หางเครื่อง ตอนที่ 16
ภาพในความคิดของแก้ว เป็นภาพเสี่ยวาทินกับเมียในกรอบรูปใหญ่ที่อยู่ที่ค่ายเพลง สีหน้าแก้วตกใจนึกออก
“คุณนันทนา”
“จำได้แล้วเหรอ แล้วก็น่าจะจำได้ด้วยว่าชั้นเป็นเมียของเสี่ย”
“แล้ว มีธุระอะไรกับชั้นเหรอคะ” แก้วเริ่มกลัว
“ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญหรอก ได้ข่าวว่าผัวชั้นเค้ามีผู้ช่วยภรรยา เลยแวะมาทักทายหน่อย”
นันทนาเดินยิ้มเข้ามาก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าโหด จิกหัวแก้วขึ้นมา
“ว๊าย ทำอะไรน่ะ ชั้นเปล่านะ”
นันทนาง้างมือขึ้นตบแก้วทันที
“เปล่างั้นเหรอ งั้นขอซักที มันเป็นอะไรหา ผู้หญิงสมัยนี้ บนล่างก็มีเท่ากัน แต่ไม่มีปัญญาหาผู้ชายเอง”
“ชั้นเปล่าจริงๆ นะ นังเดือน นังเดือนตะหากที่มีอะไรกับเสี่ย”
นันทนาชะงักไป จิกหัวแก้วขึ้นมาถาม
“เดือน? เดือนที่เป็นนักร้องนั่นน่ะเหรอ”
แก้วรีบพยักหน้า
“ใช่ๆ นังเดือนนั่นล่ะ ไม่ใช่ชั้นหรอก”
นันทนาจ้องหน้าแก้ว ท่าทางไม่เชื่อ
“แต่ที่ชั้นได้ยินมา มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะ”
“ใช่สิ คุณเข้าใจชั้นผิดแล้ว ชั้นโดนใส่ร้าย”
“ชูเกียรติจะใส่ร้ายเธอทำไม โกหกนักมันต้องโดน”
นันทนาตบแก้วไม่ยั้งมือ แถมจิกหัวไปโขกกำแพงอีก แก้วกรีดร้องโวยวายเพราะโดนอย่างหนักจนสุดท้ายลงไปกองอยู่กับพื้น สภาพดูไม่ได้
“จำไว้นะ ผู้ชายน่ะมันมีน้อย เค้าให้ใช้สอยกันอย่างประหยัด อย่าฟุ่มเฟือยลามมาถึงผัวคนอื่น! ถ้าขืนแกยังมายุ่งกับเสี่ยอีก แกได้ไปร้องเพลงอยู่ในอ่าวทะเลแน่”
นันทนาด่าจบก็เดินสะบัดออกไป
“ไอ้พี่เกียรติงั้นเหรอ”
แก้วเลือดกบปาก หน้าตามีรอยช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บใจ
สายวันใหม่ที่บ้านรวิ ค้อนทุบกระปุกแตกดังโพล๊ะ เหรียญนานาชนิดไหลออกมา รวิ ป้อม ขำชะโงกหน้าเข้ามามุงหัวชนกัน
“หึๆ เงินเก็บมูลค่ามหาศาลของชั้น นี่ท่าทางจะหลายแสนอยู่”
“ประเมินด้วยสายตาแล้วอาจจะถึงล้าน”
“โอ๊ว ผ้าขี้ริ้วห่อทอง พระสังข์ซ่อนรูป”
รวิกับป้อมหันไปมองขำด้วยสายตาทึ่ง ส่วนขำยืนกอดอกเก๊กอยู่
“ประชด”
รวิกับป้อมพูดพร้อมกันแล้วช่วยกันเขกหัวขำคนละข้าง
“หลายแสน แสนจะขาดแคลนน่ะสิ”
“ถึง 300 ป่าววะนั่น”
ขำเอามือกุมหัวป้อยๆ
“โธ่ ชั้นอุตส่าห์ประหยัดเก็บมาตั้งนานเป็นปี”
“เออ งั้นเอ็งก็เก็บต่อไปเถอะ รุ่นหลานเอ็งอาจได้ถึงพัน”
“ชิชะ อย่ามาว่าน้องนะ แล้วพี่ป้อมล่ะ เก็บได้เท่าไหร่กัน”
“เฮ้อ ข้าก็ไม่ได้มีตังค์หยอดกระปุกแบบเอ็งหรอก” ขำเชิดหน้าภูมิใจขึ้นทันที“ข้าก็มีแต่ไอ้นี่ล่ะ”
ป้อมถอดสร้อยคอออกมาส่งให้รวิ ขำหุบยิ้มหันมามองป้อมแล้วทำเป็นมองค้อนหมั่นไส้
“2 บาทน่ะ ยังไงก็เอามารวมทำทุนกันได้”
“จริงๆ พวกพี่ไม่ต้องลำบากก็ได้นะ ชั้นหาของชั้นคนเดียวก็ได้”
“ได้ไงรวิ เราต้องช่วยกันสิ เพื่อเดือนด้วย อีกอย่างก็ถือซะว่าเราหุ้นกัน”
รวิพยักหน้ายิ้มรับ หยิบสมุดบัญชีของตัวเองมาเปิดดู
“เดือนคงดีใจนะ ถ้ารู้”
“แล้วแน่ใจเหรอว่าเดือน จะไม่กลับไปจริงๆ”
ทุกคนนิ่งไป ไม่รู้จะตอบยังไงได้แต่มองกันไปมองกันมา
ที่ค่ายเพลง เสียงแก้วร้องกรี๊ดออกมาจากห้องทำงานเสี่ยวาทิน แก้วเดินสะบัดออกมาจากห้องเสี่ยวาทิน หน้าตามีรอยช้ำอยู่ เจอกับชูเกียรติที่เดินมาพอดี
“อ้าว แก้วหน้าไปโดนอะไรมาน่ะ สะดุดรักใครมาเหรอ”
แก้วจ้องหน้าชูเกียรติ อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“พี่เกียรติ พี่เกียรติเป็นคนบอกเมียเสี่ยเรื่องแก้วใช่มั๊ย”
ชูเกียรติแกล้งหัวเราะ ทำเป็นไม่รูเรื่อง
“อะไรกันแก้ว พูดอะไรพี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“อย่ามาตีเนียน นึกว่าแก้วไม่รู้เหรอว่าพี่เกียรติทำอะไร”
“พี่จะทำแบบนั้นทำไม”
“ก็เพราะนังเดือนไง พี่อยากให้มันกลับมา พี่ก็เลยหาเรื่องให้แก้ว”
ชูเกียรติทำหัวเราะเฉไฉ ไม่มองหน้าแก้ว
“นี่แก้ว พี่ไม่เห็นต้องลงทุนทำอะไรแบบนี้นี่ พี่หาเด็กปั้นใหม่ก็ได้”
แก้วแสยะยิ้มออกมา กระแซะเข้าไปใกล้ พูดเบาๆ เค้นเสียงใส่ชูเกียรติ
“ก็คงทำได้อยู่หรอกนะ ถ้าพี่ไม่ไปรับงาน แล้วก็รับค่าตัวของนังเดือนมันมาเรียบร้อยแล้ว”
ชูเกียรติหุบยิ้มหันมาจ้องหน้าแก้วจะกินเลือดกินเนื้อ
“รู้ดีจังนะ ในเมื่อรู้แล้วก็พึงสังวรไว้นะ เดือนน่ะเป็นตัวทำเงินของพี่ พี่จะเอาเดือนกลับมาให้ได้” แก้วกับชูเกียรติจ้องมองกันอย่างไม่ยอมแพ้ “และที่สำคัญ เดือนจะต้องเด่นต้องดังกว่าแก้ว เหมือนคราวนี้ไง ได้ข่าวว่าถ้าหน้าหายไม่ทัน จะโดนระเห็จกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ใช่เหรอ”
ชูเกียรติหัวเราะออกมาอย่างสะใจ แล้วเดินหนีไปทิ้งให้แก้วยืนกรี๊ดๆ อยู่
ส่วนที่บ้านนภากาศ เดือนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ สายตามองไปที่ทีวีที่เปิดรายการคอนเสิร์ตลูกทุ่งอยู่ ทีวีถูกปิดดับวูบไป เดือนแปลกใจหันมาเห็นนภากาศยืนถือรีโมทอยู่
“จะดูทำไม ในเมื่อเธอตัดสินใจจะออกจากวงการนี้แล้วนี่”
เดือนหน้าสลดลงเล็กน้อย แต่ก็แกล้งฝืนยิ้ม
“ดูไปอย่างนั้นล่ะจ้ะ ไม่มีอะไรดู”
เดือนทำท่าลุกขึ้น นภากาศกดเปิดทีวี เสียงเพลงลูกทุ่งดังขึ้น เดือนชะงักหันไปจ้องด้วยสายตาละห้อย นภากาศส่ายหน้าเดินมานั่งที่เก้าอี้
“ไม่รู้ว่ามันสนุกตรงไหน มานั่งฝืนตัวเองอยู่ได้” เดือนทำหน้าไม่ถูก ลุกขึ้นจะเดินหนี “ชั้นก็เคยเจอไม่ต่างจากเธอหรอกนะ”
เดือนชะงักหันมามองนภากาศอย่างสงสัย
นภากาศลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องเหล็กเก่าๆ ที่อยู่ในตู้ออกมา เดือนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจนั่งลงข้างๆ นภากาศเปิดกล่องหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษนิตยสารเก่าๆ ขึ้นมาดู สีหน้าดูอ่อนลง เดือนรับมาดูอย่างสนใจ
“นี่ทั้งรูปทั้งข่าวที่เกี่ยวกับพี่นภาหมดเลยนี่คะ”
นภากาศพยักหน้ารับ ถอนหายใจ
“อืม แม่ชั้นเป็นคนตัดเก็บไว้น่ะ”
“แม่ ของพี่” นภากาศจ้องมองไปทางรูปที่แขวนอยู่หน้าดูเศร้าลง เดือนมองตามเห็นรูปหญิงชราที่แขวนอยู่ “นั่นรูปแม่พี่นภา”
“อืม ตายไปหลายปีละ เธอรู้มั๊ยวันที่แม่ตาย ชั้นก็มัวแต่ไปร้องเพลงออกงานยุ่งไปหมด” นภากาศดูเศร้าลง เดือนได้แต่มองๆ ไม่กล้าพูดอะไร “เธอกับชั้นนี่มีอะไรคล้ายกันหลายอย่างนะ พอจะเริ่มดังแม่ก็มาตายเหมือนกัน แถมเจอแต่พวกขี้อิจฉาเต็มไปหมด”
“พี่นภาเคยเจอด้วยเหรอคะ”
นภากาศหันมามองหน้าเดือนสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ใช่แค่ชั้นกับเธอหรอกนะ นักร้องดังๆ ที่เธอเห็นอยู่ตอนเนี้ย กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เค้าก็เจออะไรกันมาเยอะแยะ” เดือนอึ้งไป พูดไม่ออก“แต่พวกนั้นเค้าเข้มแข็งกว่าชั้นเยอะ ชั้นมันอ่อนแกเกินไป ถึงได้มาเป็นแค่นักร้องในวงบ้านนอกแบบนี้ไง”
“มิน่า พี่นภาถึง...”
“ยังไง”
เดือนยิ้มแหยๆ ไม่กล้าพูด นภากาศลุกขึ้น เก็บรูปใส่กล่องเอาไปเก็บทีเดิม
“อยู่ที่เธอนะ จะเลือกตามฝัน หรือจะอ่อนแอแบบชั้น”
เดือนถอนหายใจ ไม่รู้จะเอายังไงดี ได้แต่มองตามนภากาศที่เดินออกไป
ร้านกาแฟในเมือง ขำถือกระดาษเอกสารบังหน้าอยู่
“วะ ว๊าว ในที่สุด และในที่สุด เราก็เจอที่จะเปิดร้านแล้ว”
ขำเอามือลง ยิ้มหน้าบาน
ขำ รวิ ป้อมนั่งอยู่ที่โต๊ะ รวิดูดน้ำอัดลมอยู่ ส่วนป้อมนั่งทำหน้าเพ้อฝัน
“แอร๊ย เดี๋ยวชั้นจะเป็นเด็กเสิร์ฟ ใส่ชุดกระต่ายเซ็กซี่ๆ”
รวิได้ยินป้อมพูดถึงกับสำลักพ่นน้ำอัดลมไปโดนขำ
“ขอโทษๆ นึกถึงพี่ป้อมในชุดกระต่ายแล้วมันก็เลย...”
“ไม่นะ ไม่ พี่จะไม่หักหลังเดือนเด็ดขาด ตัดใจซะเถอะนะรวิ แกก็เหมือนกันนะไอ้ขำ อย่ามองแบบนั้น ชั้นเห็นแกเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งเท่านั้น”
รวิกับขำยกน้ำอัดลมขึ้นมาดูด ก่อนจะทำท่าสำลักออกมา
“จ้ะ แม่คนสวยสี่มุมเมือง ใครเห็นใครรัก ใครเห็นใครหลง”
รวิได้แต่หัวเราะ หยิบเอกสารที่ขำมาดูอีกรอบ
“ชั้นว่าได้เวลาบอกเดือนแล้วล่ะ”
“งั้นก็รีบกลับกันเหอะ อยู่นาน เดี๋ยวมีคนมาจีบพี่ป้อมล่ะแย่เลย”
ป้อมสะบัดผมทำท่าภูมิใจ รวิกับขำรีบลุกเดินหนี
เย็นวันนั้นรถของชูเกียรติเลี้ยวเข้ามาจอดในค่ายมวยพิมุก ชูเกียรติลงมาจากรถ เดินตรงมาหาพิมุกที่ยืนรอรับอยู่
“ไง เที่ยวนี้จะมาหาเด็กใหม่ๆ เหรอไง”
“เด็กใหม่อะไร เด็กเก่ายังแก้ปัญหาไม่ตก” พิมุกยักไหล่ เดินนำชูเกียรติเข้าไปตรงที่นั่ง “ชั้นจะมาตามเดือนกลับน่ะ”
พิมุกจ้องหน้าชูเกียรติ ท่าทางสงสัย
“จะพาแฟนคนอื่นกลับน่ะ ถามเจ้าของหรือยัง”
ชูเกียรติยิ้มแหยๆ
“แหม่ นายก็พูดซะน่ากลัว มีแต่เรื่องงานทั้งนั้นล่ะ ว่าแต่เดือนเค้าอยู่ที่บ้านเหรอ”
เตี้ยเดินถือน้ำเข้ามาเสิร์ฟ
“น้องเดือนเค้าไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอกจ้ะ”
“ไม่ใช่ไม่อยู่ แต่อยู่ไม่ได้ตะหาก”
“ไอ้เตี้ย ไอ้บ่าง เผือกตลอดนะเอ็ง”
ชูเกียรติทำหน้าสงสัย
“หมายความว่าไงอยู่ไม่ได้”
“ก็บ้านเดือนน่ะ ฟาวเม่า เอ๊ย ไฟไหม้ไปแล้ว”
“อะไรนะ บ้านเดือนน่ะเหรอ”
ชูเกียรติตกใจหันมามองพิมุก พิมุกพยักหน้ารับ
“อืม ก็อย่างที่ไอ้ 2 ตัวนี้มันบอกน่ะ”
“อะไรกัน มีแต่เรื่องแฮะเดือน แต่ก็ดีเหมือนกัน แบบนี้ก็พาตัวกลับไปได้ง่ายหน่อย”
“หมายความว่าไง”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ชั้นก็พูดเรื่อยเปื่อยไปงั้น”
สีหน้าชูเกียรติครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ป้อมกึ่งเดินกึ่งลากเดือนมาบ้านรวิอย่างเร่งรีบ
“เร็วๆ เดือน พวกพี่อยากจะอวดแล้ว”
“ใจเย็นๆ พี่ป้อม มีอะไรจะอวดเดือน ยกทรงตัวใหม่เหรอ”
“แหม เดือนอ่ะ ก็อยากซื้ออยู่ แต่ไม่ใช่จ้า”
รวิกับขำนั่งรออยู่
“มาแล้วๆ เดือนงามพร้อม” เดือนเดินข้ามามองขำกับรวิอย่างสงสัย “ณ บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ขอเชิญคุณรวิกล่าวอะไรซักเล็กน้อย โอเคจบแล้ว ขอบคุณ”
ขำรีบปรบมือ รวิหัวเราะแล้วเดินไปหาเดือน มือถืออะไรบางอย่างซ่อนไว้ข้างหลัง
“เดือน แต๊แด”
รวิหยิบเอกสารของร้านออกมาส่งให้เดือน เดือนรับมาอ่านอย่างงงๆ
“นี่มัน อะไรกันน่ะพี่รวิ”
รวิหันไปยิ้มกับป้อมและขำ แล้วหันมาบอกเดือน
“ร้านของเราไงเดือน”
“ร้านของเรา”
“ใช่ ร้านของเรา พี่ตัดสินใจแล้ว พี่จะเปิดร้านอาหารเล็กๆ มีดนตรีเบาๆ แล้วเราก็จะ...”
รวิเขินหน้าแดงไม่กล้าพูดต่อ เดือนหน้าเจื่อนลง เหมือนมีอะไรบางอย่างจะบอกรวิ แต่ไม่กล้า
“พี่รวิ คือ”
อ่านต่อหน้า 2
หางเครื่อง ตอนที่ 16 (ต่อ)
รวิยิ้มรอฟังเดือนพูด
“มีอะไรเหรอเดือน”
“นี่พี่ตั้งใจทำเพื่อเดือนเลยเหรอจ๊ะ”
ป้อมกับขำรีบถลาเข้ามาแจม
“ก็ใช่น่ะสิเดือน เนี่ยรวิมันลงทุนเอาเงินเก็บออกมา แล้วก็ไปกู้เค้ามาอีกนิดหน่อย เพื่อร้านนี้เลยนะ”
“พี่ป้อมผู้ขี้ตืดก็อุตส่าห์ยอมสละ สร้อยทองที่เก็บมาทั้งชีวิต”
“และเอ็งก็อุตส่าห์ลงทุนทุบกระปุกที่มีอยู่เกือบ 300 ออกมาใช่มั๊ย”
ขำเชิดหน้าทำเบ่งภูมิใจ เดือนทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มยังไง จนรวิเริ่มสังเกตเห็น
“มีอะไรหรือเปล่าเดือน เดือนไม่ดีใจเหรอ”
“ดีใจสิจ๊ะ แต่ว่า...” ขำกับป้อมเสนอหน้าเขามาอยากรู้ “คือวันนี้พอเดือนได้คุยกับพี่นภาแล้ว เดือนก็เลยคิดว่า คิดว่า”
“คิดว่าเดือนควรจะต้องกลับไป”
ชูเกียรติบอกแล้วเดินอาดๆ เข้ามาในบ้านรวิ
“พี่เกียรติ”
“ไอ้รังเกียจ”
นภากาศเปิดประตูบ้านออกมาเจอกับเทพพอดี
“อ้าว มาทำไมเนี่ย กำลังจะไปซ้อม”
“พอดีวันนี้งดซ้อมน่ะ”
“งดอีกแล้ว นี่มันอะไรกันนักกันหนา”
นภากาศทำท่าจะโวยวายต่อ เทพรีบโบกมือห้าม
“วันนี้มีธุระจริงๆ จ้ะ รวิก็ไม่อยู่ พี่ก็เลยแวะมาบอก แล้วจะแวะมาเยี่ยมเดือนด้วย”
“เดือนออกไปกับเพื่อนเค้าโน่น”
“อ้าวเหรอ แล้วตกลงเดือนเค้าจะเอาไงต่อ”
นภากาศถอนหายใจ มองหน้าเทพ
“ไม่รู้สิ ทุกอย่างก็อยู่ที่เค้าตัดสินใจ จะไปต่อหรือจะหยุด”
“พี่ได้ข่าวเรื่องบ้านเดือนแล้ว เลยลองถามคนอื่นมา คิดว่าเดือนต้องอยู่ที่นี่” ชูเกียรติบอกกับเดือน
“หึ ถามญาติกากๆ เกรียนๆ ของแกมาสินะ” ขำบอก
ชูเกียรติหันมาจ้องขำ ขำกับป้อมจ้องตอบจนชูเกียรติต้องหลบตาไป
“แล้วพี่มีอะไร” เดือนถาม
“พี่จะมาพาเดือนกลับไง”
“หนอย แกมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ เดือนเค้าไม่กลับไปกับแกหรอก”
“จะละเมิดสัญญาเหรอไง”
“สัญญาบ้าบออะไร ไอ้เสี่ยมันบอกให้ฉีกทิ้งได้เลย แกยังจะมีปัญหาอีกมั๊ย”
ชูเกียรติหัวเราะเจ้าเล่ห์ หยิบเอกสารออกมาชูไว้
“สัญญากับเสี่ยน่ะเค้าให้ฉีกได้ แต่ของชั้นน่ะ ถ้าอยากโดนปรับเป็นแสนก็เอาสิ”
เดือนทำท่าตกใจ ป้อมรีบไปคว้าสัญญามาดู ทุกๆ คนรีบเข้ามาอ่านดู
“นี่มันอะไรกันน่ะ นี่แกโกงเดือนชัดๆ” รวิบอกอย่างไม่พอใจ ชูเกียรติหัวเราะออกมาไม่สนใจ
“โกงอะไรกัน เดือนเค้าเป็นคนเซ็นเอง เห็นมั๊ยล่ะ ใช่ว่าชั้นไปบังคับจับมือเค้ามาเซ็นซะเมื่อไหร่”
“แต่ทีแรกเราไม่ได้ตกลงกันแบบนี้นี่”
“ใช่ แล้วแกก็อมเงินของเดือนไปตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว”
ชูเกียรติลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
“เอาเถอะน่าเดือน กลับไปกับพี่เถอะ ยิ่งตอนนี้เดือนก็เดือดร้อนอยู่ด้วย เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น”
“แก ไอ้”
รวิถลาเข้าไปจะต่อยชูเกียรติ แต่เดือนรีบดึงไว้
“พี่กลับไปก่อนเถอะพี่เกียรติ เดือนขอคุยกันเองก่อน”
“คิดดีๆ นะเดือน ค่าปรับมันหลายแสนนะ”
พูดจบชูเกียรติก็เดินหัวเราะออกจากบ้านรวิไป
รวิสีหน้าเคร่งเครียด เหม่อมองออกไปที่ด้านนอก เดือนเดินเข้าไปหา สีหน้ากังวลไม่แพ้กัน
“พี่จะลองหาเงินกู้มาจ่ายให้มัน จะได้หลุดจากไอ้สัญญาบ้าๆ นั่น”
“อย่าเลยพี่รวิ เงินตั้งมากมายขนาดนั้น”
รวิหันมาจับแขนเดือน
“แต่ถ้าไม่งั้นเดือนก็ต้องกลับไปนะ”
เดือนมองหน้า กุมมือรวิปลอบใจ
“พี่รวิ ขอโทษนะที่เดือนต้องบอกตรงๆ ถึงไม่มีไอ้สัญญานั่น เดือนก็อยากจะกลับไป”
รวิทำหน้าไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะเดือน ก็ทีแรกเดือนบอกว่า...”
“เดือนเหนื่อย เดือนท้อ แต่วันนี้พอเดือนได้คุยกับพี่นภาแล้ว มันทำให้เดือนได้รู้ว่า มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่เดือนต้องเจอแล้วก็ต้องผ่านมันไปให้ได้” รวิมองหน้าเดือนพูดไม่ออก “ให้เดือนกลับไปนะ เดือนอยากผ่านมันไปให้ได้ เดือนอยากตามฝันของเดือนให้ได้”
รวิกับเดือนจ้องหน้ากัน รวิตัดสินใจดึงเดือนเข้ามากอด ทั้งคู่ค่อยๆ ผละออกจากกัน มองกัน สีหน้าแสดงความห่วงใย
เดือนยิ้มให้แล้วค่อยหันหลังเดินกลับ มือของทั้งคู่ที่จับกันไว้ ค่อยๆ ดึงออกจากกัน
เข้าวันใหม่ที่ร้านใหม่ของรวิ มือที่ถือถังสีวางลงบนพื้น รวิยืนอยู่จัดแจงคาดหัว ท่าทีพร้อมลุย มีขำยืนอยู่ด้านหลังใส่ผ้ากันเปื้อน คาดหัวคาดเอวเหน็บอุปกรณ์ต่างๆ จัดเต็ม
“ตกลงนี่ยังไงแกก็จะทำร้านอยู่ดีใช่มั้ย” ขำถาม
“ใช่”
“ถึงเดือนจะกลับไปแล้วก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ใช่”
“และแกก็จะให้ชั้นนั่งดูเป็นกำลังใจเฉยๆ ใช่มั้ย...ใช่” ขำตอบเองแล้วหันหลังจะเดินหนีไป แต่รวิคว้าคอเสื้อไว้ดึงกลับมา
“อย่ามาเนียน ไอ้ขำ แกต้องช่วยกันกับชั้นในฐานะหุ้นส่วน”
“ชั้นหุ้นนิดเดียว งั้นชั้นช่วยนิดเดียวนะ”
รวิไม่พูดอะไรแต่หยิบแปรงทาสี ยื่นให้ขำ ยักคิ้วให้ ขำทำท่าอิดออดจำใจรับแปรงไปทาสีอย่างเนือยๆ
รวิจัดแจงจุ่มสีเดินไปที่ผนังจัดแจงลงมือย่างขะมักเขม้น
“ทำกันแค่ 2 คน ปีไหนมันจะเสร็จวะเนี่ย นี่ถ้าเดือนกับพี่ป้อมอยู่ก็ดีดิ..ป่านนี้คงละเลงกันสนุกแล้ว”
ขำบ่น รวิมีสีหน้าจริงจัง แต่พอนึกถึงเรื่องที่เดือนกลับไปแล้วก็เสียใจอยู่ไม่น้อย
ภายในห้องประชุมบริษัทหนัง เดือนกับชูเกียรติพร้อมกับคนอื่นๆ นั่งประชุมอยู่ภายในห้อง
“ต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับ โดยเฉพาะน้องเดือน ที่ให้เกียรติมาร่วมเล่นแสดงกับเรา”
เดือนหันไปยิ้มรับกับทุกๆ คน
“เดือนเองก็ต้องขอขอบพระคุณทางนี้ เหมือนกันค่ะที่ให้โอกาส เดือนมาร่วมงาน”
“ยังไงต้องขอรบกวนเรื่องคิวกับคุณชูเกียรติด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะล็อกคิวไว้ให้ทางนี้ก่อนเลย”
“ถือว่าพวกเราโชคดีนะคะเนี่ย ที่น้องเดือนไม่ขึ้นคอนเสิร์ต พวกเราเลยไม่ต้องหัวหมุนจัดคิวงานกันซักเท่าไหร่”
“แต่ก็น่าเสียดายนะคะ พวกเราอุตส่าห์ตั้งใจจะไปเชียร์น้องเดือนซะหน่อย”
เดือนหน้าสลดลงหันมามองหน้าชูเกียรติ
“ก็ไม่แน่หรอกครับ บางทีถ้าเราเคลียร์เรื่องยุ่งๆ แล้วน้องเค้าอาจจะได้ขึ้นเหมือนเดิมก็ได้”
“จริงเหรอคะ ถ้ายังไงอย่าลืมส่งข่าวด้วยนะคะ จะรอดูค่ะ”
เดือนกับชูเกียรติพยักหน้ายิ้มรับเจื่อนๆ
ประตูห้องประชุมเปิดออก ทีมงานทยอยเดินออกมา ป้อมที่นั่งรออยู่ที่หน้าห้องลุกขึ้นมาชะเง้อหาเดือนทันที
“เดือน เป็นไงมั่ง เรียบร้อยมั้ย”
เดือนยิ้มพยักหน้ารับ
“จ้ะ พี่ป้อม เดี๋ยวรอวันเปิดกล้องอีกที”
“แล้วเผลอไปเซ็นอะไรซี้ซั้วอีกหรือเปล่า” ป้อมถามแล้วชายตามองชูเกียรติ
เดือนเหลือบตาไปมองชูเกียรติด้วยหางตา ชูเกียรติแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ไม่หรอกจ้ะ เดือนอ่านละเอียดแล้ว คนเค้าไม่เลวเหมือนกันทุกที่หรอกจ้ะ” เดือนพูดกระทบ ชูเกียรติสะดุ้ง แกล้งทำไม่สนใจ
“เดี๋ยวเราแวะไปคุยกับบริษัทโฆษณาต่อเลยนะ”
“ค่ะ”
“เหนื่อยหน่อยนะ เพื่อเงินและก็เพื่ออนาคต” ชูเกียรติทำเป็นพูดดีเอาใจ เดือนยิ้มแหยงๆ
“อนาคตใครคะ เดือนหรือพี่เกียรติ”
ชูเกียรติสะอึก แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้รีบเดินหนีไป
“เออ เดี๋ยวพี่ไปรอที่รถนะ”
ป้อมเดินเข้ามาโอบไหล่เดือนให้กำลังใจ
“นี่เราจะปล่อยให้มันสูบเลือดสูบเนื้อ โกงเราไปอย่างนี้เรื่อยๆ เหรอเดือน”
“ไม่หรอกพี่ป้อม ไว้มีโอกาสก่อน บางทีเราก็ต้องช่วยเร่งกรรมให้คนบางคน”
ทั้งคู่มองตามชูเกียรติไปด้วยสายตาที่รังเกียจเต็ม ก่อนจะจำใจเดินตามไป
ช่วงสายของวันเดียวกัน ที่อพาร์ทเมนท์แก้ว แก้วนั่งอยู่หน้ากระจก พยายามเอารองพื้นปิดรอยฟกช้ำ รอยแผลบนหน้า
“โอ๊ย เพราะอีแก่บ้านั่นเชียว ชั้นจะหายทันมั้ยเนี่ย”
แก้วโมโห กระฟัดกระเฟียดเขวี้ยงรองพื้นลงบนโต๊ะ หันไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา ค้นๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรอยู่หลายครั้ง ก่อนจะปามันลงกับพื้น เหวี่ยงเต็มที่
“โอ๊ย ไอ้เสี่ยแก่นี่ก็อีกคนไม่รับสายชั้นเหรอ ไอ้บ้า กลัวเมียจนหัวหด”
แก้วทุบโต๊ะหันไปจ้องหน้ากระจก หน้าแก้วจากภาพสะท้อนในกระจก สีหน้าเคียดแค้นสุดฤทธิ์
อีกด้านหนึ่ง พิมุกเดินหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในตลาด มีเตี้ยบ่างคอยเดินตามเก็บค่าแผงอยู่ด้านหลัง
“ยังไงชั้นก็ว่ามันแปลกอยู่ดี”
พิมุกหันมามองตามเสียง เห็นนภากาศเดินดูของอยู่กับเทพ พิมุกมองซ้ายมองขวาแกล้งเดินเข้าไปใกล้ไม่ให้ 2 คนนั้นรู้ตัว
“เค้าอาจจะเดาเอาอย่างที่เค้าบอกก็ได้มั้ง”
“แหม ถ้าจะเดาแม่นมากนะ ถึงขนาดรู้ว่าเจ้าของค่ายมวยอะไรนั่นน่าจะมีส่วนเผาบ้านยัยเดือนงั้นเหรอ”
พิมุกเอะใจขึ้นมาพยายามเงี่ยหูฟัง
“นายพิมุกนั่น มันเป็นนักเลงใครๆ ก็รู้ แถมมาติดพันเดือนอีก ศิริพรเค้าก็เลยสงสัยมั้ง”
นภากาศหันมาจ้องหน้าเทพ
“อย่าพยายามโลกสวยให้มันมาก มองอะไรตามความเป็นจริงหน่อย ยัยนั่นพูดถึงหลักฐาน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากพวกเราแล้วก็ตำรวจ”
เทพพยักหน้ารับ
“อืม ก็จริงนะ ว่าแต่ นึกยังไงคราวนี้ถึงยอมออกมากับพี่เนี่ย”
เทพแอบมองนภากาศยิ้มๆ มีความหวังเล็กๆ นภากาศอ้ำๆ อึ้งๆ แต่ก็ทำเชิดหน้าวางฟอร์ม
“ชั้นจะมาซื้อของ ของชั้นอยู่แล้ว อย่ามโนให้มาก เตี้ย” เทพหน้าสลดลง นภากาศเลยเปลี่ยนเรื่องพูด “ไปเหอะ จะไปช่วยพวกรวิไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวแดดร้อนผิวชั้นเสีย”
พูดจบนภากาศก็รีบเดินนำไป เทพถอนหายใจน้อยใจเล็กๆ แล้วเดินตามไป
พิมุกที่ยืนแอบฟังอยู่ สีหน้าเหมือนสงสัย
“นี่พวกมันหมายถึงอะไรกัน”
ขำนอนแผ่หลา หน้าตาเนื้อตัวเปื้อนสีเต็มไปหมด ผิดกับรวิที่นั่งคุยโทรศัพท์สีหน้ายิ้มแย้ม
“จ้ะเดือน ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ก็เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ เดือนล่ะ เป็นไงมั่ง”
ขำผงกหัวขึ้นมามอง ตะโกนแทรกเข้ามาในโทรศัพท์
“เดือน รวิใจร้าย ใช้แรงงานชั้น โหดร้าย ทารุณมากเลย อุ๊บ”
รวิเดินมาเอาผ้าที่อยู่แถวนั้นอุดปากขำแล้วเดินกลับที่เดิม
“ฮะๆ อย่าไปสนใจมันมาก เดือนยังไม่ตอบพี่เลย เดือนเป็นยังไงบ้าง กินข้าวกินปลามั่งยังเนี่ย”
เดือนยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ลานจอดรถ ป้อมยืนเอาหูแนบฟังด้วย
“กินแล้วจ้ะ พี่รวิล่ะ อย่าหักโหมมากล่ะ” ชูเกียรติยืนไกลๆ อยู่ที่รถ ยกนาฬิกาขึ้นดูเหมือนจะเร่งเดือน “ตอนนี้เหรอ งานก็มีเข้ามาเรื่อยๆ เลยจ้ะ ไหวจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เดือน งามพร้อม ซะอย่าง เออ พี่รวิ เดี๋ยวเดือนต้องไปแล้วนะ แล้วเดี๋ยวเดือนโทรหาจ้ะ”
เดือนกดวางสาย สีหน้ายิ้มแย้ม ป้อมลอยหน้าลอยตาเข้ามาทำท่าล้อเลียน
“ไหวจ้ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ป้อม งามแงะซะอย่าง จ้ะๆ เดี๋ยวโทรหา”
“เอ๊ะ พี่ป้อม มาแซวกันเองอยู่ได้ ไปกันได้แล้ว”
เดือนรีบเดินหนีไปอย่างเขินๆ ป้อมเห็นเดือนแล้วก็แอบอมยิ้ม เดินตามเดือนไป
รวิกดวางโทรศัพท์ สีหน้ามีความสุข เขาลุกเดินมาหยิบกระติกน้ำขึ้นมาดูด แล้วมองดูผลงานตัวเอง ผนังบางส่วนทาสีเรียบร้อยแล้ว แต่พอมองมาถึงฝั่งของขำ มีรูปลวดลายแปลกๆ เต็มไปหมด รวิถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย ไอ้ขำ แกทำอะไรของแกวะเนี่ย”
ขำผงกหัวขึ้นมามองรวิแล้วนอนอย่างเดิม
“อินดี้ๆ ไง มันต้องแบบนี้ถึงจะสุโค่ย”
“ไอ้บ้า เราทำร้านแนวโฟล์คซองนะโว้ย อินดี้อะไรของแกเนี่ย ยังกะพวกโรคจิตชอบวาดกำแพง รูปบ้าอะไรดูไม่รู้เรื่องเลย”
ขำกระเด้งตัวขึ้นมาเดินมาหยิบกระติกในมือรวิไปดูดบ้าง
“โด่ แกไม่รู้เรื่องเลย เค้าเรียกแอ๊บสเต๊ก”
“แอ็บแสต็ก! สเต๊กเค้าต้องใส่ข้าวคั่ว”
“ไอ้บ้า! นั่นมันเบอร์เกอร์”
“ไม่ใช่ เบอร์เกอร์นั่นมันข้าวเหนียวชุบไข่ เออๆ เอากันเข้าไป เปลี่ยนจากโฟล์คซองเป็นคณะตลกเอามั้ย”
เทพเดินหิ้วเสบียงเดินเข้ามา พร้อมกับนภากาศที่เดินเชิดๆ ตัวปลิว
“อ้าว คุณเทพ พี่นภา”
“อ้าว คุณเทพ ป้านภา” ขำทักเลียนแบบรวิ
นภากาศหันมาจ้องขำจะกินเลือดกินเนื้อ ขำต้องรีบหุบปากหลบไปเกาะอยู่หลังรวิ
“มายังไงกันล่ะครับเนี่ย” รวิถามต่อ
“ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิแล้วต่อ 2 แถวเข้ามาเนี่ย” รวิหัวเราะแหะๆ
“แหม อารมณ์ดี”
เทพหัวเราะ
“แล้วเป็นไง ตัดสินใจแล้วใช่มั้ย”
“ครับ เอ่อ เรื่องที่วง”
เทพโบกมือบอกไม่เป็นไร
“อย่าคิดมาก คนเราต้องโต ต้องก้าวหน้าเรื่อยๆ จะมาอยู่ในวงตลอดไปได้ไง ชั้นเองก็ไม่รู้ว่าวงจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน หลังๆ งานมันก็น้อยลงทุกที”
“ผมเองตอนนี้ก็อยากทำอะไรให้มันมั่นคง จริงๆ ร้านนี้ก็ตั้งใจทำเพื่อ...”
รวิยิ้มเจื่อนๆ แล้วนิ่งไป
“แล้วตกลงยัยนั่นก็กลับไปเรียบร้อย”
นภากาศถามขึ้นมา
“ครับ ป่านนี้ก็คงยุ่งๆ อยู่แล้วครับ เห็นว่ามีคิวมารอเพียบ ไม่รู้จะเป็นไงมั่ง”
นภากาศเชิดหน้าเดินมานั่งไขว้ห้างตรงเก้าอี้
“ก็ดีแล้ว เส้นทางนี้มันยังมีอะไรอีกเยอะที่ยัยนั่นจะต้องเรียนรู้”
ขำเสนอหน้าออกมาพูด
“เหมือนที่ป้าผ่านมาน่ะเหรอ”
นภากาศหันขวับมาจ้องหน้า ขำรีบกลับไปมุดหลังรวิเหมือนเดิม นภากาศถอนหายใจเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ช่วงเวลาที่ผ่านไป เดือนยืนถ่ายรูปฟิตติ้งหนัง / ร่วมพิธีบวงสรวงเปิดกล้อง / นั่งอ่านบท / เข้าฉาก
ป้อม คอยตามดูแล / ซับหน้า / กรี๊ดกร๊าดพระเอกหนัง
ชูเกียรติคอยเสนอหน้ารับงาน / อุบอิบคุยเรื่องค่าตัว / นั่งหลับ
“คัท! โอเค เยี่ยมเลย พระเอกนางเอกไปพักก่อนครับ”
เสียงผู้กำกับสั่งคัท เดือนที่อยู่ในฉาก ยกมือไหว้ผู้กำกับแล้วเดินตรงมาหาป้อมที่ยืนรอรับอยู่
“เก่งมากน้องสาวชั้น เนี่ย เล่นเอาซะพี่ถอนสายตาออกไม่ได้เลย”
“เชื่อจ้ะ เดือนเห็นพี่ป้อมจ้องพระเอกตาไม่กระพริบเลย เช็ดน้ำลายด้วยพี่ป้อม”
ป้อมทำท่าเขินเอามือเช็ดน้ำลาย
“บ้า รู้ทันเค้าไปหมดเลยนะตัวเอง”
ป้อมจูงมือเดือนเดินเข้ามาตรงเก้าอี้ แล้วก็ต้องชะงัก
อ่านต่อหน้า 3
หางเครื่อง ตอนที่ 16 (ต่อ)
เมื่อเห็นชูเกียรตินั่งหลับอ้าปากกว้าง กรนคร่อกๆ เดือนกับป้อมมองแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ดีแต่สูบเงินเค้าอย่างเดียว ดูๆ ปากอย่างกับปลากะโห้โต้ลม”
เดือนมองแล้วก็สมเพช ดึงมือป้อมให้นั่งลง
“ช่างเค้าเหอะ”
“เออนี่ ไอ้ขำมันโทรมาตะกี๊แน่ะ”
เดือนยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“จริงเหรอพี่ป้อม ว่าไงมั่งๆ แล้วพี่รวิล่ะ ถามถึงชั้นหรือเปล่า”
“ไอ้ขำมันบอก ช่วยกันแต่งร้านไปได้เยอะแล้วล่ะ แต่งบหมดก่อน จะเอาไงเดี๋ยวว่ากันอีกที ส่วนรวิ เห็นไอ้ขำบอกกำลังเครียดๆ เรื่องหมดงบนี่ล่ะ”
เดือนหุบยิ้มหน้าจ๋อยลง
“โธ่เอ๊ย พี่รวิ”
“แล้วมันจะเอาเงินที่ไหนมาทำร้านต่อกันให้เสร็จเนี่ย”
ทั้งคู่นิ่งกันไป จนเดือนนึกขึ้นได้
“เออ เอาอย่างนี้สิ เงินชั้นไง เงินเก็บที่ชั้นมีอยู่มันพออยู่แล้วล่ะ”
“นั่นมันเงินที่เดือนจะเก็บไว้จัดงานให้ป้าช้อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ชั้นมีงานอีกตั้งหลายงานที่เข้ามานี่”
“แต่เดือนต้องใช้เงิน อย่างน้อยก็เรื่อง...” ป้อมอ้ำๆ อึ้งๆ “บ้าน น่ะ”
เดือนหุบยิ้ม หน้าจ๋อยลงทันที
“ช่างเหอะพี่ป้อม เรื่องบ้านยังไงเดือนก็ต้องปลูกมันขึ้นมาใหม่ ตรงที่ๆ เดือนเคยอยู่กับแม่ แต่ตอนนี้เราต้องช่วยกันก่อน ทั้งพี่ป้อมทั้งขำก็หุ้นกัน จะตัดชั้นออกจากกลุ่มเหรอไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พวกพี่เห็นเดือนมีภาระเยอะแล้ว แถมยังโดนไอ้ปลากะโห้นั่น” ป้อมเบ้ปากไปทางชูเกียรติ “หักอีกตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”
เดือนทำท่าครุ่นคิด นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับป้อม
“ชั้นว่าเราต้องหาทางจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะ”
เดือนกับป้อมมองมาทางชูเกียรติที่นั่งหลับ กรนอยู่
เช้าวันใหม่ ชูเกียรติเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอยู่หน้าห้องทำงานเสี่ยวาทิน
“เมื่อไหร่เสี่ยจะมาเนี่ย”
ทีมงานเดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามาวางที่โต๊ะ
“อ้าว พี่เกียรติ มีอะไรป่าวเนี่ย”
“อ้าว ถามได้ ก็มารอเสี่ยน่ะสิ”
“เอ๊า งั้นก็เลิกรอได้แล้ว เสี่ยไม่อยู่ กลับวันนี้เย็นๆ นี่พี่เกียรติไม่รู้เหรอ”
ชูเกียรติเดินเข้ามาถามอย่างสงสัย
“ไปไหน”
“ก็คุณนันทนาน่ะ ลากแกไปงานที่ต่างจังหวัดด้วยตั้งแต่วันก่อน เพราะไม่ไว้ใจตั้งแต่ที่จับเรื่องน้องแก้วได้ ว่าแต่พี่เกียรติมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
“ก็ว่าจะมาคุยเรื่องงานคอนเสิร์ตน่ะสิ เอ่อ เรื่องเดือนน่ะ”
แก้วเปิดประตูแง้มเข้ามา ได้ยินชูเกียรติพูดซะก่อนเลยชะงัก แง้มๆ ประตูไว้แล้วยืนแอบฟัง
“ก็ไหนเสี่ยแกบอกจะฉีกสัญญาน้องเดือนแล้วนี่”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวพี่เคลียร์เอง แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้พี่อยากให้เดือนขึ้นให้ได้”
“แหม จะได้ได้ส่วนแบ่งเพิ่มสินะพี่” ทีมงานบอกอย่างรู้ทัน
ชูเกียรติหน้าบึ้งตึงหงุดหงิด ไม่ตอบ แก้วที่แอบอยู่ที่ประตูรีบปิดงับประตูไว้เหมือนเดิม
แก้วรีบเดินออกมาจากหน้าห้อง
“จะให้นังเดือนมันกลับมาขึ้นเวทีเหรอ ตราบใดที่อีแก้วยังอยู่ อย่าหวังเลย! แล้วชั้นจะทำยังไงดีเนี่ย ไอ้เสี่ยกว่าจะกลับก็ตั้งตอนเย็น” แก้วหยุดเดินคิดหาวิธี “ยังไงคืนนี้ก็ดึงตัวเสี่ยจากอีแก่ไว้ให้ได้คอยดู”
แก้วเดินต่ออย่างเร่งรีบหงุดหงิด จนชนกับคนอื่นๆ ที่เดินสวนมา
“เดินประสาอะไรเนี่ย คิดว่าชั้นเป็นใคร!ตอนนี้ชั้นเป็นนักร้องดังแล้วนะจะบอกให้ ไม่ใช่พนักงานกระจอกๆอย่างพวกแก”
ด่าเสร็จก็เดินสะบัดหน้าไป เหลือแต่พนักงานที่อยู่ตรงนั้นซุบซิบด่านางต่อไป
เย็นวันนั้นที่ร้านใหม่ของรวิ ขำนั่งกินข้าวกล่องอยู่ รอบๆ ตัวยังมีอุปกรณ์เครื่องมือกองอยู่เต็ม รวิเดินดูดน้ำเข้ามา อีกมือหนึ่งถือหนังสือเดินอ่านเข้ามาด้วย
“ดูไรรวิ”
“หนังสือเล่มใหม่ มีรูปเดือนกับพวกเบื้องหลังกองถ่าย”
“ไม่ได้ร้องเพลง เล่นหนังก็ยังดี”
“แต่ชั้นว่าลึกๆ แล้วเดือนเค้าคงอยากร้องเพลงขึ้นคอนเสิร์ตมากกว่า”
ขำตักข้าวเข้าปากคำโต กินไปพูดไปจนกระเด็นใส่ รวิต้องรีบหลบ
“เอาไว้เดี๋ยวทำร้านเสร็จแล้วลงไปหาเดือนกัน”
“เอาสิ เออ นายอย่าไปบอกพี่ป้อมกับเดือนเรื่องเงินไม่พอล่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายใจเปล่าๆ” ขำที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ ชะงักหันมามองหน้ารวิทันที รวิจ้องหน้าขำตอบ เหมือนสงสัยอะไร “หรือบอกไปแล้ว ใช่มั๊ย” ขำยิ้มแหยๆ ทั้งๆ ที่ข้าวเต็มปาก รวิเอามือกุมหัว เครียดทันที“โธ่ไอ้ขำเอ๊ย”
“บอกแค่พี่ป้อมเอง”
“แล้วคิดว่าพี่ป้อมจะไม่บอกเดือน” ขำพยักหน้ารับ “ไม่บอก?”
“บอกชัวร์ๆ แหะๆ”
รวิมองขำอย่างเซ็งๆ ส่วนขำได้แต่ยิ้มแหยๆ
คืนนั้นที่คอนโดเดือน เดือนเดินถือจานกับแกล้มต่างๆ มาวางเต็มโต๊ะ ป้อมเดินถือขวดเบียร์กับแก้วมาตั้งเตรียมไว้
“แบบนี้จะดีเหรอพี่ป้อม”
“แบบนี้ล่ะ เริ่ด เชื่อพี่”
“แต่” เสียงเคาะประตูดังขึ้น เดือนกับป้อมหันมามองหน้ากันตกใจ ท่าทางเลิ่กลั่ก “มาแล้วพี่ป้อม”
“ไม่ต้องตกใจๆ เอ้า นี่น้ำหมักสูตรพิเศษของเจ๊ป้อม” ป้อมล้วงขวดยาน้ำเล็กๆ 2 ใบ ออกมาจากกระเป๋า ยืนงงมองขวดสลับกันไปมา “อ้าว ตาย ขวดไหนล่ะเนี่ย”
“ใช้ 2 ขวดเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ ขวดหนึ่งมันยาเร่งเมา อีกขวดหนึ่งมันยาถ่ายของพี่”
“ละ แล้ว เอาไงอ่ะพี่ป้อม” เสียงเคาะประตู ดังขึ้นอีก “พี่ป้อม”
ป้อมยัดขวดใส่มือเดือนทั้ง 2 ใบ
“เอาไปก่อน เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูเอง อ้อ หยดสองหยดพอนะเดือน”
พูดจบ ป้อมรีบเดินไปที่ประตู ส่วนเดือนมองขวดสลับไปมา ทำหน้าแหยๆ
ป้อมพาชูเกียรติเดินเข้ามา เดือนรีบซ่อนไว้ข้างหลังทันที แกล้งทำเป็นยิ้มให้ชูเกียรติ
“นี่อารมณ์ไหนเนี่ยเดือน อยู่ๆ ชวนพี่มานั่งดริ๊งค์แบบนี้”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เดือนเห็นพี่เกียรติไม่ได้มาตั้งนานแล้วก็เลย พี่เกียรติมานั่งก่อนสิจ๊ะ”
ชูเกียรติมานั่งข้างๆ เดือน อย่างระแวง
“มีอะไรกันเหรอเปล่าเนี่ย”
ป้อมกับเดือนสบตากัน รีบโบกมือปฏิเสธมือแทบพันกัน
“ไม่มี๊ ไม่มีอะไรเลยฮ่ะ พวกเราไม่ได้จะมอมคุณเกียรติเลย”
เดือนส่งสายตาดุเตือนป้อมแล้วแกล้งยิ้มกับชูเกียรติ
“พี่ว่ามันแปลกๆ หรือว่า...”
ชูเกียรติจ้องหน้าเดือน เดือนกับป้อมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กลัวโดนจับได้
“หรือว่าจะให้พี่พูดกับเสี่ยเรื่องขึ้นคอนเสิร์ตใช่มั้ย”
เดือนกับป้อมถอนหายใจโล่งอก
“อุ๊ย พี่เกียรติเก่งจังเลย รู้ได้ไงเนี่ย หุหุ”
“นึกว่าเรื่องอะไร พี่ก็จะไปพูดให้อยู่แล้ว แต่เสี่ยดั๊นไม่อยู่ซะอีก เนี่ยพี่ก็อยากให้เดือนได้ขึ้นร้องจริงๆ นะ”
ป้อมขมุบขมิบปากแอบด่าเบาๆ
“ห่วงส่วนแบ่งล่ะสิ”
“งั้นเหรอจ๊ะ ขอบคุณพี่เกียรติมากเลยนะจ๊ะ หึๆ”
“เอ๊า เดือน นั่งทำไม รินเบียร์สิจ๊ะ” ป้อมขยิบตาให้
“ริน รินจ้ะริน” เดือนขยิบตาตอบ
“แหม วันนี้น้องเดือนน่ารักจังเลย ถ้าไงให้พี่ค้างด้วยนะ รับรองคอนเสิร์ตนี้ได้กลับไปขึ้นอีกชัวร์”
“เออ เดือนว่าพี่เกียรติไปล้างมือก่อนดีกว่ามั้ย”
“มือ ล้างทำไม ไม่ได้เลอะอะไรนี่”
“ไปล้างก่อนเถอะจ้ะ อี๋ ดูสิ ดำปี๋เลย มาหยิบของกินไม่ดีมั้งคะ”
เดือนรีบดันให้ชูเกียรติลุกขึ้นไปล้างมือ ทั้งดันทั้งผลักจนชูเกียรติต้องลุกไปอย่างงงๆ เดือนกับป้อมหันมาพยักหน้ากันส่งซิกโอเค
อีกด้านหนึ่งที่ผับแห่งหนึ่ง แก้วนั่งดื่มอยู่ตรงบาร์ หน้าตายังมีรอยเขียวช้ำ รอยแผลอยู่ เธอมีท่าทางกระวนกระวาย ชะเง้อชะแง้เหมือนรอใคร ผู้ชาย 2 คนนั่งอยู่แถวนั้น มองมาทางแก้วส่งสายตาให้ แต่แก้วเบะปากใส่ มองอย่างดูถูก
“นั่น หยิ่งซะด้วยเว้ย”
“เอาเหอะ สภาพเยินมาขนาดนั้นยังจะทำมาหยิ่ง”
“สงสัยโดนฝาชีซ้อมมาว่ะ ฮ่าๆ”
แก้วหันมามองตาขวาง ตบโต๊ะ ลุกขึ้นเดินไปชี้หน้าผู้ชาย 2 คนนั้น
“นี่! มีปัญหาอะไรมากนักเหรอ รู้มั๊ยชั้นเป็นใคร ชั้นแก้วตานักร้องชื่อดังเชียวนะยะ น้ำหน้าอย่างพวกแกอย่าหวังจะได้เห็นขาอ่อนชั้นเลย”
ผู้ชาย 2 คนนั้นตบโต๊ะ ลุกขึ้นเท้าเอวชี้หน้าแก้วคืน สาวแตกทันที
“นี่! อีชะนี 2 ซิม หน้าอย่างแกเนี่ยนะนักร้อง ร้องโอ้หรือร้องอ้าล่ะยะ หนอย คิดว่าสวยนักเหรอไง”
“ใช่ๆ รู้ไว้นะยะ พวกชั้นไม่ได้อยากดูขาอ่อนแกหรอกย่ะ มาทางไหนกลับโต๊ะแกไปเลยไป ไปสิ ไป”
แก้วสะดุ้งตกใจรีบตาลีตาเหลือกกลับโต๊ะมาอย่างงงๆ เสียงโทรศัพท์แก้วดัง เธอรีบคว้าขึ้นมากดรับทันที
“ฮัลโหล เสี่ยอยู่ไหนคะเนี่ย แก้วมารอตั้งนานแล้วนะคะ เกือบจะโดนทำมิดีมิร้ายอยู่แล้ว ฮัลโหล เสี่ยพูดดังๆ สิคะ หา เมียยังไม่หลับ ไม่เอาอ่ะแก้วไม่ยอมจริงๆ ด้วย แก้วมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาเสี่ย เสี่ยรีบมานะคะ นะคะ โอเคค่ะ”
แก้วกดวางเสร็จหันไปมองค้อน 2 คนนั่นแล้วทำเบะปากใส่ ลอยหน้าลอยตา
ที่คอนโดเดือน บนโต๊ะที่ขวดเบียร์วางอยู่หลายขวด บางขวดก็ล้มอยู่ ชูเกียรตินั่งเมาหน้าแดง นั่งโม้อยู่ เดือนกับป้อมนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“เดือนรู้มั้ย ว่าพี่อยู่ในวงการนี้มากี่ปีแล้ว พูดชื่อพี่ไปไม่มีไม่ใครรู้จักชูเกียรติคนนี้”
“อ๋อ จ้ะ เชื่อจ้ะเชื่อ ชื่อเสีย เอ้ย ชื่อเสียงของพี่เกียรติเค้าลือกันออกจะตาย อ่ะ ดื่มอีกสิจ๊ะ”
ป้อมหันมาพยักหน้ากับเดือน แอบกระซิบกัน เดือนยิ้มพยักหน้ารับ เอื้อมมือไปหยิบเอกสารขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ส่งให้ชูเกียรติพร้อมปากกา
“เอ่อ พี่เกียรติคะ เมื่อวันก่อนทางเอเจนซี่เค้าฝากเอกสารไอ้นี่มาน่ะค่ะ เค้าบอกพี่เกียรติลืมเซ็น”
“งั้นเหรอ เอ้า มาๆ เดี๋ยวเซ็นให้”
ชูเกียรติรับไป หยิบปากกามาทำท่าจะเซ็น เดือนกับป้อมเริงร่าทันทีแต่ก็ต้องชะงัก
“พูดถึงเรื่องโฆษณา เดือนรู้มั้ยว่าบริษัทโฆษณาเค้าต้องการตัวพี่กันแค่ไหน”
“ฮึ่ย จ้ะ ต้องการจ้ะ พี่เกียรติเซ็นอันนี้ก่อนเถอะนะจ๊ะ”
ชูเกียรติก้มลงทำท่าจะเซ็น แต่ก็ชะงักเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ
“สมัยพี่หนุ่มๆ นะ”
“โอ๊ย ไอ้ขี้โม้เอ๊ย” ป้อมบ่นอย่างหมดความอดทน เดือนเขยิบมากระซิบกับป้อม
“หรือยามันน้อยไป เดือนว่าเดือนใส่เพิ่มอีกดีมั้ยพี่ป้อม” เดือนควักยาออกมาจัดแจงเปิดฝาหยดลงไป “ไม่ออกอะพี่ป้อม”
“ไหนดูซิ”
ป้อมรับมาลองเขย่า แต่แรงไปหน่อยหลุดพรวดลงไปหมดขวด เดือนกับป้อมหันมามองหน้ากันอย่างตกใจ จังหวะเดียวกับที่ชูเกียรติ เอื้อมมือมาคว้าแก้วไปพอดี
“ทำอะไรกัน ไม่ส่งให้พี่ซักที” ชูเกียรติคว้าแก้วเบียร์ขึ้นกระดกจนหมดแก้ว เดือนกับป้อมเอามือปิดปากห้ามไม่ทัน “อ่า ค่อยสดชื่นหน่อย”
“ตายแล้วพี่ป้อม จะถึงตายมั้ยเนี่ย” เดือนแอบระซิบกับป้อม
“ไม่หรอกมั้ง”
เดือนกับป้อมหันไปมอง ชูเกียรตินั่งยิ้มเพราะเมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำหน้าแปลกๆเอามือกุมท้อง
“อุ พี่ว่าพี่รู้สึกท้องมันแปลกๆ”
“แปลกยังไงเหรอฮ๊า”
ชูเกียรติเอามือจับท้องกับจับก้น
“อุ พี่ว่าเดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำก่อนดีกว่านะ”
ป้อมกับเดือนมองหน้ากัน
“หรือว่า”
“สลับขวด”
ชูเกียรติตาลีตาเหลือกลุกขึ้น เดือนนึกอะไรขึ้นได้เลยคว้ามือชูเกียรติไว้
“พี่เกียรติเซ็นก่อนสิคะ”
“อุ๊ย เดือน เดี๋ยวค่อยเซ็นก็ได้ พี่จะไม่ไหวแล้ว”
ชูเกียรติขนลุกซู่ ยืนบิดไปมา พยายามจะเดินไปเข้าห้องน้ำแต่เดือนดึงไว้ ยิ้มกว้างให้
“เซ็นก่อนค่ะ”
“แต่เดือน พี่ไม่ไหว”
“เซ็นค่ะ” เดือนเริ่มเสียงดุ
ชูเกียรติยืนบิดไปบิดมากลั้นเต็มที่ จำใจก้มลงมาเซ็น ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปที่ห้องน้ำอย่างเร็ว ป้อมลุกมานั่งข้างๆ
เดือนที่หยิบเอกสารขึ้นมาตรวจดู
“พี่ป้อม เซ็นแล้ว เซ็นแล้ว เดือนเป็นอิสระแล้ว”
“สำเร็จแล้ว อ๊าย”
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน ยิ้มกว้าง กรี๊ดออกมาแล้วโผเข้ากอดกันอย่างดีใจ
แก้วเดินทอดน่องมาตามทางเดินริมฟุตบาท สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคิดอะไรอยู่ เสียงในความคิดของแก้ว เป็นสิ่งที่เสี่ยวาทินคุยกับเธอที่ผับ
“ยังไงแก้วก็ไม่ยอมให้นังเดือนมันกลับมาขึ้นเวทีอีกนะคะ”
“จะให้ทำยังไงล่ะ แก้วก็มาหน้าเยินเอาตอนนี้ แถมจนป่านนี้ก็ยังร้องผิดๆ ถูกๆ”
“ก็เพราะเมียใครล่ะคะ ช่างเหอะ ลงรองพื้นหนาๆ ก็ไม่เห็นแล้ว ส่วนเรื่องเพลงก็เปิดลิปซิงค์เอาสิคะ ไม่ก็ให้นักร้องคนไหนก็ได้มาฟีทกับแก้ว ร้องท่อนที่แก้วยังร้องไม่ได้ไงคะ”
“จะให้คนไหนล่ะ ทุกคนเค้าก็ร้องเพลงตัวเองหมด ถ้าอยากให้มีคนมาช่วยร้อง แก้วก็หามาสิ หาได้มั้ยล่ะ ถ้าไม่ได้ชั้นก็ต้องยอมให้เดือนเค้าขึ้นเวที”
แก้วหยุดเดิน ยืนกอดอก คิดหาทาง
“จะไปหาใครได้ล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงอยู่แล้ว ที่สำคัญจะให้มันมาเด่นเกินหน้าชั้นไม่ได้ด้วย” แก้วมีสีหน้าเคร่งเครียด “หรือว่า...”
วันต่อมา เดือนเดินจูงมือป้อมอย่างอารมณ์ดี อยู่ที่ทางเดินค่ายเพลง
“อารมณ์ดีใหญ่เชียวนะแม่นักร้องสาว”
“แน่นอน จัดการไปได้ 1 เรื่อง คราวนี้ก็เหลืออีก 1 เรื่อง” ทั้งคู่มาหยุดอยู่หน้าห้องเสี่ยวาทิน เดือนสูดหายใจเข้าเรียกความกล้า “เสี่ยเค้าจะยอมให้ เดือนกลับขึ้นคอนเสิร์ตมั๊ยอ่ะพี่ป้อม”
“พี่ว่าน่าจะยอมนะ ไม่งั้นใครจะขึ้นไปร้อง”
เดือนพยักหน้ายิ้มรับ หันไปกำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเสี่ยวาทิน
“อรุณสวัสดิ์จ้ะเดือน”
เดือนกับป้อมหันกลับมาตามเสียง จากหน้ายิ้มแย้ม ค่อยๆ หุบยิ้ม เปลี่ยนสีหน้าเป็นทั้งโกรธทั้งแปลกใจเมื่อเห็นศิริพร
ส่วนที่ร้านใหม่ของรวิ รวินั่งอยู่บนถังสีเปล่า มือถือค้อน สายตามองไปรอบๆ ซึ่งตอนนี้ภายในร้านเริ่มเสร็จไปบางส่วน ผนังทาสีเสร็จเกือบหมด และเริ่มตกแต่งเป็นบางส่วน แต่บางส่วนยังคงไม่เรียบร้อย
เสียงรถมาจอดหน้าร้าน ขำลงมาจากรถกระบะ เดินไปหลังรถช่วยเด็กส่งของยกอุปกรณ์ต่างๆ เดินเข้ามาข้างใน รวิลุกขึ้นยืนมอง ไม่ค่อยพอใจ
“เอ้า ไอ้น้อง วางตรงนี้เลย ดีๆ ขนมาให้หมด” ขำหันมายิ้มให้รวิ พอเห็นหน้ารวิก็หุบยิ้ม ทำหน้าจ๋อยหลบสายตาทันที “หมดแล้วใช่มั๊ยน้อง ขอบใจมาก อ่ะพี่ให้ทิป”
ขำล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบแบงค์ร้อยส่งให้เด็ก
“โห ร้อยนึงเลยเหรอพี่ ขอบคุณครับ”
“ทอนมา 90” เด็กยกของส่ายหน้า ควักเงินทอน ทอนให้ขำแล้วเดินออกไป “เออ ร้านนี้เค้าดีนะเนี่ย มีบริการส่งถึงที่ ของก็ถูก เนอะๆ รวิเนอะ เอ่อ ไม่ขำซักหน่อยเหรอ”
ขำเอื้อมมือไปตบไหล่รวิเล่นๆ ยิ้มให้ แต่รวิหน้าบึ้งมองเขม็ง ขำเลยหน้าจ๋อยลง
“นี่สรุปนายเอาเงินของเดือนมาเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ก็ ก็ คืออย่างนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่า...”
“เอามาแล้วใช่มั้ย”
รวิถามเสียงดุ ขำก้มหน้าหลบตา
“เอามาแล้วก๊าบ พี่รวิ” รวิถอนหายใจ เดินมาหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ที่ซื้อขึ้นมาดู “จะให้เค้าส่งคืนมั้ยอ่ะ”
“ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว เอาเป็นว่า เดี๋ยวเอาไว้ชั้นหาเงินไปคืนเดือนเอง”
ขำยิ้มกว้างกระโดดเข้ากอดรวิ
“อ๊าย ตัวเองน่ารักที่สุดเลย จุฟๆ มวฟๆ”
เสียงของหล่น รวิกับขำหันขวับไปมอง เทพยืนเอามือปิดปาก ตาค้าง รวิกับขำหันมามองหน้ากันรีบกระโดดออกจากกัน
“ปริศนาไขกระจ่าง ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว. อย่างนี้เองสินะ ไม่ เทพรับไม่ได้”
“อ้าว เฮ้ย คุณเทพ ไม่ใช่อย่างนั้น เดี๋ยวก่อนคุณเทพ คุณเทพ”
รวิรีบอธิบาย
“อย่างนี้นี่เอง ไอ้เราก็ตกใจหมดนึกว่าจะเป็นยอดชายกันซะละ”
เทพบอกขณะนั่งล้อมวงอยู่บนถังสีกับรวิและขำ แต่ละคนถือลูกชิ้นปิ้งกินกันคนละไม้อยู่
“โธ่ คุณเทพ ผมยังไม่คิดจะเปลี่ยนเป็นแบบนั้น”
ขำหันมาแกล้งทำเป็นมองค้อนรวิขวับๆ หยิบลูกชิ้นขึ้นมารูดกินต่อ
“เชอะ คนใจร้าย ว่าแต่ลูกชิ้นอร่อยแฮะ ลุงซื้อมาจากไหนน่ะ”
“ลุงไม่ได้ซื้อหรอกหลานเอ๊ย ถุย! เรียกลุง” ขำทำเป็นโดดไปหลบหลังรวิ “ไอ้เนี่ย นภาเค้าซื้อฝากมา”
“งั้นฝากขอบคุณพี่นภาด้วยนะครับ”
“นี่ๆ ถามจริงเหอะลุง ป้าแกเป็นคนยังไงกันแน่ บทจะดีก็ดี บทจะเชิดนางก็เชิดซะแทบจะถอดหัวได้”
เทพอมยิ้ม สีหน้าดูมีความสุขเมื่อพูดถึงนภา
“เห็นนภาเชิดๆ แบบนั้นน่ะ จริงๆ แล้วนภาไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรหรอก ถ้าได้รู้จักกันไปนานๆ แล้ว จะรู้ว่าเค้าใจดีแค่ไหน”
ขำหันมามองหน้ารวิ คิดว่าจะเชื่อดีมั้ย แล้วหันไปมองเห็นเทพอมยิ้มเขินๆ อย่างมีความสุข
ที่ค่ายเพลง ศิริพรยืนยิ้ม เชิดหน้าใส่เดือน เดือนเดินข้าหาอย่างโกรธจัด
“ศิริพร! เธอมาที่นี่ทำไม”
ศิริพรแกล้งทำหน้าไร้เดียงสา ยั่วโมโหเดือน
“แหม แล้วทำไมชั้นจะมาไม่ได้ล่ะจ๊ะ”
ป้อมรีบเดินเข้ามาประกบกับเดือน
“ก็เพราะที่นี่ไม่ใช่นรกไง”
ศิริพรหุบยิ้มจ้องหน้าป้อม พยายามสะกดอารมณ์
“เธอรีบไปให้พ้นจากที่นี่เลยนะ”
“เธอจะใจร้ายกับชั้นขนาดนี้เลยเหรอ แค่เรื่องผู้ชายเนี่ยนะ” ศิริพรแกล้งพูดเสียงดัง พนักงานแถวนั้นเริ่มหันมามอง
“โอ๊ย ไม่ไหวละ ไล่แล้วไม่ไปใช่มั๊ย ขออีป้อมเองเหอะงานนี้”
ป้อมง้างมือขึ้นจะตบ
“คนที่ต้องไปน่ะ คือพวกแกตะหาก” เสียงแก้วดังขึ้น
แก้วเดินออกมา ทางด้านหลังศิริพร เดือนมีสีหน้าดุดัน
“หมายความว่ายังไงแก้ว เธอมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ”
“สิทธิ์อะไรไม่รู้นะ แต่ที่รู้ๆ คนที่ให้ศิริพรเค้ามาที่นี่ คือตัวเสี่ยเอง”
เดือนชะงักไป สงสัย
“เสี่ยน่ะเหรอ ให้ศิริพรมาที่นี่”
“ใช่ เสี่ยเค้าให้หานักร้องคนใหม่ ที่จะมาช่วยชั้นขึ้นคอนเสิร์ต”
แก้วเดินเข้ามา ยื่นหน้ามาใกล้เดือน
“แทนแกไงล่ะ นังเดือน” เดือนตกใจกับคำพูดของแก้ว “ไป! ศิริพร เสี่ยเค้ารอแย่แล้ว”
แก้วเดินนำศิริพรกระแทกไหล่เดือน เดินไปเคาะประตูแล้วเดินเข้าห้องเสี่ยวาทินไป ศิริพรหันกลับมามองเดือน เบะปากเชิดหน้าใส่ อย่างสะใจ
“มาแทนชั้นงั้นเหรอ”
“ใจเย็นก่อนนะเดือน”
เดือนโกรธจัด มองจ้องกลับที่หน้าห้องเสี่ยวาทิน
แก้วเดินนำศิริพรเข้ามาหาเสี่ยวาทิน
“เสี่ยขา แก้วพามาแล้วนะคะ คนที่จะช่วยแก้วร้องเพลงน่ะค่ะ เอ้า มานี่สิ ศิริพร” แก้ววางท่าออกคำสั่ง
ศิริพรเดินนวยนาดเข้ามา ยกมือขึ้นสวัสดีเสี่ยวาทิน
“สวัสดีค่ะเสี่ย”
ศิริพรเชิดหน้าเล็กๆ ส่งสายตายั่วยวนให้เสี่ยวาทิน เสี่ยวาทินมองศิริพรอย่างสนใจ และพึงพอใจ
“ศิริพรน่ะเค้าร้องอยู่ที่วง เทพ ฟ้าประทาน อะไรนั่นน่ะ วงดนตรีบ้านนอกน่ะค่ะ เสียงก็พอถูๆ ไถๆ ได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากแก้วอีกเยอะค่ะเสี่ย เสี่ย เสี่ยคะ” เสี่ยวาทินสะดุ้ง รู้สึกตัว
“อะไรๆ นะ หนูแก้วว่าอะไรนะ”
“อะไรกัน นี่เสี่ยไม่ได้ฟังแก้วเลยเหรอคะ เอาเป็นว่าตกลงให้ศิริพรมาขึ้นเวทีแทนนังเดือนนะคะ ได้มั้ยคะเสี่ย”
“อ๋อ ได้ ได้สิต้องได้อยู่แล้ว”
ศิริพรทำเป็นยกมือไหว้ขอบคุณเสี่ยวาทิน ก้มต่ำๆ กว่าเดิม เสี่ยวาทินรับไหว้แทบไม่ทัน
“ขอบพระคุณเสี่ยมากเลยนะคะ”
ศิริพรยิ้มและส่งสายตายั่วยวนให้ แก้วเริ่มผิดปกติ มองเสี่ยวาทินที มองศิริพรที อย่างสงสัยและหวาดระแวง
ศิริพรเปิดประตูเดินนำออกมา แก้วเดินตามปิดประตูเสร็จมองซ้ายมองขวาแล้วดึงมือศิริพรไว้
“เดี๋ยว”
ศิริพรสะบัดมือออกหันมามองหน้าแก้ว
“มีอะไร”
“ก็ไอ้ท่าที กับสายตาที่เธอมองเสี่ยเมื่อตะกี๊ไง”
ศิริพรแกล้งทำหน้าสงสัย แอ๊บใสไม่รู้เรื่อง
“เธอพูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ ชั้นไม่ใช่นังเดือนนะ” ศิริพรทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ “ชั้นอุตส่าห์ให้เธอได้มีโอกาสขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ซึ่งชีวิตเธอทั้งชีวิตก็คงไม่มีโอกาส อย่าคิดมาแทงข้างหลังชั้นนะ”
“นี่เธอคิดอะไรของเธอ คิดมากไปหรือเปล่า”
“ชั้นเห็นนะ แล้วก็รู้ว่าเธอทำอะไร เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ เธอก็มีไอ้ลิเกนั่นอยู่แล้วนี่”
ศิริพรหน้าเครียดขึ้นทันที เดินมาจ้องหน้าแก้วแสดงสีหน้าเยือกเย็น
“เธอรู้มั้ย ถ้าชั้นหมดรักสิ่งไหนก็แล้วแต่ ชั้นก็จะไม่มีวันกลับไปแตะมันอีกเป็นครั้งที่ 2”
แก้วจ้องศิริพร อย่างหวาดๆ
“นี่อย่าบอกนะว่าเธอหมดรักไอ้ลิเกนั่น แล้วตอนนี้ก็กำลังหาที่หมายใหม่” ศิริพรยิ้มเจ้าเล่ห์ เยือกเย็น ส่งสายตาให้แก้ว ก่อนจะเดินหนีไป แก้วรู้สึกกลัวและระแวงขึ้นมาทันที รีบเดินตามไป “นี่เดี๋ยวก่อนสิ อย่าได้คิดจะมายุ่งกับเสี่ยของชั้นเลยนะ บอกให้หยุด”
ขณะนั้นนภากาศเดินอยู่ที่ทางเดินกลับบ้าน มองดูโน่นนี่ไปเรื่อย ระหว่างนั้นมีใครบางคน มองและเดินตามนภากาศ เธอเริ่มรู้ตัวว่ามีคนเดินตาม แกล้งเดินต่อไม่สนใจ ไปซักพักจนทนไม่ไหวหันกลับมา
“จะมุดหัวแอบเดินตามกระโปรงผู้หญิงอีกนานมั้ย มีอะไรก็ออกมาสิถ้าแน่จริง” พิมุกเดินออกมา ท่าทางนักเลงจ้องหน้าเธอ “อ่อ นึกว่าใคร เจ้าของค่ายมวย นักเลงเงินกู้ นึกยังไงน่ะมาเดินตามชั้น”
พิมุกแสยะยิ้ม ท่าทางมีเลศนัย
“เธอคงไม่คิดว่าชั้นมาเดินตามจีบเธอหรอกนะ”
“ไม่คิดหรอก เพราะถึงเธอจะคิด ก็คงไม่มีหวัง”
พิมุกหัวเราะหึๆ ส่ายหน้า
“เผอิญชั้นก็ไม่ชอบผู้หญิงอายุขนาดเธอซะด้วย” นภากาศมีสีหน้าโกรธขึ้นมาทันที “ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งโมโห ชั้นมีอะไรจะถามเธอนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง วันนั้นบังเอิญชั้นได้ยินเธอคุยกับไอ้นายเทพอะไรนั่น”
“ได้ยินหรือแอบฟัง”
พิมุกยักไหล่ ไม่แคร์
“ชั้นได้ยินเธอคุยกันถึงเรื่องบ้านเดือน ที่พวกเธอสงสัยชั้น แล้วก็ ศิริพร ยัยนั่นมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยกับเรื่องนี้”
นภากาศยิ้มเชิดๆ เหมือนนึกอะไรได้
“อยากรู้เรื่องนี้สินะ” นภากาศเดินเชิดหน้าเข้ามาใกล้พิมุก “แหม ทำไมไม่ไปถามนางเองล่ะ” พิมุกหน้านิ่ง ไม่ตอบอะไร จ้องนภากาศอย่างเดียว “อ่อ ที่แท้ก็ไม่กล้า เอาเถอะจะบอกให้เอาบุญก็ได้นะ ศิริพรน่ะเค้ารู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น แหม อย่างกับตาเห็นแน่ะ รู้กระทั่งว่าเธอทิ้งหลักฐานไว้ซะด้วย เธอคิดว่าไงล่ะเรื่องนี้”
นภากาศพยายามโยงเรื่องให้พิมุกสงสัยศิริพร
“แล้วเค้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“นั่นล่ะ ที่เธอต้องหาคำตอบเอาเอง อ้อ จะทำอะไรก็รีบๆ หน่อยนะ เพราะถ้าผลสรุปของตำรวจออกมาแล้ว คนบางคนอาจจะต้องเข้าไปนอนในนั้นเอง”
ที่บ้านรวิ รวิเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกล่องไม้ใบเล็กที่อยู่ชั้นบนลงมา จัดแจงปิดตู้ แล้วถือกล่องเดินออกมา มัวแต่มองกล่องไม่ได้มองทางเลยสะดุดขำที่นอนหลับ กรนเสียงดังอยู่ที่พื้น
“ไอ้ขำ นอนยังไงไม่ดูทาง เกะกะชะมัด”
ขำงัวเงียลุกขึ้นนั่ง มองรวิอย่างงงๆ เกาหัวแกรกๆ
“อะไรอีกล่ะนั่น”
รวิเดินไปนั่งที่เก้าอี้ วางกล่องลง จัดแจงเปิดออก หยิบสร้อยทองออกมาดู
“ชิ้นสุดท้ายแล้วจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องขายมัน เอาเงินไปคืนเดือนให้ได้”
“เดือน เค้าไม่ได้รีบใช้ขนาดนั้นหรอก นายยังไม่ต้องขายก็ได้มั้ง”
“ไม่ล่ะ ชั้นไม่อยากรบกวนเดือน”
“จ้า พ่อคนดี ศรีสยาม”
พูดจบขำก็ทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม
“ไอ้ขำ พรุ่งนี้เราเข้ากรุงเทพกันนะ จะได้เอาเงินไปคืนเดือนด้วย”
ขำเด้งตัวขึ้นมาใหม่ ชูนิ้วโอเคแล้วทิ้งตัวหายลงไป รวิหันมามองขำ ส่ายหน้ายิ้มๆ หันไปจัดแจงปิดกล่องไม้ลงเหมือนเดิม
วันเดียวกันนั้นที่สถานที่ถ่ายหนัง เดือนกำลังเข้าฉากอยู่
“คัท!”
“ขอโทษค่ะ จำผิดอีกแล้ว”
เดือนยกมือไหว้ขอโทษทุกๆ คน
“พี่ว่าเดือนไปนั่งพักก่อนดีกว่าจ้ะ ใจเย็นๆ ไม่เป็นไรนะ ใหม่ๆ ก็อย่างนี้ล่ะ”
เดือนยิ้มพยักหน้ารับเดินมาหาป้อมที่รออยู่ พากันไปนั่งพัก
“ใจเย็นๆ เดือน ตั้งสติหน่อย”
“พยายามอยู่จ้ะพี่ป้อม แต่”
“พี่รู้ เดือนกำลังโมโหเรื่องคอนเสิร์ต อยู่ๆ ให้ยัยงิ้วผีบ้ามาขึ้นร้องแทนได้ไง ถึงจะแค่แจมๆ เพื่อช่วยนังแก้วก็เหอะ”
เดือนส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด
“นี่ชีวิตเดือนจะหนีไม่พ้นมารผจญเลยใช่มั้ยเนี่ย”
ป้อมลูบหัวเดือนสายตามองออกไปแล้วก็ต้องชะงัก
“โน่น มาอีก 1 มารแล้วเดือน”
ชูเกียรติเดินอาดๆ ตรงมาหาเดือน
“เดือน ทำไมไม่ปลุกพี่ออกมาด้วยเนี่ย”
เดือนทำหน้าเบื่อหน่าย มองชูเกียรติเซ็งๆ
“เดือนอยากให้พี่เกียรติได้พักผ่อนยาวๆ ค่ะ”
“แหม ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ขนาดนั้นหรอก ยังไงพี่ก็ต้องมาคอยดูแลเดือนอยู่แล้ว มันเป็นหน้าที่”
“งั้นต่อจากนี้คงไม่ต้องลำบากรบกวนพี่เกียรติอีกแล้วล่ะค่ะ” ชูเกียรติคิ้วขมวดทำหน้าสงสัย “เพราะต่อจากนี้ มันไม่ใช่หน้าที่ของพี่เกียรติอีกต่อไปแล้ว”
“เดือน เดือนพูอะไรน่ะ”
เดือนกับป้อมหันมามองหน้ากัน ป้อมเปิดกระเป๋าหยิบซองเอกสารออกมา
“ก็อย่างที่เดือนพูด นับแต่นี้เป็นต้นไป คุณไม่ใช่ผู้จัดการเดือนอีกต่อไปแล้ว”
ชูเกียรติกระชากซองเอกสารมาจากป้อม เขาเพ่งสายตาอ่านเอกสาร ท่าทางลุกลน
“นี่มันอะไรกันเดือน แบบนี้หมายความว่าไง”
เดือนถอนหายใจ ยิ้มให้ชูเกียรติ
“เอกสารการขอยกเลิกสถานะความเป็นผู้จัดการ และการรับส่วนแบ่งจากงานทุกงานของเดือน พี่เกียรติเป็นคนเซ็นเองนะคะ”
ชูเกียรติมีสีหน้าโกรธจัด มองเดือนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“เดือน”
อ่านต่อหน้า 4
หางเครื่อง ตอนที่ 16 (ต่อ)
เดือนจ้องหน้าตอบชูเกียรติ สีหน้าจริงจัง
“หวังว่าพี่เกียรติคงเข้าใจตามนี้นะคะ”
“พี่ไม่นึกว่าเดือนจะเป็นคนแบบนี้นะ ลืมไปแล้วหรือไง ว่าใครเป็นคนพาเดือนเข้ามาวงการนี้”
“เดือนไม่เคยลืมหรอกค่ะ ว่าพี่เกียรติเป็นคนให้เดือนได้ก้าวมาอยู่ในวงการนี้”
ชูเกียรติมองเดือนด้วยสายตาเหยียดๆ
“หึ ไม่เคยลืม แล้วนี่มันอะไรล่ะ อีตอนก่อนจะเข้าวงการอ้อนวอนสารพัด พอได้ดีแล้วก็ถีบหัวพี่ส่ง”
“พี่เกียรติ! อย่าพูดแบบนี้ ที่ผ่านมาเดือนอดทนทำงานสารพัด ออกงานไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พี่เกียรติก็ไม่ได้มาดูแลอะไรเดือนเลย ที่สำคัญพี่เกียรติโกงเงินเดือนไปตั้งเท่าไหร่แล้ว พี่น่าจะรู้ดีที่สุด”
ชูเกียรติมองซ้ายมองขวา เริ่มเห็นว่ามีคนมอง ทำอะไรไม่ถูก ชี้หน้าเดือนสีหน้าอาฆาตแค้นแล้วเดินหนีไป
ป้อมหันไปแกล้งยิ้มกับคนอื่นๆ แล้วสะกิดเดือนให้รู้ตัว
“ไม่มีอะไรนะคะ เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“ค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ ซ้อมบทค่ะ”
ส่วนที่เวทีคอนเสิร์ต แก้วซ้อมร้องเพลง ท่ามกลางแดนเซอร์คนอื่นๆ ทั้งร้องทั้งเต้นเต็มที่ ถึงคิวศิริพร เธอเดินออกมาเด่นตรงกลาง พยายามเบียดจนแก้วเซไป จนถึงท่อนที่แก้วต้องร้อง ศิริพรก็แย่งร้องแทนจนแก้วหน้าเหวอ
“หยุดๆ หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงดนตรีค่อยๆ เงียบลง แดนเซอร์หยุดเต้น ยืนงงๆ
“อ้าว หยุดทำไมน่ะ กำลังมันส์เลย” ศิริพรแกล้งตีเนียนไม่รู้เรื่อง
“นี่มันท่อนที่ชั้นต้องร้อง แล้วจริงๆ ที่ของเธอน่ะ อยู่หลังๆ สะเออะออกมาทำไม”
“อ้าวเหรอ โทษทีเพลินไปหน่อย”
“เพลินหรือจงใจ อยากจะเด่นกว่าชั้นล่ะสิ”
ศิริพรยักไหล่ ไม่สนใจเดินมาด้านหน้า ก้มลงชะโงกตะโกนถามเสี่ยวาทิน
“เสี่ยขา พรไม่ได้ตั้งใจนะคะ ถ้าไม่เหมาะพรขอโทษนะคะ” ศิริพรแกล้งออดอ้อน แก้วรีบปรี่เข้ามาส่งสายตากินเลือดกินเนื้อให้ศิริพร
ภาพจากด้านบนเวที เห็นเสี่ยวาทินโบกมือไม่เป็นไรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ศิริพรหันไปเบ้ปากใส่แก้ว แล้วนวยนาดลุกขึ้นยืน เดินสะบัดเข้าไป แก้วหันไปมองเสี่ยวาทินที ศิริพรที ลุกขึ้นหัวเสีย กระฟัดกระเฟียดเดินกลับเข้าไปประจำที่
เสียงดนตรีเริ่มโซโล่ขึ้น แดนเซอร์เริ่มขยับเตรียม ศิริพรมองแก้วแล้วยิ้มอย่างสะใจ
เย็นวันนั้นมอเตอร์ไซค์ของพิมุกบิดมาตามทาง มีเตี้ยกับบ่างซ้อนกันอีกคันขี่มาด้านหลัง เตี้ยพยายามยืนขึ้นในท่าซุปเปอร์แมน ทั้งหมดขี่มาจอดอยู่หน้าบ้านศิริพร
“ไอ้เตี้ย เอ็งลงไปดูเด๊ะ ยัยงิ้วอยู่หรือเปล่า”
“ครับผม”
เตี้ยตะเบ๊ะรับแล้วกระโดดลงในท่าซุปเปอร์แมนแต่พลาดเกี่ยวขาตัวเองหน้าคะมำ พิมุกส่ายหน้าตัดสินใจลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินเข้าไปดูเอง
พิมุกยืนเกาะประตูชะเง้อ ชะแง้มองเข้าไปในบ้านศิริพร เขาหันกลับมาทำท่าคิด
“ไปไหน มือถือก็ไม่รับ”
“หรือเจ๊แกรู้ว่าพี่รู้ว่าแกรู้” เตี้ยบอก
“พูดอะไรของเอ็งวะ”
“ไอ้บ่างมันหมายความว่า เจ๊เค้ารู้ว่าเรารู้ว่าเจ๊เค้ารู้หรือไม่รู้อะไร”
พิมุกส่ายหน้า โบกมือให้เตี้ยกับบ่างหยุดพูด
“เอ็งสองตัวรีบถอยไปให้ห่างข้าเลย” พิมุกเดินกลับขึ้นมาขี่มอเตอร์ไซค์ “สงสัยจะใช่อย่างที่คิดละ ศิริพร นังงูพิษ”
ที่วงของเทพ เทพที่ยื่นเงินให้กับก้อง ก้องยกมือไหว้ขอบคุณเทพ สีหน้าดูจ๋อยๆ นภากาศกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็ดูเงียบๆ
“พี่เทพ เอาจริงเหรอ”
“สงสัยหลอกเล่น หาดูดิมีกล้องซ่อนอยู่มั๊ย”
ก้องเอามือเกาหัวแกรก ยิ้มเจื่อนๆ
“โธ่ ก็ชั้นไม่อยากไปอยู่วงอื่นนี่ พี่เทพไม่น่ายุบวงเลย”
เทพถอนหายใจ หันไปมองนภากาศ
“ทำไงได้ล่ะ ช่วงนี้งานมันน้อยจริงๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ชั้นฝากพวกเราไว้กับวงที่รู้จักกันแล้ว”
“ชั้นไม่ไป”
“แหม ก็แน่ล่ะ พี่นภาจะไปได้ยังไง เป็นแฟนกับเจ้าของวงจะหนีไปไหนได้ล่ะ”
นภากาศหันไปจ้องก้องตาเขียวปั้ด
“ก้อง พูดอะไรก็ไม่รู้”
เทพหันไปเห็นนภากาศที่จ้องมา จะกินเลือดกินเนื้อเหมือนกัน
“ชั้นไม่ได้จะอยู่กับตาเตี้ยนี่ ชั้นจะไปหาอะไรทำของชั้นเอง”
“ภาจะไปทำอะไร พี่หุ้นด้วยได้มั้ย”
“ขายยาเพิ่มความสูงจ้ะ มาหุ้นกันมั๊ย”นภากาศประชด เทพยิ้มแหยๆ หน้าจ๋อยลง
เช้าวันใหม่ที่สถานที่ถ่ายหนัง ช่างกล้องกำลังเช็กเครื่องมือ ประสานงานเดินไปเดินมาคุยกับนักแสดงและผู้กำกับ เดือนกับป้อมเดินเข้ามายกมือไหว้ผู้กำกับและทีมงาน
“สวัสดีค่ะ”
“หวัดดีจ้ะ เดือน เดี๋ยววันนี้พี่ขอถ่ายฉากต่อจากเมื่อวานเลยนะ จำบทได้แล้วใช่มั้ย”
เดือนพยักหน้ายิ้มรับ
“ค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะฮ๊ะ เดือนเค้าท่องจนเก็บไปละเมอเลยฮ่ะ” ป้อมบอก
“ดีๆ ขยันแบบนี้รุ่งแน่ ทานอะไรมายัง ไปเตรียมตัวก่อนได้นะ”
เดือนพยักหน้ายิ้มรับ ชวนป้อมเดินไปหาฝ่ายเสื้อผ้า
ด้านหน้าสถานที่ถ่ายหนัง ชูเกียรตินั่งอยู่ในรถ กำลังคิดหาวิธีอะไรอยู่ ชูเกียรติถือเอกสารอยู่ในมือเป็นสัญญาจ้างศิลปินในสังกัด ชูเกียรติทำท่าเหมือนเห็นอะไร รีบขยับตัวขึ้นมอง
ชูเกียรติเห็นรวิกับขำเดินอยู่ไกลๆ เหมือนจะเข้าไปในกองถ่าย ชูเกียรติยิ้มออกมา จัดแจงเปิดประตูรถ เดินลงไป
รวิกับขำเดินเข้ามาในสถานที่ถ่ายหนัง
“มาถูกที่แน่นะไอ้ขำ แล้วเค้าถ่ายกันตรงไหนวะ”
“ไม่ผิดหรอก ชั้นถามพี่ป้อมมาละเอียดยิบ นั่นไงๆ”
ขำเห็นเดือนกับป้อม รีบโบกมืออย่างดีใจก่อนจะวิ่งทะล่าเข้าไป
“มาหาใครครับ เข้าไปไม่ได้นะครับ” ทีมงานรีบเข้ามาถาม
“มาหาเดือน ชั้นเป็นเพื่อนเดือนน่ะ” ขำบอกแล้วทำเก๊กท่า ยืดอก ทีมงานมองขำแล้วส่ายหน้า ผลักขำให้ออกไป
“พอเลยๆ ไอ้พวกตีเนียน อ้างโน่นอ้างนี่ ไปเลย”
“เฮ้ย แต่ชั้นเป็นเพื่อนกับเดือนจริงๆ นะ”
ขำพยายามแทรกแซงเข้าไป แต่ก็เจอทีมงานล็อกตัวจะลากออกไป
“พี่รวิ ขำ”
เดือนกับป้อมรีบเดินมาอย่างดีใจ เดือนหันไปบอกทีมงาน
“เพื่อนเดือนเองค่ะ” ขำเบ้ปากล้อเลียนทีมงานที่เดินส่ายหน้าหนีไป เดือนลืมตัว ตรงเข้าจับมือกับรวิ “มากันได้ไงเนี่ย”
“พี่เอาเงินมาคืนเดือน เนี่ย”
รวิหยิบซองเงินส่งให้เดือน
“โธ่ พี่รวิ ไปเอาเงินมาจากไหนเนี่ย ชั้นไม่ได้จะทวงคืนซักหน่อย”
“ไม่ได้หรอก จะให้พี่เอาเงินของเดือนมาฟรีๆ ได้ไง”
“เอ๊ะ พี่รวินี่ยังไงนะ ถ้างั้นก็ถือว่าชั้นหุ้นด้วยแล้วกัน เอ้า เอาคืนไป”
เดือนส่งเงินคืนใส่มือรวิ แต่รวิไม่รับพยายามผลักคืน ชูเกียรติเดินมาพอดี ยิ้มออกมาท่าทางมีเลศนัย
“อย่างนี้นี่เอง ไม่อยากแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้พี่ เพราะอยากจะเอาเงินมาปรนเปรอผู้ชายนี่เอง”
ชูเกียรติมองซองเงินที่รวิถืออยู่ กับมือรวิกับเดือนที่จับกัน เดือนมีสีหน้าตกใจหันมามองกันกับรวิ
เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นเดือนกับรวิหันไปมองหาเสียง รีบปล่อยมือออกจากกัน รวิยังถือซองเงินค้างอยู่ ทีมงานแถวนั้นเริ่มหันมามอง
“พูดให้มันดีๆ นะเว้ย”
“โธ่ เดือนนะเดือน พี่เคยเตือนเดือนแล้วนะ จะคบใครให้ดูให้ดี นี่ดูซิ หมดไปกับผู้ชายคนนี้ตั้งเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ไอ้”
รวิโมโห เดินปรี่เข้าไปจะชกชูเกียรติ เดือนกับป้อมช่วยกันดึงไว้
“ดูๆ เป็นอันธพาลอีกตะหาก พี่เตือนแล้วไม่ฟัง ระวังไว้เถอะเดือน”
พูดจบชูเกียรติรีบแหวกคนอื่นเดินหนีไป
“รีบๆ ไปเลย ไอ้ขี้โกง ไอ้หน้าด้าน อุ้ย ไม่มีอะไรนะคะ”
เดือนกับป้อมแกล้งยิ้มให้คนอื่นๆ รวิยืนหัวเสียหงุดหงิดอยู่ ขำยืนตบไหล่ให้กำลังใจ
ภายในห้องพักนักแสดงด้านใน รวิเลื่อนซองเงินบนโต๊ะคืนให้เดือน
“เอาไป ยังไงเดือนก็ต้องเอาคืนไป”
รวิ เดือน ป้อม ขำ นั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะ เดือนถอนหายใจ หยิบซองเงินขึ้นมาพยายามจะยัดใส่มือรวิ แต่เขาเอามือกอดอกซุกมือไว้
“พี่รวิ เดือนบอกแล้วไง ถือซะว่าเดือนหุ้นด้วย”
“ไม่ ยังไงพี่ก็ไม่เอา เงินเนี้ยพี่ตั้งใจมาคืนเดือนนะ”
“ทำไมพี่ดื้อแบบนี้”
“เดือนไม่ได้ยินที่ไอ้นั่นมันพูดเหรอ มันว่าพี่ยังกับพี่เป็น...”
รวิค้างไว้ไม่กล้าพูดต่อ เดือนจ้องหน้านิ่ง
“เป็นอะไร”
“ก็เป็นเหมือนพวกผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน”
“แล้วพี่จะไปฟังมันทำไมล่ะ เรื่องมันเป็นยังไงชั้นรู้ดีที่สุด” รวิสะบัดหน้าหนี ลุกขึ้นยืน ทำไม่สนใจ “พี่รวิ”
รวิทำเมินไม่สนใจ ไม่ได้ยิน เดือนลุกขึ้นยืน ป้อมกับขำสะกิดกันท่าทางหวาดๆ เดือนเดินอ้อมไปข้างหลังรวิ รวิเริ่มระแวง แต่ยังแกล้งทำเมินอยู่ เดือนกระโดดขี่คอรวิทันที พยายามยัดเงินใส่กระเป๋าเขา
“นี่! จะเอาคืนไปซะดีๆ มั้ย ทำไมชอบให้ชั้นใช้กำลัง”
“เดือน ทำอะไร จักกะจี๋ หนักด้วย เดือน”
“ว่าชั้นหนักเหรอ ไอ้พี่รวิบ้า”
เดือนขี่คอรวิที่เดินหนีพยายามปัดป้องไม่ให้เดือนเอาเงินมายัดคืนได้ เซไปเซมารอบห้อง ขำกับป้อมเป็นกองเชียร์อยู่
“โอเคๆ เดือนพี่ยอมแล้ว อุ๊บ”
รวิหันกลับมาจนปากไปชนกับปากเดือนเข้าโดยบังเอิญ ทั้งคู่ อึ้งไป มองตากันไป มองตากันมา หน้าแดง ป้อมกับขำเอามามือขึ้นจับหน้าอ้าปากค้าง เดือนรู้ตัว รีบโดดลงจากหลังรวิ ทั้งคู่ทำหน้าไม่ถูก เขินไปเขินมา
“เดี๋ยว เดือนต้องไปถ่ายต่อแล้ว เดือนวางเงินไว้นี่นะ ไปเหอะพี่ป้อม”
“อะ อืม เดี๋ยวพี่กับไอ้ขำแวะไปหาที่ห้องตอนเย็นนะ ไปไอ้ขำ”
ทั้งคู่เดินไปจูงมือป้อมกับขำจะแยกย้าย ป้อมกับขำยืนนิ่ง มองเดือนกับรวิประมาณว่าดูซิอะไร รวิจูงมือป้อมอยู่ ส่วนเดือนจูงมือขำ
“อุ้ย ถึงว่า”
เดือนกับรวิรีบผลักขำกับป้อมจนถลา แลกกันคืนแล้วเดินแยกย้ายออกไป
“มันเห็นพี่เป็นอะไรก๊าน ไอ้พวกนี้”
เย็นวันเดียวกันนั้นที่เวทีคอนเสิร์ต ศิริพรซ้อมเสร็จจะเดินมาหยิบกระเป๋า แก้วเดินสวนมา เชิดใส่
“ตกลงเธอจะพักอยู่กับชั้นงั้นเหรอ”
“ก็ต้องอย่างนั้น”
“เธอมีเงินไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปหาเช่าอยู่เองล่ะ”
“เฮ้อ เธอนี่เข้าใจอะไรยากนะ เธอเรียกชั้นมาให้ช่วย เธอก็ต้องบริการชั้นสิ แล้วอีกอย่างถ้าไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ได้เจอ...”
“เจอใคร เธอรอจะเจอใคร”
ศิริพรยักไหล่ ยิ้มเชิดๆ
“เอาน่า ชั้นไม่ได้อยู่ฟรีๆ หรอก เดี๋ยวชั้นจะจ่ายค่าเช่าให้เธอ แถมให้อีกเท่าตัวเลยดีมั้ย”
พูดจบศิริพรก็แกล้งเดินชนไหล่แก้วเบาๆ เสียงโทรศัพท์ศิริพรดัง เธอชะงัก หยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างรำคาญ
“ฮัลโหล มีอะไร โทรมาเป็นสิบสายเนี่ย”
แก้วหันมามองตามศิริพรที่เดินคุยโทรศัพท์ออกไป หน้าตาอยากรู้อยากเห็น
ศิริพรเดินคุยโทรศัพท์ออกมาด้านนอก
“มีเรื่องจะคุย เรื่องอะไรของเธอ”
พิมุกยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“มีเรื่องอยากจะถามเธอหน่อย เรื่องสำคัญมาก”
ศิริพรทำหน้าแปลกใจ เริ่มระแวง
“ชั้นไม่ว่าง ตอนนี้ชั้นอยู่กรุงเทพฯต้องมาขึ้นคอนเสิร์ตแทนนังเดือน”
พิมุกทำหน้าแปลกใจ
“ขึ้นคอนเสิร์ตแทนเดือนเนี่ยนะ โอ้โห ไม่อยากเชื่อ เธอนี่ทำอะไรเกินคาดชั้นอยู่เรื่อยเลยนะ แต่เอาเหอะเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นไปหาเธอถึงที่เอง อ๊ะๆ แล้วก็อย่าคิดปฏิเสธนะจ๊ะ เพราะเราต้องคุยกันเรื่องบ้านของเดือน ”
ศิริพรหน้าซีดลง ตกใจแต่พยายามตั้งสติ
“ได้ ได้สิ งั้นพรุ่งนี้เราคุยกัน” ศิริพรกดวางโทรศัพท์ สีหน้าดุดัน “ยังไงแกก็ต้องเป็นแพะแทนชั้น ไอ้พิมุก”
อีกด้านหนึ่ง เดือน ป้อม ขำ รวิ เดินคุยกันหัวเราะสนุกสนานเปิดประตูคอนโดเข้าไป แต่แล้วเดือนก็ต้องยืนตาค้าง ตกใจ ป้อมรีบแทรกเข้ามา
“โธ่ถังกะละมังบุบ! นี่มันอะไรกันเนี่ย”
เห็นเสื้อผ้าข้าวของเดือนกับป้อมถูกรื้ออกมากองรวมกันอยู่ที่พื้น ชูเกียรตินั่งหันหลังอยู่ลุกขึ้นหันกลับมาหน้าตายิ้มอย่างสะใจ
“นี่มันอะไรกัน พี่เกียรติ”
ชูเกียรติเดินยิ้มเข้ามามองคนโน้นทีคนนี้ที
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ในเมือตอนนี้เดือนไม่ได้เป็นเด็กของพี่แล้ว ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เดือนจะต้องอยู่อีกต่อไป”
เดือนนิ่งไปพูดไม่ออก
“โถ ไอ้หน้าปลากะโห้ นึกว่าพวกชั้นอยากจะอยู่นักเหรอ ทำไม แกจะให้เด็กใหม่ๆ มาอยู่แทนงั้นเหรอ”
ชูเกียรติลอยหน้าลอยตายียวน
“โอ๊ย พี่ป้อม ไม่มีใครได้มาอยู่หรอก เดี๋ยวมันก็โดนยึดแล้ว”
ชูเกียรติ สะดุ้งหันมามองขำ
“เออ ข้าลืมไปว่ะไอ้ขำ จดหมายทวงหนี เอ้ย ทวงหนี้มากันเพียบ โถ คุยว่ารวยอย่างโน้นอย่างนี้ รวยแกลบล่ะไม่ว่า”
“นี่ๆ พวกแก” ชูเกียรติโมโหชี้หน้า
“อ๊ะๆ อย่ามาชี้หน้านะ เดี๋ยวถ้าทำให้อีป้อมกริ้วขึ้นมา รับรองเรื่องนี้เป็นข่าวแน่”
“แก” ชูเกียรติหันมาจ้องหน้าเดือน ส่งสายตาอาฆาต “ยังไงพวกแกก็ต้องออกไปจากบ้านชั้น ชั้นให้เวลาพวกแกอาทิตย์ยนึง ไม่งั้นมีเรื่องแน่”
ชูเกียรติเดินจะออกจากห้องแต่หยุด ชี้หน้าเดือนกับรวิ แต่พอเจอรวิทำท่าจะเข้าใส่ก็รีบวิ่งออกไป
“โธ่ นึกว่าจะแน่”
ทุกคนเดินเข้ามาด้านใน เดือนก้มลงหยิบเสื้อผ้าข้าวของตัวเองขึ้นมาดู
“ดีแล้วล่ะ เราจะได้ไปให้พ้นๆ จากคนเลวแบบนี้ซักที”
วันต่อมา รวิ เดือน ป้อม ขำ แยกย้ายกันไปตามอพาร์ทเม้นท์ คอนโด ต่างๆ สอบถาม / พูดคุย เรื่องการเข้าอยู่
รวิกับขำนั่งลงที่ร้านกาแฟ หยิบน้ำขึ้นมาดูด โบกพัดตัวเองเพราะร้อน เดือนกับป้อมเดินหน้าละห้อยเข้ามา นั่งลงหันไปสั่งน้ำให้ตัวเองและป้อม แล้วหันไปมองรวิและขำ รวิเอื้อมมือไปแกล้งบีบจมูกเดือนเล่น
“ไงไอ้เด็กบ๊องส์ หน้าบูดเป็นลิงเชียว” รวิแซว เดือนหน้าบึ้ง
“ทำไมมันหายากแบบนี้นะ ไอ้ที่ค่าเช่าถูกๆ ก็อยู่ตั้งไกล ไอ้ที่ใกล้ๆ ก็แพงซะจนสู้ไม่ไหว”
ขำหยิบโบชัวร์ ยื่นให้เดือน
“ที่นี่ไง ใกล้รถไฟฟ้าด้วย”
“เหอๆ เอ็งดูค่าเช่าซะก่อนไอ้ขำ”
“งั้นเดือนก็ซื้อเลยสิ จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่า”
เดือนถอนหายใจ พยายามฝืนยิ้ม
“เดือนอยากเก็บเงินไว้ไปปลูกบ้านใหม่ที่บ้านของเรามากกว่า”
รวิยิ้มน้อยๆ แอบดีใจ
“ทำไม ไหนเคยบอกว่าบ้านเดือนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ โอ๊ย! อะไรอ่ะเดือน” เดือนตีแขนรวิดังเพี้ยะ“อย่ามาพูดนะ นึกได้แล้วขึ้นเลย ใครล่ะที่ทำตัวติ๊งต๊องไม่เข้าเรื่อง คิดเองเออเอง เดี๋ยวปั๊ด”
“ขอโทษ” รวิทำหน้าตาอ้อนวอน
ขำหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ขึ้นมาอ่าน อยู่ๆ ก็ชะงัก เหลือบมามองเดือนแล้วแกล้งทำเป็นอ่านต่อ
“อ่านอะไรน่ะขำ”
“อ๋อ เปล่า อ่านข่าวพระเอกกุงเกงลิงเข้าวินเฉยๆ เฮ้ย อย่า”
เดือนทำหน้าสงสัย แล้วดึงหนังสือพิมพ์ไปจากมือขำ ป้อมชะโงกหน้าเข้ามาอ่านด้วย เดือนไล่อ่านไปตามข่าวจนเห็นรูปที่เดือนส่งซองเงินให้รวิ มีรูปการ์ตูนเบลอหน้าทั้งคู่ไว้ “ฉีกสัญญา เขี่ยผู้จัดการ นักร้องสาว ด.เด็ก”
“อะไรอีกเนี่ย” ป้อมอ่าน “ นักร้องสาว ด.เด็ก ตัดสินใจไม่ขึ้นคอนเสิร์ต ฉีกสัญญากับค่าย แถมเขี่ยผู้จัดการที่เป็นคนปั้นมากับมือ เอาค่าเปอร์เซ็นต์ไปเลี้ยงหนุ่มนอกวงการแทน แหม กตัญญูจริงๆ นักร้องสมัยเนี้ย!” นี่มันบ้าชัดๆ”
เดือนปิดหนังสือพิมพ์ลง พูดอะไรไม่ออก “ฝีมือไอ้ชูเกียรติแน่ๆ”
รวิเอื้อมมือไปจับมือเดือน
“เดือนไม่เป็นไร อีกหน่อยทุกคนเค้าจะเข้าใจ เดี๋ยวเดือนกับพี่ป้อมไปก่อนนะ มีถ่ายต่อน่ะ”
เดือนลุกขึ้นสีหน้าไม่ค่อยดี
“ไม่เป็นไรแน่นะเดือน”
“อืม พี่รวิเองก็อย่าคิดมากเหมือนกันล่ะ ชั้นไปละ”
เดือนพยายามฝืนยิ้ม แต่ลึกๆ แล้วยังโมโหและกังวลอยู่
ที่จอดรถข้างทางเปลี่ยวๆ แห่งหนึ่ง พิมุกนั่งอยู่ในรถตัวเอง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ศิริพรเดินมาเห็นพิมุกนั่งรออยู่ ก็เบ้ปาก เดินตรงเข้าไปหา เปิดประตูเข้าไปนั่ง
“สวัสดี นักร้องดาวรุ่งคนใหม่”
“มีอะไรว่ามา”
พิมุกหันมามองศิริพรยิ้มๆ เอามือไปลูบผมศิริพรเล่น แต่ศิริพรสะบัดออก
“แหม พอจะดังหน่อยนี่ แตะไม่ได้เลยนะ”
“ถ้าไม่มีอะไร งั้นชั้นกลับ”
“เดี๋ยวสิ” พิมุกคว้าข้อมือศิริพรไว้ดึงกลับมา ศิริพรหันหน้ากลับมาเห็นพิมุกชูผ้าผืนหนึ่งไว้ในมือ ศิริพรหน้าเสียลงทันที “คุ้นๆ มั้ย”
“ทำไมชั้นต้องคุ้นกับผ้าสกปรกๆ ของค่ายมวยเธอด้วย”
พิมุกทำหน้ายียวนมองศิริพร
“เก่งจัง ชั้นยังไม่ได้บอกเลยว่าเป็นของค่ายมวยชั้น” ศิริพรหันมาจ้องพิมุก สายตาดุดัน “ไอ้เรื่องที่เธอชอบทำเลวๆ กับคนอื่นน่ะพอจะรู้อยู่บ้างนะ แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดมาเล่นชั้นด้วย” พิมุกเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุร้าย ขึ้นมาหันไปบีบหน้าศิริพร “เธอรู้มั้ย ชั้นโดนตำรวจเรียกไปถามกี่ครั้งแล้ว เพราะไอ้หลักฐานบ้าๆ ที่เธอจงใจให้คนอื่นคิดว่าเป็นชั้น”
ศิริพรพยายามปัดมือพิมุกออก
“ช่วยไม่ได้ คืนนั้นเธอก็จงใจจะไปพังบ้านนังเดือนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ชั้นก็แค่ช่วยเธออีกแรงก็เท่านั้น”
“หึ ยอมรับออกมาจนได้นะ”
ศิริพรเชิดหน้าไม่สนใจ
ที่เวทีคอนเสิร์ต แก้วเดินไปเดินมามองหาใครอยู่ เลยหันไปถามแดนเซอร์
“นี่เธอ เห็นยัยศิริพรมั้ย มาหรือยัง”
“อ้าว ก็เห็นว่าเค้าพักอยู่กับเธอไม่ใช่เหรอ”
“ก็ยัยนั่นมันออกมาก่อนเมื่อเช้า โอ๊ย พูดมาก ถามนิดถามหน่อย” แก้วเดินออกมายืนเท้าเอวมองหา “ไม่ทันไร ทำเป็นมาสายกะว่าจะเด่นกว่าชั้นงั้นสิ! อุ๊ย เสี่ย”
เสี่ยวาทินเดินยิ้มเข้ามา
“หนูแก้ว แล้วหนูพรล่ะ”
แก้วชักสีหน้า
“ไม่ทราบค่ะ”
“อ้าว ก็อยู่ที่เดียวกัน”
“เค้าออกไปไหนตั้งแต่เช้าไม่รู้ค่ะ ไม่รับผิดชอบเลย”
เสี่ยวาทินมีสีหน้าผิดหวัง
“อ้าว เหรอ ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวเสี่ยไปหาที่ห้อง” แก้วจ้องหน้าเสี่ยวาทิน สายตาดุดัน “เอ่อ หมายถึง หาหนูแก้วน่ะ”
พูดจบเสี่ยวาทินรีบเดินเลี่ยงไป ปล่อยให้แก้วทำท่าจะกรี๊ดอยู่
“จัดการโยนความผิดให้ลูกน้องเธอซะก็สิ้นเรื่อง”
ศิริพรบอกกับพิมุก
“อะไรนะ ให้ชั้นโยนความผิดให้พวกมันงั้นเหรอ ให้ตายเหอะ มันเรื่องอะไรที่ชั้นจะต้องทำแบบนั้น”
“แล้วไง หรือเธอจะยอมรับเองล่ะ”
พิมุกหันมามองหน้าศิริพรแล้วหัวเราะออกมา
“นี่เธอ ที่พูดออกมานี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ พูดเหมือนกับตัวเองไม่ได้เป็นคนทำอย่างนั้น”
“เหรอ ทำไมชั้นไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ”
“หึ ศิริพร เธอนั่นล่ะ ที่ต้องเตรียมตัวเข้าไปนอนในคุกก่อนจะได้ขึ้นคอนเสิร์ต”
ศิริพรจ้องหน้าพิมุก ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“เธอจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
“มั่นใจเหลือเกินนะ”
“แลกกับการช่วยกำจัดรวิให้พ้นทาง”
พิมุกชะงักมองหน้าศิริพรอย่างแปลกใจ
“เธอพูดว่าอะไรนะ นี่ชั้นหูฝาดไปหรือเปล่า กำจัดไอ้รวิที่เธอรักนักรักหนาเนี่ยนะ”
“นั่นมันเมื่อก่อน”
พิมุกมองศิริพร ส่ายหน้า อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ศิริพร เธอนี่มันน่ากลัวจริงๆ ให้ตายเหอะ”
ศิริพรเชิดหน้า ท่าทางเหมือนคิดแผนอะไรซ่อนไว้ในใจ
เดือนกับป้อมเดินเข้ามาที่กองถ่าย สีหน้าเดือนยังไม่ค่อยดี ทีมงานบางคนซุบซิบกันตอนเดือนเดินผ่าน
“น้องเดือนมาแล้วเหรอ พอดีเลย วันนี้คุณทวีศักดิ์” ผู้กำกับทำท่ากระซิบกับเดือน “คนที่ให้ทุนสร้างหนังเรื่องนี้น่ะ เดือนยังไม่เคยเจอนี่ วันนี้เค้ามาดูการถ่ายทำด้วย”
เดือนพยักหน้ายิ้มๆ
“อ๋อค่ะ”
“เดี๋ยวเดือนไปทักทายเค้าหน่อยนะ” ผู้กำกับพาเดือนไปหาทวีศักดิ์ที่ยืนคุยกับทีมงานอยู่ “คุณทวีศักดิ์ครับ นี่น้องเดือน นางเอกของเราครับ”
ทวีศักดิ์หันกลับมายิ้มๆ เดือนยกมือไหว้ก้มหน้า แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มให้ ทวีศักดิ์รับไหว้ พอเห็นเดือนเงยหน้าขึ้น ก็อึ้งตะลึงในความสวย
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ น้องเดือน ตัวจริงสวยมากเลยนะครับเนี่ย”
“ขอบคุณค่ะ เดือนยังใหม่กับงานนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาด ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่มีใครกล้าโกรธน้องเดือนหรอก” ทวีศักดิ์บอกพร้อมกับส่งสายตาเจ้าชู้ เดือนยิ้มรับ รู้สึกแปลกๆ หน่อยๆ
“งั้นเดี๋ยวเดือนไปเตรียมตัวก่อนนะคะ”
เดือนยิ้มให้และปลีกตัวออกมา ทวีศักดิ์ยังมองตามเดือนอย่างพอใจ
เย็นวันเดียวกันนั้นที่วงของเทพ ภายในห้องซ้อมมีเครื่องดนตรีตั้งไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ บรรยากาศดูเงียบเหงา
นภากาศเดินเข้ามา สีหน้าดูเหงาๆ มองดูรอบๆ ห้อง เธอเดินไปตรงเครื่องดนตรี เอามือแตะเครื่องดนตรีลากนิ้วไปเบาๆ
แล้วเดินกลับมาตรงไมโครโฟนที่ตั้งอยู่ เธอมองไมโครโฟนแล้วยิ้มเหงาๆ ออกมา เทพเดินออกมาพอดี เห็นท่าทางของนภากาศก็เข้าใจ
“คิดถึงวงเหรอ นภา”
นภากาศสะดุ้งรู้ตัว รีบพูดแก้เก้อ
“เปล่า พอดีผ่านมาก็เลยแวะมาดู”
“ดูอะไร”
“ก็ดูเผื่อว่าอดีตหัวหน้าวงคิดมาก ช็อคตายคาวงอะไรแบบเนี้ย”
“โห่ ใจร้ายอ่ะ” นภากาศแกล้งลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้ เทพมองหน้าเธอแล้วยิ้มออกมาอย่างรักใคร่ “นภา ถ้าวันข้างหน้าพี่มีโอกาสทำวงขึ้นมาใหม่ นภายังจะร้องให้พี่อยู่มั๊ย”
นภากาศทำหน้าไม่ถูก อ้ำๆ อึ้งๆ
“อะไรกัน นึกจะยุบก็ยุบ นึกจะทำก็ทำ มันสนุกนักเหรอไง”
“ก็ตอนนี้มันจำเป็นนี่ ใจจริงพี่ก็ไม่อยากยุบหรอก นภาเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” นภากาศอึ้งไป ไม่รู้จะตอบยังไง เทพเดินขึ้นมาหยิบกีตาร์ขึ้นมา “มาร้องกันซักเพลงมั้ย”
นภากาศหันมามองเทพทำหน้าแปลกใจ
“อารมณ์ไหนเนี่ย”
“ก็อารมณ์เนี้ย อยากร้อง อยากเล่น นภาเหอะ คิดอะไรป่ะเนี่ย”
“คิดเหมือนพี่มั้ง”
“บ้า ทะลึ่ง”
นภากาศหัวเราะเบาๆ แต่ยังวางฟอร์ม เดินตรงมาจัดแจงหยิบไมค์ เทพยิ้มกว้าง มือเทพเริ่มดีดเพลง นภากาศเริ่มร้องเพลงเช่นกัน
ศิริพรเปิดประตูห้องพักแก้วเดินเข้ามา แก้วยืนเท้าเอวมองอยู่
“ยังไม่ทันจะดังเลย โดดซ้อมซะละ” ศิริพรทำเป็นไม่สนใจ เอากระเป๋ากับข้าวของไปวาง “นี่เธอ เธอหายไปไหนของเธอมาทั้งวันน่ะ” ศิริพรไม่ตอบ แต่หยิบถุงใบหนึ่งยื่นให้แก้ว “อะไรของเธอเนี่ย”
“พิมุกเค้าฝากมาให้แน่ะ”
แก้วทำหน้าแปลกใจ ยิ้มกว้างออกมา
“พี่พิมุกเหรอ นี่ นี่พิมุกฝากมาให้จริงๆ เหรอ” ศิริพรพยักหน้ารับ แต่แอบเบะปาก “แล้วเธอไปเจอพี่พิมุกเค้าได้ยังไงล่ะ”
“ก็บังเอิญเจอน่ะ พอดีพิมุกเค้าเข้ามาธุระ เธออยากเจอเค้ามั้ยล่ะ เดี๋ยวชั้นช่วยนัดให้ก็ได้”
“ก็ อยากอยู่ เธอนัดเค้าให้ชั้นได้จริงๆ เหรอ”
“ได้สิ แต่พิมุกเค้าจะว่างช่วงเย็นๆ ค่ำๆ นะ เธอก็ไปหาเค้าแล้วก็ค้างกับเค้าซักคืนสิ”
แก้วยิ้มหน้าบาน ศิริพรแอบมองแล้วเบ้ปาก ท่าทางเหมือนมีแผนอะไร
“ไม่แน่ ขอบใจนะ”
แก้วถือถุงของฝากพิมุกแล้วดีด๊าไปนั่งดู ศิริพรแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว เธอเหลียวหลังไปมองแก้วด้วยหางตา
“ได้พอๆ กัน หึหึ”
เช้าวันใหม่ สถานที่ถ่ายหนัง ทีมงานคนหนึ่งเดินถือเสื้อผ้ามาจนถึงที่กลุ่มเดือนนั่งอยู่ เดือนโยนโบชัวร์ลงบนโต๊ะ
“โอ๊ย ทำไมมันหายากหาเย็นแบบนี้”
“ใจเย็นๆ เดือน พี่กับขำจะอยู่ช่วยจนกว่าเดือนจะหาที่อยู่ใหม่ได้ เนอะ ขำ” รวิบอก เดือนกับป้อม พยักหน้าให้ รวิหันกลับไปดูขำ ขำนั่งหันหลังหันไปโบกไม้โบกมือกับดาราสาวๆ ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง “เนอะ พี่ป้อม” รวิเปลี่ยนคนทันที
“เปลี่ยนเครือข่ายเลยนะรวิ ไอ้ขำ! สนใจบ้างมั๊ยเนี่ย”
“สนสิ แอร๊ย ขาวจุง”
รวิ เดือน ป้อม ส่ายหน้า ระอาใจ ทวีศักดิ์เดินเข้ามาทักทาย
“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ”
เดือนกับป้อมหันมายกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณทวีศักดิ์ พอดีกำลังดูบ้านเช่าอยู่น่ะค่ะ”
“หาบ้านเช่าเหรอ รีบมั้ย พอดีผมมีเพื่อนเค้าจะปล่อยบ้านให้เช่าอยู่ สนใจมั้ยล่ะ”
เดือนทำท่าดีใจ จะตอบรับ แต่รวิพูดแทรกขึ้นก่อน
“ไม่สนใจครับ”
ทวีศักดิ์กับเดือนอึ้งไปหันมามองรวิ
“เพื่อนเหรอเดือน หน้าตาดีนี่” รวิยืดขึ้นทันที ยิ้ม เก๊กหล่อ “ขาดบทคนสวนอยู่พอดี สนใจจะเล่นมั้ยล่ะ”
รวิหุบยิ้ม หันมาจ้องทวีศักดิ์ “เดือน ถ้าสนใจยังไงบอกผมนะ เดี๋ยวจัดการให้”
พูดจบทวีศักดิ์ก็เหลือบมามองรวิ ยิ้มเยาะ แล้วเดินไป รวิรู้สึกท้อและเหนื่อยใจ
อีกด้านหนึ่งที่ร้านค้าในเมือง นภากาศอยู่ที่ร้านขายต้นไม้ เธอหยิบต้นตะบองเพชรต้นเล็กๆ ที่วางเรียงรายอยู่ในกระถางใบจิ๋วขึ้นมาดู แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เท่าไหร่จ๊ะ”
“30 บาทครับ”
“งั้นเอาต้นนี้จ้ะ” นภากาศหยิบเงินส่งให้คนขายแล้วรับมาอย่างดีใจ “ก็เอาไว้แก้เหงาแค่นั้นล่ะ”
พูดจบนภากาศก็เดินไปอย่างอารมณ์ดี
นภากาศเดินร้องเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดีมาเรื่อยๆ เสียงเทพร้องเพลงเดียวกับนภากาศ ตามมาข้างหลัง เธอหยุดกึก ถอนหายใจหันกลับไปมอง
“จะหนีกันไม่พ้นเลยใช่มั๊ยเนี่ย”
เทพยืนยิ้มแฉ่งอยู่ ในมือถือหนังสือพิมพ์มาด้วย
“หนีอะไรจ๊ะ หนีหัวใจหรือเปล่า”
“หนีคนบ้าน่ะ มีอะไรยะ เดินตามมาเนี่ย”
“แหะๆ ว่าจะเอาข่าวเดือนมาให้ดู นภาอ่านหรือยังล่ะ”
นภากาศทำหน้าสงสัย
“ข่าวอะไรอีกล่ะ” เทพถอนหายใจ ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ เธอรับมาเปิดดูแล้วก็ส่ายหน้า ปิดหนังสือ “ไร้สาระผู้จัดการแบบนั้นอย่ามีซะดีกว่า”
“ไม่รู้เดือนเป็นไงมั่ง”
“เรื่องแค่นี้ ถ้าผ่านไม่ได้ อย่างอื่นก็อย่าฝัน”
เทพยักไหล่ มองมาที่นภากาศ แล้วเทพก็เห็นถุงใส่ต้นตะบองเพชรที่นภากาศถืออยู่
“นภา ซื้ออะไรมาน่ะ”
นภากาศรู้ตัว รีบซ่อน
“ไม่มีอะไรนี่”
“นั่นมัน”
“บอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ แล้วไม่ต้องตามมาแล้วนะ จะกลับบ้าน”
นภากาศรีบพูดรีบเดินหนีไป เพราะเริ่มรู้สึกเขินๆ เทพมองตามแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง
ป้อมกับขำยืนกระซิบกันชี้ไปข้างหน้า เห็นเดือนกับรวิเดินอยู่ข้างหน้า รวิทำเป็นเอาหูฟังใส่หูไม่สนใจเดือนที่เดินตาม เดือนดึงรวิให้หยุด จัดแจงดึงหูฟังออก แล้วตะโกนใส่
“จะฟังมั้ยพี่รวิ”
รวิ ป้อม ขำ เอามืออุดหู คนแถวนั้นเริ่มหันมามอง
“อะไรเนี่ยเดือน แก้วหูแทบแตก”
“ก็ให้มันแตกไปเลยสิ ก็พี่ไม่ยอมฟังชั้นนี่”
“หึ ก็พี่ไม่อยากฟังนี่ เดือนพูดอยู่แต่ว่าจะให้ไอ้คุณทีวีสีอะไรนั่นช่วย”
“เค้าชื่อ ทวีศักดิ์”
“นั่นล่ะๆ ทำไมล่ะเดือน ทำไมเราต้องให้มันช่วย”
“แล้วทำไมเราจะให้เค้าช่วยไม่ได้ล่ะ”
รวิจ้องหน้าเดือน เดือนก็จ้องตอบไม่ยอมแพ้
“ก็เพราะพี่รู้ว่ามันคิดอะไรเกินเลยกับเดือนน่ะสิ โธ่ เดือน ผู้ชายด้วยกันเค้าดูออก”
“งั้นพี่รวิก็คิดด้วยสิ”
“ก็คิด เอ๊ย ไม่ใช่ โธ่เดือน อย่าเบี่ยงประเด็นได้มั้ย”
“เดือนไม่ได้เบี่ยง พี่รวินั่นล่ะ ไม่มีเหตุผล อีกอย่างถึงเค้าคิดจริงๆ ถ้าเดือนไม่เล่นด้วยแล้วมันจะมีอะไรล่ะ”
รวิถอนหายใจ พยายามจะอธิบาย
“เดือน ลองคิดดูนะ อยู่ๆ ใครเค้าจะมาช่วยอะไรมากมาย ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ดูอย่างไอ้ชูเกียรติสิ”
“พี่จะว่าชั้นไม่รู้จักจำใช่มั้ย”
“เปล่า พี่แค่เป็นห่วง กลัวเดือนจะไม่ทันคน”
“นี่พี่ว่าชั้นโง่เหรอ ใช่สิ ชั้นมันโง่ เรียนมาน้อย”
รวิเอามือกุมหัวตัวเอง อ่อนอกอ่อนใจ
“ไปกันใหญ่แล้วเดือน ใจเย็นๆ ตั้งสติหน่อย”
“นี่พี่หาว่าชั้นบ้า ไร้สติเหรอ พี่รวิ! คนใจร้าย”
เดือนเดินเข้าไปชกไหล่รวิเต็มแรง ก่อนจะงอนเดินหนีไป
“โธ่เดือน อะไรกันวะเนี่ย เดือน รอพี่ก่อน”
รวิวิ่งตามเดือนไป กุมไหล่ที่โดนชกไปด้วย ป้อมกับขำหันมามองหน้ากันแล้ววิ่งตามไป
ช่วงค่ำที่อพาร์ทเม้นท์แก้ว แก้วนั่งส่องเช็กความเรียบร้อยของตัวเองอยู่หน้ากระจก
“ตกลงเธอนัดพี่พิมุกให้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
ภาพสะท้อนในกระจกเห็นศิริพรในชุดเสื้อคลุมเดินเข้ามายืนกอดอก
“ใช่ เธอไปหาเค้าได้เลย อ่อ จะกลับพรุ่งนี้เช้าเลยก็ได้นะ ชั้นเฝ้าห้องให้”
แก้วลุกขึ้นยืนหันมามองหน้าศิริพรตรงๆ
“ก็ดีนะ ชั้นก็คิดว่าคงกลับเช้านั่นล่ะ ไม่ได้เจอพี่พิมุกมานาน คงมีอะไรคุยกันเยอะหน่อย”
“คงนอนคุย กันยาวสินะ”
แก้วเชิดหน้ากรีดกรายเดินไปหยิบกระเป๋า
“ชั้นไปละ ฝากห้องด้วยละกัน”
แก้วเดินเชิดหน้าออกประตูไป ศิริพรแกล้งยกมือโบกให้ เธอเดินมาที่หน้าประตู จัดแจงหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก
“เสี่ยคะ แก้วออกไปแล้วค่ะ ขึ้นมาได้เลย ค่ะ แค่นี้นะคะ”
ศิริพรกดวางโทรศัพท์ เชิดหน้า ยิ้มอย่างพอใจ
ที่คอนโดเดือน เดือนกับป้อมช่วยกันเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกล่องอยู่ รวิลงมานั่ง ตั้งใจจะง้อเดือน
“พี่ช่วยนะ”
เดือนไม่สนใจ
“พี่ป้อม อันนี้ไว้กล่องนี้นะ”
“ไหนๆ พี่เก็บให้เดือน” รวิเอื้อมมือไปดึงเสื้อผ้าในมือเดือนกะว่าจะช่วย แต่สิ่งที่รวิถืออยู่เป็นบราเสริมอึ๋มของเดือน “อุ้ย เสื้อเกราะหรือนี่”
เดือนหันมาเห็น กรี๊ดแตกทันที
“ว๊าย พี่รวิ คนบ้า คนลามก ไปเลยนะไป”
เดือนจัดแจงโยนเสื้อผ้าใส่รวิอุตลุดไปหมด จนไปโดนขำที่นั่งอยู่ด้วย
“เฮ้ย อะไรกัน โอ้แม่เจ้า สีแดงแรงฤทธิ์”
ขำชูบราสีแดงที่เดือนเขวี้ยงมาโดยไม่ตั้งใจ
“ว๊าย นั่นของเค้า เอาคืนมานะ บ้าๆ”
ขำมองบราสลับกับมองหน้าป้อม รีบโยนคืนทันที
“เดือน หายโกรธพี่ซะทีสิ” รวิบอก
“ไม่ จนกว่าพี่จะยอม”
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ เดือนไม่รู้จะไปหาบ้านที่ไหนแล้วนะ”
“รวิ พี่ว่าเราเช่าบ้านเพื่อนคุณทวีศักดิ์ก็ดีแล้วนะ เราไม่ได้อยู่ของเค้าฟรีๆ ซะเมื่อไหร่ อีกอย่าง จะปล่อยให้ไอ้ชูเกียรติมันมาไล่เราอย่างกับหมูหมาเหรอไง” ป้อมบอก รวิถอนหายใจ ทำท่าลังเล
“เอาน่ารวิ พี่ป้อมก็อยู่ด้วยเหมือนเดิม ไม่มีอะไรหรอก คงไม่มีใครเลวเท่าไอ้ชูเกียรตินั่นแล้วล่ะ”
รวิมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที เดือนสะบัดหน้างอนๆ ใส่
“โอเค ยอมก็ยอม แต่เดือนต้องระวังตัวเยอะๆ แล้วให้พี่มาหาเดือนบ่อยๆ นะ”
เดือนยิ้มกว้างออกมา เขยิบเข้ามาจ้องหน้ารวิ เอื้อมมือไปหยิกแก้มรวิ 2 ข้าง
“รู้แล้วค่ะ คุณพ่อ”
ขำแกล้งเลียนแบบเดือน เอื้อมมือไปหยิกป้อมมั่ง
“รู้แล้วฮ่ะคุณพ่อ”
ป้อมเสียงใหญ่ เก๊กแมน
“ดีมากจ้ะลูก ไปโว้ย เตะบอลกัน”
ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
คืนนั้นที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง พิมุกที่เปลือยท่อนบน เดินไปหยิบเสื้อมาใส่ ส่วนแก้วที่เปลือยมีผ้าห่มปิดอยู่ เขยิบตัวลุกขึ้นมองพิมุก
“อ้าว พี่จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ”
“กลับบ้านสิ จะอยู่ทำไม”
“อะไรกัน นานๆ เราจะได้เจอกันซักที ค้างด้วยกันเถอะนะจ๊ะ”
พิมุกหันมามองแก้วด้วยสายตาดูถูก
“ไม่อิ่มเหรอ เรียกไอ้เสี่ยนั่นมาสิ”
แก้วตาโตตกใจกับคำพูดพิมุก
“พี่พิมุก ทำไมพี่พูดแบบนี้”
“โอเคๆ พูดใหม่ แก้ว ไม่พอใช่มั้ย พี่โทรตามเสี่ยให้นะ พอใจยัง”
“พี่พิมุก”
พิมุกส่ายหน้า จัดแจงเก็บข้าวของ เปิดกระเป๋าเงินหยิบเงินโยนให้แก้ว
“ไม่สิ ตอนนี้เป็นนักร้องดังแล้วนี่ อ่ะๆ เพิ่มค่าตัวให้” พิมุกหยิบเงินโยนเพิ่มให้ “ชั้นกลับแล้วนะ บอกศิริพรเค้าด้วย คืนนี้ชั้นไม่ว่างอยู่ยาวๆ กับเธอ แปลกนะ เค้านึกยังไงถึงจะให้ชั้นค้างกับเธอให้ได้”
แก้วเอะใจในคำพูดพิมุก สีหน้าสงสัยขึ้นมาทันที
แก้วลงจากแท็กซี่หน้าอพาร์ทเม้นท์ รีบเดินจะเข้าไปด้านใน เสียงพิมุกดังในความคิดของแก้ว
“บอกศิริพรเค้าด้วย คืนนี้ชั้นไม่ว่างอยู่ยาวๆ กับเธอ แปลกนะ เค้านึกยังไงถึงจะให้ชั้นค้างกับเธอให้ได้”
แก้วเดินจ้ำเอาๆ ผ่านที่จอดรถ สายตาก็ไปสะดุดกับใครบางคน คนที่แก้วเห็นก็คือเสี่ยวาทินที่กำลังเดินไปที่รถ ท่าทางอารมณ์ดี เปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไป แก้วอ้าปากค้าง เข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที
“นังศิริพร”
อ่านต่อตอนที่ 17