คิวบิก ตอนที่ 2
เช้าวันเดียวกัน รถยนต์สองคันจอดรออยู่บริเวณหน้าตึกฉายหงส์กรุ๊ป แลเห็นอาเหลียงและลูกน้องหลินหลานเซ่ออีก 2 คน ยืนรอคุณหลินของพวกเขาอยู่
ส่วนด้านในหลินหลานเซ่อออกมาจากลิฟต์ โดยมีเฟ่ยจงซินเดินคู่กันมา ลูกน้องสองคนเดินตามประกบหลังไม่ห่าง
“เรื่องนันทกาไปถึงไหนแล้ว” หลินหลานเซ่อเดินไปคุยไป
“เมื่อวานคนของเราเจอตัวเธอกับนายยุทธพงษ์แล้วครับ แต่นายยุทธพงษ์รู้ตัวก่อนเลยหนีไปได้ครับ”
หลานเซ่อตำหนิ “ทำงานประสาอะไรกัน เรื่องแค่นี้ยังจัดการกันไม่ได้”
“ผมว่านายยุทธพงษ์คงจะระมัดระวังตัวมาก เพราะรู้ว่าคุณหลินคงไม่ปล่อยนันทกาไปแน่”
“แล้วมีใครไปดักเฝ้าตามบ้านญาติมันรึเปล่า”
“ไปครับ แต่มันไม่ได้ติดต่อไปหาใครเลย”
“บอกคนของเราว่าชั้นต้องการผู้หญิงคนนี้ ตามหาเธอให้เจอ”
“ครับ”
ขณะที่หลินหลานเซ่อกับจงซินเดินออกมาหน้าตึกตรงไปที่รถ ฤทัยนาควิ่งกระหืดกระหอบ ตะโกนเข้ามา
“เดี๋ยว...เดี๋ยว รอชั้นด้วย”
อาเหลียงเข้าไปขวาง “ถอยไป นี่เธออีกแล้วหรือ”
“ดีใจจังที่นายจำชั้นได้”
จงซินกับหลินหลานเซ่อมองมา
“มีอะไรฤทัยนาค” จงซินมองหน้า
“เอ่อ...คือชั้น...”
“มีอะไรก็ว่า ชั้นสายมากแล้ว” หลินหลานเซ่อบอกเสียงเรียบ
“นั่นล่ะที่ชั้นจะพูด ชั้นสายแล้ว
หลินหลานเซ่อฉงน มองหน้าลูกหนี้สาววัยใสอย่างไม่เข้าใจว่าหล่อนต้องการพูดอะไร
“วันนี้ชั้นต้องไปโรงเรียนวันแรก แต่เป็นเพราะไอ้เนคไทด์บ้านี่แหละทำให้ชั้นต้องไปสาย”
“ถ้างั้นเธอก็หาทางไปให้ถึงโรงเรียนไวๆ แล้วกัน”
หลินหลานเซ่อตัดบท ขยับขึ้นรถ ฤทัยนาคคว้าประตูกระชากไว้
“เดี๋ยวสิ”
จงซินฉุน “ถอยไปฤทัยนาค”
หลินหลานเซ่อไม่พอใจ “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ปล่อยประตูรถ”
“อย่าแล้งน้ำใจหน่อยเลยน่า หลินหลานเซ่อ เราต่างคนต่างรีบ ชั้นขอติดรถไปลงที่โรงเรียนด้วยคนนะ”
หลานเซ่อเสียงแข็ง “ไม่”
“โธ่เอ๊ย ชั้นขอร้องล่ะ นี่มันวันแรกของชั้นนะ ชั้นไม่อยากไปสาย ถ้านายไม่อยากให้ชั้นนั่งรถร่วมไปกับนาย ให้ชั้นเกาะท้ายรถไปก็ได้”
หลินหลานเซ่อมองฤทัยนาคว่าจะมาไม้ไหน ฤทัยนาคมองเขม็ง
“ท้ายรถก็ได้งั้นหรือ” หลานเซ่อหยันอยู่ในที
“เอ่อคือ ชั้นหมายถึงว่า...”
“เปิดท้ายกระโปรงรถให้เธอ”
ขาดคำ ลูกน้องเปิดท้ายรถให้ ฤทัยนาคมองหน้าหลินหลานเซ่ออย่างไม่อยากเชื่อว่าจะใช้วิธีนี้
“จะไปรึเปล่า”
ฤทัยนาคจำใจเดินไปท้ายรถ แล้วหันมามองหน้าหลินหลานเซ่ออย่างเคืองแค้น
“ถ้าไม่คิดว่าไปสายล่ะก็ ชั้นไม่ง้อนายหรอกนะ”
ฤทัยนาคปีนขึ้นไปนอนในกระโปรงรถ ลูกน้องปิดประตูปัง หลินหลานเซ่อกับจงซินสบตากันอย่างรู้สึกรำคาญก่อนจะก้าวขึ้นรถ 2 คนนั่งตอนหลัง ลูกน้องเคลื่อนรถออก
ที่โรงเรียนมัธยมเช้านั้น บรรดานักเรียนวัยมัธยมปลายกำลังเล่นกันอยู่กลางสนามอย่างสนุกสนาน รถหลินหลานเซ่อสองคันเลี้ยวเข้ามาจอด นักเรียนแต่ละกลุ่มหันมามองเป็นตาเดียว
พอประตูรถเปิดหลินหลานเซ่อก้าวออกมาช้าๆ มาดอย่างหล่อ นักเรียนหญิงบางคนมองอ้าปากตะลึง บางคนสูดปาก ขณะที่บางคนปิดปาก เบิกตา ตื่นตะลึง
หลินหลานเซ่อขยับเดิน จงซิน และลูกน้องเข้ามาประกบ นักเรียนหญิงบางคนหงายหลังล้มตึง ช็อกในความหล่อ
“เชิญครับคุณหลิน”
ขณะหลินหลานเซ่อก้าวเดินนั้น ก็ได้ยินเสียงตะโกนพร้อมกับเสียงทุบรถดังขึ้นจากท้ายรถ
“เฮ้... ชั้นรู้นะว่าพวกนายจงใจจะปล่อยให้ชั้นตายอืดในนี้”
หลินหลานเซ่อกับจงซินชะงัก หลินหลานเซ่อหันมาบอกลูกน้อง
“เปิดท้ายรถ”
ลูกน้องเดินไปเปิดท้ายรถ
ฤทัยนาคโผล่หน้าขึ้นมาในสภาพมอมแมม ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้านักเรียนยับเยิน
กลุ่มนักเรียนสาวๆ ชะเง้อมองฤทัยนาคอย่างสงสัย ทำตัวเป็นก็อสสิปเกิร์ล ซุบซิบเซ็งแซ่ ว่ายัยนี่เป็นใคร หรือเป็นแฟนหลินหลานเซ่อ บางคนส่ายหน้าว่าไม่น่าใช่
ฤทัยนาคกระโดดลงมาจากท้ายรถอย่างอึดอัดหัวเสีย พออกมาได้หายใจหอบเสียงดัง
“โอ๊ย นี่ชั้นหายใจไม่ออกเกือบตายแล้วนะ”
“ไปเข้าห้องเรียนได้แล้ว แล้วก็ผูกเนคไทซะด้วย” จงซินบอก
“อย่ามาว่าชั้นเรื่องเนคไทนะ รู้รึเปล่าว่าเนคไทเนี่ยมันเป็นตัวสร้างความห่างเหินในสังคม”
“ชั้นว่าเธอหุบปาก แล้วก็ไปไกลๆ ชั้นได้แล้ว” หลานเซ่อพูดแทบเป็นตวาด
ฤทัยนาคชะงักงัน อึ้งไปวูบหนึ่ง รู้สึกเสียใจกับคำพูดของมาเฟียเจ้าหนี้ หลินหลานเซ่อมอง
“ไม่ได้ยินหรือฤทัยนาค คุณหลินบอกให้เธอไปห่างๆ” จงซินเสียงดัง
ฤทัยนาคก้มหน้าหันตัวกลับเดินออกไป หลินหลานเซ่อหันกลับเดินไปเช่นกัน ฤทัยนาคน้ำตาซึม
หลินหลานเซ่อมอง ตามหลังฤทัยนาคที่เดินจากไป สักครู่หลินหลานเซ่อจึงหันกลับ ทั้งสองเดินแยกกันไปคนละทางอย่างช้าๆ
ฤทัยนาคเดินขึ้นมาตามทาง หยุดหน้าห้องเคาะประตูห้องเรียนก่อนจะเปิดเข้าไป เห็นครูสาววัยกลางคน มองจ้องลอดแว่นสายตา
“ทำไมมาสาย”
“ขอโทษค่ะ เมื่อกี้หนูไปเข้าห้องผิดน่ะค่ะ”
นักเรียนในห้องหันมามองจ้องนักเรียนใหม่เป็นตาเดียว
“เอาล่ะ ชั้นจะให้อภัยเพราะถือว่าเป็นนักเรียนใหม่ แนะนำตัวกับเพื่อนๆ ได้เลย”
ฤทัยนาคเดินมาหยุดหน้าห้องกวาดสายตามองไป เห็นเพื่อนนักเรียนมองจ้อง
“สวัสดีทุกคน ชั้นชื่อฤทัยนาค มาจากเมืองไทย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน”
นักเรียนในห้องยังคงมองจ้องไม่วางตา บางคนแสยะยิ้มบางคนซุบซิบสงสัยว่ายัยนี่เป็นใคร บางคนส่ายหน้าว่าไม่เห็นสวย
ฤทัยนาคฝืนยิ้มเจื่อนๆ มองไปรอบห้อง
“เอาล่ะ ฤทัยนาค ไปนั่งได้แล้ว ตรงที่ว่างนั่น แล้วผูกเนคไทให้เรียบร้อยด้วย”
เด็กสาวเดินเข้ามาลงนั่งที่โต๊ะว่างอยู่ ครูหันกลับไปสอนต่อ ฤทัยนาคเริ่มผูกเนคไทใหม่ แต่ไม่ว่าจะพยายามแต่ไหนก็ไม่สำเร็จ ผูกผิดรื้อออกผูกใหม่ ขณะที่ครูกำลังสอนไปเรื่อยๆ
แดนนี่ ลูกชาย คาลอส ทาร์เปีย นั่งอยู่ด้านหลังฤทัยนาคมองอย่างรำคาญลูกกะตา
“ชั้นว่าเธอหยุดผูกเถอะ เดี๋ยวมันจะรัดคอเธอตายซะก่อน” เด็กหนุ่มบอก
ฤทัยนาคชะงักหันหลังมามองเห็นแดนนี่นั่งอยู่โต๊ะด้านหลังติดกันนั่นเอง ฤทัยนาคหันกลับภาราดาขยับเก้าอี้มานั่งข้าง
“ถามจริง เธอเป็นเมียเก็บหลินหลานเซ่อหรือ”
สาวไทยวัยใสฉุนกึกสวนอย่างแรง “ในปากกินหมาเน่ามากี่ตัว”
แดนนี่แทบสำลัก “แหม เธอนี่สวนมาแรงเลยนะ”
“แล้วที่นายไม่พูดไม่แรงหรือ หาว่าชั้นเป็นเมียเก็บ”
“จะไปรู้ได้ไง ก็เห็นเธอลงมาจากรถหลินหลานเซ่อ”
“แล้วสภาพชั้นมันเหมือนเป็นเมียเก็บเค้าหรือไง”
แดนนี่มองสำรวจตรวจตรา “อืมม์ หลินหลานเซ่อคงไม่ตาต่ำอย่างงั้น”
ฤทัยนาคปรี๊ด “พูดให้สวยหน่อย ชั้นแค่ไม่ถูกสเป็คเค้าเท่านั้น”
ครูสาวใหญ่ได้ยินเสียงทะเลาะกัน มองดุมาที่ทั้งสองคน
“แดนนี่ ฤทัยนาค เธอสองคนมีเรื่องคุยกันมากนักใช่มั้ย”
“เอ่อ...ผม...”
“ออกมาหน้าห้องทั้งคู่ มาคุยให้เพื่อนๆ ฟังหน่อย”
ฤทัยนาคมองหน้าแดนนี่อย่างเซ็งๆ
“เพราะนายคนเดียวมาชวนชั้นคุย ชั้นเลยซวยไปด้วย”
“ก็เธออยากปากเสียก่อนทำไม”
ครูสั่งเสียงดังขึ้น “ครูบอกให้มาคุยให้เพื่อนฟังไง”
แดนนี่กับฤทัยนาคจำใจลุกเดินออกไปหน้าชั้นเรียน
เวลาผ่านไป เสียงออดพักเที่ยงดังก้องไปทั่วอาคารเรียน พริบตานั้นนักเรียนเดินกรูลงบันไดมา เสียงจอกแจกจอแจ ฤทัยนาคเดินออกมา แดนนี่วิ่งตาม เรียกไว้
“เดี๋ยวสิ ฤทัยนาค”
“มีอะไรอีก นายทำให้ชั้นต้องคาบไม้บรรทัดทั้งชั่วโมงนะ”
“ชั้นก็คาบเหมือนกับเธอนะ”
“แล้วมีอะไ”
“ชั้นแค่จะชวนเธอไปกินข้าว”
“หมายถึงจะเลี้ยงหรือ”
“ใช่ ชั้นจะเลี้ยงในฐานะที่ชั้นทำให้เธอถูกทำโทษ” แดนนี่บอกอย่างจริงใจ
“เออ อย่างนี้ค่อยคบกันได้หน่อย ว่าแต่นายชื่ออะไรนะ ชั้นจำไม่ได้แล้ว”
“แดนนี่...แดนนี่ ทาร์เปีย”
แดนนี่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ฤทัยนาคมองแล้วพยักหน้ารับรู้
ขณะเดียวกัน ที่ห้องทำงานหลินหลานเซ่อ ในโรงเรียน แม่บ้านเข็นรถใส่อาหาร มีจานไก่ตอน ซุปโถใหญ่ ผัดผัก ปลานึ่ง ข้าว 2 ถ้วย พร้อมตะเกียบ ช้อนกระเบี้อง และกาน้ำชาเข้ามาในห้อง
จงซินลุกมาดูความเรียบร้อยที่โต๊ะอาหาร เห็นหลินหลานเซ่อยืนทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
หลินหลานเซ่อมองลงไปเห็นฤทัยนาคเดินคุยมากับแดนนี่ ทั้งสองหัวเราะหัวใคร่ ตบมือไฟว์ฟิงเกอร์ ให้กันอย่างชิดเชื้อ หลินหลานเซ่อชะงัก นึกแปลกใจ
“สองคนนี่ไปรู้จักกันได้ยังไง” หลานเซ่อถาม ขณะสายตามองจ้องลงไป
“ใครหรือครับ” จงซินเดินมาดู
“แดนนี่กับฤทัยนาค”
“อ๋อ เรียนห้องเดียวกันครับ” หลินหลานเซ่อพยักหน้ารับรู้ จงซินบอก “ทานข้าวครับคุณหลิน”
หลินเดินมานั่งโต๊ะหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร จงซินเดินมานั่งกินตรงข้าม
“เรื่องไอ้คาลอสว่าไง”
“เมื่อเช้าผมโทร.ไปแล้ว มันยังไม่ยอมรับสายเหมือนเดิม”
“หรือเราต้องบีบบังคับทางลูกชายมัน”
“ผมว่าทำอย่างงั้นไม่มีประโยชน์หรอกครับ แล้วผมก็คิดว่าที่มันยังไม่ยอมรับนัดจากเรา มันอาจจะแค่เล่นตัว” จงซินว่า
“ทำไมนายถึงคิดอย่างงั้น”
“ผมบอกลูกชายมันว่าเราต้องการคุยเรื่องผลประโยชน์ คนอย่างไอ้คาลอสอะไรที่เป็นเงินมันทำทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างงั้นอีกสองวันจะมีงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดบริษัทเรา ก็ถือโอกาสนี้เชิญมันมางานซะเลย มันจะได้ไม่เขิน”
“ผมกำลังคิดเหมือนคุณหลินอยู่พอดี”
หลินหลานเซ่อคีบไก่จิ้มซอสเข้าปากเคี้ยวกรุบๆ
เพื่อนใหม่สองคนนั่งกินข้าวอยู่ในโรงอาหารโรงเรียน
“อะไรนะ เธอเป็นหนี้หลินหลานเซ่อยี่สิบล้าน” แดนนี่ออกอาการตกใจพอได้ฟัง
“ไม่ใช่ชั้นหรอก พ่อชั้นต่างหาก แต่ชั้นต้องเป็นคนใช้หนี้แทน”
“แต่ชั้นจะเตือนนะ ถ้าเธอเบี้ยวล่ะก็ ไอ้มาเฟียพวกนี้มันฆ่าเธอทิ้งแน่”
ฤทัยนาคแปลกใจ “นี่นายรู้ด้วยหรือว่าหลินหลานเซ่อเป็นมาเฟีย
“ทำไมชั้นจะไม่รู้ หน้าฉากมันน่ะเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เป็นครูใหญ่แสนดี แต่หลังฉากมันก็คือไอ้พวกมาเฟียที่คอยเข่นฆ่าคนอยู่ดี”
“ทำไมนายรู้เรื่องเค้าละเอียด”
“ทำไมจะไม่รู้ ก็...” แดนนี่ ชะงักหยุดพูดนึกได้ว่าพูดมากไปแล้ว
“หรือว่าพ่อนายก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน”
“ไม่ใช่”
“แล้วเป็นอะไร”
มีเสียงกรี๊ดแปดหลอดดังขึ้นในโรงอาหาร ฤทัยนาคกับแดนนี่หันไปมอง เห็นหลินหลานเซ่อเดินเข้ามากับจงซิน ตรงมายังที่สองคนนั่งอยู่
นักเรียนสาวๆ มองตามตาเป็นประกาย หลินหลานเซ่อเดินมาหยุดที่โต๊ะฤทัยนาค เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงชะลูดนั้น ส่วนแดนนี่เมินหน้าไปอีกทาง
“จะมารับชั้นกลับบ้านหรือ ไม่ต้องเลยนะ ชั้นไม่อยากขาดอากาศตายอยู่ท้ายรถนาย”
“ชั้นไม่ได้มาหาเธอ” หลานเซ่อมองมายังเด็กหนุ่ม “แดนนี่”
“มีอะไรหรือครับครูใหญ่”
หลินหลานเซ่อหยิบการ์ดมาจากจงซิน “ฝากการ์ดเชิญไปให้พ่อนายหน่อย”
หลินหลานเซ่อส่งการ์ดให้ แดนนี่มองแล้วรับไป
“แต่ผมว่าพ่อผมคงไม่ไปหรอก”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของนาย นายมีหน้าที่ส่งการ์ดนี้ให้ถึงมือพ่อนายเท่านั้น”
หลินหลานเซ่อหันมามองหน้าฤทัยนาค
“มีอะไรกับชั้นมั้ย”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบหันกลับแล้วเดินออกไปเลย จงซินเดินตามหลัง
“พ่อนายเป็นใครกันแน่ ทำไมหลินหลานเซ่อถึงต้องเชิญไปงานด้วย”
“เธอรู้จัก คาลอส ทาร์เปีย มั้ย” แดนนี่ถาม
“ไม่รู้จัก เค้าเป็นพ่อนายหรือ”
“ใช่”
ฤทัยนาคมองแดนนี่อย่างแปลกใจ
ค่ำนั้น ที่ห้องพักในอพาร์ทเมนท์หรูของแดนนี่ คาลอส ทาร์เปียนั่งดูการ์ดอยู่ตรงห้องรับแขก แล้วโยนลงตรงโต๊ะ
“แล้วพ่อจะไปงานเค้ามั้ย”
“มันตื๊อขนาดนี้ ก็คงต้องไป”
“ไหนพ่อบอกจะไม่ทำธุรกิจกับไอ้พวกมาเฟียไง”
“การที่ชั้นไป ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะต้องทำธุรกิจกับมันนี่ แกโทร.กลับไปบอกมันว่าชั้นจะไป แล้วแกเองก็ไปหาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ไปงานกับพ่อด้วย”
“แต่ผมไม่อยากไปนะพ่อ”
“ไปซะหน่อย อย่างน้อยก็ไปเปิดหูเปิดตา”
เสียงโทรศัพท์มือถือคาลอสดังขัด คาลอสกดรับ
“ฮัลโหล...” ลูกค้าปลายสายโทร.มาตามของที่สั่งซื้อ “ขอเวลาผมหน่อยคุณเฉินผมรับรองผมส่งอาวุธถึงมือคุณแน่ แต่อาจจะช้าไปซักวันสองวัน”
คาลอส ทาร์เปีย คุยมือถือเรื่องธุรกิจมืดต่อ
อีกมุมหนึ่งในฮ่องกง เฉินคู่ค้าสั่งซื้ออาวุธกำลังพูดโทรศัพท์กับคาลอส
“แน่ใจนะว่าคุณจะผ่านตำรวจได้”
คาลอสของขึ้น “นี่คุณเฉิน คุณกำลังพูดอยู่กับใคร ผมไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนที่มาขายลอตเตอรี่กับคุณนะ งานใหญ่กว่าคุณผมยังส่งมาแล้ว กะอีแค่ปืนไม่กี่สิบกระบอก อย่ามาสามหาวกับผม”
“ผมขอโทษ ผมก็แค่ถามย้ำกับคุณเพื่อความมั่นใจ”
“เอาล่ะ แค่นี้นะ วันไหนที่ผมส่งของ ผมจะโทร.บอกล่วงหน้าคุณสองชั่วโมง”
คาลอสกดปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
เด็กหนุ่มกังวล “ผมว่าเราควรจะยกเลิกงานนี้ก่อนดีกว่านะพ่อ เพราะไอ้แพทริคมันไม่ยอมให้เราขนอาวุธผ่านด่านไปได้หรอก”
“ไม่ได้ ถ้าปืนแค่สามสี่สิบกระบอก ชั้นยังทำไม่ได้ ชั้นจะไปส่งรถถังได้ยังไง”
แดนนี่ท้วง “แต่ถ้าพ่อถูกจับ มันไม่คุ้มเสี่ยงเลยนะ”
“ชั้นจะไม่ยอมเสียเครดิตกับงานชิ้นนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาทางส่งอาวุธผ่านด่านไปให้ได้”
คาลอสบอกอย่างจริงจัง แดนนี่มองพ่อแล้วถอนใจอย่างเครียด
ค่ำคืนนั้น มองผ่านกระจกหน้ารถตู้ออกไป เห็นไฟสีแดงวับแวมมาจากด่านตำรวจตั้งกลางถนน
รถตู้ขนของวิ่งเข้ามา ตำรวจเข้ามาโบกมือให้หยุด
“ขอตรวจค้นด้วยครับ”
รถตู้เข้ามาจอดเทียบโดยดี คนขับรถยกบัตรเจ้าหน้าที่ศุลกากรให้ดู
“นี่เป็นรถขนของของศุลกากรครับ”
“อ้อ งั้นก็ผ่านได้เลย”
ตำรวจขยับโบกให้รถไป แพทริค นายตำรวจสากลที่ตามแกะรอยคาลอสจากฮังการี วิ่งออกมาจากเต้นท์เข้ามาขวางหน้ารถตะโกนเสียงลั่น
“เฮ้ย เดี๋ยว เดี๋ยว หยุด”
รถตู้เบรกเอี๊ยด เกือบชนแพทริค
คนขับฉุนขาด “อยากตายหรือไง ออกมาขวางทางรถเนี่ย”
แพทริคตวาดลั่น ตะโกนใส่หน้า “หุบปาก ชั้นเป็นตำรวจสากล ลงจากรถ”
ตำรวจวิ่งเข้ามาหา
“ผู้กองแพทริคครับ นี่เป็นรถของศุลกากรครับ”
“จะรถใครก็ต้องตรวจทุกคัน ลงจากรถ”
แพทริคสั่งซ้ำ เจ้าหน้าที่ที่นั่งข้างคนขับรถตู้มองอย่างรำคาญ
“นี่คุณตำรวจ ผมต้องรีบเอาของไปขึ้นเรือให้ทันก่อนเที่ยงคืนนะไม่งั้นผมจะถูกเล่นงาน แล้วคุณเองก็จะเดือดร้อน เข้าใจรึเปล่า”
แพทริคเข้ามากระชากคอเจ้าหน้าที่คนนั้นลงจากรถ
“โอ๊ย นี่จะทำอะไรเนี่ย”
แพทริคจับเจ้าหน้าที่คว่ำหน้ากระแทกลงกับฝากระโปรงรถ
“ผมจะบอกให้รู้นะ ต่อให้คุณใหญ่แค่ไหนผมก็ไม่กลัว แล้วคุณก็หุบปากอยู่เฉยๆ ไม่งั้นผมจะเลาะฟันหน้าคุณออกให้หมด” แพททริคหันไปสั่งตำรวจที่ด่าน “หมู่เปิดท้ายรถ”
ตำรวจมองหน้าคนขับรถอย่างเกรงใจ
แพทริคตวาดอีก “หูแตกหรือไง ถึงไม่ได้ยินชั้นสั่งหรือนายอยากจะเข้าไปนอนในห้องขังฐานขัดคำสั่งชั้น”
ตำรวจสั่งเพื่อนเซ็งๆ “เอาพวกเรา เปิดค้นรถ”
แพทริคกำชับ “ทุกคนฟังให้ดีนะ รถที่ผ่านเส้นนี้ต้องตรวจทุกคันไม่ว่าจะเป็นรถอะไร ใหญ่แค่ไหนก็ต้องตรวจ แล้วจำหน้าไอ้คาลอสไว้ให้ดี”
นายตำรวจเลือดเดือด ยกรูปคาลอสในกระดาษหมายจับขึ้นมาโชว์ “ถ้ามีใครหน้าคล้ายหรือเหมือน หรือใกล้เคียงให้สงสัยว่ามันคือไอ้คาลอส ทาร์เปีย จับมันทันที เข้าใจมั้ย”
“ครับผม” ตำรวจพากันรับคำขันแข็ง
แพทริคขยำกระดาษหมายจับในมือ สีหน้าเครียดเคร่งเคืองแค้น
“มึงไม่มีวันขนอาวุธผ่านกูไปได้หรอก ไอ้คาลอส”
หลินหลานเซ่อเข้าออฟฟิศที่อาคารฉายหงส์กรุ๊ป แต่เช้า เวลานี้เขานั่งทำงานอยู่ภายในห้องทำงาน เลขาหน้าห้องเข้ามา
“คุณหลินคะ คุณเพ่ยอิงมาขอพบค่ะ”
หลินหลานเซ่อประหลาดใจ ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนบอกว่า “ให้เข้ามา”
เลขาออกไป ก่อนจะเห็นเพ่ยอิงเดินเข้ามา
“ว่าไงเพ่ยอิง วันนี้ตื่นแต่เช้า มีธุระสำคัญอะไรหรือ”
“เปล่าหรอก จริงๆ ชั้นเพิ่งออกจากโรงแรมกำลังจะกลับบ้าน”
“นี่นายยังไม่เลิกเที่ยวอีกหรือ”
“ถึงชั้นเที่ยวแต่งานชั้นไม่ได้ไปเสียนี่ ว่าแต่นายเถอะ ที่ชั้นมาเนี่ย เพราะอยากจะถามว่าเรื่องไอ้คาลอสไปถึงไหนแล้ว”
“ชั้นกำลังพยายามติดต่อมันอยู่” หลานเซ่อบอกเสียงเรียบ
“แต่ชั้นว่าถ้านายไม่มีความสามารถ นายก็ปล่อยให้ชั้นทำงานนี้ดีกว่า รับรอง แค่วันเดียวไอ้คาลอสมันก็อยู่ในมือชั้นแล้ว” เพ่ยอิงพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน
หลินหลานเซ่อฉุน มองเพ่ยอิงอย่างไม่พอใจ แต่พยายามควบคุมอารมณ์
“ก็อย่างที่ท่านซานกุ้ยพูด เมื่อไหร่ที่ชั้นทำไม่สำเร็จค่อยเป็นคิวของแก”
เพ่ยอิงไม่ยอมเลิกรา “แต่ชั้นว่านายควรจะยอมรับความจริงนะ ว่านายไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ได้ หลีกทางให้ชั้นเถอะ เพราะชั้นเหนือกว่านายเยอะ”
“ชั้นว่าชั้นพูดกับนายพอแล้ว นายกลับไปได้แล้ว ชั้นมีงานต้องทำ”
หลินหลานเซ่อลุกเดินผ่านจะไปเปิดประตู เพ่ยอิงกระชากแขนเต็มแรง แต่หลินหลานเซ่อตวัดมือบิดแขนเพ่ยอิง
“โอ๊ย”
“แกควรจะรู้ว่าชั้นเป็นใคร และให้เกียรติชั้นมากกว่านี้”
หลินหลานเซ่อพูดเสียงเข้ม ตาแข็งกร้าว สะบัดมือปล่อยออก “กลับไปได้แล้ว”
เพ่ยอิงเดินออกไปอย่างโกรธแค้น แล้วหยุดกึกหันกลับมาบอก
“คอยดูนะหลินหลานเซ่อ วันใดที่ชั้นได้เป็นหัวหน้าล่ะก็ ชั้นจะเหยียบแกให้ติดดินเลย”
เพ่ยอิงกล่าวอย่างขู่อาฆาตก่อนออกไป
หลินหลานเซ่อมองตามอย่างโกรธขึ้ง นัยน์ตาคมกริบ
อ่านต่อหน้า 2
คิวบิก ตอนที่ 2 (ต่อ)
พอเพ่ยอิงเปิดประตูออกมา ก็เจอจงซินเดินสวนเข้ามาพอดี
“ถอย”
เพ่ยอิงผลักจงซินแล้วเดินกร่างออกไป จงซินมองตามอย่างเฉยชาด้วยรู้จักนิสัยเพ่ยอิงดี
เมื่อจงซินเปิดประตูห้องเข้ามา ก็เห็นหลินหลานเซ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“คุณเพ่ยอิงมาโวยวายเรื่องอะไรอีกครับ”
“ก็เรื่องเดิม มันอยากจะขึ้นมาเป็นหัวหน้า นี่ถ้าไม่เห็นว่าพ่อมันกับพ่อชั้นเป็นพี่น้องกันล่ะก็ ชั้นต้องสั่งสอนมันซะหน่อย”
“ผมว่าซักวันแกคงได้รับบทเรียนครับ” หลินหลานเซ่อถอนใจ จงซินนึกได้ “อ้อ ผมมีข่าวดีมาบอกครับ”
“ข่าวดีอะไร”
“ไอ้คาลอสมันตอบกลับมาแล้วครับ ว่าจะมาร่วมงานเรา”
“มันต้องอย่างนี้สิ นายจัดให้มันนั่งข้างชั้นเลยนะ”
“แต่ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ที่คุณหลินจะคุยกับมันนะครับ”
หลินหลานเซ่อชะงักนิดๆ มองเลขาคนสนิทอย่างแปลกใจ “นี่นายยังไม่มั่นใจอีกหรือว่ามันจะยอมร่วมมือกับเรา ถ้ามันยอมมาร่วมงานก็แสดงว่ามันเปิดตัวยอมรับเราแล้ว”
“ผมว่าคุณหลินรอช้าอีกซักนิดดีมั้ยครับ ผมจะหาคนไปคุยเปิดทางดูก่อน”
หลานเซ่อนิ่วหน้าฉงนหนัก “แล้วใครที่จะไปคุยกับมัน”
จงซินนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ “ฤทัยนาคครับ”
หลินหลานเซ่อชะงักเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะกลายเป็นโมโห
“นายบ้าไปแล้วหรือจงซิน อยู่ๆจะเอาเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาคุยธุรกิจของเรา”
“ผมไม่ได้บ้านะครับแล้วก็ไม่ได้เมาด้วย บางทีคุณหลินอาจจะคาดไม่ถึงว่าฤทัยนาคเป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษ”
หลินหลานเซ่อไม่ฟัง “ชั้นว่านายเลิกพูดจาเหลวไหลเถอะ”
จงซินอธิบาย “ฟังผมก่อนครับคุณหลิน ผมอ่านประวัติฤทัยนาค พบว่าพ่อเธอเคยส่งให้เธอไปคุยธุรกิจกับนักธุรกิจต่างชาติ”
“แล้วไง”
“ครั้งแรกไม่สำเร็จ”
“นั่นไง แล้วนายยังจะเอา...”
จงซินสวนคำออกมา “ฟังผมก่อนครับ ครั้งที่สองไปคุยก็ไม่สำเร็จ”
ยิ่งฟังหลินหลานเซ่อยิ่งงง “นี่นายจะพูดอะไร”
“แต่ครั้งที่สาม พ่อเธอส่งเธอไปคุยกับประธานใหญ่ของบริษัทต่างชาติ รู้มั้ยครับว่าผลลัพธ์เป็นยังไง”
น้ำเสียงมาเฟียรูปงามเยาะหยัน “เค้าก็ไม่ตกลงน่ะสิ”
“ผิดครับ ประธานบริษัทตกลงรับเงื่อนไขของพ่อเธอ โดยที่พ่อเธอได้รับผลประโยชน์ร้อยล้าน”
หลานเซ่ออึ้ง ชะงักไปเล็กน้อย “แต่ชั้นก็ไม่เห็นว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องคาลอส”
“เกี่ยวสิครับ ผมว่าเด็กคนนี้ต้องมีวิธีพูดที่ทำให้คาลอสมันยอมร่วมงานกับเรา”
หลินหลานเซ่อยอมรับไม่ได้ “แต่ชั้นว่า...”
“เชื่อผมซักครั้งเถอะครับ ถ้าเด็กคนนี้ทำไม่สำเร็จ คุณหลินก็ยังมีโอกาสอีกนะครับ”
สีหน้าหลินหลานเซ่อมมองจงซินอย่างไม่มั่นใจในตัวลูกหนี้สาววัยใสนัก
วันเดียวกันขณะครูกำลังสอนอยู่หน้าห้อง ฤทัยนาคนั่งเรียนอย่างสนใจ แดนนี่ปาก้อนกระดาษใส่หัวจังๆ ฤทัยนาคเหลียวมามอง เด็กหนุ่มยกโทรศัพท์มือถือให้ดูภาพ ฤทัยนาคส่ายหน้าชี้ไปหน้าห้องให้แดนนี่สนใจเรียน
จังหวะนี้ อาเหลียงและลูกน้องอีกหนึ่งคนเดินมาตามระเบียงหน้าชั้นเรียน มาหยุดหน้าห้องเรียนของฤทัยนาคแล้วเคาะประตูเปิดเข้าไป
“ขออนุญาตครับอาจารย์”
ครูสาวใหญ่ชะงักมอง นักเรียนในห้องมองตกใจ ฤทัยนาคกำลังก้มหน้าเขียนหนังสือ เงยหน้ามองเห็นอาเหลียงและลูกน้องเดินเข้ามาหาตน
“นี่อะไรกันเนี่ย”
“คุณหลินต้องการพบตัวเธอ”
“เรื่องอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
อาเหลียงกับลูกน้องเข้าล็อคตัว ฤทัยนาคดิ้นรนขัดขืน
“ปล่อยชั้น”
“อย่าดิ้นเดี๋ยวจะเจ็บตัว” อาเหลียงบอก
อาเหลียงและลูกน้องหิ้วปีกฤทัยนาคออกไปเลย แดนนี่มองตามอย่างสงสัยว่ามีเรื่องอะไร
ฤทัยนาคถูกหิ้วปีกตัวลอยมาตามทางเดินลงบันได
เด็กสาวถูกนำตัวมาที่ห้องทำงานหลินหลานเซ่อ ที่อาคารฉายหงส์กรุ๊ป ฤทัยนาคลุกยืนเท้าโต๊ะถามหลินหลานเซ่อที่มองจ้องหน้าอยู่
“ว่าไงนะ”
“อย่างที่บอก แค่อยากให้เธอลองทำดู”
“ให้ชั้นติดต่อกับพ่อค้าอาวุธเนี่ยนะ นายใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย”
หลินหลานเซ่อกับจงซินที่อยู่ในนั้นด้วยมองอย่างไม่พอใจ
ฤทัยนาครู้ตัว “ขอโทษ ชั้นพูดแรงไปหน่อย”
“เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทำตามที่เราบอก” จงซินว่า
“ถามจริง พวกนายเป็นมาเฟียทำไมไม่ใช้มืออาชีพคุย นายเองก็น่าจะคุยได้นะจงซิน”
“เราไม่ต้องการมืออาชีพ” จงซินบอกอีก
“แล้วทำไมต้องเป็นชั้น” ฤทัยนาคย้อนถาม
“เพราะเธอเคยเจรจาธุรกิจให้พ่อเธอสำเร็จมาแล้ว”
“ไอ้นั่นมันฟลุกต่างหาก”
“พ่อเธอได้ผลประโยชน์ตั้งร้อยล้านมันจะฟลุคได้ยังไง ชั้นรู้ว่าเธอมีความสามารถ เอามันออกมาทำประโยชน์ซะ”
“ประโยชน์อะไร”
“ถ้าเธอเจรจากับไอ้คาลอสสำเร็จชั้นจะยกหนี้ให้ล้านนึง”
ฤทัยนาคตะลึง “ล้านนึง” เด็กสาวมองซ้ายขวา “เดี๋ยวก่อนล้านบาทหรือล้านเหรียญฮ่องกง”
“ล้านเหรียญฮ่องกง” หลานเซ่อบอก
“สี่ล้านบาทไทยน่ะหรือ นายพูดจริงนะ” ฤทัยนาคไม่อยากเชื่อ
“เธอลืมไปแล้วหรือว่าชั้นเป็นเจ้าพ่อ ชั้นกล้าพูดเล่นหรือ”
ฤทัยนาคอึ้ง ครุ่นคิดหนัก จงซินกับหลินหลานเซ่อมองจ้อง
สุดท้ายเด็กสาวรับปาก โดยไม่นานนักในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ กองเอกสารมากมายถูกวางลงบนโต๊ะ ตรงหน้าฤทัยนาค จงซินเอ่ยขึ้น
“นี่คือเอกสารที่เธอต้องอ่านให้จบแล้วจำให้ได้ทุกตัวอักษรเพราะเรามีเวลาแค่ห้าชั่วโมง”
“ห้าชั่วโมง ชั้นว่านายเสียสติไปแล้ว ชั้นไม่ใช่ซุปเปอร์วูแมนนะที่มีตาเลเซอร์ อ่านหนังสือภายในหนึ่งนาทีแล้วจะได้เห็นมันทั้งหมด”
“แต่เธอต้องอ่านให้จบและจำให้ได้ว่าเราต้องการอะไรจากคาลอส และคาลอสจะได้ผลประโยชน์อะไรจากเรา”
ฤทัยนาคมองหน้าจงซินกับหลินหลานเซ่อสลับกันไปมา “พวกนายคิดว่าชั้นทำเรื่องนี้ได้จริงๆ หรือ ถ้าชั้นทำไม่ได้พวกนายจะว่าไง”
หลินหลานเซ่อบอกหน้าตาเฉยเสียงเรียบนิ่ง “เธอก็ต้องตาย”
ฤทัยนาคอึ้งไปชั่วขณะ
“งั้นขอถามอย่าง ทำไมพวกนายถึงอยากเซ็นสัญญากับคาลอส”
“เรื่องนั้นเธอไม่จำเป็นต้องรู้” จงซินปัด
“นี่ ชั้นจะไปคุยกับมัน ชั้นจำเป็นต้องรู้ว่ามันมีสำคัญยังไง”
จงซินมองหน้าเจ้านาย หลินหลานเซ่อเอ่ยขึ้น
“คาลอสมันมีตลาดค้าอาวุธทั่วโลก ชั้นต้องการให้มันนำสินค้าของเราไปขาย”
“อ๋อ จะไปขอแบ่งพื้นที่เค้าว่างั้นเถอะ”
“เธอนี่หัวไวนะ” น้ำเสียงหลานเซ่อแดกดันมากกว่าชม
“เอาละ ชั้นเข้าใจแล้ว แต่ชั้นขออะไรอีกอย่าง”
“อะไรอีก” จงซินถาม
“ถ้าชั้นทำงานนี้สำเร็จ นอกจากเงินหนึ่งล้านเหรียญแล้ว ชั้นขอบัตรประชาชนเป็นคนที่นี่ 1 ใบ”
“เธอจะเอาไปทำอะไร” มาเฟียหนุ่มงง
“อ้าว นายเองยังจะขยายพื้นที่ไปทั่วโลก ชั้นก็อยากขยายพื้นที่มาที่นี่บ้างสิ” จงซินมองหน้านาย “ว่าไง”
“ถ้าเธอทำสำเร็จจงซินจะจัดการให้เธอ”
“เอาล่ะ เธออ่านเอกสารได้แล้ว”
หลินหลานเซ่อขยับตัวจะไป
“เดี๋ยว” ฤทัยนาคเรียกไว้ หลานเซ่อชะงัก “แล้วถ้าชั้นทำงานนี้สำเร็จจริงๆ นายต้องยกนิ้วโป้งให้ชั้นสองนิ้วแล้วบอกว่าชั้นเจ๋งโคตรๆ โอเคปะ”
เจ้าพ่อหล่อลาก งง “ทำไมต้องเป็นชั้น”
“ก็ได้ยินจากปากนายแล้วมันสะใจน่ะสิ เพราะนายชอบดูถูกชั้น”
“ชั้นว่าเธอชักจะงี่เง่าใหญ่แล้ว” หลานเซ่อเซ็งปนหน่าย
“ก็ตามใจ แต่งานนี้นายเป็นฝ่ายง้อขอให้ชั้นทำนะ”
“ก็ได้ ถ้าเธอทำสำเร็จ”
หลินหลานเซ่อตัดรำคาญ แล้วหันเดินออก จงซินมองตามเจ้านาย แล้วหันมามองฤทัยนาคอย่างไม่ค่อยชอบใจในท่าทีของเด็กสาว ส่วนฤทัยนาคยิ้มย่องพอใจ
หลินหลานเซ่อเดินออกมาจากห้อง เหลียวมองกลับไป ยิ้มในสีหน้า อดที่จะนึกขำลูกหนี้สาวจอมแก่นไม่ได้
“ไอ้เด็กนี่มันบ้าจริงๆ”
ภายในห้องทำงานหลินหลานเซ่อ ตึกฉายหงส์
ฤทัยนาคเริ่มต้นเปิดเอกสารอ่านๆๆ ปิดแฟ้มแรกไปเปิดกระดาษเอกสารอีกแฟ้ม มองแล้วส่ายหน้าไม่เข้าใจ อ่านไปได้ไม่นานฤทัยนาคหาวหวอดๆ
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ ฤทัยนาคอ่านเอกสารแล้วโยนที่อ่านเสร็จไปทางขวา เห็นวางอยู่สามสี่ฉบับ แววตาเหมือนจะปิดลง ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง
เวลาผ่านไปอีก ฤทัยนาคโยนกระดาษเอกสารทั้งหมดขึ้นไปในอากาศ กระดาษปลิวกระจัดกระจายกลางอากาศ ฤทัยนาคหาวอย่างง่วงจัด กระดาษลอยลงมาผ่านหน้าช้าๆ ฤทัยนาคผล็อยหลับไป
จงซินเปิดประตูเข้าห้องมาเห็นกระดาษเกลื่อนพื้น โดยที่ฤทัยนาคนั่งหลับคาเก้าอี้หันหลังให้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” จงซินโมโหเดินไปดึงเก้าอี้นาคหมุนกลับมา “เธอทำอะไรของเธอ”
ฤทัยนาคตื่น หาวหวอดๆ “ชั้นอ่านไม่ไหว มันเยอะมาก แล้วชั้นก็ง่วงเลยเผลอหลับไป”
“แต่เธอต้องอ่านให้จบเข้าใจรึเปล่า เราเหลือเวลาแค่สองชั่วโมงถ้าเธอไม่อยากตาย”
จงซินกระชากแขนฤทัยนาคอย่างข่มขู่ เด็กสาวฉุนสะบัดแขนออก
“นี่ ชั้นไม่ได้อยากตายหรอกนะ แต่ชั้นจำข้อมูลพวกนี้ไม่ได้จริงๆ แล้วชั้นก็จะไม่อ่านมันอีกต่อไปด้วย”
“ถ้าเธอไม่อ่าน เธอจะเอาข้อมูลที่ไหนไปต่อรองกับไอ้คาลอส”
จงซินจ้องหน้า ฤทัยนาคมองตอบอย่างใช้ความคิด
“เอาอย่างนี้ ชั้นขอข้อมูลส่วนตัวของมัน เรื่องครอบครัวมัน เรื่องคู่ค้าและศัตรูของมันว่ามีใคร และปัญหาของมันมีอะไรบ้าง อ้อ ที่สำคัญชั้นอยากรู้รูปแบบการค้าอาวุธเถื่อนของมันด้วย”
“ข้อมูลที่เธอพูดมา มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราจะต่อรองให้มันเซ็นสัญญา”
“เกี่ยวสิ เพราะชั้นจะใช้ข้อมูลพวกนี้คุยกับไอ้คาลอสมัน”
“แต่นั่นไม่ใช่วิธีของเรา” จงซินทักท้วง
“แต่ถ้านายอยากให้ชั้นคุย ก็ต้องคุยวิธีของชั้น”
จงซินหน้าตึง มองอย่างไม่ชอบใจนัก ฤทัยนาคยิ้มยักคิ้วให้อย่างผู้มีชัย
ยามเย็น คนขับรถ ขับรถแล่นมาตามถนนย่านในเมือง จงซินนั่งอยู่ข้างฤทัยนาคตรงเบาะหลัง
จงซินเหลือบมอง เห็นฤทัยนาคใช้มือทบทวนลำดับเรื่องที่เกี่ยวกับคาลอส ปากพึมพำกับตัวเอง
จงซินมองแล้วส่ายหน้ากับท่าทีล้นๆ ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ให้ฤทัยนาคมาทำงานนี้ สุดท้ายจงซินถอนใจหันมองไปด้านนอกหน้าต่าง
ฤทัยนาคชูนิ้วสองข้างบอกตัวเองว่าโอเคแล้วลืมตาขึ้น ถอนใจอย่างเครียด
“เฮ้อ...” แล้วหันมาเรียกจงซิน “จงซิน”
จงซินรำคาญหน่อยๆ “มีอะไร อย่าบอกนะว่าเธอจำเรื่องไม่ได้”
“เปล่า เรื่องคาลอสชั้นจำได้หมดแล้ว ชั้นจะบอกว่าชั้นหิวน้ำ ในรถมีน้ำมั้ย”
“อาซันมีน้ำดื่มมั้ย ส่งมาให้ขวดซิ”
ลูกน้องที่นั่งหน้าคู่คนขับส่งขวดน้ำดื่มให้ ฤทัยนาครับไปเปิดดื่มจนหมดขวดอย่างกระหายแล้วเหลือบมองจงซิน
จงซินมองเซ็งๆ หน่ายๆ แล้วเมินหน้าหนีออกไปนอกรถ
รถแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมหรูสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองตอนค่ำ อาซันเปิดประตูให้ จงซินก้าวลงก่อน ฤทัยนาคตามลงมา จงซินขยับจะเดินเข้าไปด้านใน ฤทัยนาคชะงักเรียกไว้
“เดี๋ยวจงซิน”
จงซินรำคาญ “อะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าหิวน้ำอีก”
“เปล่า ขอเวลาทำใจห้านาทีสิ”
“นี่ ชั้นว่าเธอมีเวลาทำใจมาห้าชั่วโมงแล้วนะ ไปได้แล้ว”
“ก็รอมาห้าชั่วโมงยังรอได้ อีกห้านาทีรอไม่ได้หรือ นะ ขอเวลาทำใจห้านาที ชั้นตื่นเต้นมาก มือเย็นเฉียบเลย”
ฤทัยนาคหลับตาสูดลมหายใจลึกๆ จงซินมองตาขวาง ด้วยความโมโห รู้สึกอยากจะอัดฤทัยนาคซักหมัด
ฤทัยนาคไม่สนใจหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดอยู่อย่างนั้น
ครู่ต่อมา ประตูทางเข้าโรงแรมเปิด จงซินกับฤทัยนาคเดินก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ กิริยาท่าทางฤทัยนาคดูออกว่าวิตกกังวลมากๆ
ในล็อบบี้ บอดี้การ์ด 10 นาย ยืนล้อมปิดหลินหลานเซ่อเป็นแผง ก่อนจะแหวกทางออกเผยให้เห็นหลินหลานเซ่อ ที่ขยับตัวหันหน้ามามอง ฤทัยนาคและจงซินที่ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า
ฤทัยนาคมองจ้องหลินหลานเซ่ออย่างตกตะลึงในความหล่อ ที่วิ่งเข้ามากระแทกหน้าหล่อนจังๆ หลินหลานเซ่อมองหน้าฤทัยนาค แล้วมองเลยมายังจงซินเป็นเชิงตำหนิ
“มาสายไปห้านาทีนะจงซิน”
“ขอโทษครับคุณหลินที่ทำให้รอ
“อย่าไปว่าจงซินเลย ที่จริงเรามาถึงก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่ชั้นขอเวลายืนทำใจอยู่ข้างนอกน่ะ”
“เธออีกแล้วหรือ” หลินหลานเซ่อมองลูกหนี้ตัวป่วนอย่างไม่พอใจ
“ชั้นขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้นายต้องรอ”
มาเฟียหล่อลากไส้มองอย่างรำคาญ ไม่อยากต่อปากต่อคำ สายตาเหลือบไปเห็นเนคไทเสียบอยู่ที่กระเป๋าเสื้อฤทัยนาค
“เอาละ เธอผูกเนคไทให้เรียบร้อยด้วย”
หลินหลานเซ่อหมุนตัวขยับเดิน ลูกน้องขยับตาม
“เดี๋ยว หลินหลานเซ่อ”
หลินหลานเซ่อหยุดชะงัก รำคาญเต็มที “เธอยังมีเรื่องอะไรอีก”
“ชั้นจะบอกว่าวันนี้นายดูหล่อมาก” ฤทัยนาคบอกอย่างจริงใจ
หลินหลานเซ่ออึ้ง ด้วยความรู้สึกระอากับความไม่รู้กาลเทศะของลูกหนี้สาว
“แค่นี้ละ ที่ชั้นจะบอก ไปกันเถอะ”
ลูกน้องเหลือบมองหน้ากันแล้วอมยิ้มทั้งแถบ หลินหลานเซ่อปวดตับมองฤทัยนาคเซ็งสุดขีด ไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนจะหันเดินออก ไป จงซินมองหน้าเด็กสาวแล้วส่ายหัวระอา ก่อนจะเดินตามหลินหลานเซ่อไป ฤทัยนาคยิ้มกริ่มแล้วเดินตาม ทุกคนเดินตามเข้าลิฟต์ไป
ทุกคนอยู่ในลิฟต์ เห็นตัวเลขลิฟต์วิ่งจากชั้น 10 ขึ้นไป เรื่อย ๆ
สีหน้าหลินหลานเซ่อนิ่งเฉย ฤทัยนาคเหลือบมอง หลานเซ่อยังนิ่งอยู่ แต่รู้ว่าถูกมอง
ฤทัยนาคมองจ้องเอาๆ หลินหลานเซ่อหันมามองอย่างรำคาญ แต่พบว่าที่แท้ฤทัยนาคกำลังมองจ้องเนคไทของตนเขม็ง และพยายามผูกเนคไทของตัวเองไป
“ซ้าย...ขวา...ไม่ใช่...ฮื้อ...”
ฤทัยนาคออกอาการขัดใจรื้อดึงเนคไทออกพยายามผูกใหม่ หลินหลานเซ่อเหลือบมอง เห็นเด็กสาวก้มมองไทตัวเองพยายามผูกไปมาอย่างใจจดจ่อ
จงซินหันมามอง เห็นฤทัยนาคยังพยายามผูกเนคไทพลางบ่นบ้าหงุดหงิดตัวเอง
หลินหลานเซ่อมองอย่างรำคาญ หันไปกระชากมือฤทัยนาคหมับ ฤทัยนาคสะดุ้งตกใจ สองคนมองจ้องสบตากัน
หลินหลานเซ่อตวาด “ปล่อยมือออกจากเนคไท แล้วยืนนิ่งๆ”
ฤทัยนาคอึ้งมองเป็นคำถาม ปล่อยมือจากเนคไทตัวเองงงๆ หลานเซ่อหยิบจับเนคไทที่คอฤทัยนาคขึ้นช้าๆ ฤทัยนาคมองงงอยู่อย่างนั้น
“ชั้นจะทำให้ดูครั้งเดียว แล้วจำให้ได้นะ”
ฤทัยนาคมองจ้อง ที่มือหลินหลานเซ่อที่จับเนคไททับกัน ก่อนจะขยับม้วนพันเนคไท เหลือบมองหน้าเด็กสาวนิดๆ ฤทัยนาคมองจ้องหน้าสบตาเขารู้สึกหน้าร้อนวูบวาบ ต้องรีบหลบตาลงมองเนคไทแทน
หลินหลานเซ่อม้วนไทอ้อมร้อยห่วงช้าๆ มองจ้องฤทัยนาค ที่เอาแต่ก้มหน้ามองเนคไท
จังหวะนี้มือหลินหลานเซ่อรูดไทขึ้นติดใกล้คอ ฤทัยนาคช้อนตาเหลือบมองหน้าเขา มาเฟียหนุ่มมองจ้องตอบ เอื้อมมือไปจับปกเสื้อฤทัยนาคให้เรียบร้อย มือจับปมไทให้กระชับ ฤทัยนาคมองอย่างประหม่า
อาเหลียงเหลือบมองหน้าจงซินเป็นเชิงถาม จงซินมองหลินหลานเซ่ออย่างแปลกใจเช่นกัน
พวกลูกน้องในลิฟต์เหลือบมองหลินหลานเซ่อผู้ปกติเคร่งขรึม ออกไปทางโหด แล้วอมยิ้มตามๆ กัน
ที่สุดหลินหลานเซ่อปล่อยมือออกช้าๆ แล้วหันหน้าไปอีกทาง
“หลินหลานเซ่อ” ฤทัยนาคเอ่ยขึ้น เขาหันมามอง “ขอบคุณมาก”
ฤทัยนาคยิ้มให้อย่างจริงใจ หลินหลานเซ่อเบือนหน้าออกไปอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
ฤทัยนาคมองไปในกระจก มองเนคไทตัวเอง แล้วเหลือบไปเห็นหลินหลานเซ่อมองมา
เด็กสาวรีบหลบตาวูบ รู้สึกประหม่าโดยไม่รู้สาเหตุ
ค่ำคืนนั้นหลินหลานเซ่อเดินมาดเข้มก้าวเข้ามาในห้องจัดงานเลี้ยง ตามมาด้วยจงซิน ฤทัยนาค อาเหลียงและบอดี้การ์ด
เห็นผู้คนในแวดวงมาเฟียเข้ามาทักทายไม่ขาด มีสื่อมวลชนถ่ายรูป หลินหลานเซ่อ ถ่ายจงซิน ไม่เว้นแม่แต่ฤทัยนาคก็ถูกถ่าย เด็กสาวตกใจ
จากนั้นมีนักข่าวสื่อมวลชนรุมถามหลินหลานเซ่อ
จังหวะนี้ฟางเหม่ยจิงยืนมองมาจากมุมหนึ่งของงาน แปลกใจที่เห็นฤทัยนาคเดินมากับกลุ่มของหลินหลานเซ่อ และจำได้ว่าเคยเห็นเด็กสาวคนนี้คุยกับหลานเซ่อ เหม่ยจิงจับตามองอย่างสงสัย
งานเลี้ยงดำเนินไป หลินหลานเซ่อคุยกับแขกคนรู้จักในงาน ฤทัยนาคกวาดตามองหาคาลอสแล้วชะงัก เมื่อเห็นคาลอสยืนคุยอยู่กับนักธุรกิจ
จงซินเดินเข้ามาหานาคแล้วกระซิบบอก “ผู้ชายคนนั้นคือคาลอสทาเปีย”
“ชั้นเห็นแล้ว”
จงซินยื่นแฟ้มเอกสารสัญญาให้
“ในนี้คือเอกสารสัญญาร่วมหุ้น ทำให้คาลอสเซ็นสัญญานี่ให้ได้”
ฤทัยนาครับแฟ้มจากจงซินไป “ชั้นจะพยายามแล้วกัน”
เด๋กสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่ แล้วเดินออกไป ผ่านหลินหลานเซ่อ ขณะที่หลินหลานเซ่อมองตามงงๆ
ฤทัยนาครอจังหวะ ก่อนจะเดินเข้ามาหาคาลอส ขณะนักธุรกิจคู่คุยผละจากไป
“สวัสดีค่ะคุณคาลอส”
คาลอสหันมามองเห็นฤทัยนาคยืนยิ้มให้ จำได้เพราะเห็นหล่อนตั้งแต่เข้างานแล้วว่ามากับหลินหลานเซ่อ
“สวัสดีสาวน้อย มางานกับคุณพ่อคุณแม่หรือ” แซว
“ขอโทษด้วยค่ะ ชั้นอาจจะเด็กไปสำหรับงานนี้ แต่ชั้นเป็นตัวแทนของหลินหลานเซ่อมาเจรจาเรื่องการร่วมหุ้นระหว่างคุณกับฉายหงกรุ๊ป”
พลางฤทัยนาคยื่นมือไปให้คาลอสจับ คาลอสมองแล้วเหยียดยิ้มอย่างนึกขำและดูถูก
“ไม่ยักรู้ว่ามาเฟียฮ่องกง นิยมใช้เด็กมาติดต่อธุรกิจ”
“ชั้นอาจจะเด็กแต่ว่าชั้นมีข้อเสนอที่ดีมาให้คุณ” สาววัยใสบอกอย่างจริงจัง วางมาดนักธุรกิจ
คาลอสขำอีก “หนูจ๋า เธอยังเรียนไม่จบไฮสกูลด้วยซ้ำ เธอรู้รึเปล่าว่าเธอกำลังจะมาพูดเรื่องอะไรและพูดอยู่กับใคร”
“ทราบค่ะ คุณคือ คาลอส ทาเปีย พ่อค้าอาวุธที่มีคอนเนคชั่นทั่วโลกจนมาเฟียทุกฝ่ายต่างต้องการทำสัญญาร่วมหุ้นด้วย”
“นั่นสิ แล้วหลินหลานเซ่อคิดยังไงถึงให้เด็กไฮสกูลอย่างเธอมาเป็นตัวแทนเจรจาติดต่อธุรกิจที่มีผลประโยชน์เป็นพันล้านแถมยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายด้วย”
คาลอสมองจ้องฤทัยนาคแววตาแข็งกร้าว อย่างไม่พอใจ เด็กสาวอึ้งไป
“ตอบชั้นมาก่อนว่าเพราะอะไร” คาลอสคาดคั้น
“ถ้าจะให้บอกความจริง เรื่องมันค่อนข้างยาวน่ะค่ะ เอาเป็นว่าชั้นเล่าอย่างย่อแล้วกันนะคะ ชั้นติดหนี้หลินหลานเซ่อยี่สิบล้านเหรียญฮ่องกง”
คาลอสงวยงง “ติดหนี้”
“ใช่ค่ะ แล้วเค้าก็บอกว่าถ้าชั้นทำให้คุณยอมเซ็นสัญญาร่วมหุ้นกับฉายหงส์กรุ๊ปได้เค้าจะยกหนี้ให้ชั้นล้านนึง”
คาลอสมองจ้องค้นความจริง ฤทัยนาคมองตอบ คาลอสระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
หลินหลานเซ่อและจงซินมองไปที่คาลอสซึ่งกำลังหัวเราะหัวใคร่อยู่กับฤทัยนาค
“เด็กนั่นผ่านด่านแรก”
จงซินยังมองจ้องไปที่ฤทัยนาค แววตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ฤทัยนาคอ่านเอกสารที่เราให้ไปจบรึเปล่า”
จงซินไม่ตอบเหลือบมองหลินหลานเซ่ออย่างลำบากใจ หลานเซ่อมองแล้วนึกเอะใจถามย้ำ
“เด็กนั่นอ่านจบรึเปล่า จงซิน”
“เธอไม่ยอมอ่านครับ”
“ว่าไงนะ” มาเฟียหนุ่มฉุนกึก
“เธอขอแต่ข้อมูลส่วนตัวของ คาลอส ทาเปีย กับวิธีการค้าอาวุธเถื่อนครับ เธอบอกว่าเป็นวิธีการติดต่อธุรกิจของเธอ"
หลินหลานเซ่อฟังอย่างแปลกใจหันกลับไปมอง เขาเห็นฤทัยนาคกำลังพูดอยู่กับคาลอส
อ่านต่อหน้า 3
คิวบิก ตอนที่ 2 (ต่อ)
คาลอส ทาเปีย นึกสนุก ถามและแซวฤทัยนาคอย่างอารมณ์ดี
“แล้วเธอมีข้อเสนออะไรให้ชั้นหนูน้อย ถ้าชั้นยอมเซ็นต์ร่วมหุ้นกับเจ้านายเธอ”
“บอกตามตรงนะคะ ชั้นจำได้ไม่หมดหรอกว่าคุณหลินหลานเซ่อมีข้อเสนออะไรให้คุณบ้าง แต่เท่าที่เห็นมันคงเยอะมากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับคอนเนคชั่นที่คุณมี” เด็กสาวบอกตามตรง
“นี่เธอมาคุยกับชั้นโดยที่จำไม่ได้ว่าชั้นจะได้ผลประโยชน์อะไรเนี่ยนะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” คาลอสหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ “เธอนี่มาไม่เหมือนคนอื่นเลยจริงๆ”
“ถ้าชั้นเหมือนคนอื่นชั้นจะได้คุยกับคุณหรือคะ”
“แล้วเธอคิดว่าชั้นจะเสียเวลาคุยกับเธอได้นานแค่ไหน แม่หนูน้อย”
“ก็นานจนกว่าคุณจะตกลงเซ็นต์สัญญาให้ชั้นน่ะสิคะ”
สีหน้าคาลอสดูออกมาเริ่มทึ่ง และยอมรับว่าฤทัยนาคเป็นเด็กที่ฉลาดไม่เบา
“เธอนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ”
ฤทัยนาคมองจ้องหน้าคาลอส โดยไม่แสดงความเกรงกลัวใดๆ
ขณะเดียวกันแดนนี่ถือเครื่องดื่มเดินเข้ามา เห็นฤทัยนาคนั่งอยู่กับพ่อ ก็มองอย่างตกใจ
“เฮ้ย นั่นมัน ฤทัยนาคนี่”
แดนนี่เพ่งมองจนแน่ใจว่าใช่ฤทัยนาคแน่ แล้วจึงหันมองไปรอบตัว เห็นหลินหลานเซ่อกำลังมองจ้องไปที่ฤทัยนาคอยู่
“อย่าบอกนะว่าไอ้มาเฟียนั่น ให้ฤทัยนาคมาเจรจากับพ่อ ไอ้นี่มันบ้าไปแล้ว” แดนนี่เซ็งสุดขีด
จังหวะนี้เหม่ยจิงเดินเข้ามาหาหลินหลานเซ่อ เห็นหลินหลานเซ่อมองไปที่ฤทัยนาคกับคาลอส ก็แปลกใจ
“เด็กนั่นมาทำอะไรที่นี่หรือคะ”
หลินหลานเซ่อไม่ตอบ “เธอไปต้อนรับแขกแทนชั้นด้วย”
“ใช่เด็กคนที่เข้ามาทักคุณ...”
“เธอไปทำหน้าที่ของเธอได้แล้ว”
หลินหลานเซ่อพูดเป็นเชิงออกคำสั่ง เหม่ยจิงชะงัก ฝืนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ค่ะ”
เหม่ยจิงเดินออกไปช้าๆ ชายตามองจงซินนิดหนึ่ง จงซินมองสบตา เหม่ยจิงเมินหน้าแล้วออกไป จงซินหันกลับมามองหลินหลานเซ่อ ที่ยังคงมองจ้องไปที่ฤทัยนาคไม่วางตา
ฝ่ายฤทัยนาคเลื่อนแฟ้มออกไปห่างตัว
“ชั้นว่าตอนนี้เราลืมเรื่องสัญญานี่ไปก่อนดีมั้ยคะ คุยเรื่องอื่นที่มันสบายๆ ไม่เครียดดีกว่า”
คาลอสมองแฟ้มแล้วมองหน้าเด็กสาว ฤทัยนาคยิ้มให้ คาลอสยกเครื่องดื่มขึ้นมาดื่ม ฤทัยนาคเมียงมอง
“พ่อชั้นก็ชอบดื่มเหมือนกัน”
“งั้นหรือ”
“ใช่ค่ะ แต่พ่อดื่มแค่ไม่กี่แก้วก็เมา เวลาพ่อเมาแล้วจะตลกมากเลยค่ะ ตอนเด็กๆ พ่อชอบเอาชั้นขึ้นขี่คอ ชั้นกลัวตกมากร้องไห้ทุกครั้งที่พ่อทำแบบนั้น” คาลอสยิ้มอินไปกับเรื่องเล่าของเด็กสาวคราวลูก
“ผิดกับลูกชายชั้น ตอนเด็กๆ เค้าชอบร้องขอให้ชั้นเอาเค้าขึ้นขี่คอ”
“แดนนี่หรือคะ เค้าเป็นเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกับชั้น”
คาลอสชะงักมองอย่างประหลาดใจ “แบบนี้สินะที่เรียกว่าโลกกลม งั้นเธอก็มีฐานะเป็นเพื่อนลูกชายชั้นด้วยสิ ยินดีที่ได้รู้จักฤทัยนาค”
“ขอบคุณค่ะ”
ดูเหมือนคาลอสจะถูกคอกับฤทัยนาคเข้าให้แล้ว สองคนยกแก้วชนกัน ซานกุ้ยกับหย่งเหวินที่อยู่อีกมุมมองมาอย่างฉงนฉงาย
“เด็กผู้หญิงนั่นใคร”
“ผมก็ไม่ทราบครับ รู้สึกว่าจะมางานกับคุณหลิน” หย่งเหวินบอก
ซานกุ้ยยิ่งแปลกใจ “ทำไมหลินหลานเซ่อถึงปล่อยให้เด็กเข้าไปคุยกับคาลอส”
หย่งเหวินเหลือบมองไปที่ฤทัยนาคกับคาลอส
“หรือว่าคุณหลินจะใช้เด็กเจรจาครับ”
“ถ้ามันทำอย่างงั้นก็บ้าไปแล้ว”
ซานกุ้ยมองไปยังหลินหลานเซ่อ เห็นหลินหลานเซ่อกับจงซินมองไปที่ฤทัยนาคกับคาลอสอยู่
ฟากฤทัยนาคยังชวนคุยต่อ
“แดนนี่บอกว่าเค้าเกิดที่อเมริกา”
“ใช่ แม่แดนเป็นไชนีสอเมริกัน”
“เห็นว่าภรรยาคุณเป็นคนขอหย่าจากคุณ หลังจากที่เธอรู้ว่าคุณเป็นพ่อค้าอาวุธเถื่อนใช่มั้ยคะ”
คาลอสชะงักมองจ้องเด็กสาวเขม็ง ฤทัยนาคมองตอบเหมือนไม่มีอะไร
“เรากำลังคุยเรื่องสบายๆ กันอยู่รึเปล่า” คาลอสว่า
“ใช่ค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องสบายๆ ชั้นก็เลยคุยไหลไปเรื่อย”
“แต่ชั้นว่าเธอกำลังคิดที่จะกดดันชั้นมากกว่านะ สาวน้อย”
“เปล่าเลยค่ะ ชั้นรู้ว่าชั้นคงกดดันคุณไม่สำเร็จหรอก เพราะจากประวัติของคุณที่ชั้นได้อ่านมา ชั้นยอมรับนะคะว่าคุณเป็นคนเก่งมาก”
คาลอสมองฤทัยนาคอย่างเริ่มระวังตัว
“คุณเริ่มต้นชีวิตจากพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ แล้วก็ผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าอาวุธสงครามโดยเริ่มต้นจากศูนย์ นั่นแสดงว่าคุณต้องพบเจอคนและผ่านสารพัดปัญหามามากมาย กว่าคุณจะขึ้นมายืนในจุดนี้ได้ ถูกต้องมั้ยคะ”
“แล้วยังไง”
“ชั้นบอกตามตรงนะคะ ชั้นเองก็คิดไม่ออกหรอกว่าจะทำยังไงให้คุณยอมเซ็นต์สัญญานี่ แต่ชั้นต้องการเงินล้านเหรียญกับใบเบิกทางเพื่ออยู่ที่นี่”
“เธอกำลังจะขอให้ชั้นเซ็นต์สัญญานั่น เพื่อช่วยเหลือให้เธอได้เงินใช้หนี้และได้เป็นพลเมืองที่นี่”
“ค่ะ ถ้าสรุปแบบเข้าข้างชั้นนะคะ”
“แล้วชั้นจะได้อะไร”
“อย่างน้อยที่สุดคุณจะได้ผู้ร่วมงานที่ดี”
“เช่นเธอเป็นต้น”
“ก็อาจใช่”
“แม่หนู เธอไม่คิดว่าตัวเองเด็กเกินไปหรือไงที่มาทำเรื่องแบบนี้”
“ชั้นว่าเรื่องนี้คุณน่าจะเข้าใจดีที่สุดนะคะ เพราะตอนที่คุณก้าวเข้ามาสู่ถนนสายนี้ มีคนมากมายที่ดูถูกคุณ แต่คุณก็พิสูจน์ให้คนเหล่านั้นได้เห็นว่าพวกเค้าคิดผิด”
มาเฟียใหญ่พอใจในคำพูดนั้น “บอกตรงๆ นะ ชั้นชอบเธอ”
คาลอสยิ้มให้อย่างจริงใจ ฤทัยนาคยิ้มตอบอย่างมีความหวัง
ด้านหลินหลานเซ่อมองคาลอสกับฤทัยนาคอย่างพอใจ
“ท่าทางจะไปได้สวยนะจงซิน”
“ผมบอกแล้วไงว่าฤทัยนาคไม่ธรรมดา”
ส่วนนแดนนี่หลบมุมชะเง้อมองอย่างสงสัยปนร้อนใจ
“อยากรู้จริงๆว่านาคคุยอะไรกับพ่อ”
ฝ่ายกรรมการอาวุโสของฉายหงส์กรุ๊ปสามคน ยืนมองมาที่ฤทัยนาคกับคาลอสอย่างแปลกใจว่าเด็กสาวคนนี้คือใคร
คาลอสยกแก้วขึ้นมาดื่ม
“อย่างที่บอกชั้นชอบเธอ ชอบกระบวนการทางความคิดของเธอ เธอฉลาดกว่าหลายคนที่ชั้นเคยเจอมา ฉลาดกว่าแดนนี่ลูกชายชั้นด้วยซ้ำ ชั้นยอมรับว่าการคุยกับเธอทำให้ชั้นสนุกและตื่นเต้น แต่นี่ไม่ใช่เวทีประกวดคนฉลาดที่อายุน้อยที่สุด
ฤทัยนาคใจแป้ว ถึงกับอึ้งไป
“นี่เป็นเรื่องของธุรกิจ และเธอยังไม่มีความสามารถมากพอสำหรับวงการนี้”
ฤทัยนาคอึ้ง สีน้าผิดหวัง
“ชั้นเสียใจด้วย” คาลอสขยับลุกขึ้น ฤทัยนาคฝืนยิ้ม “แต่ชั้นเชื่อว่าวันนึงที่เธอโตกว่านี้ เธอจะฉลาดและเก่งกว่าชั้นหลายเท่า”
หลินหลานเซ่อกับจงซินมองมา พบว่าคาลอสเตรียมตัวจะไป ทั้งสองชะงัก
ฤทัยนาคมองคาลอส เห็นคาลอสยิ้มให้
“ดีใจที่ได้รู้จักเธอ สาวน้อย”
คาลอสขยับตัวเดินออกไป ฤทัยนาคนั่งอึ้ง ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง
ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ที่ห้องทำงานหลินหลานเซ่อผุดขึ้นมาในความคิด
เวลานั้นฤทัยนาคเขียนข้อมูลบนกระจกเกี่ยวกับคาลอส โดยเขียนเรียงเป็น Mind Map ในนั้นมีชื่อนายตำรวจ แพคทริค บัตเตอร์ อยู่ด้วย และชื่อนั้น สว่างวาบขึ้นมาจากกระจก
ฤทัยนาคเรียกคาลอสไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณคาลอส”
คาลอสชะงักหันกลับมามอง ฤทัยนาคหันมาเผชิญหน้ามาเฟียค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่
“เรายังคุยกันไม่จบ” คาลอสมองฉงน “คุณมาที่นี่ทำไมคะ”
“ถ้าชั้นเป็นเธอ ชั้นคงไม่ถามคำถามนี้หรอกนะ”
“แต่ชั้นเดาว่าคุณไม่ได้มาที่นี่ เพราะมาเยี่ยมแดนนี่หรอก แต่คุณมาเพราะเรื่องงานใช่มั้ยคะ” คาลอสมองฤทัยนาคนิ่งๆ “ใช่มั้ยคะ คุณมาที่นี่เพื่อมาส่งอาวุธ”
คาลอสแสยะยิ้ม “เธอนี่รู้เรื่องของชั้นเยอะดีนะ”
“แล้วที่นี่ก็ไม่มีสงคราม แสดงว่าอาวุธที่คุณเตรียมมาส่ง มีจำนวนไม่มาก”
คาลอสมองจ้อง ฤมทัยนาคสืยเท้าเดินเข้ามาใกล้
“แต่คุณส่งสินค้าครั้งนี้ไม่ได้เพราะมี แพคทริค บัตตัน เป็นก้างขวางอยู่”
คาลอสชะงักงัน นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ฤทัยนาคมองจ้อง
“แพคทริค บัตตันเป็นตำรวจสากลที่ไล่บี้นักค้าอาวุธเถื่อนชนิดกัดไม่ปล่อย และแพทริค บัตตันเกือบจับคุณได้หลายครั้ง”
คาลอสอึ้ง มองจ้องฤทัยนาคตาเป๋ง ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะจี้จุดเจอ
“แล้วยังไง”
“แต่คุณต้องส่งสินค้าครั้งนี้ให้ได้ เพราะถ้าคุณส่งไม่ได้นั่นหมายถึงคุณจะเสียเครดิตกับลูกค้ารายใหญ่”
“ชั้นยอมรับว่าเธอเดาถูก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
“ชั้นขอเสนอตัวส่งสินค้าครั้งนี้ให้คุณ”
“เธอว่าไงนะ”
“ชั้นจะส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าของคุณโดยไม่ขาดตกบกพร่อง”
“ชั้นว่าเรื่องนี้มันเป็นตลกร้ายนะแม่หนู แล้วชั้นก็ไม่ขำด้วย ชั้นยอมรับว่าเธอฉลาด แต่รับรองว่าเธอไม่มีทางช่วยชั้นได้หรอก เสียใจด้วย” คาลอสไม่เชื่อ
“แต่ชั้นยังไม่ได้ลองทำเลย คุณรู้ได้ยังไงว่าชั้นทำได้หรือไม่ได้ คุณเองบอกว่าชั้นฉลาดและจะเก่งกว่านี้เมื่อโตขึ้นไม่ใช่หรือคะ”
คาลอสมองเด็กสาวอย่างประเมิน ฤทัยนาคพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นชั้นก็จะสามารถเก่งขึ้นได้เรื่อยๆในอีกไม่กี่ชั่วโมงหรืออีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ได้ใช่มั้ยคะ”
ฤทัยนาคมองจ้องหน้ามาเฟียใหญ่ คาลอสมองตอบท่าทีอึ้งๆ ฤทัยนาคยกแฟ้มขึ้น
“ขอแค่คุณเซ็นต์สัญญานี่ให้ชั้นเป็นการแลกเปลี่ยน”
คาลอสมองจ้องอยู่อย่างนั้น ฤทัยนาคมองคาลอสอย่างมาดมั่น
“ตอนนี้ชั้นกับคุณ เราต่างก็เหมือนหมาจนตรอกด้วยกัน”
ฤทัยนาคกล้องดอลลี่กลับไปหน้าคาลอสมอง จบภาพทูช็อตสองคนยืนมองจ้องหน้ากัน
หลินหลานเซ่อชะเง้อมองเห็นคาลอสกับฤทัยนาคยืนเผชิญหน้ากัน เขาหันกลับมาต่อว่าจงซิน
“ชั้นบอกนายแล้วไงว่าวิธีนี้มันไม่ได้ผลหรอก บอกให้เด็กนั่นกลับไปได้เลย ชั้นจะจัดการทุกอย่างเอง”
“ครับ” จงซินจ๋อย
หลินหลานเซ่อกับจงซินเดินเข้าไปหาคาลอส คาลอสหันมาเห็นพอดี
“มารับลูกน้องด้วยตัวเองเลยหรือคุณหลินหลานเซ่อ”
“ผมต้องขอโทษด้วยครับ ที่ลูกน้องผมเสียมารยาทพูดอะไรออกไป”
“ผมว่างานนี้คุณใช้คนไม่ผิดหรอก”
คาลอสยื่นมือให้จับ หลินหลานเซ่อมองอย่างงวยงง จงซินเองก็แปลกใจ คาลอสคลี่ยิ้มพลางบอก
“ดีใจด้วยที่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน”
หลินหลานเซ่อกับจงซินอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่หลินหลานเซ่อจะยื่นมือไปจับมือคาลอส
“อีกสองอาทิตย์ผมจะเซ็นต์สัญญาให้คุณ”
ซานกุ้ยกับหย่งเหวินมองอย่างประหลาดใจ
“อย่าบอกนะว่าคาลอสยอมเซ็นต์สัญญากับหลินหลานเซ่อจริงๆ”
“เท่าที่เห็นน่าจะเป็นอย่างงั้นนะครับ”
ซานกุ้ยยกเครื่องดื่มขึ้นดื่ม ขณะหย่งเหวินมองกลับไปที่หลินหลานเซ่อ
คาลอสหันเดินออกไปช้าๆ หลินหลานเซ่อและจงซินอึ้ง มองตามอย่างคาดไม่ถึง
“คราวนี้บอกมาซิว่าใครเจ๋ง” ฤทัยนาคทวงสัญญาบัดนาว!
หลินหลานเซ่อมองนิ่งๆ
“ยกนิ้วโป้งขึ้นมา แล้วบอกว่าชั้นเจ๋งโคตรๆ”
หลินหลานเซ่อมอง ฤทัยนาคยิ้มกระหยิ่มยักคิ้วให้ มาเฟียรูปหล่อมองเลขาเป็นเชิงถาม จงซินพยักหน้าให้
หลินหลานเซ่อยกมือให้ฤทัยนาค เสียงดังก้อง
“เธอมันเจ๋งโคตรๆ จริงๆ”
หลินหลานเซ่อจ้องหน้าเด็กสาวอย่างทึ่ง ฤทัยนาคยิ้มย่องสมใจ กระโดดจนตัวลอย
“เยส! ในที่สุดชั้นก็ทำสำเร็จ”
เมื่อภารกิจลุล่วง ฤทัยนาคนั่งลงที่โต๊ะหั่นเนื้อในจานจิ้มเข้าปาก หยิบขนมปังเคี้ยว หยิบน่องไก่กัดเข้าปากด้วยความหิว หยิบน้ำส้มดื่ม เอาผ้าเช็ดปากหันมาจะจิ้มเนื้อเข้าปาก แดนนี่เข้ามาคว้ามือไว้ ฤทัยนาคชะงัก
“อ้าวแดน”
แดนนี่กระชากมือ “เธอคุยอะไรกับพ่อชั้น”
“ก็คุยธุรกิจน่ะสิ” ฤทัยนาคสะบัดมือออก แล้วจิ้มเนื้อกินต่อ
“ธุรกิจอะไร”
“ธุรกิจพันล้าน”
แดนนี่ตกใจ “หา...นี่หลินหลานเซ่อให้เธอมาคุยธุรกิจกับพ่อชั้นจริงๆ หรือ”
“ก็จริงดิ”
“แล้วพ่อชั้นว่าไง”
“เค้าก็เซย์เยสน่ะสิ”
แดนนี่อึ้ง ประหลาดใจสุดๆ “นี่เธอทำให้พ่อชั้นยอมร่วมหุ้นกับหลินหลานเซ่อได้ งั้นหรือ”
“ใช่ เป็นไง อึ้งใช่มั้ย”
“เป็นไปไม่ได้ ชั้นไม่เชื่อเธอหรอก เพราะพ่อชั้นไม่มีทางร่วมหุ้นกับพวกมาเฟียแน่”
“ถ้านายไม่เชื่อ นายก็กลับไปถามพ่อนายดู” แดนนี่มองอย่างไม่อยากเชื่อ ฤทัยนาคหันไปบอกพนักงานที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม “ขอน้ำส้มอีกแก้วค่ะ”
แดนนี่มองฤทัยนาคอย่างไม่เชื่อ
ระหว่างนี้หลินหลานเซ่อนั่งมองฤทัยนาคกับแดนนี่ จงซินเดินเข้ามา
“นายคิดยังไงเรื่องที่คาลอสยอมเซ็นต์สัญญากับเรา”
“คุณหลินหมายถึงอะไรครับ”
“ชั้นไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างคาลอสจะยอมตกลงเซ็นต์สัญญาร่วมหุ้นกับเราง่ายๆ นายคิดดูนะเราพยายามติดต่อขอนัดคุยกับมันหลายครั้งแต่มันไม่เคยตอบรับหรือแม้แต่รับโทรศัพท์ แต่ทำไมมันถึงตอบตกลงกับฤทัยนาค”
“ฤทัยนาคคงมีวิธีการพูดหว่านล้อมที่ทำให้คาลอสเคลิ้มกับผลประโยชน์ ที่จะได้จากเราน่ะสิครับ”
“แต่ชั้นว่าไม่ใช่ ชั้นว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” หลินหลานเซ่อคาใจไม่หาย
จงซินมองกลับไปที่โต๊ะฤทัยนาค
“เดี๋ยวนายไปบอกเด็กนั่นให้รอกลับพร้อมชั้น”
“ครับ”
จงซินเดินออก ในจังหวะที่เหม่ยจิงเข้ามากอดหลานเซ่อทางด้านหลัง
“คุณทานอะไรรึยังคะ”
มาเฟียหนุ่มจับมือเหม่ยจิงออก “เดี๋ยวเลิกงานแล้ว ชั้นจะให้อาเหลียงไปส่งเธอ”
“อ้าว เหม่ยจิงนึกว่าวันนี้จะไปค้างกับคุณนะคะ”
“วันนี้ไม่ ชั้นมีงานต้องทำ”
“แหม คุณเนี่ยทำแต่งาน ๆ ๆ รู้มั้ยคะว่าเหม่ยจิงน้อยใจนะ”
“ถ้าเธอเบื่อ ไม่อยากอยู่กับชั้นเธอก็บอกจงซินได้เลย เค้าจะจ่ายเงินให้เธอ”
หลินหลานเซ่อพูดอย่างไร้เยื่อใย แล้วลุกเดินออกไปเลย เหม่ยจิงมองตามด้วยความน้อยใจและคับแค้นใจ
รถแล่นมาตามทาง ฤทัยนาคนั่งหลับอยู่ที่นั่งด้านหน้าคู่กับอาเหลียงคนขับ พร้อมเสียงกรนเป็นระยะ หลินหลานเซ่อนั่งอยู่ด้านหลัง มองออกไปนอกกระจกแล้วหันกลับมามองเพราะเสียงกรนของฤทัยนาคที่ยังคงหลับอยู่
อาเหลียงเหลือบมองหลินหลานเซ่อทางกระจก “จะให้ผมปลุกเธอมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง”
ฤทัยนาคงัวเงียตื่น “ถึงบ้านแล้วหรือ”
“ยัง เธอตื่นก็ดีแล้ว นอนกรนเสียงดังมาก คุณหลินรำคาญ” อาเหลียงเอ็ด
“ขอโทษนะ ชั้นคงเพลียเผลอหลับไป”
หลินหลานเซ่อมอง ถามฤทัยนาคนิ่งๆ
“เธอพูดอะไรคาลอสถึงยอมตกลงร่วมหุ้นกับเรา”
“ชั้น...ก็บอกแค่ผลประโยชน์ที่คุณจะให้เค้า เค้าพอใจเค้าก็โอเค”
“แล้วทำไมต้องรออีกสองอาทิตย์ ถึงจะเซ็นต์สัญญากับเรา”
“เอ่อ เค้าก็ขอเวลาไปไตร่ตรองคุยกับพวกทนายเค้าน่ะสิ”
“เธอไม่ได้เสนอเงื่อนไขอะไรนอกเหนือจากที่จงซินให้เธอใช่มั้ย”
“ไม่มี คนอย่างชั้น ติดหนี้คุณตั้งยี่สิบล้านเหรียญ ชั้นจะเอาอะไรไปเสนอให้เค้า” ฤทัยนาคโกหกคำโต
“งั้นก็แล้วไป อย่าให้ชั้นรู้นะว่าเธอพูดไม่จริงกับชั้น”
“ทำไม นายจะฆ่าชั้นงั้นหรือ”
“ใช่ ชั้นเกลียดคนโกหก”
ฤทัยนาคจ๋อยลอบกลืนน้ำลาย
รถวิ่งฝ่าความมืดไปบนถนน
รถหลินหลานเซ่อแล่นมาจอดหน้าไซต์งานก่อสร้าง ฤทัยนาคเปิดประตูจะลงจากรถ หันมาบอก
“ขอบคุณมากนะที่กรุณามาส่ง”
หลินหลานเซ่อเมินเฉยไม่มอง ไม่ตอบ อาเหลียงเหลือบมอง ฤทัยนาคขยับจะปิดประตูแล้วนึกได้ชะงัก
“อ้อ อย่าลืมตัดบัญชีหนี้ชั้นออกด้วยนะ”
“เมื่อไหร่ที่คาลอสเซ็นต์สัญญาชั้นถึงจะจัดการให้ ไปได้แล้ว”
หลินหลานเซ่อตัดบท ฤทัยนาคปิดประตู อาเหลียงเคลื่อนรถออกไป
ฤทัยนาคมองตามแล้วหันเดินเข้าไซต์งาน ใบหน้าเด็กสาวเห็นวี่แววมีความกังวล
สุดท้ายฤทัยนาคฮึดสู้ แล้วเดินเข้าไปในไซต์งาน ขณะพระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นจากหลังตึกระฟ้าในไต้หวัน
เช้าเดียวกันนี้ คาลอส ทาเปีย อยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว นั่งเปิดดูหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟอยู่ตรงโซฟารับแขก อ่านได้สักครู่ก็พับหนังสือพิมพ์นั้นโยนทิ้ง แล้วหยิบอีกฉบับเปิดดู แต่อ่านครู่เดียวก็พับโยน ก่อนจะหยิบอีกฉบับมาดู
แดนนี่เดินออกจากห้องนอนมาเปิดตู้เย็นหยิบนมเทใส่แก้ว
“พ่อ”
คาลอสตอบโดยไม่หันมา “หือม์”
“เมื่อคืนพ่อคุยอะไรกับฤทัยนาค”
คาลอสไม่ตอบ “เห็นเด็กนั่นบอกเป็นเพื่อนแกหรือ”
“ใช่ พ่อยังไม่บอกเลยว่าพ่อคุยอะไรกับเพื่อนผม”
“คุยธุรกิจน่ะสิ”
แดนนี่เข้าดึงหนังสือพิมพ์จากมือพ่อ
“นี่พ่อยอมเซ็นสัญญากับหลินหลานเซ่อจริงๆ งั้นหรือ”
“ก็จริงสิ ถ้าเด็กนั่นทำได้อย่างที่พูด” คาลอสบอกเสียงเรียบ
เด็กหนุ่มฉงน “เดี๋ยวพ่อ ผมไม่เข้าใจ พ่อให้นาคทำอะไร”
“ชั้นไม่ได้ให้ทำ เธอเสนอเองว่าถ้าเธอขนอาวุธผ่านไอ้แพทริคได้ชั้นต้องเซ็นต์สัญญาให้หลินหลานเซ่อ”
“ขนอาวุธงั้นหรือ ผมว่าพ่อบ้าไปแล้ว ฤทัยนาคเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุ 17 เธอแค่อยากได้เงินมาใช้หลินหลานเซ่อ ก็เลยพูดจาพล่อยๆ เธอทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“ถ้าทำไม่ได้ ชั้นก็ไม่เซ็นต์สัญญากับไอ้หลินหลานเซ่อก็เท่านั้น แต่ถ้าเธอทำได้ เราก็ไม่เสียเครดิตกับไอ้เฉิน”
“แต่เธอไม่มีวันทำได้หรอกพ่อ”
คาลอสโมโหถึงกับกระชากคอเสื้อแดนนี่
“นี่แดนนี่ ชั้นว่าแกอย่าเพิ่งดูถูกเพื่อนแกเลย ชั้นว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เราเห็น”
คาลอสปล่อยมือ ผลักตัวลูกชายเบาๆ แล้วเดินออกไป แดนนี่มองตามพ่อ อย่างไม่เห็นด้วย
แลเห็นรถราวิ่งผ่านถนนย่านในเมืองเป็นระยะ ขณะแดนนี่เดินคุยมากับฤทัยนาคตรงริมฟุตบาธ
“เธอคิดว่าเธอเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์งั้นหรือ เธอรู้รึเปล่าว่างานนี้มันอันตรายแล้วก็เสี่ยงมากแค่ไหน ตำรวจมันกำลังรอจับเราอยู่ ขนาดพ่อชั้นยังหาวิธีผ่านไปไม่ได้เลย แล้วเธอจะทำได้ยังไง” แดนนี่เป็นห่วงฤทัยนาค
“ชั้นก็ไม่รู้ ตอนนี้กำลังหาทางอยู่”
“นาค นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ เธออาจจะโดนตำรวจยิงตายหรือไม่ก็ถูกจับติดคุกไปตลอดชีวิต”
ฤทัยนาคอึ้ง
“ตอนนั้นชั้นแค่อยากได้เงินใช้หนี้หลินหลานเซ่อ ชั้นถึงได้รับปากพ่อนายไปก่อน”
“ชั้นว่าเธอกลับไปบอกหลินหลานเซ่อเถอะว่า เธอทำงานนี้ไม่สำเร็จแล้วชั้นจะไปบอกพ่อเองว่าเธอขอยกเลิกสัญญา”
“ไม่ได้นะแดนนี่ ถ้าทำอย่างงั้นหลินหลานเซ่อต้องฆ่าชั้นแน่ เพราะชั้นบอกกับเค้าว่าพ่อนายจะเซ็นต์สัญญาให้”
“แต่ถึงยังไงเธอก็ทำงานนี้ไม่ได้อยู่ดี กลับไปบอกมันว่าเธอขอโทษ”
เด็กสาวสายเลือดไทยเสียงแข็ง “ไม่ ชั้นจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ”
แดนนี่ชักฉุน “ฤทัยนาค”
“ไม่ว่านายจะพูดยังไง ชั้นก็ต้องทำงานนี้ แล้วต้องทำให้สำเร็จด้วย นายต้องช่วยชั้น”
แดนนี่ปฏิเสธ “ไม่ ชั้นจะไม่ช่วยอะไรทั้งนั้น”
พร้อมกันนั้นแดนนี่หันหลังเดินหนี ฤทัยนาควิ่งตาม
“แต่นายต้องช่วยนะ”
“ไม่”
“ได้ ถ้านายไม่ช่วยชั้น แล้วชั้นทำไม่สำเร็จ พ่อนายก็จบเหมือนกัน” แดนนี่ชะงักหันมองมา “ว่าไง”
สุดท้ายแดนนี่จำใจ “เธอนี่มันร้ายจริงๆ”
ฤทัยนาคยิ้มเดินเข้ามายื่นมือให้แดนนี่จับ แดนนี่ปัดมือออกแล้วเดินหนีไป
“โธ่ แดนนี่ อย่าโกรธเลยน่า” ฤทัยนาควิ่งตามแดนนี่ออกไป
รถที่หลินหลานเซ่อและจงซินนั่งมา จอดติดไฟแดงที่แยกแห่งหนึ่ง จงซินมองไปนอกรถ เห็นแดนนี่กับฤทัยนาคเดินเถียงกันอยู่ริมถนน
“นั่นมันฤทัยนาคกับแดนนี่นี่”
หลินหลานเซ่อหันมองตาม เห็นแดนนี่ล็อกคอฤทัยนาครั้งตัวมาจะหอมแก้ม
“อย่าทำอย่างนี้น่า”
“ชั้นไม่หอมเธอหรอก จะกัดหูเธอ”
“ใช่สิ ชั้นไม่สวยนี่ ใช่มั้ย”
ฤทัยนาคกับแดนนี่เดินข้ามถนนผ่านหน้ากระจกรถไปช้าๆ
จงซินกับหลินหลานเซ่อมองออกไปนอกรถ
“สงสัยจะเป็นแฟนกับลูกชายคาลอสนะครับ”
หลินหลานเซ่อนิ่งไม่ตอบอะไร เหลือบมองฤทัยนาคกับแดนนี่ที่เดินกอดคอคุยกันอย่างสนิทสนม ขณะรถวิ่งผ่านถนนออกไป
ไม่นานต่อมาหลินหลานเซ่อเดินเข้ามา จะตรงเข้าห้องทำงาน ผ่านโต๊ะเลขา
“คุณหลินคะท่านซานกุ้ยมารอพบที่ห้องประชุมค่ะ”
หลินหลานเซ่อพยักหน้ารับรู้ เหลียวมองไปทางห้องประชุมแล้วเดินไป
ซานกุ้ยนั่งอยู่ในห้องประชุม รินชายกดื่ม ขณะหลินหลานเซ่อเปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีครับท่านซาน มีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
“ชั้นจะมาถามเธอเรื่องคาลอส”
“คาลอสตอบตกลงที่จะเซ็นต์สัญญากับเราแล้ว”
“เมื่อไหร่”
“ไม่เกินสองอาทิตย์ ถ้าเมื่อไหร่เซ็นต์เรียบร้อยแล้วผมจะแจ้งให้ทราบ”
ซานกุ้ยเหน็บแนมแดกดัน “เท่าที่ชั้นเห็นเหมือนเธอใช้เด็กนักเรียนไปเจรจากับคาลอส”
“ผมคงไม่จำเป็นต้องรายงานท่านว่าผมใช้วิธีไหน ถ้าท่านซานไม่มีธุระกับผมแล้ว ผมขอตัว”
อ่านต่อหน้า 4
คิวบิก ตอนที่ 2 (ต่อ)
มาเฟียหนุ่มขยับจะเดินออก ซานกุ้ยเรียกไว้ก่อน
“หลินหลานเซ่อ” หลินหลานเซ่อชะงักหันมาหา “เธอคงลืมไปแล้วว่า ชั้นคือคนที่สนับสนุนให้เธอขึ้นเป็นหัวหน้า”
“ผมไม่เคยลืมหรอกครับ”
“ถ้าไม่ลืมก็ควรจะให้เกียรติชั้นมากกว่านี้ เพราะถ้าไม่มีชั้นเธอก็ไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้” มาเฟียชราทวงบุญคุณ
“ผมก็อยากจะบอกให้ท่านซานรู้ ว่าพ่อผมเป็นคนตั้งฉายหงส์กรุ๊ปขึ้นมากับมือ ท่านซานเป็นเพียงเพื่อนที่เข้ามาร่วมทำงาน”
“แต่ถ้าไม่มีชั้นฉายหงส์กรุ๊ปก็ไม่มีวันนี้เหมือนกัน”
“แล้วยังไงหรือครับ”
“ชั้นแค่จะเตือนนายว่าอย่ายโสให้มันมากนัก ชั้นเห็นนายมาตั้งแต่เด็ก อย่าให้คนอื่นเค้าพูดกันว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก นายมีเวลาอีกสองอาทิตย์เรื่องคาลอส ถ้านายทำไม่ได้ละก็ ชั้นจะเขี่ยนายทิ้ง”
พูดจบซานกุ้ยด็ลุกเดินออกไปเลย หลินหลานเซ่อมองตามอย่างไม่พอใจ
ซานกุ้ยเดินออกมา เจอจงซิน และลูกน้องซานกุ้ยยืนรอสองคน
“ท่านซาน จะกลับแล้วหรือครับ”
“จงซิน ในฐานะที่แกเป็นที่ปรึกษาและเป็นพี่เลี้ยงหลินหลานเซ่อ แกควรจะอบรมสั่งสอนให้มันรู้จักบุญคุณคน บอกมันด้วยว่าอย่าริบินสูงมากนัก เวลาตกมันจะเจ็บหนัก”
ซานกุ้ยเดินออก ลูกน้องเดินตามหลัง จงซินมองตามซานกุ้ยไป
ฝ่ายหลินหลานเซ่อนั่งนิ่งๆ ดื่มชาอยู่ในห้องทำงาน สีหน้าขุ่นเคืองใจเมื่อนึกถึงคำพูดซานกุ้ย จงซินเดินเข้ามา
“ท่านซานกุ้ยมาทำไมครับ”
“มาถามเรื่องคาลอส”
“แล้วมีปากเสียงกับคุณเรื่องอะไร
“ชั้นไม่ชอบที่เค้าลำเลิกบุญคุณกับชั้นบ่อยๆ”
“เค้าคงต้องการให้คุณเห็นความสำคัญของเค้า”
“แต่เค้าคงลืมไปว่าวันนี้ชั้นไม่ใช่เด็กอายุ 12 ที่ต้องยืนฟังคำสั่งและคำแนะนำจากเค้าแล้ว”
“ผมว่าคุณอย่าไปเอามาเป็นอารมณ์เลยครับ คนเราพอแก่ตัวลงก็กลัวหมดบารมี ถือซะว่าครั้งนึงเค้าเคยเป็นเพื่อนกับคุณพ่อคุณก็แล้วกัน”
หลินหลานเซ่อถอนใจ ยังหงุดหงิดอยู่ไม่คลาย
ฝ่ายแดนนี่กับฤทัยนาคยืนบนหน้าผาบริเวณจุดชมวิว แลเห็นเมืองอยู่ด้านหน้า แดนนี่กางแผนที่ให้ฤทัยนาคดู
“เราจะเริ่มต้นที่หนานชาง ก่อนเข้าไปในเป่ยเปียน”
“เป่ยเปีย หมู่บ้านชาวประมง จุดนัดส่งของอยู่ที่นั่นหรือ”
“ใช่ เขตเป่ยเปียนเป็นจุดนัดส่งของ มีมาเฟียกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่มแถวนั้น พวกมันมีปัญหากันเรื่องการแบ่งเขตคุ้มครอง หนึ่งในนั้นสั่งซื้ออาวุธจากเรา” แดนนี่อธิบาย
“นายพูดเหมือนจะมีสงคราม”
“ใช่ สงครามย่อยๆ ของพวกมาเฟีย”
“หมายถึงจะมีการฆ่ากันงั้นหรือ”
“เธอไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น และอย่าตั้งคำถาม เรามีหน้าที่ส่งของเท่านั้น เข้าใจรึเปล่า” แดนนี่ว่า
“ชั้นเพิ่งรู้ว่ามันน่ากลัว”
“ถ้าเธอคิดจะถอยตั้งแต่ตอนนี้ ยังทันนะ”
“นายก็รู้ว่าชั้นถอยไม่ได้” เด็กสาวหลับตา สูดลมใหายใจลึกๆ ตั้งสติบอกตัวเอง “โอเค เขตเป่ยเปียน สำรวจเส้นทาง ส่งของให้สำเร็จ” ฤทัยนาคสูดหายใจยาวอีกครั้งก่อนลืมตา “เล็ท’ส โก”
ฤทัยนาคเดินนำลิ่วลงไป แดนนี่มองอย่างงงวยงง ตามไม่ทัน
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ นาค” แดนนี่วิ่งตามลงไป
ฤทัยนาคนั่งมาในรถตู้กับแดนนี่ มีคนรถขับให้
“มีด่านตรวจกี่ที่”
“สาม...ด่านแรกอยู่บนถนนเมจิง ด่านสองบนถนนไฮเวย์เกาลูน ด่านสามมิดเดิ้ลแก๊ปก่อนเข้าเขตอาเบอร์ดีน และนี่คือด่านแรก”
ฤทัยนาคมองออกไปยังหน้ารถ พบว่ามีรถถูกเรียกจอดเข้าตรวจในด่านข้างหน้าสามคัน ตำรวจเรียกคนลงจากรถเห็นคนในรถส่งบัตรให้ดู ฤทัยนาคมองอย่างตกใจ
“เฮ้ย แดน ชั้นไปไม่ได้ ถอยรถเร็ว”
“ทำไม”
“ชั้นไม่มีบัตรประชาชนไม่มีบัตรอะไรเลย ถ้าถูกตำรวจจับล่ะก็ชั้นโดนข้อหาต่างด้าวแน่ ถอยเร็ว”
รถตู้ขับเลี้ยวกลับ ออกจากแถวทันควัน ฤทัยนาคมองไปด้านหลังแล้วหันมาถามแดนที่นั่งเฉยเหมือนไม่ตกใจกับการเจอด่านตำรวจ
“นี่นายรู้ใช่มั้ยว่าตำรวจเรียกตรวจบัตรน่ะ”
“รู้สิ เพราะชั้นเคยมาสำรวจเส้นทางก่อนหน้านี้แล้ว”
“แล้วทำไมไม่บอกชั้นก่อน ถ้าชั้นถูกจับไปนายจะว่ายังไง”
“ชั้นจะไปว่าอะไร ก็ชั้นบอกเธอตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอไม่มีทางทำงานนี้ได้สำเร็จ แค่ด่านแรกเธอก็ไม่มีสิทธิ์ผ่านแล้ว”
ฤทัยนาคฟังแล้วเครียดไปถนัดตา
ในเวลาต่อมาแดนนี่นั่งหารืออยู่กับฤทัยนาค ที่ย่านกลางเมือง
“สรุปง่ายๆก็คือ เธอไม่มีสิทธิ์รู้เลยว่าเส้นทางส่งของเป็นยังไง และถึงแม้ว่าเธอจะผ่านสองด่านแรกไปได้ แต่เธอก็ไม่มีทางผ่านด่านสุดท้ายที่ไอ้แพทริคมันรอจับเรา”
“หมายความว่าชั้นต้องหาทางส่งของเข้าไปในเป่ยเปียน โดยที่ชั้นไม่สามารถเห็นได้ว่าเส้นทางเป็นยังไงงั้นหรือ”
“ถูกต้อง เธอเข้าใจได้กระจ่างแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ แล้วชั้นจะทำยังไง”
ฤทัยนาคพึมพำกับตัวเอง ก้มหน้าลง เอามือปิดหน้านิ่งเงียบ แดนนี่มองอย่างเห็นใจ ฤทัยนาคยังนั่งปิดหน้าเหมือนคนอับจนหนทาง
“ชั้นบอกแล้วไงว่าขนาดพ่อชั้นยังหาวิธีผ่านไปไม่ได้”
ฤทันนาคยังก้มหน้ากุมขมับอยู่อย่างนั้น
“บอกมาให้ละเอียดว่าด่านตรวจอีกสองจุดเป็นยังไง”
“ว่าไงนะ” แดนนี่ประหลาดใจ
ฤทัยนาคเงยหน้ามองบอกเสียงจริงจัง “ชั้นอยากรู้ว่าด่านตรวจอีกสองจุดเป็นยังไง”
แดนนี่เกลี้ยกล่อม “นาค เธอทำไม่ได้หรอก ยอมแพ้ซะ”
“ชั้นติดหนี้หลินหลานเซ่อยี่สิบล้านเหรียญ ถ้าชั้นไม่สามารถใช้หนี้ล้านแรกได้ทั้งๆ ที่มีโอกาส นั่นหมายความว่าชั้นก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้ที่เหลืออีกสิบเก้าล้านเหมือนกัน บอกชั้นมาแดนนี่ ว่าด่านตรวจอีกสองจุดเป็นยังไง”
ฤทัยนาคมองจ้องแดนนี่อย่างเอาจริงเอาจัง
ตกตอนกลางคืน ที่ร้านอาหารแห่งนั้น บริกรถืออาหารเดินเข้าไปที่โต๊ะหนึ่ง แลเห็นหลินหลานเซ่อนั่งกินอาหารกับจงซิน
“นายว่าไอ้คาลอสกับฤทัยนาค แอบตกลงอะไรกันโดยที่เราไม่รู้มั้ย” หลินหลานเซ่อคาใจไม่หาย
“ทำไมคุณหลินถึงติดใจเรื่องนี้”
“ก็ถ้าไอ้คาลอสมันสนใจในผลประโยชน์ที่เราเสนอให้มัน มันก็ต้องตกลงเซ็นต์สัญญากับเราแล้ว ทำไมต้องรออีกสองอาทิตย์”
“มันอาจจะยังไม่มั่นใจที่จะทำธุรกิจกับเรารึเปล่า”
“นายคิดอย่างงั้นหรือ”
“ครับ เพราะผมไม่เห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะมีเงื่อนไขอะไรที่ไปตกลงกับคาลอสได้”
“แต่ชั้นก็ยังติดใจอยู่นะ” จงซินมองหน้าเจ้านาย “แล้วถ้าถึงเวลาไอ้คาลอสมันเบี้ยวไม่เซ็นต์สัญญาให้เรา เราจะทำยังไง”
จงซินนิ่งอึ้งเริ่มหนักใจตาม หลินหลานเซ่อครุ่นคิด
วันต่อมา ฤทัยนาคในชุดคนงาน ตักดินสีหน้าเคร่งเครียด หมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งที่แดนนี่บอก
“ด่านตรวจที่สองตรงเกาลูนไม่ต่างจากด่านแรก”
โดยแดนนี่ อธิบายให้ฤทัยนาคฟัง
“แค่ตรวจบัตรประชาชนแล้วสอบถามเส้นทางที่จะไป แต่ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ด่านที่สาม”
“ยังไง”
ฤทัยนาคขี่จักรยานออกจากไซต์งานขึ้นเนินเขามา จอดแล้วยกของลงไปส่งให้ร้านค้า ในหัวยังคิดเรื่องที่แดนนี่บอก
“นอกจากตรวจบัตรและสอบถามเส้นทางแล้ว ด่านที่สามยังมีเครื่องตรวจจับโลหะเพื่อค้นหาอาวุธปืน”
แดนนี่อธิบายต่อ “การตรวจค้นถูกทำอย่างละเอียด รถทุกคันจะถูกค้น ของทุกชิ้นจะถูกรื้อออกมาเพื่อตรวจหาอาวุธ แม้แต่รถตำรวจด้วยกันยังถูกตรวจ”
ฤทัยนาคขี่จักรยานเข้ามาหยุดย่านในเมือง นึกถึงสิ่งที่แดนนี่บอก มองซ้ายขวาก่อนจะขี่จักรยานออกไป
อีกวันต่อมา ฤทัยนาคนั่งกัดเล็บมองครูผู้สอนอยู่หน้าชั้นเรียน แต่แววตาเหม่อลอยครุ่นคิด ถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ตอนที่ย้อนถามแดนนี่
“รถตำรวจพวกเดียวกันเนี่ยนะ”
“ใช่ เธอจะต้องส่งสินค้าจำนวนเท่ากับหนึ่งโลงศพ ข้ามไปที่ฝั่งเป่ยเปียน”
“แต่เราจะไปได้ยังไง ถ้าตำรวจมีที่ตรวจจับอาวุธ เราไม่มีทางเอาปืนใส่รถแล้วขับผ่านไปได้หรอก”
“นั่นล่ะคือสิ่งที่เธอต้องทำให้ได้”
ขณะที่ฤทัยนาคหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เสียงหวอรถตำรวจดังแทรกขึ้น ฤทัยนาคสะดุ้งหันไปมอง บรรดานักเรียนในห้องหันมองไปนอกหน้าต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่
“ไฟไหม้หรือ” / “ใครตาย” / “เฮ้ย มีอะไรวะ”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เงียบได้แล้ว พวกเธอไม่เคยได้ยินเสียงรถหวอหรือไง”
ฤทัยนาคสะดุดหู กับคำพูดของครู พึมพำ
“รถหวอ”
เวลาต่อมาแดนนี่เดินมากับฤทัยนาค ร้องเอะอะ โวยวายเมื่อได้ฟังจบ
“อะไรนะ จะให้ชั้นไปหาข้อมูลโรงพยาบาลในเขตเป่ยเปียนงั้นหรือ”
“ใช่ นายไปเอาข้อมูลมาให้หมดว่าที่นั่นมีกี่โรงพยาบาล โรงพยาบาลอะไรบ้าง”
“นี่เธอคิดจะทำอะไร”
“ชั้นก็จะเอารถพยาบาลพร้อมกับคนไข้ใกล้ตายวิ่งฝ่าด่านไปไง”
แดนนี่เซ็ง “นี่ นาค ไอ้แพทริคมันไม่สนใจหรอกว่าคนไข้จะใกล้ตายหรือตายแล้ว มันจะตรวจทุกตารางนิ้ว แล้วมันก็จะเจอปืนที่เธอซ่อนอยู่ใต้เตียงคนไข้”
“มันบ้าขนาดนั้นเลยหรือ”
“ใช่ มันบ้ากว่าที่เธอคิดหลายร้อยเท่า”
ฤทัยนาคไม่ยอมล้มเลิกความคิด “แต่มันต้องมีซักวิธีสิ ที่ทำให้ไอ้แพคทริคมันเชื่อและยอมปล่อยเราไป”
“ชั้นว่าเธอลืมเรื่องนี้แล้วคิดแผนใหม่ดีกว่า”
“ไม่ นายต้องไปเอาข้อมูลมาให้ชั้นก่อนเร็ว ไป”
ฤทัยนาคกระชากมือแดนวิ่งออกไปเลย
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ”
เช้าวันต่อมา ฤทัยนาคเดินเข้ามาในอาคารฉายหงส์กรุ๊ป ด้วยแววตามุ่งมั่น เป้าหมายคือห้องทำงานมาเฟียเจ้าหนี้
จงซินนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ส่วนหลินหลานเซ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟา เสียงเคาะประตูดังขึ้น หลินหลานเซ่อร้องบอก
“เข้ามา”
ฤทัยนาคเปิดประตูเข้ามายิ้มทักทาย หลินหลานเซ่อเหลือบมองแล้วเมินหน้าหนี
“ชั้นเอาเงินมาใช้หนี้นาย”
“เอาวางไว้บนโต๊ะ”
ฤทัยนาคเอาเงินจำนวนราวๆ พันเหรียญ วางบนโต๊ะพลางเหลือบตามองจงซิน
แต่ทว่าจงซินนั่งทำงานต่อโดยไม่ได้สนใจ ฤทัยนาคเหลือบมองหลินหลานเซ่อ เห็นหลินเหลือบมองหน้าตาเรียบเฉย
นาคยิ้มให้ หลินหันไปอ่านหนังสือพิมพ์
“จงซิน ชั้นไปแล้วนะ”
“อืมม์” จงซินตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
ฤทัยนาคขยับเดินไปที่ประตูรีๆ รอๆ เหลียวมองจงซินเหมือนมีเรื่องจะพูดด้วย จงซินไม่มอง หลินหลานเซ่อเหลือบมองเห็นฤทัยนาคเดินกลับมา
“จงซิน นายไม่นับเงินก่อนหรือ”
“ชั้นยังไม่ว่าง”
“งั้นชั้นไปนะ”
“อืมม์”
จงซินยังตอบอย่างเฉยเมยไม่สนใจอย่างเก่า ฤทัยนาคถอนใจหันกลับ เหลือบมองอีกทาง เห็นหลินหลานเซ่อมองจ้อง อยู่ ฤทัยนาคฝืนยิ้มก่อนจะหันเดินออกไปได้สองก้าวแล้วต้องชะงัก
“เดี๋ยวฤทัยนาค”
“มีอะไรหรือ”
“วันก่อนชั้นเห็นเธอเดินอยู่ในเมืองกับแดนนี่ ไปไหนกันหรือ”
จงซินชะงักนิดๆ เหลียวไปมองหลินหลานเซ่ออย่างแปลกใจ
“อ๋อ แดนเค้าพาชั้นเดินเที่ยวสำรวจเมืองน่ะ”
“เธอไม่มีเพื่อนคนอื่นที่จะคบแล้วหรือไง”
“ไม่มีหรอก ก็หนังสือพิมพ์ลงรูปชั้นยืนอยู่ข้างคุณตอนวันงานบริษัท คนทั้งโรงเรียนเค้าก็นึกว่าชั้นเป็นมือซ้ายมาเฟียต่อจากจงซิน เลยไม่มีใครอยากคุยกับชั้น”
จงซินเหลือบมองฤทัยนาคแล้วอมยิ้ม ขำในคำตอบ ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
“ชั้นจะเตือนเธอนะอยู่ห่างๆ แดนนี่ ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์ไว้ใจไม่ได้”
“ชั้นแค่เป็นลูกหนี้คุณนะ ไม่ได้เป็นลูกนาย นายถึงมาสั่งห้ามไม่ให้ชั้นคบคนนู้นคุยกับคนนี้”
จงซินเหลือบมองเจ้านาย หลินหลานเซ่อชะงักกลัวสองคนจับความรู้สึกได้ว่า เขาไม่พอใจที่ฤทัยนาคคบแดนนี่
เลยทำเข้มใส่ “ชั้นแค่กลัวว่าถ้าเธอเป็นอะไรไปก่อน ชั้นจะสูญหนี้”
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นหนังเหนียว”
หลินหลานเซ่อมองมาอย่างหมั่นไส้ ฤทัยนาคยิ้มให้
ฟางเหม่ยจิงเปิดประตูเข้ามาพอดี ฤทัยนาคหันไปมอง
“ขอโทษค่ะ อุ๊ย เหม่ยจิงเข้ามาผิดจังหวะรึเปล่าคะ”
จงซินเหลือบมองเหม่ยจิง
“วันนี้ชั้นไม่ได้นัดเธอนี่”
“ก็เหม่ยจิงคิดถึงคุณเลยอยากมาหานี่คะ”
เหม่ยจิงลงนั่งตักกอดคอหอมแก้มตามเคยชิน หลินหลานเซ่อนั่งเฉยมองมายังฤทัยนาค เด็กสาวมองจ้องทั้งสองอย่างเขินๆ กับภาพที่เห็น
“งั้นชั้นไปก่อนนะ”
ฤทัยนาคขยับจะไป หลินหลานเซ่อเอ่ยขึ้น
“ชั้นสั่งให้เธอไปได้แล้วอย่างงั้นหรือ”
“อ้าว แล้วจะให้ทำยังไง จะให้ชั้นยืนดูคุณสองคนกอดจูบกันงั้นหรือ”
จงซินอมยิ้ม เหม่ยจิงหัวเราะชอบใจ
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ชั้นชอบมือซ้ายของคุณจังเลยค่ะ”
เหม่ยจิงลุกมาหาฤทัยนาค มองจ้องพร้อมกัยเดินวนไปรอบๆ ตัว ฤทัยนาคมองตามเหม่ยจิง
“เธอพูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้กับคุณหลินหลานเซ่อ เธอไม่กลัวตายหรือ”
“ก็ชั้นพูดจริงๆ นี่ หรือว่าพวกคุณอยากให้ชั้นยืนดู เอ้า ชั้นจะยืนดูก็ได้”
ฤทัยนาคกอดอกจ้องหน้าหลินหลานเซ่อ มาเฟียรูปงามมองหน้าเด็กสาวเป็นเชิงตำหนิ เหม่ยจิงมองอย่างขำๆ
คุณหลินของลูกน้องลุกขึ้นบอกจงซิน “ชั้นจะออกไปกินข้าวแล้วไม่กลับเข้ามานะจงซิน”
“ครับ”
หลินหลานเซ่อมองหน้าฤทัยนาคอีกครั้งอย่างหมั่นไส้ในความซื่อ ก่อนเดินออก
“เธอนี่ซื่อจริงๆ นะ มือซ้าย”
เหม่ยจิงคว้ากระเป๋าเดินตามหลินหลานเซ่อออกไป ฤทัยนาคมองตาม ประตูปิดลง
หลินหลานเซ่อเดินมาตามทางหน้าห้อง มีเหม่ยจิงเข้ามาเกาะแขน
“รอด้วยสิคะ” เหม่ยจิงควงแขนหลินหลานเซ่อเดินไป
จงซินนั่งทำงานอยู่ ฤทัยนาคหันกลับมามองอย่างลังเล ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาหยุดที่ด้านหลัง
“เธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับชั้น”
“นายรู้ด้วยหรือ”
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
“ชั้นอยากให้นายออกใบรับรองแพทย์ให้หน่อย”
จงซินชะงัก “เธอจะเอาไปทำอะไร”
“ก็...” ฤทัยนาคอึกอัก “เอ่อ...ชั้นบอกไม่ได้”
“ถ้างั้นชั้นก็ทำให้ไม่ได้”
“โธ่ จงซินนี่มันเรื่องสำคัญนะ มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของบริษัทนายนะ”
“ถ้าอย่างงั้นเธอก็บอกชั้นมา”
“แต่นายสัญญานะว่าจะไม่บอกหลินหลานเซ่อ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้นมันส่งผลดีหรือร้ายกับคุณหลิน บอกชั้นมาว่ามันเกี่ยวกับไอ้คาลอสใช่มั้ย” จงซินกระชากมือฤทัยนาคแล้วบีบขู่
“โอ๊ย ใช่ ปล่อยมือชั้น ชั้นเจ็บนะ”
“งั้นก็เล่ามาให้หมด”
“ชั้นตกลงกับคาลอสว่าชั้นจะส่งอาวุธให้เค้า เป็นการแลกเปลี่ยนกับที่เค้าจะเซ็นต์สัญญาให้พวกคุณ”
จงซินตกใจมาก “นี่เธอพูดเรื่องบ้าอะไรนะ”
“ไม่บ้าหรอก มันเป็นเรื่องจริง ชั้นถึงอยากได้ใบรับรองแพทย์ไง”
จงซินหงุดหงิดระคนโมโห “นี่ เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่เธอจะพูดจาพล่อยๆ ออกไป ธุรกิจของคุณหลินหลานเซ่อเป็นพันล้านนะ”
“ก็ชั้นรู้น่ะสิว่ามันมีมูลค่า ชั้นถึงได้ใช้เงื่อนไขนี้ต่อรองกับคาลอสไงเล่า”
“ชั้นบ้าจริงๆ ที่เลือกเธอมาทำงานนี้ เธออย่าอยู่เลย ไอ้เด็กบ้า”
จงซินบันดาลโทสะกระชากปืนออกมาจ่อ ฤทัยนาคเอานิ้วยัดเข้าไปอุดในปากกระบอกปืนอย่างใจเย็น
“จงซิน คุณฟังชั้นให้ดีนะ เชื่อชั้น ชั้นทำได้ ชั้นทำงานนี้ได้ถ้านายหาใบรับรองแพทย์ให้ชั้น ทุกอย่างก็จะสำเร็จ”
จงซินโกรธจัดปากกระบอกปืนยังจ่ออยู่ที่ใบหน้าฤทัยนาคที่มองจ้องอย่างหวาดกลัว
สองคนสบตากันนิ่งนาน สุดท้ายฤทัยนาคพยักหน้าให้จงซินเป็นเชิงบอกให้เชื่อเธอ
อ่านต่อตอนที่ 2