเรอแทนพี่สาวงั้นหรือ”
หลินหลานเซ่อฉุนกึก “เธอบ้าไปแล้วหรือ ดูสารรูปตัวเองซะก่อน” มาเฟียหนุ่มปรายตามองอย่างดูถูก
คิดขึ้นมาแล้วฤทัยนาคมองตัวเองอย่างแค้นใจ “ก็ใช่สิ ชั้นไม่สวยเหมือนพี่นันนี่...” แล้วคิดอีกที “แต่จะว่าไปพ่อก็ทำถูกแล้ว ที่ส่งเรามาแทนพี่นัน เพราะพ่อคงรู้ว่าไม่มีใครเอาเราไปเป็นนางบำเรอแน่ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
ฤทัยนาคหัวเราะขำ เสียงหัวเราะนั้นดังลอดออกมานอกตู้คอนเทนเนอร์ ตามมาด้วยเสียงประชด
“พ่อเรานี่ฉลาดจริง จริ๊ง พ่อชั้นฉลาดที่สุดในโลกเล้ย...ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
อ่านต่อหน้่า 3
คิวบิก ตอนที่ 1 (ต่อ)
วันหนึ่งที่ประเทศสาธาณรัฐเช็ก ช่วงเวลาตอนกลางวัน แพททริค บัตตัน นายตำรวจสากล กำลังเปลือยกายอาบน้ำอยู่ในห้องพักของโรงแรม เสียงโทรศัพท์มือถือดัง คล้ายเขารอสายอยู่ แพทริคหยิบมือที่วางบนชักโครกกดรับรันที
“ฮัลโหล”
อีกฟากหนึ่ง ภายในโรงแรมเอสเตอกอม ย่านกลางเมือง เห็นตำรวจสากลลูกน้องแพทริคกำลังพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของห้องกลางโถงล็อบบี้
“ผู้กองครับ”
“ว่าไง”
“สายรายงานว่าเจอตัวไอ้คาลอสนอนกกผู้หญิงอยู่ที่โรงแรมเอสเตอกอมครับ”
“แน่ใจนะว่าเป็นไอ้คาลอส”
“แน่ใจครับ เจ้าของโรงแรมยืนยันครับ”
“ดี เฝ้าไว้นะ ชั้นจะไปเดี๋ยวนี้”
“ให้ผมเรียกกำลังเสริมมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง ชั้นจะจับมันด้วยมือของชั้นเอง”
แพทริคปิดโทรศัพท์วางเงินบนโต๊ะ แล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันภายในห้องพักโรงแรมเอสตากอม หญิงสาวต่างชาติในชุดเสื้อคลุมเดินไปที่เตียง เผยให้เห็นคาลอสนอนอยู่บนเตียง หญิงสาวส่งแก้วไวน์ให้ คาลอสรับแก้วไปดื่มจนหมดแล้วดึงผู้หญิงเข้ามากอด พลิกตัวขึ้นคร่อม
ตำรวจลูกน้องแพทริคกระชากปืนสั้นออกมาเดินขึ้นบันได ตำรวจลูกน้องขึ้นมาหยุดตรงหัวบันได แลเห็นฝรั่งเปิดประตูออกมาจากห้องพักห้องหนึ่งฝรั่งตกใจเห็นปืน
“ผมเป็นตำรวจกำลังจับผู้ร้าย”
ลูกน้องโชว์บัตรตำรวจที่ติดอยู่ด้านในของเสื้อแจ๊กเก็ตให้ดู ฝรั่งชะงักถอยกลับเข้าห้องไป ลูกน้องย่องเข้ามาหยุดใกล้หน้าห้องพักคาลอสถือปืนรอ
ด้านคาลอสพลิกตัวผละออกจากผู้หญิงคู่ขา
แพทริควิ่งขึ้นบันไดมาอย่างเร็วรี่พร้อมปืนในมือ เห็นลูกน้องยืนรออยู่
“มันอยู่ห้องไหน”
ลูกน้องชี้ไปที่ห้องสุดทางเดิน “ห้องหัวมุมครับ”
“ดี แกเฝ้าทางลงไว้นะ ถ้าเห็นมันวิ่งออกมายิงให้หมดแม๊กเลย”
“ครับ”
แพทริคย่องไปตามทางเดิน จนมาหยุดหน้าห้องแล้วบิดตัวไปอีกฝั่ง
คาลอสขยับจะเข้าไปหาผู้หญิงอีกครั้งแต่ชะงักเอะใจ สะบัดหน้าหันมองไปที่ประตู
ลูกน้องโผล่หน้ามองเป็นเชิงถาม แพทริคพยักหน้าให้พร้อม ลูกน้องบอกโอเค แพทริคถอยหลังออกมาสามก้าวถีบประตูเข้าไปอย่างแรง เห็นฝุ่นกระจาย
แพทริคโผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับจ่อปืนไปที่เตียง ไม่มีคาลอส มีแต่ผู้หญิงคู่ขายกมือหวีดร้อง
“อย่า...”
แพทริควิ่งไปเปิดประตูห้องน้ำ กวาดตามองหา พร้อมกับตะโกนถาม
“ไอ้คาลอสไปไหน”
“หนีไปทางหน้าต่าง” ผู้หญิงบอก
แพทริคโผล่ตามไปที่ข้างนอกระเบียง
ตำรวจลูกน้องกำลังเล็งปืนจ่อไปที่หน้าห้องคาลอส โดยยืนอยู่กลางทางเดิน คาลอสปีนมาออกอีกห้องด้านข้างใส่แค่เสื้อไม่ติดกระดุมและกางเกงขายาวสีขาว โผล่เข้ามาด้านหลัง ลูกน้องรู้สึกตัวขยับหันมาหา คาลอสกระหน่ำปืนยิงใส่ ตำรวจกระเด็นหงายตก ระเบียงลงมาชั้นล่าง
แพทริคได้ยินเสียงปืนวิ่งออกมาจากห้องอย่างเร็วรี่ เห็นคาลอสวิ่งลงบันได จึงยิงดัก คาลอสหลบพัลวัน พร้อมกับยิงสวนกลับไป แพทริคพลิกหลบ แล้วหันมากระหน่ำยิงใส่ คาลอสกระโดดหลบลงมาที่ชั้นล่างสุด
แพทริคกระหน่ำยิงตามจนหมดแม๊ก คาลอสบิดตัวขึ้นมายิงสวนกลับขึ้นไป แพทริคนอนหมอบหลบลงพื้นพร้อมกับปลดแมกกาซีนเปลี่ยนแมก คาลอสดึงระเบิดออกมาแล้วโยนขึ้นไป
ระเบิดกระเด็นชนผนังแล้วเด้งลงที่พื้นตรงหน้าแพทริคพอดี แพทริคมองอย่างตื่นตกใจ
“เฮ้ย”
ไวเท่าความคิดแพทริคเหินโดดลงจากระเบียง เสียงระเบิดดังบึ้มตามหลัง
แพทริคโผล่ขึ้นมาเห็นหน้าตาดำเลอะ ท่ามกลางควันระเบิด คำรามอย่างเคียดแค้น
“ไอ้คาลอส ถ้ากูไม่ตาย กูต้องจับมึงด้วยมือของกูเอง”
ที่ไต้หวัน อีกวันถัดมา ภาพของคาลอส ในหลายๆ อิริยาบถ หลายสถานที่ ปรากฏขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์ในห้องประชุมฉายหงส์กรุ๊ป พร้อมกับเสียงซานกุ้ยบรรยายประกอบ
“นี่คือคาลอส ทาเปีย เป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม”
หลินหลานเซ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะประชุม ซานกุ้ยนั่งอยู่ด้านขวา ตามมาด้วยหย่งเหวิน เพ่ยอิงนั่งอยู่ด้านซ้าย ถัดจากเพ่ยอิงและหย่งเหวิน เป็นผู้ถือหุ้นชายชราในบริษัทอีก 5 คน
เฟ่ยจงซินนั่งอยู่มุมหนึ่ง ด้านหลังหลินหลานเซ่อ
ซานกุ้ยบรรยายต่อ “ขายอาวุธทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ให้กับพวกชนกลุ่มน้อยในเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา คาลอสมีคอนเนคชั่นกับทั่วโลก ถ้าเราได้มันมาร่วมหุ้นกับเราจะทำให้เราขยายตลาดสินค้าออกสู่ตลาดโลกได้มากขึ้นอีก”
หลินหลานเซ่อเอ่ยขึ้น “แต่เท่าที่ผมรู้มาคาลอสไม่ร่วมหุ้นทำธุรกิจกับใคร”
“นั่นล่ะคือสิ่งที่นายต้องทำให้คาลอสมาร่วมหุ้นกับเรา” ซานกุ้ยว่า
หลินหลานเซ่อนิ่งฟัง จงซินเหลือบมอง
เพ่ยอิงเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ทำไมเงียบไปล่ะหลินหลานเซ่อ หรือว่าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ ชั้นขออาสาทำงานนี้เอง ชั้นจะพูดให้ไอ้คาลอสมันร่วมมือกับเรา”
หลินหลานเซ่อเหลือบมองหน้าเพ่ยอิงแวบหนึ่ง
หย่งเหวินบอก “คุณเพ่ยอิง ผมว่าเรื่องนี้ควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณหลินหลานเซ่อมากกว่านะครับ เพราะตอนนี้คุณหลินหลานเซ่อเป็นประธานของฉายหงส์กรุ๊ป”
เพ่ยอิงฉุน “แกไม่เกี่ยวหย่งเหวิน อย่าสะเออะออกความเห็น”
หย่งเหวินชะงัก ควบคุมความไม่พอใจ จงซินเหลือบมอง
“ขอโทษครับ” หย่งเหวินบอกออกไป
ซานกุ้ยกลับเห็นด้วย “แต่ที่หย่งเหวินพูดก็ถูกนะ ตอนนี้หลินหลานเซ่อเค้าเป็นหัวหน้าพวกเรา เราต้องให้เค้าแสดงฝีมือ ส่วนนายก็อย่าเพิ่งคะนองให้มันมากนัก”
เพ่ยอิงหน้าตึงมองไม่พอใจ
หุ้นส่วนชาย 1 ก็เห็นด้วย “ใช่ ผมเห็นด้วยกับท่านซานกุ้ย เราควรให้หลินหลานเซ่อแสดงฝีมือ”
หุ้นส่วนชาย 2 สนับสนุนอีกคน “ใช่ ผมก็เห็นด้วย”
“หลินหลานเซ่อ เธอจะต้องพิสูจน์ให้พวกเราเห็นว่าเธอพร้อมที่จะเป็นผู้นำฉายหงส์กรุ๊ปของพวกเรา
” หุ้นส่วนชาย 3 ว่า
หลินหลานเซ่อมมองทุกคน จงซินมองอย่างกังวลแทน
ซานกุ้ยถามขึ้น “ว่าไงหลินหลานเซ่อ บอกพวกเราสิว่านายจะทำมันได้”
หลินหลานเซ่อมองซานกุ้ย และมองทุกคนอย่างไม่หวั่นไหว
“ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้คาลอส ทาเปีย เซ็นสัญญากับเราให้ได้”
ทุกคนยิ้มพอใจลุกยืนปรบมือให้ มีเพียงเพ่ยอิงที่ปรบให้อย่างไม่เต็มใจ หย่งเหวินปรบมือยิ้มให้หลินหลานเซ่ออย่างเอาใจช่วย ซานกุ้ยยิ้มให้อย่างท้าทาย จงซินมองอย่างกังวล
สีหน้าหลินหลานเซ่อนิ่งเฉยเรียบสนิท ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
ครู่ต่อมาซานกุ้ยเดินเข้ามาในห้องน้ำ เข้าซองฉี่ เพ่ยอิงเดินตามเข้ามาอย่างไม่พอใจ
“ผมอยากรู้ว่าทำไมท่านซานถึงไม่ไว้หน้าผม”
“ชั้นไปทำอะไร”
“ก็ที่ท่านซานพูดในที่ประชุมมันไม่ให้เกียรติผมนะครับ” เพ่ยอิงตัดพ้อ
ซานกุ้ยย้อน “นายก็ไม่ให้เกียรติหย่งเหวินเหมือนกัน”
“แล้วทำไมผมต้องให้เกียรติมัน กะอีแค่มันเป็นลูกบุญธรรมของท่านซานงั้นหรือ”
“ใช่ เพราะวันนึงที่ชั้นวางมือ หย่งเหวินก็จะเป็นคนที่ขึ้นมาแทนชั้น”
ซานกุ้ยรูดซิป เดินไปเปิดน้ำล้างมือ
“แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่ มันจึงไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรทั้งนั้น”
ซานกุ้ยมองไม่พอใจ หย่งเหวินเข้ามา และได้ยินคำพูดนั้น
“ถูกของคุณเพ่ยอิงครับคุณพ่อ” เพ่ยอิงและซานกุ้ยหันมามอง “ผมเองเป็นฝ่ายผิด ไม่น่าเสียมารยาท ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ คุณเพ่ยอิง” หย่งเหวินก้มหัวให้
“ดี ถ้าแกรู้ตัวว่าผิด ชั้นก็ให้อภัย”
เพ่ยอิงเดินมาเปิดน้ำล้างมือ หยิบกระดาษเช็ดมือโยนทิ้งแล้วเดินออก
ซานกุ้ยไม่พอใจ “แกไปขอโทษมันทำไม ไม่ใช่ความผิดของแก”
“ช่างเถอะครับคุณพ่อ แค่กล่าวคำขอโทษมันไม่ได้หนักหนาหรือเสียหน้าหรอกครับ”
ซานกุ้ยมองตามเพ่ยอิงไปอย่างแค้นเคือง “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ริอ่านทำเป็นใหญ่โต จำไว้นะ หย่งเหวิน แกไม่ต้องกลัวหรือให้ความเกรงใจมัน ถึงแกจะเป็นลูกบุญธรรมชั้น แต่แกก็มีสิทธิ์เท่ากับไอ้เพ่ยอิง”
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
ซานกุ้ยเดินออกไปแล้ว หย่งเหวินมองตาม ก่อนจะเปิดน้ำล้างมือ มองเงาตัวเองในกระจก เห็นในแววตาไม่พอใจฉายโชนชัดแจ้ง
“ไอ้เพ่ยอิง”
หลินหลานเซ่ออยู่ในห้องทำงาน เขาถอดสูทออก อยู่ในชุดซัสสเปนเดอร์ ยืนหันหลังจิบชามองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมคล้ายครุ่นคิดหนักขณะจิบชารสเลิศ จงซินเดินเข้ามา หลินหลานเซ่อหันมามอง
“ติดต่อคาลอสได้มั้ย”
“มันไม่รับโทรศัพท์ผม ผมพยายามต่อเป็นสิบๆ ครั้งมันก็ไม่รับสาย”
หลินหลานเซ่อพยักหน้าใช้ความคิด
จงซินบอกสิ่งที่คิด “ผมว่าท่านซานกุ้ยกำลังบีบบังคับให้คุณหลินเข้ามุมอับ”
“เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนอยากจะเป็นประธานฉายหงส์กรุ๊ปทั้งนั้น โดยเฉพาะซานกุ้ยและเพ่ยอิง”
“ผมว่าคุณหลินต้องระวังตัวให้มากนะครับ ผมไม่ค่อยไว้ใจสองคนนี้”
“นายคิดว่าสองคนนี้จะหักหลังชั้นงั้นหรือ”
“ผมว่าเค้าทำได้ทุกอย่างเพื่อจะก้าวขึ้นเป็นหัวหน้า”
“ขอบใจที่นายเป็นห่วง แต่ชั้นว่าตอนนี้นายทำยังไงก็ได้ ติดต่อให้คาลอสมากินข้าวกับชั้นซักมื้อนึง”
“ครับ”
จงซินหันตัวเดินออกไป หลินหลานเซ่อยกชาจิบ สีหน้ามาเฟียรูปงามนึกถึงภารกิจสำคัญเรื่องคาลอส
จงซินเปิดประตูเดินออกมา เจอเหม่ยจิงออกมาจากลิฟต์พอดี
“อ้าวจงซิน คุณหลินอยู่มั้ย”
“อยู่ แต่ผมว่าคุณไม่ควรเข้าไปตอนนี้นะครับ”
เหม่ยจิงฉงน “ทำไม”
“คุณหลินกำลังเครียด และมีงานสำคัญต้องคิด”
เหม่ยจิงฉุน “เค้าบอกหรือว่าไม่ต้องการพบชั้น”
“เปล่าครับ”
“ถ้าอย่างงั้น ชั้นจะเป็นคนทำให้เค้าหายเครียดเอง”
เหม่ยจิงเดินเข้าไปในห้อง จงซินมองตามคล้ายเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อเหม่ยจิง ก่อนจะตัดใจเดินออกไปอีกทาง
เหม่ยจิงเปิดประตูห้องเข้ามา หลินหลานเซ่อหมุนเก้าอี้หันมามอง ร้องทัก
“อ้าว เหม่ยจิง”
เหม่ยจิงเดินเข้ามา ทรุดลงนั่งตักอย่างคุ้นเคย
“เป็นอะไรหรือคะ เห็นจงซินบอกว่าคุณกำลังเครียด”
“เรื่องงานน่ะ”
เหม่ยจิงอ้อน เอาใจ “บอกเหม่ยจิงได้มั้ยคะ บางทีเหม่ยจิงอาจจะช่วยคุณได้”
“เธอช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“แหม ดูถูกกันจริงๆ” เหม่ยจิงหอมแก้มหลินหลานเซ่อฟอดหนึ่ง แล้วจ้องมองหน้ายกมือเรียวสวยลูบแก้ม
“เหม่ยจิงไม่ชอบให้คุณใส่คอนแทคเลนส์สีนี้เลย ตาสีเขียวมรกตของคุณดูเซ็กซี่กว่าตั้งเยอะ”
หลินหลานเซ่อดึงมือเหม่ยจิงที่จับแก้มออกอย่างไม่พอใจ
“ชั้นบอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องส่วนตัวผม”
“แหม อย่าอารมณ์เสียสิคะ เหม่ยจิงก็แค่พูดเรื่อยเปื่อย ถ้าคุณโกรธเหม่ยจิงขอโทษนะคะ”
เหม่ยจิงซบลงไปที่อกหลินหลานเซ่อ แต่ต้องชะงักสายตาเหลือบเห็นรูปนันทกา
“คุณยังสนใจผู้หญิงคนนี้อีกหรือคะ เธอดูบอบบางจะตาย จะให้มาทำหน้าที่นางบำเรอจะไหวหรือคะ”
“เธออาจจะไม่ได้มาทำหน้าที่นางบำเรอ”
หลินหลานเซ่อบอกเสียงเรียบ เหม่ยจิงชะงักอึ้งไปในทันที หลานเซ่อตัดบท
“ไปกินข้าวเถอะ ชั้นหิวแล้ว”
เหม่ยจิงขยับลุกขึ้น หลินหลานเซ่อหยิบสูทใส่เดินออก เหม่ยจิงเดินตาม แล้วหันกลับมามองรูปนันทกาเห็นแววตาเกลียดชังฉายชัดก่อนเดินออก
ทางด้านฤทัยนาคอยู่ในชุดคนงาน กำลังขุดดินอย่างเป็นเอาตาย โดยไม่รู้ว่ามีสายตาใครคนหนึ่งมองดูอยู่นานแล้ว ก่อนที่ใครคนนั้นจะเดินเข้ามาหยุดดู
“ชั้นว่าถ้าเธอขุดลึกมากกว่านี้ จะลงเสาไม่ได้นะ”
ฤทัยนาคชะงักหันมอง เห็นต้าห่ายเด็กหนุ่มในชุดคนงานวัยไล่เลี่ยกันยื่นแก้วน้ำให้ พลางแนะนำตัว
“ชั้น ต้าห่าย”
ฤทัยนาครับแก้วน้ำมากิน “ขอบใจ ชั้นชื่อนาค”
“เมื่อวานชั้นเห็นเธอมากับคนสนิทของคุณหลินหลานเซ่อ”
“อ๋อ ชั้นติดหนี้เค้าน่ะ”
ต้าห่ายงง “ติดหนี้”
“ใช่ ถึงต้องมาทำงานใช้หนี้อยู่นี่ไง”
ต้าห่ายท้วง “แต่ชั้นได้ยินมาว่า ถ้าใครติดหนี้คุณหลินจะไม่รอดซักรายไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ มักจะกลายเป็นเอ่อ...แบบว่าจะเป็นคู่นอนอะไรแบบนี้แทบทุกคน แต่ทำไมคุณหลินถึงส่งเธอมาขุดดิน”
ฤทัยนาคเสียงขุ่น ไม่ค่อยชอบใจในคำถาม “ก็เพราะชั้นไม่สวยน่ะดิ พอใจรึยัง”
“ใครว่าเธอไม่สวย ชั้นว่าสวยแต่ไม่เข้าขั้นมากกว่า” เด็กหนุ่มล้อ
“นี่นายปล่อยมุขหรือว่าด่าชั้น”
“ชั้นล้อเล่นน่า ชั้นไปก่อนล่ะ ต้องรีบไปทำงานอีกที่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ต้าห่ายหันหลังจะไป ฤทัยนาคเรียกไว้
“เดี๋ยวสิต้าห่าย”
“มีอะไร”
“นายมีงานจ๊อบอื่นด้วยหรือ”
“ใช่ ชั้นทำงานส่งของ”
ฤทัยนาคสนใจ “ส่งของ ส่งอะไร”
“ก็ส่งทุกอย่างที่มีคนจ้าง”
“แล้วอย่างชั้นทำได้มั้ย”
“ถ้าเธอมีขาแล้วขี่จักรยานเป็นก็ทำได้”
“งั้น นายหางานให้ชั้นหน่อยสิ”
“ได้เลย”
ต้าห่ายยกมือให้ ฤทัยนาคตบมือ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
ตกตอนบ่าย ต้าห่ายกับฤทัยนาคปั่นจักรยานคนล่ะคันขึ้นเนินมา โดยต้าห่ายมีกระเป๋าใส่ของสำหรับส่งลูกค้าด้วย ต้าห่ายพาเพื่อนใหม่ขี่ลัดเลาะไปตามถนนซอกซอยชี้บอกเส้นทาง ตามมุมต่างๆ ของเมืองฮ่องกง สุดท้ายสองคนขี่จักรยานมาหยุดที่จตุรัส
“แสดงว่านายต้องรู้จักถนนที่นี่ทุกเส้นน่ะสิ”
“เอาเป็นว่าชั้นหลับตาเดินก็ยังได้นะ”
“นายนี่เจ๋งจริงๆ งั้นชั้นต้องหาแผนที่มาศึกษาเส้นทางซะแล้วจะได้หลับตาเดินได้เหมือนกับนาย”
ต้าห่ายยิ้มให้ ปั่นจักรยานออกนำ เด็กสาวผู้พลัดถิ่นฐานปั่นตามไป
ตรงริมถนน หน้าร้านอาหารโปตุเกสในเวลาต่อมา สองคนเดินออกมาจากร้านชำ ต้าห่ายส่งขวดน้ำดื่มให้ฤทัยนาค ตัวเองเปิดกินอีกขวด
“เอา ของเธอ”
“ไม่เอาหรอก ขอบใจ”
“กินเถอะน่า ชั้นไม่คิดเงินหรอก”
ฤทัยนาครับขวดน้ำมา “ชั้นอายจริงๆ ชั้นควรจะเป็นฝ่ายเลี้ยงนายมากกว่า”
“เธอจะเลี้ยงชั้นได้ไง เธอยังไม่มีเงินซักเหรียญ”
“เอาอย่างนี้ ถ้าเงินค่าแรงชั้นออก ชั้นจะเลี้ยงน้ำนายขวดนึง”
ต้าห่ายนึกหมั่นไส้ “เธอนี่มันขี้ตืดจริงๆ”
“ที่ชั้นต้องตืดก็เป็นเพราะชั้นต้องใช้หนี้เค้านะ”
“แต่ชั้นว่าเธอก็โชคดีแล้วล่ะเป็นหนี้ยังดีกว่าต้องเอาตัวเข้าไปแลกเป็นนางบำเรอ”
“แต่มาคิดดูอีกที ถ้าเค้าเลือกชั้นเป็นนางบำเรอก็จะดีกว่านะ ได้กินได้เที่ยว ได้แต่งตัวสวยๆ ไม่ต้องมานั่งขุดดินแบกปูน”
ต้าห่ายติง “เธอนึกว่าเป็นนางบำเรอมันสนุกหรือไง ชั้นว่ามันตกนรกทั้งเป็นมากกว่านะ อยู่กับคนที่ไม่ได้รัก เธอรู้มั้ยว่าเป็นผู้หญิงของมาเฟียเนี่ย มันเจ็บปวดแค่ไหน วันไหนที่มันอยากได้เธอมันก็มาหาเธอ
วันไหนที่มันอยากทิ้งเธอ มันก็ทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้ว แล้วถ้าเธอคิดหนีล่ะก็ ตายลูกเดียว”
ฤทัยนาคอึ้ง ทึ่ง “โหดขนาดนั้นเลยหรือ”
“ไม่งั้นเค้าจะเรียกมาเฟียหรือ โดยเฉพาะหลินหลานเซ่อ เธอรู้มั้ยมันนี่แหละเจ้าพ่อตัวจริง”
ฤทัยนาคชะงัก ต้าห่ายมองอย่างแปลกใจ
“เธอเป็นอะไร กลัวจนช็อคหรือ”
“เปล่า”
“แล้วทำไมนิ่งเงียบ อึนไป”
“หลินหลานเซ่อเค้าอยู่ข้างหลังเธอ”
ต้าห่ายสะดุ้งหันขวับไปมองด้านหลังตามสายตาฤทัยนาค เห็นหลินหลานเซ่อก้าวออกมาจากร้านอาหาร เหม่ยจิงตามออกมา มีอาเหลียงซึ่งเป็นลูกน้องรองจากจงซินและคนขับรถยืนรอ
ต้าห่ายตกใจ “หลินหลานเซ่อจริงๆด้วย”
ฤทัยนาคมอง เห็นอาเหลียงเปิดประตูรถให้ เหม่ยจิงก้าวเข้าไปนั่ง หลินหลานเซ่อเดินตามจะเข้ารถเหลือบสายตาหันมาเห็นฤทัยนาคพอดี หลินหลานเซ่อเพ่งมอง ฤทัยนาคมองตอบ
หลินหลานเซ่อหันกลับขยับเข้ารถไป อาเหลียงปิดประตู ฤทัยนาคตะโกนพร้อมกับวิ่งเข้าไปหา
“เดี๋ยว...หลินหลานเซ่อ”
ต้าห่ายตาเหลือก มองอย่างตกใจ “เฮ้ย นาค...จะบ้าหรือ”
ฤทัยนาควิ่งเข้าไปกระชากประตูรถ อาเหลียงผลักออกพร้อมกับกระชากปืนจะยิง
“ช้าก่อน” หลานเซ่อห้ามไว้ก่อน แล้วเปิดประตูรถ อาเหลียงชะงักมือ เหม่ยจิงมองพิศวง
“มีอะไร”
“ชั้นมีเรื่องจะถามนายหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“ชั้นไม่ไปโรงเรียนได้มั้ย”
มาเฟียรูปหล่อโมโห “อะไรนะ นี่เธอวิ่งเข้ามากระชากประตูรถชั้นเพื่อจะถามชั้นแค่นี้น่ะหรือ”
“ก็ใช่สิ ถ้าไม่ถามตอนนี้จะไปเจอนายได้ที่ไหนล่ะ นะ ชั้นไม่ต้องไปโรงเรียนหรอก เพราะถ้าชั้นไป ชั้นก็จะไม่มีเวลาหาเงินมาให้นายนะ แล้วตอนนี้ชั้นก็ได้งานพิเศษเพิ่มแล้วด้วย ชั้นจะได้ใช้หนี้ได้เร็วขึ้น”
หลินหลานเซ่อนิ่งฟัง
“ตกลงนะ”
“ไม่ เธอต้องเรียนหนังสือ”
หลินหลานเซ่อดึงประตูรถปิด ฤทัยนาคไม่ลดละขยับจะเข้าไปยื้อ
“เดี๋ยวสิ”
เด็กสาวถูกจงซินผลักดันออก
“ถอย ไปได้แล้ว ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ลูกน้องที่ติดตามสั่ง
ฤทัยนาคลุกขึ้นขยับถอยออก รถเคลื่อนออก ฤทัยนาคมองตาม ต้าห่ายวิ่งเข้ามา
“นี่เธอบ้าไปแล้วหรือ”
“บ้าอะไร”
“อยู่ๆไปกระชากประตูรถคุณหลินเค้า เธอรู้มั้ย ถ้าเมื่อกี้คุณหลินเรียกไม่ทัน เธอถูกลูกน้องมันยิงตายแล้วนะ”
“นายก็ทำเป็นกลัวไปได้ มันจะยิงชั้นได้ไง ชั้นมีเรื่องจะถามเค้า”
ต้าห่ายคร้านจะเถียง “ชั้นว่าเธอนี่มันไม่เต็มจริงๆ เมื่อกี้ถ้าไม่โดนยิง ชั้นว่าเธอต้องโดนกระทืบแน่ๆ”
“ชั้นว่านายปอดเกินไป มาเฟียก็คนเหมือนเรา ไป กลับเถอะ ชั้นหิวแล้ว”
ฤทัยนาคหันเดินออก ต้าห่ายมองตามอย่างไม่เข้าใจในความบ้าบิ่นของสาววัยใสชาวไทย
หลินหลานเซ่อนั่งนิ่งมาในรถตลอดทาง เหม่ยจิงเหลือบมองไปด้านหลังแล้วถาม
“เด็กผู้หญิงเมื่อกี้ใครหรือคะ”
“ลูกหนี้” หลานเซ่อบอกห้วนสั้น
“ลูกหนี้” เหม่ยจิงตกใจ ทวนคำอย่างแปลกใจ
“ใช่ ทำไมทำเสียงตกใจ”
“ชั้นไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะเสียเวลาคุยกับเด็กข้างถนน”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบ แววตายังนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เหม่ยจิงเหลือบมอง เห็นเขายังนิ่งอยู่อย่างนั้น จึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร
เวลาผ่านไป ทั่วทั้งเมือง แลเห็นแสงไฟส่องสว่างวิบวับสะท้อนผิวน้ำ บรรยากาศคึกคัก สมกับเป็นสวรรค์ของนักท่องราตรี
ห้องพักของหลินหลานเซ่อ เป็นคอนโดเพ็นท์เฮาส์ ตกแต่งเรียบเท่ห์ เหม่ยจิงเดินนำเข้ามาอย่างคุ้นเคย หลินหลานเซ่อตามเข้ามา เหม่ยจิงตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์พลางถาม
“คุณจะดื่มอะไรดีคะ”
“ไม่ละ วันนี้ชั้นอยากจะนอนเร็วหน่อย”
“งั้นเดี๋ยวเหม่ยจิงไปเปิดน้ำอุ่นให้นะคะ จะได้นอนแช่ในอ่างกัน”
“วันนี้ไม่ละ เธอกลับไปเถอะ ชั้นเพลียอยากจะนอน”
เหม่ยจิงเซ้าซี้ออดอ้อน “แต่เหม่ยจิงยังไม่อยากกลับนะคะ”
“แต่เธอต้องกลับเพราะชั้นจะนอน”
หลินหลานเซ่อพูดบอกอย่างออกคำสั่ง เหม่ยจิงชะงักไป
“ก็ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”
“จงซินเค้ารอเธออยู่ข้างนอก”
หลินหลานเซ่อพูดจบก็เดินเข้าห้องนอนไปเลย โดยไม่ได้แยแสสักน้อย เหม่ยจิงมองตาม ทอดถอนใจทั้งอัดอั้นและผิดหวัง
อ่านต่อหน้่า 4
คิวบิก ตอนที่ 1 (ต่อ)
รถยนต์หรูคันนั้นวิ่งมาตามท้องถนน ซึ่งสองข้างทางแสงไฟส่องสว่างไสวตลอดทาง เหม่ยจิงนั่งอยู่หลังรถ จงซินทำหน้าที่ขับให้
“จงซิน เดี๋ยวไปที่โรงแรมแกรนด์เอ็มจีเอ็มก่อนแล้วกัน”
“ไปทำไมครับ”
“ชั้นจะไปดื่มซักแก้วสองแก้ว”
“แต่คุณหลินให้ผมไปส่งคุณที่บ้านนะครับ”
“ถึงนายไปส่งชั้นที่บ้าน ชั้นก็ต้องออกมาอยู่ดี”
“นั่นแล้วแต่คุณ ผมมีหน้าที่ไปส่งคุณให้ถึงบ้าน ต่อจากนั้นคุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ”
“ถ้าคุณหลินเค้าเป็นเหมือนนายก็ดีสิ ที่ตื๊อจะไปส่งชั้นให้ถึงบ้าน หึ คนอะไรเย็นชาสิ้นดี”
จงซินไม่โต้ตอบ เหม่ยจิงเหลือบมองจงซิน
“จะว่าไป คุณหลินก็โชคดีนะที่มีมือขวาอย่างนาย”
“ผมว่าคุณเองก็ควรจะรู้ตัวนะว่าคุณหลินจ้างคุณไว้เพื่ออะไร”
“นี่ ชั้นไม่ใช่นางบำเรอนะ” เหม่ยจิงฉุน
“นั่นสิครับ ผมถึงได้บอกคุณว่าคุณอยู่ในฐานะคู่ควงของคุณหลิน คุณควรจะวางตัวไม่ให้คนอื่นดูถูกคุณหลินได้”
“ก็เจ้านายของนายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจจริงๆ นี่ ถึงเค้าจะจ้างให้ชั้นเป็นคู่ควงคอยออกงานกับเค้าก็เถอะ แต่เค้าก็ควรจะสนใจความรู้สึกของชั้นบ้าง”
“ถ้าคุณไม่พอใจ ผมว่าคุณควรจะบอกยกเลิกไม่รับงานคุณหลินซะ”
“ที่ชั้นทำไม่ใช่เพราะเงิน แต่ชั้นทำเพราะชั้นรักเค้า”
“ถ้าอย่างงั้นก็คงไม่มีใครช่วยคุณได้”
จงซินเหลือบมองกระจกหลัง เห็นเหม่ยจิงสะบัดหน้าไป
“และถ้าคุณรักคุณหลินจริง ผมว่าคุณไม่ควรจะไปดื่มต่อ”
“ทำไม”
“คุณคงไม่อยากให้คนที่รู้จักคุณหลินดูถูกว่าผู้หญิงของคุณหลินเป็นไก่คอยจับแขกตามบาร์”
เหม่ยจิงโกรธ “นายจะดูถูกชั้นมากไปแล้วนะจงซิน”
“ที่ผมพูดเพราะเป็นหน้าที่ของผม”
จงซินบอกด้วยเสียงเรียบนิ่ง เหม่ยจิงหน้าบูดบึ้งมองอย่างโกรธขึ้ง
ครู่ต่อมารถเลี้ยวมาจอดหน้าอพาร์ทเมนท์หรู ที่เหม่ยจิงพักอยู่
“เอาล่ะ ถึงอพาร์ทเมนท์คุณแล้ว”
เหม่ยจิงลงรถปิดประตูปัง จงซินไม่ถือสาขับรถออกไป
“ทำเป็นปากดีนัก วันใดที่ชั้นได้เป็นเมียคุณหลินขึ้นมาล่ะก็ ชั้นจะจัดการนายคนแรกเลย ไอ้จงซิน”
เหม่ยจิงเดินเข้าตึกไปอย่างอารมณ์เสีย
จงซินเหลือบมองกระจกหลังแล้วหันกลับมาถอนใจ กล้ำกลืนความรู้สึกที่มีต่อเหมยจิง ขณะรถเลี้ยวไปตามทาง
อีกวันหนึ่ง ที่รีสอร์ตบ้านทรงไทยสถานที่ซ่อนตัวของสองพ่อลูก นันทกายืนอยู่บนระเบียงบ้านอย่างหมกมุ่นครุ่นคิด เด็กสาวหันตัวกลับมาเดินไปเดินมา ด้วยคิดไม่ตก
ภาพเหตุการณ์ที่นันทกาพบเจอหลินหลานเซ่อในค่ำคืนนั้น ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
โดยตอนนั้นนันทกาเต้นรำอยู่กับพ่ออย่างเบิกบาน แต่นันทการู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ตลอดเวลา นันทกาเหลือบสายตาขึ้นไปเห็นหลินหลานเซ่อมองลงมา ก็ชะงักหลบตาวูบ ยุทธพงษ์ชวนคุย นันทกายิ้มกับพ่อแล้วเหลือบมองกลับขึ้นไปอีกครั้ง พบว่าหลินหลานเซ่อยังคงมองอยู่ นันทกาหลบตา รู้สึกประหม่าโดยประหลาด พ่อยังชวนคุยต่อ นันทกามองพ่อแล้วยิ้มให้ พอเหลือบขึ้นไปมองอีกที หลินหลานเซ่อหายไปแล้ว นันทกาสอดตามองหา
“มีอะไรหรือลูก”
“เปล่าค่ะ”
นันทกาเดินมาที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
“ขอน้ำส้มแก้วนึงค่ะ”
นันทกาจิบน้ำส้มพลางเหลือบมองเห็นพ่อกำลังคุยอยู่กับหลินหลานเซ่อ นันทกามองอย่างสนใจ ซักพักหล่อนเห็นพ่อลุก เดินออกมาหา
“พ่อคุยกับใครหรือคะ”
“อ๋อนักธุรกิจฮ่องกงน่ะลูก ถามทำไม”
“ตอนที่หนูเต้นรำกับพ่อ หนูเห็นเค้าจ้องมองหนู เค้าคุยเรื่องอะไรกับพ่อหรือคะ”
“ก็เรื่องธุรกิจน่ะ ไม่มีอะไร ไปเถอะ”
ยุทธพงษ์จูงมือนันทกาเดินออก เด็กสาวเหลียวมองหลัง เห็นหลินหลานเซ่อมองตามมาไม่วางตาจนนันทกาต้องหลบตาอย่างประหม่า
ภาพเหตุการณ์บนฟลอร์เต้นรำในร้านอาหารคืนนั้นผุดขึ้นมาอีกครา นันทกายืนครุ่นคิด คาใจในตัวหลินหลานเซ่อ
“เค้าเป็นใครกันนะ”
ยุทธพงษ์กระหืดกระหอบเปิดประตูห้องเข้ามาหยุดมองซ้ายแลขวา ตะโกนเรียกอย่างตกใจ
“นัน นัน อยู่ไหนลูก”
นันทกาเดินเข้ามาจากระเบียง “มีอะไรคะพ่อ”
“อย่าเพิ่งถามตามพ่อมาเร็ว”
ยุทธพงษ์คว้าแขนนันทกาแล้วลากออกไปจนเด็กสาวตกใจ
“โอ๊ยพ่อ นี่มันอะไรกันคะ”
ยุทธพงษ์ลากนันทกาออกมาตามทาง มองซ้ายมองขวา แล้วตัดสินใจลากลูกสาวไปทางด้านหลังรีสอร์ต
อาเหว่ย และสมุนมือปืนในชุดสูทดำ 3 คนเดินมาตามทาง ยุทธพงษ์ดึงนันทกาหลบเข้าข้างทาง กลุ่มมือปืนผ่านไป
“มันเรื่องอะไรกันคะพ่อ” นันทนาถามท่าทีตื่นตระหนก
“อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น ไปทางนี้เร็ว”
ยุทธพงษ์ลากนันทกาออกไป
กลุ่มมือปืนและอาเหว่ยเปิดประตูเข้ามาในห้องแยกกันหา
“สงสัยมันรู้ตัวแล้ว แยกกันตามหามันให้เจอ” อาเหว่ยว่า
ทั้งหมดวิ่งออกไป
ด้านยุทธพงษ์ลากนันทกาออกมาจากซอยด้านหลังรีสอร์ต แต่แลเห็นอาเหว่ยเดินกวาดตามองหา ยุทธพงษ์ดึงนันทกาหลบ อาเหว่ยเลี้ยวไปอีกทาง
“พวกที่ตามทวงหนี้พ่อใช่มั้ย” นันทนาพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
“ใช่”
“แล้วเราจะทำไงกันดี”
“ลูกอยู่เฉยๆ รออยู่นี่ก่อนนะ”
ยุทธพงษ์มองซ้ายขวาหาทางหนีทีไล่ สายตาแลไปเห็นรถกระบะส่งของวิ่งผ่านมา ยุทธพงษ์วิ่งออกมาขวาง
“โทษครับ”
รถกระบะ เบรกกะทันหัน คนขับโมโหตะโกนด่า “นี่มันอะไรกันอยากตายหรือไง”
“มีคนตามฆ่าผมกับลูกสาว ช่วยผมหน่อยได้มั้ยครับ”
นันทกามองพ่อ แล้วหันมองซ้ายแลขวาอย่างหวาดกลัว
คนขับอึกอักลังเล “เอ่อ”
“ได้โปรดเถอะ ผมจะให้คุณห้าพัน ขับรถพาผมไปส่งข้างนอกหน่อย”
“ก็ได้ครับ”
ยุทธพงษ์หันไปตะโกนเรียกลูกสาว “นัน เร็ว ลูก”
นันทกาวิ่งออกมา ยุทธพงษ์เปิดประตูรถรอ นันทกากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยุทธพงษ์ตามขึ้นไปปิดประตูรถทันควัน
“ก้มหัวไว้ลูก”
ฝ่ายอาเหว่ยวิ่งออกจากรีสอร์ตมาหยุดมองซ้ายขวา กระทั่งเห็นรถกระบะจอดอยู่ ลูกน้องวิ่งมาสมทบ
อาเหว่ยถาม “เจอมั้ย”
“ไม่มีครับ”
“มันจะหายไปไหนได้วะ กลับไปค้นให้ทั่วรีสอร์ต”
ส่วนในรถกระบะขนของ ยุทธพงษ์กับนันทกาหมอบราบก้มหัวต่ำ
คนขับกำชับ “ก้มหัวต่ำๆ นะ เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณหนีไปเอง”
คนขับเคลื่อนรถออก อาเหว่ยหันมามองพลางยกมือขึ้นโบกให้หยุด
“มันออกมาขวางถนนแล้วครับ เอาไง”
“ชนมันเลย” ยุทธพงษ์บอก
คนขับอึ้ง อิดออด ”แต่ว่า...”
“ชั้นให้แกแสนนึง” ยุทธพงษ์บอกอีก
รถกระบะพุ่งเข้าหามือปืน อาเหว่ยชักปืนออกมายิงสวน โดนคนขับรถเลือดสาด นันทกาหวีดร้อง
ยุทธพงษ์ตกใจ “หา”
รถกระบะเสียหลักเซแซดๆ
ยุทธพงษ์ประคองสติ ดึงกระชากพวงมาลัย ผลักคนขับออกไป พุ่งรถใส่อาเหว่ย จนอาเหว่ยต้องกระโดดหลบ
ยุทธพงษ์ขับรถพุ่งออกไป อาเหว่ยยิงตามหลัง ลูกน้องวิ่งออกมา
“ได้ตัวมั้ยครับ”
อาเหว่ยหัวเสียสุดขีด และแค้นจัด
“ไอ้บ้าเอ๊ย ไปเอารถมาเร็ว”
เหตุการณ์ที่ฮ่องกง รถจงซินเข้ามาจอดในไซต์งานก่อสร้าง จงซินลงจากรถเดินเข้าไปทางตู้คอนเทนเนอร์ที่พักฤทัยนาค
ส่วนในคอนเทนเนอร์ มือฤทัยนาครูดติดแผนที่ในห้อง ทั้งผนังห้องถูกแปะเต็มไปด้วยแผนที่เมืองฮ่องกง เป็นแผนที่แบบต่างๆทั้งสภาพใหม่และเก่า สุดท้ายหยิบสเปรย์กาวฉีดหลังแผนที่อีกแผ่น แล้วหันไปแปะลงผนัง หันไปหยิบแผนที่ที่กองอยู่บนโต๊ะอีกแผ่นขึ้นมา จงซินเปิดประตูเข้ามา นาคหันมอง
“นี่วันอาทิตย์ทำไมมาแต่เช้า อย่าบอกนะว่าจะมาทวงเงิน ไหนว่าจะให้เริ่มจ่ายอาทิตย์หน้าไง”
“ชั้นเอาชุดนักเรียนมาให้เธอ”
ฤทัยนาคหยิบชุดนักเรียนจากถุงออกมาดู
“ชุดยังกะนักเรียนญี่ปุ่นเลยนะ ทำไม ที่นี่เค้าฮิตตามหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นหรือ”
“เธอหยุดพูดแล้วฟังให้ดี พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนให้ทันห้ามไปสายเด็ดขาด แล้วอยู่โรงเรียนห้ามทำตัวเด่น ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น เข้าใจรึเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นจะทำตัวให้กลืนไปกับผนังโรงเรียนเลย”
จงซินมองจ้องหน้า แล้วหันหลังจะเดินออก แต่ต้องชะงักเมื่อมองไปที่ผนังเห็นแผนที่เต็มไปหมด จงซินมองที่พื้นเห็นกองแผนที่เกลื่อนห้อง
“นี่เธอคิดจะหาทางหนีไปจากที่นี่หรือ”
“ไม่ต้องกลัวว่าชั้นจะหนีหนี้หรอกน่า คนอย่างชั้นพูดคำไหนเป็นคำนั้น แผนที่พวกนี้ชั้นก็เรียนรู้ไว้เพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมมันถึงเยอะแยะถี่ยิบขนาดนี้”
“ชั้นบอกความจริงก็ได้ ชั้นได้งานพิเศษส่งของ ชั้นก็เลยจำเป็นต้องรู้ทุกซอกทุกซอยของเกาะนี้เพื่อที่จะได้ไม่หลงและไม่เสียเวลา นายรู้มั้ยแผนที่แต่ล่ะอันเนี่ย มันมีรายละเอียดแตกต่างกัน ซึ่งชั้นจะต้องรู้ให้หมด”
“ทำไมถึงอยากรู้ให้หมด”
“อ้าว ชั้นจะได้รู้เส้นทางลัดมากกว่าคนที่นี่ไง เป็นไง เข้าใจรึยัง คุณเฟ่ยจงซิน”
ฤทัยนาคแกล้งแซวเรียกชื่อเต็ม จงซินจัดบท “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ฤทัยนาค”
“พรุ่งนี้ อย่าบอกนะว่าพวกนายจะตามชั้นไปโรงเรียนด้วย”
“ใช่ แต่ไม่ได้ตามเธอ คุณหลินต้องเข้าไปดูงานที่โรงเรียนทุกวันเพราะท่านเป็นเจ้าของโรงเรียนและเป็นครูใหญ่ด้วย”
พูดจบจงซินก็เดินออกไปเลย
“หา...ไอ้มาเฟียนั่นเป็นครูใหญ่อย่างงั้นหรือ เฮ่อ งง”
เครื่องบินเล็กส่วนตัวลำหนึ่ง แลนดิ้งลงจอดในสนามบินส่วนตัว พอประตูเครื่องบินเปิดออก ใครคนหนึ่งก้าวลงมา เป็นคาลอสนั่นเองที่เดินลงมา แดนนี่ ลูกชายวัยรุ่นเดินเข้าไปกอดพ่อ
“หวัดดีครับพ่อ”
คาลอสตบหลังลูกชาย “แกเป็นไง”
“สบายดีครับ”
“ชั้นหมายถึงว่างานที่ชั้นให้แกมาเซอร์เวย์เป็นยังไงบ้าง”
“สงสัยจะลำบากครับ”
“ทำไม”
“ก็ไอ้แพทริคน่ะสิ มันคงรู้ว่าพ่อจะมาที่นี่ มันเลยวางกำลังตำรวจดักปิดกลั้นทางออกของเราทั้งหมด”
คาลอสแค้นมาก “ไอ้แพทริค มึงนี่ตามจองล้างจองผลาญกูไม่เลิกจริงๆ”
ลูกน้องเปิดประตูรถให้ แดนนี่ก้าวขึ้นรถ คาลอสตามขึ้นไป เสียงมือถือแดนนี่ดัง เด็กหนุ่มกดรับ
“ฮัลโหล”
จงซินโทร.ไป และพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ มีมาเฟียเจ้าของห้องนั่งฟังอยู่ด้วย
“นั่นแดนนี่รึเปล่า”
“ใช่ แล้วคุณเป็นใคร”
“ผมจงซิน เป็นเลขาคุณหลินหลานเซ่อ”
“มีอะไร”
“ผมอยากให้คุณบอกพ่อ ว่าคุณหลินอยากเชิญทานข้าวเป็นการส่วนตัวหน่อย”
แดนนี่เหลือบมองหน้าพ่อ คาลอสถาม “ใคร”
เด็กหนุ่มปิดหูฟังบอกพ่อ “เลขาหลินหลานเซ่อ มันบอกว่าอยากกินข้าวกับพ่อ”
“ไอ้นี่มันตื๊อจริงๆ บอกไปว่าพ่อไม่ว่าง”
แดนนี่คุยสายต่อ “พ่อผมไม่ว่าง”
“แต่ผมอยากให้คุณบอกคุณคาลอสว่าคุณหลินมีธุระสำคัญมากอยากคุยด้วย”
แดนนี่ทักท้วง “แต่ว่า...”
“มันเป็นเรื่องผลประโยชน์” จงซินบอก แดนนี่ชะงัก “และเป็นเงินจำนวนมากด้วย”
แดนนี่หันมาบอกพ่อ “มันบอกเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเงินจำนวนมาก”
คาลอสชะงักมีแววลังเลในดวงตา
ส่วนที่ห้องทำงานหลินหลานเซ่อ จงซินปิดโทรศัพท์ หลินหลานเซ่อรอฟังคำตอบ
“มันว่าไง”
“มันไม่ยอมมาครับ”
“ระยำ พรุ่งนี้โทร.หามันอีก โทร.จนกว่ามันจะยอมรับนัดชั้น”
“ครับ” จงซินเดินออก หลินหลานเซ่อถอนใจอย่างหงุดหงิด
ที่บ้านซานกุ้ย คืนเดียวกันนั้น หย่งเหวินรินชาให้ซานกุ้ย ก่อนที่ซานกุ้ยจะยกดื่ม
“คุณพ่อคิดว่าคุณหลินจะคุยกับคาลอสสำเร็จมั้ยครับ
“ก็ห้าสิบห้าสิบนะ”
“แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะครับ”
“ถ้าไม่สำเร็จหลินหลานเซ่อก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งประธานฉายหงส์กรุ๊ปของเรา”
“ถ้าอย่างงั้นก็เป็นโอกาสของคุณพ่อที่จะก้าวขึ้นเป็นประธานสิครับ”
“ใช่ และถ้าวันนั้นมาถึง บางทีชั้นอาจจะให้แกเป็นคนขึ้นไปแทนชั้นก็ได้”
หย่งเหวินคุกเข่าทันที บอกอย่างถ่อมตน “อย่าพูดอย่างงั้นเลยครับคุณพ่อ ผมเองยังด้อยสติปัญญากว่าคุณพ่อมาก ผมยังต้องเรียนรู้และหาประสบการณ์จากคุณพ่ออีกเยอะครับ”
ซานกุ้ยพอใจ “ดีมากหย่งเหวิน นับว่าชั้นดูแกไม่ผิดจริงๆ แกเป็นคนมักน้อยถ่อมตัวนี่แหละคือคุณสมบัติที่จะทำให้แกประสบความสำเร็จ”
หย่งเหวินยิ้มรับคำชมอย่างถ่อมตัว ไป่หลิงเด็กสาวท่าทางใสซื่อถือถ้วยโสมเข้ามา
“คุณลุงคะ”
ซานกุ้ยหันไปทัก เชื้อชวน “อ้าว เป่ยหลิงเข้ามาสิ”
“หนูต้มโสมมาให้ค่ะ”
“ขอบใจมาก”
ไป่หลิงมองหย่งเหวิน “แล้วนี่ก็ของพี่หย่งเหวินค่ะ ไม่ใส่น้ำตาลกรวด”
“ไป่หลิงนี่รู้ใจพี่จริงๆ” หย่งเหวินมอง พลางยิ้มให้อย่างเอ็นดู
ไป่หลิงยิ้มอาย “พรุ่งนี้วันพระ ไป่หลิงจะมาขออนุญาตคุณลุงไปไหว้พระที่ศาลเจ้าค่ะ”
ซานกุ้ยเยื้อนยิ้ม “ไปสิลูก ให้พี่หย่งเหวินเค้าไปเป็นเพื่อน”
“พี่หย่งเหวินจะว่างหรือคะ วันๆพี่หย่งเหวินงานเยอะจะตาย”
“ถ้าพี่ไม่ทำคุณพ่อก็ต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว”
ซานกุ้ยบอก “ไม่เป็นไรหรอก หย่งเหวิน พรุ่งนี้หยุดงานซักครึ่งวันไปไหว้พระกับไป่หลิงเถอะ”
“ก็ได้ครับ”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ” ไป่หลิงออกไป ซานกุ้ยมองตามอย่างชื่นชม
“ไป่หลิงเป็นเด็กดี ชีวิตน่าสงสาร ก่อนที่พ่อเค้าจะตายพ่อเค้าฝากให้ชั้นดูแลถ้าแกรักไป่หลิงจริง ชั้นก็สนับสนุนนะ”
“อะไรที่คุณพ่อเห็นสมควรหรือเห็นว่าดี ผมก็เห็นตามนั้นครับ”
ซานกุ้ยยิ้มอย่างพอใจ “แกนี่ไม่เคยทำให้ชั้นผิดหวังเลยจริง ๆ หย่งเหวิน”
“ขอบคุณครับคุณพ่อ” หย่งเหวินยิ้มรับคำซานกุ้ยอย่างเจียมตัว
ขณะที่หย่งเหวินเดินมาตามทางเดิน เขาเห็นไป่หลิงยืนอยู่หน้าระเบียง
“ยังไม่นอนอีกหรือน้องไป่หลิง”
“เมื่อกลางวันน้องไปตลาด น้องเจอผ้าพันคอผืนนี้มันสวยดี ก็เลยคิดว่ามันเหมาะกับพี่หย่งเหวินค่ะ” หย่งเหวินรับมาดูยิ้ม “ชอบมั้ยคะ”
“ชอบสิจ๊ะ อะไรที่น้องไป่หลิงซื้อให้มันย่อมมีค่ากับพี่”
ไป่หลิงยิ้มอายขวยเขิน สองคนมองสบตา ไป่หลิงขยับจะไป หย่งเหวินคว้ามือ ไป่หลิงชะงักใจสั่น
“มีอะไรหรือคะ”
“พี่อยากจะบอกว่า ขอบใจมากนะ”
ไป่หลิงยิ้มหวาน หย่งเหวินมองจ้อง แล้วโน้มตัวเข้าไปทำท่าจะจูบ ไป่หลิงผละตัวถอยออก
“เอ่อ น้องขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ดึกมากแล้ว”
“ได้สิจ๊ะ”
หย่งเหวินยกมือไป่หลิงมาจูบอย่างละมุนละไม ไป่หลิงสะเทิ้นเขินอาย หันตัวกลับเดินออกไป หย่งเหวินมองตาม ไป่หลิงหันมามอง
“ฝันดีนะคะ”
“จ้ะ”
ไป่หลิงยิ้มแล้วหันเดินออกไป หย่งเหวินมองตามแสยะยิ้มเห็นความรู้สึกเสียดายในนั้น
รุ่งเช้า ฤทัยนาคขี่รถจักรยานหยิบมาตามถนนในเมือง โยนส่งของให้คน ตามที่ต่าง ๆ
ส่งของเสร็จฤทัยนาคอยู่ในชุดนักเรียนหยิบถุงเท้าสวม หยิบรองเท้าใส่ หันมองกระจก แล้วชะงัก เห็นเนคไทด์วางอยู่ จึงหยิบมาคล้องคอผูกซ้ายผูกขาวพยายามจะผูกแต่ไม่เป็นรูปร่าง
“เฮ้ย อะไรวะ”
ฤทัยนาคบ่นอย่างหงุดหงิด ดึงไทด์ออกพยายามผูกใหม่
เวลาผ่านไปนานสองนาน ฤทัยนาคพยายามผูกไทด์ แต่ไม่สำเร็จสักที เด็กสาวหันมองนาฬิกาที่ผนัง เห็นเวลา 7 โมง 50 นาที แล้วออกอาการเซ็ง
“จะแปดโมงแล้วหรือ ไปโรงเรียนไม่ทันแน่เรา”
ฤทัยนาคหันไปคว้าเป้นักเรียนแล้วชะงัก นึกถึงคำพูดจงซินที่บอกว่า
“พรุ่งนี้เจอกันฤทัยนาค”
ฤทัยนาคยิ้ม ดีดนิ้วเปาะ “ได้การละ”
เด็กสาวกระโดดโลดแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อตอนที่ 2