อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 16
วันต่อมา สาอยู่ในชุดไว้ทุกข์ เดินเข้ามาหยุดยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ที่หน้าประตูวังรวีวาร แลเห็นด้านหน้าวังดูเงียบเหงา มีใบไม้ร่วงกองๆ อยู่เป็นหย่อมๆ สาชะเง้อชะแง้ เหมือนอยากเจอคน แต่ก็กลัวจะเจอ สับสนไปมา
สักครู่หนึ่งมีเด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวปอนๆ ชื่อ จุก ถือไม้กวาดเดินมากวาดใบไม้หน้ารั้ว สาตกใจ ฉากหลบ แล้วแอบดู เห็นเป็นคนที่ไม่รู้จักค่อยโล่งใจ
“หนู” เด็กชายจุกหยุดกวาดเหลียวมามอง สาเดินออกมา “หนูอยู่ที่วังนี้เหรอจ๊ะ”
“เปล่าจ้ะ บ้านฉันอยู่ข้างหลังวังโน่น” เด็กเห็นสามองไม้กวาด งงๆ เลยบอกต่อ “อ๋อ...หม่อมท่านจ้างให้ฉันมาช่วยกวาดใบไม้น่ะ”
“อ้าว แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันหมดล่ะ”
“ไม่มีใครอยู่แล้วจ้ะ พี่ เขาย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้วหม่อมท่านพาไปหมดทั้งวังเลยจ้ะ”
สาฉงนฉงาย “ไปแล้ว? ไปไหน”
“ไม่รู้จ้ะ รู้แต่ว่าพี่หวนแกจ้างให้ฉันมาคอยกวาดใบไม้” ครั้นเห็นสาอึ้งๆ จุกพยายามจะช่วย “พี่อยากรู้ก็ถามเขาไหมล่ะ เดี๋ยวฉันเรียกให้” พลางร้องตะโกนเรียกไปอีกทางหนึ่ง “พี่หวน พี่หวนจ๋า”
สาตกใจ “หา ไหนว่าไม่มีใครอยู่แล้วไง”
“วันอื่นไม่อยู่จ้ะ แต่วันนี้อยู่ เขามาขนของกัน” เด็กชายตะโกน “พี่หวน”
หวนออกมา
“อะไร ไอ้จุก มึงเรียกกูทำไม” หวนเห็นสา ก็ชะงัก “อีสา”
สาหวั่นๆ “จ้ะ พี่หวน ฉันเอง”
หวนหน้าบึ้งตึง ยังโกรธสา
หวนเดินนำมาที่เรือนบ่าว หน้าตายังเย็นชา สาเดินตาม คุยเสียงประจบประแจง
“ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันแล้วนี่เอง มิน่า ฉันมาด้อมๆ มองๆ อยู่ตั้งแต่เมื่อวาน ไม่เห็นใคร”
หวนถามเสียงห้วนๆ “เอ็งมีอะไร มาด้อมๆ มองๆ ทำไม”
“ฉันมีธุระ” สาหน้าเจื่อนๆ “มีเรื่องจะมาบอก...”
หวนประชด “คงเรื่องสำคัญสินะ เอ็งถึงกล้ากลับมาเหยียบที่นี่ เอ้า มีเรื่องอะไรก็ว่ามาซี หรือว่าจะให้ข้าพาไปเรียนหม่อมท่าน”
สาตกใจ “ไม่ อย่า อย่านะพี่หวน”
“ก็ว่ามาซี มีอะไร”
สาอึกอัก หวนมองๆ แล้วเพิ่งสังเกตเห็นสาใส่ผ้านุ่งดำเสื้อขาวคล้ายไว้ทุกข์
“อีสา นี่เอ็ง…”
สาตัดสินใจบอกออกไป “พี่หวน...คุณหญิงโสภา เธอ...เธอเสียแล้ว”
หวนตกใจ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียใจ
ต่อมาสองคนขยับมาคุยกันอยู่อีกมุมบริเวณเรือนบ่าว สาเล่าเรื่องจบแล้ว หวนนั่งตาแดงๆ ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก สานั่งหน้าเศร้าอยู่ข้าง
“เวรกรรมแท้ๆ นี่ถ้าหม่อมท่านรู้คงแทบขาดใจ วันก่อนเพิ่งจะพูดถึงคุณหญิงอยู่แท้ๆ” สามองหน้าเป็นเชิงถาม “คุณชายรวีเธอบอกว่าเธอเห็นคุณหญิงโสภามายืนที่หน้าวัง”
“เมื่อไหร่ สองวันก่อนใช่ไหม”
หวนพยักหน้า “ใช่ แต่หม่อมท่านไม่เห็น เลยคลาดกันไป หม่อมท่านยังบอกเลยว่า ถ้าคุณหญิงกลับมา ท่านก็จะให้อภัย”
สายิ่งเสียใจ ครวญออกมา “โถ คุณหญิง โชคร้ายอะไรอย่างนี้ วันนั้นถ้าคุณหญิงได้เจอหม่อมเสียก่อน ก็คงไม่คิดสั้น”
หวนสะดุ้ง สะดุดหู “อะไรนะ”
สาตกใจเหมือนกันที่หลุดปากรีบปฏิเสธ “เปล่า”
หวนซักไซ้ไล่เรียง “เอ็งบอกว่าคุณหญิงคิดสั้น หมายความว่ายังไง...คิดสั้น ไหนว่าเธอตกน้ำตายไง” สาอึกอัก ส่อพิรุธ “ตกน้ำตายแล้วทำไมคิดสั้น มันยังไงกัน อีสา มันยังไงแน่” หวนจับตัวสาเขย่า ถามคาดคั้น “พูดมานะ อีสา พูดมา”
สาอัดอั้น ด้วยความรู้สึกผิดลึกๆ เต็มทรวง เลยพรั่งพรูออกมา
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่เห็น” สาร้องไห้โฮ “แต่ตำรวจเขาว่า คุณหญิงโสภาเธอฆ่าตัวตายเอง”
หวนผงะ ตกใจสาร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาร่วง
“เธอเดินออกไปจากบ้านคนเดียวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไปที่ท่าน้ำ แล้วเธอก็หายไป อีกไม่กี่วัน คนเขาก็เจอเธอไปติดสะพานหน้าวัดไม่มีใครทำอะไรทั้งนั้น เธอฆ่าตัวตายเอง”
สาร้องไห้โฮๆ สติหลุด เพราะรู้สึกผิด หวนมองอาการของสา ด้วยความประหลาดใจ
“แล้วใครไปทำอะไรเธอ เธอถึงเจ็บช้ำน้ำใจจนต้องฆ่าตัวตาย”
สามองหวน หวนมองคาดคั้น เห็นสาส่ายหน้าวุ่นวาย หวนยิ่งสงสัย
“นังสา” หวนชี้หน้า “เอ็ง...เอ็งทำอะไรคุณหญิง”
“เปล่า...ฉันเปล่า”
หวนทำหน้าไม่เชื่อ สาลุก จะวิ่งหนีไป หวนคว้ามือไว้
“นังสา!”
“ฉันเปล่านะพี่หวน ฉันเปล่า”
สาปฏิเสธเป็นการใหญ่
เวลาเดียวกันเจิมกับชิดเดินมาด้วยกัน มองไปทางเรือนบ่าว โดยชิดจอดรถเอาไว้หน้าตึกใหญ่
“เดี๋ยวข้าจะแวะไปเอาของที่โรงครัว เอ็งขึ้นไปบนเรือน เอาหีบที่ใส่ตำราของคุณชายไปใส่รถไว้ เดี๋ยวข้าตามไป”
“ไม่ให้ฉันไปช่วยขนหรอกรึ น้าเจิม”
“นังหวนมันอยู่แถวนั้น เดี๋ยวให้มันช่วยยกก็ได้เอ็งไปเถอะ”
ชิดแยกตัวไปแล้ว เจิมเดินไปตามทางสุมทุมพุ่มไม้ ได้ยินเสียงหวนโหวกเหวกลั่นมา
“อีสา หยุดนะ อีสา”
เจิมตกใจ
“อีสา!”
ขาดคำ สาก็วิ่งมา เจอเจิมเข้าอย่างจัง
สาชะงักกึก “ป้าเจิม”
เจิมยังไม่ทันว่าอะไร หวนก็วิ่งตามมา
“อีสา หยุดนะ เอ็งจะหนีไปไหน” หวนจับสาได้ “เอ็งบอกมา ว่าเอ็งใช่ไหมที่ทำให้คุณหญิงเธอฆ่าตัวตาย”
หวนหันมาเห็นเจิม ก็อ้าปากค้าง ขณะเจิมอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง
“นังหวน เอ็งว่าอะไรนะ”
“คุณหญิงโสภาจ้ะ ป้า คุณหญิงเธอตายแล้วเธอฆ่าตัวตาย”
เจิมแทบช็อก “หา”
หวนจะร้องไห้อีกขณะเล่า “ฉันจะถามนังสาอยู่เนี่ย ว่าใครเป็นคนทำ” แล้วจึงหันมาทางสา “เอ็งใช่ไหม อีสาเอ็งใช่ไหม”
หวนถามไปร้องไห้ไป สาก็ร้องไห้ ทั้งสองคนสะอึกสะอื้นตัวงออยู่ตรงนั้น
เจิมนิ่ง อัดอั้น ค่อยๆ เดินเข้าไปหาสา จิกหัวสาขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“อีสา มึงทำอะไรลงไป”
สายกมือไหว้ “ป้าเจิมจ๋า ป้า...”
เจิมจิกหัวสาลาก เหวี่ยงออกมา หวนร้องไห้ฟุบอยู่ที่เดิมเจิมตามสาไป
“พูดมา...มึงทำระยำตำบอนอะไรลงไป เธอถึงทนไม่ได้ ต้องฆ่าตัวตาย”
สามองหน้าเจิม สายตาเจิมแน่วนิ่งเหมือนมองทะลุไปถึงหัวใจ สาหมดแรงจะต่อต้าน
“ฉัน...ฉัน...” เจิมจิกหัวอีกทีจนหน้าแหงนหงายขึ้น “คุณหญิงเธอเห็นฉันกับคุณสมศักดิ์...”
สาพูดต่อไม่ออก ได้แต่มองหน้าเจิม เจิมพอเดาเรื่องได้ ตัวสั่นระริก แค่นเสียงถาม
“มึงทำอะไร”
สาสารภาพเสียงเบาหวิว “ฉันเป็นชู้กับคุณสมศักดิ์ เธอเห็นเข้า เธอเลย...”
“อีจัญไร”
เจิมตบหน้าเต็มแรงจนสาคว่ำไปกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นมา เห็นสามีเลือดกบปาก ไหลปรี่
สาเสียใจ “ป้า”
เจิมชี้หน้าด่า “อีสา อี...” เจิมออกอาการมือสั่น ตัวสั่นสะท้าน โกรธกริ้วจนพูดไม่ออก “อี...มึง...อี”
เจิมหายใจหอบ และถี่ขึ้นๆ สุดท้ายช็อกตาตั้ง หวนเห็นก็ตกใจ
“ป้าเจิม”
เจิมยกมือกุมหัวใจ แล้วล้มลงกับพื้น ชักกระตุกนิดๆ
“ป้าเจิม”
พอดีชิดวิ่งเข้ามาอีกทาง เห็นเข้า
“ป้าเจิม เป็นอะไร” ชิดเห็นสา “อ้าว อีสา”
หวนตั้งสติได้ห่อนใคร “พี่ชิด มาเอาป้าเจิมไปโรงหมอก่อน เร็ว”
ชิดกับหวนช่วยกันอุ้มเจิมพาออกไป เจิมชักตาตั้งอยู่อย่างนั้น
สาตะลึงยืนมองตามด้วยความเสียใจ
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 16 (ต่อ)
หม่อมพริ้มเดินเข้ามาในโรงพยาบาล หน้าตาเคร่งเครียด ชิดเดินตามห่างๆ หวนที่นั่งตาแดงๆ อยู่ เห็นหม่อมพริ้มมา รีบลุกขึ้น
“หม่อมคะ”
“นังเจิมเป็นยังไง”
“ฟื้นแล้วค่ะ หม่อม แต่เหมือนแกยังพูดไม่ค่อยถนัด ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้”
หม่อมพริ้มหน้าตากังวล เดินเข้าห้องพักคนไข้ไป
ในห้องผู้ป่วยรวม มีคนไข้เพียง 3-4 คน เจิมนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้ามีน้ำตาไหลคลอเต็มตา หม่อมพริ้มเดินเข้ามายืนที่ข้างเตียง หวนตามมายืนเยื้องไปด้านหลัง
หม่อมพริ้มทักถามด้วยเสียงเปี่ยมเมตตา “เป็นยังไงบ้าง นังเจิม”
เจิมยกมือขึ้นไหว้หม่อมพริ้ม มือสั่นๆ ไม่มีแรง พนมมือยังไม่ค่อยถนัด หม่อมพริ้มจับมือห้ามไว้
“เอ็งนอนนิ่งๆ เถอะ”
เจิมจับมือหม่อมพริ้มบีบแน่น ส่งเสียงแหบแห้ง แทบไม่ได้ยิน “หม่อม...”
“เอ็งมีอะไรจะบอกข้ารึเจิม...อีสามันมาบอกอะไรเอ็ง มันพูดอะไร ทำไมเอ็งถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อไป”
เจิมยังพูดอะไรไม่ค่อยได้ เอาแต่น้ำตาไหล มองไปทางหวน หม่อมพริ้มหันไปมองตาม
สองนายบ่าวอยู่ด้วยกันตรงมุมสงบ หวนเล่าให้ฟังหมดแล้ว หม่อมพริ้มแทบทรุด
“อะไรนะ” ร่างหม่อมร่วงลงกับเก้าอี้ “หญิงโสภา...”
หม่อมพริ้มน้ำตาไหล โดยไม่ฟูมฟาย
“เมื่อไหร่”
“สองวันก่อนค่ะ หม่อม”
“เป็นอะไร ทำไมถึงได้...”
“จมน้ำค่ะ หม่อม อีสามันบอกว่าคุณหญิงเธอคิดสั้น...” หม่อมพริ้มตกใจ หวนสะอื้น “เป็นเพราะอีสาค่ะหม่อม อีสากับไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นชู้กัน คุณหญิงเธอถึงต้องตาย”
คราวนี้หม่อมพริ้มปล่อยโฮ ร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างสุดกลั้น หวนพลอยร้องตามไปด้วย
บรรยากาศในวัดยามเย็น ดูร่มรื่น ส่วนที่ศาลาสวดศพ มีคนชาวสวนอยู่ไม่กี่คน เพราะยังไม่ถึงเวลาพระสวด
โดยที่หน้าศพ เห็นสานั่งร้อยมาลัยสองชายง่ายๆ ไม่ประดิดประดอยมากนัก สำหรับแขวนหน้ารูปหญิงโสภา สาหน้าเศร้าตลอดเวลา คิดถึงเรื่องราวครั้งอดีตในวังรวีวาร
โดยในตอนที่สาเป็นเด็กอยู่หม่อมพริ้มสอนร้อยมาลัยเป็นครั้งแรก มีพุด และบ่าวคนอื่นอยู่ด้วย
“เบาไม้เบามือหน่อยสิ อีสา เอ็งเสียบพรวดๆ อย่างนั้น ดอกไม้ก็ช้ำหมดสวยกันพอดี”
สาไม่กลัว เถียงฉอดๆ “ดอกไม้มันก็สวยของมันอยู่แล้ว ไม่รู้จะเอามาร้อยทำไมกัน”
“ดอกไม้อยู่บนต้น มันก็สวยบ้างไม่สวยบ้างตามประสา แต่ถ้าเอามาร้อยเป็นมาลัย มันก็จะสวยงามเป็นระเบียบเสมอกัน”
“จะสวยยังไง สุดท้ายก็เหี่ยวแห้งแหงแก๋...”
“คนหรือดอกไม้ก็เหมือนกัน ยังไงก็ต้องเหี่ยวแห้งโรยรา แต่ก่อนจะแห้งเหี่ยวไป ก็ควรจะอยู่ให้งดงาม อยู่ให้มีคุณค่า เป็นที่เจริญตาเจริญใจของคนที่ได้พบเห็น” หม่อมยกมาลัยในมือของตนให้ดู “อย่างนี้ ไม่ดีกว่าหรืออีสา”
อีสาหวนคิดถึงความหลังจนมืดค่ำ ใกล้เวลาพระสวดแล้ว สาเอามาลัยที่ร้อยเสร็จ เปลี่ยนให้ที่หน้ารูปหญิงโสภา พึมพำ
“คุณหญิงเหมือนมาลัย ที่หม่อมท่านบรรจงเรียงร้อยมาจนงดงามสาเอง ที่ดึงคุณหญิงลงต่ำ เอาดอกไม้งามอย่างคุณหญิง มาส่งให้คนที่เขาไม่เห็นคุณค่า…ยกโทษให้สาด้วยนะคะ คนดี”
สาลงนั่ง ทอดถอนใจด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ
สมศักดิ์ลงมานั่งข้างๆ สา พูดอ่อนหวาน
“คุณสา” สาสะดุ้งนิดหนึ่ง “ใจลอยไปไหนๆ แล้ว”
“คุณมีอะไร” สาเสียงขุ่น
“ผมเป็นห่วงคุณน่ะ วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อ ข้าวปลาก็ไม่กิน” สมศักดิ์มองสา “ผอมลงไปตั้งเป็นกองรู้ตัวไหม”
“ฉันกินไม่ลงหรอก...ใครจะไปกินลง”
“ยังไงก็ต้องฝืนใจกิน ถ้าคุณเป็นอะไรไปอีกคน แล้วผมจะอยู่ยังไง” เขาคว้าแขนสา “ไป ไปกินข้าว เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะยุ่งนะ”
สาสะบัดแขนออก สมศักดิ์มองตามไปอย่างห่วงใย
ครู่ต่อมา สมศักดิ์กับสาเดินไปยังมุมศาลา ที่จัดไว้เป็นที่กินข้าวคนมาร่วมงานศพ สมศักดิ์ดูแลเลื่อนสำรับให้สา
ส่วนอีกมุมของศาลา ชาวบ้านที่ทยอยมางานเริ่มมองสากับสมศักดิ์ บ้างชี้ชวนกันดู บ้างซุบซิบนินทา สุขกับแป้นเห็นอาการของชาวบ้าน ไม่ค่อยสบายใจนัก
สานิ่งกินข้าวอยู่ เหลียวไปเห็นคนมองมาทางตนกับสมศักดิ์ ก็วางช้อน กินไม่ลง สมศักดิ์ถามห่วงๆ
“อะไร กินอย่างกับแมวดม”
“ฉันอิ่มแล้ว”
สุขกับแป้นเดินเข้ามาลงนั่ง
“คุณสานี่มันคืนที่สองแล้ว หม่อมแม่ของคุณหญิงท่านไม่เห็นมา”
“คือ... คือบังเอิญว่ามันมีเรื่องอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ ฉันรีบหนีกลับมาก่อน เลยไม่ทันได้บอกคนทางโน้น ว่าเราตั้งศพคุณหญิงอยู่ที่ไหน”
“อ้าวแล้วจะยังไง จะต้องเก็บไว้รอเขาไหม”
สมศักดิ์บอกกับสา “คุณว่ายังไง จะกลับไปบอกหม่อมไหม”
สาสารภาพ “ฉันไม่กล้า...ถ้าหม่อมท่านมา ฉันก็คงต้องแทรกแผ่นดินหนี ไม่อาจสู้หน้าท่านจริงๆ”
สุขพยักหน้าเข้าใจ “เอาเถอะ ยังไงคนตายเขาก็ไปสบายแล้ว จะทำอะไรก็อย่าให้คนอยู่ต้องลำบาก”
“พูดตรงๆ นะคะพี่สุข หม่อมท่านไม่มาก็ดีแล้ว” สาหันไปมองชาวบ้าน “ถ้ามา แล้วมาได้ยินคนนินทาเรื่องของฉันกับคุณสมศักดิ์ท่านคงจะเสียใจมาก…เท่านี้ฉันก็เลวมากพอแล้ว ถ้าหม่อมท่านเป็นอะไรไปเหมือนป้าเจิม...ฉันคงตกนรกไม่ได้ผุดไม่เกิดเป็นแน่”
ที่วัดเก่าแก่ บรรยากาศสวยสงบ ร่มรื่น ฝั่งพระนคร เช้าวันนี้ พระสงฆ์ 9 รูป เจริญพุทธมนต์ให้พร หม่อมพริ้มและลูกๆ กับบริวาร ที่นั่งพนมมือฟังกันอยู่พร้อมหน้า
หม่อมนิ่งขรึม ชายรวี วัย 7 ขวบ นั่งพนมมือเรียบร้อยอยู่ข้างๆ พลอยขรึมไปด้วย ถัดไปคือลูกๆ ทั้งหมด หญิงโศภี อายุ 27 ปี ไล่เลี่ยกันกับหญิงศุภลักษณ์ วัย 26 ปี ส่วนหญิงจิ๋มเป็นสาวน้อย วัย16 ปี หญิงจ้อย ตอนนี้ 14 ปี นั่งเรียงกัน ทุกคนหน้าเศร้าอาลัยคุณหญิงโสภาพรรณวดีผู้ล่วงลับ
ถัดไปด้านหลังคือพวกบ่าวไพร่ หวนกับจวนนั่งประกบเจิม ช่วยดูแลเจิมที่ยังไม่แข็งแรงนัก นั่งพิงเสาอยู่ พนมมือยังแทบไม่ไหว ทุกคนแต่งไว้ทุกข์
หม่อมพริ้มใจลอย หวนคิดไปถึงเรื่องราวหลังรู้ข่าวหญิงโสภาเสียชีวิต ที่โรงพยาบาล
เวลานั้นหม่อมพริ้มเช็ดน้ำตา ตั้งสติได้ ถามหวนที่สะอึกสะอื้นอยู่
“ตอนนี้ลูกข้าอยู่ที่ไหน”
“ไม่ทราบค่ะหม่อม พอดีเกิดเรื่อง ป้าเจิมแกล้มไปซะก่อน ก็เลยมัวแต่ตกอก ตกใจกัน มานึกได้อีกที อีสามันก็หายหัวไปแล้ว ไม่ทันได้ถามเลย ว่ามันเอาคุณหญิงเธอไปไว้ที่ไหน”
หม่อมครวญ “เวรกรรม...อีสามันพรากลูกข้าไป กระทั่งวันสุดท้าย ศพของลูก ข้าก็ยังไม่ได้เห็น... เวรกรรมอะไรอย่างนี้”
พระสงฆ์ยังคงเจริญพุทธมนต์ต่อ หม่อมพริ้มกับลูกๆ กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้หญิงโสภา หม่อมนั้นน้ำตายังรื้นๆ อธิษฐานบอกลูกสาวในใจ
“หญิงโสภาลูกแม่ แม่ผิดเอง ที่ผลักไสลูกออกไป ดวงวิญญาณของหญิงอยู่ที่ไหนโปรดรับรู้ ให้อภัยแม่ด้วย...บุญกุศลใดๆ ที่แม่เคยทำมา แม่ขออุทิศให้กับหญิงขอให้ลูกแม่จงไปสู่สุคติ อย่าให้ต้องทุกข์ทรมานอีกเลย...”
ฟากหวนกับจวนช่วยกันประคองจับมือเจิมให้กรวดน้ำ สีหน้าเจิมนิ่งเศร้า แววตาเจ็บปวดล้ำลึก เสียงแช่งชักของเจิมดังซ้อนเข้ามาในห้วงคิด
“คุณหญิงเป็นคนดี ก็ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ ส่วนคนอัปรีย์อย่างอีสาขออย่าให้มันได้ดีมีสุข ให้มันต้องทนทุกข์ทรมานไปทั้งชาติ ให้สาสมกับความเลวของมันด้วยเถิด เจ้าประคุณ”
สีหน้าหญิงสูงวัยนิ่งขึง นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ส่วนที่บ้านสวนของแป้น เป็นเวลาตอนกลางคืน สา สมศักดิ์ และคนอื่นๆ เดินขึ้นบ้าน เพิ่งกลับมาจากงานศพที่วัด จรินทร์อุ้มโสภิตพิไลตามมา
สมศักดิ์ถามสา “คืนนี้สวดเป็นคืนสุดท้ายแล้ว คุณจะเอายังไงต่อ จะเก็บไว้ก่อนหรือเผาเลย”
“ฉัน...ไม่รู้เหมือนกัน พี่สุขพี่แป้นว่ายังไงคะ”
“ถึงจะจมน้ำตาย แต่เขาก็ถือว่าตายโหง...เผาให้เรียบร้อยไปก็ดี” สุขบอก
สาตอบเสียงเนือยๆ ท่าทีเหนื่อยล้า “ค่ะ ถ้าทุกคนว่าดี ก็เอาตามนั้น”
สมศักดิ์มองสา เห็นท่าทางเหนื่อยๆ ก็เป็นห่วง
“ก็ดีเหมือนกัน คุณเทียวไปเทียวมา จากบ้านโน้นเข้ามานี่ทุกวัน เหนื่อยแย่”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ทำไมไม่นอนเสียที่นี่ล่ะคุณสา จะได้นอนเป็นเพื่อนโสภิต” แป้นบอก
สามองโสภิตพิไลที่เกาะอยู่กับจรินทร์แจ แววตาอ่อนลง
“โสภิต ..คืนนี้นอนกับป้าไหมลูก”
โสภิตพิไลโผเข้าหาสมศักดิ์ไม่พูดอะไร สาสะท้อนในอกน้อยใจวูบหนึ่งที่ลูกสาวคล้ายรังเกียจ สมศักดิ์สงสารสา อุ้มโสภิตพิไลขึ้นมาพูดกลบเกลื่อน
“คุณป้าถามทำไมไม่ตอบคะ ง่วงแล้วใช่ไหม ตาปรอยเชียว” สมศักดิ์หันมามองสา “พาโสภิตไปนอนกันเถอะคุณ”
สมศักดิ์อุ้มโสภิตพิไล แล้วเดินนำสาออกไป แป้นกับสุขมองตาม
แป้นกางมุ้งสายบัว สุขช่วยจับ สองผัวเมียทำไปคุยกันไปด้วย
“แกว่าเรื่องยัยหนูโสภิตนี่ ต่อไปมันจะเป็นยังไงฮะ ตาสุข”
“ยังไงคือยังไง แม่แป้น”
“เอ้า ฉันหมายฟามว่า คุณหญิงเสียไปแล้ว ใครจะรับเลี้ยงยัยหนู จะเอาคืนไปให้คุณสาเลี้ยง เด็กก็คิดว่าคุณสาเป็นแค่ป้า ไอ้ครั้นจะให้คุณสมศักดิ์เลี้ยงต่อไป มันก็ยังไง เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่ลูกของเขา”
สุขหัวเราะหึๆ มีเลศนัย
“จะไปยุ่งยากอะไร้ ไหนๆ คุณสมศักดิ์ก็รับเป็นพ่อแล้ว ก็เป็นต่อไป ส่วนคุณสาก็เปลี่ยนจากป้าเป็นแม่ มันจะไปยากตรงไหน”
แป้นขวางคำพูดผัว “ตาสุข ตาบ้า แกพูดออกมาได้ยังไง...แกจะให้คุณสากับคุณสมศักดิ์เขา...
โอ้ย ไม่ด้ายยยย เป็นไปไม่ได้”
“พนันกันไหมล่ะ แม่แป้นว่าไม่ได้ แต่ฉันว่าได้แน่...ฉันเป็นผู้ชายด้วยกัน ฉันมองออกน่ะว่าคุณสมศักดิ์แกคิดอะไร”
“คุณสมศักดิ์แกจะคิดอะไรก็คิดไป แต่คุณสา...แกมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงคุณหญิงจะมาแต่งงานกับอดีตลูกเขยตัวเอง...แกจะทำได้ขนาดนั้นเชียวหรือฉันไม่เชื่อ”
“พนันกันไหมล่ะ เรื่องนี้ฉันแทงหมดหน้าตักเลย แม่แป้นจะสู้ไหม”
สุขยักคิ้วท้าๆ แป้นยังไม่เชื่อว่าสาจะทำตามที่ผัวคิด
ทั่วทั้งห้องมีแสงเพียงสลัวราง สมศักดิ์ห่มผ้าให้โสภิตพิไลที่อยู่ในชุดนอนแล้ว อย่างเบามือ โสภิตพิไลหลับสนิท
สานั่งมองเพลิน นึกดีใจที่สมศักดิ์รักโสภิต แต่ก็น้อยใจนิดๆ พูดขึ้นเบาๆ
“แกรักคุณกับคุณหญิงมากเหลือเกิน มากจนไม่มีที่เหลือให้ฉัน”
สมศักดิ์ห่มผ้าเสร็จ จึงขยับเข้ามาใกล้สา “น้อยใจหรือ .. ทำยังไงได้ คุณหญิงเป็นคนเลี้ยงแก ในขณะที่คุณเอาแต่ออกไปเล่นละครเกือบทุกวัน”
“ที่ฉันต้องไปก็เพราะอะไรล่ะ…ไม่ใช่เพราะหนีคุณหรอกรึ”
สาค้อน ขยับจะลุก สมศักดิ์กุมมือไว้ พูดเสียงอ่อนโยน
“ต่อไปก็ไม่ต้องหนีแล้ว”
สาสะท้านใจนิดๆ “พูดอะไร”
“เราก็เหลือกันอยู่สองคนเท่านี้ คุณสา อย่าหนีผมอีกเลยนะ”
สาใจเต้นรัว สัมผัสจากมือของสมศักดิ์อบอุ่น แสงเพียงสลัวๆ ทำให้อารมณ์เก่าๆ ก่อตัวขึ้นมา บอกเสียงเบาหวิว พยายามตัดใจ
“ฉันจะกลับล่ะ”
สมศักดิ์ดึงสามากอดด้วยความรัก สาอ่อนระทวย สมศักดิ์จะจูบ ทันใดนั้น เสียงโสภิตพิไลก็ร้องขึ้นมา
“คุณจิ๋ง คุณจิ๋งขา...”
สากับสมศักดิ์สะดุ้งพรวด สติกลับคืนมา สมศักดิ์รีบเข้าไปดูโสภิต ที่ยังหลับตาสะอึกสะอื้น แต่มือไขว่คว้า
“หนูจะหาคุณจิ๋ง”
สมศักดิ์จับมือโสภิตไว้ หันมาบอกสา “ละเมอน่ะครับ ไม่มีอะไร แกคงคิดถึงคุณหญิงมาก”
สาละอายใจ รีบลุกหนีออกไปทันที
ตอนกลางคืน อีกหลายวันต่อมา
บรรยากาศหน้าโรงละคร มาลัยภิรมย์ มีคนดูยืนเดินอยู่บ้างเห็นป้ายโฆษณา “น้ำใจรัก” นำแสดงโดย ชีวิน ชวนาลัย และ อุษาวดี อิสระ
ส่วนในห้องแต่งตัว ด้านหลังโรงละคร เห็นมาลัยเดินฉับๆ เข้ามา หน้าเครียด นักแสดงแต่งตัวแต่งหน้ากันอยู่ เห็นสีหน้าของมาลัย ก็พากันมองอย่างแปลกใจ
มาลัยเห็นสาแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่นั่งใจลอยอยู่หน้ากระจกไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น มาลัยมีสีหน้าเคร่งเครียด ถอนใจ ส่ายหัว แล้วเดินออกไป
ตรงมุมที่พักของนักดนตรี มาลัยคุยเครียด จริงจังอยู่กับวิทย์ บุญยงอยู่ด้วย ส่วนนักดนตรีอื่นๆ เตรียมตัวอยู่ห่างๆ
“จะเอายังไง วิทย์ เธอจะพูดกับคุณอุษาเองหรือจะให้พี่พูด”
วิทย์ทำท่าหนักใจ
บุญยงบอก “เฮ้ย เอาตรงๆ เลยนะเว้ย สามสี่รอบที่ผ่านมานี่ คุณอุษาของลื้อ เล่นละครเหมือนซังกะตายเล่น ร้องเพลงก็ร้องสักแต่ร้องออกไป ไม่มีฟีลลิ่งเลยสักนิด”
“ครับ ผมทราบ แต่ก็อยากให้ทุกคนเห็นใจเธอบ้าง คุณอุษาเธอเพิ่งสูญเสียญาติสนิทไป”
มาลัยเสียงอ่อนลง “เรื่องนั้นพี่ก็เข้าใจว่าแต่ว่า...”
บุญยงพูดแทรก “เดอะ โชว์ มัส โก ออน ลื้อเข้าใจไหมวิทย์ เราเป็นนักแสดง มันต้องแยกให้ได้ คนเขาเสียเงินเข้ามาดูเราแล้ว ลื้อจะให้อั๊วประกาศก่อนแสดงหรือยังไง ว่านางเอกจะร้องเพลงไม่เพราะเนื่องจากอยู่ในระยะไว้ทุกข์”
“ครับๆ ผมเข้าใจ แล้วผมจะพูดกับเธอเอง”
วิทย์คุยกับสาระหว่างที่นั่งสามล้อมาด้วยกัน สารู้ตัว
“ฉันขอโทษค่ะ ที่ทำให้ทุกๆ คนผิดหวัง ฉันคงจะหมกมุ่นเรื่องคุณหญิงมากไปหน่อย”
“มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ” วิทย์ถามหยั่งเชิง “คุณอุษามีปัญหาอะไรกับคุณสมศักดิ์หรือเปล่า”
สาตกใจ “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ผมเห็นคุณสมศักดิ์กับคุณอุษามีทีท่าแปลกๆ ตั้งแต่วันเผาคุณหญิงโสภาแล้วดูเหมือน...เอ่อ...เหมือนมีปัญหาอะไรกัน”
สาถอนใจหนักหน่วง พูดไม่ออก
สาเปิดประตูบ้านเข้ามา วิทย์ตามเข้ามาส่ง ยังคุยกันต่อเนื่องเรื่องเดิมมา ไฟในบ้านยังมืดอยู่
“ขอโทษนะคะ คุณวิทย์ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปกปิด แต่เรื่องบางเรื่อง มันก็เล่ายากจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าวันไหน คุณอุษาอยากระบายให้ใครสักคนฟัง ก็ขอให้ผมเป็นคนแรกก็แล้วกัน”
สาซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากค่ะ”
สาเปิดไฟ แล้วต้องทำหน้าตกใจ เมื่อพบว่าบ้านถูกจัดใหม่เอี่ยม มีเฟอร์นิเจอร์ใหม่เพิ่มเติมเข้ามา ดูสดใสขึ้น สมศักดิ์เดินลงมาจากชั้นบน
“กลับแล้วเหรอ คุณสา...”
สมศักดิ์ชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นวิทย์มาด้วย แล้วยิ้มอย่างไม่แคร์ผายมือไปที่เก้าอี้ตัวใหม่
“ชอบไหม...” เขาเดินมาหาสาพูดคุยอย่างสนิทสนม “ผมว่ามันทำให้บ้านของเราสดใสน่าอยู่ขึ้น”
“คุณเข้ามาได้ยังไงคะ” สาเสียงขุ่น
“บ้านนี้เป็นบ้านผม แล้วคุณก็ไม่ได้เปลี่ยนกุญแจบ้าน...” สมศักดิ์พูดต่อ “ผมซื้อที่นอนอันใหม่ให้โสภิตด้วยนะ คุณจะขึ้นไปดูไหม”
สาชักฉุน “คุณทำอะไรของคุณ”
“ผมคิดว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่ มันสะดวกกว่า เวลาไปทำงาน ผมจะไปรับโสภิตกลับมาอยู่ที่นี่ด้วย .. เราสามคน จะกลับมาอยู่ด้วยกัน...พ่อ แม่ ลูก”
คำพูดของสมศักดิ์กระแทกเข้าที่หน้าวิทย์ เขาได้ยินชัดเจนทุกคำ
“อะไรนะ”
“คุณได้ยินแล้วนี่...ผมกับคุณอุษา”
สาโกรธสุดขีด พูดสวนอย่างแรง “เคยมีอะไรกัน” แล้วหันมาทางวิทย์ “ใช่ค่ะ คุณวิทย์ คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันกับคุณสมศักดิ์เคยทำในสิ่งที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดด้วยกันแต่มันเป็นอุบัติเหตุ! เป็นความผิดพลาด”
สมศักดิ์โมโห “ทำไมพูดอย่างนั้น คุณก็รู้ว่าผมรักคุณแล้วคุณก็รักผม”
“ฉันไม่ได้รักคุณ”
สมศักดิ์โต้ “ไม่จริง คุณรักผม! ผมรักคุณ! เรารักกัน”
สมศักดิ์เข้าจับไหล่สา คาดคั้น สาระเบิดออกมา
“ใช่ ฉันรักคุณรักมาก...มากเสียจนฉันคิดว่าฉันทำได้ทุกอย่าง เพื่อที่จะได้อยู่กับคุณ...” สาน้ำตาไหล “จนกระทั่งคุณหญิงเธอตายตายเพราะฉัน! คุณหญิงเธอตายเพราะฉันกับคุณ!”
สากรีดร้องอย่างเจ็บปวด ทุกคนถึงกับอึ้งไป
สมศักดิ์อึ้ง รู้สึกผิด “เราแค่รักกัน ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร”
สาบอกเสียงเศร้า “ฉันไม่เคยลืมแววตาของเธอในวันนั้น วันที่เธอมาเห็นเราอยู่ด้วยกันที่นี่ วันที่เธอถูกคนที่เธอรักที่สุดทรยศ...วันที่หัวใจของเธอแตกสลาย”
ร่างสมศักดิ์ร่วงลงอย่างหมดแรง รู้สึกผิดหนักอึ้ง สาก็ทรุดลง วิทย์เข้าไปประคอง
“ฉันเห็นหน้าคุณทีไร ฉันก็เห็นหน้าของคุณหญิงโสภาด้วยทุกครั้ง ฉันลืมเธอไม่ได้และคงไม่มีวันลืมไปจนชั่วชีวิต คุณยังคิดว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้อีกหรือ”
สมศักดิ์น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ
“ผมผิดเอง ผมทำลายชีวิตพวกคุณทั้งสองคน”
สาหันมาทางวิทย์ “ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว คุณช่วยพาฉันออกไปทีได้ไหมคะ”
“ครับ”
วิทย์ประคองสาออกไป ทิ้งสมศักดิ์เอาไว้ในบ้านอันเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเพียงลำพัง
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 16 (ต่อ)
วิทย์พาสามาที่บ้านหลังเล็กๆ ของเขา และกำลังวางถ้วยชาลงให้สาที่นั่งซึมอยู่
“คุณวิทย์ก็ได้ยินทุกอย่างหมดเปลือกแล้วนะคะ”
“ดื่มน้ำชาก่อนเถอะครับ”
“ฉันเลวเหลือเกิน คุณวิทย์รู้อย่างนี้แล้ว นึกรังเกียจฉันไหม”
วิทย์ปลอบเสียงนุ่ม “คุณอุษาเคยอ่อนแอ และพ่ายแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ แต่ความดีในใจก็ยังมีอยู่มากไม่อย่างนั้น คงไม่รู้สึกผิดมากขนาดนี้”
“คุณมองโลกในแง่ดีจริงๆ”
“ดวงจันทร์มีด้านมืดของมัน แต่มันก็ยังเป็นดวงจันทร์ ที่งดงามอยู่เหมือนเดิม” วิทย์มีสีหน้าแววตาสดใส “ผมอยากให้คุณอุษาลืมเรื่องนี้ไปซะ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่” เขากอบกุมมือสา “ผมจะเป็นกำลังใจให้”
สาประหลาดใจ “คุณวิทย์หมายความว่า...”
“ผมเคยถามคุณเรื่องแต่งงาน แล้วเมื่อตะกี๊ ผมก็ได้รับคำตอบแล้ว...ว่าแต่ว่าคุณจะยังยืนยันคำตอบเดิมอยู่ไหม”
สาอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะ ไม่นึกว่าจะเจอคนดีแบบนี้
“คุณวิทย์ไม่รังเกียจฉันหรือคะ”
วิทย์นั่งลง คุกเข่าขอแต่งงาน “คุณอุษาวดี อิสระ คุณจะให้เกียรติแต่งงานกับผมได้ไหม”
“ค่ะ”
สาซึ้งโถมเข้ากอดวิทย์ ดีใจเหลือเกิน เหมือนได้เครื่องชูชีพที่จะช่วยให้รอดตาย
วิทย์ยิ้มกว้าง กอดสาแนบแน่นอย่างมีความสุข
ขณะเดียวกันนั้น สมรเดินกระย่องกระแย่งออกมาทางหลังบ้านวิภา เพื่อเอาผ้านุ่งมาตาก
“เออ วันนี้อากาศชักจะเย็นๆ”
สมรตากผ้าเสร็จเงยหน้ามองไปทางบ้านวิทย์ เห็นไฟยังสว่าง และมีเงาคนสองคนทาบอยู่ที่ม่านหน้าต่าง แต่นั่นยังไม่ทันเอะใจ
“คุณหนูนอนไม่หลับอีกแล้วล่ะซี” แม่บ้านสูงวัยส่ายหัว “เออ คนหนุ่มก็หยั่งงี้ ไม่เหมือนคนแก่นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
สมรเดินกลับ แล้วชะงัก นึกอะไรได้
“เฮ้ย!”
สมรเหลียวขวับ มองไปอีกที เห็นเงาคนกอดกันเต็มๆ ชัดแจ๋วว่าเป็นวิทย์กับผู้หญิง สมรอ้าปากค้าง
ตอนเช้าที่ประตูบ้านวิทย์ มีมือใครคนหนึ่งเคาะปังๆๆๆๆๆๆ เป็นมือวิภาที่ยืนหน้าตาเอาเรื่องอยู่ สมรยืนแอบอยู่ข้างหลัง
“วิทย์ เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ วิทย์ เปิดประตูให้พี่เดี๋ยวนี้”
วิทย์อยู่ในชุดนอน เดินมาเปิดประตู หน้าตาเหมือนเพิ่งตื่น
“คุณพี่ เอะอะอะไรแต่เช้าครับ”
วิภาไม่ตอบ เดินอาดๆ เข้าไปในบ้าน วิทย์ตกใจ
“คุณพี่ครับ”
วิภากราดสายตามองไปรอบห้อง เห็นกระเป๋าถือผู้หญิงกับหมวก จึงเดินไปหยิบมาชู
“อยู่ไหน”
“อะไรกันครับ คุณพี่”
“ผู้หญิงที่อยู่กับเธอเมื่อคืนนี้ อยู่ที่ไหน”
วิทย์งงครู่หนึ่ง แล้วหันมองหน้าสมร แต่สมรเมินหนี ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
บริเวณระเบียงบ้าน มีเก้าอี้นั่งเล่น วิภานั่งเชิดหน้าอยู่ตรงนั้น สมรแอบอยู่ด้านหลัง วิทย์แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เดินนำสา ที่ยังแต่งตัวในชุดเดิมเมื่อคืนออกมา
“คุณอุษา นี่คุณพี่วิภา พี่สาวของผมครับ เธอเป็นเจ้าของบ้านนี้”
สาลงนั่ง ไหว้อย่างงดงามอ่อนช้อย วิภารับไหว้อย่างไว้ตัวปรายตามองสาหัวจรดเท้า
“คุณพี่ครับ คุณอุษาวดี เป็นนางเอกละครที่คณะของผม”
วิภาพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “อ้อ พวกนางละคร”
สาสะอึก แต่พยายามข่มใจ
“เมื่อคืนคุณอุษาเธอกลับบ้านไม่ได้ ผมเลยชวนให้เธอมาค้างที่บ้านเราน่ะครับ”
วิภาหน้านิ่ง เสียงเย็นชา “แค่ครั้งเดียวก็แล้วไปแต่วันหลังอย่าทำอีก”
วิทย์ตกใจ “ทำไมคุณพี่พูดอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็...พี่ไม่ชอบ...โบราณเขาถือ”
วิทย์ไม่ค่อยพอใจ “ถือสาอะไรกัน ผมไม่เข้าใจ”
วิภาเมิน ไม่ตอบ เหมือนไม่อยากพูดเรื่องสกปรก สมรรับมุกตอบแทน
“คุณหนูขา...โบราณท่านว่า ไม่ให้เอาพวกพูหญิงอย่างว่าเข้าบ้านค่ะ มันจะเสื่อมศักดิ์ เสื่อมศรี เทวดาอารักษ์ที่ปกปักรักษา ท่านจะพากันหนี มันไม่เป็นมงคล”
สาทนไม่ไหว ลุกพรวด
“นี่ว่าฉันเป็นอีพวกหยำฉ่างั้นหรือ”
วิภาลุกขึ้นยืน เชิดใส่ “หล่อนอย่ามาพูดคำนั้นในบ้านฉัน”
วิทย์พยายามไกล่เกลี่ย “คุณพี่ครับ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ผมบอกแล้วไง คุณอุษาเป็นเพื่อนของผมที่โรงละคร เธอเป็นสุภาพสตรี...”
วิภาสวนคำทันที “ที่มากอดกับผู้ชายถึงบ้านน่ะหรือ สุภาพสตรีแบบไหนกัน”
วิทย์หันมองสมรอีก สมรหลบแว้บ
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะขอกราบเรียนเสียเลย...ที่มีคนเห็นว่าผมกับคุณอุษาทำอย่างนั้นก็เพราะว่า...” วิทย์เข้ามากอดเอวสา ปกป้อง “ผมกับคุณอุษากำลังจะแต่งงานกันครับ”
วิภาตกใจมาก “อะไรนะ!”
วิภามองหน้าวิทย์กับสา อึ้งอยู่อย่างนั้น
ต่อมาไม่นาน วิภาเดินนำวิทย์เข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ไม่อยากทะเลาะกันต่อหน้าสา หน้าตาทั้งพี่ทั้งน้อง อารมณ์จัดทั้งคู่
“ข้ามศพพี่ไปก่อนเถอะ ยังไงพี่ไม่มีทางยอม ให้เธอเอาแม่นางละครนั่นมาเป็นเมีย” วิภาระเบิดใส่ก่อน
วิทย์บอกอย่างสุภาพ แต่ฟังดูเด็ดขาด “ผมตัดสินใจแล้ว คุณพี่ห้ามผมไม่ได้”
“หัวนอนปลายเท้าก็ไม่รู้จัก เทือกเถาเหล่ากอเป็นใครไม่ทราบ จะแต่งงานกันเข้าไปได้ยังไง”
“ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนนะครับ” วิทย์โต้
วิภาย้อนเอา “ไม่เห็นแก่หน้าเจ้าคุณพ่อบ้างหรือไง”
วิทย์สวนคำทันที “ท่านตัดผมจากความเป็นลูกไปแล้วนี่ครับ”
วิภาแทบกรี๊ดขึ้นเสียงใส่น้อง “วิทย์!”
วิทย์บอกสุภาพ แต่ชัดเจนจริงจังดังเดิม “ผมรักคุณอุษา ผมจะแต่งงานกับเธอ”
วิภายื่นคำขาด “จะไม่มีการแต่งงานที่บ้านนี้”
วิทย์ไม่ยี่หระ “งั้น... คุณพี่คงไม่โกรธนะครับ ถ้าหากผมจะไม่เชิญ”
วิทย์ยกมือไหว้ แล้วเดินออกไปทันที วิภาทรุดลง หมดแรง
สมรที่แอบฟังอยู่ตลอด เข้ามาบีบนวดปลอบโยน
“สมรดู วิทย์ไม่เคยแข็งข้อกับฉันแบบนี้”
สมรใส่ไฟทันควัน “คงนังพูหญิงนั่นแหละค่ะ มันชักนำ...เห็นลูกกะตามันไหมเล่าคะ คุณวิภาตามันสู้คนหยอกใคร”
“วิทย์หลงมันหัวปักหัวปำ ห้ามก็ไม่เชื่อ ฉันจะทำยังไงดี”
“น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือค่ะคุณขา ท่าทางอย่างนั้น คงอยู่กันไม่ยืดหรอกค่ะ เชื่อหมอนเถอะค่ะ คุณวิภา รับรอง ก้นหม้อข้าวไม่ทันดำ”
วิภาตาขวาง ยังโมโหน้องชายและโกรธสาไม่หาย
ที่ร้านอาหารเล็กๆ ละแวกโรงละคร บรรดาชาวคณะละคร มาเลี้ยงฉลองแต่งงานให้วิทย์กับสากันที่นี่ หลังจากตอนเช้าสองคนไปจัดทะเบียนสมรส ณ ที่ว่าการอำเภอแล้ว
บุญยงชูแก้ว ร้องนำเสียงใส
“เอ้า ไช”
ทุกคนยกเว้นวิทย์กับสา ชูแก้วแล้วร้องตามอย่างครึกครื้น
“ไช”
บุญยงร้อง “โย”
ทุกคนร้อง “โย”
“ไชๆๆๆ” บุญยงร้องอีก
ทุกคนร้องตาม “ไชๆๆๆ”
“โยๆๆๆ” / “โยๆๆๆ”
“ไชโยๆๆๆ” / “ไชโยๆๆๆ”
“พอได้แล้ว” มาลัยหมั่นไส้ลุกขึ้นยืน “พี่อยากดื่มอวยพรเต็มแก่แล้ว”
บุญยงร้อง “เอ้า ไชโย”
ทุกคนร้องพร้อมกัน บรรยากาศรื่นเริงเฮฮา
“ขอดื่มอวยพรให้กับวิทย์และคุณอุษา” มาลัยพูดเป็นงานเป็นการ
“ขอให้มีความสุขตลอดไปเอ้า ดื่ม”
บุญยงนำดื่ม ทุกคนดื่มตามพร้อมกัน วิทย์ยิ้มสดใส สาแอบมีแววกังวล มาลัยที่นั่งติดกับสาหันไปถาม
“หน้าตาคุณอุษาไม่สดชื่นเลย”
“ฉันกลัวว่าจะทำให้คุณวิทย์ต้องลำบากเพราะฉันน่ะค่ะ”
“วิทย์เขาเป็นนักฝัน เพื่อที่จะบรรลุความฝัน วิทย์ไม่เคยย่อท้อต่อความลำบาก...คุณคือความฝันของเขา”
มาลัยชูแก้วให้ สายิ้มรับ รู้สึกดีขึ้น แต่มาลัยกลับเอ่ยขึ้นลอยๆ อีกคำ
“หลังจากแต่งงาน คุณกับวิทย์ จะต้องเจออะไรอีกมาก ฉันหวังว่าความรักของคุณจะคุ้มค่ากับความลำบากของวิทย์นะ”
มาลัยทิ้งท้ายกำกวม แล้วหันไปยิ้มเฮฮากับคนอื่น วิทย์หันมายิ้มกับสา ชื่นมื่น สายิ้มตอบ แต่หน้าหมองไป ด้วยแอบกังวลใจ
ตกตอนเย็น ทั้งสองจะมาเก็บของที่บ้านเก่า เดินเข้ามาด้วยกันจนถึงหน้าบ้านแล้ว สาหยุดเอ่ยขึ้น
“คุณพี่วิภาของคุณ คงไม่พอใจมาก”
“พี่วิภาแกหวงผม...แรกๆ ก็คงต้องลำบากใจกันหน่อย แต่ผมเชื่อว่าความรักของเราจะชนะทุกอย่าง” วิทย์นึกเป็นห่วงความรู้สึกสา “ห่วงก็แต่ว่า คุณอุษาจะทนไม่ไหว”
สายิ้มขมขื่น “เรื่องเล็กค่ะ ฉันชินเสียแล้วกับการไปรักผู้ชาย ที่มีคนอื่นเป็นเจ้าของจะว่าไป ฉันไม่เคยมีใคร ที่เป็นของฉันเองจริงๆ สักคน”
เห็นสาเศร้าอยู่ วิทย์นึกสงสาร ดึงสามากอด
“ไปเก็บของเถอะครับ เย็นแล้ว”
ทั้งสองเดินเข้าบ้านไป แต่แล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นสมศักดิ์ ในชุดเดิม กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวใหม่ มีขวดเหล้าเปล่ากลิ้งอยู่กับพื้น ท่าทางสมศักดิ์เหมือนคนเมาหนัก อกหักปางตาย
สาตกใจ “คุณสมศักดิ์!”
สมศักดิ์หันมามองสา แววตาเจ็บช้ำเปลี่ยนเป็นประกาย ดีใจ
“คุณอุษา ผมภาวนาให้คุณกลับมา...แล้วคุณก็กลับมาจริงๆ”
สมศักดิ์ลุกขึ้น เดินมาหาสา จับมือสากุมอย่างยินดี สาดึงมือออก
“ฉันมาเก็บเสื้อผ้าค่ะ”
สมศักดิ์ชะงัก แววตามองสา อาลัยอาวรณ์มาก “คุณจะไปไหน”
สาพยายามตัดใจ วิทย์ไม่ได้แสดงท่าทีหึงหวง มองสาอย่างให้กำลังใจ
“ฉันจะไปอยู่กับคุณวิทย์ เราแต่งงานกันแล้วค่ะ”
สมศักดิ์อึ้ง มองสา แล้วมองวิทย์ หน้าหมองจัด หัวใจสลาย เสียใจมาก
“ไม่...ไม่จริง”
วิทย์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมกับคุณอุษาจดทะเบียนสมรสกันเมื่อบ่ายวันนี้เองครับ”
สาจะเดินไปข้างบน วิทย์ตาม สมศักดิ์คว้ามือสาไว้ ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สิ้นหวัง
“แต่ผมเป็นผัวคุณนะ”
สาพูดท่าทีนิ่งๆ แต่น้ำเสียงเด็ดขาด “คุณเป็นผัวคุณหญิงต่างหาก เราสองคน ถือว่าหมดความผูกพันกันเพียงแค่นี้…คุณไปตามทางของคุณ ฉันก็ไปตามทางของฉัน...คุณหญิงเธอตายไปแล้ว ก็ขอให้ทุกๆ อย่าง มันตายตามคุณหญิงไปก็แล้วกัน”
สาดึงมือออก เดินขึ้นไปชั้นบนกับวิทย์ สมศักดิ์มือตก หมดหวัง
แสงอาทิตย์อัสดงสวยงามเย็นตาส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ท้องฟ้าสีหมากสุกงดงามแกมเศร้า
สมศักดิ์เดินโซเซมานั่งแปะลงตรงท่าน้ำ ในมือมีขวดเหล้าที่หมดแล้ว สมศักดิ์โยนทิ้งลงไปกับพื้น เรือแท็กซี่ลอยลำเข้ามาจอดเทียบ เด็กเรือร้องถาม
“ไปไหมพี่”
สมศักดิ์ไม่ตอบ ยังนั่งซึม เสียงของสาดังก้องในหู
“เราสองคน ถือว่าหมดความผูกพันกันเพียงแค่นี้…คุณไปตามทางของคุณ ฉันก็ไปตามทางของฉัน ...คุณหญิงเธอตายไปแล้ว ก็ขอให้ทุกๆ อย่าง มันตายตามคุณหญิงไปก็แล้วกัน”
มีผู้โดยสารคนอื่นเดินลงเรือไป เด็กเรือหันมาถามสมศักดิ์อีก
“ไปไหมพี่”
สมศักดิ์ลุกขึ้นยืน ร่างโงนเงนไม่ค่อยมั่นคงนัก มือล้วงกระเป๋ากางเกง จะหยิบเงิน ทำให้ผ้าเช็ดหน้าตกออกมา สมศักดิ์ก้มลงหยิบมาดู เป็นผ้าผืนเก่าลายปักซีดจาง ที่หญิงโสภาเคยมอบให้ สมศักดิ์อึ้ง
ภาพความหลังครั้งเก่าก่อน ตอนที่สมศักดิ์เคยรักกับหญิงโสภา รวมทั้งความดีงามของหญิงโสภาผุดขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่าราวกับสายน้ำ
“ไปไหมพี่ เรือออกแล้วนะ” เด็กเรือร้องถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย
สมศักดิ์เหมือนไม่ได้ยิน เรือแล่นออกไปแล้ว
สมศักดิ์ยืนซึมมองดูผ้าเช็ดหน้าในมือ ลมแรงกรรโชกมาวูบใหญ่ พัดผ้าเช็ดหน้าในมือปลิวไสวตามแรงลม
ใบหน้าของสมศักดิ์แลดูขมขื่น และสิ้นหวัง เสียงของสาที่ตัดสวาทดังก้องประดังเข้ามาในหูอีกครา
“คุณไปตามทางของคุณ ฉันก็ไปตามทางของฉัน...คุณหญิงเธอตายไปแล้ว ก็ขอให้ทุกๆ อย่าง มันตายตามคุณหญิงไปก็แล้วกัน”
ลมกรรโชกมาอีกวูบ ผ้าเช็ดหน้าหลุดจากมือสมศักดิ์ปลิวไปทางแม่น้ำ สมศักดิ์ผวาตามจะคว้าไว้
เท้าสมศักดิ์ขยับก้าวแล้วสะดุด มือเอื้อมคว้าผ้าเช็ดหน้าที่ลอยคว้างกลางอากาศ ผ้าเช็ดหน้าตกลงไปในแม่น้ำเชี่ยว
ร่างสมศักดิ์เสียหลักตกตามลงไปในน้ำดังตูม เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากสายน้ำเชี่ยวกราก แต่แล้วด้วยความมึนเมากอปรกับร่างกายอ่อนล้า เรือนร่างบึกบึนของสมศักดิ์ก็จมหายไปในสายน้ำนั้นชั่วเวลาเพียงไม่นาน
อนิจจา ลำน้ำนี้ ไหลเรื่อยไปรวมกับสายน้ำเดียวกับที่หญิงโสภาเลือกเป็นเวทีปิดฉากชีวิตลงนั่นเอง
อ่านต่อตอนที่ 17