หางเครื่อง ตอนที่ 15
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ป้อมเดินออกมาจากบริษัทค่ายเพลง ขำกับรวิที่นั่งรออยู่รีบเดินเข้าไปหา
“ว่าไง พี่ป้อม”
ป้อมส่ายหน้า เดินไปหย่อนตูดนั่งลงที่ฟุตบาท รวิกับขำเดินมานั่งตาม
“ที่ซ้อมคอนเสิร์ตก็ไม่ได้ไป ตะกี๊ชั้นโทรไปถามน้องแดนเซอร์มาแล้ว เห็นบอกว่ามีแต่ยัยแก้วลืมลัง ร้องเพลงซะนักข่าวหายหมด”
ป้อมพยักหน้ารับก่อนจะนึกขึ้นได้
“หืม แล้วเอ็งไปได้เบอร์เค้ามายังไงวะ ไอ้ขำ”
“แหะๆ เมื่อวานชั้นแอบขอไว้น่ะจ้ะ เห็นน้องเค้าน่ารักดี”
“แหม ไมได้เลยนะเอ็ง หน้านี่เอาไปต้มสุกี้ได้ละ”
ขำเอามือจับหน้าจับหูตัวเองทันที
“แล้วไปไหนของเค้าเนี่ย” รวิยิ่งเป็นห่วงเดือน
ขณะนั้นมีขาของผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมาหยุดตรงหน้ารวิ ทั้ง 3 คนเลยหน้าขึ้นมอง
“ทำไมเธอต้องหนีชั้นด้วยรวิ”
รวิยืนหันหลังให้ศิริพรที่ยืนพูดอยู่
“เธอรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วนี่ศิริพร”
“เธอหมายถึงอะไร”
“เรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น เธอจะบอกว่าไม่ใช่ฝีมือเธองั้นเหรอ”
ศิริพรอึ้งไปยังไม่ยอมรับ
“เธอหมายถึงอะไรชั้นไม่เข้าใจ ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวาน เธอก็เห็น เดือนเค้าหึงไปเอง”
รวิหันกลับมามองหน้าศิริพร
“งั้นเหรอ แล้วที่เธอบอกเดือนว่าเราพักด้วยกันล่ะ” ศิริพรอึ้งไป “แล้วที่เธอร่วมมือกับแก้วอีกล่ะ ทำให้ชั้นกับเดือนต้องเข้าใจกันผิด”
“ชั้น ชั้นไม่รู้เรื่องนะ นังแก้วมันทำอะไร ชั้นไม่เกี่ยว”
“หึ ไม่เกี่ยวงั้นเหรอ เอาเถอะ ชั้นมันก็ไม่มีหลักฐาน แต่เอาเป็นว่าต่อไปนี้ เธออย่ามายุ่งกับชั้นและเดือนอีก”
ศิริพรหน้าเสีย น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“อะไรกันรวิ ต้องถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
รวิส่ายหน้าหันหลังให้ศิริพร
“จริงๆ เธอเองก็เป็นเพื่อนที่ดีของชั้นนะ แต่ แต่ชั้นจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเดือนอีกแล้ว หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ”
พูดจบรวิเดินออกไป ศิริพรทั้งโกรธทั้งเสียใจ น้ำตาไหล กำมือแน่น
“รวิ คนอย่างศิริพรไม่ยอมให้ใครมาทำให้เจ็บฟรีๆ หรอก ในเมื่อเธอไม่เคยเห็นค่าของชั้น อยากเป็นศตรูกันก็ได้”
เย็นวันนั้นที่วงของเทพ มีป้ายเขียนแปะอยู่ที่ด้านหน้าประตู
“งดซ้อม ไม่มีกำหนด ”
ก้องกับคนอื่นๆ ยืนดูอยู่ นภากาศเดินเข้ามาพอดี
“มีอะไรกันน่ะ”
“พี่เทพน่ะสิ ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆ ก็งดซ้อมอีกละ งานก็จะมีอยู่อาทิตย์หน้าละด้วย”
ก้องกับคนอื่นๆ ส่ายหน้า แล้วพากันเดินกลับ นภากาศตัดสินใจเปิดประตูเดินเข้าไป
นภากาศเปิดประตูเดินเข้ามาเห็นเทพนั่งถือเนื้อเพลง หน้าเศร้าๆ อยู่
“ทำไมถึงงดซ้อมอีก งานมันจะถึงแล้วไม่ใช่เหรอ”
เทพเหลือบตามามองเห็นเป็นนภากาศก็ทำเมิน
“ก็คนไม่ครบ รวิกับศิริพรไม่อยู่”
“ก็ซ้อมกันเท่าที่อยู่ก่อนสิ ไม่ใช่เดี๋ยวหยุดๆ แล้วถ้าวันจริงเล่นผิดร้องผิดร้องผิดขึ้นมาจะทำยังไง”
เทพหันมามองนภากาศ พูดประชดประชัน
“ไม่ผิดหรอก นักร้องระดับนภาจะผิดได้ไง”
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“แหม ก็อดีตนักน้องชื่อดังร้องเองทั้งที จะมีผิดพลาดได้ยังไง เฮ้อ แต่นักร้องชื่อดังตอนนี้กลับต้องมาอยู่วงกระจอกๆ แบบนี้คงต้องทำใจหน่อยนะ”
เทพตั้งใจจะพูดประชดตัวเองแต่ดันไปจี้จุดของนภากาศเข้า นภากาศหน้าเสีย จ้องเทพอย่างเสียความรู้สึก เทพหันมาเห็นหน้านภากาศก็ตกใจ เริ่มรู้ตัว
“เอ่อ พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ นภา คือ...”
“ขอบคุณที่ทำให้ชั้นตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น ชั้นจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก จำไว้”
นภากาศเดินสะบัดออกไป เทพลุกขึ้นจะรั้งไว้แต่ไม่ทัน
“นภา ไม่ใช่อย่างนั้น โธ่ พูดอะไรไปวะเนี่ย ไอ้เทพเอ๊ย”
เทพยืนเอามือเขกหัวตัวเอง
ป้อมเปิดประตูคอนโดเดินเข้ามาอย่างหมดแรง ตามด้วยขำกับรวิ
“โอ๊ย ตกลงไปไหนของเค้ากันนะเดือน”
“หาจนทั่วแล้ว โอย คอแห้ง”
ขำเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นเทน้ำออกมาดื่ม ป้อมเดินตามเข้ามา
“ไปไหนกันมาน่ะ มากินข้าวกันเร็ว ชั้นทำไว้เพียบเลยเนี่ย” เสียงเดือนดังขึ้น
“เออ ดีกำลังหิว มัวแต่ออกไปหาเดือนยังไม่ได้กินอะไรเลย เฮ้ย” ขำรู้ตัวหันไปมองอย่างตกใจ เดือนนั่งถือช้อนส้อมมองมาที่ขำกับป้อมแล้วยิ้มให้ “เดือน”
ป้อมกับขำรีบถลาเข้าไปหาเดือน
“โธ่ถังกะละมังบุบ หายไปไหนมาเดือน รู้มั๊ยเค้าเป็นห่วงกันแทบแย่” ป้อมบอก
“นั่นดิ เนี่ย เรา 3 คนนะ หาเดือนแทบจะทั่ว กทม.อยู่ละ”
เดือนทำหน้าสงสัย
“3 คน”
ป้อมกับขำพยักหน้ารับ รวิเดินเข้ามายิ้มเจื่อนๆ
“เข้ามาสิรวิ ยืนเก๊กอยู่ได้”
รวิเดินเข้ามา กล้าๆ กลัวๆ ยิ้มแหยๆ ให้เดือน
“หายไปไหนมาเหรอเดือน พี่เป็นห่วงนะ”
เดือนแกล้งเมินไปทางอื่น เพราะยังงอนอยู่
“เรื่องอื่นเอาไว้เดี๋ยวค่อยเถียงกันละกัน ตอนนี้ชั้นหิวมากเลย กินข้าวกันก่อนเหอะ” ป้อมกับขำรีบลุกไปตักข้าว ส่วนรวินั่งมองตาปริบๆ “อ้าว รวิ ไม่กินเหรอไง”
“เดือนเค้ายังโกรธอยู่ ชั้นไม่กล้ากินหรอก” รวิบอกอย่างน้อยใจ
“เอาน่ามากินก่อน เดือนไม่ว่าอะไรหรอกน่า” ป้อมบอก
“ไม่ล่ะ ชั้น ชั้นไม่กล้า”
รวินั่งทำหน้าจ๋อย
ส่วนที่เวทีคอนเสิร์ต นักดนตรี แดนเซอร์สะพายกระเป๋าทยอยเดินลงจากเวทีแล้วออกไป แก้วเดินหน้างอลงมาจากเวทีจะออกตามคนอื่นๆ ไป ชูเกียรติเดินเข้ามาแล้วเรียกไว้
“เดี๋ยวแก้ว”
แก้วทำหน้าบึ้งหันกลับมา
“มีอะไรอีก”
“มีอะไรงั้นเหรอ นี่ถ้าเธอไม่รีบปรับปรุงตัวน่ะ ชั้นไม่ยอมให้เธอขึ้นงานคอนเสิร์ตนี้แน่” แก้วอ้าปากจะเถียง ชูเกียรติชี้หน้าซะก่อน “แล้วก็ไม่ต้องเอาเสี่ยมาอ้างด้วย นี่ถ้าเสี่ยเค้ารู้ว่าวันนี้เธอร้องเพลงซะนักข่าวหนีหมด เสี่ยเค้าก็ไม่เอาเธอไว้เหมือนกัน” แก้วจ้องหน้าชูเกียรติอย่างโมโห แล้วสะบัดหน้าจะเดินออกไป “เดี๋ยว อีกเรื่องนึง ไอ้ผู้ชายคนที่มามีเรื่องเมื่อวานมันเป็นใคร”
แก้วแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หันกลับมาจ้องชูเกียรติ
“เอ๊า เรื่องแค่นี้ไม่รู้เหรอ ก็ไอ้พระเอกลิเกแฟนเก่าเค้าไง๊ อะไร๊ อุตส่าห์ให้อยู่คอนโดของตัวเอง แต่ปล่อยให้แฟนเก่าเค้ามาหาถึงที่”
“พระเอกลิเก ไอ้คนนั้นน่ะเหรอ”
แก้วเดินนวยนาดเข้ามาทำเป็นใช้นิ้วลูบไล้ชูเกียรติที่หน้า
“ไปตัดผมคราวนี้อย่าลืมบอกช่างตัดผมด้วยล่ะ”
“บอกอะไรของเธอ”
แก้วยิ้มอย่างเหยียดๆ
“บอกให้เค้าตัดเขาที่หัวออกด้วย ป่านนี้มันไปกกกันอยู่ที่คอนโดตัวเองแล้วมั้ง ฮะๆ โอ๊ย ขำ”
แก้วเดินหัวเราะออกไปอย่างสะใจ ชูเกียรติกระวนกระวายขึ้นมาทันที
ที่คอนโดเดือน เดือน ป้อม ขำ นั่งเท้าแขนถือช้อนส้อมค้างไว้ มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เมื่อเห็นรวิกินข้าวอย่างหิวเต็มที่ ตักนู่นตักนี่เต็มไปหมด
“รวิ ตะกี๊แกบอกแกไม่กล้าไม่ใช่เหรอ” ขำถาม รวิพยักหน้าไม่พูดไม่จา หันมากินข้าวต่อ
“พึ่งรู้ กรุงเทพก็มีปอบ” ป้อมบอก
รวิตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม หันมายิ้มกับทุกคน
“อ้า ค่อยยังชั่ว ค่อยหายหิวหน่อย ทำไมไม่กินกันล่ะ” รวิถามอย่างแปลกใจ ขำทำหน้าซึ้ง
“เห็นแกอิ่ม ชั้นก็ดีใจแล้ว”
รวิอมยิ้มหันหน้าไปหาเดือนยิ้มให้ เดือนแกล้งเมินหน้าหนี ป้อมหันไปสะกิดขำให้ปล่อยให้ 2 คนนี้ง้อกันไป
“เดี๋ยวพี่กับไอ้ขำไปนั่งดูทีวีห้องนู้นนะ”
ป้อมกับขำเดินออกไป เดือนลุกขึ้นจะเดินตาม รวิคว้าข้อมือไว้
“แต๊ะอั๋ง เดี๋ยวโดน”
“โดนแล้ว เมื่อวาน”
เดือนหันมาจ้องหน้ารวิ เห็นแผลที่มุมปากของเขา เธอถอนหายใจนั่งลง มองรวิ ยังงอนๆ อยู่
“เจ็บมากมั๊ย”
“สุดๆ”
“ใครให้มาขวาง”
“ก็ห่วงอ่ะ”
“ห่วงใคร”
“ห่วงเดือน ห่วงเดือนคนเดียว ห่วงเดือนเท่านั้น”
เดือนท่าทีอ่อนลง เอื้อมมือมาแตะที่แผลรวิเบาๆ
“ใส่ยานะ เดี๋ยวใส่ให้”
รวิเอื้อมมือมาจับมือเดือนแล้วยิ้มส่งสายตาให้ เดือนอายแต่ทำเป็นงอนอยู่
ส่วนที่ค่ายมวยพิมุก พิมุกนั่งกระดกเหล้าเข้าปาก ก่อนจะกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างแรง เริ่มเมา เตี้ยกับบ่างสะดุ้งรีบเข้ามาเทเหล้าให้ใหม่
“ทำไมวะ น้องเดือนเค้าถึงได้หลอกข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมวะ”
“เค้าคงเห็นว่าพี่โง่น่ะจ้ะ”
พิมุกหันขวับมาทันที เตี้ยรีบเข้ามาเขกกะโหลกบ่าง
“ไม่หรอกจ้ะ พี่พิมุกของชั้นฉล๊าด ฉลาดจ้ะ แถมนิสัยก็ดี๊ ดี”
“แล้วทำไมน้องเดือนเค้าไม่รักข้าวะ”
“สงสัยผู้หญิงเค้าชอบคนเลวมั๊งจ๊ะพี่”
“เฮ้ย แต่อย่างลูกพี่เราก็โคตรเลวแล้วนะ ทำไมเค้ายังไม่รักอีกอ่ะ”
“ไอ้บ่าง ไอ้โง่เอ๊ย ปากวอนหาทีนซะแล้ว”
พิมุกโบกมือ
“วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์เตะพวกเอ็ง วันนี้ข้าเจ็บใจ ข้าเสียใจ ต้องทำยังไงวะ ถึงจะให้น้องเดือนมาอยู่กับข้าให้ได้”
“โธ่พี่ เค้าจะมาอยู่ทำไมล่ะ บ้านเค้าก็มี ถ้าบ้านเค้าไม่มีมันก็อีกเรื่อง” เตี้ยพูดแบบไม่คิด พิมุกหันขวับมาจ้อง เตี้ยกับบ่างรีบถอยกรูดทันที
“ไม่มีบ้านงั้นเหรอ”
พิมุกทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะค่อยๆ แสยะยิ้มออกมา
ทางด้านเดือนกับรวิ ทั้งคู่เดินมานั่งดูทีวีข้างๆ ป้อมกับขำ
“อ่ะๆ ดีกันแล้วอ่ะดิ ฮิ๊ว” ขำแซว เดือนยิ้มไม่พูดอะไรทำหน้าเขิน
“ดูอะไรกันเหรอ”
“รอดูข่าวบันเทิงน่ะ เนี่ยไง”
ภาพที่ทีวี เป็นข่าวที่ไปสัมภาษณ์แก้วกับชูเกียรติ
ทุกคนหันมามองหน้าเดือน เดือนถอนหายใจมองทุกคน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด
“จะว่าอะไรมั๊ย ถ้าเดือนจะบอกว่าเดือนจะเลิกเป็นนักร้องแล้วล่ะ”
“เดือน”
ทุกคนมองเดือนอย่างตกใจ
“อะไรกันเดือน ทำไมล่ะ”
“นั่นน่ะสิเดือน นี่เรื่องใหญ่เลยนะ”
เดือนยิ้มเศร้าๆ
“เดือนเหนื่อยกับหลายๆ อย่างน่ะ บางทีแม่อาจจะพูดถูกก็ได้นะ ที่ไม่อยากให้เดือนเป็นนักร้อง”
“เดือน ถ้าเดือนอยากกลับไปอยู่บ้านจริงๆ พวกเราก็ดีใจ แต่คิดดีๆ นะ มันเป็นสิ่งที่เดือนรักมากไม่ใช่เหรอ” เดือนส่ายหน้า หันไปจ้องรวิ
“ไม่รู้สิ บางทีถ้าอยู่สงบๆ อาจจะดีกว่า”
“จะเป็นแบบยัยนภาน่ะเหรอ” ป้อมบอก เดือนคิ้วขมวด ทำหน้าสงสัย
“พี่นภา ทำไมเหรอ”
“ก็ยัยนั่นน่ะ เมื่อก่อนก็...”
ป้อมยังไม่ทันได้เล่าเพราะเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้นซะก่อน
อ่านต่อหน้า 2
หางเครื่อง ตอนที่ 15 (ต่อ)
ทุกคนเงียบไปหันไปมองทางหน้าประตู ก่อนจะหันกลับมามองหน้ากันอย่างตกใจ
“ไอ้รังเกียจ” ป้อมกับขำพูดพร้อมกัน
เดือน ป้อม ขำ พร้อมใจกันลุกขึ้นดึงมือรวิไปทางโน้นทีทางนี้ที เกิดการชุลมุนขึ้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
“เดือน เปิดประตู ทำอะไรกันอยู่น่ะเดือน”
เดือนวิ่งไป ดึงรวิที่ยืนงงอยู่วิ่งเข้าห้องนอนไป มีป้อมวิ่งตามไปอีกคน ขำจะตามเข้าไปแต่ป้อมปิดประตูกระแทกหน้าซะก่อน
“เดือน พี่บอกให้เปิดประตูไง”
ขำเอามือคลำจมูกที่โดนกระแทกจำใจเดินไปเปิดประตูให้ชูเกียรติ ชูเกียรติเดินเข้ามาอย่างเร็วมองหาเดือนทางโน้นทีทางนี้ที ขำก็แกล้งโยกเอาตัวบัง
“เดือนไปไหน”
“ยังไม่กลับ”
“ไปไหน ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับ”
“ไม่รู้ดิ ส่งสัยแวะซื้อของมั้ง”
มีเสียงกุกกักในห้องนอน ชูเกียรติหันมาจ้องขำ รีบเดินไปจะเข้าห้องนอน แต่ขำไปดักหน้าไว้ก่อน
“ถอยไป เดือนอยู่ข้างในใช่มั๊ย”
“ป๊าว พี่ป้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”
ป้อมเดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในห้องนอนเดือน จัดการบอกให้รวิกับเดือนไปแอบด้านข้างเตียงอีกข้าง รวิกับเดือนรีบทิ้งตัวลงนอนแอบอยู่ด้านข้าง เดือนชะเง้อชะแง้สีหน้ากังวล รวิหันมาจ้องเดือนแอบยิ้ม แกล้งยื่นหน้าเข้าไปจะหอมแก้ม เดือนหยิกแขนรวิเต็มแรง
“โอ๊ย” รวิเผลอร้องออกมา
“ใครน่ะ นั่นใคร” ชูเกียรติตะโกนถาม
รวิเอามือปิดปาก เดือนช่วยเอามือปิดด้วย ป้อมเลิ่กลั่กแกล้งตะโกนเสียงใหญ่กลับไป
“ชั้นเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ รอก่อนๆ”
ขำแทรกตัวเข้ามากันที่ประตูไว้
“เห็นมั๊ย บอกแล้ว พี่ป้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ หรืออยากจะดู” ชูเกียรติเบะปาก ทำทีจะถอยไปนั่ง แต่วิ่งกลับเข้ามาจะไปเปิดประตู ขำรู้ทันเลยขวางไว้ “จุ๊ๆ ฝีมือยังอ่อนน่ะลุง” ชูเกียรติชะงักไป ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “อะไรๆ ลุง จะมาไม้ไหนอีก ไม่ทันกินหรอก”
ชูเกียรติมองเลยเข้าไปในห้อง
“เดือน”
ขำเผลอหันกลับไปมอง
“ไหน”
ชูเกียรติเบียดตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มเยาะเย้ยขำก่อนจะเดินเข้าไป
ประตูเปิดออก ป้อมที่ยืนนุ่งผ้าขนหนูสั้นขนหน้าแข้งดกดำอยู่
“ว๊าย คนบ้า คนผีทะเล คนลามก” ชูเกียรติเบะปาก เบือนหน้าหนี “เห็นแล้ว ต้องรับผิดชอบเค้าเดี๋ยวนี้นะ บ้าๆ”
ป้อมแกล้งออกมาวิ่งไล่ชูเกียรติ
“เฮ้ย ถอยไปนะ อีกระเทยแรงงาน ไม่”
ชูเกียรติโดนป้อมไล่ต้อนจนสุดท้ายวิ่งหนีออกนอกห้องไป รวิกับเดือนค่อยโผล่ออกมาจากห้อง
“พี่ว่าวันนี้เรากลับบ้านเรากันก่อนเถอะ จะเอาไง จะเป็นนักร้องต่อหรือไม่เป็นเดี๋ยวค่อยว่ากัน” ป้อมบอก
ทุกคนทำหน้าเซ็งๆ
คืนนั้นศิริพรเดินเชิดหน้าสีหน้าโกรธเกรี้ยวมาตามทาง พอผ่านหน้าบ้านเดือนก็มองจ้องเข้ามาด้วยสาตาอาฆาต ในมือถือถุงใบใหญ่มาด้วย
มีเสียงกุกกัก เสียงคนคุยกันในบ้านเดือน ศิริพรทำหน้าสงสัย ดูซ้ายดูขวา แล้วเดินไปแอบมองเข้าไปในบ้านเดือนจึงเห็นเงาคนสองสามคนยืนคุยกันอยู่ ศิริพรพยายามเพ่งมองเงี่ยหูฟัง
พิมุกมีผ้าโพกหน้ายืนเท้าเอวมองขึ้นไปบนบ้านของเดือน เตี้ยกับบ่างโพกหน้าด้วย ยืนเกาะตัวสั่นอยู่ด้านหลัง พิมุก
“อะ เอาจริงเหรอพี่ ชั้นว่าอย่าเลย”
“นั่นสิพี่ แล้วนี่มันดึกดื่นป่านนี้ เกิดผีป้าช้อยแกโผล่ออกมาทำไง พรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยมากันดีกว่านะจ๊ะ”
เตี้ยกับบ่างหมุนตัวจะเดินกลับ แต่พิมุกจิกหัวดึงกลับมา
“ไอ้พวกโง่ มากลางวันคนก็รู้ว่าเป็นฝีมือข้าสิวะ อย่าปอดแหกให้มาก ขึ้นไปเร็วๆ”
“แต่”
“รื้อข้าวของทิ้งไป เอาให้อยู่ไม่ได้เลย”
เตี้ยกับบ่างเดินขาสั่นนำขึ้นไป พิมุกมองซ้ายมองขวาแล้วเดินตามขึ้นบ้านไป
ศิริพรยืนแอบดูอยู่ เห็นข้าวของหลายอย่างถูกโยนลงมากระจัดกระจาย หน้าต่างถูดงัดออก เธอแอบดูอยู่อย่างดูถูกดูแคลนการกระทำของพวกพิมุก แล้วพวกพิมุกก็ค่อยๆ วิ่งลงมา ออกมาที่หน้าประตู ศิริพรรีบแอบทันที
พวกพิมุกเดินออกมาอย่างระแวง เตี้ยกับบ่างเกาะพิมุกแจ วิ่งลนลานจนทำผ้าโพกหน้าตก แล้วพากันเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ศิริพรเดินมาก้มลงหยิบผ้าโพกหน้าขึ้นมาดู เห็นมีสัญลักษณ์ของค่าย พ.พิมุกสกรีนไว้
“มีปัญญาทำกันได้แต่เนี๊ยะเหรอ”
แล้วศิริพรก็หยิบสิ่งที่อยู่ในถุงใบที่เธอหอบอยู่ออกมา มันเป็นแกลลอนน้ำมันเบนซิน เธอทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง หันไปมองในบ้านเดือน แล้วศิริพรก็เอาน้ำมัน ขึ้นไปสาดๆ เทๆ รอบๆ บ้าน เอาข้าวของที่พอจะเป็นเชื้อไฟได้สุมเข้าไป เธอจุดไฟแช็กด้วยแววตาริษยา
“แม่แกชั้นยังเอาตายมาแล้ว ทำไมบ้านแค่นี้ชั้นจะเผาไม่ได้”
ศิริพรโยนไฟแช็กลงกองเชื้อน้ำมัน มันลามตรงไปยังบ้าน ดวงตาศิริพรเป็นประกาย เปลวเพลิง สว่างจ้าเข้าหน้า นางยิ้มสะใจ เปลวไฟพวยพุ่ง ปะทุปลิว
บ้านของนภากาศ นภากาศนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน พลิกไปพลิกมา ตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเธอเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
ภาพในความคิดของนภากาศเป็นภาพของเทพที่ชอบเข้ามาแซว มาแหย่เธอลอยวนเวียนอยู่
“นักร้องชื่อดังตอนนี้กลับต้องมาอยู่วงกระจอกๆ แบบนี้คงต้องทำ ใจหน่อยนะ”
นภากาศส่ายหัวสลัดความคิดออกไป
“ไอ้เตี้ยปากเสียเอ๊ย”
เสียงโวยวาย ชุลมุนวุ่นวายอยู่ข้างนอก
“อะไรกันน่ะ” นภากาศทำหน้าแปลกใจ ตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู เห็นคนวิ่งวุ่นวายกันไปหมด “นี่ๆ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
คนที่นภากาศเรียกหยุดวิ่ง หันมาบอกอย่างเร่งรีบ
“ไฟไหม้น่ะสิ ไฟไหม้”
“อะไรนะ ไฟไหม้เหรอ แล้วไหม้ที่ไหน”
“ก็บ้านของเดือนที่เป็นนักร้องไง”
“อะไรนะ”
ชาวบ้านวิ่งตามคนอื่นไปอย่างรวดเร็ว นภากาศตกใจไม่รู้จะทำยังไง ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มากดออก
“ฮะ ฮัลโหล พี่เทพ บ้านเดือน บ้านเดือนเค้า...”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่สถานีขนส่ง ป้อมทิ้งตัวลงบนเบาะรถ นั่งอย่างสบายใจ
“โอ๊ย ได้กลับบ้านเรานี่มันแฮปปี้ที่สุดเลย”
ขำเลียนแบบ
“โอ๊ย ได้กลับบ้านเรานี่มัน แฮปปี้ที่สุดเลย”
“คิดเองไม่เป็นเหรอไงไอ้ขำ ขี้ขโมย” ป้อมต่อว่า
รวิหัวเราะป้อมกับขำหันมายิ้มกับเดือนแต่ก็ต้องแปลกใจเพราะเห็นเดือนทำหน้าแปลกๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าเดือน”
“ไม่รู้สิพี่รวิ ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“คิดมากน่า ไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
ป้อมชะโงกหน้ามาจากเบาะหลัง
“เดี๋ยวพอไปถึงพี่ไปนอนเป็นเพื่อนละกันนะเดือน”
ขำเลียนแบบชะโงกหน้ามาพูดมั่ง
“เดี๋ยวพอไปถึงเค้าไปนอนเป็นเพื่อนละกันนะรวิ”
เดือนฝืนยิ้มออกมา แต่ยังรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ อยู่ สีหน้าไม่สู้ดีนัก
นภากาศยืนทำอะไรไม่ถูกมองไฟที่กำลังลุกไหม้บ้านเดือนอยู่ คนอื่นๆ วิ่งไปมาเอาน้ำมาดับไฟจนชนนภากาศจนจะล้ม เทพเข้ามาประคองนภากาศได้ทัน
“พี่เทพ ทำยังไงดี ทำยังไงดี”
“ใจเย็นๆ นภา พี่แจ้งทางอำเภอไปแล้วเค้ากำลังประสานงานเอารถดับเพลิงมาอยู่”
“แล้วเดือนล่ะ”
เทพส่ายหน้า สีหน้ากังวล
“ไม่แน่ใจว่าใช้เบอร์เดิมหรือเปล่า โทรไปเครื่องรวิก็ปิดเครื่อง”
“แล้วเพื่อนเค้าล่ะ”
“ไม่มีเบอร์เลย”
นภากาศเอามือปิดปากสีหน้าวิตกกังวล
“นี่มันกำเวรอะไรของเธอนะเดือน โธ่เอ๊ย”
บ้านเดือนไฟกำลังลุกท่วมอยู่ ภาพค่อยๆ จางหายไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เดือน รวิ ป้อม ขำ ลงจากรถที่ขนส่ง ชาวบ้านแถวนั้นพอเห็นเป็นเดือนก็ชี้ไม้ชี้มือซุบซิบกันใหญ่
เดือนหันไปยิ้มให้เพราะคิดว่าเป็นแฟนเพลงตามปกติ
“หิวมั๊ยเดือน กินข้าวเช้ากันก่อนมั๊ย”
รวิเดินนำทุกคนมาที่ร้าน
“อ้าวหนูเดือน ทำไมมามัวเดินลอยชายอยู่นี่ล่ะ ทำไมไม่รีบไปอีก”
แม่ค้าบอก เดือนทำหน้างงๆ หันไปมองเพื่อนๆ
“ไปไหนจ๊ะ”
แม่ค้าทำท่าตกใจ
“เอ๊า ก็รีบกลับไปดูบ้านไง”
“โอ๊ย ป้า บ้านไม่หายหรอกจะดูกี่ที่มันก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ” ป้อมบอก
“มันจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะวะ ก็เมื่อคืน บ้านของหนูเดือนเค้าเพิ่งจะไฟไหม้นะ”
เดือนหน้าซีด ตกใจสุดขีด
“อะไรนะ ป้าว่าอะไรนะ”
“ป้าบอกว่า เมื่อคืนน่ะ บ้านหนูเดือนไฟไหม้”
เดือนตกใจแทบสิ้นสติรวิรีบเข้ามาประคองไว้ ป้อมกับขำตกใจไม่แพ้กัน เดือนพยายามตั้งสติ รีบวิ่งนำทุกคนไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
หางเครื่อง ตอนที่ 15 (ต่อ)
เดือนวิ่งมาถึงบ้านก็เห็นนภากาศกับเทพยืนอยู่
“เดือน”
เดือนค่อยๆ หันมามองบ้าน สภาพบ้านเหลือแต่ซาก ดำเป็นตอตะโก ควันสีขาวยังลอยขึ้นอยู่เป็นระยะ เดือนทรุดฮวบลงไปทันที ขำกับป้อมวิ่งเข้ามาประคอง
“มันเกิดอะไรขึ้นคุณเทพ พี่นภา” รวิถาม นภากาศส่ายหน้า เสียงเศร้าๆ
“ไม่รู้เหมือน เมื่อคืนได้ยินชาวบ้านเค้าโวยวายมารู้อีกทีก็เป็นแบบนี้แล้ว”
“ตอนนี้ทางตำรวจเค้าเก็บหลักฐานบางส่วนไปบ้างแล้วล่ะ เดี๋ยวคงรู้ว่าเกิดจากอะไร”
เดือนร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร พยายามจะวิ่งเข้าไป ป้อมกับขำต้องจับไว้พากันร้องไห้ฟูมฟาย
“บ้านของเดือน บ้านที่เดือนอยู่กับแม่มาตั้งแต่เล็ก ทำไม ทำไมเป็นแบบนี้”
รวิเดินเข้ามาดูด้านใน เท้ารวิเหยียบถูกผ้าอะไรบางอย่าง เขาก้มลงหยิบขึ้นมาดูแล้วต้องทำหน้าเอะใจเหมือนเห็นอะไร รีบจับผ้าขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกที เพราะที่ผ้ามีสัญลักษณ์ที่สกรีนอยู่บนผ้าที่เขียนว่า ‘พ.พิมุก’
“เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ”
เสียงพิมุกดังขึ้น พิมุกขี่มอเตอร์ไซค์มาจอด เตี้ยกับบ่างซ้อนกันอยู่อีกคันขับมาจอดข้างๆ
มือรวิกำผ้าจนแน่น ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมา หน้าแดงกล่ำ เพราะโกรธจัด
“ไอ้พิมุก มึง”
รวิโกรธจัดหน้าตาแดงกล่ำ วิ่งเข้าหาพิมุก กระชากลงมาจากมอเตอร์ไซค์ ต่อยไม่ยั้ง
“ไอ้พิมุก ไอ้สารเลว”
ทุกคนหันมามองอย่างตกใจ ตะโกนร้องห้าม เทพถลาเข้ามาดึงรวิออกแต่โดนรวิเหวี่ยงซะกระเด็น เตี้ยกับบ่างวิ่งลงมาช่วยกันล็อกแขนรวิ แต่ก็โดนรวิสะบัดหลุดแล้วชกจนล้มคว่ำ พิมุกตั้งตัวได้ ลุกขึ้นมาซัดรวิกลับ ทั้งคู่สู้กันไปสู้กันมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ชั้นบอกให้หยุด พี่รวิ บอกให้หยุด”
เดือนตะโกนขึ้นจนรวิชะงัก เลยโดนพิมุกซัดมา 1 หมัด ป้อมกับเทพรีบเข้ามาช่วยแยกออก
“ไอ้รวิ เล่นทีเผลอเหรอ ไอ้ขี้ขลาด”
“แกน่ะสิไอ้ขี้ขลาด แค่ผู้หญิงเค้าไม่เล่นด้วยถึงกับต้องบ้ามาเผาบ้านเค้าเลยเหรอ” ทุกคนอึ้งไปหันมาจ้องพิมุกเป็นตาเดียว แม้แต่พิมุกเองก็ยืนงง รวิหยิบผ้าโพกหน้าขึ้นมา “นี่ไง แกยังจะแก้ตัวอีกมั๊ย”
เดือนดึงผ้าที่มือรวิไปดู มองไปที่สัญลักษณ์ที่สกรีนไว้แล้วเดินเข้ามาจ้องหน้าพิมุก
“นี่พี่ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ ทำไม”
เดือนวิ่งเข้าไปทุบตีพิมุก จนพิมุกต้องผลักเดือนออกมา รวิเข้าไปประคองไว้
“พี่ไม่ได้ทำ”
“ถ้าพี่ไม่ได้ทำ แล้วไอ้ผ้านี่มันจะมาตกอยู่ที่นี่ได้ไง”
พิมุกอึ้งไปตอบไม่ได้
“หลักฐานชัดซะขนาดนี้ ยังจะปฏิเสธอีก”
“ไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า”
พิมุกจะเข้ามาใส่ ป้อมกับขำแต่เทพรีบมากันไว้
“พอเลย นายหยุดอยู่แค่นั้น จะทำหรือไม่ทำ เดี๋ยวให้ตำรวจเค้าพิสูจน์ดูก็รู้ ตอนนี้พวกนายกลับไปก่อนดีกว่า”
พิมุกลังเลแต่ก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ
“ไอ้เตี้ย ไอ้บ่างกลับ”
พิมุกสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไป สายตายังมองมาที่รวิอย่างโมโห รวิเข้ามาโอบเดือนไว้
เสียงโทรศัพท์แก้วดังขึ้น แก้วงัวเงีย เอามือควานหา ตายังไม่ลืม กดรับสายแล้วต้องลืมตาขึ้นทันที เด้งพรวดขึ้นนั่ง
“อะไรนะแม่ บ้านนังเดือนมันไฟไหม้งั้นเหรอ”
แก้วเอามือปิดปากตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ หัวเราะออกมา
“โอ๊ย ทำยังไงชั้นถึงจะหยุดหัวเราะได้เนี่ย โอ๊ยขำ ทางนี้ยังไม่มีใครรู้ ไม่สิ ต้องไม่มีใครรู้ ให้เค้าคิดว่ามันหนีหายไปกับผู้ชายนั่นล่ะดีแล้ว งั้นแค่นี้นะแม่ อะไรนะแม่ ขอเงิน โอ๊ะสัญญาณไม่มีเลย”
แก้วรีบกดวางโทรศัพท์อย่างรำคาญ แต่พอนึกเรื่องของเดือนได้ก็ยิ้มออกมา
กิมกดวางโทรศัพท์จากแก้ว ถอนหายใจสีหน้าหงุดหงิด
“โทรศัพท์อะไรของมันวะนังแก้ว พูดเรื่องเงินที่ไรไม่มีสัญญาณทุกที เฮ้อ” ศิริพรเดินซื้อของอย่างอารมณ์ดีจนมาถึงแผงของกิมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ “อะแฮ่มๆ อะแฮ่มๆ อ่ะแฮ่มๆ” กิมทำเสียงดัง
“เป็นอะไรของเอ็งวะนังกิม อะไรมันติดคอเอ็งอยู่เหรอไง” แม่ค้าแผงข้างๆ แซว กิมหันไปมองค้อนแม่ค้าแผงใกล้ๆ กันที่แซว
“สาระแน คอก็คอข้า ไม่ได้ยืมคอเอ็งมาไอซะหน่อย ยุ่งอะไรด้วยวะ หนอย ข้าน่ะ แม่นักร้องดังเชียวนะโว้ย ไม่ใช่กระจอกๆ อย่างพวกเอ็ง”
แม่ค้าคนอื่นต่างพยักเพยิดให้กันเบะปากใส่กิม ศิริพรเดินเชิดเข้ามาปรายตามองกิมด้วยหางตา
“มีอะไรเหรอ”
กิมทำเป็นวางท่าหันมาพูดกับศิริพร
“รู้เรื่องนังเดือนหรือยังล่ะ”
“เดือน ทำไมเหรอ” ศิริพรแกล้งทำไม่รู้
“อ้าว ก็บ้านนังเดือนน่ะสิ ไฟไหม้วอดไปทั้งหลังเลย”
ศิริพรทำเป็นหยิบนู่นมองนี่ไม่สนใจ
“เหรอ”
กิมจ้องหน้าศิริพรอย่างสงสัย
“นี่เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ หรือว่า...”
ศิริพรระแวง จ้องหน้ากิมทันที
“หรือว่าอะไร”
“หรือว่าเธอรู้อยู่แล้ว”
ศิริพรโล่งอก แกล้งพูดไปเรื่อย
“อ๋อ ก็ได้ยินมา ละ แล้วไหม้ได้ไงล่ะ”
“เห็นว่าต้องรอให้ตำรวจมาสืบ ชั้นล่ะสะใจจริงๆ สมน้ำหน้ามัน แล้วทีนี้จะไปซุกหัวนอนอยู่ที่ไหน อ้อ ลืมไป มันคงไปอยู่กับไอ้พระเอกลิเกแฟนมัน”
ศิริพรมีสีหน้าโกรธขึ้นมาทันที กระแทกของลงที่แผงกิม
“ก็ช่างมันสิ”
พูดจบศิริพรรีบเดินสะบัดไปทันที ทิ้งให้กิมยืนงงอยู่
“อะไรวะ”
ที่หน้าบ้านเดือน ทุกคนนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เดือนนั่งหน้าเศร้า มองดูซากบ้าน สายตาเหม่อลอย ส่วนรวิยังดูโกรธอยู่มาก
“เฮ้อ นี่ยังดีนะที่ยังมีงาน มีที่พักที่กรุงเทพฯ” เทพบอก เดือนถอนหายใจ หันมามองเทพ
“เดือนคงไม่กลับไปแล้วล่ะค่ะ”
เทพกับนภากาศทำหน้าตกใจ
“พูดอะไรของเธอน่ะ”
“เดือนบอกว่าเดือนจะไม่กลับไปเป็นนักร้องแล้วจ้ะ”
นภากาศหันมาจ้องเดือนเขม็ง สีหน้าไม่พอใจ
“ไม่ใช่เด็กเล่นขายของนะ มีปัญหาอะไรทำไมไม่กลับไปแก้ หนีแบบนี้มันช่วยอะไรได้”
“เดือนเหนื่อยแล้วพี่นภา เดือนไม่อยากไปสู้รบกับใคร”
“แต่เธอก็เซ็นสัญญากับเค้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ขำพูดแทรกขึ้นอย่างเซ็งๆ
“ไอ้เสี่ยมันบอกว่าถ้าเดือนอยากจะฉีกสัญญาก็ตามสบาย”
“ใช่ ตอนนี้มันแบนงานเดือนทุกอย่าง”
นภากาศกับเทพหันไปมองรวิขอคำตอบ รวิได้แต่ก้มหน้าก้มตาพูดไม่ออก
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ก็ฝีมือนังนักร้องเพื่อนซี้ของหล่อนไง” ป้อมชี้ไปที่นภากาศ
“อย่าเอาชั้นไปเปรียบกับคนแบบนั้น”
ขำกับป้อมหันมามองหน้ากัน ยักไหล่
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ”
นภากาศมองค้อนป้อมขวับๆ หันไปพูดกับเดือนต่อ
“แล้วเธอก็ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนี้”
เดือนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร นภากาศส่ายหน้าอย่างระอา
“ดี งั้นก็เลิกเป็นไปซะ เจอปัญหาแค่นี้ก็ถอย ก็อย่าเป็นมันเลยนักร้องน่ะ”
ทุกคนนิ่งอึ้งไปไม่พูดอะไร
“แล้วตอนนี้เอาไงดี”
“เดือนมาพักอยู่กับพี่ก่อนแล้วกัน แล้วเอาไงค่อยว่ากันอีกที” ป้อมบอก
“โอ๊ย บ้านพี่ป้อมทั้งเล็กทั้งเก่า ตดทีหลังคาก็ปลิวแล้ว จะอยู่ได้เหรอ” ขำขัด
ป้อมเขกกะโหลกขำ แถมด่าไปอีกหลายที รวิเดินมานั่งข้างๆ เดือน
“ถ้าเดือนไม่รังเกียจ บ้านพี่”
“คงไม่เหมาะหรอกพี่รวิ”
รวิพยักหน้ารับ เสียดายเล็กๆ
“มาอยู่บ้านชั้นก่อนละกัน” ทุกคนหันไปมองนภากาศอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “อะไร มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
ทุกคนโบกมือส่ายหน้าพัลวัน ขำกับป้อมหันไปซุบซิบกัน เดือนหันไปมองคนโน้นทีคนนี้ที ลังเลว่าจะเอายังไงดี
ส่วนที่ค่ายเพลง ชูเกียรตินั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางกระวนกระวายลุกลี้ลุกลน
“พี่เกียรติ เอเยนซี่ของบริษัทโฆษณาโทรมาอีกแล้วนะ” ทีมงานบอก
“ก็ให้บอกไปไง ว่าพี่ยังไม่เข้า”
“บอกไปแล้ว แต่เค้าจะคุยกับพี่ให้ได้ มือถือพี่ก็ไม่เปิด มีอะไรกันเหรอ”
ชูเกียรติทำไม่รู้ไม่ชี้ ปฏิเสธไปเรื่อย
“ไม่มีอะไรหรอก เค้าอยากให้พี่ช่วยหาเด็กมาถ่ายงานน่ะ พี่ขี้เกียจเลยเลี่ยงๆ ไป”
ทีมงานพยักหน้ารับเดินกลับไป แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้หันมาบอกชูเกียรติอีกที
“เออ ลืมไป คุณทวีศักดิ์เค้าก็โทรมาถามหาพี่กับน้องเดือนแน่ะ นี่เค้าจะให้เดือนไปเล่นหนังเหรอ”
ชูเกียรติทำหน้าเหวอแกล้งมั่วๆ ตอบไป
“ปะ เปล่านี่ เดี๋ยวพี่ไปดูพวกซ้อมคอนเสิร์ตก่อนละกันนะ ถ้าใครโทรมาก็บอกอย่างที่สั่งไว้ล่ะ”
ชูเกียรติรีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ชูเกียรติเดินเข้ามาบนเวทีที่ซ้อม แดนเซอร์หลายคนกำลังจัดแจงดูชุดต่างๆ อยู่
“อ้าว นี่มัวทำอะไรกันเนี่ย ไม่ซ้อมกันซักที” แดนเซอร์หันมามองหน้ากัน ไม่รู้จะตอบชูเกียรติยังไงดี “แล้วนี่มันอะไร ชุดพวกนี้เอามาจากไหน”
“แก้วให้พวกคอสตูมเค้าขนมาเองล่ะ”
แก้วในชุดนักร้องกระโปรงเซ็กซี่เดินเข้ามา ยืนกอดอก มองหน้าชูเกียรติ แดนเซอร์คนอื่นๆ มองมาที่แก้วแล้วหันไปซุบซิบกัน
“แล้วเอามาได้ยังไง ชุดนี่มันยังไม่เรียบร้อยเลยไม่ใช่เหรอ”
“แก้วอยากลองใส่ก่อน”
“หึ แทนที่จะสนใจชุด เอาเวลาไปฝึกร้องฝึกเต้นให้มันไม่ขายหน้าคนอื่นเค้าดีกว่ามั๊ย”
แก้วเชิดหน้าไม่สนใจ
“แหม พี่เกียรติ ที่แก้วเอาชุดมาลองก่อนเนี่ยก็แค่อยากเพิ่มฟีล มันได้อารมณ์กว่าเยอะ ใช่มั๊ยพวกเรา” แก้วหันไปถามแดนเซอร์คนอื่นๆ พวกแดนเซอร์พยักหน้ายิ้มๆ กับแก้ว บางคนก็แอบหัวเราะคิกคักๆ
“แล้วก็เลยจัดการเอาเอง ไม่ปรึกษาชั้นหรือคนอื่นเลยใช่มั๊ย”
แก้วเบ้ปาก เชิดหน้าหันหลังกลับทำไม่สนใจ ชูเกียรติส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วบังเอิญสายตาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ที่กระโปรงด้านหลังแก้ว ชายกระโปรงเหน็บขึ้นมาถึงเอวแต่แก้วไม่รู้ตัว เดินเชิดทำเป็นยิ้มแย้มกับแดนเซอร์คนอื่นๆ ที่แอบหัวเราะเยาะอยู่
ชูเกียรติส่ายหน้าทั้งรำคาญทำเอือมรีบเดินหนีไปเพราะอายแทน
อ่านต่อหน้า 4
หางเครื่อง ตอนที่ 15 (ต่อ)
พิมุกเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาที่ค่ายมวย พาลเตะโน่นเตะนี่ที่อยู่ใกล้เท้า กระเด็นไปคนละทางสองทาง
เตี้ย บ่าง เดินตามหลังเข้ามาเกี่ยงกันให้เดินไปใกล้พิมุก พิมุกเดินตรงไปที่กระสอบทราย จัดการซ้อมทั้งเตะ ต่อยตีเข่าอย่างรุนแรง จนเตี้ยกับบ่างกลัวไปตามๆ กัน
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะ”
“จ๋า จ้ะ อะไรเกิด ยังไงอะไรจ๊ะ”
พิมุกหันมาจ้องตาขวาง เดินมากระชากคอเสื้อเตี้ย แล้วเหวี่ยงลงไปที่พื้น
“เมื่อไหร่พวกเอ็งจะหายโง่ซักทีวะ” บ่างทำท่าจะหันหลังกลับ พิมุกตะโกนเรียกจนบ่างสะดุ้งโหยง “ไอ้บ่าง จะไปไหน”
“จ๋าจ้ะ พี่ ไป ไป ไม่ได้ไปไหนจ้ะ”
“ข้าถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ตอนพวกเราออกมามันก็ยังไม่มีอะไร แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้วะ”
เตี้ยกับบ่างไปยืนเบียดกันตัวกลม กลัวพิมุก
“หรือ หรือว่า ไฟมันจะลัดวงจรแบบที่เค้าชอบพูดกันจ๊ะ”
“ลัดบ้านเตี่ยแกสิ บ้านน้องเดือนไม่มีใครอยู่มาเป็นเดือนละ มันมีใครใช้ไฟที่ไหนวะ”
“ป้าช้อยไง แกคงเหงาเลยเปิดนู่นเปิดนี่ดูเยอะไปหน่อย ไฟมันเลยช็อตเอา”
“นั่นสิเนอะ” พิมุกเดินเข้ามาหาบ่างยิ้มให้ บ่างยิ้มตอบก่อนจะโดนพิมุกถีบเต็มแรง “ถุย ข้าว่างานนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
“หรือว่ามีคนจงใจทำแล้วโยนความผิดให้ลูกพี่อ่ะ”
“ใครล่ะวะ มีใครกล้ากับไอ้พิมุกคนนี้” เตี้ยกับบ่างมองกันไปมองกันมาไม่รู้จะตอบยังไง พิมุกสีหน้าดูโกรธและคิดหนัก “ใครกันที่มันกล้ามาลองดีกับข้า”
รวิ เดือน ป้อม ขำ เทพ นภากาศ เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านนภากาศ
“เดือน เดือนแน่ใจนะว่าจะมาอยู่กับ...” ป้อมปรายตาไปมองนภากาศที่ยืนจ้องมาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่
“อ่ะ ให้คิดใหม่ เดี๋ยวนับหนึ่งถึงล้าน”
เดือนยิ้มเศร้าๆ ขำไม่ออก
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ป้อม ขำ ชั้นแค่รบกวนพี่นภาแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง”
นภากาศยืนกอดอกหันมาจ้องหน้าป้อมกับขำ ประมาณว่ามีปัญหาอะไรมากเหรอไง ป้อมกับขำทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
“อย่าคิดมากนะเดือน เดี๋ยวเราค่อยคิดกันว่าจะทำยังไงต่อไป”
เดือนพยักหน้า รับกระเป๋าที่รวิถือให้ นภากาศหันไปมองเทพ พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่เต็มปาก เพราะเพิ่งนึกได้ว่ามีปัญหากันอยู่
“เอ่อ ยังไงก็ขอบคุณพี่ด้วยละกัน ที่อุตส่าห์มาทั้งที่...”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณเหมือนกัน ที่เวลามีอะไรแล้วยังนึกถึงพี่เป็นคนแรก” นภากาศพยักหน้ารับ อึ้งๆ ไปเหมือนกัน ทำท่าจะเดินเข้าบ้าน “เออ แล้วก็ ตะบองเพชรน่ะมันคงไม่เหมาะจะถือไปอวดใครจริงๆ นั่นล่ะ แต่นานๆ ทีมารดน้ำพูดคุยกับมันบ้าง แค่นี้มันก็ไม่เฉาตายแล้วนะ”
นภากาศทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะพูดยังไง รู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ได้แต่หลบตาไปหลบตามา ป้อมกับขำแอบมองมาอย่างสงสัย
“งั้นก็เข้าบ้านกันดีกว่า”
นภากาศรีบเดินนำเข้าบ้านไป เดือนหันมายิ้มกับทุกคน ส่งสายตาให้รวิ แล้วเดินตามนภากาศเข้าบ้านไป
รวิ ป้อม ขำก้มหน้าก้มตาเดินมาตามทาง บรรยากาศหดหู่
“นี่เราจะช่วยเดือนกันยังไงดีเนี่ย” ขำบอก
ทุกคนหยุดกึก หันมามองหน้ากัน
“ชั้นตัดสินใจแล้ว ชั้นจะเอาเงินเก็บมาลงทุนเปิดร้านเล็กๆ แล้วชั้นจะดูแลเดือนเอง” รวิบอก
“หืม ร้านเล็กๆ ของแกน่ะมันร้านอะไรรวิ ขายเครื่องก่อสร้างหรือเปล่า ปรึกษาพี่ป้อมได้นะ”
“ใช่ๆ พี่เคยแบกปูนไปโบกตึกมาก่อน ถุย! ไอ้ขำ งั้นให้รวิเปิดร้านขายอาหารหมาแล้วให้แกกินฟรีเอามั๊ย”
ขำรีบเอามือปิดหัวกลัวโดนตบ
“ชั้นจะเปิดร้านอาหารน่ะ มีดนตรีโฟล์คซองเล็กๆ ไปหาเช่าตึกแถวในเมืองน่าจะได้อยู่”
“แต่มันใช้เงินเยอะนะ แกมีเงินเก็บซักเท่าไหร่เชียว”
“ถ้ามันไม่พอ ชั้นก็จะขายของที่มีอยู่ แล้วถ้าไม่พออีก ชั้นก็จะไปหากู้มาเพิ่ม”
“โธ่ถังกะละมังบุบ นี่แกยอมเสียสละเพื่อเดือนขนาดนี้เชียว” ป้อมทำท่าตื้นตัน “ไอ้ขำ แกมีอะไรจะนึ่งมั๊ย”
ขำทำหน้างง
“อะไร นึ่งอะไรพี่ป้อม”
“ชั้น ‘ซึ้ง’ ง่ะ” ขำถึงกับเซ็ง
“มุขไม่ฮา พากระเทยดับ”
รวิหัวเราะป้อมกับขำ แล้วทำสีหน้ามุ่งมั่น จริงจัง
นภากาศเดินนำเดือนเข้ามาในบ้าน เดือนกวาดสายตามองโน่นมองนี่
“มีห้องว่างอยู่อีกห้อง ตรงโน้น”
นภากาศชี้ให้เดือนดู ยังคงวางฟอร์มวางท่าทีอยู่ เดือนมองไปรอบห้องเห็นรูปหญิงชรา มองต่อไปเรื่อยๆ ไปสะดุดตรงรูปนภากาศในชุดนักร้องมีพวงมาลัยเต็มที่วางอยู่ นภากาศสังเกตเห็นพอดี
“รูปนั้นน่ะ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว”
“พี่นภาสวยจังนะคะ”
นภากาศเชิดหน้า ทำวางฟอร์ม
“แน่นอน ใครๆ เค้าก็บอก ว่าชั้นทั้งสวยทั้งเสียงดี”
เดือนยิ้ม เดินไปมองใกล้ๆ นภากาศเดินตามมาหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู สีหน้าเธอเหม่อมองคิดถึงความหลัง
ภาพความหลังของนภากาศที่ร้องเพลงแล้วมีคนมารุมล้อมให้พวงมาลัยแบบในรูป เธอส่ายหน้าเอากรอบรูปวางไว้ที่เดิม หันมาบอกเดือน
“เอาข้าวของไปเก็บสิ ถ้าขาดอะไรก็มาเอาของชั้นก่อนก็ได้”
“ขอบคุณมากนะคะ”
“พูดมากน่ะ รีบไปจัดการได้แล้ว”
เดือนเดินไปจะเข้าห้อง แต่หันหลังกลับมามองนภากาศด้วยสีหน้ารู้สึกขอบคุณ
เวทีซ้อมคอนเสิร์ต แก้วซ้อมร้องเพลงอยู่บนเวที เต้นแรงเว่อร์ แต่ร้องผิดท่อน ดำน้ำไปเรื่อย เสี่ยวาทินยืนปรบมือตาม หน้าตาพออกพอใจ ชูเกียรติยืนอยู่ข้างๆ แอบเบ้ปาก
“เสี่ยไม่ลองคิดเรื่องเดือนใหม่เหรอครับ” เสี่ยวาทินยังคงปรบมือร้องตามแก้วทำไม่สนใจสิ่งที่ชูเกียรติพูด “เสี่ยลองคิดดูดีๆ นะครับ เดือนน่ะกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเลย ทั้งร้อง ทั้งเต้นก็สุดยอดเลย” เสี่ยวาทินยังไม่สนใจอีก “นะครับ เสี่ยอย่าเพิ่งแบนเดือนเลย ตอนนี้ลูกค้าหลายรายก็ต้องการเดือนไปร่วมงานเยอะแยะเลยนะครับ เนี่ย ผมก็รับเงินเอ๊ย รับงานเค้ามาแล้ว”
เสี่ยวาทินหันมาจ้องหน้าชูเกียรติตาขวาง
“แล้วตอนนี้เค้าอยู่มั๊ยล่ะ เค้าโผล่มามั่งมั๊ยล่ะ”
“น้องเค้าอยู่บ้านน่ะครับเสี่ย คงยังเสียใจอยู่”
“หึ งั้นเหรอ พอเหอะคุณชูเกียรติ เด็กคุณน่ะ น้องแก้วเค้าเล่าให้ผมฟังแล้ว ตอนนี้หนีกลับบ้านนอกไปกับผู้ชายเรียบร้อย”
“กลับบ้านนอกเหรอครับ แต่ว่า”
ชูเกียรติอ้าปากจะพูดต่อ แต่เสี่ยวาทินยกมือห้ามไว้ แล้วเดินหนีไปหยอกกับแก้วที่หน้าเวที
“คืนนี้เสี่ยต้องมาค้างกับแก้วนะคะ”
“จ๋า จ้ะ ได้สิจ๊ะ”
ชูเกียรติโมโหแก้ว ชกมือตัวเอง
“สงสัยชั้นต้องออกแรงทำอะไรซักอย่างละ ต้องเอาเดือนกลับมาให้ได้”
เย็นวันนั้นที่วงของเทพ เทพกับรวินั่งคุยกันอยู่ นภากาศนั่งไขว้ห้างฟังอยู่ด้วย ศิริพรเดินถือขนมเข้ามา
“ศิริพร หิ้วอะไรมาเยอะแยะน่ะ” เทพทัก
“ขนมน่ะค่ะคุณเทพ วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษก็เลยซื้อมาฝาก อ่ะนี่ของคุณเทพ นี่ของก้อง”
“ขอบใจจ้า ลาภปาก เดี๋ยวผมออกไปซื้อน้ำแข็งมาใส่นะ”
พูดจบก้องก็วิ่งออกไป ศิริพรทำเป็นยื่นถุงขนมผ่านหน้ารวิ แบบไม่สนใจ
“อันนี้ของพี่นภา” ศิริพรแกล้งยื่นเข้าไปใกล้ๆ หน้านภากาศ เธอจึงเอามือปัดออก
“ขอบใจ แต่ชั้นไม่ชอบ”
“งั้นพี่นภาชอบอะไรล่ะคะ วันหลังจะได้ซื้อมาฝาก”
นภากาศยิ้มที่มุมปากเชิดหน้าขึ้น
“ผลไม้ เหมือนเธอไง ชอบสะตอ(เน้นเสียง) เบอรี่”
ศิริพรหุบยิ้ม ส่งสายตาเขม่นมาให้นภากาศที่เชิดหน้าใส่อยู่ เทพรีบพูดแทรก
“แล้วของรวิล่ะศิริพร”
ศิริพรกระแทกถุงขนมลงบนโต๊ะ ปรายตามามองรวิ
“วางอยู่ตรงนี้”
“ผมไม่ชอบน่ะครับคุณเทพ ตามสบายกันเลย”
ศิริพรแอบเบ้ปากแล้วทำเป็นเดินเข้ามาร่วมวง
“ว่าแต่คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
“อ๋อ เราคุยกันเรื่องเดือน”
“เดือน อ๋อ เรื่องไฟไหม้บ้านเดือนน่ะเหรอคะ น่าสงสารจริงๆ โธ่ พิมุกนี่ก็ใจร้ายจัง ไม่น่าทำกับเดือนได้ลงคอเลย”
ทุกคนอึ้งไปหันมาจ้องศิริพร ตาไม่กระพริบ
“เธอรู้เรื่องเดือนได้ยังไง”
ศิริพรชะงักไปเริ่มเอะใจ
“ใครๆ เค้าก็รู้กันทั้งนั้นนี่ ไฟไหม้น่ะเรื่องใหญ่นะ”
“ไม่ใช่ เธอรู้ได้ไงว่าพิมุกเป็นคนทำ”
ศิริพรรีบพูดแก้ตัว
“ก็ ก็ ชั้นเดาเอาน่ะ ก็พิมุกน่ะนิสัยเลวจะตาย เค้าทำได้อยู่แล้วหลักฐานก็มีไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีใครพูดถึงเรื่องพิมุกเลยนะ แล้วหลักฐานที่ว่าน่ะก็ไม่มีใครรู้นอกจาพวกเราไม่กี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์”
ศิริพรอึ้งไป มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที
“ไหนเธอลองบอกซิ เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ไง” นภากาศถาม
“โอ๊ย อะไรกันเนี่ย คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง จะมาซักโน่นซักนี่ อะไรกันนักกันหนา อย่ากงอย่ากินมันเลย”
ศิริพรแกล้งโมโหกลบเกลื่อน เดินไปคว้าถุงขนม แล้วเดินสะบัดออกไปสวนกลับก้องที่เดินถือถุงน้ำแข็งเข้ามาพอดี
“อ้าว ไปไหนล่ะศิริพร”
“กินน้ำแข็งเปล่าไปละกันไอ้ก้องเอ๊ย” เทพบอก
รวิ นภากาศและเทพที่หันมามองกันอย่างสงสัย
อีกด้านหนึ่งที่ร้านบะหมี่ เดือน ป้อม ขำ นั่งล้อมวงกินบะหมี่กันอยู่
“ไม่ได้มากินกันแบบนี้ตั้งนาน คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย”
ป้อมมองเดือนแล้วก็สงสาร
“เออ นี่พี่ป้อม พรุ่งนี้ลองไปดูในเมืองกันดีกว่า เผื่อว่าจะหาอะไรมาขายได้”
“ไม่ต้องไปหาแล้ว ก็รวิน่ะ...” ที่ใต้โต๊ะ เห็นขาป้อมไปเตะเข้าหน้าแข้งขำอย่างจัง “โอ๊ย”
“เป็นอะไรน่ะขำ”
“เก้าอี้หนีบตูดมันน่ะ ใช่มั๊ยไอ้ขำ”
ป้อมส่งสายตาดุๆ ไปให้ขำรู้ตัวยังไม่ให้บอกเดือน ขำเลยต้องจำใจยิ้มรับ
“ชะ ใช่ เก้าอี้มันหนีบ เจ๊บ เจ็บ”
“เดือน พี่ว่าเดือนคิดดีๆ อีกทีก็ได้นะ ยังไงเดี๋ยวเราลองไปคุยกับไอ้เสี่ยนั่นอีกที”
“ไม่ล่ะ”
“อย่างนี้ก็เท่ากับปล่อยให้ยัยแก้วลืมลังนั่นแย่งซีนไปเลยน่ะสิ”
“ก็ช่างเค้าเหอะ เดือนเชื่อนะว่ายังไงคนเราก็ต้องได้รับผลจากสิ่งที่ตัวเองทำ” ป้อมเอื้อมมือมาจับไหล่เดือน ปลอบใจ “กินต่อเถอะจ้ะ มื้อนี้ชั้นเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกเดือนให้ไอ้ขำมันจ่ายก็ได้”
“อ้าว อ่ะ ก็ได้ๆ เห็นกับเดือนหรอกนะเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้า เดือนยังมีเงินอยู่ ถึงจะ...”
“ถึงจะโดนอมไปเยอะก็ตาม”
เดือนหัวเราะส่ายหน้าอย่างปลงๆ
คืนนั้นที่อพาร์ทเม้นท์แก้ว แก้วอยู่ในชุดนอนเซ็กซี่ นั่งหวีผมอยู่ที่หน้ากระจก เสียงเคาะประตูดังขึ้น แก้วดี๊ด๊าขึ้นมาทันที ลุกขึ้นเปิดเสื้อให้เซ็กซี่กว่าเดิม หยิบน้ำหอมมาฉีด แล้วกรีดกรายไปที่ประตู
“มาแล้วคะเสี่ยขา”
แก้วเปิดประตูยิ้มร่าออกไป พบผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
“หนูแก้วใช่มั๊ยจ๊ะ”
แก้วหุบยิ้ม ทำหน้าแปลกใจ มองหัวจรดเท้า
“ใช่ ป้าเป็นใครน่ะ มีธุระอะไร” อีกฝ่ายยิ้มแล้วผลักประตูเข้ามา โดยไม่ต้องรอให้แก้วเชิญ “นี่ เข้ามาได้ยังไง ออกไปนะ”
เธอเดินแสยะยิ้มเข้ามาหาแก้ว
“เห็นรูปชั้นอยู่ทุกวันยังจำหน้าชั้นไม่ได้อีกเหรอ หรือว่าไม่ได้ใส่ใจ คอยจะจ้องแต่ผัวชั้น”
แก้วทำหน้าแปลกใจ เหมือนคุ้นๆ อยู่
อ่านต่อตอนที่ 16