xs
xsm
sm
md
lg

หางเครื่อง ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หางเครื่อง ตอนที่ 14

เมื่อกลับถึงคอนโด เดือนเปิดประตูห้องเดินนำเข้ามา ป้อมเดินตาม ขำรั้งท้าย มองสำรวจห้องโดยรอบ

“โอ้ ดูดีอ่า”
เดือนเอาของไปวาง จัดแจงเดินไปหยิบขวดน้ำออกมาเผื่อทุกคน นั่งลงดูของที่ซื้อมา
“แต่มันไม่ใช่ของชั้น”
ป้อมทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา แล้วพูดขึ้น
“อีกหน่อยก็ซื้อเองได้ เอาให้หรูกว่านี้ก็ยังไหว”
“หวังว่านะ”
ขำก้มลงเก็บซองจดหมายที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมา
“จ.ม. จดหมายรักของใครนี่”
“อ๋อ ของพี่เกียรติเค้ามั้ง เห็นมีประจำ ขำอย่าไปแกะของเขาล่ะ” แคว่ก!

เดือนกับป้อมหันขวับมามองตามเสียง ขำฉีกซองจดหมายออกพอดี หันมามองเดือน ยิ้มแหยๆ
“ขำ นั่นมันของพี่เกียรติเขา”
“โธ่ ไอ้ขำ เอ็งนี่มันเสล่อจริงๆ เลยนะ จดหมายของคนอื่นนะนั่น”
ขำยิ้มแหยๆ ถือจดหมายที่แกะแล้วกับอีกหลายฉบับเดินมานั่งที่โซฟา
“มือไวไปหน่อย ไหนๆ ก็แกะแล้ว มาอ่านหน่อยดีกว่า”
“เดี๋ยวเถอะขำ เสียมารยาทเนอะพี่ป้อมเนอะ” เดือนหันมาจะหาป้อม เห็นป้อมกระโดดไปชะเง้อมองจดหมายกับขำอยู่ “พี่ป้อม”
ป้อมยิ้มแหยๆ ให้เดือน
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอ่ะ ซักหน่อยคงไม่เป็นไร เอ้า ไอ้ขำเอ็งอ่านมาซิ”
ขำยกจดหมายขึ้นมาอ่านให้ทุกคนได้ยิน
“เรื่อง...ขอให้ชำระหนี...”
“ชำระหนี้” เดือนกับป้อมพูดพร้อมกัน
“เออ นั่นล่ะๆ “เรียน คุณชูเกียรติ ตามที่ท่านได้ค้างชำระค่างวดบัตรเครดิต จำนวน 3 งวด เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น...”

ขำหยิบ จม.อีกหลายฉบับขึ้นมาอ่าน ป้อมเอามือทาบอกตกใจ เดือนได้แต่นั่งทำตาปริบๆ ขำนั่งอ่านฉบับสุดท้าย
“หากท่านยังคงเพิกเฉย ทางธนาคารมีความจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายกับท่าน” ขำอ่านจบเงยหน้าขึ้นมามองเดือนกับป้อม “ไหนว่ามันรวย”
“นี่ขนาดมันอมเงินของเดือนไปตั้งเยอะแล้วนะ ดูท่าการเงินของเดือนจะไม่ปลอดภัยซะแล้วล่ะ” ป้อมบอก
เดือนถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน หยิบถุงที่ซื้อมาเดินไปที่ทีวี หยิบแผ่นซีดีออกมา แผ่นซีดีที่เดือนถืออยู่เป็นงานคอนเสิร์ตต่างๆ ของต่างประเทศ
“ชั้นคงต้องรีบทำให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากคนพวกนี้เร็วๆ ซะที”

คืนนั้นที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง เสียงคนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ แก้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินย่องไปที่โต๊ะแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมา ท่าทางมีพิรุธคอยชะเง้อไปทางห้องน้ำตลอด
“อย่าลืมนะคะเสี่ย ยังไงเสี่ยต้องจัดการให้แก้วนะคะ เนี่ยแก้วซ้อมหนักตั้งแต่เช้ายันเย็น ยังมาโดนพวกนั้นรุมว่าอีก” แก้วแอบจิ๊กเงินออกจากกระเป๋าเสี่ยวาทิน คอยชะเง้อชะแง้มองตลอดเวลา “นะคะเสี่ย เสี่ยได้ยินใช่มั๊ยคะ”
แก้วจิ๊กเงินเสร็จก็รีบเอากระเป๋าไว้ที่เดิม เอาเงินไปเก็บในกระเป๋าตัวเอง ก่อนจะแกล้งเดินนวยนาดไปที่หน้าห้องน้ำแล้วเคาะประตู
“ให้แก้วเข้าไปถูหน้า ถูหลัง ถูบน ถูล่าง ถูพร้อมๆ กันให้นะคะเสี่ย”
ประตูห้องน้ำเปิดแง้มออก แก้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ แล้วปิดประตู

วันต่อมาที่ค่ายเพลง เดือนยืนอธิบายอะไรบางอย่างอยู่ในห้องประชุม ป้อมยืนยิ้มกรีดกรายอยู่ข้างๆ เดือน
มีทีมงานอีก 2-3 คนยืนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพอใจ ส่วนขำนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้
“เจ๋งมากเลยน้องเดือน พี่ว่ามันจะต้องออกมาเริ่ดมากๆ เลย” เดือนยิ้มรับ
“ค่ะ เดือนก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น ก็เลยช่วยกันคิดกับพี่ป้อม”
“น้องเดือนนี่น่ารักมาก อุตส่าห์ช่วยพวกพี่คิด ไม่เหมือนกับ...”
ทีมงานพากันส่ายหน้า
“เหมือนกับใครคะ”
“จะมีใคร ก็น้องแก้วเด็กเสี่ยไงคะ จนป่านนี้แล้วทั้งร้องทั้งเต้นยังไม่ได้เรื่อง”
“ใช่ๆ นี่พี่ก็กลัวอยู่ว่าจะพาคนอื่นเค้าพังไปด้วย”
เดือนหันไปมองหน้ากันกับป้อม ป้อมเบะปากส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเดือนกับพี่ป้อมจะช่วยดูให้เอง”
“ต๊าย น่ารักมากเลย งั้นฝากด้วยนะจ๊ะ อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะไปซ้อมกันที่เวทีจริงแล้วนะจ๊ะ จะได้บล็อกกิ้งแล้วก็รันคิวกันดูด้วย”
ทีมงานยิ้มกับเดือนและป้อม แล้วถือแฟ้มเอกสารเดินออกไป เดือนมองตามคนที่เดินออกไปแล้วพูดลอยๆ ขึ้น
“ได้เวลาสนุกอีกแล้วพี่ป้อม”
ป้อมเดินมาเกาะไหล่เดือนยิ้มอย่างพอใจ ขำละเมอลุกขึ้นมางงๆ เห็นป้อมกับเดือนเลยลุกขึ้นมาเกาะไหล่เดือนทำโพสต์ท่าไปด้วย

ที่ห้องซ้อม เดือนกับแดนเซอร์คนอื่นๆ วอร์มร่างกายอยู่ ป้อมคอยช่วยบอกอยู่ข้างๆ ส่วนขำนั่งจ้องแดนเซอร์สาวๆ ตาเป็นมัน แก้วเดินกรีดกรายเข้ามา พอเห็นเดือนก็ชะงัก สีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาทันที แต่ก็รีบเก็บอารมณ์ไม่ให้แสดงออกมากเกินไป
“อ้าว มาได้แล้วเหรอ นึกว่าอายจนหนีไปซะแล้ว”
เดือนทำหน้านิ่งยิ้มให้
“ไม่หรอกจ้ะ ตอนนี้พวกพี่ๆ เค้าไปจัดการเรื่องยุ่งๆ ให้แล้ว แล้วแฟนคลับเค้าก็เข้าใจ”
“หึ งั้นเหรอ” แก้วเบะปากไม่สนใจ เดินเข้ามาจะเอากระเป๋าไปวาง หันมาเจอขำเข้าก็ตกใจ “ต๊าย นี่ขนพวกบ้านนอกกันมาเลยเหรอ”
ขำหันมายิ้มโบกมือให้
“ใช่ๆ มากันหมดเลย นี่ๆ ยัยกิมแม่เธอ ฝากมาบอกว่าส่งเงินให้ใช้บ้างนะ ของขายไม่ค่อยดี”
ป้อมรีบเข้ามาเสริม

“โธ่ถังกะละมังบุบ มาจากบ้านนอกเหมือนกัน นี่ชั้นลืมเธอไปได้ยังไง”

แก้วหน้าชา หันไปมองคนอื่นๆ ที่เริ่มซุบซิบกัน เดือนเดินยิ้มเข้ามาประคองแก้ว

“มาสิจ๊ะแก้ว เราจะได้ซ้อมกัน”
แก้วพยายามเบี่ยงตัวออก
“นี่แกจะมาไม้ไหนเนี่ย”
“อย่าคิดมากสิจ๊ะ ชั้นก็แค่อยากซ้อมกับเธอก็เท่านั้นเอง”
เดือนมองหน้าแก้วยิ้มๆ มือเดือนที่จับอยู่ที่ไหล่แก้ว บีบแน่นขึ้น

รวิขี่รถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านขำ สายตามองชะเง้อชะแง้เข้าไปข้างใน ปากก็ตะโกนเรียก ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์
“ขำ ไอ้ขำ” รวิชะเง้อชะแง้ต่อ พยายามเรียกอีก “ขำ คุณขำ สงสัยจะไม่อยู่” รวิเท้าเอวทำท่าคิด “ที่ตลาด ร้านของกินก็ไม่มี ไปไหนของมันวะ”
รวิตัดสินใจสตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไป

ที่ค่ายเพลง เดือนกับแดนเซอร์คนอื่นๆ ยืนโพสต์ท่าในตำแหน่งใหม่ เพื่อซ้อมท่าใหม่ เพลงขึ้น ทุกคนวาดลีลากันอย่างพร้อมเพรียง แก้วยืนเอ๋ออยู่เต้นตามไม่ทัน เลยโวยวายขึ้น
“โอ๊ย หยุดๆ ปิดเพลงก่อนซิ”
เสียงเพลงเงียบลง แดนเซอร์คนอื่นๆ ยืนเท้าเอวมองแก้ว เดือนแกล้งยิ้มหันมาถามแก้ว
“มีอะไรเหรอจ๊ะแก้ว”
แก้วหันมาเหวี่ยงเต็มที่
“นี่มันอะไรกัน ทำไมมันไม่เหมือนกับที่ซ้อมมาทีแรก”
“พอดีชั้นคุยกับพวกพี่ๆ เค้าแล้ว ว่าจะปรับรูปแบบให้มันดูอลังการหน่อย เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ทั้งที”
“จะยุ่งยากไปถึงไหน ของเดิมชั้นเกือบจะจำได้หมดแล้ว แล้วนี่อะไร แบบนี้ชั้นไม่เต้นด้วยหรอก”
แก้วสะบัดจะเดินออก เดือนเลยพูดลอยๆ ขึ้น
“อืม ก็กะอยู่แล้วว่าเธอคงไม่มีปัญญาเต้นหรอก เอาเหอะเธอลองไปคุยกับพี่ๆ เค้าใหม่ก็ได้ บอกว่าเธอทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง”

แก้วหันมาจ้องหน้าเดือนอย่างโกรธจัด
“แกคิดว่าชั้นเป็นใครกันยะ ไอ้ท่าง่ายๆ พวกเนี้ยแป๊บเดียวชั้นก็ทำได้แล้ว”
เดือนทำตาโตตื่นเต้น
“ตายจริง ไม่รู้มาก่อนเลย งั้นก็มาซ้อมต่อสิจ๊ะ” เดือนเดินยิ้มเข้าไปใกล้ๆ แก้ว ก้มลงกระซิบ “หรือว่าดีแต่ปาก”
เดือนพูดจบก็แกล้งยิ้มให้ เดินกลับมาที่เดิม แก้วโกรธจัด เดินเชิดกลับมาประจำตำแหน่งเดิม เดือนแอบยิ้มสะใจ “โอเคค่ะ มิวสิค”
เพลงขึ้น ทุกคนเริ่มโพสต์ท่า

ชูเกียรติเดินเข้ามาในค่ายเพลงอย่างเซ็งๆ
“พี่เกียรติ เพิ่งมาเหรอ” ทีมงานทัก
“มานานแล้วมั้ง”
“แหม ถามนิดถามหน่อยทำเป็น เค้าซ้อมกันอยู่ในห้องแน่ะ น้องเดือนมาแล้วนะ คิดธีม การแสดงมาให้เราใหม่ด้วย เจ๋งไปเลย”
ชูเกียรติ ทำหน้าประหลาดใจ
“เดือนเนี่ยนะ อะไรกันหายเครียดแล้วเหรอ ผู้หญิงนี่มันตามอารมณ์ไม่ทันจริงๆ เลยว่ะ ให้ตายเหอะ”
ชูเกียรติทำหน้าสงสัยแล้วเดินไป

ในห้องซ้อม เดือนกับแดนเซอร์เต้นกันอย่างสวยงาม แก้วงกๆ เงิ่นๆ เต้นผิดเต้นถูก ท่ายกแขนบางท่า เดือนแกล้งเอาไมค์ไปโดนหน้า บางทีแกล้งยกมือไปผลักหน้าแก้วจนหน้าหงาย ท่าเตะขาบางท่า เดือนแกล้งเตะไปโดนแก้วจนหน้าคะมำ
ขำกับป้อมแกล้งถือผ้าเช็ดหน้าสกปรกๆ เข้ามาเช็ดหน้า เช็ดหัว ให้แก้ว ชูเกียรติเปิดประตูห้องซ้อมเข้ามา ทุกคนอยู่ในท่าโพสต์จบ แดนเซอร์ชายยกเดือนลอยขึ้นโพสต์ท่าจบอย่างสวยงาม ชูเกียรติหันมาเห็นพอดี ปรบมือให้อย่างพอใจ
“โอ้โห จุ๊ๆ ยอดเยี่ยมมาก” ทุกคนขยับตัว เดือนลงมาอยู่ข้างล่าง พร้อมใจกันปรบมือ “เยี่ยมเลยเดือน ได้ข่าวว่าเดือนคิดธีมมาใหม่ นี่ถ้าวันจริงได้แบบนี้นะ จะสุดยอดมากเลย”
เดือนยิ้มเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“แล้วนี่แก้วไปไหน โดดซ้อมอีกล่ะสิ เฮ้อ จะทำยังไงดีกับเค้าดีเนี่ย”
“ก็มาช่วยชั้นสิยะ” เสียงแก้วดัง

ชูเกียรติชะเง้อชะแง้หาแก้วตามเสียง แดนเซอร์ทุกคนเดินแหวกออก จึงเห๋นแก้วนั่งอยู่ที่พื้น หัวฟู หน้ามันสกปรก มองมาอย่างเจ็บใจ
“แก้ว ไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ แล้ว สารรูปเหรอนั่น”
แก้วกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้น หันไปจ้องหน้าเดือน ป้อม ขำ อย่างโกรธแค้น แต่ทั้ง 3 คนแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้มองไปทางอื่น
“แก้วเค้าคงเหนื่อยน่ะค่ะ เลยลงไปนอนพัก”
“โธ่แก้ว คนอื่นเค้าซ้อมแทบเป็นแทบตาย ตัวเองกับมานอนเนี่ยนะ แย่จริงๆ” ชูเกียรติต่อว่า
แก้วเดินเข้ามาหาชูเกียรติ จ้องหน้า ก่อนจะกรี๊ดออกมาเต็มเสียง แล้วเดินสะบัดออกไป ชูเกียรติเอานิ้วอุดหู หันมาทำหน้างงๆ
“เค้าเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย”
เดือน ป้อม ขำ หันมามองกัน แอบกลั้นหัวเราะ

เดือนสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องซ้อม พร้อมกับ ป้อม ขำ ชูเกียรติวิ่งตามมาดักหน้า
“เดือน เดี๋ยวก่อนจ้ะ”
เดือนทำหน้าเซ็งๆ หันมาพูดกับชูเกียรติ
“พี่เกียรติมีอะไรคะ”
“เดือนหายโกรธพี่หรือยัง เรื่องนั้นน่ะ”
เดือนเบะปาก มองชูเกียรติอย่างรังเกียจ
“เรื่องงานนอกที่พี่เกียรติโยนความผิดให้เดือนน่ะเหรอคะ”
ชูเกียรติหน้าเจื่อนไป
“แหม อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะเดือน พี่บอกแล้วไง พี่จำเป็น เปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า เอ่อ คืนนี้พี่ไปค้างนะจ๊ะ”
เดือนแอบเบะปากทำหน้าหยะแหยง
“ไม่ได้หรอกฮ่ะ คืนนี้ชั้นขอไปนอนค้างกับเดือน” ขำบอก ชูเกียรตหันมาจ้องขำ
“นี่แกเป็นใครน่ะ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว”

“นี่ขำ เพื่อนสนิทของเดือนค่ะ ขำเค้าขอมาค้างซัก 2-3 วัน คงไม่มีปัญหานะคะ”

ขำทำลอยหน้าลอยตา ป้อมเข้ามาร่วมด้วย

“เพื่อนเดือนนี่มีแต่เก้งกวางทั้งนั้นเลยเหรอ ทำไมไม่ให้ไปนอนที่อื่นล่ะ กับผู้ชายที่ไหนก็ได้”
ขำถลกแขนเสื้อ เดินเข้าหาชูเกียรติ ชูเกียรติตกใจถอยหนี
“พี่เกียรติคะ ขำเค้าไม่ได้เป็นค่ะ แต่เค้าชอบเล่น แต่ถึงเค้าจะเป็นจริงๆ พี่ก็ไม่สิทธิ์ไปดูถูกเค้าแบบนั้นนะคะ”
“พี่ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่คิดว่าน่าจะให้เค้าไปค้างที่อื่น”
เดือนจ้องหน้าชูเกียรติแล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“ก็ได้ค่ะ งั้นเดือนขอค่าตัวงานที่ไปมาล่าสุดหน่อยค่ะ จะได้ให้เค้าไปเปิดห้อง พี่เกียรติยังไม่ได้จัดการให้เดือนเลยนะคะ”
ชูเกียรติหน้าเสีย รีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“เออ อันที่จริงให้เค้าค้างที่คอนโดก็ได้นะ จะไปเสียตรงเสียตังค์ทำไม พี่เองก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระด่วน งั้นพี่ไปก่อนละกัน สวัสดี”
พูดจบชูเกียรติก็รีบเดินไปทันที ทุกคนมองตามอย่างสมเพช
“แหม มันน่าจัดการเหมือนนังแก้วจริงๆ เลย”
สายตาขำมองไปที่โต๊ะทำงานโต๊ะหนึ่ง แล้วยิ้มออกมา

เย็นวันเดียวกันนั้นที่วงดนตรีของเทพ ก้องหยิบผลไม้ในจานที่วางอยู่พร้อมมีดที่ปอก แล้วเดินเคี้ยวตุ้ยๆ เข้าประจำที่ซ้อม นภากาศกับศิริพรยืนซ้อมร้องเพลงคลอไปกับเสียงดนตรีเบาๆ
เสียงโทรศัพท์ศิริพรดังขึ้น ศิริพรยิ้มๆ เดินไปหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะกดทิ้งและเดินกลับมาซ้อมใหม่ เสียงโทรศัพท์ศิริพรดังขึ้นอีก ศิริพรเดินไปดูแล้วกดตัดสายทิ้งอีก เป็นอย่างนี้อยู่ 2-3 รอบ
“ชั้นว่าเธอออกไปรับให้มันเรียบร้อยก่อนดีกว่ามั๊ย จะได้ไม่รบกวนคนอื่นเค้าด้วย” นภากาศบอก
ศิริพรมองค้อนนภากาศแล้วหันไปแกล้งยิ้มกับคนอื่น
“สงสัยจะโทรผิดน่ะค่ะ”
ก้องแอบย่องมาข้างหลัง แล้วแกล้งหยิบโทรศัพท์ไป
“ฮั่นแน่ ไหนขอดูหน่อยสิ ใครโทรมาแล้วแกล้งบอกโทรผิดป่าว รวิมาดูเร็ว”
ศิริพรตาโตเริ่มโมโห พยายามแย่งคืน
“นี่ก้อง อย่าเล่นแบบนี้สิ เอาคืนชั้นมาเหอะ”
“ขอดูหน่อยน่า ใครโทรมากันแน่”
ศิริพรพยายามกลั้นโมโห
“ก้อง ไม่เล่นแบบนี้ เอาคืนชั้นมานะ ก้อง”
“ก้อง เสียมารยาท เอาคืนเค้าไปเดี๋ยวนี้” เทพบอก
“นิดเดียวเองคุณเทพ ไหน ดูซิ ชื่ออะไร”
ศิริพรโกรธจัด กำหมัดแน่น สายตาศิริพรเหลือบไปเห็นมีดปอกผลไม้ในจาน
“แก้ว ชื่อแก้ว เพื่อนผู้หญิงนี่”
ศิริพรเดินเข้ามากระชากโทรศัพท์คืนไปอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไป รวิมีสีหน้าสงสัย ก่อนจะตัดสินลุกขึ้นเดินตามศิริพรออกไป

ที่ค่ายเพลง ป้อมเอามือจับหน้าตัวเอง ตาโต อ้าปากค้าง
“โอ๊ว อ๊า โอ๊ว หนองมน โอ๊วว ป๋องเบียร์”
ขำนั่งอยู่หน้าคอมฯ ส่วนเดือนยืนหันหลังเอามือปิดหน้าอยู่
“ขำ ทำอะไรของเธอเนี่ย รีบปิดเร็วๆ เข้า น่าเกลียดที่สุดเลย”
ขำนั่งจิ้มตัวอักษรทีละตัวอยู่
“อ.อ่าง ก.ไก่มันอยู่ตรงไหนเนี่ย ท.ทหารๆ เจอแล้ว เดือนเอาเบอร์มันมาซิ”
“นี่เธอจะทำอะไรเนี่ยขำ” เดือนถามอย่างแปลกใจ
“เถอะน่า เอามาเหอะ จะเอาที่พี่ป้อม ตอนนี้แกคงให้ไม่ไหวละ วิญญาณออกจากร่างแล้วมั้ง”
เดือนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ ก่อนจะยื่นให้ขำโดยยังไม่ยอมหันหน้ากลับไป
“เอ้า เอาไป เร็วๆ ด้วยขำ”
“ได้ๆ ตัวเลขพิมพ์เร็วอยู่แล้ว 084- ทับสามสิบสอง ไม่ช่ายย 084 - 521... โอเคเรียบร้อย”
“เสร็จแล้วเหรอ ว๊าย ขำบ้า น่าเกลียดที่สุดเลย”
เดือนเผลอหันกลับมาแล้วก็ต้องกรี๊ดแตก เอามือปิดหน้าหันกลับไปใหม่
“ก็ยังไม่ได้ปิดนี่ เดี๋ยวๆ ขออ่านทวนก่อน หนุ่มใหญ่ ใจละอ่อน ชอบกีฬาและธรรมชาติ อยากรู้จักโทรมา 084 - 521 โอเค ปิดแล้วนะ”

เดือนค่อยๆ หันกลับมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พอเห็นว่าขำปิดคอมฯแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก
“ขำน่ะเล่นอะไรไม่รู้น่าเกลียดที่สุดเลย คืนนี้กลับไปเดือนต้องล้างตาซัก 3 รอบละ” เดือนบอก
“จะจัดการกับไอ้พวกหื่นมันก็ต้องแบบนี้ เอาเบอร์มันมาโพสต์ในเวปเกย์ จะได้ให้มันหื่นให้สมใจอยาก” ขำบอก เดือนทำท่าขนลุก
“ถ้างั้นก็กลับกันได้แล้ว ไป พี่ป้อม กลับบ้านกัน พี่ป้อม พี่ป้อม”
ป้อมตาเบิกโพลง เหม่อลอย มือยังคงจับหน้าตัวเองอยู่
“หนองมน ป๋องเบียร์ หนองมน ป๋องเบียร์”
“โธ่พี่ป้อม สต่งสติ ไปหมดแล้ว”
เดือนกับขำช่วยกันพยุงป้อมกลับไป

ส่วนที่วงดนตรีของเทพ ศิริพรเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้องซ้อมอย่างโมโหสุดขีด รวิค่อยๆ เดินตามศิริพรไปอย่างเงียบๆ แล้วแอบอยู่หลังต้นไม้ เสียงโทรศัพท์ศิริพรดังขึ้นอีก ศิริพรหยิบขึ้นมาดู สีหน้าโกรธจัด กดรับสายแล้วตวาดลงไปทันที
“แกเป็นบ้าอะไรนักหนา โทรมาถี่ยิบขนาดนี้ เรื่องด่วน ด่วนอะไรของแกอีก อะไรนะ นังเดือนมันหาเรื่องแก แกก็เอาคืนมันสิ มาบอกชั้นทำไม อย่ามาทวงบุญคุณ ชั้นก็ให้เงินแกทุกครั้งนี่ แล้วครั้งล่าสุดเรื่องนังเดือน ชั้นก็ให้แกไปตั้งหมื่นแล้วแกจะเอายังไงอีก หัดใช้สมองคิดเองซะบ้างสิ แล้วถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องโทรมา รอจนกว่าชั้นจะโทรไปเอง แค่นี้นะ”

ศิริพรกดวางสาย ยังกระฟัดกระเฟียดอยู่ ก่อนจะเดินกลับไป สิ่งที่ได้ยินทำให้รวิถึงกับอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก
 
อ่านต่อหน้า 2

หางเครื่อง ตอนที่ 14 (ต่อ)

คืนนั้นที่คอนโดเดือน เดือนนั่งอยู่บนโซฟาถือรีโมทอยู่ ป้อมนั่งตะไบเล็บ ส่วนขำนั่งสัปหงก

“อยากให้ถึงงานนี้เร็วๆ จัง ตื่นเต้นๆ”
เดือนนิ่งเหงา เหมือนพูดกับสิ่งที่มองไม่เห็น
“เห็นมั๊ยแม่ ชั้นก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้วนะ”
“เห็นจ้ะลูก” ขำละเมอลุกขึ้นมาตอบ
“ไอ้นี่ละเมอยังจะเผือกอีก พี่ว่าอีกหน่อยเดือนก็จะดังกว่าเดิม ใครๆ ก็ต้องการตัว ไปถ่ายแบบ ดารา พรีเซนเตอร์ โอ้ พระสงฆ์ คราวนี้ล่ะรวยกันใหญ่เลย”
“ตื่นๆ พี่ป้อม มโนไปใหญ่แล้ว มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เดือนเป็นนักร้องนะ เห็นมั๊ย ขำยังพยักหน้าเห็นด้วยเลย”
ขำนั่งสัปหงกเหมือนพยักหน้าตลอด
“จะไปเอาบ้าอะไรกับไอ้ขำมัน แต่จริงๆ นะเดือน ถ้าดังจริงๆ งานมันก็จะเข้ามาเยอะๆ เอง” เสียงโทรศัพท์เดือนดัง “นั่นไง พูดไม่ขาดคำ”
เดือนส่ายหน้า หันโทรศัพท์ให้ป้อมดู
“พี่เกียรติน่ะ”

ป้อมเบะปากทำท่าเซ็งทันที เดือนลุกขึ้นเดินออกไปรับที่อื่นเพราะเสียงทีวีดัง
“ไอ้ขำ ง่วงก็ไปนอนสิไป”
“อือ ไม่ไหวแล้วจ้ะน้องอ้อย อุ๊ย อย่าโดนตรงนั้นจ้ะมิยาบิ แอร๊ย”
ป้อมตบกะโหลกขำไปทีแล้วหันมาทีวีดูต่อ เดือนวิ่งเข้ามาจับมือป้อม
“อะไรๆ เดือน มีอะไร”
“พี่ป้อม พี่เกียรติเค้าโทรมาบอกว่า เสร็จงานนี้แล้ว มีโฆษณาสนใจให้ชั้นไปเป็นพรีเซนเตอร์ กับอีกอันเค้าให้ชั้นลองไปแคสเล่นหนัง”
ป้อมกับเดือนทำตาโต กรี๊ดกร๊าดโผเข้ากอดกันทันที ขำงัวเงียลุกขึ้นมองอย่างงงๆ
“งั้นงานนี้เดือนต้องทำให้เต็มที่เลยนะ”
เดือนพยักหน้ารับอย่างดีใจ สีหน้าแววตาแสดงความมุ่งมั่น

คืนเดียวกันนั้นที่บ่อนแห่งหนึ่ง ไพ่ถูกโยนลงบนโต๊ะ
“โธ่เว๊ย” ชูเกียติทุบโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาใหม่ตานี้ล่ะไม่พลาดแน่”
ชูเกียรติเลื่อนชิปออกไปอีกกอง
“วันนี้ทุนหนานี่คุณเกียรติ”
“นิดหน่อย พอดีได้เปอร์เซ็นต์งานมานิดหน่อย”
“แหม น่าอิจฉาคุณเกียรติจริงจิ๊ง ได้ทำงานอยู่กับสาวๆ สวยๆ เยอะแยะ แถมยังได้เงินใช้อีก”
ชูเกียรติยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็ถ้าเสี่ยอยากได้สาวๆ ไว้ข้างกายซักคน ก็บอกผมได้นะครับ เอ้า ผมเกอีกหมื่น”
ชูเกียรติเลื่อนชิปเพิ่มลงไป แล้วเล่นต่ออย่างอารมณ์ดี

ช่วงเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ขณะที่เดือนกำลังนอนหลับสีหน้าเดือนที่ยิ้มแย้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด ดิ้นไปดิ้นมา
ภาพในความฝันของเดือน เดือนเดินอยู่ที่ทางเดิน มองไปรอบๆ อย่างงงๆ มองไปข้างหน้าเห็นรวิเดินอยู่
“พี่รวิ พี่รวิรอชั้นก่อน” รวิหันมามองด้วยสายตาเหยียดๆ “ชั้นคิดถึงพี่จัง”
รวิเบะปากใส่เดือน หน้าตาดูถูก
“ผู้หญิงง่ายๆ อย่างเธอน่ะ ไปหาคนอื่นเหอะ”
ศิริพรเดินเข้ามากอดแขนรวิแน่น มองเยาะเย้ยเดือนแล้วพากันเดินไป
“เดี๋ยวก่อนพี่รวิ”
เดือนวิ่งตามรวิไป แล้วก็งงๆ พบว่าจู่ๆ ตนก็วิ่งตามอยู่ในชุดหางเครื่องเมื่อไหร่ไม่รู้

เดือนวิ่งตามหารวิ ขึ้นที่งานคอนเสิร์ต เดือนในชุดหางเครื่อง ยืนอยู่แถวหลังๆ แก้วถือไมค์ออกมายืนโดดเด่นร้องเพลงอยู่กลางเวที ท่ามกลางเสียงเรียกชื่อแก้วจากคนดู
“นี่มันอะไรกัน ชั้นเป็นนักร้องนะ แก้ว”
แก้วหันมาแสยะยิ้ม มองเดือนหัวจรดเท้า
“อย่างเธอน่ะ ชีวิตนี้เป็นได้แค่หางเครื่องกระจอกๆ ก็พอแล้ว”
“ไม่นะ ชั้นจะเป็นนักร้อง ชั้นจะมีชื่อเสียง มีเงิน แล้วก็กลับไปหาแม่ แม่” เดือนหันไปเห็นช้อยยืนมองเดือนอยู่หน้าตาเศร้าหมอง ก่อนจะหันหลังกลับและจางหายไป “แม่ แม่จะไปไหน แม่”

เดือนสะดุ้งตื่นพรวดขึ้น
“แม่” เดือนลืมตาขึ้นเหงื่อแตกท่วมตัว มือยังสั่น “ฝัน” เดือนถอนหายใจโล่งอก เอามือขึ้นมาลูบหน้าลูบตา จะเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาดู พอดีหันไปเห็น “ว้าย”
ป้อมที่นอนอยู่ข้างๆ พอกหน้าขาวเว่อร์ มีโรลอันเล็กๆ พันรอบหัว
“โธ่เอ๊ย พี่ป้อม”
เดือนหันกลับมาสีหน้ายังดูไม่สบายใจอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านรวิ รวิสะพายกระเป๋าวิ่งลงจากบ้านจะออกไปข้างนอก ศิริพรเดินสวนเข้ามาที่หน้าบ้านเกือบชนกับรวิ รวิรีบผงะถอยไปทันที
“รวิ จะรีบไปไหนเนี่ย” รวิอึกอัก
“อ๋อ เอ่อ พอดีชั้นมีธุระน่ะ จะไปที่อื่นหน่อย”
ศิริพรมองหน้ารวิ เหมือนจะจับผิด
“ไปหาเดือนเหรอ” รวิเลิ่กลั่ก
“ปะ เปล่า จะไปหาเพื่อนน่ะ”
“เหรอ”
รวิพยักหน้า รีบปลีกตัวออกมา
“อืม เธอมีอะไรหรือเปล่า อ่อ ไม่มี งั้นชั้นไปล่ะะ”

พูดจบรวิก็รีบเดินออกไปทันที ศิริพรอ้าปากค้างพูดไม่ทัน มองตามอย่างสงสัย เหมือนจะรู้ทัน

อีกด้านหนึ่งที่เวทีคอนเสิร์ต เดือนยืนซ้อมเต้นอยู่บนเวที มือหนึ่งถือแผ่นกระดาษที่จดรายละเอียดไว้ ท่าทางยังไม่ค่อยพอใจ

“เดือน เดี๋ยวค่อยซ้อมดีกว่ามั๊ย” ป้อมบอก
“เสียเวลาน่ะพี่ป้อม ชั้นอยากให้มันออกมาดีที่สุด”
“เดี๋ยวค่อยซ้อมดีกว่าน่า” ขำบอก
“เอ๊ะขำ บอกว่าเสียเวลาไง เอานะคะท่านี้ถ้าทำพร้อมกันจะสวยมากเลย ทุกคนลองดูค่ะ 5 6 7 8”
เดือนยืนเต้นอยู่คนเดียว ป้อมกับขำนั่งเท้าแขน มองอยู่ที่พื้นเวที คนงานกวาดพื้นอยู่ใกล้ๆ ข้าวของบนเวทีระเกะระกะ
“เค้านัดสิบโมง นางมาตั้งกะ 7 โมง เฮ้อ”
ขำมองเดือนที่เต้นเต็มที่ สีหน้าจริงจังสุดฤทธิ์

ส่วนที่บ้านนภากาศ เทพยืนร้องเพลงอยู่หน้าบ้าน
“ไม่ใช่แนวของชาย ไม่ใช่แนวของชาย มันไม่ใช่แนวของชาย”
เทพยืนถือดอกไม้ทำเป็นไมโครโฟนอยู่ ทำท่าร้องเพลงยียวนอยู่ นภากาศเปิดประตูบ้านออกมายืนเท้าเอว เทพยิ้มแป้นยักคิ้วหลิ่วตาให้
“มีไร เตี้ย” เทพสะดุ้ง
“ดูพูดเข้า แนวตั้งพี่อาจเตี้ย แต่น้องจะเพลียเมื่ออยู่แนวนอนนะจ๊ะ ฮิ๊วว” นภากาศเบะปาก
“งั้นนอน พนมมือ เดี๋ยวเอาธูปมาให้”
“อุ้ย โหดอ่ะ”
นภากาศส่ายหน้า มองเทพอย่างรำคาญ
“มีอะไร มาแต่เช้า”
เทพยิ้มกรุ่มกริ่ม เดินมาใกล้ ทำตาปิ๊งๆ
“ว่างน่ะ ไปดินเนอร์กันป่ะ”
“ดินเนอร์บ้าไร แปดโมงเช้า”
“นะ ไปนะ”
“ไม่”

รวิเดินผ่านหน้าบ้าน นภากาศเหลือบมาเห็นพอดี เทพหันมามองตามเห็นรวิก็ตะโกนเรียก
“รวิ จะไปไหน”
รวิหยุดกึกเดินเข้ามาหาเทพกับนภากาศ
“คุณเทพ นภา”
“จะไปไหนจ้ำเอาๆ ยังกะควายหาย”
รวิถอนใจ หน้าบูด
“ถ้ามันหายไปก็ดีสิครับ ผมจะได้ฉลาดซักที”
“อะไร ยังไง” เทพงง นภาเหลือบมองกระเป๋าที่สะพาย
“จะเข้ากรุงเทพเหรอ”
รวิพยักหน้ารับ
“จะไปหาเดือนล่ะสิ แหม อิจฉาจุง ความรักหวานเยิ้มเคลิ้มอุรา” เทพทำหน้าเคลิ้ม ส่งสายตาให้นภากาศ นภากาศทำหน้าดุพยักเพยิดให้ดูหน้ารวิ รวิหน้าจ๋อย คอตก “อุ้ย เป็นไร รวิ”
รวิมีสีหน้าเคร่งเครียด คิดไม่ตก

เทพ นภากาศ รวิพากัยนมานั่งคุยที่ร้านกาแฟ
“ช่วยไม่ได้ ไม่หนักแน่นเอง” นภากาศบอก
รวินั่งจ๋อยก้มหน้า คนกาแฟเล่น เทพยกกาแฟขึ้นซดเสียงดัง เอื้อมมือไปตบไหล่รวิ
“เอาน่า เลิกเศร้าได้แล้ว ก็แค่ไปขอโทษเดือนเค้าซะ”
“แล้วถ้าเค้าไม่หายโกรธล่ะครับ”
“ทำเองก็ต้องหาทางแก้เอง” รวินั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก “มัวแต่มานั่งแบบนี้ ผู้หญิงเค้าคงยอมดีด้วยหรอกนะ”
รวิหันมาสบตากับเทพที่พยักหน้าให้ ตัดสินใจสะพายกระเป๋าลุกขึ้น
“ขอบคุณพี่นภากับคุณเทพมากนะครับ”
“บอกยัยนั่นด้วย อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ล่ะ”
รวิยิ้มพยักหน้ารีบเดินออกไป เทพเขยิบเก้าอี้เข้ามาใกล้นภากาศ กระแอมเบาๆ ยิ้มระรื่น
“ใจดีเหมือนกันนี่”
“ก็แค่แนะนำพวกมือใหม่”
“มืออาชีพคิดจะกลับไปดังมั่งมั๊ย”
นภากาศหันมามองเทพ แล้วหลบตาถอนใจ
“อยู่แบบนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ถ้าย้อนเวลาได้ ชั้นก็คงไม่เลือกเป็นอย่างที่ผ่านมา” เทพยิ้ม จ้องหน้านภากาศ
“อะไร ยิ้มทำไม”
“ป๊าว ไปเที่ยวในเมืองกัน”
นภาเบะปากใส่ เบือนหน้าหนี
“ฝันไปเถอะ”

เดือนยืนบล็อกกิ้งให้แดนเซอร์คนอื่นๆ อยู่บนเวทีคอนเสิร์ต ท่าทางหงุดหงิด อยากให้ได้ดังใจ โปรดิวเซอร์มองตำแหน่งที่เดือนจัดแล้วก็เดินเข้ามาหาเดือน
“เดือน นี่เดือนเปลี่ยนมา 3 รอบแล้วนะ พี่ว่าเอาแบบเดิมก็ได้นะ”
“แต่แบบนี้มันโอเคกว่านี่คะ เดือนว่าถ้าตั้งใจซ้อมกันจริงๆ มันก็ได้เองล่ะ”
“แต่เรายังมีอีกหลายเพลงนะ”
“เดือนว่าแบบนี้ดีแล้ว” เดือนส่ายหน้าไม่สนใจ เพราะอยากให้มันออกมาเริ่ด จัดแจงซ้อมต่อ โปรดิวเซอร์ได้แต่อึ้งๆ ไม่รู้จะเถียงอะไร “ทางขวาเขยิบไปอีกหน่อยค่ะ ดูตำแหน่งด้วยสิคะ อ้าว น้องข้างบนจะขยับทำไมล่ะคะ!โพสต์ค้างไว้สิ” แก้วยืนทำหน้าเซ็งๆ อยู่ “แก้ว ถึงคิวแล้วก็เดินออกมาสิ จะต้องให้บอกกี่รอบเนี่ย” แก้วทำปากขมุบขมิบเดินออกมา“อ้าว น้องข้างบน บอกให้โพสต์ค้างไว้ไงคะ อะไรเนี่ยทำไมไม่ตั้งใจกันเลย”

ด้านล่างป้อมกับขำนั่งกันอยู่ที่นั่งคนดู หันมามองหน้ากัน
“เดือนมันจะจริงจังไปหน่อยมั๊ยเนี่ยวันเนี้ย”
“เค้ากลัวอ่ะ” ขำทำท่ากลัว
“อ้าว อะไรกันล่ะนั่น”
ป้อมกับขำชะเง้อหน้าดูบนเวที
“ไปดูกัน พี่ป้อม”

ป้อมกับขำรีบลุกขึ้นไป

บนเวที แดนเซอร์แต่ละคนเริ่มดูล้าๆ

“เดือน พี่ว่าพักก่อนดีมั๊ย นี่ก็ซ้อมกันมาหลายรอบแล้วนะ” ทีมงานบอก
“อะไรกันคะพี่ เพิ่งจะซ้อมกันเอง ยังไม่พักหรอกค่ะ อ้าวน้อง อีกละ เชิดหน้าขึ้นสิ”
เดือนเดินไปจับหน้าน้องแดนเซอร์คนหนึ่ง แต่พลาดเล็บไปข่วนเอาหน้าน้องอย่างไม่ตั้งใจ
“โอ๊ย”
ทุกคนหันมามอง แก้วถือโอกาสถลาเข้ามาทำเป็นดูหน้าให้น้อง
“ตายแล้ว เลือดออกเลย ทำไมต้องรุนแรงแบบนี้เดือน”
แก้วจับแก้มแดนเซอร์หันมา
“พี่ พี่ขอโทษ พี่แค่จะ...” เดือนจะอธิบายแต่แก้วพูดแทรกไซโคคนอื่นต่อ
“ก็พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องรุนแรงแบบนี้เลย นี่ๆ มาดูกันเร็ว” แก้วทำเป็นกวักมือเรียกคนอื่นมาดู อีกมือก็บีบหน้าน้องให้แรงขึ้น “ตายแล้วต้องเป็นแผลเป็นแน่เลย เป็นรอยซะขนาดนี้”

แดนเซอร์คนนั้นเริ่มหน้าเสียร้องไห้ แดนเซอร์คนอื่นๆ เริ่มซุบซิบกัน ป้อมกับขำรีบเดินเข้ามาช่วยเดือน ขำถือโอกาสไปจับแก้มแดนเซอร์
“นี่ แกอย่ามาโอเว่อร์ให้มันมากนังแก้ว มันไม่ขนาดนั้นหรอก”
“ใช่แค่นี้เอง ทั้งขาว ทั้งเนียน เอ้ย ถลอกนิดหน่อยเอง”
แก้วทำเป็นลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
“เดือนขอโทษ เอางี้ ให้น้องไปใส่ยาก่อน คนอื่นก็ไปซ้อมต่อกัน”
“ไม่เกินไปหน่อยเหรอเดือน เราซ้อมกันมาตั้งกี่รอบแล้วเนี่ย”
แดนเซอร์คนอื่นๆ ช่วยกันพูด เริ่มไม่พอใจเดือน แก้วถือโอกาสรีบใส่ต่อ
“ตอนแรกที่เธอเจ้ากี้เจ้าการมาเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่น่ะ ชั้นก็ไม่คิดอะไรหรอกนะ แต่ตอนนี้ชั้นรู้ละ ว่าเธออยากจะเด่นคนเดียวโดยไม่สนใจคนอื่นเลย”
เดือนมีสีหน้าโกรธจัด อ้าปากจะเถียงแก้ว แต่แดนเซอร์อีกคนพูดขึ้นมาก่อน
“แบบนี้ไม่ไหวนะเดือน นึกถึงคนอื่นบ้างก็ดีนะ ไม่ใช่แค่เดือนนะที่อยู่บนเวที”
แดนเซอร์คนอื่นๆ พากันไม่พอใจเดินลงจากเวที เดือน ป้อม ขำ ยืนอึ้ง ป้อมพยายามจะเรียกคนอื่นกลับมา
“เดี๋ยวก่อนตัวเอง ไม่ใช่อย่างนั้น กลับมาก่อน”
โปรดิวเซอร์เดินเข้ามามองเดือน ส่ายหน้าแล้วเดินหนีไป เดือนหน้าเสียทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนอึ้ง มองดูทุกคนเดินออกไป
แก้วยืนเชิดหน้ายิ้มอย่างสะใจอยู่ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินตามคนอื่นออกไป

อีกด้านหนึ่งที่ท่ารถ รวิรับตั๋วรถจากช่องขายแล้วเดินออกมายืนมองซ้ายมองขวา ยกนาฬิกาขึ้นมอง เดินไปที่แผงหนังสือ รวิกวาดตามองหยิบค้นเล่มนู้นเล่มนี้ จนคนขายยืนเท้าเอวมอง
“จะเอาเล่มไหน” คนขายถามอย่างหงุดหงิด
“เล่มที่หน้าปกเป็นรูปเดือน งามพร้อม น่ะ สั่งมาเพิ่มยัง”
“ยัง อีตอนมีทำไมไม่รีบซื้อ”
รวิกวาดสายตาไปจนเห็นอีกเล่มหนึ่งวางกางคั่นหน้าอยู่ตรงคนขาย
“นั่นไง เหลืออยู่”
“เล่มนี้เอาไว้อ่าน ไม่ขาย”
“จะเอา”
“บอกว่าไม่”
“ร้อยนึง ไม่ต้องทอน”
“ใส่ถุงมั๊ยจ๊ะพี่” คนขายเสียงหวานเปลี่ยนท่าที
รวิรับมาอย่างดีใจ เดินมานั่งรอเวลาที่ท่ารถ ศิริพรเดินเหมือนมองหาใครอยู่หันมาเห็นรวิพอดี เลยรีบหาที่หลบ
ศิริพรแอบมองจ้องมาทางรวิ แล้วมองไปรอบๆ ศิริพรจ้องไปที่รถทัวร์ ที่หน้ารถที่เขียนว่า “กรุงเทพฯ” ศิริพร ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะรู้แล้วว่ารวิจะไปไหน รีบเดินหนีไป
รวินั่งจ้องหน้าปกรูปเดือน ยิ้มอย่างพอใจ เอาเสื้อเช็ดแล้วเช็ดอีก
“จะไปง้อแล้วนะ รอกันด้วยล่ะ”
รวิเอานิ้มจิ้มแก้มเดือนที่ปกหนังสือ จนคนที่ผ่านไปผ่านมา เริ่มมองแล้วซุบซิบ รวิอึกอักเฉไฉทำไม่สนใจ

ตลาดในเมือง นภากาศเดินซื้อของอยู่กับเทพ นภากาศทำหน้าแบบงงกะชีวิตว่ามาได้ยังไง ส่วนเทพหิ้วถุงพะรุงพะรัง ดี๊ด๊าเป็นพิเศษ
“หิวน้ำมั๊ยจ๊ะน้องภา ตรงโน้นมีร้านโอเลี้ยงอยู่ ไปมะๆ”
นภากาศมองค้อนขวับๆ
“ไม่หิว อยากกลับบ้าน”
“จะรีบกลับไปไหนล่ะจ๊ะ นานๆ เราจะได้มาเดทกันซักที” เทพลอยหน้าลอยตายียวน นภากาศหยุดเดิน ยืนเท้าเอวมองหน้าเทพ
“อย่าละเมอ ชั้นมาเป็นเพื่อนเฉยๆ แล้วก็ช่วยเอาหน้าเหลี่ยมๆ ออกไปด้วย ไม่ต้องเข้ามาใกล้มาก”
“แหม เขินล่ะสิ”

นภากาสขี้เกียจจะเถียงเดินหนีซะงั้น เทพเลยต้องวิ่งตาม ศิริพรเดินสวนมาเหลือบมาเห็นนภากาศจึงมองอย่างสงสัยแล้วเดินเขามาทัก
“อุ๊ย พี่นภา มาเดินเที่ยวเหรอคะ” ศิริพรพูดอย่างเหยียดๆ เทพวิ่งตามมาพอดี
“อ้าว ศิริพร ไปไหนมาน่ะ”
ศิริพรหันมาเห็นเทพก็ทำหน้าแปลกใจ พอเห็นว่ามากับนภากาศก็เลยแอบยิ้มอย่างสมเพช
“มาธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ นี่มาเดทกันเหรอคะ”
เทพยิ้มหน้าบาน นภากาศหันมาจ้องโกรธขึ้นมาทันที
“มันบังเอิญ ไม่ได้มาเดทบ้าเดทบออะไรทั้งนั้นล่ะ”
“เหรอคะ งั้นชั้นขอตัวก่อนนะคะ ไปนะคะคุณเทพ เจอกันที่วงค่ะ”
ศิริพรแกล้งยิ้มให้เทพ แล้วเดินมาพูดเบาๆ ให้ได้ยินแค่นภากาศ
“หาได้เท่านี้เองเหรอ หึ แต่ก็เหมาะกันดีนะ”
พูดจบศิริพรก็เดินเชิดหน้าไปทันที นภากาศหันไปจ้อง ทั้งโกรธทั้งอาย เดินสะบัดหนีไป

“อ้าว น้องภา เดี๋ยวก่อนสิ รอก่อน”
 
อ่านต่อหน้า 3

หางเครื่อง ตอนที่ 14 (ต่อ)

เดือนนั่งกอดเข่าอยู่บนเวที ป้อมกับขำนั่งกินข้าวกล่องอยู่ข้างๆ

“เดือน กินข้าวก่อนเหอะ”
เดือนส่ายหน้า สีหน้าเคร่งเครียด
“ขำกับพี่ป้อมกินก่อนเลย เดี๋ยวชั้นรอซ้อมอีกรอบก่อน”
“โอ๊ย ป่านนี้กลับบ้านกันไปหมดแล้วมั้ง”
ป้อมตีแขนขำ ดุขำไม่ให้พูด ใครบางคนเดินเข้ามา เดือนรีบลุกขึ้นอย่างดีใจ แต่ก็หุบยิ้มลงทันที เพราะเป็นชูเกียรติที่เดินเข้ามา
“อ้าว เลิกซ้อมกันแล้วเหรอ”
เดือน ถอนหายใจนั่งลงกอดเข่าเหมือนเดิม
“มีปัญหานิดหน่อยน่ะค่ะ”
ชูเกียรติมองอย่างสงสัย กำลังจะถาม แต่โทรศัพท์ดังก่อน
“ฮัลโหล อะไรนะ ไม่รับไม่รุกอะไรทั้งนั้นล่ะ ไอ้บ้าเอ๊ย”
ชูเกียรติกดวางโทรศัพท์อย่างโมโห ป้อมกับขำหันมามองหน้ากัน เหมือนรู้ทัน
“ใครโทรมาเหรอฮ๊า คุณชูเกียรติ”
“ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหน ตั้งแต่เช้าล่ะแถมส่งรูปใส่กางเกงในรัดติ้วมาอีก จะอ้วก ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ว่าเลย”
ป้อมกับขำแอบกลั้นหัวเราะ เดือนยิ้มแหยๆ แกล้งถามชูเกียรติ
“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแนวแล้วเหรอคะ”
“เดือนก็พูดไป พี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ว่าแต่มีปัญหาอะไรกันเนี่ย”
เดือนสีหน้าดูเคร่งเครียดและกังวล

เดือนเดินเหม่อลอยหน้าจ๋อยอยู่ ขำกับป้อมเดินตามหลังไม่กล้าพูดอะไร เกี่ยงกันให้เข้าไปคุยกับเดือน
“ชั้นก็แค่อยากให้มันออกมาดีที่สุด”
“อย่าคิดมากเดือน พี่ว่าคนอื่นเค้าคงเข้าใจล่ะ ใช่มั๊ยไอ้ขำ”
“คิดมาก หน้าแก่”
ภาพจากด้านหลังทั้ง 3 คน แทนสายตาใครบางคนจ้องอยู่ แล้วพุ่งเข้าไป มือของผู้ชายปิดปากขำแล้วลากหลบไป
“พี่ว่าพี่ไปหาอะไรมาให้เดือนรองท้องซะหน่อยดีกว่านะ”
แทนสายตาใครบางคน พุ่งเข้าหาป้อม ปิดปากแล้วลากออกไป
“ไม่ล่ะ เดือนไม่หิว พี่ป้อมกับขำอยากกินอะไรก็ไปซื้อเหอะ อ้าว”
เดือนหันมาบอกกับทั้งคู่ เจอแต่ภาพว่างเปล่า เลยยืนงง

ป้อมถูกปิดปาก พยายามดิ้นจนหลุดพยายามเข้ากอด
“อ๊ายอย่านะ ชั้นไม่มีเงิน จะข่มขืนก็ข่มขืนไป ตามลำดับนะ” รวิกับขำยืนเท้าเอวมอง ป้อมกรี๊ดกร๊าดแล้วชะงักไป มองหน้ารวิทำตาปริบๆ “รวิ ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย ชิ ความหวังพังทลาย”
“ขอโทษที”
ป้อมมองค้อนรวิขวับๆ
“แกมาได้ยังไงเนี่ย”
“นั่นดิ รู้ได้ไงพวกเราอยู่ที่ไหน”
รวิยิ้มแหยๆ เล่าให้ฟัง
“คือเมื่อวันก่อน ชั้นได้ยินศิริพรคุยโทรศัพท์แปลกๆ แล้วก็เกิดคิดได้ว่าชั้นเข้าใจเดือนผิดหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจไปซื้อตั๋วรถทัวร์แล้วก็รอเวลา พอถึงเวลาก็ขึ้นรถ พอถึงกรุงเทพฯ ก็...”
ป้อมยกมือห้าม
“ขอย่อๆ เนื้อๆ”
“ที่ตามเดือนมา เพื่อจะขอโทษน่ะ”
ขำกับป้อมมองหน้ากัน ส่ายหน้ายิ้มๆ

เย็นวันเดียวกันนั้น ศิริพรเดินคุยโทรศัพท์มาเรื่อยๆ
“ขอโทษงั้นเหรอ แล้วเค้าจะไปขอโทษมันเรื่องอะไร งั้นเหรอ ชั้นคิดอะไรออกแล้ว ไม่ต้องถามมากแก้ว” ศิริพรหยุดเดินหันไปมองจึงเห็นว่าศิริพรหยุดอยู่ที่หน้าค่ายมวยพิมุก “ทำตามที่ชั้นบอกก็พอ”

“จะชวนชั้นเข้ากรุงเทพเนี่ยนะ”
พิมุกถามอย่างแปลกใจพร้อมกับมองหน้าศิริพร
“ทำไม มีอะไรแปลกงั้นเหรอ”
“ก็ถ้าคนอื่นชวนก็คงไม่แปลก แต่นี่เป็นเธอ”
ศิริพรพูดต่อไม่สนใจ
“พอดีชั้นมีธุระ แล้วไม่อยากไปคนเดียว คงไม่ลำบากเกินไปที่จะช่วยชั้นใช่มั๊ย”
พิมุกมองศิริพรอย่างระแวง
“เธอจะทำอะไรกันแน่”
“แหม ตั้งแต่เดือนเค้ายอมรับเธอนี่ ดูเธอจะติดนิสัยขี้ระแวงมาด้วยนะ”
“แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
ศิริพรแกล้งเปลี่ยนเรื่องพูด
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกัน”
พูดจบศิริพรก็เดินลอยหน้าลอยตาออกไป ทิ้งให้พิมุกมองตามอย่างระแวง

ส่วนที่เวทีคอนเสิร์ต เดือนกำลังเดินหาป้อมกับขำ
“ไปไหนกันเนี่ย หายต๋อมไปเลย” รวิเดินเข้ามาหาเดือนทางด้านหลัง เดือนหันกลับมาอย่างแปลกใจ เจอกับรวิเข้าพอดี “พี่รวิ”
รวิยิ้มให้ เดินเข้ามาจับมือ
“เดือน พี่มาขอโทษ” เดือนสะบัดมือรวิออก เดินหนีไม่ฟังเสียง “เดือน ฟังพี่ก่อน เดือน”
รวิวิ่งตามมาแล้วฉุดแขนเดือนไว้
“ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะพี่รวิ”
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อนได้มั๊ย”
เดือนสะบัดหน้าหนี
“ชั้นไม่มีอะไรจะคุยกับพี่”
“เดือน จะไม่ยกโทษให้พี่เลยเหรอ”
“ไม่”
“ใจดำ” เดือนหันมาจ้องหน้ารวิ สายตาดุดัน รวิหน้าสลด “พี่รู้ว่าพี่ผิด พี่เสียใจมากนะ ให้โอกาสพี่แก้ตัวนะ”
“ไม่ พี่เสียใจ แต่เดือนยิ่งกว่า เสียทั้งใจทั้งความรู้สึก”
เดือนสะบัดหน้า เดินหนีรวิ รวิวิ่งตามพยายามตะโกนเรียก
“เดือน”
รวิดึงชายเสื้อ เดินตามเดือนหน้าละห้อย เดือนหยุดชะงักหันกลับมา

“พี่รวิ” เดือนเดินเข้ามาหารวิ จ้องมอง แล้วนิ่งไป ควันลอยอ้อยอิ่งเข้ามา ดนตรีเหงาลอยมา “พอเหอะ ชั้นแสบตา”

ขณะนั้นป้อมกำลังพัดควันจากปี๊บเผากาบมะพร้าวไปทางเดือน ขำวิ่งเข้ามาพร้อมสายยาง น้ำเปิดไหลผลั่กๆ

“พี่ป้อม พี่ป้อม”
“อะไรของเอ็ง ฉีดน้ำบิวท์ไป กำลังได้ฟิลเลย” ป้อมบอกโดยไม่ได้มองเลยว่าเดือนกับรวิกำลังมองมา
“ไม่ฟงไม่ฟิลแล้วพี่ป้อม เดือนน่ะ เดือน”
“เดือนทำไม ยอมใจอ่อนแล้วเหรอ”
เดือนเดินเข้ามาหา ยืนกอดอกจ้องป้อมกับขำ
“ยัง”
“งั้นบิวท์ต่อ ว๊าย เดือน” ป้อมสะดุ้งลืมตาขึ้นมา วิทยุหล่นกระจาย “พี่ พี่ไม่รู้เรื่อง พี่ผ่านมาเฉยๆ”
เดือนหันไปมองรวิที่ลุกขึ้น ยิ้มแหยๆ เอามือเกาหัวแกรกๆ
“รวมหัวกันดีนักใช่มั๊ย ใครเป็นต้นคิดเนี่ย”
ทั้งคู่ชี้มือโทษกันไปมา ขำถือสายยางอยู่ชี้ไปที่ป้อมเลยพลอยเปียกไปด้วย เดือนมองทั้ง 3 คนอย่างโกรธๆ ส่ายหน้าแล้วเดินงอนออกไป
“พี่ไม่รู้เรื่อง”
รวิมองสองคนที่พยายามช่วยอย่างซึ้งใจ

ที่วงดนตรีของเทพ นภากาศนั่งอยู่ที่โต๊ะ ท่าทางเคร่งเครียดเหมือนคิดอะไรอยู่
“นภา จะเอาคืนมาได้หรือยังเนี่ย เอาไปตั้งนานแล้วนะ”
เทพเดินหน้าบึ้ง พูดเสียงดังมาหยุดอยู่ที่นภากาศ
“คืนอะไร ชั้นไปเอาอะไรมา”
“เฮ้อ คนเราเนี่ยนะ เวลาจะเอาก็เอาไปง่ายๆ แต่เวลาคืนเนี่ยสิ”
นภากาศทำหน้างงๆ มองไปที่คนอื่นเห็นมองกันมาอย่างสงสัย
“นี่! ชั้นไปเอาอะไรมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดให้มันดีๆ ซิ”
เทพมีสีหน้าดุดัน แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน
“ก็หัวใจของเทพไงจ๊ะ เอาไปแล้วไม่ยอมคืนซักที”

นักดนตรีที่อยู่แถวนั้นต่างส่งเสียงแซว
“หยอดได้ทุกวันเลยนะพี่เทพ อิจฉา”
นภากาศตบโต๊ะ ลุกขึ้นอย่างโมโห
“เลิกเล่นไอ้มุกเสี่ยวๆ พวกนี้ซะทีได้มั๊ย”
“แหม ไม่ต้องอายหรอกค่ะพี่นภา ตอนกลางวันยังเห็นไปเดทหวานแหวกันอยู่เลย”
ศิริพรเดินเข้ามา มองนภากาศด้วยหางตา แกล้งพูดแซว
“เอ้าจริงดิ พี่เทพร้ายกาจมาก ไปคบกันตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
“ไม่ใช่นะ ชั้นแค่” นภากาศพยายามอธิบาย ศิริพรเดินมายื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ เบาๆ
“สารรูปแบบนั้นก็เหมาะกับสังขารแบบนี้” นภากาศโกรธจัด จ้องหน้าศิริพร กำหมัดแน่น ศิริพรรีบทำเป็นพูดต่อ “น่ารักกันจังเลยนะคะ”
“บ้า ศิริพรเนี่ย พูดอะไรก็ไม่รู้”
นภากาศหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องซ้อมทันที เทพยืนงงก่อนจะรีบวิ่งตามออกไป ท่ามกลางเสียงแซวของคนอื่น

เทพวิ่งตามนภากาศออกมาข้างนอก
“เดี๋ยวสินภา ไม่เห็นต้องเขินขนาดนี้เลย”
นภากาศหยุดกึก หันมาจ้องหน้าเทพ พยายามสะกดอารมณ์
“พี่เทพ ชั้นขอพูดตรงๆ กับพี่เลยนะ”
“จ้ะ พูดมาเลย”
เทพเขยิบตัวเข้ามาใกล้อีก ยิ้มหน้าบาน
“พี่รู้จักต้นตะบองเพชรมั๊ย” เทพพยักหน้ารับ งงๆ “ตะบองเพชรน่ะ ถ้าแค่เอามาตั้งไว้แก้เหงามันก็พอได้หรอกนะ แต่สารรูปของมันน่ะ ไม่เหมาะที่จะถือไปอวดใครเค้าได้หรอก! พูดแค่นี้พี่คงเข้าใจนะ”
พูดจบนภากาศมองเทพอย่างเหยียดๆ เดินสะบัดกลับไป เทพหน้าถอดสี อึ้งไปพูดไม่ออก หน้าสลดลง ไม่นึกว่านภากาศจะพูดขนาดนี้

วันต่อมา เดือนเดินนำป้อม ขำอย่างเร่งรีบเข้าไปในอาคารที่ใช้จัดคอนเสิร์ต เดือนเปิดประตูเดินเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน”
แต่ไม่มีใครมาซักคน เดือนหน้าสลดลง เดินอย่างเซ็งๆ ไปบนเวที
“เดี๋ยวก็คงมากันมั้งเดือน” ป้อมบอก เดือนฝืนยิ้มพยักหน้ารับ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดือนซ้อมร้องเพลงคนเดียวก่อนก็ได้”
ป้อมกับขำหันมามองหน้ากัน รู้สึกสงสารเดือน เดือนเดินออกไปกลางเวที สูดลมหายใจเข้า หลับตา แล้วเริ่มร้องเพลงเสียงหวานซึ้ง
เดือนร้องเพลงใส่อารมณ์เต็มที่ ขำกับป้อมดูอินไปด้วย หน้าเดือนดูเศร้าๆ เหงาๆ เสียงแซ็กโซโฟนเพลงเดียวกันแทรกขึ้นอย่างไพเราะ เดือนลืมตาขึ้นมองหาเสียง ป้อมกับขำก็ลุกขึ้นมองหาที่มาของเสียงด้วย
รวิเดินเป่าแซ็กโซโฟนเข้ามา จนมาหยุดอยู่ที่ข้างเดือนพอดีกลับจบท่อนเพลงพอดี
“พี่รวิ นี่พี่ยังไม่กลับไปอีกเหรอ”

รวิจ้องหน้าเดือนยิ้มให้อย่างรักใคร่ แต่เดือนยังงอนอยู่เลยสะบัดหน้าหนี หันไปมองป้อมกับขำถามความจริง
ป้อมกับขำโบกไม้โบกมือส่ายหน้ากันพัลวัน
“เค้าป่าวนะตัว”
“พี่ก็ไม่รู้เรื่องนะ”
“ไม่เกี่ยวกับ 2 คนนั้นหรอก จะให้พี่กลับไปได้ยังไง เรายังไม่เข้าใจกันเลย”
“เดือนไม่อยากจะเข้าใจอะไรทั้งนั้น”
“แต่พี่อยากให้เดือนเข้าใจนี่” รวิเอื้อมมือไปจับมือเดือนขึ้นมากุมไว้ “เดือน พี่...”
“รวิ”

ศิริพรเรียกขณะยืนอยู่ด้านล่าง ทั้งรวิและเดือนหันมามองพูดอะไรไม่ออก

ด้านนอก พิมุกยืนพิงรถอยู่ เตี้ยกับบ่างนั่งยองๆ เอาไม้เขี่ยพื้นไปเรื่อย

“ลูกพี่ แล้วนี่เจ๊เค้าให้เรารออะไร”
“นั่นสิ บอกอีก 5 นาทีค่อยเข้าไป เจ๊เค้าเข้าไปทำอะไร 5 นาทีน่ะพี่”
“ข้าก็อยู่กับพวกเอ็งตรงเนี้ย ข้าจะรู้มั๊ย ถามอะไรโง่ๆ”
“เฮ้ย พี่ นั่นมันเด็กพี่ไม่ใช่เหรอ”
เตี้ยลุกขึ้นชี้ไป พิมุกหันไปมองตามจึงเห็นแก้วเดินควงผู้ชายมีอายุท่าทางรวยคนหนึ่งท่าทางดี๊ด๊า กับอีก 2-3 คนตามเข้าไป
“ทำแบบนี้ได้ไง หยามกันชัดๆ เตี้ยจะไม่ทน”
เตี้ยทำท่าเอาเรื่องจะเดินไปหา แต่พิมุกจิกหัวไว้แล้วดึงกลับมา
“ไม่ต้องเสล่อเลย นังแก้วน่ะ ข้าไม่เอามาทำเมียหรอกโว้ย เล่นแก้เซ็งแค่นั้น”
“ว่าแต่นางมาที่นี่ทำไม มาดูอะไรเหมือนเราเหรอ อยากรู้อ่ะ”
พิมุกหันมามองหน้าเตี้ยกับบ่าง
“เออๆ ข้าก็อยากรู้ ไป”
ทั้ง 3 คนลุกเดินตามเข้าไป

ศิริพรเดินยิ้มขึ้นไปบนเวทีไปยืนข้างๆ รวิ ป้อมกับขำลุกขึ้นมายืนข้างเดือนทันที รวิเลิ่กลั่กกำลังงงว่าศิริพรมาได้ยังไง
“ศิริพร นี่เธอมา...”
“รวิน่ะ ออกมาก่อนก็ไม่บอก น่าจะปลุกกันซักนิดนึง” รวิหน้าเหวอทันที เดือนหันมาจ้องหน้ารวิ พยายามสะกดอารมณ์ “เมื่อวานเราพึ่งมาถึงกันน่ะจ้ะ ก็เลยเปิดห้องที่...” ศิริพรแกล้งทำเขินไม่กล้าพูด “แหม น่าจะบอกกันซักนิดว่า
มาหาเดือน จะได้มาพร้อมกัน”
“ไม่ใช่นะเดือน คือ...” รวิพยายามอธิบายแต่ศิริพรพูดขัด
“ว่าแต่ วันนี้ไม่มีซ้อมเหรอเดือน คนเงียบจัง” เดือนหันหลังกลับทำไม่สนใจ ศิริพรแกล้งเดินเข้ามาจับแขน “อุ๊ย เดือน ระวังนะ เวทีมันสูง ถ้าตกลงไปล่ะแย่เลย” เดือนหันมาจ้องหน้าศิริพร สะบัดแขนออก หันกลับแต่ศิริพรดึงแขนเดือนไว้แล้วก้มลงไปกระซิบ “เหมือนตอนที่แม่แกตกลงมาตายไง”
เดือนหันขวับมาทันทีสีหน้าโกรธจัด
“อย่ามาลามปามแม่ชั้นนะ”
“ทำไมล่ะ แกรู้มั๊ย ทำไมแม่แกถึงตกลงมา” ศิริพรถามเสียงเบา เดือนทั้งโกรธทั้งสงสัย

“เนี่ยค่ะ เดือนเค้ากำลังคิดท่าใหม่ๆ อยู่ ส่วนพวกคนอื่นๆ เดี๋ยวก็ตามมาค่ะ”
เสียงแก้วดังเข้ามา ขณะนั้นแก้วกำลังพาเสี่ยวาทินกับคนอื่นๆ เข้ามา ศิริพรเหลือบมาเห็นพอดีเลยรีบไซโคเดือนต่อ
“เพราะเค้าเห็นรูปทุเรศๆ ของแกไง แล้วชั้นนี่ล่ะที่เป็นคนเอาให้แม่แกดู”
“ศิริพร ทำไมเธอถึงเลวได้ขนาดนี้”
“จะพูดอะไรก็พูดไป อีกไม่นานเธอก็จะเป็นแค่เดือนดับ” ศิริพรยื่นหน้าไปกระซิบ “ดับเหมือนชีวิตแม่เธอไง”
พูดจบศิริพรก็เดินหันหลังกลับจะไปหารวิ เดือนฟิวส์ขาด จิกหัวศิริพรกลับมาแล้วตบไม่ยั้ง จนศิริพรล้มลงไปกอง เดือนขึ้นคร่อมตามไปตบต่อ รวิตกใจสุดขีด พยายามจะเข้าไปห้าม แต่ขำกับป้อมแกล้งมาดึงไว้
“ว้าย เดือน อย่า อย่าทำตรงนั้น จิกหัวมันขึ้นมาอีกหน่อย”
“เดือน พอแล้ว ข้างขวาน่ะพอแล้ว เปลี่ยนมาตบข้างซ้ายบ้าง”

กลุ่มของแก้วมองมาอย่างตกใจ แก้วแกล้งโวยวาย
“ว้ายตายแล้ว อะไรกัน เดือน ทำไมใจร้ายขนาดนั้น”
“นี่มันอะไรกัน”
เสี่ยวาทินถามเสียงเข้ม คนอื่นหันมาซุบซิบกันใหญ่ พิมุกเดินเข้ามาพร้อมกับบ่างกับเตี้ย เห็นเดือนบนเวทีก็ตกใจ
“ที่แท้เจ๊เค้าหนีมาไฟท์น่ะเอง”
“เออ เฮ้ย มันส์เว้ย เอ้ยๆ”
แก้วแอบยิ้มเยาะอย่างสะใจ แต่พอหันกลับมาเจอพิมุกพอดีก็ตกใจตาเหลือก
“พี่พิมุก”
พิมุกชายตามามองนิดหนึ่งแล้วเบะปากใส่ เดินไปดูเดือนใกล้ๆ แดนเซอร์คนอื่นๆ เริ่มทยอยเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ก็เรียกให้ดูกันใหญ่

รวิดิ้นหลุดจากขำกับป้อม วิ่งเข้าไปลากเดือนออกมา ศิริพรลุกขึ้นทำท่าสำออย พอเห็นว่ามีคนมาเยอะแล้วก็รีบแกล้งพูด ทำเป็นอ่อนแอ
“เดือน ทำไมเธอใจร้ายแบบนี้ ชั้นไม่เคยคิดจะแย่งผู้ชายกับเธอเลยจริงๆ นะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้น
“พูดอะไรน่ะ เธอพูดอะไรของเธอ” เดือนถาม ศิริพรแกล้งร้องไห้ยกมือไหว้เดือน
“ขอร้องล่ะนะ อย่าทำร้าย อย่าข่มขู่ชั้นเพราะผู้ชายอีกเลย”
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้น เดือนหันไปมองด้านล่างมีแต่คนจับกลุ่มนินทากัน
“เสแสร้งแบบนี้งั้นขออีกซักทีเถอะ”
เดือนง้างมือจะเข้าไปตบอีก รวิพยายามมาดึงไว้ เดือนเลยโมโหสะบัดจนหลุดแล้วหันกลับมาตบหน้ารวิฉาดใหญ่แทน เพี๊ยะ!!

รวิหน้าสะบัดไปตามแรงตบ ทุกคนอึ้งไปแม้แต่เดือนก็ตกใจ เมื่อรู้สึกตัว รวิค่อยๆ หันกลับมามองหน้าเดือน น้ำตาคลอเบ้า ปากแตกมีเลือดซึม
“พอใจหรือยังเดือน”
รวิหันหลังกลับเดินออกไป ศิริพรแอบยิ้มอย่างสะใจ เชิดหน้าใส่เดือน ก่อนจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอ เดินตามรวิออกไป เดือนอึ้งไป มองมาที่คนอื่นๆ ด้านล่าง เห็นกำลังยืนซุบซิบกันอยู่ แต่ที่ต้องตกใจไปกว่านั้นคือเห็นเสี่ยวาทินกำลังมองมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“พอกันทีกับนักร้องที่สร้างแต่เรื่องอย่างเธอ ให้แบนเธอทุกอย่างไว้ก่อน รวมถึงคอนเสิร์ตนี้ด้วย ให้หนูแก้วขึ้นแทนทั้งหมด”
เดือนตกใจสุดขีด รีบวิ่งลงมาหาเสี่ยวาทินข้างล่าง ป้อม ขำ ตกใจไม่แพ้กันรีบวิ่งตามเดือนลงมา

เดือนวิ่งลงมาหาเสี่ยวาทิน พยายามจะอธิบาย
“มันไม่ใช่อย่างที่เสี่ยเข้าใจนะคะ”
“จะให้เข้าใจยังไง ที่เห็นอยู่นี่ก็ชัดเจนที่สุดแล้ว ตบตีแย่งผู้ชายกัน นี่ถ้าเรื่องไปถึงนักข่าวอะไรมันจะเกิดขึ้นลองคิดดู”
“แต่เสี่ยคะ”
“พอที ทุกอย่างให้เป็นไปตามที่สั่งตะกี๊ ถ้าไม่พอใจก็ฉีกสัญญาไปได้เลย”
พูดจบ เสี่ยวาทินก็เดินออกไป แก้วแอบมองเดือนอย่างสะใจ เดินเชิดตามเสี่ยวาทินไป แต่พอเห็นพิมุกมองอยู่ก็รีบก้มหน้าก้มตาหลบไป พิมุกเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเดือน
“เดือนหลอกพี่อีกแล้วใช่มั๊ย นี่พี่คงใจดีกับเดือนมากไปสินะ งั้นคอยดูต่อจากนี้ เดือนจะได้รู้ เวลาที่พี่ไม่ใจดีแล้วเป็นยังไง”
เตี้ยกับบ่างเดินมาหยุดตรงหน้าเดือนบ้าง อ้าปากจะพูด แต่ขำกับป้อมชี้หน้าท่าทางเอาเรื่องเลยรีบวิ่งตามพิมุกออกไป
แดนเซอร์ตัวประกอบอื่นๆ ยังคงยืนซุบซิบเม้าท์เดือนอยู่ เดือนทรุดลงไปนั่ง ขำกับป้อมต้องนั่งลงไปกอดเดือนไว้
“มันจบแล้ว ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว”

เดือนน้ำตาไหลอาบแก้ม สีหน้าท้อแท้สิ้นหวัง
 
อ่านต่อหน้า 4

หางเครื่อง ตอนที่ 14 (ต่อ)

เย็นวันเดียวกันนั้นที่อพาร์ทเม้นท์ของแก้ว แก้วกำลังต่อว่าศิริพรเรื่องพิมุก

“ทำไมเธอไม่บอกชั้นว่าจะพาพี่พิมุกมาด้วย”
แก้วเดินเข้ามายืนจ้องศิริพรที่นั่งไขว่ห้างส่องกระจกอยู่ที่เก้าอี้ ศิริพรเก็บกระจกลงกระเป๋า ลอยหน้าลอยตาหันมามองแก้ว
“แล้วทำไมจะต้องบอกเธอด้วยล่ะ”
“ก็ชั้นไม่...”
“ไม่อยากให้พิมุกรู้เรื่องฉาวๆ ของเธองั้นสิ หึ พิมุกน่ะ เค้ารู้ทุกอย่างน่ะแหล่ะ ตั้งแต่อยู่ที่วงเก่าแล้วว่าเธอไป
อะไรกับใครบ้าง”
แก้วหน้าแดงแก้ตัวไม่ถูก
“แต่ยังไง เธอก็น่าจะบอกชั้นก่อน”
ศิริพรลุกขึ้นทำไม่สนใจคำพูดแก้ว
“ชั้นไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นหรอก ตอนนี้ที่สำคัญ ชั้นทำให้นังเดือนมันเป็นเดือนดับได้ ชั้นก็พอใจแล้ว”
แก้วมองศิริพรอย่างโกรธๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เธอกลับไปได้แล้ว”
“อ๋อ ได้สิ ได้เวลาทำงานของเธอแล้วนี่ แหม เก่งจังเลยนะ ขายทั้งเสียง ขายทั้งลีลา แล้วก็ยังขาย...”
ศิริพรแกล้งไม่พูดแต่มองอย่างเหยียดๆ แก้วจ้องหน้ากำมือแน่น ศิริพรหยิบกระเป๋าเดินสะบัดออกไป

ศิริพรเปิดประตูออกมาเจอเสี่ยวาทินหน้าประตู เสี่ยวาทินมองศิริพรอย่างสนใจ ศิริพรปรายตาไปมองแก้วที่ยืนจ้องอยู่ ก่อนจะแกล้งส่งสายตายั่วยวนให้เสี่ยวาทินแล้วเดินเบียดเสี่ยออกไป
“คนรู้จักของแก้วน่ะค่ะ เค้ากำลังจะกลับแล้ว” แก้วบอกแล้วรีบดึงเสี่ยวาทินเข้ามา กันท่าศิริพร
ศิริพรเชิดหน้า แกล้งยั่วโมโห แก้วจ้องมาอย่างระแวง

อีกด้านหนึ่งที่คอนโดเดือน ป้อมกับขำยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องนอนเดือน
“เดือน เปิดประตูหน่อย ออกมากินข้าวกินปลาซักหน่อยนะ”
“อย่าคิดมากสิเดือน ออกมาคุยกัน ช่วยกันหาทางแก้ไขเหอะนะ” ป้อมกับขำมองหน้ากันอย่างอ่อนใจ “เอาไงดีพี่ป้อม เดือนไม่หือไม่อือเลย”
“เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ว่ะ เดือนออกมาเหอะนะ”
ป้อมกับขำยืนเคาะเรียกเดือนอย่างอ่อนใจ

ในห้องนอนเดือน แผ่นเนื้อเพลงกระจายอยู่ที่พื้นห้อง ส่วนเดือนนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียง น้ำตาไหลอาบ สะอึกสะอื้น กำมือแน่น

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่วงของเทพ เทพนั่งเช็ดเครื่องดนตรีอยู่อย่างเหม่อลอย พวกก้องนั่งซ้อมอยู่เบาๆ หันมาเห็นเข้าก็แซว
“พี่เทพ จะขัดให้เลขมันออกมาเลยหรือไง แหม เหม่อจังนะ โน่นๆ กำลังใจมาแล้วโน่น”
นภากาศเดินเข้ามา มองไปเห็นเทพแล้วก็ถอนหายใจ ตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“ยังไม่เริ่มซ้อมกันเหรอ”
“ยังหรอก รวิกับศิริพรไม่อยู่ ส่วนหัวหน้าวงก็มัวแต่ใจลอยคิดถึงนักร้องน่ะ” ก้องบอก
นภากาศไม่พูดอะไรเดินเข้าไปหยิบเนื้อเพลงมาดู เทพลุกขึ้นทันที ทำเหมือนไม่เห็นเธอ
“คนไม่ครบ วันนี้งดซ้อมละกัน” เทพบอก
“อ้าว เราซ้อมกันแค่นี้ก็ได้นี่พี่” ก้องบอกแต่เทพเก็บของไม่พูดอะไร นภากาศมองมาแล้วก็พูดขึ้น
“ทุกทีก็ซ้อมกันได้ ทำไมจะต้องงดล่ะ”
“ใครจะซ้อมก็ซ้อมนะ พี่กลับละ”
เทพเก็บของเสร็จลุกขึ้น หันไปพูดกับก้องแล้วเดินผ่านนภากาศไป หน้านิ่งไม่พูดอะไร
 
นภากาศมองตาม รู้สึกอยู่เหมือนกันที่เทพทำไม่สนใจ

ค่ำวันเดียวกันนั้นท่ารถหมอชิต รวิสะพายกระเป๋ากำลังจะก้าวขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน เขามีสีหน้าเคร่งเครียดลังเล

“อ้าว จะขึ้นหรือเปล่าพี่ จะเล่นบอลหรือไง ขวางประตูอยู่ได้”
รวิรู้สึกตัว พยักหน้ายิ้มเจื่อนๆ หลีกทางให้คนขึ้น ส่วนตัวเองยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินกลับออกไป

เช้าวันใหม่ เดือนเปิดประตูห้องออกมาหน้าเครียดถอนหายใจ กำลังจะเดินต่อแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นป้อมกับขำนั่งหลับพิงกันอยู่ที่หน้าห้องเธอ เดือนยิ้มเหงาๆ ออกมารู้สึกขอบคุณป้อมกับขำ
ป้อมกับขำที่นอนหลับอยู่หน้าห้องเดือน มีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ ป้อมเริ่มตื่น เอามือเกาหน้าเกาหัวตัวเองค่อยๆ ลืมตาขึ้น จับผ้าห่มขึ้นมาดูอย่างงงๆ ว่ามาได้ยังไง สีหน้าป้อมเหมือนคิดอะไรได้หันไปปลุกขำ
“ไอ้ขำ ตื่นๆ ตื่นสิโว้ย”
ขำงัวเงียลุกขึ้นอย่างงๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนต่อ
“ขออีก 5 นาทีนะ หนูไม่สายหรอกแม่”
ป้อมโมโหดึงหูขำให้ลุกขึ้น
“ชั้นไม่ได้เป็นเมียพ่อแกนะไอ้ขำ บอกให้ตื่น เข้าไปดูเดือนกันเร็ว”
“โอ๊ยๆ พี่ป้อม เบาๆ หูคนนะไม่ใช่หูหมูดึงซะ”
ป้อมรีบลุกขึ้นเคาะประตูห้องเดือน
“เดือน ออกมาเถอะ เช้าแล้วเนี่ย หมกตัวอยู่แต่ในนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“ชั้นว่ามันแปลกๆ นะพี่ป้อม” ป้อมหันมามองหน้าขำอย่างกังวล “คงถึงเวลาไอ้ขำ 500 CC แล้ว ถอยไปพี่ป้อม”
ขำถอยหลังไปตั้งหลัก วิ่งเข้ามากระโดดพุ่งเข้าชนประตูเป็นจังหวะเดียวกับที่ป้อมลองเปิดประตูดูแล้วเปิดได้
ขำพุ่งหลุดผ่านป้อมหายเข้าไปในห้องอย่างเร็ว

ขำนอนแผ่หน้าคว่ำอยู่ที่พื้น ป้อมเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ มองหาเดือน
“ไปไหนเนี่ยเดือน”
ป้อมวิ่งไปวิ่งมาหาเดือนเผลอเหยียบขำที่นอนอยู่
“จ๊าก พี่ป้อม เหยียบอะไรตรงนี้ อูย”
“เดือนหายไปแล้วไอ้ขำ เดือนหายไปแล้ว”
ขำตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งไปดูที่ห้องน้ำ เปิดตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก
“เออ ไม่อยู่จริงๆด้วย แล้วๆ เดือนออกไปตอนไหนน่ะ”
“โธ่ ไอ้ขำ เอ็งนะเอ็ง คนหายไปทั้งคนดันไม่รู้ เฝ้าอยู่หน้าห้องแท้ๆ”
“อ้าว ชั้นก็อยู่กับพี่นะ”
“เออ รู้ แต่อยากโยนความผิด แล้วตอนนี้เอาไงดี”
ขำทำหน้างงๆ เสียงโทรศัพท์ขำดัง เขารีบล้วงอย่างเร่งรีบหยิบขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล พอดีเลย รวิ เดือนน่ะเดือน เดือนหายไปไหนไม่รู้”

อีกด้านหนึ่งที่บ้านพักคนชรา เดือนกำลังตักข้าวป้อนคุณยายท่านหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็น ข้าวหกเลอะเทอะ เดือนใช้กระดาษเช็ดปากให้คุณยายอย่างไม่รังเกียจ
“อร่อยมั๊ยจ๊ะยาย”
คุณยายพยักหน้า ยกมือที่สั่นระริกขึ้นมาจับหน้าเดือน เดือนยิ้มออกมา เอามือขึ้นมากุมมือคุณยาย เจ้าหน้าที่ เดินถือแก้วน้ำเข้ามาหาเดือน
“คุณเดือนคะ เดี๋ยวพี่ทำเองก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะเปื้อนคุณเดือนเอานะคะ”
เดือนตอบยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“อุตส่าห์เอาอาหารมาเลี้ยง แล้วยังมาช่วยอีก วันนี้ว่างเหรอคะ เห็นว่าจะมีงานคอนเสิร์ตนี่คะ”
เดือนหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้
“วันนี้เดือนว่างน่ะค่ะ”
คนแก่คนอื่นๆ เดินเข้ามาหาเดือน ขอจับมือ
“หนูเดือน ยายชอบฟังเพลงหนูนะ ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริง”
“นั่นน่ะสิ ตาเองเวลาเหงาๆ ก็ได้เพลงหนูนี่ล่ะ ช่วยแก้เหงา”
เดือนมองพวกคุณตาคุณยาย รู้สึกตื้นตัน
“แล้ววันนี้ล่ะจ๊ะ อยากฟังเดือนร้องเพลงมั๊ย”

เดือนยิ้มกว้างออกมา

รวิยืนอยู่หน้าคอนโดเดือนอย่างกระวนกระวาย ขำกับป้อมเดินลงมามองหารวิ พอเห็นก็รีบเดินเข้ามาหา

“ติดต่อเดือนได้ยังพี่ป้อม” รวิรีบถาม
“ยังเลย มือถือก็ไม่เปิด”
“ไม่ได้บอกไรไว้ด้วยเลย”
ทั้ง 3 คน ยืนหน้าเครียด
“แล้วเดือนมีเพื่อนที่ไหนอีกหรือเปล่า”
“ตั้งแต่มากรุงเทพฯ นี่ก็มีแต่พี่กับไอ้ขำนี่ล่ะ จะไปมีใคร”

เสียงโทรศัพท์รวิดัง ป้อมกับขำรีบกรูกันเข้ามา
“ใช่เดือนหรือเปล่า รวิ”
รวิหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ส่ายหน้า
“ศิริพรน่ะ โทรมาเป็น 10 สายละตั้งแต่เช้า”
“เอามานี่”
ป้อมดึงโทรศัพท์รวิมากดรับสาย แล้วดัดเสียง
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถแก้คัน ได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อมาใหม่ชาติหน้าค่ะ”
พูดจบป้อมรีบดึงโทรศัพท์ออกจากหูส่งคืนให้รวิ เสียงศิริพรกรี๊ดลั่นออกมาจากโทรศัพท์ รวิกดปิดโทรศัพท์ทันที
ขำพยักหน้ายกนิ้วโป้งให้
“เอาไงกันต่อดี”
“งั้นก็คงต้องไล่หามันตั้งแต่ที่บริษัท แล้วก็ที่ซ้อม ไปมันทุกที่”
ทั้ง 3 คนมองหน้ากัน พยักหน้า
“โอเค ไป”
“กระเทย ลุย”

ส่วนที่เวทีคอนเสิร์ต แก้วกับชูเกียรติยืนอยู่ท่ามกลางนักข่าวที่รุมล้อม
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงคะ คุณชูเกียรติ ที่มีข่าวออกมาว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้จะไม่มีน้องเดือน”
“เอ่อ คือ อ่า” ชูเกียรติอ้ำๆ อึ้งๆ หันไปแอบถามแก้วที่ยืนยิ้มหน้าบานโบกไม้โบกมืออยู่ “มันเกิดอะไรขึ้นแก้ว ชั้นไม่อยู่วันเดียวทำไมเป็นแบบนี้”
แก้วหันมาจ้องหน้าชูเกียรติแล้วเบะปาก ก่อนจะหันไปเสแสร้งทำหน้ายิ้ม จีบปากจีบคอกับนักข่าว
“คือพอดีมันมีเอ็กซิเดนท์เล็กน้อยน่ะค่ะ งานนี้เดือนเค้าเลยขอบาย”
“ที่บอกว่าเมื่อวานนี้มีเรื่องกันใช่มั๊ยคะ ตกลงมันเป็นเรื่องอะไรคะ” นักข่าวถาม แก้วแกล้งทำตกใจเอามือทาบอก
“ตายแล้ว ไปเอามาจากไหนคะ ไม่ค่ะไม่ แก้วจะไม่บอกว่าเป็นเรื่องแย่งผู้ชายกัน”
ชูเกียรติหันมามองแก้วย่างตกใจ ส่วนนักข่าวฮือฮาขึ้นทันที
“หมายถึงน้องเดือนมีปัญหาเรื่องผู้ชายเหรอคะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ เดือนเค้าเพื่อนแก้วนะคะ แก้วจะไม่ทน เดือนเค้าก็แค่หึงหวงมากไปแค่นั้นเอง”

นักข่าวหันไปซุบซิบกัน บางคนจดยิกๆ บางคนยกหูโทรศัพท์ทันที ชูเกียรติเห็นท่าไม่ดีเลยรีบตัดบท
“เอ่อ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่าครับ ยังไงเดี๋ยวพอแค่นี้ก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวสิคะ แล้วผู้ชายคนที่ว่านั่นเป็นใครคะ”
“แก้วไม่อยากจะพูดเลย เค้าเป็น...” ชูเกียรติรีบพูดแทรก
“พอแล้วครับ เราต้องซ้อมกันต่ออีก”
ชูเกียรติดึงมือแก้วออกมาทันที แก้วขัดขืนเล็กน้อยไม่พอใจ หันไปส่งยิ้มให้นักข่าวต่อ
“งั้นเดี๋ยวพวกเราขอเก็บภาพบรรยากาศตอนซ้อมหน่อยนะคะ”
“ใช่ๆ เห็นว่ามีการคิดรูปแบบ คิดธีมมาใหม่ด้วย ถ้าไงน้องแก้วโชว์ให้ดูหน่อยนะคะ”
แก้วอึ้งไป ทำตาปริบๆ
“ชะ โชว์ วันนี้เลยเหรอคะ” นักข่าวต่างพยักหน้ารับ ส่งเสียงปรบมือ “เอาจริงเหรอคะ แหะๆ จะดีเหรอ”
ชูเกียรติหันไปจ้องหน้าแก้ว
“ปากดีนัก เอาให้รอดนะ อย่าให้ขายหน้าล่ะ”
แก้วหน้าเสีย แต่แกล้งยิ้มเดินขึ้นไปบนเวที แดนเซอร์ นักดนตรีเข้าประจำที่ บรรดานักข่าวที่อยู่ข้างล่างปรบมือให้อีกครั้ง แล้วตั้งกล้องรอ แก้วยิ้มแหย ทำเป็นโบกมือให้ เหงื่อเริ่มแตก เพราะจำเนื้อ จำท่าไม่ได้ เสียงกลองให้จังหวะดนตรีขึ้น

ที่บ้านพักคนชรา เดือนยืนหันหลังอยู่ มีคุณยายเป็นแดนเซอร์ขนาบ 2 ข้าง เดือนหันกลับมาโยกย้ายตามจังหวะเพลง พร้อมกับยกไมค์ขึ้นร้องเพลง
คนแก่หลายคนนั่งตบมือตามบ้าง บางคนที่พอลุกไหวก็ลุกขึ้นเต้นโยกย้ายตามบ้าง
 
เดือนเดินร้องเพลงเข้ามาหาคุณตาคุณยาย ตรงโน้นที ตรงนี้ที บางคนก็ส่งดอกไม้ให้ บางคนก็เต้นด้วย
 
อ่านต่อตอนที่ 15
กำลังโหลดความคิดเห็น