อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 15
เช้าวันนี้วิทย์แต่งตัวในชุดลำลอง เดินออกจากบ้านตัวเอง ผ่านทางเดินเล็กๆ ในสวนหย่อม มาที่บ้านหลังใหญ่ซึ่งอยู่ถัดกันมาไม่ไกล
วิทย์เดินเข้าบ้านมาสภาพบ้านใหญ่โต โอ่อ่า สมฐานะ และเป็นระเบียบ วิภา พี่สาวของวิทย์เป็นสาวใหญ่ บุคลิกสวยสง่า ท่าทางถือตัวเดินมารับ
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพี่”
“วันนี้ฝนคงจะตกใหญ่ น้องชายของพี่มาให้เห็นหน้าแต่เช้า” วิภาจับคางวิทย์ มองหน้าอย่างเอ็นดู “หน้าซีดเซียวดูไม่ได้เลย ไปทำอะไรมา”
สมัย ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของวิภาและวิทย์ ที่ติดตามดูแลกันมาตั้งแต่เด็ก หล่อนเป็นหญิงอายุ 50 กว่าๆ แต่งตัวล้าสมัย ท่าทางหัวโบราณ เดินออกมาสมทบ
“เมื่อคืนคงไม่ได้นอนน่ะสิค้า คุณวิภา อิฉันตื่นมาตอนหัวรุ่ง ยังได้ยินเสียงคุณหนูสีซออยู่เลย”
วิทย์ทักท้วง “ไวโอลินจ้ะ สมัย ไม่ใช่ซอ”
“ก็เหมือนกันแหละเจ้าค่ะ”
“แล้วทำไมกลางคืนไม่หลับไม่นอน มานั่งสีไวโอลิน” วิภามองอย่างจับผิด “มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือเปล่า”
วิทย์ยิ้มกลบเกลื่อน “ศิลปินไส้แห้งอย่างผมจะกลุ้มอะไรครับ นอกจากเรื่องไม่มีสตางค์” ว่าพลางกอดเอวพี่สา อ้อนๆ “อ้อ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ก็หิวจนไส้แทบขาดแล้ว”
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก” วิภากุลีกุจอ “สมัย ไปยกของเช้าขึ้นมาให้คุณวิทย์เร็วเข้า คุณวิทย์หิวแล้ว”
“ค่ะๆ” สมัยรีบออกไป
ที่โต๊ะอาหารตอนนี้ วิภานั่งประกบวิทย์ คอยเลื่อนอาหาร ปรนนิบัติราวกับแม่ดูแลลูกชาย ปากก็บ่นไปด้วย
“อุตส่าห์ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา กลับมาเล่นดนตรีหากินอย่างกับวณิพกก็ไม่ปาน”
วิทย์แย้งขำๆ “โธ่ คุณพี่ครับ มันหมดสมัยที่จะมาดูถูกคนทำงานศิลปะแล้วนะครับดูอย่างในยุโรป”
วิภาสวนทันที “จะที่ไหนๆ มันก็ไม่ใช่อาชีพของผู้ดี” วิทย์ชะงัก “เจ้าคุณพ่อเราเป็นถึงพระยา วิทย์น่าจะรับราชการ เจริญรอยตามเจ้าคุณพ่อ ให้เป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์ตระกูล ไม่ใช่ฉุดให้ตกต่ำลงอย่างนี้”
วิทย์เย้ายังยิ้มอยู่ “คุณพี่เล่นเอาผมรับประทานข้าวไม่ลง”
“พี่พูดเพราะหวังดีนะ พี่มีน้องชายคนเดียวก็อยากให้ได้ดี มีเกียรติ มีฐานะแล้วไหนจะเรื่องคู่ครอง...”
พอพี่สาวพูดมาถึงเรื่องนี้ วิทย์ยิ้มไม่ออก เขารวบช้อน
“อิ่มดีกว่า ขอบคุณนะครับ” วิทย์ยกมือไหว้เร็วๆ “ผมขอตัวก่อน”
วิทย์ลุกขึ้น วิภาลุกตาม พูดจริงจัง
“วิทย์ พี่บอกไว้ก่อนเลยนะ เธอเล่นดนตรี พี่ยังพอรับได้ แต่อย่าคิดจะคว้าอีพวกเต้นกินรำกิน มาเป็นน้องสะใภ้พี่ พี่ไม่ยอมจริงๆ”
เย็นวันหนึ่ง หญิงโสภานั่งมองกุ้งแม่น้ำ 4-5 ตัวที่ดีดก้ามผึงๆ อยู่ในกะละมังเคลือบอย่างหนักใจแป้นอยู่หน้าเตาไฟ เอาเหล็กเขี่ยถ่านจนร้อนแดงปากร้องบอกหญิงโสภา โดยไม่ได้หันไปมองหน้า
“ไฟกำลังได้ที่เลยค่ะ คุณหญิง เอากุ้งมาได้เลย”
หญิงโสภาหน้าเสีย “เอาไปย่างไฟทั้งเป็นๆ เลยหรือคะ”
แป้นเอาตะแกรงเหล็กวางบนเตา ไม่ได้หันมามอง “งั้นสิคะ กุ้งตายมันจะอร่อยอะไร” แป้นค่อยหันมาเห็นหญิงโสภาหน้าจ๋อยๆ “อ้าว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นคุณหญิงไม่เคยย่างกุ้งหรือคะ”
“หญิงเคยแต่สั่งให้คนเขาทำ...”
แป้นส่ายหัวขำ คว้ากะละมังใส่กุ้งมา หยิบกุ้งวางบนตะแกรงฉับๆ หญิงโสภามองกุ้งดิ้น แล้วจากตัวเขียวๆ ก็กลายเป็นสีแดงหญิงโสภารำพึงกับตัวเองเบาๆ เสียงอ่อย
“บาปจัง”
แป้นพูดขำๆ “บาปแต่อร่อยนะคะ” พอเห็นหญิงโสภาหน้าเสีย รีบปลอบ “โถ คุณหญิงอย่าคิดมากเลยค่ะ ใครๆ เขาก็ทำกัน”
“ยังไงก็บาปอยู่ดี...นี่ถ้าคุณสมศักดิ์เธอไม่อยากรับประทานสะเดาน้ำปลาหวานหญิงไม่ทำแน่”
แป้นได้ฟังยิ่งเอ็นดู “โถ แม่คุณ กลัวบาปยังยอมทำ คุณสมศักดิ์รู้ว่าเมียรักขนาดนี้ คงดีใจนะคะ”
หญิงโสภายิ้มจืดๆ
ตรงชานบ้านในเวลาต่อมา ทุกคนนั่งล้อมลงกันบนตั่งใหญ่ เตรียมกินข้าว กุ้งเผาพร้อมสะเดาน้ำปลาหวานจัดไว้สวยงามกลางวง พร้อมด้วยกับข้าวง่ายๆ อีก2-3 อย่างทุกคนมีอาการรอๆ ห่างออกไป เห็นจรินทร์ป้อนข้าวโสภิตพิไลอยู่
“กินก่อนเถอะค่ะ คุณหญิง” แป้นเลื่อนจานกุ้งออกจากสำรับ “กุ้งนี่เก็บเอาไว้ให้คุณสมศักดิ์แก เดี๋ยวค่ำๆ คงมา”
โสภาเลื่อนจานกุ้งกลับไป “อย่าเลยค่ะ รับประทานด้วยกันดีกว่า”
“โอ้ย ไม่ต้องๆ ฉันกับแม่แป้นอยู่ในคลองมาตั้งแต่เกิด กุ้งนี่กินกันจนเบื่อ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ พี่สุข พี่แป้น ความจริงเมื่อเช้าคุณสมศักดิ์เธอแค่พูดว่าเธออยากรับกุ้งแม่น้ำเท่านั้น หญิงเลยคิดไปเองว่าเธอจะกลับมา” พูดแล้วหน้าคุณหญิงเศร้าลง “บางทีคืนนี้ เธออาจจะกลับดึกเหมือนคืนก่อนๆ ก็ได้”
“คืนไหนไม่ว่า คืนนี้ อย่าไปอยู่ฝั่งโน้นได้เป็นดี” สุขว่า
แป้นงง “อ้าว ทำไมล่ะ ตาสุข”
“ก็เมื่อเช้า ที่วัดเขากระซิบกันให้แซด...คืนนี้เดือนหงาย เห็นอะไรๆ ถนัดดีนัก เขาลือกันว่าไอ้ยุ่นจะโดนหนัก เขาจะทิ้งระเบิดกันมโหฬารเลยละคืนนี้”
หญิงโสภาหน้าเสีย ห่วงสมศักดิ์จับใจ แป้นตีแขนตาสุขดังเผียะชยิบตาห้ามไม่ให้พูดต่อ
คืนนี้วิทย์นั่งสามล้อมาส่งสาตามปกติหลังละครเลิก สามล้อจอดหน้าบ้านห้องแถว วิทย์จ่ายเงิน สาเดินไปไขกุญแจบ้าน พอหันมาพบว่าวิทย์ยังยืนอยู่
“อ้าว คุณวิทย์ไม่ให้สามล้อไปส่งต่อเลยล่ะคะ จะได้ไม่ต้องเดินออกไปหาคันใหม่ถึงปากซอย”
“ผมยังไม่อยากกลับครับ อยากคุยกับคุณอุษาก่อน”
สาเปิดประตูบานพับบ้านค้างไว้ หันมาถามวิทย์
“เรื่องอะไรคะ”
“ขอผมเข้าไปคุยในบ้านได้ไหมครับ”
ทั้งสองเข้ามาในบ้านสากดสวิทช์เปิดไฟ แต่ไม่ติด
“อ้าว”
“สงสัยไส้หลอดจะขาดมีดวงใหม่ไหมครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนให้”
“ไม่มีค่ะ ช่วงสงคราม อย่าว่าแต่หลอดไฟเลย กระทั่งเทียนไขยังหายาก”
สักครู่ต่อมาสาไขไส้ตะเกียงลุกสว่าง แล้วหันมาบอกวิทย์
“คุณวิทย์มีธุระอะไรก็ว่ามาเลยค่ะ”
“ผมอยากทราบ ว่าคุณอุษาคิดยังไง กับเรื่องที่ผมขอคุณอุษาแต่งงาน”
สานิ่ง หนักใจ
“ผมไม่ใช่คนมีเงินมีทอง เป็นแค่นักดนตรีกระจอกๆ คนหนึ่ง นอกจากความรักและภักดีของผม ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่ผมจะให้กับคุณอุษาได้”
“ฉันเองก็ไม่ได้มีอะไรดี...ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ เคยแต่งงานมาแล้วด้วยซ้ำ”
วิทย์เดินเข้าไปใกล้ กุมมือสา “แต่คุณอุษาก็มีค่าสำหรับผมเสมอ”
“ฉัน...ฉัน...” สาลำบากใจ ไม่รู้จะตอบยังไง
วิทย์กลัวถูกสาปฏิเสธ รีบหยุด “คุณค่อยๆ คิดก็ได้ ผมเข้าใจ ผมจะรอ”
“ค่ะ วันนี้ฉันเหนื่อย คุณวิทย์กลับไปก่อนได้ไหมคะ ฉันอยากนอนพัก”
วิทย์ก้มหน้ายอมรับโดยดี สาสงสารบีบมือวิทย์เบาๆ วิทย์ดึงสาเข้ามากอด สานิ่ง
คล้ายมีสายตาคนแอบมองสากับวิทย์กอดกัน
ที่แท้เป็นสมศักดิ์ ที่ยืนหลบอยู่ในมุมมืดของบ้าน สีหน้าทั้งโกรธและน้อยใจ
สาดับตะเกียง เดินขึ้นไปชั้นบน จู่ๆ มีมือมากระชาก สาตกใจ จะร้อง แล้วมีมือมาอุดปาก
“ผมเอง” สมศักดิ์คลายมือที่อุดปากออก
“คุณ! นี่คุณแอบเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็มาทันเห็นคุณกับไอ้หน้าจืดนั่นก็แล้วกัน” สมศักดิ์พรั่งพรู ด้วยความน้อยใจ “สนุกใหญ่สินะ กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ พาผู้ชายมาพร่ำพรอดถึงในบ้าน ไม่กลัวชาวบ้านนินทาบ้างหรือไง” เขาจับคางสาบีบ “หรือว่าหน้านี่มันไม่ยางอายเหลือแล้ว”
สาน้อยใจ น้ำตาเอ่อ ประชดแรง
“ใช่สิ! ฉันมันคนไม่ดี ไม่มียางอาย รู้แล้วก็ไปให้ไกลๆอย่ามายุ่ง ไป๊”
“คำก็ไล่ สองคำก็ไล่...มีของใหม่ ลืมของเก่าแล้วหรือยังไง”
“ลืมแล้ว” สาประชดอีก
“งั้นจะเตือนความจำให้!”
สมศักดิ์จูบสาทันที สาดิ้นนิดเดียว แล้วก็จำนนต่อความรักที่มีอยู่ในใจเสียงหวอเตือนภัยดังลั่น
ค่ำคืนนั้นเครื่องบินต่อสู้อากาศยานบินว่อนเต็มฟ้าเหนือกรุงเทพฯ
ท้องถนนกลางคืน สว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์เพราะเป็นคืนเดือนหงายวิทย์กำลังเดินกลับบ้าน เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นลำแสงพุ่งลงมาจากฟ้า วิทย์ตกใจ ชาวบ้านวิ่งหนีออกมาจากบ้านแถวนั้น หนีกันอลหม่าน
“มาแล้วโว้ย มันมาอีกแล้วโว้ย”
เสียงระเบิดตูมแรกสว่างวาบมาจากทางบ้านสา วิทย์ตกใจ นึกเป็นห่วง
“คุณอุษา”
วิทย์วิ่งสวนกลุ่มคนกลับไปทางเดิม
เสียงระเบิดตูมๆๆๆ ติดกันหลายลูกดังสนั่นหวั่นไหว จนพื้นดินสั่นสะเทือนเสาไฟฟ้าที่ทำจากไม้ข้างทางล้มลงมากลางถนน
รถเก่าๆ คันหนึ่งที่วิ่งมา ตกใจเสียหลักพุ่งเข้าใส่กลุ่มคน รถนั้นพุ่งเข้ามาชนวิทย์ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“คุณ...คุณครับ” ชายคนขับรถตกใจ
“คุณอุษา...”
ภาพทุกอย่างดับวูบลง พร้อมๆ กับวิทย์ที่หมดสติไป
อ่านต่อหน้า 2
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 15 (ต่อ)
ทางด้านหญิงโสภาอุ้มโสภิตพิไลที่หลับสนิทวางลงบนที่นอน ขยับผ้าแพรห่มให้ เด็กหญิงโสภิตพิไลตาปรือ คว้ามือไว้
“คุณจิ๋ง”
หญิงโสภาจูบหน้าผากเบาๆ “หลับนะคะ คุณแม่ไม่ไปไหน คุณแม่อยู่กับโสภิตค่ะ”
โสภิตพิไลยิ้ม แล้วสักครู่ก็หลับสนิทไป
หญิงโสภาเปิดประตู ค่อยๆ เดินออกมาจากห้องแป้นกับสุขเดินวนเวียนอยู่ หน้าตาร้อนรน
“คุณหญิงขา”
“มีอะไรคะ พี่แป้น”
“สงสัยคืนนี้คุณสมศักดิ์จะไม่ได้กลับบ้านแล้วล่ะค่า”
หญิงโสภาหน้าตาตกใจ สุขรีบบอก
“เรือแท็กซี่ไม่กล้าวิ่งกันแล้ว คืนนี้ไอ้พวกฝาหรั่งมันเอาจริง มันทิ้งระเบิดลงมาลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเลยเชียว”
“ตายจริง” คุณหญิงห่วงสมศักดิ์ แล้วนึกได้ “สา...แถวนั้นใกล้บ้านสาด้วย จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
หญิงโสภาใจไม่ดี
ฟาสานอนซบอยู่ในอ้อมกอดของสมศักดิ์ ทั้งสุขทั้งเศร้าปนกันล้ำลึกเสียงปืนเสียงหวอยังแว่วมาไกลๆ
“คืนนี้ระเบิดลงหนักเหลือเกิน”
สาบอกเสียงเบาๆ “คุณกลับได้แล้วค่ะ”
“ขอผมอยู่จนเช้าได้ไหม ผมเป็นห่วงคุณ”
สมศักดิ์จูบผมสาเบาๆ แล้วหลับตาลงอย่างสุขสม สาสะท้อนใจ
ค่อนรุ่ง เวลาราวตีสี่ เสียงหวูดเตือนภัยดังสนั่น พร้อมกับเสียงระเบิดดัง ตูม! ดังมา หญิงโสภานั่งซบหลับรออยู่ที่นอกชานสะดุ้งตื่น แป้นที่หอบเสื้อกับหมอนออกมานอนเฝ้าระวังที่นอกชานก็พลอยสะดุ้งตื่นด้วยแป้นคว้าผ้าผวยคลุมหัว สวดมนตร์
“ว้าย พุธโธธัมโม สังโฆ”
สุขเดินเข้ามาดึงผ้าออก ทำเสียงดังใส่
“ตูมๆๆๆๆๆ”
“อ๊ายๆๆ” แป้นกรี๊ดๆๆ แล้วพอเห็นว่าเป็นสุขก็แว้ดใส่ “ตาสุข ตาบ้า แกมาดึงผ้าฉันทำไม”
“ผ้าผวยของแกลงยันตร์มารึไงยัยแป้น ถึงจะกันระเบิดได้” สุขชี้ไป “โน่น มันตกแถววัดโน่นห่างบ้านเราไปตั้งเยอะ”
“แกรู้ได้ยังไง”
“ไปดูลาดเลามาแล้ว” สุขส่ายหัว “ฝั่งขะโน้นโดนระเบิดไม่มีชิ้นดีเชียวเห็นเขาว่าเมื่อคืนคนตายเป็นเบือ”
หญิงโสภาตกใจ
“อะไรนะคะ คนตายเป็นเบือ!”
โสภิตพิไลวิ่งออกมาจากห้อง มีจรินทร์วิ่งตาม
“คุณจิ๋งขา คุณจิ๋ง”
“คุณแม่อยู่นี่ค่ะ โสภิต” คุณหญิงกอดไว้ “ไม่มีอะไรนะคะ ลูก ไม่ต้องกลัวนะ”
“คุณพ่ออยู่หนายคะ” เด็กน้อยถามหา
“คุณพ่อยังไม่กลับเลยค่ะ” หญิงโสภาหันมาหารือแป้น “จะทำยังไงดีคะ พี่แป้น หายเงียบไปทั้งคืนแบบนี้ หญิงเป็นห่วงเหลือเกิน”
ตอนสายของวันใหม่ แสงแดดส่องผ่านม่านหน้าต่างลงมาที่ใบหน้าของวิทย์ซึ่งอยู่ในชุดนอน สักพักวิทย์กระพริบตา ตื่นขึ้นแล้วขยับตัว วิทย์รู้สึกเจ็บระบมทั่วตัว
“โอ้ย”
สมัยที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียง เด้งขึ้นมา
“คุณหนู” สมัยดีใจ วิ่งออกไปเลย “คุณวิภาเจ้าขา คุณหนูตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
สมัยวิ่งตุ๊บตั๊บออกไป
สักครู่หนึ่ง วิภาเดินนำสมัยเข้ามา บ้านวิทย์เล็กมาก ในห้องโถงตรงกลางมีแผ่นครั่ง เครื่องจานเสียง และเปียโนเก่าๆ วางอยู่ ที่โต๊ะทำงานมีโน้ตเพลงกองสุม
สมัยถือถาดใส่ชามข้าวต้มตามมา หาที่วางอย่างลำบาก
“วางตรงนั้นแหละ สมัย เดี๋ยวฉันจะไปดูพาวิทย์ออกมาเอง”
วิภาชะงัก เมื่อเห็นวิทย์สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ แบบจะออกไปข้างนอกเดินออกมา
“อ้าว นั่นแต่งตัวจะไปไหน”
“ผมจะออกไปหาเพื่อนครับ”
“พี่ไม่อนุญาต” วิภาดันวิทย์ไปนั่ง “นั่งลง รับประทานข้าวก่อน” วิทย์ลงนั่ง “เมื่อคืนยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”
“ผมก็เรียนพี่วิภาแล้วนี่ครับ” สมศักดิ์พูดอย่างรวดเร็ว “ผมกำลังเดินกลับบ้าน พอดีระเบิดลง มีรถมาชนผม ผมวูบไป ตื่นขึ้นมาในรถเขา เขาขอโทษ แล้วก็พาผมมาส่งที่บ้าน จบ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นจ้ะ”
“แล้วเรื่องอะไรครับ”
“คนที่ขับรถชนเธอ เขาเล่าให้พี่ฟังว่า ก่อนหมดสติ เธอพูดถึงคนชื่ออุษา” วิภามองวิทย์ ถามด้วยท่าทีจริงจัง “คุณอุษาคือใคร”
วิทย์อึ้งนิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจบอกพี่สาวตรงๆ “ผู้หญิงที่ผมรักครับ”
วิภากับสมัยผงะคาดไม่ถึง
สมัยตบเข่าฉาด “หมัยว่าแล้วเชียว ลองลุกมาสีซอกลางดึกกลางดื่น”
“เดี๋ยว วิทย์ แล้วแม่อุษาคนนี้ เธอเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน ลูกเต้าเหล่าใครแล้วที่จะรีบออกไปทั้งๆ ที่ตัวยังเจ็บอยู่นี่ จะไปหาแม่อุษาใช่ไหม”
วิทย์เดินลิ่วออกไปเลย
เวลานั้นสานุ่งผ้าแพรเพลาะสีอ่อน ที่ใช้ห่มแทนเสื้อผ้า นอนระทวยอยู่บนเตียง คุยกับสมศักดิ์ที่กำลังใส่เข็มขัดอยู่ เปลือยท่อนบนยังไม่ได้สวมเสื้อ
“คุณตื่นเอาจนสายป่านนี้ กลับถึงบ้านจะแก้ตัวกับคุณหญิงเธอว่ายังไง”
สมศักดิ์หยุดแต่งตัว หันมานั่งคุยกับสา “ผมคิดๆ ดูแล้ว ผมจะสารภาพเรื่องของเรากับคุณหญิง” สาขยับจะเถียง สมศักดิ์ยกมือห้าม “ฟังผมก่อน คุณสา ผมกับคุณหญิงโสภา ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยามานานมากแล้ว จริงๆ นะ เรื่องแบบนี้เธอน่าจะเข้าใจ”
“ไม่มีทางค่ะไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าใจหรอก โดยเฉพาะคุณหญิงของฉัน คุณเลิกคิดได้”
เสียงประตูบ้านด้านนอกห้องดัง แอ้ด สมศักดิ์กับสาชะงัก
“ใครกัน” สมศักดิ์มองมา สาส่ายหน้า ไม่รู้ “คุณให้กุญแจบ้านไอ้หน้าอ่อนนั่นไว้ด้วยหรือ”
“บ้า” สานึกได้ยิ่งตกใจ “เมื่อคืนฉันลืมลั่นกุญแจ ตายละ หรือขโมย”
“ชู่ว์.. คุณอยู่ในนี้ก่อน”
สมศักดิ์เปิดประตูห้องออกไป เสื้อยังไม่ได้สวม เข็มขัดก็ยังห้อยๆ อยู่
“คุณ” สมศักดิ์กึกชะงักตัวแข็งทื่อ
สามองผ่านประตู เห็นสมศักดิ์ยืนนิ่ง ก็เอะใจ รีบตามออกมาที่หน้าประตู
“ใครมาคะ”
สาเห็นหญิงโสภา ก็ชะงักกึก รู้สึกเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหิน
หญิงโสภายืนอยู่ที่ทางเดิน มองสมศักดิ์ที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย และสาที่นุ่งผ้าห่มแทนเสื้อผ้า ก็เข้าใจหมดทุกอย่าง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ แผ่ซ่านไปทั้งตัวจนร่างสั่นระริก แต่พยายามฝืนให้นิ่งด้วยทิฐิ
หญิงโสภาใจสลายพูดกับสาเสียงเบาหวิวข้างในรู้สึกเจ็บปวดเหลือแสน แต่น้ำตาไม่ไหลสักหยด
“หญิงแวะมาดูเท่านั้นเองจ้ะ เมื่อคืนระเบิดลงหนักมาก เขาลือกันว่ามีคนเจ็บคนตาย” พูดแล้วเสียงเริ่มสั่นนิดๆ “คุณสมศักดิ์ก็ไม่กลับบ้าน หญิงเป็นห่วง...เป็นห่วงสาด้วย เลยแวะมาดู ในเมื่อ...” คุณหญิงเกือบจะกลั้นไม่ไหวแล้วตอนนี้ “ไม่มีใครเป็นอะไร หญิงก็จะกลับละ”
หญิงโสภาหันหลัง เดินออกไป
“คุณหญิงครับ เดี๋ยวก่อน”
คุณหญิงเดินออกไป โดยไม่หันหลัง พยายามกลั้นน้ำตา
สมศักดิ์จะตาม แล้วนึกได้ว่าไม่ได้ใส่เสื้อ เลยวิ่งกลับมาคว้าเสื้อ แล้ววิ่งตามออกไป
“คุณหญิง รอผมก่อน”
สมศักดิ์วิ่งเฉี่ยวไหล่สาไปนิดหนึ่ง ทำให้สาที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นได้สติ ร่างทรุดลงกองกับพื้น แล้วน้ำตาก็ค่อยๆ ทะลักออกมา จนกลายเป็นสะอื้นอย่างรุนแรง ร้องไห้เหมือนโลกทั้งโลกถล่มทลายลงตรงหน้า
“คุณหญิง สาขอโทษ คุณหญิง สาผิดไปแล้ว สาขอโทษ”
สาร้องไห้ฟูมฟายอยู่กับพื้น ใจจะขาด
อีกอึดใจ วิทย์วิ่งขึ้นมาเห็นสภาพของสา ก็ตกใจ
“คุณอุษา” วิทย์เข้าไปประคอง “เกิดอะไรขึ้นครับ บอกผมหน่อยได้ไหมคุณอุษาเป็นอะไร”
วิทย์ประคองร่างสาขึ้นมา ห่วงใยมาก แต่สาเหมือนคนสติแตกไปแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เอาแต่ร้องไห้โฮๆ
อ่านต่อหน้า 3
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 15 (ต่อ)
ภายในเรือยนต์โดยสารที่เลาะเลี้ยวจากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าคลอง มุ่งหน้าไปส่งผู้คนตามท่า สมศักดิ์นั่งนิ่งมาในเรือนลำนั้น ใจร้อนเป็นไฟ
สมศักดิ์วิ่งเข้ามาที่บ้าน เห็นสุขกำลังเรียงกล้วยที่เพิ่งตัดใหม่ใส่เข่งอยู่
“อ้าว คุณ”
สมศักดิ์ร้อนรนใจ “คุณหญิงกลับมาหรือยังครับ”
สุขยังไม่ทันตอบ แป้นก็โผล่มาจากดงกล้วย แบกกล้วยมาอีกเครือ ทักเสียงแจ๋ว
“แหม คุณสมศักดิ์ หายไปไหนมาทั้งคืนเชียวคะ ฮู้ย เมื่อคืนนี้น่ากลัวจะตาย คุณหญิงเธอเป็นห่วงคุณเสียจนต้องออกไปตามแต่เช้า แล้วนี่เจอกันไหมคะทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”
แป้นพูดยืดยาวจบม้วน สมศักดิ์เดาได้ ถามเสียงแห้ง
“คุณหญิงยังไม่กลับมาที่นี่อีกหรือครับ” แป้นกับสุขพยักหน้า สมศักดิ์เครียด “แล้วไปไหน”
แป้นเห็นอาการสมศักดิ์ผิดปกติ รู้ว่ามีเรื่องแน่ ได้แต่มองหน้าสุขเหวอๆ
หญิงโสภาพาตัวเองมานั่งร้องไห้อยู่ที่ริมถนนหน้าวังรวีวาร มองเหม่อไปที่ประตูหน้าวัง
ภาพอดีตมากมายที่นี่ผุดขึ้นมาในห้วงคิดฉากแล้วฉากเล่า ทั้งตอนที่เคยนั่งรถผ่านถนนสายนี้ สมศักดิ์ยืนแอบมอง
ในวันที่สมศักดิ์มายืนมอง แล้วมีสานั่งอยู่ในรถด้วย จนกระทั่งในสาเอามะลิมาให้จากบ้านสมศักดิ์ และสาออกอาการหัวเราะคิกคัก
หญิงโสภาสะอื้น
“หญิงผิดเอง ผิดเองที่ไม่เชื่อใคร แต่กลับไปเชื่อสา”
ประตูเปิดออกพอดี รถที่นายชิดขับแล่นออกมาจากวังหญิงโสภาเห็น ตกใจ
“หม่อมแม่”
หญิงโสภากลัว รีบหลบหลังต้นไม้ ใจหนึ่งก็อยากออกไป อีกใจก็กลัว
ภายในรถ หม่อมพริ้มนั่งอยู่ด้านหลังกับชายรวี ชายรวีอยู่ริมหน้าต่างฝั่งหญิงโสภา
หม่อมพริ้มหันหน้ามาทางฝั่งหญิงโสภาพูดกับชายรวี
“คุณชายลูกของท่านลุงสืบสายชวนให้แม่ส่งชายไปเรียนที่ฝรั่งเศส ชายอยากไปไหมลูก”
“ถ้าหม่อมแม่ไป ชายก็ไปค่ะ”
“ชายต้องไปคนเดียวสิจ๊ะ แม่จะไปเรียนด้วยได้ยังไง”
“งั้นชายก็ไม่ไป” ชายรวียิ้ม เอาใจ “เว้นแต่ว่า หม่อมแม่อยากให้ไป ชายก็ไปค่ะ”
หม่อมพริ้มยิ้มชื่นใจ
รถแล่นมาถึงหน้าต้นไม้ที่หญิงโสภาแอบอยู่ หญิงโสภาตัดสินใจ เคลื่อนตัวออกมาจากต้นไม้ที่บัง
ด้วยความตั้งใจในเบื้องแรกคือ ถ้าหากหม่อมพริ้มเห็นแล้วจอดรถ ก็แปลว่าแม่ยอมให้โอกาส รับคำขอโทษของตัวเอง
พร้อมๆ กันนั้น ชายรวีเขย่งตัวขึ้น มองออกมานอกหน้าต่าง หญิงโสภาเห็นชายรวี และชายรวีก็เห็นหญิงโสภา แต่หม่อมพริ้มถูกหัวชายรวีบังไว้ จึงไม่เห็นธิดา
หญิงโสภามองไปในรถ อยากเรียก แต่ไม่กล้า เสียงไม่หลุดลอดออกจากปาก กลายเป็นเสียงรำพึงเสียงเบาหวิว
“หม่อมแม่ขา
ชายรวีหันมาเห็นหญิงโสภาที่มองมา ก็ยิ้มให้ จนรถแล่นผ่านไป
หญิงโสภาหมดเรี่ยวแรงที่ฝืนรวบรวมไว้ ทรุดลง น้ำตาร่วงริน
สาเดินเข้ามาในบ้านแป้นและสุข หน้าตายังหวั่นๆ แป้นกับสุขเห็นสาก็ดีใจ พุ่งเข้ามาหา
“คุณสา” สุขทักก่อน
“คุณสามาพอดีเชียว นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ คุณสมศักดิ์กลับมา ก็นั่งจับเจ่าคุณหญิงโสภาก็มาหายตัวไป”
สาตกใจ “อะไรนะคะ คุณหญิงหายไป...นี่คุณหญิงยังไม่กลับมาที่นี่อีกหรือคะ”
บนชานบ้านตอนนี้ สานั่งไม่ติด เป็นห่วงหญิงโสภามาก
“ป่านนี้ยังไม่กลับ เตลิดเปิดเปิงไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
สมศักดิ์ถามขรึมๆ “คุณหญิงมีเพื่อนหรือมีใครที่จะไปหาได้ไหม”
“ไม่มีค่ะ”
แป้นกับสุขไม่รู้อิโหน่อิเหน่ นั่งหน้าเหรอหรา ฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่ห่างๆ ออกไป
“จริงเหรอ ลองนึกดูดีๆ สิคุณสา” สมศักดิ์ถามย้ำ
“ไม่มีค่ะ หม่อมท่านเข้มงวด ให้คุณหญิงอยู่แต่ในบ้านคุณหญิงไม่รู้จักใครที่ไหนหรอกค่ะ...เพื่อนคนเดียวที่มีก็คือฉัน...” สาอึ้งไปทันที “มีฉันคนเดียว”
สาสะท้อนใจ เสียใจจนน้ำตาคลอ รู้สึกผิดมาก สมศักดิ์ก็อึ้ง
เสียงแป้นร้องดังขึ้นในจังหวะนี้
“แน่ะ คุณหญิงกลับมาแล้ว”
สาหันขวับ ดีใจ วิ่งไปหาอย่างลืมตัว
“คุณหญิงขา”
หญิงโสภาเดินหน้านิ่งขึ้นบ้านมา สาวิ่งไปถึงตรงหน้าถึงกับชะงัก สาเห็นดวงตาของหญิงโสภาที่มองมาว่างเปล่า นิ่ง เหมือนไม่มีความรู้สึกสมศักดิ์ก็เข้ามารับ
“คุณหญิง...หายไปไหนมาครับ”
หญิงโสภาเดินเลี่ยงไป ไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น
หญิงโสภาเข้ามานั่งในห้อง เอาผ้าที่ซักแห้งแล้วมาพับลงตะกร้า สมศักดิ์กับสาตามเข้ามา สองคนนั่งลงตรงหน้า
“คุณหญิงขา” สากราบลงตรงหน้า “สาผิดไปแล้วจะเฆี่ยนตีดุด่ายังไงก็ทำเถอะค่ะทูนหัว อย่าทำอย่างนี้เลยสาไม่สบายใจ”
หญิงโสภาพับผ้านิ่งเฉย ไม่ตอบ
“คุณหญิงครับ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมขอรับผิดทุกอย่าง ผมขอให้คุณหญิงเห็นใจ และให้อภัยผมกับคุณสาด้วย ผมรักคุณหญิง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรักไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมเป็นผู้ชาย มีเลือดมีเนื้อ แล้วคุณสาเองเธอก็เต็มใจ”
สาฟังแล้วก็สะอึกนิดๆ หญิงโสภามองหน้าสานิ่งๆ แววตาเหมือนบ่อน้ำลึก ยากจะหยั่งถึง พูดเสียงเบาหวิว
“ค่ะ”
สมศักดิ์ใจชื้นขึ้นนิดหนึ่ง เขาพูดต่อ “ผมรู้ดี ว่าคุณหญิงรักทั้งผม รักทั้งคุณสา ถ้าหากคุณหญิงเมตตา เราสามคนก็จะอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข”
หญิงโสภาสีหน้าเหมือนเสียใจแวบหนึ่ง แล้วกลับเป็นนิ่งเหมือนเดิม
“บ่ายแก่แล้ว หญิงขอตัวเอาโสภิตไปอาบน้ำก่อนค่ะ”
หญิงโสภาลุกออกไป สากับสมศักดิ์มองกัน ใจหล่นวูบ
เวลาต่อมา เห็นเด็กหญิงโสภิตพิไลนุ่งผ้าถุงกระโจมอกตัวจิ๋ว น่ารักๆ วิ่งไล่ ล้อ เล่นกับจรินทร์ ที่อยู่ในชุดกระโจมอกเหมือนกันอยู่ตรงบันไดท่าน้ำ
หญิงโสภานั่งมองสองคนเล่นกัน ตรงหน้ามีเสื้อผ้าชุดใหม่ ผ้าเช็ดตัว และแป้งดินสอพองกับน้ำอบ
เด็กหญิงโสภิตร้อง วิ่งไปวิ่งมาล่อจรินทร์ “ไอ้เข้ ไอ้โขง มาโพรงไม้สัก ไอ้เข้ฟันหัก กัดคนไม่เข้”
“โสภิตดีๆ ค่ะ ระวังนะจ๊ะ ริน เดี๋ยวตกน้ำ”
“หนูว่ายน้ำแข็งค่ะ คุณหญิงไม่ต้องกลัว” จรินทร์เด็กสาวชาวสวนบอก
“หนูว่ายน้ำไม่เป็น” โสภิตอ้อน “คุณจิ๋งสอนหนูว่ายน้ำ”
“คุณแม่ว่ายน้ำไม่เป็นค่ะ”
จรินทร์อาศัยทีเผลอ คว้าตัวโสภิต
“นี่แน่ะ จับได้แล้ว”
โสภิตพิไลร้องกรี๊ดๆ หัวเราะชอบใจ ส่งเสียงใส
“ตาหนูเป็นไอ้เข้”
โสภิตพิไลวิ่งไล่จรินทร์แทน เสียงร้องไอ้เข้ไอ้โขงเฟดไป
หญิงโสภาเหม่อมองไปกลางแม่น้ำ เห็นวังน้ำวนที่แป้นเคยเล่าให้ฟัง รู้สึกดึงดูดอย่างประหลาด
ทุกคนต่างเป็นทุกข์กับการนิ่งเฉยของคุณหญิงโสภาพรรณวดี สองผัวเมียรู้เรื่องแล้วจากสาและสมศักดิ์
สุขอยู่ในสวนกล้วย ถามสมศักดิ์ออกไปตรงๆ
“แล้วคุณกับคุณสาจะทำยังไงต่อไป”
“ผมก็มืดแปดด้าน...ผู้หญิงนี่ก็แปลกนะ ตัวเองทำเฉยชา เหมือนไม่ต้องการเราแต่พอเราไปหาคนอื่น กลับทำเป็นเรื่องใหญ่
แป้นตบอกผาง เวลานั้นอยู่ครัวกับสา
“ต๊ายตาย อกอีแป้นแตก ไปผิดพลาดกับคนอื่นยังพอทำเนา แต่นี่เป็นคุณสา ..
สมศักดิ์ยังอยู่กับสุขในสวนกล้วยแย้งขึ้นมา
“ทำไมล่ะครับ ทีท่านพ่อของคุณหญิงเอง ยังมีหม่อมตั้งหลายคน ทำไมพอผมจะมีบ้าง เธอถึงรับไม่ได้ .. คุณอุษาเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน”
สาอธิบายกับแป้นอยู่ในครัว
“ฉันเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับทรยศเธอ ทำกับเธออย่างนี้ เป็นฉัน ฉันก็ไม่ให้อภัยตัวเองเหมือนกัน”
สุขบอกปลอบสมศักดิ์
“ก็ดูไปสักระยะนึงก่อนเถอะคุณ ไอ้เรื่องแบบนี้ ผู้หญิงบางคนเขาก็ทำใจได้ แต่บางคน เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร”
สาบอกย้ำกับฝ่ายเมีย
“คนอย่างคุณหญิง น้ำนิ่งไหลลึก เหมือนหม่อมแม่ของเธอไม่มีผิด ฉันเดาไม่ออกจริงๆ ค่ะ พี่แป้น ว่าเธอจะทำยังไงกับฉันต่อไป”
ค่ำแล้วหม่อมพริ้มกำลังคุมเจิมกับหวนเก็บรูป หนังสือ และของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ในห้องโถงลงหีบ เตรียมย้ายบ้าน
“ทำไมเราต้องย้ายบ้านด้วยล่ะคะ หม่อมแม่”
หม่อมพริ้มนิ่ง เจิมช่วยตอบ
“ที่นี่มันใหญ่ไปค่ะ คุณชาย หม่อมแม่ดูแลไม่ไหว”
“ทำไมหม่อมแม่ไม่บอกชายล่ะคะ ชายจะได้ช่วยดูแล”
“เอาไว้ชายโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนนะลูก แม่จะขอให้ชายช่วย ช่วยดูแลวังรวีวารของเรา” หม่อมว่า
หวนทำเสียงใสแก้สถานการณ์
“แต่ตอนนี้คุณชายมาช่วยหวนดีกว่าค่ะ ช่วยหวนเก็บของในตู้นี้ที”
ชายรวีช่วงโชติไปช่วยหวนเก็บของ ตู้นั้นมีกรอบรูปเงิน ดูมีราคาเก็บไว้อยู่หลายอัน โดยมากเป็นกรอบรูปเปล่ามีอันหนึ่งมีรูปเก่าคาอยู่ ชายรวีหยิบมาดู
“มีรูปหม่อมแม่ด้วยค่ะ”
หม่อมพริ้มยิ้ม “ไหนลูก”
ชายรวีเอามาให้หม่อมพริ้ม หม่อมมองดู พบว่าแม้มันจะเป็นรูปเก่าสีซีดจาง แต่ยังเห็นชัดว่าเป็นตัวเองถ่ายกับหญิงโสภาหม่อมพริ้มชะงักหน้าเสีย
เจิมกับหวนเห็นสีหน้าหม่อมพริ้ม แปลกใจ
“ใครคะ หม่อมแม่ สวยจัง” คุณชายน้อยถาม
หม่อมพริ้มบอกลูกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “คนเคยอยู่ที่นี่น่ะลูก ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
“อยู่ค่ะ เขายังอยู่แถวนี้” ทุกคนหันขวับมามองหน้าชายรวี “เมื่อกลางวันชายยังเห็นเขามายืนมองเราอยู่เลย”
หม่อมพริ้ม เจิม และหวนเหลียวมองหน้ากัน คิดไม่ถึง
หม่อมพริ้มเข้ามาในห้องนอน เจิมตามมาด้วย ทั้งสองดูตื่นเต้น
“ถ้าจริงอย่างที่คุณชายว่า คุณหญิงโสภาอาจจะกลับมาที่นี่นะเจ้าคะ”
แม้จะหวัง แต่หม่อมพริ้มก็ไม่อยากหวัง “คนหน้าตาคล้ายกันก็เป็นไปได้”
เจิมตื่นเต้น “แต่ถ้าเป็นคุณหญิงจริงๆ ล่ะเจ้าคะ”
“ใช่ แล้วจะยืนนิ่งอยู่ทำไม” หม่อมฉงน
“ก็ถ้าไม่ยืนนิ่งๆ แต่เข้ามาหา หม่อมจะยอมรับคุณหญิงกลับมาไหมล่ะเจ้าคะ”
หม่อมพริ้มนิ่งคิดตริตรอง แล้วในที่สุดก็พยักหน้า ทิฐิในใจถูกทลายลงหมดสิ้นแล้ว
“ถ้าเป็นหญิงโสภาคนเดียว ข้าจะให้อภัย”
เจิมยิ้มสุขใจ ไม่สังหรณ์สักนิดว่า ทุกอย่างมันสายไปแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 15 (ต่อ)
บ้านสวนของแป้น ตกอยู่ในความมืดมิด มันเป็นเวลาประมาณตีสี่แล้วยามนี้ บ้านปิดไฟหมดทั้งหลัง บรรยากาศดูวังเวง เงียบสงัด
หญิงโสภานอนอยู่กับโสภิตพิไลที่มุ้งเล็กในห้องนอน ส่วนสมศักดิ์นอนอยู่บนเตียงคนเดียว หลับสนิท
หญิงโสภานอนลืมตาอยู่ในความมืด ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองไปยังสมศักดิ์ แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ และผิดหวัง
หญิงโสภาละสายตาหันกลับมามองโสภิตพิไลที่หลับสนิท แล้วก้มลงจูบแก้มเบาๆ บอกลาอย่างอาลัย
โสภิตพิไลรู้สึกตัวปรือตาขึ้นมามอง “คุณจิ๋ง”
หญิงโสภาส่ายหน้า “หลับเถอะจ้ะ ยังไม่เช้าเลย”
โสภิตพิไลหลับตาลง หญิงโสภาลูบหัวพึมพำเบาๆ พูดอำลา
“อายุมั่นขวัญยืน โตขึ้นเป็นคนดีนะ โสภิตพิไล น้องรักของพี่”
หญิงโสภาออกจากมุ้งไป
ราวตีสี่ หญิงโสภานั่งโดดเดี่ยวอยู่ที่บันไดขั้นต่ำสุดของท่าน้ำ มองดูสายน้ำสีดำที่ไหลเชี่ยว ดูลึกลับ น่ากลัว
ความหลังครั้งเก่า ตอนที่สากับหญิงโสภาอยู่ที่ท่าน้ำบ้านวินิจในตอนเช้าตรู่ด้วยกัน และสาบานว่าจะไม่ทิ้งกันผุดขึ้นมาในห้วงคิดราชนิกุลตอนนี้
หญิงโสภาน้ำตาไหล มองไปที่สายน้ำตรงหน้าแล้วเอามือหย่อนลงไประน้ำ เห็นน้ำไหลผ่านมือเชี่ยวแรง แววตาหญิงโสภา ทั้งเจ็บปวด และสิ้นหวัง แต่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ในเวลาต่อมา ที่วังรวีวาร เสียงหญิงโสภาดังแว่วเข้ามาในห้องนอนหม่อมพริ้ม ตอนค่อนรุ่ง
“หม่อมแม่ขา”
หม่อมพริ้มสะดุ้งตื่น เด้งตัวขึ้นจากเตียง
“หญิง!”
ในห้องยามนี้เหมือนเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวคละคลุ้ง เสียงหญิงโสภาดังมาจากทุกทิศทาง หวานระคนเศร้า
“หม่อมแม่ขา หม่อมแม่…หม่อมแม่ทูนหัวทูนเกล้าของลูก”
หม่อมพริ้มลงจากเตียง ยืนหันตัวเคว้งคว้าง มองอะไรไม่เห็นนอกจากหมอกควันสีขาว
“หญิง...โสภา โสภาลูกแม่ อยู่ไหนลูก”
หมอกสีขาวรุมเข้ามารอบตัวจนแน่นขนัดมองไม่เห็น เสียงหญิงโสภาเหมือนห่างออกไปทุกทีๆหม่อมพริ้มชักตกใจ ตะโกนก้อง
“หญิง!”
หม่อมพริ้มสะดุ้งสุดตัว พบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียง เหงื่อแตกเต็มหน้า ประมุขแห่งรวีวารคิดทบทวนฝัน ใจคอไม่ดี
ตอนเช้าหม่อมพริ้มเล่าความฝันให้เจิมฟัง ด้วยสีหน้าหม่นหมอง มีบ่าวไพร่ขนของย้ายบ้านเห็นอยู่ไกลๆ ในมุมห้องโถง
เจิมฟังจบก็รีบปลอบ “ทำใจดีๆ เจ้าค่ะหม่อม โบราณว่าฝันร้ายกลายเป็นดีนะเจ้าคะ”
“จะว่าฝันร้ายก็ไม่ใช่หรอกเจิม แต่มันบอกไม่ถูก...ใจมันหายๆ”
“ใจหายยังไงเจ้าคะ”
“ข้าก็บอกไม่ถูก มันใจหายแปลกๆ เหมือนวันที่เขาหนีออกจากบ้านไป”
“คุณหญิงเธอก็หนีไปแล้ว เธอจะหนีไปไหนได้อีกล่ะเจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มพูดคล้ายพยายามตัดใจ “ช่างเถอะ อาจจะเป็นเพราะชายรวีมาเล่าว่าเห็นหญิงโสภาข้าเลยเก็บเอาไปฝันเลอะเทอะก็เป็นไปได้”
หม่อมพริ้มตัดใจ แล้วหิ้วกระเป๋าเดินออกไป เจิมตาม
อีกฟากหนึ่ง ที่บ้านสวนของแป้น โสภิตพิไลร้องไห้งอแง จรินทร์ช่วยปลอบ
“คุณจิ๋ง หนูจะหาคุณจิ๋ง”
“เดี๋ยวคุณหญิงมาค่ะ โสภิตเงียบก่อนนะ เดี๋ยวคุณหญิงมา”
สุขเอาของเล่นที่สานจากทางมะพร้าวมาล่อ “เอานี่ดีกว่า ลุงสุขทำให้นะครับ ชอบไหม ชอบไหม”
“หนูจะหาคุณจิ๋ง” โสภิตพิไลกรี๊ดเสียงดัง “จะหาคุณจิ๋ง”
สมศักดิ์เดินออกมาเห็นเข้า แปลกใจ
“อะไรลูก โสภิต ร้องไห้ทำไม”
“จะหาคุณแม่ค่ะ ร้องไห้ใหญ่เลยน่าสงสาร ตื่นมาไม่เจอคุณแม่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หนูโสภิตแกคงจะตกใจ”
ฟังที่แป้นว่า สมศักดิ์ออกการตกใจ
ครั้นพอสารู้เรื่องจากสมศักดิ์ก็ตกใจมาก
“อะไรนะ! คุณหญิงหายอีกแล้ว!หายไปไหน”
“ไม่รู้ พี่แป้นพี่สุขก็ออกหาจนทั่วแล้ว ไม่มีใครเห็น”
“คุณหญิงคงไม่ให้อภัยคุณกับฉัน เธอคงไม่อยากอยู่กับเราแล้ว”
“แล้วจะไปอยู่ไหน...ไหนคุณว่าคุณหญิงไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักใคร”
“ก็มีที่เดียวแหละค่ะ ที่เธอจะไปได้”
สามีสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมาทันทีที่นึกถึงวังรวีวาร
ที่โรงครัววังรวีวาร มีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดที่รั้วข้างวัง ตรงตำแหน่งที่เคยมีแผ่นไม้เผยอให้มุดเข้าไปได้ ใครคนนั้นมุดเข้าไป แล้วแอบซุ่มหลังต้นไม้ใหญ่ เพ่งมองไปที่โรงครัว เห็นไม่มีคน ที่พื้นมีเศษใบไม้ร่วงปลิวมากอง
เมื่อเคลื่อนเข้าไปในครัว ใครคนนั้นพบว่าครัวว่างเปล่า เหลือแต่ของกะโหลกกะลาที่ไม่ใช้ ทิ้งเอาไว้ บนพื้นมีฝาชีเก่าพังถูกลมพัดตกลงมากลิ้งอยู่ มือใครคนดังกล่าวมาจับขึ้น จึงเห็นว่าเป็นสา ที่มีหน้าตาแปลกใจ ผสมหวาดหวั่น
“โรงครัวว่าง ไม่มีใครอยู่ ข้างของก็หายไปหมด นี่มันอะไรกัน”
สาเดินแอบๆ เข้าไปที่เรือนบ่าว พบว่ากลายเป็นเรือนร้าง สายิ่งแปลกใจ
“ไปไหนกันหมด” สาร้องเรียกเบาๆ “ป้าเจิม น้าจวน พี่หวน มีใครอยู่ไหม”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ สานิ่วหน้า
“ไม่มีใครอยู่เลย ไปไหนกัน?”
นายชิดขับรถของวังรวีวารเข้ามาจอดหน้าตำหนักสีขาวของเสด็จป้า ช่วงตอนกลางวัน เห็นหม่อมพริ้มพาชายรวีเดินลงมา
“ต่อจากนี้ ตำหนักของเสด็จป้า จะเป็นบ้านใหม่ของเรา”
ชายรวีถามซื่อๆ “แล้ววังรวีวารล่ะคะ หม่อมแม่เราไม่อยู่ แล้วมันจะเป็นยังไง”
“แม่ไม่ปล่อยให้ผุพังหรอกลูก ชิดกับหวนจะแวะไปดูแลเป็นครั้งคราว จนกว่า...”
หม่อมพริ้มนิ่งไป หันมองตาใสแป๋วของชายรวี
“จนกว่าอะไรคะ”
หม่อมพริ้มเยือนยิ้ม สีหน้ามีความหวัง “จนกว่า...เราจะกลับไป สัญญากับแม่นะจ๊ะ ชาย ว่าซักวัน ชายจะเป็นคนพาแม่กลับไปที่วังรวีวารของเรา”
ชายรวีพยักหน้าเต็มแรง มุ่งมั่นมาก หม่อมพริ้มยิ้มปลื้ม ชื่นใจ
ตอนเช้าในอีกสองวันต่อมา สาร้องกรี๊ดๆ กลัดกลุ้มเป็นที่สุด
“โอ้ย นี่มันสามวันแล้วนะคะ” แล้วเข้าไปเขย่าตัวสมศักดิ์ “คุณทำอะไรซักอย่างซี ทำอะไรซักอย่างได้ไหม”
“ผมก็หมดปัญญาแล้ว ถามคนเขาไปทั่ว ก็ไม่มีใครเห็น จะให้ผมทำยังไง...ผมว่า เธออาจจะกลับไปหาหม่อมแม่”
แป้นที่นั่งกลุ้มใจอยู่ด้วย เสริมขึ้น
“นั่นสิคุณสา ผู้หญิงเราเวลามีปัญหา ก็ไม่พ้นต้องกลับไปหาพ่อแม่”
“แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้วนะคะ ตอนที่ฉันไป” สาบอก
“แต่คุณบอกว่าเขาเพิ่งย้าย คุณหญิงเธออาจจะไปกับเขาก็ได้นี่” สมศักดิ์ท้วง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ” สากลุ้มใจต่อ “แต่ก็น่าจะบอกกันบ้าง ว่าไปอยู่ไหน”
สุขหน้าตาตื่นเดินนำเด็กคนหนึ่งเข้ามา เป็นเด็กวัดคนที่เคยมาพายเรือรับบิณฑบาตกับพระ นั่นเอง
“แม่แป้นเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เรื่องอะไรของแก”
เด็กวัดชิงตอบ “ผู้หญิงบ้านนี้ที่หายไปน่ะ เขาเจอตัวกันแล้วจ้ะ
ทุกคนลุกพรวด เข้ามารุมเด็กวัด แย่งถามเซ็งแซ่ “จริงเหรอ” / “ที่ไหน” / “เจอเมื่อไหร่” / ใครเจอ”
เด็กวัดร้องขึ้น “ยู้ดดด... หยุดก่อนจ้ะ ทีละคน ฉันตอบไม่ถูก”
สาร้อนใจสุดขีด “เอ้า ไหนว่ามาสิ ตอนนี้ คุณหญิงอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่วัดจ้ะ”
ทุกคนงง สุขอธิบายเสียงเศร้าๆ
“เมื่อเช้า เขาเจอศพผู้หญิงลอยไปติดท่าน้ำของวัด หลวงพ่อแกให้เด็กช่วยกันเอาขึ้นมา เขาคุ้นๆ หน้าว่าเป็นคนบ้านเราเลยให้ไอ้เปี๊ยกมาเรียกไปดู ฉันไม่อยากกะโตกกะตากให้ตกใจกัน ก็เลยแอบไปดูคนเดียว...”
สาซักเหมือนคนใจจะขาด “แล้ว...”
สุขพยักหน้าแทนตอบ แป้นสลด สาร้องไห้โฮ สมศักดิ์อึ้ง
“คุณหญิง!”
ที่บนศาลาวัด ศพของหญิงโสภาถูกวางเอาไว้บนเสื่อ มีผ้าด้ายดิบคลุม สมศักดิ์ สา แป้น สุข เดินเข้าไป
สมศักดิ์ค่อยๆ เปิดแง้มผ้าดิบดูศพ เห็นใบหน้าซีดขาวของหญิงโสภา กลายเป็นซีดเขียว สมศักดิ์น้ำตาคลอด้วยความสงสาร สาเข้าไปกราบที่เท้า น้ำตานองหน้า
“คุณหญิงขา...ทำไมถึงคิดสั้นอย่างนี้ ทูนหัว”
สมศักดิ์เคลื่อนตัวจะไปประคองสา สากลับขยับตัวหนี ไปนั่งตรงหน้าหญิงโสภา มองศพแล้วพูดราวกับหญิงโสภายังมีชีวิต และได้ยิน
“คุณหญิงโกรธสา เกลียดสา ถึงกับอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เชียวหรือคะ ถึงต้องหนีสาไปแบบนี้...ทำไมคะ ทำไม ทำไมคุณหญิงไม่สั่งให้สาไปตาย สาจะไม่ขัดขืนเลย”
สาเริ่มฟูมฟายเสียงดัง สมศักดิ์เข้ามาประคอง
“คุณสา ระงับใจบ้างเถอะ”
สาสะบัดตัวอย่างแรง ตวาดใส่สมศักดิ์ “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเรื่องระยำตำบอนนี้มันคงไม่เกิด” แล้วหันไปร้องไห้กับศพต่อ “สาผิด สาเลว ทำไมถึงไม่ลงโทษสา…ทำไมไม่ให้สาตาย ทำไมคุณหญิงต้องตาย ฮือๆๆ”
สาร้องไห้หมดสภาพ
แป้นตัดสินใจเข้ามาจัดการแทนสมศักดิ์
“พอเถอะค่ะ คุณสา เธอไปสบายแล้ว อย่าให้น้ำตาของคุณไปทำให้เธอร้อนใจ”
สาได้สติค่อยๆ สงบลง แต่ยังสะอื้น
“หลวงพ่อว่าทางการเขามาชันสูตรศพไปแล้ว ว่าจมน้ำตายเอง ไม่ได้มีใครทำอะไรแต่ยังไงก็ถือว่าตายไม่ดี น่าจะสวดทำบุญให้คุณหญิงเธอคืนนี้เลย” สุขบอก
สมศักดิ์เศร้า หมดแรง “เอาเลยครับ ทางวัดเห็นว่าเหมาะควรยังไงก็จัดการเลย”
“เรื่องทางวัดนี่ ฉันกับแม่แป้นเป็นธุระจัดการให้ได้ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่ว่า ญาติพี่น้องของคุณหญิงเขาก็ยังมีอยู่คุณจะไม่ไปบอกกล่าวเขาหน่อยหรือ” สุขว่า
สาที่สะอื้นอยู่สะดุ้งขึ้นมา มองหน้าสมศักดิ์ ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป
“เออ นั่นสิ เขาเป็นเจ้าเป็นนาย เขาจะยอมให้เราทำศพลูกเขาหรือเปล่า…ไอ้ที่ญาติมาชิงศพกันกลางศาลามันก็เคยมีนะ คุณสา ยังไงจะไปบอกเขาเสียก่อนไหม”
สมศักดิ์หวั่นใจ “ไปบอกหม่อมพริ้มเรื่องคุณหญิงอย่างงั้นหรือ” เขาหันมามองสา “คุณว่ายังไง”
สาหน้าซีดเหลือสองนิ้ว หวาดกลัวสุดๆ เมื่อคิดว่าต้องไปเผชิญหน้าหม่อมพริ้ม ได้แต่มองศพคุณหญิงโสภาพรรณวดีที่จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 16