xs
xsm
sm
md
lg

คิวบิก ตอนที่ 8 (จบตอน)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คิวบิก ตอนที่ 8

หลินเพ่ยอิงมองอย่างไม่เชื่อ เพราะที่เขาเห็นเป็น แดนนี่ ทาเปีย นั่นเอง มีนามองอย่างงวยงง

“คิวบิก? นายเนี่ยเหรอคือคิวบิก แดนนี่ ทาเปีย”
“ใช่ ชั้นนี่แหละคิวบิก ชั้นเป็นเงาของหลินหลานเซ่อ”
เพ่ยอิงระเบิดหัวเราะออกมา “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ชั้นว่านายสองคนกำลังเล่นงิ้วให้ชั้นดูอยู่นะหลินหลาน
เซ่อ”
หลินหลานเซ่อมองไม่ตอบ
“ชั้นไม่เชื่อหรอกว่าไอ้เด็กนี่คือคิวบิก”
“นายจะพูดอะไรก็ควรเกรงใจชั้นหน่อยนะ หลินเพ่ยอิง”
“หุบปากไปเลย แดนนี่ นายมันแค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืน จะมีความรู้ความสามารถอะไรให้คำแนะนำหลินหลานเซ่อได้ อย่างนายชั้นว่าเป็นได้แค่คิวปิ๊ดที่คอยแผลงศรไปหาสาวๆ มากกว่า”
แดนนี่ของขึ้นโกรธที่ถูกเพ่ยอิงสบประมาท
ฤทัยนาคแอบอยู่หลังห้อง ชะเง้อมองลุ้นอย่างหนักใจ
“แดนนี่จะได้เรื่องมั้ยเนี่ย”
“นายคงไม่ลืมว่าแดนนี่เป็นลูกใคร”
“ใช่ พ่อชั้นคือคาลอส ทาเปีย”
ฤทัยนาคมองชะงักฟัง
มีนามองอย่างสนใจในเรื่องที่แดนนี่พูด
“ชั้นเป็นคนวางแผนให้หลินหลานเซ่อส่งฤทัยนาคไปคุยกับพ่อชั้น จนพ่อชั้นยอมเซ็นต์สัญญากับฉายหงส์กรุ๊ป”
“นายจะบอกว่าความสำเร็จนั่นมาจากนาย” เพ่ยอิงยังไม่เชื่อ
“ใช่ และแดนนี่ก็เป็นคนกำหนดแผนทุกอย่างให้ชั้นหนีจากการตามล่าของพวกมือปืน” หลินหลานเซ่อเสริม
ฤทัยนาคชะเง้อมอง
“หมายความว่านายรู้ว่าจะมีคนลอบฆ่าหลินหลานเซ่องั้นหรือ”
“ถูกต้อง”
เพ่ยอิงอึ้ง มีนาเหลือบมองท่าทีของเพ่ยอิงแล้วมองแดนนี่
“นายคิดว่าที่หลินหลานเซ่อหนีรอดจากมือปืนยี่สิบคนมาได้เป็นเพราะโชคช่วยงั้นหรือ ไม่ใช่เลย เป็นเพราะชั้นบอกแผนการในการหนีให้กับเค้าต่างหาก ใช่มั้ยหลินหลานเซ่อ”
“ใช่ แดนนี่เป็นคนบอกชั้น เค้าคือคนที่อยู่เบื้องหลังชั้น เค้าคือคิวบิก
เพ่ยอิงเพ่งมองแดนนี่เขม็ง แดนนี่มองสบตาวางท่าเป็นคิวบิกเต็มที่
ฤทัยนาคชะเง้อมองลุ้นสุดขีด
“ขอให้หลินเพ่ยอิงเชื่อด้วยเถอะ”
หลินหลานเซ่อมองยิ้มกระหยิ่ม
“แค่นี้คงทำให้นายเชื่อได้แล้วใช่มั้ย”
เพ่ยอิงกลับส่ายหน้า “นายสองคนอาจจะเตี๊ยมเรื่องมาเล่ากันก็ได้”
แดนนี่เหลือบมองหลินหลานเซ่อที่ไม่แสดงท่าทีตกใจ
“เชื่อเค้าเถอะ” มีนาเอ่ยขึ้นท่าทีจริงจัง
เพ่ยอิงชะงักมองหน้ามีนา หลินหลานเซ่อเหลือบมอง แดนนี่มอง
“แดนนี่เป็นคนวางแผนให้ชั้นกรีดข้อมือ แล้วก็พาชั้นหนีออกจากโรงพยาบาล เค้าบอกชั้นว่าเค้าคือคิวบิก เค้าจะพาชั้นกลับเมืองไทย”
เพ่ยอิงมองจ้องหน้ามีนา
ฤทัยนาคมองมีนาอย่างพอใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิมีนา”
“ชั้นว่าแค่นี้คงพอแล้วนะเพ่ยอิง” หลานเซ่อบอก
“ใช่ ตอนนี้มีนาเป็นผู้หญิงของชั้น นายกลับไปได้แล้ว”
มีนาเหลือบมองแดนนี่ แดนนี่ยื่นมือให้
“มีนา มาหาชั้น”
มีนาขยับจะไป ถูกเพ่ยอิงคว้ามือไว้
“เดี๋ยว เธอยังไปไหนไม่ได้”
ฤทัยนาคมองสีหน้าตกใจ
“เพ่ยอิงนายกำลังทำผิดกฎนะ นายต้องเคารพในมติของคิวบิก” หลานเซ่อบอก
“ชั้นไม่สน ถึงแดนนี่จะเป็นคิวบิกจริง แต่มันเป็นเงาของนายไม่ใช่เงาของชั้น ฉะนั้นชั้นจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งมัน ไปมีนา”
เพ่ยอิงกระชากแขนมีนาลากออกไป
“ไม่นะ ปล่อยชั้น ชั้นไม่ไป ปล่อยชั้น
หลินหลานเซ่อใช้มือเท้าโต๊ะกระโดดลอยข้ามมาขวางหน้าเพ่ยอิงไว้ เพ่ยอิงกับมีนาชะงัก
หลินหลานเซ่อกระแทกสองมือใส่หน้าอกเพ่ยอิงอย่างแรง ร่างเพ่ยอิงเซไปชนโต๊ะ มีนาหวีดร้อง
“ว้าย”
ฤทัยนาคมองตะลึง แดนนี่มอง
หลินหลานเซ่อสาวเท้าเดินก้าวเข้ามาหา เพ่ยอิงโกรธจัดหันขวับมาตาวาววับ
“หลินหลานเซ่อ วันนี้แกกับชั้นต้องตายกันไปข้างนึง”
เพ่ยอิงโดดลอยกลางอากาศ พร้อมกับม้วนตัวเตะใส่หน้าหลินหลานเซ่อ หลินหลานเซ่อชักหน้าหลบได้ทัน อย่างหวุดหวิด เพ่ยอิงม้วนตัวเตะกลางอากาศ สามตลบ หลินหลานเซ่อถอยหลบอย่างว่องไว
เพ่ยอิงตั้งหลักได้ รำมวยจีนพุ่งพลังหมัดซ้ายขวาเข้าใส่
หลินหลานเซ่อยกมือตบหมัดเพ่ยอิงซ้ายขวาสี่หมัดพลางถอยตั้งรับ
เพ่ยอิงเตะซ้าย หลานเซ่อหลบทัน เพ่ยอิงเตะขวาหลานเซ่อหลบได้อีก เพ่ยอิงเตะซ้าย คราวนี้หลินหลานเซ่อพลิกตัวหลบ เพ่ยอิงเตะพลาดเท้าฟาดเข้าไปที่แจกันลอยแตกเปรี้ยง
มีนาตกใจแต่ปิดปากร้อง ส่วนแดนนี่มองอย่างสนุกสนาน ฟากฤทัยนาคมองเอาใจช่วยหลินหลานเซ่อ
เพ่ยอิงมองหลินหลานเซ่ออย่างโกรธแค้น
“แน่จริงอย่าหลบสิหลินหลานเซ่อ เข้ามาเลย”
“แกรับมือให้ดีแล้วกันหลินเพ่ยอิง”
หลินหลานเซ่อหมุนตัวแล้วสับศอกซ้ายเข้าที่ก้านคอ แต่เพ่ยอิงยกมือขึ้นรับ หลานเซ่อหมุนตัวแล้วต่อยเข้าที่ท้อง เพ่ยอิงใช้สันมือสองข้างรับหมัด
หลินหลานเซ่อปล่อยหมัดต่อยซ้ายขวา เพ่ยอิงรับได้หมดโดยใช้สันมือสองข้างรับหมัด หลินหลานเซ่อต่อยหมัดสุดท้าย เพ่ยอิงใช้สองมือรับหมัดแล้วดันมือขึ้นตบเข้าที่ลิ้นปี่จังๆ หลานเซ่อกระเด็นไป
ฤทัยนาคตกใจ
“คุณหลิน”
“มีดีอยู่แค่นี้หรือหลินหลานเซ่อ”
เพ่ยอิงเดินเข้ามาหา กระโดดหมุนตัวลอย ต่อยหมัดชุดใส่หน้า หลินหลานเซ่อเบี่ยงตัวหลบซ้ายขวา
เพ่ยอิงต่อยลมจนโกรธทะลวงหมัดใส่ท้อง ถูกหลินหลานเซ่อตบหมัดหลุดไป คราวนี้เพ่ยอิงเสียบเข่าใส่ท้อง แต่หลานเอามือทั้งสองกดเข่าเพ่ยอิงแล้วงัดมือออก เพ่ยอิงเซหลุนๆ ไป หลินหลานเซ่อชกขวา ชกซ้าย ต่อยตีพัลวัน สุดท้ายหมุนตัวมาดอย่างเท่โครตๆ ถีบเพ่ยอิงเข้าที่ท้องเต็มแรง เพ่ยอิงลอยกระเด็นไปชนข้างฝาโครม
มีนาหวีดร้องสุดเสียง “คุณเพ่ยอิง”
ฤทัยนาคอ้าปากตะลึงในฝืมือมาเฟียมาดขรึม แดนนี่คึกคักสุดขีดมองด้วยความสนุกสะใจ
“มันต้องอย่างงั้นสิหลินหลานเซ่อ”
หลินหลานเซ่อเดินก้าวเข้าไปหาใหม่ เพ่ยอิงลุกขึ้นบ้วนปากเห็นเลือดปนออกมา เพ่ยอิงตั้งหลักได้หมุนตัวแล้วต่อยขวา หล่นเซ่อหลบ เพ่ยอิงฟาดจระเข้ใส่ แต่หลานเซ่อหลบได้ เพ่ยอิงวิ่งเข้ามาหา หลินหลานเซ่อรอจังหวะคว้าแขนเพ่ยอิงแล้วต่อยท้องสองหมัด สับศอกสั้นเข้าโหนกแก้ม
ใบหน้าเพ่ยอิงสะบัดจนเลือดกระฉอกออกมาแลดูน่าเสี้ยวไส้
หลินหลานเซ่อเดินก้าวเข้าไปกระชากคอเสื้อง้างหมัดจะต่อย สภาพเพ่ยอิงสะบักสะบอมน่าเวทนา
ฤทัยนาคชะเง้อมอง แดนนี่ลุ้นสุดขีด จู่ๆ มีนาลุกวิ่งเข้ามาคว้าแขน หลินหลานเซ่อชะงักมือ
“อย่าค่ะคุณหลิน พอเถอะค่ะ เขาสู้คุณไม่ได้หรอก”
หลินหลานเซ่อมองมีนา สลับกับมองเพ่ยอิง สุดท้ายเห็นเพ่ยอิงหลับตาปล่อยมือ ร่างเพ่ยอิงร่วงลงกับพื้น
“คุณเพ่ยอิง”
มีนาโผเข้าไปดูเพ่ยอิงอย่างตกใจ หลินหลานเซ่อสะบัดหมัดเช็ดเลือดที่มุมปาก มองมายังฤทัยนาค
เด็กสาวยกนิ้วให้ “นายนี่ยอดจริงๆ”
หลินหลานเซ่อมองผลงานอย่างภาคภูมิใจ แล้วทำเก๊กขรึมหันตัวเดินไป มีนาเขย่าเรียกเพ่ยอิงที่สลบเหมือดอยู่อย่างห่วงใย
“คุณเพ่ยอิงคุณเป็นยังไงบ้าง คุณเพ่ยอิง...คุณเพ่ยอิง...”
แดนนี่มองมาอย่างงงงัน หันไปมองหน้าฤทัยนาคแล้วชี้ไปที่มีนา
“อะไรเนี่ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”
ฤทัยนาคส่ายหน้าตัวเองก็งงเช่นกัน “ชั้นก็ไม่รู้”

ครู่ต่อมาฤทัยนาควางแก้วน้ำส้มลงตรงโต๊ะหน้าโซฟาในห้อง แดนนี่นั่งอยู่ในห้องด้วย
“จะว่าไปหลินหลานเซ่อนี่เค้าฉลาดจริงๆนะ ที่เลือกนายมาเป็นคิวบิก”
แดนนี่บ่นเซ็งๆ “ชั้นว่าเธอควรจะขอบใจชั้น มากกว่าชื่นชมไอ้หมอนั่นนะ”
“ไอ้เรื่องนั้นชั้นต้องขอบใจนายอยู่แล้ว นี่กะว่าเดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่เลยนะ”
“ไม่ต้องหรอก ที่ชั้นทำไปเพราะหลินหลานเซ่อมาขอร้อง”
ฤทัยนาคไม่อยากเชื่อ “เค้าขอร้องนายจริงหรือ”
“ก็ใช่ดิ คุกเข่าเลย รู้รึเปล่า”
ฤทัยนาคตาโต “หา หลินหลานเซ่อเนี่ยนะคุกเข่าให้นาย”
“ก็ใช่สิ”
หลินหลานเซ่อในชุดใหม่ เดินออกมาจากห้องด้านในขยับเสื้อให้เข้าที่
“ต้องขอบใจนายมากนะแดนนี่ ที่ยอมเสียสละเป็นคิวบิกให้ชั้น”
หลินหลานเซ่อยื่นมือให้ แดนนี่ยื่นไปจับ
“ที่ชั้นทำไปก็เพราะเห็นแก่เด็กผู้หญิงหรอก ไม่อยากให้ต้องตกเป็นนางบำเรอของพวกบ้ากาม”
เด็กหนุ่มจงใจพูดกระทบ มาเฟียขี้เก๊กมองไม่พอใจปล่อยมือออก
“แต่นายเนี่ย ชั้นต้องขอยกนิ้วให้เลยนะ นายเจ๋งโคตรๆ เลย ที่ซัดหลินเพ่ยอิงซะหมอบ นี่ ว่างๆ สอนมวยชั้นบ้างนะ”
ฤทัยนาคทำท่าตั้งการ์ดต่อยมวยลมแล้ง หลินหลานเซ่อทำเก๊กไม่ตอบ เดินไปนั่ง
“เท่ากับว่าตอนนี้มีนาเป็นผู้หญิงของคิวบิก เดี๋ยวชั้นจะหาเซฟเฮ้าส์ให้เธออยู่”
“อยู่กับชั้นก็ได้นะ เพราะชั้นคือคิวบิกตัวจริงไม่ใช่หรือ”
“ไม่ได้ เพราะเราบอกเพ่ยอิงไปว่าแดนนี่เป็นคิวบิก”
แดนนี่เซ็ง “หมายความว่ามีนาต้องไปอยู่กับชั้นหรือ”
“ไม่ได้นะ แดนนี่ ชั้นไม่ไว้ใจนาย” ฤทัยนาคว่า
“เธอคิดว่าชั้นจะทำอะไรเด็กผู้หญิงนั่น”
“ทำหรือไม่ทำไม่รู้ แต่ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรอยู่ด้วยกัน”
หลินหลานเซ่อตัดบท “มีนาจะไม่อยู่กับใครทั้งนั้น เธอต้องอยู่คนเดียวไปซักพัก และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ชั้นจะส่งเธอกลับไปหาครอบครัวที่เมืองไทย” มาเฟียหนุ่มหยิบเช็คส่งให้แดนนี่ “เอา แดนนี่ นี่เป็นค่าตอบ แทนที่นายช่วยชั้นครั้งนี้”
แดนนี่รับเช็คไปดู “เอาเป็นว่าชั้นไม่รับแล้วกัน ชั้นบอกแล้วไง ชั้นทำไปเพราะมนุษยธรรม” ตี๋แดนนี่ยื่นเช็คคืนให้หลานเซ่อ
“งั้นก็ขอบใจนายอีกครั้ง”
“เอาล่ะ หมดธุระแล้ว ชั้นกลับก่อนละ”
แดนนี่หันตัวเดินออก ฤทัยนาควิ่งตามไปที่ประตู
“เดี๋ยวสิแดนนี่ ทำไมรีบกลับล่ะ”
“แล้วเธอจะให้ชั้นอยู่ทำอะไร เสร็จธุระชั้นแล้วนี่”
“ก็ชั้นสัญญาว่าจะเลี้ยงนายมื้อใหญ่ไง”
“จริงหรือ”
“ก็จริงสิ” แดนนี่ดึงฤทัยนาคมากอดอย่างหนิดหนม
“งั้นก็โอเค”
หลินหลานเซ่อเหลือบมองอย่างไม่พอใจ
“งั้นนายออกไปรอข้างนอกก่อน ชั้นบอกคุณหลินแป๊บเดียว”
“อย่าช้าล่ะ”
แดนนี่เปิดประตูออกไป ฤทัยนาคเดินกลับมาหาหลานเซ่อ
“ชั้นขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยเหลือมีนา”
“ที่ชั้นทำเพราะชั้นติดหนี้ที่เธอเคยช่วยชีวิตชั้น แล้วครั้งนี้ก็ถือว่าเราเจ๊ากันนะ ชั้นจะไม่ช่วยอะไรเธออีก”
“ชั้นรู้น่ะ คนอย่างนายไม่ให้ใครเอาเปรียบหรอก ชั้นไปก่อนนะขอบคุณอีกครั้ง” ฤทัยนาคขยับจะไป
“ชั้นอนุญาตให้เธอไปแล้วหรือ”
“อ้าว แล้วนายจะให้ชั้นอยู่ทำอะไร ในเมื่อเราหมดธุระกันแล้ว”
“เธอลืมไปแล้วหรือ เธอยังติดหนี้ชั้นอยู่อีกสิบกว่าล้าน”
“ชั้นไม่ลืมหรอก”
“ก็ในเมื่อเธอติดหนี้ชั้นเธอก็ต้องทำงานทดแทน”
“งานอะไร”
หลินหลานเซ่อหยิบแฟ้มเอกสารให้ดู “นี่ไง แปลเอกสารที่มาจากเมืองไทยพวกนี้”
“แต่ชั้นนัดกินข้าวกับแดนนี่ไว้นะ”
“เธอออกไปบอกเค้าว่าเธอมีงานต้องทำด่วน”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ นี่เป็นคำสั่งของชั้น”
“ก็ได้”
ฤทัยนาคโกรธ กระทืบเท้าปึงปังออกไป หลินหลานเซ่อมองตามอย่างพอใจ


ฤทัยนาคเดินออกมาจากห้อง เห็นแดนนี่ยืนรอที่หน้าลิฟต์แล้ว

“ไปเร็ว”
“ขอโทษทีนะแดน ชั้นไปไม่ได้แล้ว”
แดนนี่แปลกใจ “อะไรนะ”
“เผอิญหลินหลานเซ่อเค้ามีงานด่วนให้ชั้นทำ”
“งานอะไร”
“งานแปลเอกสารจากเมืองไทย”
แดนนี่หมั่นไส้ “ชั้นว่าไอ้หมอนั่นมันแกล้งเรามากกว่า”
“แกล้ง เค้าจะแกล้งเรื่องอะไร”
“มันไม่อยากให้เธอไปกินข้าวกับชั้นอ่ะดิ” แดนนี่รู้ทัน
“แล้วทำไมเค้าถึงไม่อยากให้ไป”
“มันคงหึงเธอ”
ฤทัยนาคไม่เชื่อ “หึง บ้าน่ะแดนนี่ เค้ามีงานด่วนเข้ามาจริงๆ”
“เข้าไปบอกมันว่าเธอไม่ทำ”
“นายลืมไปแล้วหรือว่าชั้นเป็นลูกหนี้เค้านะ”
“แต่ชั้นก็ช่วยเหลือเธอเรื่องมีนานะ”
“อย่าให้ชั้นต้องลำบากใจเลยนะแดน นะ ๆๆ แดนนี่ผู้น่ารัก นะจ๊ะ” ฤทัยนาคจับแก้มแดนนี่หยิก “ไว้ไปกินพรุ่งนี้นะ”
แดนนี่เซ็ง “เธอนี่มันอย่างนี้ทุกที”
“มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนรัก”
ฤทัยนาคโผเข้ากอดแดนนี่แล้วหอมแก้มฟอดหนึ่ง หลินหลานเซ่อเปิดประตูออกมามอง เสียงดุใส่
“ฤทัยนาค” ฤทัยนาคสะดุ้ง “เธอมีงานรออยู่อีกเยอะนะ”
“ขอโทษทีค่ะ” แล้วหันกลับมาบอกแดนนี่ “ชั้นไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
จากนั้นฤทัยนาควิ่งกลับไปที่ห้อง แดนนี่มองตาม เห็นหลินหลานเซ่อมองจ้องอยู่อย่างนั้น
“ชั้นรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่”
แดนนี่หันหลังเดินตรงไปที่ลิฟท์ หลินหลานเซ่อมองตามแสยะยิ้มสมใจแล้วหันกลับเข้าห้อง ปิดประตูลง

ภายในห้องทำงาน แม่บ้านเข็นรถอาหารเข้ามาจากด้านหลัง ยกวางบนโต๊ะ หลินหลานเซ่อเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เห็นฤทัยนาคหยิบดูเอกสาร ไม่สนใจอาหาร
“จะให้ชั้นแปลอันไหน”
“มากินข้าวก่อนเดี๋ยวค่อยทำ”
“ไหนคุณบอกว่างานด่วนไง”
“ด่วน แต่กินข้าวก่อนแล้วค่อยทำก็ได้”
ฤทัยนาคอิดออด “แต่ว่า...”
“อย่าพูดมาก ชั้นบอกให้กินก็มากิน”
ฤทัยนาคเดินเข้ามายืนมองเห็นหลานเซ่อตักอาหารกิน
“เอ่อ...ชั้นว่านายทานให้เสร็จก่อนดีกว่า เดี๋ยวชั้นทานทีหลัง”
“ไม่ต้อง นั่งลง”
ฤทัยนาคอึกอัก หลินหลานเซ่อมองจ้อง สุดท้ายฤทัยนาคลงนั่ง หยิบถ้วยข้าวขึ้นมา หยิบตะเกียบจะคีบผักคะน้า
หลินหลานเซ่อคีบไก่ตอนชิ้นสวยใส่ถ้วยให้
“เอา”
“ขอบคุณค่ะ”
ฤทัยนาคตักข้าวกิน หลินหลานเซ่อตักซุปใส่ชามให้
“เอา นี่ซุป ทานซะ”
ฤทัยนาคเกรงใจ “เอ่อ ที่จริงชั้นตักเองก็ได้ นายทานเถอะ”
“ทำไม ชั้นตักให้แล้วกินไม่ลงหรือ” หลินหลานเซ่อหมั่นไส้ ทำเสียงดุใส่
“อ๋อ เปล่าๆ”
ฤทัยนาคตักอาหารเข้าปาก หลินหลานเซ่อมองลุ้น
“อร่อยมั้ย”
“อร่อย อร่อยจริงๆ”
“อร่อยก็ต้องกินเยอะๆ”
“อืม”
ฤทัยนาคคีบอาหารกิน หลินหลานคีบผักเข้าปาก มองมาที่ฤทัยนาคไม่วางตา
ฤทัยนาคมองมาเจอเลยงง “นายมองชั้นมีอะไรหรือ”
“เปล่า แค่เห็นเธอกินแล้วดูอร่อย”
“ก็มันอร่อยจริงๆนี่”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ชั้นจะพาเธอไปกินร้านอร่อย”
“ชั้นไปไม่ได้หรอก ชั้นมีงานต้องทำ”
มาเฟียเซ็ง “คำก็งานสองคำก็งาน”
“อ้าว ถ้าชั้นไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้นายล่ะ”
“เอาอย่างนี้ ชั้นจะลดหนี้ให้เธอถ้าเธอไปกินข้าวเป็นเพื่อนชั้น”
ฤทัยนาคชอบใจ “งั้นก็ดีสิ ได้กินอาหารอร่อยแถมได้ปลดหนี้ด้วย นายพูดจริงนะ”
“จริงสิ ชั้นเคยพูดเล่นกับเธอเหรอ”
หลินหลานเซ่อนิ่งมอง ฤทัยนาคอึ้ง หลินหลานเซ่อจ้องเอาๆ ฤทัยนาคหลบตาวูบ

ทานไปได้สักครู่หนึ่งประตูห้องเปิดออก เห็นฟางเหม่ยจิงเดินนวยนาดมาดซุปตาร์เข้ามา
“เห็นซุ่นลี่บอกว่า”
เหม่ยจิงชะงักกึก สองคนหันมามองช้าๆ
“ชั้นนึกว่าคุณทานข้าวอยู่คนเดียว”
หลินหลานหันกลับไม่ได้สนใจนัก ฤทัยนาคยิ้มทักเหม่ยจิง
“สวัสดีค่ะคุณเหม่ยจิง”
“หวัดดีจ้ะ”
“คุณเหม่ยจิงทานข้าวมั้ยคะ เดี๋ยวชั้นไปจัดจานให้ค่ะ”
ฤทัยนาคลุกเดินออกไปที่ครัวแพนทรีในห้อง เหม่ยจิงมองตามก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะ
“นึกยังไงคะถึงให้เด็กมานั่งร่วมโต๊ะด้วย”
“ฤทัยนาคเค้ามาช่วยทำงาน”
“เรื่องนั้นชั้นรู้ค่ะ แต่คุณไม่เคยทานข้าวร่วมกับใครนอกจากจงซินแล้วก็ชั้น”
“เผอิญชั้นมีงานด่วน ไม่อยากให้เสียเวลา เลยให้ฤทัยนาคกินไปด้วย คุยงานไปด้วย”
ฤทัยนาคเอาจานกับถ้วยพร้อมช้อนและตะเกียบเข้ามาให้หนึ่งชุด
“นี่ค่ะคุณเหม่ยจิง เชิญคุณสองคนทานเลย”
“อ้าว แล้วเธอจะรีบไปไหนล่ะ”
“ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ ชั้นอิ่มแล้วจะรีบทำงานต่อ เชิญคุณสองคนเลยค่ะ”
ฤทัยนาคหยิบชามที่ตัวเองกินออกไป หลินหลานเซ่อเหลือบมองตามแวบหนึ่ง แล้วหันมาจิ้มอาหารกิน
“มาค่ะ เหม่ยจิงเติมซุปให้”
เหม่ยจิงตักซุปให้ แล้วคีบอาหารให้เอาใจ
“ลองเนื้อผัดเต้าซี่หน่อยค่ะ”
“ขอบใจ”

ฤทัยนาคลอบมองมาที่ทั้งสองคน เห็นเหม่ยจิงตักอาหารให้ ชวนคุยเอาเอกใจ หลินหลานเซ่อคุยตอบ
เด็กสาวมองแล้วบอกตัวเอง “เค้าสองคนนี่สมกันดีนะ”
เหม่ยจิงหัวเราะลุกขึ้นไปหอมแก้มหลินหลานเซ่อ มาเฟียหนุ่มมองมาที่ฤทัยนาค เด็กสาวยกมือให้แกล้งปิดตาไม่มองแล้วแหวกนิ้วดูอย่างล้อๆ
หลินหลานเซ่อมองฤทัยนาคอย่างเขินๆ ฤทัยนาคหัวเราะยิ้มให้

อาหารมื้อค่ำผ่านไป หลินหลานเซ่อนั่งดูคอมพ์อยู่ที่โต๊ะ ฤทัยนาคแปลเอกสารที่มุมหนึ่ง เหม่ยจิงนั่งอ่านนิตยสารแฟชั่น ฤทัยนาคลุกเอาเอกสารมาให้หลินหลานเซ่อดู
“นี่ค่ะ ฉบับสุดท้าย”
“ขอบใจมาก”
“งั้นชั้นกลับก่อนนะ”
“อืมม์”
“คุณเหม่ยจิงคะ ลาล่ะค่ะ”
“อ้าว เสร็จงานแล้วหรือจ๊ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวชั้นต้องรีบไปเข้ากะที่ไซต์งานต่อค่ะ ไปสายเดี๋ยวหัวหน้าเล่นงาน ไปล่ะค่ะ บ๊ายบาย”
“แล้วเจอกันจ้ะ”
ฤทัยนาคออกไป เหม่ยจิงมองตาม
“ลูกน้องคุณนี่น่ารักนะ ดูขยันจัง ชั้นว่าคุณควรจะลดหนี้ให้เค้าบ้างนะ”
“ถ้าเธอชอบเค้า จะช่วยเค้าใช้หนี้ก็ได้นะ” หลานเซ่อประชด
“คุณนี่มันปากร้ายจริงๆ”
เหม่ยจิงมองค้อน จงซินเปิดประตูเข้ามาเห็นเหม่ยจิง ก็ชะงักจะถอยออก
หลินหลานเซ่อหันมาเจอ “มีอะไรจงซิน”
“เอ่อ”
เหม่ยจิงเหน็บ “ทำไมหรือจงซิน เห็นชั้นแล้วทำไมต้องเดินออก”
“ไม่ใช่อย่างงั้นครับ ผมนึกว่าคุณคุยธุระสำคัญกันอยู่”
“มีอะไร” หลานเซ่อถาม
“เมื่อกี้เจอฤทัยเห็นเธอบอกว่าแปลเอกสารให้คุณเสร็จแล้ว ผมก็เลยจะเข้ามาเอา”
“นี่ไง นายตรวจทานดูอีกที”
จงซินเดินเข้ามาหยิบดูลงนั่ง เหม่ยจิงปรายตามองจงซินแล้วนึกได้ปิดหนังสือในมือหันไปถามหลินหลานเซ่อตรงๆ
“เออ ทำไมคุณถึงให้จงซินแอบถ่ายรูปชั้นด้วยคะ”
จงซินสะดุ้งโหยง หลินหลานเซ่อมองฉงน สีหน้าแปลกใจ
“แอบถ่ายรูป รูปอะไรหรือจงซิน”
“อ๋อ ก็รูปที่คุณเหม่ยจิงถ่ายลงแมกกาซีนน่ะครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยถ่ายเก็บไว้ให้คุณหลินเผื่อคุณหลินอยากจะดูน่ะครับ”
“อ้อ งั้นหรือ” หลานเซ่อรับรู้แกนๆ
“คุณดูแล้วชอบรูปไหนมากที่สุดคะ”
“ยังไม่เคยดูเลย”
เหม่ยจิงเง็ง “อ้าว จงซิน ทำไมไม่ให้เค้าดู”
“เอ่อ ก็ ก็ยังไม่มีเวลาน่ะครับ เห็นคุณหลินงานยุ่ง”
“งั้นส่งมือถือมา ชั้นจะให้เค้าดูว่ารูปไหนที่เค้าชอบ”
“เอ่อ...” จงซินอึกอัก
“ทำไม” เหม่ยจริงแปลกใจอีก
“ผมไม่ได้หยิบมือถือมาครับ”
เหม่ยจิงรุกหนัก “อยู่ไหน อยู่ข้างนอกหรือ เดี๋ยวชั้นไปเอาให้”
“ไม่ใช่ครับ เผอิญเมื่อเช้าโทรศัพท์ตกน้ำน่ะครับ ตอนนี้ส่งซ่อมอยู่”
เหม่ยจิงเซ็ง “อ้าว ถ้าตกน้ำรูปก็เสียหมดน่ะสิ”
“ผมยังไม่รู้เลยครับ” จงซินว่า
“ทำอีท่าไหนเนี่ย” เหม่ยจิงหันมาหาหลินหลานเซ่อ บ่นๆ “คุณเลยไม่ได้ดูรูปชั้นเลย เค้าถ่ายไว้เยอะมากนะคะ”
หลินหลานเซ่อหันมามองหน้า จงซินยิ่งอึกอักไปใหญ่
“นายถ่ายไว้เยอะเลยหรือ
“ก็ ไม่กี่รูปครับ”
“ไม่กี่รูปอะไรตั้งหลายสิบรูป” เหม่ยจิงหันมาบอกอวดหลานเซ่อ “สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ”
จงซินออกตัว “ผมขอตัวก่อนนะครับ จะเอาเอกสารไปให้ซุ่นลี่”
จงซินถือเอกสารเดินออก หลินหลานเซ่อกับเหม่ยจิงมองตาม
“จงซินนี่พิลึกจริงๆ รูปตั้งเยอะไม่ยอมให้คุณดู สงสัยจะเก็บไว้ดูคนเดียว”
“เค้าอาจจะเป็นแฟนคลับเธอก็ได้”
“อุ๊ย แฟนคลับเหม่ยจิงมีแต่วัยรุ่นค่ะ ไม่มีแก่งั่กอย่างนี้หรอก”
หลินหลานเซ่อมองหัวเราะขำ
“หรือว่าจงซินเค้าอาจจะแอบชอบเธอก็ได้นะ”
“จงซินน่ะหรือแอบชอบชั้น” มาเฟียหนุ่มไม่ตอบ เอาแต่ยิ้ม “เออ ถ้าเค้าชอบชั้นขึ้นมาจริงๆ คุณจะว่าไง”
“จะไปว่าไง มันก็เรื่องของเธอ”
“แล้วคุณไม่หึงหวงชั้นเลยหรือ”
“จะไปหึงได้ไงเรื่องความรัก ถ้าเค้าชอบเธอจริง ชั้นก็ควรจะดีใจยกเธอให้เค้ามากกว่า เพราะเธอจะได้สมหวังเจอผู้ชายที่รักเธอจริงๆ”
พูดจบหลินหลานเซ่อก็ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เหม่ยจิงมองตาม ทั้งโกรธทั้งน้อยใจและผิดหวัง
“หลินหลานเซ่อคุณนี่มันใจร้ายใจดำที่สุดเลย”
เหม่ยจิงคว้ากระเป๋าเดินฉับๆ ออกไปอย่างอารมณ์เสีย

เหม่ยจิงเดินออกมาก้าวฉับๆ อย่างโกรธเกรี้ยว เลี้ยวมาชนกับจงซินจังๆ จนแฟ้มหล่นกระจายลงพื้น
“ขอโทษ” พอเห็นเป็นจงซินก็ยิ่งหงุดหงิด “นี่คุณอีกแล้วหรือจงซิน”
จงซินก้มลงเก็บแฟ้มที่หล่น “ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง
“ไม่ทันมอง ชั้นถามหน่อยได้มั้ย หน้าตาอย่างชั้นเนี่ย คุณไม่ตั้งใจมองบ้างหรือ”
“นี่คุณทะเลาะกับคุณหลินอีกแล้วหรือครับ”
“ใช่ อยากรู้มั้ยว่าทะเลาะเรื่องอะไร” จงซินมอง แต่ไม่ตอบ “เรื่องคุณ”
“เกี่ยวอะไรกับผม”
“ชั้นถามเค้าว่า ถ้าคุณมาแอบชอบชั้นเค้าจะว่าไง”
จงซินอึ้ง
“เอ่อ ทำไม...” จงซินจะถามว่าว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนี้
เหม่ยจิงสวนออกมา “คุณไม่ต้องพูด คุณรู้มั้ยว่าเค้าตอบว่าไง เค้าบอกว่าจะยกชั้นให้กับเธอ”
จงซินยิ่งตกใจและอึดอัดเป็นที่สุด
“คุณหลินคงพูดเล่นน่ะครับ คุณเหม่ยจิงอย่าไปโกรธเลย”
“ชั้นจะไม่มาที่นี่อีกต่อไปแล้ว บอกเค้าด้วยแล้วกัน”
เหม่ยจิงสะบัดเดินออกไป จงซินมองตามทั้งกังวลและหนักใจ
“คุณหลินนะคุณหลิน พูดอะไรก็ไม่รู้ ฮื้อ”
ซุ่นลี่เข้ามาเรียก
“คุณจงซินคะ คุณหลินเรียกให้เข้าไปพบค่ะ”
จงซินชะงัก “อืมม์”
จงซินส่งแฟ้มให้ซุ่นลี่ แล้วเดินเข้าไปที่ห้องไป

จงซินเปิดประตูเข้ามา เห็นหลานเซ่อนั่งรออยู่
“มีอะไรครับคุณหลิน”
“นายช่วยหาเซฟเฮาส์ให้เด็กผู้หญิงที่ชื่อมีนาด้วย”
“ครับ”
“แล้วก็ส่งคนของเราที่ไว้ใจได้ ไปดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เธอ”
“ครับ” จงซินขยับจะไป
“เดี๋ยวจงซิน”
“ครับ”
“เมื่อกี้นายเจอเหม่ยจิงมั้ย”
“เอ่อ...เจอครับ”
“นายรู้มั้ย เธอถามชั้นว่าอะไร”
“เอ่อ...”
“เธอถามชั้นว่า ถ้านายชอบเธอชั้นจะว่ายังไง”
“ผมว่าคุณหลินอย่าไปล้อเธอเล่นเลยครับ เธอจะเสียใจเปล่าๆ”
“ชั้นไม่ได้ล้อเล่น ชั้นพูดจริง ชั้นบอกว่าถ้านายชอบเธอจริง ชั้นก็จะยกเธอให้นาย”
“ผมว่าเราอย่าพูดเรื่องนี้ดีกว่า”
“เรื่องจริงนะจงซิน นายอยู่กับชั้น ดีกับชั้นทุกอย่าง เรื่องแค่นี้ชั้นจะทำให้นายไม่ได้หรือ”
หลินหลานเซ่อมองหน้า จงซินยิ่งอึดอัดใจ
“คือ ผม...”
“ชั้นรู้ว่านายไม่ได้ชอบผู้หญิงแบบเหม่ยจิงหรอก ใช่มั้ย”
จงซินอึ้ง “เอ่อ...ครับ”
หลินหลานเซ่อลุกหันหลังให้จงซิน
“แต่ความจริงชั้นอยากให้นายตอบว่าชอบรู้มั้ย เพราะชั้นอยากให้เหม่ยจิงไปจากชั้นซะที”
มาเฟียหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงฤทัยนาค พอหันกลับมาพบว่าจงซินหายไปแล้ว
“จงซิน อ้าว ดันออกไปซะแล้ว”

หลินหลานเซ่อมองไปที่ประตูแล้วส่ายหน้า
 

คิวบิก ตอนที่ 8 (ต่อ)

จงซินออกมาปิดประตูท่าทีอึ้งๆ เหลียวกลับไปมองที่ห้องเจ้านาย รู้สึกอึดอัดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซุ่นลี่มองมาอย่างสงสัย

“เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณจงซิน ไม่สบายรึเปล่า”
“อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไร คิดเรื่องงานอยู่”
จงซินเดินออก ซุ่นลี่มองตามงงๆ

เย็นนั้นฤทัยนาคหยิบเสื้อผ้าสองสามชิ้นใส่ถุงให้มีนา
“ชั้นเอาเสื้อหนาวของชั้นเผื่อไปให้เธอตัวนึง”
มีนามองอย่างซึ้งใจ
“แล้วพรุ่งนี้จงซินเค้าจะมารับเธอไปอยู่ที่เซฟเฮาส์แต่เช้า”
“ชั้นอยู่กับเธอที่นี่ไม่ได้หรือ”
ฤทัยนาคถอนใจ “ชั้นก็อยากให้เธออยู่นะ แต่หลินหลานเซ่อเค้าบอกว่าที่นี่มันไม่ปลอดภัย แล้วตามเกมแล้วเธอต้องไปอยู่กับคิวบิก”
“แล้วคิวบิกมันคืออะไร”
“เธอไม่ต้องรู้หรอก จำไว้ว่า ถ้าจะมีใครมาทำร้ายเธอ เธอบอกว่าเธอเป็นเด็กของคิวบิก เข้าใจมั้ย”
“อืมม์”
ฤทัยนาคลุกไปหยิบน้ำดื่ม มีนาถอนใจ
“ไม่รู้ว่าตอนนี้หลินเพ่ยอิงจะเป็นยังไงบ้างนะ”
“จะเป็นไง ก็เละเป็นโจ๊กน่ะสิ เจอทั้งหมัดทั้งศอกทั้งเข่าทั้งเท้า”
“จะว่าไปก็น่าสงสารเค้าเหมือนกันนะ” มีนาหน้าม่อย
ฤทัยนาคงง “สงสาร! มันจะเอาเธอไปข่มขืนเธอยังสงสารมันอีกหรือ”
“เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก ถ้าเค้าจะข่มขืนชั้นจริงๆ ชั้นว่าเค้าข่มขืนตั้งแต่วันแรกแล้ว”
มีนาแก้ต่างให้เพ่ยอิง ฤทัยนาคมองมีนาอย่างประหลาดใจ ภาพที่มีนาเข้าไปประคองเรียก
เพ่ยอิงที่สลบไปผุดขึ้นมา
ฤทัยนาคจ้องมีนาเขม็ง “นี่มีนา ชั้นถามหน่อยเถอะเธอไม่ได้ชอบหลินเพ่ยอิงใช่มั้ย”
“เปล่า ๆ ชั้นไม่ได้ชอบเค้านะ”
“อ้าว แล้วทำไมถึงดูเป็นห่วงเป็นใยมันเหลือเกิน”
“ก็อย่างที่บอก เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายมากนักหรอก”
ฤทัยนาคมองจ้องหน้ามีนา อีกฝ่ายหลบตาวูบ
“ไม่ชอบก็ดีแล้ว จำไว้ อย่าไปเผลอตัวรักไอ้พวกมาเฟียนี่เลยเธอจะตกนรกทั้งเป็นนะ” มีนาพยักหน้า “ชั้นไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
ฤทัยนาคเดินออกไป มีนามองเหม่อนึกถึงเพ่ยอิง
“ไม่รู้ป่านนี้เค้าจะเป็นไงบ้าง”

คืนนั้น หลินเพ่ยอิงที่มีนาห่วงใยนอนซมอยู่บนเตียง ขาถูกยกโยง แขนข้างนึงเข้าเฝือก ที่หน้ามีพลาสเตอร์แปะ คิ้วแตก ปากเจ่อ ป้าเหมยนั่งป้อนข้าวอยู่ข้างเตียง
“ทานอีกซักคำนะคะ”
“ไม่เอาแล้ว” เพ่ยอิงพูดแล้วเกิดเจ็บระบมทั้งตัว
“แต่คุณทานไปได้ไม่กี่คำเองนะคะ ทานเถอะค่ะ จะได้หายเร็วๆ”
ป้าเหมยดุ เพ่ยอิงจำใจอ้าปากงับอาหาร
“คุณเพ่ยอิงนี่น๊า ชอบไปมีเรื่องกับคุณหลินหลานเซ่ออยู่เรื่อย รู้ก็รู้ว่าเราสู้เค้าไม่ได้ ยังจะไปหาเรื่องต่อยกับเค้าอีก”
เพ่ยอิงโกรธขยับตัวชี้หน้าป้าเหมย แต่ต้องร้องด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
“แน่ะ ยังทำเก่งอีก ป้าพูดความจริงนะ ไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัวบ่อยๆ ตอนเด็กๆจำไม่ได้หรือคะ ไปมีเรื่องกับคุณหลินทีไร ต้องร้องไห้กลับมาหาป้าทุกที”
เพ่ยอิงยกมือห้ามให้หยุดพูด
“พอได้แล้วป้าเหมย หยุดพูดซะที เอาไว้ให้ชั้นหายก่อนเถอะ”
“นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ อาฆาตเค้าอีกแล้ว เอาค่ะทานอีกคำ”
“ไม่เอาแล้ว ป้าเหมยออกไปได้แล้ว ชั้นอยากนอน”
“เอา เอา นอนพักซะหน่อยก็ดี”
ป้าเหมยหยิบถาดอาหารออกไป เพ่ยอิงนึกถึงมีนาอย่างแค้นใจ
“มีนาชั้นจะไม่ยอมเสียเธอไป ให้ชั้นหายก่อน ชั้นจะต้องเอาเธอกลับมาให้ได้” มาฟัยเลือดเดือดทุบแขนกับที่นอนแล้วสะดุ้ง “โอ๊ย...เจ็บ”

มีนาถักเปียให้ฤทัยนาคทั้งสองสาวอยู่ในชุดนอน
ฤทัยนาคเหม่อมองไปไกลคิดถึงพี่สาวที่เคยถักเปียให้ตนเช่นกัน

โดยคืนนั้น นันทกาถักเปียให้ฤทัยนาคก่อนจะเข้านอน
“จะว่าไปเธอนี่สวยนะนาค ดูดีๆ สวยกว่าพี่อีกนะ”
“หวาย อย่ามาหลอกชั้นเลย พี่นันน่ะสวยกว่าชั้นเยอะ นี่ชั้นว่าจะถามพ่อหลายหนแล้วว่าหยิบชั้นผิดมาจากโรงพยาบาลรึเปล่า ทำไมเราเหมือนคนละฝากันเลย”
“ไม่หรอก แกก็คิดมาก พี่ว่าแกไม่ดูแลตัวเองมากกว่า แล้วอีกอย่างพ่อชอบใช้งานแกมากเกินไป แกเลยดูไม่บริ้งเหมือนพี่เดี๋ยวพี่จะบอกพ่อว่าให้เลิกใช้งานแกได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้เราไปห้างกันพี่จะซื้อครีมบำรุงผิวให้แก คราวนี้ล่ะแกจะได้งามยังกะพระจันทร์”
“อุ๊ย ไม่เอาหรอก หน้ากลมเหมือนพระจันทร์ใครจะเอา”
สองพี่น้องหัวเราะให้กัน ต่อมาฤทัยนาคนอนหนุนตักนันทกา ที่อ่านหนังสือให้ฟัง สุดท้ายหลับไปทั้งคู่

นึกเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วฤทัยนาคน้ำตาไหล ขณะมีนามัดผมเสร็จ
“เสร็จแล้ว ไหนดูซิสวยมั้ย” มีนาชะโงกหน้ามองแล้วชะงัก “อ้าว เธอร้องไห้ทำไม”
“ชั้นคิดถึงพี่นัน ไม่รู้ว่าป่านนี้เค้าจะเป็นยังไงบ้าง”
“เอาน่า ชั้นว่าอีกไม่นานคุณหลินเค้าก็คงปล่อยให้เธอกลับบ้าน”
“ไม่มีทางหรอก ชั้นเหลือหนี้อีกตั้งสิบกว่าล้าน อย่างน้อยๆก็ต้องเกือบสิบปี กว่าจะใช้หนี้ได้หมด”
“แต่ชั้นว่าไม่ถึงหรอก อาจจะแค่ปีหรือสองปีมั้ง เพราะเท่าที่ชั้นเห็น ชั้นว่าคุณหลินเค้าดูดีกับเธอมากนะ”
“ดีกับชั้นหรือ”
“ก็ใช่สิ ดูจากที่เธอไปขอให้เค้าช่วยเหลือชั้น เค้ายังช่วยเลย ทั้งๆ ที่ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า ชั้นว่าเค้าจิตใจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนเค้าพูดกันหรอก”
“แต่ตั้งแต่ชั้นทำงานให้เค้า เค้าไม่เคยพูดเลยนะว่าจะลดหนี้ให้ชั้น แถมบ้างครั้งชั้นว่าเค้าลืมจดหนี้บ่อยๆ สงสัยกะจะให้ชั้นใช้อยู่หนี้นานๆ”
มีนาเอ่ยขึ้น “หรือว่าลึกๆ แล้วเค้าแอบชอบเธอ”
ฤทัยนาคอึ้งไปชั่วขณะ
“ชอบอะไร คนรักกันชอบกันก็ต้องยกหนี้ให้สิ จริงรึเปล่า นี่สลึงเดียวยังไม่เคยยกให้ฟรีๆ เลย แล้วที่สำคัญเธอรู้มั้ยแฟนเค้าเป็นใคร”
“ใคร”
“ฟางเหม่ยจิง”
“ใครหรือ”
“นางเอกดาราม้าทองคำของที่นี่”
มีนามองหน้าฤทัยนาคแล้วนึกเปรียบเทียบกับนางเอกหนัง
“อืมม์ ถ้างั้นก็ต้องตัดประเด็นชอบเธออกไป เพราะเธอคงสวยสู้ดาราม้าทองคำไม่ได้”
ฤทัยนาคถอนใจยาว “เฮ้อ...ซักวันชั้นคงมีโอกาส ได้กลับบ้านไปหาพ่อกับพี่นันที่เมืองไทย”
มีนาให้คำมั่น “ชั้นสัญญา ชั้นจะช่วยเธอ”
“ขอบใจ”
ฤทัยนาคดึงมีนามากอด สองสาวน้อยให้แรงใจกันและกัน

เหตุการณ์ที่เมืองไทยยุทธพงษ์นั่งกินข้าวอยู่ในห้องคนเดียว มีเสียงเคาะประตูดัง ยุทธพงษ์ชะงัก
“ผมเองครับ” เสียงสงวนดังมา
ยุทธพงษ์ลุกมาเปิดประตูเห็นสงวนยืนอยู่หน้าห้อง
“ผมจะเข้าไปตลาด นายกับคุณนันอยากได้อะไรเพิ่มเป็นพิเศษมั้ยครับ”
“นัน น้าช่วยเค้าจะเข้าเมืองอยากได้อะไรมั้ยลูก”
ยุทธพงษ์หันไปเรียกลูกสาวที่อยู่ด้านใน นันทกาเดินออก
“ฝากซื้อยาสระผมกับสบู่อาบน้ำหน่อยค่ะ”
“เออ หงวน ซื้อหนังสือพิมพ์กับหนังสือรายสัปดาห์ให้หน่อยนะ เอามาหลายๆ ฉบับ” ยุทธพงษ์หยิบเงินให้ “เอานี่ เอาไปพันนึง”
“ครับ” สงวนขยับจะไป
“เดี๋ยวหงวน แล้วฟังข่าวในตลาดหน่อยนะว่ามีใครมาตามหาชั้นรึเปล่า”
“ได้ครับนาย อ้อ” ยุทธพงษ์หยิบปืนที่พกเอวส่งให้ “นายเอาปืนนี่ติดตัวไว้ด้วย เผื่อไว้ป้องกันตัว”
“ครับ”
“อืมม์ ขอบใจ”
“ไม่เกินสองชั่วโมงผมก็กลับครับ”
ยุทธพยักหน้ารับรู้ สงวนเดินไปที่ประตู

สงวนเปิดประตูบ้านออกมาต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นอาเหวยกับลูกน้อง 3 คน ยืนอยู่ข้างล่าง
“นี่บ้านนายสงวนรึเปล่า”
ยุทธพงษ์ได้ยินเสียงชะงักฟัง นันทกาเดินออกมา
“พ่อคะ น้าหงวน”
ยุทธพงษ์หันมาจุ๊ปากให้นันเงียบ
“อะไรคะ”
“มีคนมา”
นันทกาชะงักตกใจ

ฝ่ายสงวนรวบรวมสติขยับตัวเดินลงบันไดเรือนมา
“ครับ ผมเอง มีธุระอะไรหรือครับ”
“ชั้นมาตามหาคนสองคน”
“ใครหรือครับ”
“เค้าชื่อยุทธพงษ์กับลูกสาวชื่อนันทกา ขอชั้นขึ้นไปพบเค้าหน่อย”
อาเหวยขยับจะเดินขึ้นไป สงวนขวางไว้
“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ คุณยุทธพงษ์กับลูกสาวไม่ได้อยู่ที่นี่”
ยุทธพงษ์กับนันทกาแอบฟังอยู่ในบ้าน
“นี่พวกมันตามมาเจอเราได้ไง ทำไงดีคะพ่อ”
“หนีออกหน้าต่างเร็ว”
ยุทธพงษ์ปราดไปแง้มหน้าต่างดู พอมองออกไป เห็นมือปืน 2 เดินเข้ามาเฝ้ามองซ้ายขวา
นันทกาแง้มหน้าต่างอีกบาน เห็นมือปืน 3 เดินไปมามองซ้ายขวาเช่นกัน
“พวกมันอยู่ข้างล่างค่ะพ่อ”
ยุทธพงษ์มองหาทางหนี

ส่วนอาเหวยมองสงวนจับพิรุธ
“แต่ชั้นถามคนแถวนี้ มีคนบอกเห็นนายยุทธพงษ์กับลูกสาวอยู่ที่นี่ ถอย”
“แต่คุณไม่มีสิทธิ์ขึ้นบ้านผมโดยที่ผมไม่อนุญาตนะ ผมถือว่าคุณบุกรุก”
อาเหวยกระชากปืนออกมาจ่อ
“ถ้าแกพูดอีกคำเดียว แกจะไม่ได้พูดอีกต่อไป ถอย”
อาเหวยผลักสงวนออกไปแล้วเดินขึ้นเรือน

อาเหวยเดินนำลูกน้อง 1 ขึ้นมาบนบ้าน
“ไปดูห้องนู้น”
ลูกน้องแยกไปดูตามที่บอก อาเหวยเดินมาหยุดที่หน้าห้องที่ยุทธพงษ์อยู่ ดันจะเปิดประตู แต่ประตูปิดล็อค หันมาสั่งสงวนที่ตามมา
“เปิดประตู”
“เอ่อ แต่ว่า”
“ชั้นบอกให้แกเปิดประตู”
เหวยยกปืนจ่อ สงวนไขกุญแจ อาเหวยเปิดเข้าไป
แต่พอเปิดประตูเดินเข้ามา อาเหวย พบว่าทั้งห้องไม่มีใครอยู่ อาเหวยเดินไปดูในห้องน้ำ ก็ไม่มีใคร เดินออกมามองไปที่เตียงมองรอบตัว
“ผมบอกแล้วไงครับว่าคุณยุทธพงษ์ไม่ได้อยู่ที่นี่”
ลูกน้อง 1 เข้ามา
“เจอตัวมันรึเปล่า”
“ไม่มีครับ”

ที่แท้ยุทธพงษ์กับนันทกาแอบซ่อนอยู่ตรงซอกเล็กๆ ใต้เตียง ลุ้นระทึก

คิวบิก ตอนที่ 8 (ต่อ)

อาเหว่ยมองสำรวจตรวจตราไปรอบตัว สแกนทุกจุด แล้วหันมาหาสงวน

“บอกมาซะดีๆ ว่าสองคนนั่นหนีไปไหน”
“ผมไม่รู้จริงๆ เค้าไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว”
“ชั้นจะให้โอกาสแกอีกครั้ง สองคนนั้นหนีไปไหน”
“ผมไม่รู้จริงๆ ถ้ารู้ผมบอกคุณแล้ว”
ยุทธพงษ์ได้ยินเสียงปืนดังปัง นันทกาตะลึงช็อกจะหวีดร้อง ถูกยุทธพงษ์ปิดปาก
อาเหว่ยแค่ยิงขู่ มองจ้อง สงวนยืนตัวสั่น
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับ”
“นัดนี้ชั้นจะไม่ยิงขึ้นฟ้าแล้วนะ”
“ถึงคุณจะฆ่าผมผมก็ไม่รู้จริงๆ”
อาเหว่ยกับสงวนจ้องตากัน
ยุทธพงษ์กับนันทกาลุ้นสุดขีด
อาเหว่ยมองสงวนแล้วพยักหน้าเก็บปืน
“ผมขอโทษ ที่ผมต้องขู่ก็เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่โกหกผม”
“ผมจะโกหกเพื่อเสี่ยงชีวิตตัวเองทำไม”
“มันก็ถูกของคุณ คุณถึงไม่ตายไง”
อาเหว่ยเดินออก สงวนตามมาเรียก
“อ้อ เดี๋ยวครับคุณ ผมขอเบอร์คุณหน่อยได้มั้ย ถ้านายยุทธพงษ์กลับมาผมจะโทร.บอกคุณ”
อาเหว่ยมองหน้าสงวนแล้วหยิบการ์ดนามบัตรส่งให้
“ถ้าคุณโทร. ผมจะมีรางวัลให้”
“ขอบคุณครับ”
“ไป”
อาเหว่ยหันมาบอกลูกน้อง แล้วเดินลงบันไดไป
อาเหว่ยเดินลงมา สงวนเดินมาส่งที่รถ มองตามจนรถจนลับตา ถอนใจยาวอย่างโล่งอก

สงวนเดินขึ้นมาบนบ้าน
“นายครับ มันไปแล้วครับ”
ยุทธพงษ์กับนันทาโผล่ออกจากที่ซ่อน
“ชั้นอยู่นี่”
“เมื่อกี้ผมนึกว่ามันจะเจอนายซะแล้ว”
“ก็เกือบไปเหมือนกัน ดีที่นันเค้าเห็นช่องนี้ก่อน”
“หวังว่ามันจะไม่ย้อนกลับมานะ”
“ผมว่าคงไม่หรอกครับ ผมบอกมันแล้วว่าถ้านายมาผมจะโทร.หาพวกมัน
“ขอบใจแกจริงๆ”
“นายอยู่นี่ก่อนนะครับ ผมจะลงไปดูข้างล่างซักพัก”
“อืมม์
สงวนออกไป ยุทธพงษ์มองตาม นันทกาหันมาบอกพ่อ
“พ่อคะ หนูว่าเราหนีพวกมันไม่รอดหรอก พ่อควรจะคุยกับพวกมันนะคะ บางทีมันอาจจะยอมผ่อนหนี้ให้เรา”
“พ่อคุยหลายทีแล้ว แต่มันไม่ยอม มันต้องการตัวลูก”
“แต่ตอนนี้มันเอาตัวนาคไปแล้ว มันจะเอาตัวหนูไปทำไมอีกหนูว่าเราควรจะบอกตำรวจ ขอให้ตำรวจไปช่วยน้องนะพ่อ”
“ตำรวจช่วยเราไม่ได้หรอก หลินหลานเซ่อมันมีอิทธิพลมาก มันเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย ขืนเราแจ้งตำรวจมันจะได้ฆ่าไอ้นาคน่ะสิ”
“แล้วเราจะต้องหลบซ่อนพวกมันไปอีกนานแค่ไหน”
“อย่างที่พ่อบอกอีกซักระยะนึง เอาละ พ่อว่าลูกเข้าไปหลบในห้องก่อน”
นันทกาเดินกลับเข้าไปในห้อง ยุทธพงษ์ถอนใจ
“ทำไมมันยุ่งอย่างนี้วะ ปวดหัวจริงโว้ย”

นันทกาเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง แล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น
“นาค พี่ขอโทษนะ ที่ปล่อยให้น้องต้องไปรับกรรมแทนพี่”
นันทการ้องไห้สะอื้นอยู่อย่างนั้น สงสารน้องสาวจับใจ

เช้าเดียวกันนี้ ที่ไต้หวัน โทรศัพท์มือถือหลินหลานเซ่อ มีรูปฤทัยนาคกำลังนั่งทำงานในนั้น มือหลินหลานเซ่อสไลด์ไปรูปที่สอง เห็นฤทัยนาคยังนั่งทำหน้าเครียดทำงาน สไลด์ไปรูปที่สาม เป็นฤทัยนาคเงยหน้ามองมาพอดี ทั้งสามรูปเป็นรูปที่หลินหลานเซ่อแอบถ่าย มาเฟียหนุ่มมองรูปแล้วยิ้ม จงซินเข้ามา หลานเซ่อวางมือถือลง
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหลิน”
“กาแฟหรือชาดี”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
หลินหลานเซ่อฉีกครัวซองก์ใส่ปาก
“เช้านี้คุณหลินจะออกไปไหนมั้ยครับ” จงซินถาม
“ทำไมเหรอ”
“ตอนสิบเอ็ดโมงผมมีนัดคุยกับรองผู้บัญชาการตำรวจ”
“นายไปได้เลย ตามฤทัยนาคมาขับรถให้ชั้น”
“คุณหลินจะไปไหนหรือครับ ผมไปส่งให้ก่อนได้”
“ไม่ต้องหรอก นายไปทำธุระเถอะ ชั้นแค่จะไปกินข้าวเที่ยงที่เมืองเก่า”
“นัดกับคุณเหม่ยจิงหรือครับ”
“เปล่า ชั้นแค่เซ็งๆ จะไปไหว้พระที่ศาลเจ้า แล้วก็ไปกินเป็ดย่างที่ฟุกแหล่มหมุ่น”
“อ้อ ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะโทร.ไปหาหัวหน้าสาขาที่เมืองเก่าให้ส่งคนมาอารักขาคุณหลินที่ศาลเจ้านะครับ”
“อืมม์ ขอบใจ”
พอจงซินออกไป หลินหลานเซ่อหยิบโทรศัพท์กลับมา เปิดดูรูปฤทัยนาครูปที่สามแล้วยิ้มอย่างมีความสุข

ฤทัยนาคในชุดคนขับรถยืนเตร่อยู่หน้ารถประจำตัวหลานเซ่อที่หน้าตึกฉายหงส์กรุ๊ป เด็กสาวมองซ้ายขวา แล้วขยับถุงมือรอ
หลินหลานเซ่อลงบันไดเลื่อน เดินมาตามทาง เห็นฤทัยนาคยืนรออยู่ ฤทัยนาคหันมามองถึงกับสะดุ้ง
หลินหลานเซ่อเดินเข้ามาหามองจ้องหน้าแล้วเดินไปที่รถ ฤทัยนาครีบเปิดประตูให้
“เชิญครับเจ้านาย”
หลินหลานเซ่อก้าวเดินขึ้นรถ ฤทัยนาคเดินอ้อมไปขึ้นขับ
รถนำขับออก ฤทัยนาคขับตาม มีรถอารักขาปิดท้ายอีกคัน

หลินหลานเซ่อยืนอยู่ต่อหน้าพระรูปเจ้าแม่กวนอิมในศาลเจ้า บอดี้การ์ดส่งธูปให้สามดอก หลานเซ่อหันไปบอกฤทัยนาคที่ยืนด้านหลัง
“มาไหว้พระด้วยกัน”
“ให้ชั้นไหว้พระกับคุณเหรอ”
“ใช่”
หลานเซ่อส่งธูปให้ ลูกน้องจุดเพิ่มส่งให้เขาใหม่ สองคนพนมมือไหว้เจ้าแม่ แล้วอธิษฐาน
หลินหลานเซ่อลุกไปปักธูป ลุกขึ้นไหว้อีกครั้งแล้วเดินออกไป ฤทัยนาคทำตามแล้วลุกเดินออกไป
หลินหลานเซ่อจะเดินข้ามประตูหันมาบอกฤทัยนาคให้ระวังสะดุดพื้น
“ระวัง”
“ค่ะ”
ต่อมาหลินหลานเซ่อจุดกระดาษเผาไฟ ยื่นให้ฤทัยนาคเข้ามาจ่อ เด็กสาวจ่อกระดาษเผาตาม
มาเฟียหนุ่มเหลือบมอง ฤทัยนาคมองตอบยิ้มให้อย่างจริงใจ หลานเซ่อมองจ้องแล้วอมยิ้ม

ฤทัยนาคขับรถแล่นมาตามทาง หลินหลานเซ่อนั่งอยู่เบาะด้านหลัง
“ฤทัยนาค”
“คะ”
“เดี๋ยวไปร้านเป็ดย่างที่ถนนฟุก รู้จักมั้ย”
“รู้จัก ร้านนี้คนเยอะมาก ต้องจองคิวกันนาน”
“เธอเคยมากินที่นี่แล้วเหรอ”
“ไม่เคยหรอก เคยแต่มองเป็ดหน้าร้าน น่ากินมาก”
“เดี๋ยวเธอลงมากินกับชั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ นายทานเถอะ ชั้นต้องอยู่เฝ้ารถ”
“ชั้นบอกให้ไปกินก็ไปกิน ชั้นไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่ง”
หลินหลานเซ่อหงุดหงิด บอกเสียงดุ ฤทัยนาคยิ้มแหยๆ
“อืมม์”
หลินหลานเซ่อมองแล้วอมยิ้ม

เป็ดย่างหน้าร้านเรียงเต็มตู้ คนขายสับเป็ดใส่จานอย่างแคล่วคล่อง สักครู่หนึ่ง เป็ดย่างหมูแดง ซุป ปลานึ่ง ถูกวางบนโต๊ะแล้ว หลินหลานเซ่อคีบหนีบเป็ดย่างให้ฤทัยนาค
“ลองน่องเป็ดดู เป็ดที่นี่อร่อยมาก”
“ขอบคุณ” ฤทัยนาคคีบเป็ดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ “หือม์ อร่อยจริงๆ ค่ะ เป็นเป็ดที่อร่อยที่สุดในโลกเลย”
“อร่อยก็กินเยอะๆ”
“อื้ม” ฤทัยนาคคีบหมูแดงเข้าปาก หลานเซ่อมองเพลิน ใบหน้าสดใสดูมีความสุข
“เห็นกับข้าวพวกนี้แล้วคิดถึงพี่นันจังเลย พี่นันเค้าชอบกินเป็ดย่างกับหมูแดงมากเลยนะ”
หลินหลานเซ่อคีบอาหารเคี้ยวไป ฟังฤทัยนาคพูดไป
“สมัยที่พ่อชั้นยังรุ่งๆ ทุกวันอาทิตย์พ่อจะพาเราสองคนไปกินเป็ดย่างหมูแดงที่ร้านประจำ
หลินหลานเซ่อฟังอย่าอารมณ์ดี คีบอาหารกินต่อ
“อยากให้นายได้กินร้านนั้นจัง นายจะได้รู้ว่าที่เมืองไทยก็อร่อยไม่แพ้ที่นี่ เอาอย่างนี้ถ้าชั้นได้กลับเมืองไทยนะ ชั้นจะพานายไปเลี้ยงมื้อนึง”
ฤทัยนาคยิ้มใหญ่ หลินหลานเซ่อมองขำๆ “แล้วเธอคิดว่าเธอจะได้กลับหรือ”
“ต้องได้สิ เพราะชั้นจะพยายามหาเงินมาใช้หนี้นายให้เร็วที่สุด”
คำนี้ทำเอาหลานเซ่อ เซ่อไปเลยเขามองคนพูดอึ้งๆ ก่อนจะถามขึ้น
“เธอไม่ชอบที่นี่หรือ”
“ไม่ชอบหรอก ชั้นจะชอบได้ยังไงที่นี่มันไม่ใช่บ้านชั้น”
หลินหลานเซ่อมองนิ่ง
“นายรู้มั้ยชั้นคิดถึงบ้านทุกวัน คิดถึงพ่อคิดถึงพี่ คิดถึงทุกๆ คนที่อยู่เมืองไทย”
มาเฟียหนุ่มนิ่งฟัง
“ชั้นน่ะนั่งนับวันรอเวลาที่จะได้กลับบ้านเลยล่ะ”
ถึงคำนี้หลินหลานเซ่อวางตะเกียบลง บอกเสียงเรียบ
“เอาล่ะ ชั้นว่าเธอกินให้เร็วเถอะ อย่ามัวแต่พล่าม”
“อ้าว นี่นายอิ่มแล้วหรือ”
“ใช่ เดี๋ยวเธอกินเสร็จแล้วเดินตามไปแล้วกัน ชั้นจะรอในรถ”
หลานเซ่อลุกเดินออกไปท่าทีไม่สบอารมณ์มากๆ เด็กสาวมองตามอย่างงวยงง
“นี่เค้าเป็นอะไรของเค้า อยู่ๆ ก็อารมณ์เสีย” ฤทัยนาคครุ่นคิด “อ๋อ หรือเค้าคิดว่าเราจะหนีหนี้กลับเมืองไทย...ฮื้อ เรานี่นะไม่น่าพล่ามอย่างที่เค้าว่าเลย กำลังกินอร่อยๆ อยู่ด้วย”
ฤทัยนาควางตะเกียบดื่มน้ำลุกตามหลินออกไป

ตั้งแต่ขึ้นรถมา หลินหลานเซ่อนั่งนิ่งหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา ฤทัยนาคขับรถพลางเหลือบไปมอง กล้าๆกลัวๆ
“เอ่อ...หลินหลานเซ่อ”
“อะไร”
“คือ...ที่เมื่อกี้ชั้นพูดที่ร้าน ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะหนีหนี้นายแล้วกลับเมืองไทยนะ”
หลานเซ่อฟังยิ่งหงุดหงิด
“ชั้นสัญญาว่าชั้นจะใช้หนี้นายจนครบทุกบาททุกสตางค์ แล้วชั้นถึงจะกลับ”
มาเฟียขี้เก๊กโกรธจัด “นี่เธออยากกลับบ้านมากจริงๆหรือ”
“ก็จริงน่ะสิ ชั้นถึงทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน นายไม่ต้องห่วงนะ ชั้นจะไม่เบี้ยวนายเด็ดขาด แล้วชั้นก็จะ...”
หลินหลานเซ่อตัดบท “เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว ชั้นไม่อยากฟังเรื่องของเธอ” เขาหน้าออกไปนอกรถ
“เอ่อ ชั้นขอถามอีกคำได้มั้ย”
“ถามอะไร”
“นายโกรธชั้นเหรอ”
หลินหลานเซ่อชะงักเหลือบมอง
“ถ้าชั้นทำให้นายโกรธชั้นก็ขอโทษนะ ชั้นไม่ได้ตั้งใจ”
ฤทัยนาคมองสบตาหลินหลานเซ่อจากกระจกมองหลัง

หลินหลานเซ่อมองแล้วเมินหน้าออกไปนอกรถอย่างหงุดหงิด ขณะรถแล่นไป

อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น