รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 16 อวสาน
กระชอนสุกี้ 8 อันชนกันกลางอากาศ
หม้อสุกี้เดือดพล่าน เนื้อและผักถูกโยนใส่หม้อ บรรยากาศการกินข้าวเย็นเต็มไปด้วยความสบายและสนุกๆของงานฉลองให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ขยุ้มผักกาดขาวเต็มกำมือโยนใส่หม้อสุกี้ ชนมนฟาดหลังของทั้งสองคนให้นั่งลง ชนมนจัดแจงฉีกผักกาดขาวแล้วค่อยๆใส่หม้อสุกี้ก่อนจะหันไปมองอิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ให้ทำตาม อิทธิฤทธิ์กับชินพยักหน้าหงึกๆแล้วลุกขึ้นขยุ้มผักโยนไปโดยไม่หั่นไม่ฉีกตามเคย ชนมนได้แต่ยืนตาดุๆใส่
ธรรม์กับมณีมันตรานั่งตักอาหารให้กันและคุยกันกระหนุงหนิงเหมือนอยู่กันสองคน อิทธิพลกับชูชัยไม่ค่อยกินแต่ยกน้ำชาใส่น้ำแข็งขึ้นดื่มแล้วคุยกันอย่างที่ไม่เคยคุยกันมานาน อิทธิฤทธิ์พยายามทำสวีทกับชนมนเหมือนธรรม์บ้าง เขาตักอาหารให้ชนมนแต่ชนมนตักคืนแบบไอ้โน่นก็ไม่กิน ไอ้นี่ก็ไม่ชอบ สุดท้ายอิทธิฤทธิ์ก็ต้องนั่งกินเองอย่างงอนๆ
ถนอมมองแต่ละคนแบบซึมซับบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นที่ไม่เคยมีในบ้าน เธอซึ้งจนต้องเช็ดน้ำตา สุดท้ายก็มีการถ่ายรูปภาพนิ่งเฮฮาอย่างมีความสุขเป็นช็อทๆ ทั้งภาพอิทธิฤทธิ์ ธรรม์ อิทธิพลและถนอม ภาพอิทธิฤทธิ์กับอิทธิพล ภาพอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราและชนมน ภาพมณีมันตรากับธรรม์ ภาพมณีมันตรากับชินพัฒน์ ภาพอิทธิฤทธิ์กับครอบครัวชนมน ภาพอิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ และภาพอิทธิฤทธิ์กับชนมนแต่มีชูชัยยืนคั่นกลาง
อิทธิฤทธิ์กับชนมนถือถาดที่มีจานชามแก้วน้ำมาวางไว้ที่อ่างล้างจาน อิทธิฤทธิ์พับแขนเสื้อทำท่าจะเตรียมช่วยเต็มที่
“นายยืนอยู่เฉยๆดีกว่า” ชนมนว่า
“โห! ดูถูก! คิดว่าชั้นล้างจานไม่เป็นหรือไง”
“แล้วล้างเป็นเหรอ”
“ไม่เป็นอะ เธอก็สอนดิ ล้อเล่นน่า ตอนอยู่บ้านไอ้เจ๋ง ชั้นทำเองทุกอย่างเลย”
“อยู่แค่วันเดียว ทำคุย”
ชนมนเปิดก็อกน้ำแล้วเริ่มล้างจาน อิทธิฤทธิ์ตรงเข้ามาช่วย เขาเทน้ำยาล้างจานพรวดลงเกือบหมดขวด อิทธิฤทธิ์เริ่มล้างจานใบแรกจนเกือบทำจานลื่นหลุดมือ เขาเลี้ยงจานไปมาจนชนมนต้องตะครุบจานแล้วเอามาล้างเอง
“หยุด! พอ! อยู่เฉยๆเลย ขอร้อง”
อิทธิฤทธิ์เข้าไปเบียดกับชนมนแบบยังดื้อช่วยล้างจานต่อ
“ไม่ๆๆ ชั้นจะช่วย วันนี้สนุกดีเนอะ เราน่าจะได้กินข้าวด้วยกันอย่างนี้บ่อยๆ นี่เอางี้ดิ พอเธอสอบได้ทุนเรียนต่อป.โท เราก็มาฉลองกันอย่างนี้อีก”
ชนมนชะงักไปเมื่อนึกถึงเรื่องสอบชิงทุนที่ต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษ
“อิท..ถ้าชั้นสอบได้ทุนอะนะ..ชั้นจะต้องไปเรียนต่อที่...”
ถนอมเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“คุณอิทคะ คุณธรรม์ไปส่งคุณมาย่าแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วป้าก็จะกลับเหมือนกัน คุณอิทจะกลับพร้อมกันเลยมั้ยคะ”
“ผมเอามอไซด์มา ป้าหนอม”
ชนมนรีบล้างมือแล้วเช็ดให้แห้ง เธอขยับจะเดินออกไปกับถนอม
“จะไปไหน ชน”
“ไปส่งป้าหนอมน่ะสิ นายอยากล้างจาน ก็ล้างไป ล้างให้หมดทั้งกองนี้เลยนะไปค่ะ ป้าหนอม”
ชนมนรีบดึงถนอมเดินออกไป
อิทธิฤทธิ์โวย “เรื่องอะไร! ไปด้วย”
อิทธิฤทธิ์รีบล้างมือแล้วรีบเดินตามชนมนไปอย่างรวดเร็ว
ชูชัยกับชินพัฒน์เดินออกมาส่งอิทธิพล
“ชั้นดีใจด้วยที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี” ชูชัยว่า
“ก็ไม่ได้จบด้วยดีนัก” อิทธิพลบอก
“เออน่า อย่างนี้ก็ถือว่าดีแล้ว สายเลือดยังไงก็ตัดไม่ขาดหรอกว่ะ ซักวันนึงฤดีก็จะกลับมาหาลูกเอง..”
“ความเป็นเพื่อนก็ตัดกันไม่ขาดเหมือนกัน…”
ชินพัฒน์มองอิทธิพลกับชูชัยที่ตบไหล่กันไปมาอย่างนึกได้
“ผมมีข้อสงสัย! พ่อ คุณลุง พ่อพี่ธรรม์เป็นเพื่อนรักกันใช่มั้ยครับ เหมือนหนังที่ผมดูเมื่อคืนเลย” ชินพัฒน์พูดช้าๆ บ้านๆ “ A Better tomorrow”
ชูชัยงง “หนังอะไรของแก”
ชินพัฒน์บอก “โหด-เลว-ดี !”
“แล้วแกสงสัยอะไร”
“พ่อพี่ธรรม์นี่ต้องเป็นตำรวจดีชัวร์ ตอนนี้ก็เหลือแต่..”
“โหดกับเลว แล้วแกคิดว่าใครโหดใครเลว หา ไอ้ชิน!!” ชูชัยพูดกับอิทธิพล “แกอยากเอาไป เลี้ยงมั้ย ชั้นยกให้”
“ผมไม่ใช่ลูกหมานะ พ่อ”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มขำ “เออน่า อย่างน้อยแกก็แน่ใจว่า ลูกชายแกไม่มีวันไปเข้าแก๊งมาเฟียไหนแน่”
ชนมนกับถนอมเดินออกมา ถนอมมองชูชัยกับอิทธิพลที่ยืนคุยกันอยู่อย่างชื่นใจ
“ป้าไม่คิดเลยนะคะว่า จะได้เห็นภาพนี้อีกครั้ง”
อิทธิฤทธิ์ที่เดินตามหลังมาพูดกับชนมน
“พ่อเธอกับพ่อชั้นกลับมาซี้กันอย่างงี้ เราสองคนก็น่าจะมีโอกาส..”
ชูชัยได้ยินที่อิทธิฤทธิ์พูดก็ตะโกนขึ้นมาลอยๆ
“อย่าเพิ่งฝันไป!”
“ทำไมวะ แกมีปัญหาอะไรกับลูกชายชั้น” อิทธิพลถาม
“มันเหมือนชั้นมากเกินไป” ชูชัยว่า
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ถามทันที “ตรงไหน?”
ทุกคนหันไปมองชูชัยกันเป็นตาเดียวด้วยความสงสัย
ธรรม์เดินมาส่งมณีมันตราถึงทางเข้าตัวบ้าน มณีมันตราหันไปมองธรรม์ที่นิ่งเงียบ
“พี่ธรรม์..วันนี้ไม่สนุกเหรอคะ”
“สนุกสิ ทำไมคิดว่าพี่ไม่สนุก แต่พอหมดเรื่องสนุก ก็อดคิดเรื่องอื่นไม่ได้”
“เรื่องงานเหรอคะ วันนี้ห้ามคิดเรื่องงาน วันนี้เป็นวันที่เราจะทิ้งทุกเรื่องไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคิดใหม่ แกะๆ ต้องแกะออก คิ้วผูกเป็นโบว์แล้ว พี่ธรรม์”
มณีมันตราแกล้งเอามือเขี่ยที่คิ้วของธรรม์ ธรรม์จับมือมณีมันตราเอาไว้
“ย่า..บางเรื่องเราก็ทิ้งไปก่อนไม่ได้ เรื่องอนาคตของเราสองคน ย่ามองตัวเองในอีกห้าปีว่าจะยังไง”
“โห อีกตั้งห้าปีเหรอ ย่านึกไม่ออกหรอก ย่าอาจจะเล่นเป็นน้าเป็นป้านางเอกแล้วมั้งคะ”
“ไม่พูดเล่น พี่ถามจริงๆ”
“ย่าหวังว่า ย่ายังมีงานแสดงอยู่ ได้เล่นหนังหรือเล่นละครก็ได้ ตอนนี้ย่าไม่โลภมากเลย ขอแค่มีคนมาดูรักนิรันดร์เยอะๆก็พอแล้ว”
“แล้วถ้าละครล้มเหลวล่ะ”
มณีมันตราพูดเล่น “สงสัยไม่มีใครกล้าจ้างย่าอีกแน่ อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลย ย่าได้บทนีรชาก็โชคดีมากแล้วล่ะค่ะ ใครจะนึกว่า ย่าจะมีโอกาสได้เล่นละครเวทีกับเค้า”
“แต่ถ้าย่าได้เล่นบทโรสลินน่าจะดีกว่าใช่มั้ย” ธรรม์ถาม
“ไม่ต้องถามเลยค่ะ บทโรสลินคือบทในฝันของนักแสดงทุกคน ย่าคงได้แต่ฝันแล้วล่ะ พี่ธรรม์ เราคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
ธรรม์ตะล่อมถามมณีมันตราจนได้คำตอบที่ต้องการ มณีมันตราไม่ทันได้ไหวตัวว่าธรรม์ซักแต่เรื่องงานของเธอ
อิทธิฤทธิ์กับชูชัยกำลังยืนด้วยกันเหมือนให้เปรียบเทียบกันชัดๆไปเลย ชนมน ชินพัฒน์ อิทธิพลและถนอมต่างมองอิทธิฤทธิ์กับชูชัยอย่างพิจารณา
ชินพัฒน์เหนื่อย “พ่อเฉลยมาเหอะ ดูไงก็ไม่ออกว่า เหมือนกันตรงไหน”
“หน้าตา..” ชูชัยว่า
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ประหลาดใจสุดๆ “หา?!”
“เฮ้ย ! พวกแกไม่เคยเห็นชั้นตอนหนุ่มๆ ใช่มั้ยวะ ไอ้พล” ชูชัยว่า
“ไม่ใช่ ลูกชั้นก็ต้องเหมือนชั้นสิ จะไปเหมือนแกได้ยังไง” อิทธิพลบอก
“ข้ามเรื่องหน้าตาไปก่อน เรื่องเรียน..สอบตก..ถูกไล่ออก..เหมือนกัน!”
“ผมแค่เกือบ..แต่ไม่ได้ถูกไล่ออกนะครับ”
“ไม่งั้นเราก็คงไม่ฉลองให้อิทวันนี้หรอก พ่อ” ชนมนบอก
ชูชัยพูดแบบเชือดนิ่มๆ “แค่เกือบ มันก็ส่อถึงอนาคตแล้ว ไม่สนใจการเรียน ไม่มีเพื่อนคบ มั่วสุมแต่กับแก๊งมอเตอร์ไซค์ ถามจริงๆเถอะ ถ้าไม่ได้ไอ้ชน นายจะสอบผ่านมั้ย แล้วนอกจากเรื่องมอเตอร์ไซค์ นายมีอะไรดีบ้าง ที่สำคัญเคยคิดถึงอนาคตบ้างหรือเปล่า ไปหาคำตอบให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องไอ้ชน”
อิทธิฤทธิ์ตอบ “ได้ครับ ผมจะไปคิดดู แล้วจะมาให้คำตอบนะครับ”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนให้ไปด้วยกัน
“เฮ้ย! จะพาไอ้ชนไปไหน” ชูชัยถาม
อิทธิฤทธิ์หันมาตอบ “ไม่มีชน ผมคิดไม่ออกหรอกครับ คุณลุง”
อิทธิฤทธิ์รีบพาชนมนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ชูชัยหันไปมองอิทธิพล
“แกเห็นหรือยัง ไอ้พล” ชูชัยว่า
“เห็นอะไร ชั้นก็ว่านายอิทกับหนูชนก็เหมาะสมกันดี” อิทธิพลบอก
“อิชั้นก็ว่าอย่างงั้นเหมือนกัน!” ถนอมสนับสนุน
“ผมก็ด้วย!” ชินพัฒน์เสริม
“แต่ชั้นไม่เห็นว่าเหมาะ! ถึงนายอิทจะเป็นลูกแก แต่ถ้ายังไร้อนาคตอย่างนี้ไงชั้นก็ให้คบกันไม่ได้”
ชูชัยเดินออกไป อิทธิพลไม่ชอบใจนักแต่ก็พอจะเข้าใจหัวอกพ่อด้วยกัน
อิทธิฤทธิ์ยืนมองนิ่งไปไกลๆอย่างคิดหนัก ชนมนเดินเข้ามายืนข้างๆ อิทธิฤทธิ์
“ชั้นต้องเริ่มคิดถึงอนาคตจริงๆแล้วใช่มั้ย”
“นายไม่ต้องเครียดไปหรอก นายเพิ่งผ่านเรื่อง..เรื่องคุณแม่นายมา นายคงไม่อยากจะคิดเรื่องอะไรอีก”
“ชั้นไม่เคยคิดเรื่องอนาคตจริงๆจังๆ ที่ผ่านมาชั้นคิดแต่เรื่องแม่..”
“อิท..ชั้นเสียใจด้วย..จริงๆนะ”
“ชั้นไม่เสียใจ ชั้นต้องขอบคุณแม่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ ชั้นคงไม่พยายามจนสอบผ่านจนเรียนจบมาได้ ถึงแม่จะไม่ได้เป็นอย่างที่ชั้นฝันไว้ แต่ถ้ามองว่าเป็นเรื่องดี มันก็ดี เพราะแม่ทำให้ชั้นได้เข้าใจพ่อ ไม่งั้นชั้นคงเป็นลูกเลวๆต่อไป”
“นายแค่เข้าใจคุณลุงผิดเท่านั้นแหละ อิท คุณลุงอาจเคยโกรธนาย แต่ชั้นเชื่อว่าคุณลุงไม่เคยเกลียดนาย”
“ชั้นเพิ่งรู้ว่า พ่อรักชั้นแค่ไหน แล้วเรื่องดีๆอีกเรื่องก็คือ ชั้นได้มารู้จักเธอ ชน เธอเป็นคนทำให้ชีวิตชั้นดีขึ้นในทุกๆเรื่อง ถ้าไม่มีเธอ ชั้นไม่รู้จริงๆว่า ชั้นจะอยู่ได้ไง”
อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนไว้ ชนมนจับมืออิทธิฤทธิ์ให้แบออกแล้ววางสร้อยข้อมือหนังบนฝ่ามือ
“นายเคยบอกว่าอยากได้ไง อะไรก็ได้ที่ชั้นทำให้ด้วยมือตัวเอง”
อิทธิฤทธิ์หยิบสร้อยข้อมือหนังมาส่องดูก็เห็นว่ามีลูกปัดตัวหนังสือเขียนว่า “RACE” ร้อยไปกับสร้อยข้อมือหนังด้วย
อิทธิฤทธิ์แกล้งสะกดผิด “L-o-v-e เลิฟ! โอ๊ย! บอกรักอย่างงี้! ใจละลายเลย”
ชนมนพูดแก้ให้ “R-a-c-e เรซ ต่างหาก การแข่งขัน ! ชีวิตไม่เคยหนีพ้นการแข่งขัน แต่ชั้นอยากให้นายแข่งกับตัวเอง นายสู้จนเรียนจบได้ ต่อไปนายก็จะสู้ได้ทุกอย่างไม่ว่านายอยากทำอะไรในอนาคต นายต้องทำได้แน่”
“ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับของขวัญ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนมากอดอย่างขอบคุณและซึ้งใจ
“ชั้นอยากอยู่กับเธออย่างนี้ตลอดไป..ไม่อยากให้วันนี้ผ่านไปเลย”
อิทธิฤทธิ์กอดชนมนไว้อย่างอบอุ่นในหัวใจ
เช้าวันใหม่ ธรรม์ยืนอยู่มองบอร์ดแผงผังตัวละคร ”รักนิรันดร์” อยู่หน้าห้อง ที่รูปมณีมันตรามีชื่อ “นีรชา”อยู่ใต้รูป
ส่วนรูปนุกนิกที่อยู่ข้างๆมีชื่อ “โรสลิน”อยู่ใต้รูป อรุณวตีเปิดประตูเดินเข้ามา ธรรม์หันไปมองแล้วยกมือไหว้
“คุณมาขอพบชั้นเพราะเรื่องมายาล่ะสิ”
ธรรม์เข้าประเด็นทันที “ผมอยากทราบว่า ผมจะช่วยมาย่าได้ยังไง”
“ชั้นไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนักแสดง แต่เรื่องมายานี่เป็นกรณีพิเศษ ชั้นเสียดายความสามารถของเค้า ขอพูดตรงๆนะ ถ้ามายาไม่มีคุณ เค้าจะไปได้ไกลทีเดียว”
“แต่มาย่าอยู่ตัวคนเดียวนะครับ”
“ก่อนหน้านี้มายาไม่มีคุณ เค้าก็ยังอยู่มาได้ เค้ารู้ว่า มีคุณเป็นที่พึ่ง เค้าก็ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งคิดว่าอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ชั้นเชื่อว่ามายาอยู่ได้”
“สรุปก็คือมาย่าไม่ควรจะมีผมอยู่ในชีวิตเค้า”
“คุณก็เหมือนกัน ถ้าคุณมีห่วงอยู่ข้างหลัง คุณจะทำงานเสี่ยงอันตรายได้เต็มที่มั้ยล่ะ ตอนนี้ทั้งคุณทั้งมายามาถึงทางแยกที่จะต้องเลือกแล้ว งานหรือว่าความรัก”
“แล้วทำไมคนอื่นไม่ต้องเลือกล่ะครับ”
“แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงเวลาที่พวกคุณจะต้องทุ่มเทกับงาน ไม่งั้นก็จะต้องสูญเสียไปทั้งสองอย่าง ถ้าคุณเลือกได้เมื่อไหร่ ก็มาบอกแล้วกัน”
“ถ้าผมบอกว่า ผมเลือกแล้วล่ะครับ มีอะไรรับรองได้ว่า มาย่าจะได้กลับไปเป็นนักแสดงแถวหน้าอีก”
อรุณวตีมั่นใจ “ชั้นให้คำมั่นกับคุณได้ ถ้าคุณเลือกทางที่ถูก มายาจะได้กลับมาเป็นนางเอกอีกครั้ง ชั้นวางแผนอนาคตให้มายาไว้แล้ว”
ธรรม์ตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปจากมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์นั่งจ้องมองสร้อยข้อมือหนังที่ใส่อยู่ เจ๋งเช็ดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ห่างออกไป ส่วนตี๋เล็กกับบ๊วยจ้องมองอิทธิฤทธิ์อยู่เงียบๆ พอทั้งสองเห็นอิทธิฤทธิ์นิ่งคิดก็ทำหน้าเครียดตาม
“พี่อิทไม่ต้องคิดมากเลย มีพ่อรวยอย่างพี่อิทขี่มอไซด์เล่นขำๆซักปีสองปียังได้” บ๊วยบอก
“อนาคตเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ใช้ชีวิตชิลๆ ไป พี่ อย่าซีเรียส!” ตี๋เล็กว่า
“เฮ้ย! ไม่ได้ ! อนาคตเป็นเรื่องต้องคิด พวกแกเล่นแนะนำให้พี่อิทหายใจทิ้งไปวันๆงั้นเหรอ เดี๋ยวพี่อิทได้ถูกพี่ชนทิ้งแน่” เจ๋งท้วง
อิทธิฤทธิ์พูด “ชั้นไม่ได้คิดเรื่องตัวเอง ชั้นคิดเรื่องชน เค้าดีกับชั้นจริงๆว่ะ ชั้นอยากทำอะไรให้เค้าได้มากกว่านี้”
“พาไปเที่ยว พี่ เอาแบบมันๆเสี่ยงๆ หลุดโลกไปเลย ขาโหดอย่างพี่ชนต้องชอบแน่” ตี๋เล็กเสนอ
บ๊วยออกความเห็น “บันจี้จัมพ์ดีมั้ย พี่”
“ล่องแก่งดีกว่า” ตี๋เล็กบอก
“ยังไม่มัน พี่ พาไปเลี้ยงจระเข้ ว่ายน้ำกับฉลาม ขี่เสือเล่นเงี้ย น่าจะโดน”
“เฮ้ย! ไงพี่ชนก็เป็นผู้หญิง พี่เค้าต้องชอบอะไรที่โรแมนติคมากกว่า” เจ๋งว่า
อิทธิฤทธิ์โพล่งออกมา “ไปออกเดท!”
อิทธิฤทธิ์นึกได้ว่าจะทำอะไรให้ชนมนก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที ตี๋เล็กกับบ๊วยรีบลุกขึ้นยืนตาม
“ชั้นจะพาชนไปออกเดท ! เดทครั้งนี้ชนจะไม่มีวันลืมเลย”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่คิดเองได้
ชนมนกับชูชัยช่วยกันเก็บจานและแก้วน้ำบนโต๊ะ ลูกค้าช่วงบ่ายคนสุดท้ายเดินออกไป ชินพัฒน์ถือซองจดหมายวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ผลสอบมาแล้ว พี่ชน!”
ชนมนกับชูชัยวางมือจากงานทันที
“เฮ้ย! ทำไมเร็วนักล่ะ” ชนมนว่า
“แกรู้ได้ยังไง ไอ้ชิน” ชูชัยถาม
“มันจะยากอะไร ดูหัวซองจดหมายก็รู้แล้ว ผมอ่านหนังสือออกนะ พ่อ”
ชนมนรับซองจดหมายจากชินพัฒน์มาด้วยความตื่นเต้น แล้วชนมนก็รีบยื่นซองจดหมายให้ชูชัย
“พ่อดูให้หน่อย หนูไม่ไหว หนูตื่นเต้น”
“แกต้องเปิดเอง”
ชินพัฒน์ส่งกรรไกรให้ชนมนทันที ชนมนใช้กรรไกรตัดเปิดซองแล้วดึงจดหมายในซองแล้วคลี่ออกมาอ่านอย่างลุ้นๆ ชนมนอ่านจดหมายแล้วก็นิ่งอึ้งตัวชาไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ช็อคไปเลยเหรอ พี่ชน ทำใจดีๆไว้ อย่าเสียใจไปเลยนะ พี่ชนเรียนเก่งแค่ไหนเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เดี๋ยวพี่ชนไปสอบชิงทุนที่อื่นก็ได้ แถบแทนซาเนีย ซิบบับเวเนี่ยน่าจะพอขอทุนได้”
ชินพัฒน์ลูบไหล่ลูบหลังชนมนอย่างปลอบใจ ชูชัยยังนิ่งฟังรอคำตอบจากชนมนอยู่
“หนูสอบได้ พ่อ! หนูสอบได้!” ชนมนบอก
ชนมนเข้ามากอดชูชัยด้วยความดีใจ
ชินพัฒน์กลับลำทันที “ผมก็คิดอยู่แล้วว่า พี่ชนต้องสอบได้ ไม่มีใครจะเก่งเกินพี่ชนไปได้ดีใจด้วยนะ พี่ชน!”
ชินพัฒน์โผเข้าไปกอดชนมน แล้วสามพ่อลูกก็กอดกันด้วยความดีใจที่ท่วมท้น
“พ่อดีใจด้วย ชน”
“อย่างนี้พี่ชนก็ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้วดิ!”
มณีมันตราถือถุงชอปปิ้งใบใหญ่ 2-3 ใบเดินเข้ามา เธอถึงกับชะงักเมื่อรู้ว่าชนมนสอบชิงทุนได้ ชนมนเองก็ชะงักมองมณีมันตราแล้วก็คิดถึงอิทธิฤทธิ์ได้ในทันที
มณีมันตราวางถุงชอปปิ้งลงบนเตียง ชนมนยืนมองมณีมันตราโดยรอดูว่ามณีมันตราจะคิดยังไง
“พี่ชนอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับอิทนะคะ อย่างน้อยก็ขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน” มณีมันตราบอก
“ทำไมเหรอ ย่า วันนี้มีอะไร” ชนมนสงสัย
“อิทเค้าจะพาพี่ชนไปดินเนอร์น่ะค่ะ นี่จะเป็นเดทครั้งแรกของพี่ชนกับอิท ทำให้มันเป็นวันดีๆที่น่าจดจำดีกว่านะคะ”
“แต่พี่คงต้องบอกอิทเร็วๆนี้แหละ ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าอิทจะว่าไง”
“ให้มันเป็นเรื่องของพรุ่งนี้เถอะค่ะ วันนี้จะต้องเป็นวันที่พี่ชนกับอิทมีความสุขที่สุดมาๆ รีบแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“แต่งตัวอะไร อิทจะพาพี่ไปไหนเหรอ”
“ไม่ต้องรู้ค่ะ พี่ชนทำตามที่ย่าบอกก็พอแล้ว แต่ทุกอย่างอิทเป็นคนเตรียมการหมดนะคะ อย่างแรกเลย อิทให้ย่ามาช่วยเสกให้พี่ชนเป็นเจ้าหญิงในวันนี้”
ชินพัฒน์พูดขึ้น “ให้ผมช่วยด้วยนะครับ”
มณีมันตราหันไปเห็นชินพัฒน์มองตาปรอยมาแบบอยากจะใกล้ชิดกับเธอ มณีมันตราจึงเดินเข้าไปหาชินพัฒน์
“ชินช่วยพี่มาย่าเรื่องอื่นดีกว่านะ”
มณีมันตราก้มลงกระซิบให้ชินพัฒน์ช่วยกันชูชัย ชินพัฒน์พยักหน้าหงึกๆไม่หยุด
“ได้ครับ ได้ สบายมาก”
“ขอบคุณนะจ๊ะ ชิน”
มณีมันตราหอมแก้มชินพัฒน์เบาๆ ชินพัฒน์ลืมตาโพลงเหมือนถูกไฟช็อต
“ผมจะไม่ล้างหน้าไปตลอดชีวิต!”
ชินพัฒน์วิ่งออกไปแล้วร้องกรี๊ดฟังไม่เป็นภาษาด้วยความดีใจสุดขีด มณีมันตรายิ้มขำแล้วปิดประตู
เธอหันกลับมามองชนมนที่ยืนหน้าตาเหรอหรารออยู่
ชินพัฒน์พยายามฉุดชูชัยให้ออกไปจากบ้าน
“ไปๆ เร็วดิ พ่อ เดี๋ยวห้างปิด”
“ห้างที่ไหนปิดตอนนี้วะ แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้” ชูชัยสงสัย
“ก็เดี๋ยวของหมด ของที่พี่ชนอยากได้มันหมดแล้วหมดเลยนะ เราจะให้ของขวัญพี่ชนทั้งที ก็ต้องหาที่พิเศษสุดๆไม่ใช่เหรอ พ่อ”
“เดี๋ยวชั้นให้เงินแกไปซื้อล่ะกัน ไม่อยากปิดร้าน”
“ไม่ได้ เราต้องไปซื้อด้วยกัน มันถึงจะมีความหมาย ปิดร้านวันเดียว ไม่เจ๊งหรอกวันนี้ให้พี่ชนเค้าพักวันนึงเหอะ พ่อ วันนี้วันพิเศษของพี่ชนเค้านะ”
“เออๆ ก็ได้ๆ” ชูชัยตะโกนไปด้านหลัง “ไอ้ชน! เดี๋ยวปิดร้านเลยนะ”
ชูชัยมองไปด้านในบ้านแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากชนมน
ชูชัยสงสัย “มันทำอะไรอยู่”
“ก็คุยอยู่กับพี่มาย่าไง ไปๆ พ่อ เราจะได้รีบกลับมาฉลองกับพี่ชน”
ชินพัฒน์ลากชูชัยออกไปจนได้ ชินพัฒน์แอบหันมามองมณีมันตราที่แอบย่องออกมามองลาดเลา มณีมันตราชูนิ้วโป้งให้ว่ายอดเยี่ยม ชินพัฒน์แอบส่งจูบให้มณีมันตราแล้วรีบดึงชูชัยออกไปจากบ้าน
“ออกมาได้แล้วค่ะ พี่ชน ทางสะดวกแล้ว!”
มณีมันตรามองไปทางชนมนที่แต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกมา
ณ ร้านอาหารสวยและโรแมนติคซึ่งเหมาะสำหรับคู่รักออกเดท อิทธิฤทธิ์แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษนั่งรออยู่ที่โต๊ะมุมด้านในแต่ก็นั่งไม่ติด เขามองนาฬิกาข้อมือด้วยความตื่นเต้นและลุ้นว่าชนมนจะยอมมาไหม
อิทธิฤทธิ์มองไปที่ทางหน้าร้านตลอดเวลาแล้วเขาก็นิ่งชะงักไปก่อนที่จะยิ้มด้วยความดีใจสุดๆ ชนมนในชุดสวยหวาน แต่งหน้าทำผมแบบจัดเต็มแต่ดูสวยสดใสแบบวัยรุ่นเดินเข้ามาอย่างประหม่า อิทธิฤทธิ์รีบลุกขึ้นไปหา
ชนมนมองไปด้านหลังที่มณีมันตราซึ่งเป็นคนพามาส่งยืนอยู่ มณีมันตรายิ้มอย่างภูมิใจในฝีมือตัวเอง เธอโบกมือลาชนมนอย่างดีใจด้วยแล้วเดินออกไป อิทธิฤทธิ์เดินมาหยุดตรงหน้าชนมน ทั้งสองยืนมองตากันอยู่กลางร้านเหมือนมีกันเพียงแค่สองคน อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนแล้วจะจูงมือเธอเดินไปที่โต๊ะแต่ชนมนดึงมืออิทธิฤทธิ์ไว้
“เดี๋ยว..นายจะไม่พูดอะไรซักหน่อยก่อนเหรอ”
อิทธิฤทธิ์หันกลับมามองชนมนแล้วยิ้มขำ อิทธิฤทธิ์หันไปทางบริกรที่รอคิวอยู่ บริกรถือช่อดอกกุหลาบปราดเข้ามายื่นให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ส่งช่อกุหลาบให้กับชนมน ชนมนยิ้มมีความสุขที่ได้มีคืนที่โรแมนติคกับเขาเหมือนกัน
“วันนี้เธอสวยมาก” อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ “สวยแค่วันนี้วันเดียวก็พอนะ ไม่อยากให้ผู้ชายคนอื่นมอง หวง! เข้าใจป่าว!?”
อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนพาเดินไปที่โต๊ะด้านใน
มณีมันตราเดินออกมาจากทางร้านอาหาร แล้วเสียงมือถือของมณีมันตราก็ดังขึ้น มณีมันตรามองหน้าจอมือถือแล้วกดรับด้วยความดีใจ
“พี่ธรรม์! ตกลงวันนี้พี่ธรรม์ว่างหรือเปล่าคะ” มณีมันตราจ๋อย “ไม่ว่างเหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะ”
ธรรม์พูดมาจากปลายสาย “มองมาที่ 12 นาฬิกา”
มณีมันตรารีบหันไปมองตามที่ธรรม์บอก มณีมันตรายิ้มดีใจแล้วโบกมือให้ธรรม์ ธรรม์ปิดมือถือแล้วรีบก้าวยาวๆ เข้ามาหามณีมันตรา
“หลอกกันได้นะ พี่ธรรม์ แล้วนี่ไม่ติดงานอะไรแน่นะคะ”
“แน่สิ อิทเค้าออกเดทกับชน เราก็ต้องออกเดทบ้างสิ คู่เราจะน้อยหน้าคู่นั้นได้ยังไง”
“พี่ธรรม์จะพาย่าไปเดทที่ไหนเหรอคะ”
“เดี๋ยวก็รู้ ไป..เราไปสร้างความทรงจำดีๆกัน”
“วันนี้โรแมนติคจังค่ะ หมวดธรรม์ ไปค่ะ ย่าพร้อมที่จะไปสร้างความทรงจำดีๆของเราสองคนแล้ว”
ธรรม์ยื่นมือออกไป มณีมันตราจับมือธรรม์ไว้
“เรามาทำให้เวลาที่เรามีอยู่ตอนนี้ให้มีค่าที่สุด..แล้วเราจะได้ไม่มีอะไรต้องมาเสียใจทีหลัง”
ธรรม์จับมือมณีมันตราแล้วพาเดินไปด้วยกัน
อิทธิฤทธิ์กับชนมนนั่งกินอาหารด้วยกันอยู่ที่โต๊ะ ทั้งสองกินกันไปคุยกันไปอย่างสบายและมีความสุข ชนมนกินอาหารไปเรื่อยๆ โดยไม่รักษาภาพ แล้วชนมนก็นึกได้จึงมองไปรอบๆร้าน
ชนมนกระซิบ “อิท..ร้านนี้แพงมั้ยเนี่ย”
“หยุดเลย ไม่ต้องคิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น วันนี้เป็นวันพิเศษของเราสองคนนะ”
“ขอบคุณนะ อิท”
“ชั้นสิที่ต้องขอบคุณเธอ นี่มันเล็กน้อยมาก ถ้าเทียบกับทุกอย่างที่เธอทำให้ชั้นขอบคุณกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ยังไม่พอ”
“เธอก็ช่วยชั้นตั้งหลายครั้ง ไม่ใช่ว่าชั้นช่วยเธอฝ่ายเดียว คิดๆแล้ว เราผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะเนอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย...”
“ชั้นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ชั้นจะได้ยัยป้าแว่นขาโหดมาเป็นแฟน”
“เดี๋ยวเถอะ ไอ้เด็กแว้น”
อิทธิฤทธิ์แกล้งทำโกรธ “ฝากไว้ก่อนๆ นี่ถ้าไม่ได้อยู่ร้านอาหาร ได้มีตบจูบแน่”
ชนมนทั้งเขินทั้งขำ “จะบ้าเหรอ ลองดิ ชั้นเตะก้านคอนายแน่”
ชนมนเขินจัดจนต้องก้มหน้าก้มตาเอาอาหารยัดใส่ปากจนแทบจะสำลัก
“กินช้าๆก็ได้..” อิทธิฤทธิ์ล้อ “รู้นะ คิดอะไรอยู่..เดี๋ยวคืนนี้ได้รู้กัน”
ชนมนตาโตด้วยความตกใจ “คืนนี้..คืนนี้นายคิดจะทำอะไร?!”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ชนมนจ้องมองอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ไว้ใจ
ธรรม์พามณีมันตราเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ของโรงละคร
“พี่ธรรม์รู้ได้ไงว่า ย่าอยากดูละครเรื่องนี้ บัตรขายหมดไปตั้งนานแล้วนี่คะ”
“ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของหมวดธรรม์หรอก”
“ขอบคุณมากๆค่ะ หมวดธรรม์เก่งที่สุด ไม่ให้รักได้ไงเนี่ย พี่ธรรม์มาดูนี่ มา”
มณีมันตราดึงธรรม์ไปเดินดูโปสเตอร์ละครเวทีเรื่องต่างๆที่ติดอยู่ตามผนังของล็อบบี้
“นี่ค่ะ ย่าชอบละครเรื่องนี้มากๆ เรื่องนี้ก็ชอบ เพลงเพราะม๊าก เรื่องนี้ตื่นเต้นสุดๆ แล้วเรื่องนี้ๆ ย่าอยากเล่นมากเลยล่ะค่ะ”
ธรรม์ยิ้มเอ็นดู “สรุปว่า ชอบทุกเรื่อง”
“ก็ย่าชอบดูละครเวทีนี่คะ อีกไม่กี่เดือนพี่ธรรม์ก็จะได้เห็นย่าเล่นละครเวทีครั้งแรกแล้วนะ..อย่าลืมนะ ดอกไม้นะ พี่ธรรม์ ต้องเป็นกุหลาบขาวช่อโตๆด้วย”
มณีมันตราเดินต่อไป ธรรม์หยุดยืนมอง
ธรรม์พึมพำ “..พี่คงไม่อยู่ถึงวันนั้น”
มณีมันตราเดินเดินดูโปสเตอร์ต่อไป ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมณีมันตราแล้วซุบซิบกันแต่มณีมันตราไม่สนใจ ธรรม์ยืนมองปฏิกิริยาของผู้คนรอบด้านแล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าตัดสินใจไม่ผิด ธรรม์เดินตามมาอยู่ห่างๆ แล้วหยิบมือถือขึ้นมาเก็บรูปมณีมันตราไว้เป็นความทรงจำ
มณีมันตราเดินดูโปสเตอร์ละครเวทีด้วยความเพลิดเพลิน มณีมันตรายังคงดื่มด่ำกับบรรยากาศละครเวทีและศิลปะ มณีมันตราหันมายิ้มให้ธรรม์โดยไม่ทันเห็นว่าธรรม์ยิ้มเศร้าที่จะไม่ได้เห็นมณีมันตราแบบนี้อีกแล้ว ธรรม์รีบปรับความรู้สึกให้เป็นปกติ มณีมันตรารีบเดินเข้าไปหาธรรม์
“มาถ่ายรูปด้วยกันดีกว่าค่ะ พี่ธรรม์”
“ไม่ดีมั้ง”
“ไม่มีใครสนใจย่าหรอก พี่ธรรม์ก็ดูสิ มีใครมองย่าที่ไหน มาๆ มาถ่ายรูปกัน”
มณีมันตราดึงมือถือมาจากธรรม์แล้วยืนชิด เธอยื่นหน้าไปใกล้ๆธรรม์แล้วกดถ่ายรูป ธรรม์หันไปมองหน้ามณีมันตราที่ตอนนี้อยู่ใกล้ชิดกันมาก ธรรม์อยากเก็บภาพมณีมันตราที่มีความสุขแบบนี้ไว้
“มองกล้องสิคะ พี่ธรรม์”
มณีมันตราหันหน้ามามองธรรม์ด้วยความแปลกใจ ธรรม์ยิ้มให้แล้วหันไปถ่ายรูปคู่กับมณีมันตรา
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
ธรรม์พามณีมันตรามานั่งลงตรงที่นั่งในโรงละคร มณีมันตราหยิบสูจิบัตรมาเปิดอ่านอย่างสนใจ
“ย่าไม่ได้ดูละครเวทีมานานมากแล้วนะเนี่ย”
มณีมันตราเงยหน้ามองธรรม์แล้วยิ้มประจบ
“ขอบคุณพี่ธรรม์อีกครั้งนะคะ วันนี้จะเป็นวันที่มีความทรงจำดีๆของเราอีกวันทุกนาทีที่เราได้อยู่ด้วยกันมีค่าเสมอ แล้วเราก็จะมีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปอีกนานๆ”
“รู้มั้ยว่า พี่เพิ่งเข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตทุกวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายในวันนี้นี่เอง เพราะเราไม่รู้ว่า วันสุดท้ายของเราจะมาถึงวันไหน”
“ฟังแล้วเศร้าอะ ไม่นะคะ เราคิดอย่างนี้ดีกว่า คิดว่า เราต้องมีวันพรุ่งนี้เสมอ”
ไฟในโรงละครเริ่มหรี่มืดลง เสียงปรบมือของคนดูดังสนั่นเป็นสัญญาณว่าละครเวทีจะเริ่มแล้ว ธรรม์ไม่ตอบอะไรอีก เขาเอื้อมมือไปกุมมือมณีมันตราไว้และจับไว้อย่างนั้นตลอด มณีมันตรามองไปที่เวทีแบบตั้งใจรอดูละครอย่างใจจดใจจ่อ ธรรม์หันมามองมณีมันตราไว้อย่างนั้น
อิทธิฤทธิ์เอาสองมือบังตาชนมนไว้แล้วพาบอกทางให้เดินตรงไปเรื่อยๆถึงกลางสนาม
“ช้าๆ คราวนี้ยกเท้าสูงนิดนึง แล้วค่อยๆก้าวไป เดินต่อๆ เอ้า ถึงแล้ว อย่าเพิ่งลืมตาล่ะ”
ชนมนหลับตายืนอยู่กลางสนามที่มีพลุไฟเย็นปักไว้เป็นวงกว้างรอบตัว
“ยืนอยู่ตรงนี้นะ ห้ามขยับตัวไปไหนเด็ดขาด”
อิทธิฤทธิ์รีบหลบออกไปจัดการภารกิจ
“นายจะให้อะไรชั้นอีก ให้ชั้นทายนะ ถุงมือหรือไม่ก็แจ็กเก็ตหนังไว้ใส่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นายใช่มั้ยล่ะ”
ชนมนได้ยินเสียงไฟดังฟู่ๆเบาๆ เธอลืมตาแล้วพบว่ารอบตัวของเธอเต็มไปด้วยไฟเย็นที่พุ่งขึ้นจากพื้นเหมือนน้ำตกไฟที่พุ่งขึ้นไม่ขาดสาย อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาหาชนมนที่ยืนชื่นชมความสวยสดใสของบรรยากาศรอบๆตัว
“ชอบมั้ย คราวนี้ชั้นลงมือทำเองคนเดียว ชั้นทุ่มแรงกายแรงใจสุดๆ เพราะเธอเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียวในชีวิตของชั้น ชนมน...”
ชนมนเขินเลยแกล้งทำเฉยๆใส่ “นึกว่าคืนนี้จะมีอะไร แค่นี้เองเหรอ”
“โห..นี่ชั้นวิ่งวุ่นทั้งวันเลยนะ ทั้งขนของทั้งขุดดินเองคนเดียว ไม่ยอมให้ใครช่วย เหนื่อยสุดๆ!”
“ก็ดีแล้วนี่ เธอจะได้รู้ว่า ตอนที่ชั้นช่วยนายจัดฉากเพื่อบอกรักมาย่าน่ะ ชั้นเหนื่อยแค่ไหน ชั้นเหนื่อยกับนายตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเหนื่อยไปอีกนานแค่ไหน..”
“ที่ชั้นบอกให้เธอรู้ว่า ชั้นเหนื่อย ก็เพื่อจะบอกว่า ชั้นทำทุกอย่างเพื่อจะได้มีวันดีๆของเราสองคน ไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหน ชั้นก็ยอม ชั้นอยากให้เธอมีความสุข เธอจะได้ไม่มีวันลืมวันนี้ แต่..ชั้นคงเหนื่อยเปล่า เพราะทุกอย่างที่ชั้นทำลงไป มันไม่มีความหมายสำหรับเธอ”
“อิท!!”
อิทธิฤทธิ์เดินงอนๆออกไป ชนมนตกใจเพราะไม่คิดว่าอิทธิฤทธิ์จะโกรธจริง
อิทธิฤทธิ์เดินกลับมาจะตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ โดยตลอดทางที่เดินมาก็ยังมีพลุไฟเย็นพุ่งขึ้นเป็นระยะๆ อยู่ด้านหลัง ชนมนรีบวิ่งมาดึงแขนอิทธิฤทธิ์ไว้
“อิท! ชั้นขอโทษ...อย่าโกรธเลยนะ นะ..”
อิทธิฤทธิ์พูดโดยไม่ยอมมองหน้าชนมน “ไม่ได้โกรธ!”
“ชั้นอยากจะพูดอะไรดีๆ แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง”
“งั้นก็ไม่ต้องพูด”
ชนมนง้อสุดๆ “อิท..”
อิทธิฤทธิ์ทำหยิ่งสุดๆ “ไรอีกล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ยอมหันหน้าไปหาชนมน ชนมนเขย่งขาสุดตัวแล้วหอมแก้มอิทธิฤทธิ์เบาๆ
“เค้าง้อแล้วนะ” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์ตกใจเพราะคาดไม่ถึง เขาเขินจนทำอะไรไม่ถูก
“ชน!”
“ชั้นจะไม่มีวันลืมวันนี้เลย” ชนมนบอก
“ชั้นก็เหมือนกัน!” อิทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์ได้สติก็กลับมายิ้มกริ่ม เขาขยับเข้าไปหาชนมนที่ค่อยๆถอยหลังหนีอย่างระวังตัว
“จะทำอะไร”
“ก็หอมคืนน่ะดิ เดี๋ยวขาดทุน”
ชนมนวิ่งหนีออกไปทันที
“อย่าหนีดิ!”
“อย่านะ ไม่งั้นชั้นฟ้องพ่อ!”
อิทธิฤทธิ์ตะโกนเล่นๆ “ลุงชู! ขอวันนึงนะครับ”
ชนมนวิ่งอยู่ในวงของพลุไฟเย็นอิทธิฤทธิ์วิ่งไล่ไปรอบๆ จนคว้าเอวชนมนไว้ได้ อิทธิฤทธิ์กอดชนมนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอย่างมีความสุข อิทธิฤทธิ์กับชนมนหยุดเล่นไฟเย็นด้วยกัน
อิทธิฤทธิ์หมุนไฟเย็นเป็นรูปหัวใจ ชนมนมองอย่างทึ่งๆจนเผลอตัว อิทธิฤทธิ์ย่องมาข้างๆแล้วหอมแก้มชนมนเบาๆได้สำเร็จ
ธรรม์เดินมาส่งมณีมันตราโดยจวนจะถึงตัวบ้านอยู่แล้ว มณีมันตราเดินเกาะแขนธรรม์มาตลอดทาง
“วันนี้ย่ามีความสุขจังเลย พี่ธรรม์ ตอนนี้ย่าไม่คิดเรื่องงานไม่คิดเรื่องอื่นเลย เวลาเราอยู่กันสองคน..เที่ยวกันสบายๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว..อยากให้ชีวิตเป็นอย่างนี้ทุกวันเลย”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ย่า พรุ่งนี้เราก็ต้องกลับไปทำงาน แล้วเราก็ต้องเจอปัญหาอีก”
“ไม่ว่าย่าจะต้องเจอเรื่องอะไรอีก ย่าต้องผ่านไปได้ค่ะ ย่ามีพี่ธรรม์อยู่ข้างๆ ย่าไม่กลัวอะไรแล้วล่ะ”
“ถึงย่าจะไม่มีพี่อยู่ข้างๆ ย่าก็จะผ่านทุกอย่างไปได้ ย่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งกว่าที่ใครๆคิด ย่าโตแล้วนะ คิดแค่วันนี้พรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว ต้องคิดไปไกลๆคิดเรื่องอนาคตของตัวเองด้วย”
“พี่ธรรม์แอบซีเรียสนะเนี่ย มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไร แค่ไม่อยากให้ย่าคิดเรื่องเที่ยวมาก คิดเรื่องงานไว้ด้วย ไปนอน ไปดึกแล้ว”
“กู๊ดไนท์นะคะ พี่ธรรม์ ขอบคุณสำหรับวันนี้”
มณีมันตราโบกมือให้ธรรม์แล้วจะเดินเข้าไปในบ้าน ธรรม์มองมณีมันตรารู้ว่าจะไม่ได้มาส่งเธออย่างนี้อีกแล้ว
“ย่า..”
มณีมันตราหันหน้ากลับมา ธรรม์ก้าวยาวๆไปหาแล้วรวบตัวมณีมันตราเข้ามากอดเหมือนเป็นการกอดครั้งสุดท้าย
“วันนี้พี่ก็มีความสุขมาก.. ทุกวันของเราจะเป็นความทรงจำที่พี่จะไม่มีวันลืม”
ธรรม์ปล่อยมือจากมณีมันตราแล้วเดินออกไป มณีมันตรามองตามธรรม์อย่างไม่แน่ใจว่าเขาหมายความว่ายังไง
ชนมนถือช่อดอกกุหลาบเดินหน้าบานอย่างมีความสุขเข้ามา
ชนมนหยุดชะงักเมื่อเห็นชูชัยนั่งรออยู่โดยตรงหน้าชูชัยมีกล่องใบใหญ่วางอยู่
“พ่อ..”
“ไปกับนายอิทมาล่ะสิ”
“หนูขอโทษนะ พ่อ เออ..คือ..”
“ไม่ต้องแก้ตัว นายอิทคงอยากจะเป็นคนแรกที่ฉลองให้แกล่ะสิ”
“ไม่ใช่หรอก พ่อ อิทยังไม่รู้เลยว่า หนูสอบชิงทุนได้”
“แล้วทำไมแกถึงไม่บอก”
“หนู..หนูไม่แน่ใจว่า อิทเค้าจะคิดยังไง..ชีวิตของอิทเพิ่งจะลงตัว.หนูไม่อยากให้อิทมีเรื่องไม่สบายใจอีก”
“ตอนนี้เรื่องเดียวที่แกต้องคิด คืออนาคตของแกเอง รีบบอกเรื่องนี้กับนายอิทซะยิ่งบอกช้าก็จะยิ่งมีปัญหา”
ชูชัยเดินออกไปแล้วหยุดหันกลับมา
“กล่องบนโต๊ะเป็นของขวัญจากพ่อ” ชูชัยบอก
ชนมนเปิดกล่องออกแล้วดึงเสื้อกันหนาวออกมาดู
“ใกล้ความจริงขึ้นทุกทีแล้ว ไอ้ชน”
ชนมนกอดเสื้อกันหนาวไว้อย่างเริ่มหนาวในใจขึ้นมาแล้ว
เช้าวันใหม่ ธรรม์มาขออนุญาตอิทธิพลเพื่อย้ายไปประจำชายแดน โดยธรรม์รอฟังคำตอบของอิทธิพลอยู่ ถนอมมองอิทธิพลที่กำลังคิดพิจารณาอยู่อย่างอดรนทนไม่ไหว
“คุณท่านไม่ต้องคิดพิจารณาเลยค่ะ ยังไงก็อนุญาตให้ไม่ได้ คุณธรรม์อยากทำงานรับใช้ชาติบ้านเมือง ก็ทำงานที่ไหนก็ได้นี่คะ ทำไมต้องย้ายไปอยู่จังหวัดชายแดน” ถนอมว่า
“ป้าหนอมครับ เรื่องนี้ผมคิดไว้ตั้งแต่เข้าโรงเรียนนายร้อยด้วยซ้ำ แล้วผมก็ได้ขออนุญาตคุณพ่อไว้นานแล้ว นี่ถึงเวลาแล้วนะครับ คุณพ่อ” ธรรม์บอก
“แกแน่ใจว่าถึงเวลาแล้วใช่มั้ย” อิทธิพลถาม
“ครับ ผมแน่ใจ”
“งั้นพ่ออนุญาต แต่แกต้องไปสะสางเคลียร์ทุกอย่างที่ค้างคาอยู่ให้เรียบร้อยทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว อย่าให้มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
“ครับ ผมทราบว่า ผมจะต้องทำอะไร”
“แล้วคุณมาย่าทราบเรื่องนี้แล้วหรือยังคะ คุณธรรม์ เรื่องนี้ไม่ได้จะเคลียร์กันง่ายๆนะคะ คุณธรรม์” ถนอมว่า
ธรรม์นิ่งอย่างหนักใจที่ต้องบอกมณีมันตราเรื่องนี้
มณีมันตราเดินเข้ามาแล้วหยิบบทละครออกจากกระเป๋ามานั่งอ่าน มณีมันตรานั่งอ่านบทละครไปสักพักก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากมุมห้อง เธอหันไปมองหาที่มาของเสียงจนเห็นนุกนิกนั่งก้มหน้าอ่านบทไปแล้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ มณีมันตราหันกลับมาอ่านบทของตัวเองต่อ นุกนิกส่งเสียงสะอื้นออกมาอีกแล้วฟุบหน้าลงกับบทละคร มณีมันตราจำต้องเดินไปหานุกนิกที่มุมห้อง
“อินกับบทมากไปหรือไง พักซักแป๊บ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
“ไม่ใช่ค่ะ นุกนิกไม่เข้าใจตัวโรสลินเลยน่ะค่ะ ผู้หญิงอะไรจะดีขนาดนี้ แล้วแต่ละฉากก็ย๊ากยาก ยิ่งฉากที่จะซ้อมกันในวันนี้ นุกนิกไม่เข้าใจเลยล่ะค่ะ”
“ฉากไหนคะ”
“ฉาก 15 ค่ะ ฉากที่นีรชาไล่โรสลินออกไปจากบ้าน ถ้านุกนิกไม่สามารถเป็นโรสลินได้อย่างที่คุณวตีต้องการ นุกนิกต้องถูกถอดออกจากละครเรื่องนี้แน่ๆ เลยล่ะค่ะ พี่มาย่า”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เรายังมีเวลาซ้อมอีกตั้งเป็นเดือน ซ้อมบ่อยๆเดี๋ยวก็ได้เอง”
มณีมันตราเดินออกไป นุกนิกมองตามอย่างขัดใจที่ยังไม่เป็นไปตามแผน
“พี่มาย่าช่วยซ้อมให้นุกนิกหน่อยได้มั้ยคะ นะคะๆ”
“ก็ได้ แค่ฉากเดียวนะ”
มณีมันตราพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก นุกนิกโผเข้าไปกอดมณีมันตราด้วยความดีใจมากจนหัวเราะทั้งน้ำตา
“ขอบคุณนะคะ พี่มาย่า พี่มาย่าเหมือนนางฟ้าประจำตัวของนุกนิกเลย”
นุกนิกกอดมณีมันตราแบบกอดแล้วกอดอีกด้วยความดีใจ มณีมันตราอึดอัดใจแต่ก็ฝืนทนอยู่
สองสาวซ้อมบทด้วยกัน มณีมันตรายืนนิ่งเพราะโกรธอยู่ นุกนิกเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลัง มณีมันตราเหลือบมองไปที่นุกนิกแล้วหันหน้ากลับมาเชิดหน้าอย่างหยิ่งทรนง
“พี่นีรชาคะ”
“เธอนี่มันผู้หญิงที่ไร้ยางอายจริงๆ กล้าดียังไงถึงได้กลับมาที่บ้านนี้อีก”
“น้องขอร้องเถอะนะคะ ขอให้ฟังน้องบ้าง น้องไม่เคยคิดที่จะแย่งคุณราเชนทร์ไปจากพี่นีรชาเลย แต่เรื่องของความรัก”
ใครคนนึงถือสมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่คอยแอบบันทึกภาพไว้อยู่ที่อีกมุมของห้อง
มณีมันตราหันขวับมาจ้องนุกนิกด้วยความโกรธแค้น
“รักงั้นเหรอ”
“ค่ะ น้องรักคุณราเชนทร์ แล้วคุณราเชนทร์ก็รักน้อง เรารักกันค่ะ”
มณีมันตราเงื้อมือตบนุกนิกเต็มแรงโดยนุกนิกไม่หลบตามคิว
นุกนิกร้องไห้โฮ “พี่มาย่า!”
เมนี่กึ่งลากกึ่งพาตัวอรุณวตีเข้ามาเพื่อให้เห็นมณีมันตราที่ตบนุกนิกพอดี
“ชั้นขอโทษ..ทำไมไม่หลบอย่างที่เคยซ้อมไว้ล่ะ” มณีมันตราถาม
เมนี่พาอรุณวตีเข้ามาร่วมวงด้วยทันที
นุกนิกฟูมฟาย “นุกนิกขอโทษค่ะ นุกนิกไม่เคยคิดแย่งบทโรสลินจากพี่มาย่าเลย มันเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ แล้วจะให้นุกนิกทำยังไง”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ” เมนี่ถาม
“เราซ้อมบทกันอยู่น่ะค่ะ แล้วก็มีการผิดคิวกันขึ้น” มณีมันตราบอก
นุกนิกกุมแก้มที่แดงปื้นแล้วเข้าไปหลบหลังเมนี่อย่างตื่นกลัว
อรุณวตีถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“น้องนุกนิก บอกคุณวตีไปว่า เกิดอะไรขึ้น”
นุกนิกเอาแต่ร้องไห้ตัวสั่นในขณะที่แอบอยู่หลังเมนี่ มณีมันตราเข้าใจแล้วว่าเป็นแผนของนุกนิก
เมนี่จับหน้านุกนิกหันไปมาแล้วพินิจดูอย่างสงสารเสียเหลือเกิน
“แดงเถือกไปทั้งหน้าอย่างนี้ นี่ไม่ใช่แค่ผิดคิวแน่ๆค่ะ คุณวตี”
“นุกนิกผิดเองค่ะที่เผลอพูดไปว่า พี่มาย่าเหมาะเป็นโรสลินมากกว่านุกนิกพี่เค้าก็คงเข้าใจผิด คิดว่านุกนิกประชด พี่มาย่าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนุกนิกหรอกค่ะพี่เค้าคงกำลังเครียดที่ต้องลดตัวมาเป็นนางร้าย อีกหน่อยก็ต้องเล่นเป็นน้าเป็นป้านางเอก เป็นนุกนิกก็คงสติแตกง่ายๆเอาเหมือนกัน”
“ถึงน้องนุกนิกจะไม่เอาเรื่องมาย่า แต่คุณวตีก็ต้องจัดการเรื่องนี้นะคะ ถ้ามีนักแสดงติ๊สท์แตกอยู่ในทีมละครอย่างนี้ เราจะทำงานกันยังไงต่อไป” เมนี่ยุ
อรุณวตีเฝ้าจับตาดูมณีมันตราที่นั่งฟังอย่างสงบโดยไม่ตอบโต้ใดๆ
“ว่ายังไงล่ะ มายา”
“หนูยังยืนยันคำเดิมค่ะ เราแค่ซ้อมบทกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่นุกนิกพูดแม้แต่คำเดียว”
“ต๊ายตาย นี่เธอหาว่าน้องนุกนิกใส่ร้ายเธองั้นเหรอ ใคร๊ใครที่จะโง่ให้คนตบฟรีๆ นี่นะ เราเห็นตำตาอย่างนี้ ยังไม่ยอมรับสารภาพ ถ้ามีคนอัดคลิปไว้ล่ะก็ เธอดิ้นไม่หลุดแน่ๆ เสียดายจริงๆที่เราไม่มีคลิป”
แม็กซ์เดินเข้ามาพร้อมกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เครื่องใหญ่เบิ้ม
“แต่ผมมีคลิปครับ ผมอัดเอาไว้ได้ทันพอดี ทีนี้เราจะได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่จะดิ้นไม่หลุด”
นุกนิกกับเมนี่หันมามองหน้ากันแบบเหวอๆ
จอสมาร์ทโฟนฉายภาพมณีมันตรากับนุกนิกที่ซ้อมบทกันอย่างจริงจังโดยไม่มีนอกบท
นุกนิกยืนเฉยเพื่อให้มณีมันตราตบเต็มแรง มณีมันตราตกใจมากอย่างเป็นธรรมชาติ แม็กซ์กดหยุดภาพในสมาร์ทโฟนแล้วหันไปยิ้มกับมณีมันตราอย่างเอาใจช่วยเต็มที่ สุวิชนั่งหน้าเคร่งขรึมโดยมีเมนี่กับนุกนิกประกบซ้ายขวา ทุกคนหันไปมองอรุณวตีที่จะให้การตัดสิน
สุวิชทำมั่วไม่รู้เรื่อง “ผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ การซ้อมบท ก็ต้องมีผิดคิวกันบ้าง มาย่าก็ขอโทษนุกนิกไป เป็นเอาหมดเรื่องนะ”
“เราคงหมดเรื่องได้ ถ้าหากนิดหน่อยไม่ได้กล่าวหาว่ามายาทำร้ายร่างกาย เธอทำผิดร้ายแรงมากนะ นิดหน่อย ที่สร้างเรื่องเลวๆอย่างนี้ขึ้นมา ทำเพื่ออะไร” อรุณวตีว่า
“ก็เพื่อที่มาย่าจะได้ถูกถอดออกจากละครรักนิรันดร์น่ะสิครับ” แม๊กซ์ว่า
“น้องนุกนิกจะทำไปทำไมล่ะคะ”
“ก็เพราะนุกนิกกลัวว่ามาย่าจะได้บทนางเอกแทนไงครับ ใครๆก็รู้ว่ามาย่าเหมาะที่จะเป็นโรสลินที่สุด ผมถึงได้แอบถ่ายคลิป ถ้าปล่อยคลิปนี้ออกไป รับรองมีแต่คนอยากให้มาย่าเล่นเป็นโรสลิน” แม๊กซ์บอก
อรุณวตีดุเบาๆ “คุณแม้น!”
“ผมขอโทษครับที่ต้องขัดคำสั่ง ละครผมแป๊กมาหลายเรื่องแล้ว ผมหวังกับละครเรื่องนี้จริงๆ”
“ชั้นคงต้องขอบคุณที่คุณขัดคำสั่งของชั้น เพราะคลิปวีดีโอนี้ทำให้ชั้นตัดสินใจได้ซักที” อรุณวตีว่า
นุกนิกโวยทันที “หนูไม่ได้ตั้งใจใส่ร้ายพี่มาย่านะคะ หนูถูกพี่เมนี่บังคับค่ะ แผนการทั้งหมดนี้เป็นแผนของพี่เมนี่เค้า จำได้มั้ยคะพี่เมนี่เป็นคนพาคุณวตีเข้ามาเห็นหนูโดนพี่มาย่าตบแบบได้จังหวะพอดี๊พอดี”
“อย่าโยนความผิดให้ชั้นคนเดียวนะ นุกนิก เธอเป็นคนวางแผนนี้ ไม่ใช่ชั้นชั้นเป็นคนเตือนเธอด้วยซ้ำว่า แผนมันโบราณเกินไป แต่เธอยืนยันว่าผู้หญิงเต่าล้านปีอย่างคุณวตีต้องเชื่อแผนบ้านๆแบบนี้”
“ไม่จริงค่ะ หนูไม่รู้ไม่เห็นอะไรกับแผนการนี้เลย หนูนี่โง่จริงๆ หนูโดนพี่เมนี่หลอกใช้ให้มาทำร้ายพี่มาย่า พี่มาย่าคะ ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ” นุกนิกบีบน้ำตาไหลพราก
“ถึงชั้นจะยกโทษให้ก็ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างขึ้นอยู่การตัดสินใจของคุณวตีคนเดียว” มณีมันตราบอก
“คุณวตีครับ ยังไงคลิปอันนี้ก็ยังไม่ได้หลุดออกไป..ทำลืมๆไปซะเถอะครับ” สุวิชว่า
“ชั้นคงทำอย่างนั้นไม่ได้ การกระทำทุกอย่างจะต้องมีผลรับตามมาเสมอ ชั้นขอประกาศว่า ชั้นจะขอคัดเลือกนักแสดงละครเรื่องรักนิรันดร์ใหม่” อรุณวตีบอก
มณีมันตรามองอรุณวตีอย่างไม่แน่ใจว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
ชูชัยตักข้าวผัดใส่กล่องโฟมแล้วรัดด้วยหนังสติ๊ก เขาจัดข้าวกล่องใส่ถุงใหญ่ซึ่งมีข้าวกล่องอยู่หกกล่อง ส่วนชนมนกำลังติวเลขให้กับชินพัฒน์ที่นั่งขยุกขยิกไปมาอย่างเบื่อหน่าย
“ไหนแกลองทำเลขข้อนี้สิ นาย ก.ยืมเงินนาย ข. เป็นจำนวนเงิน 12000 บาทดอกเบี้ย 24% ต่อปี ทีนี้นาย ข.ยืมเงินไปใช้แค่ 10 เดือน นายข.จะต้องใช้เงินคืนนาย ก.เท่าไหร่”
“ทำไมนาย ข.ไม่ยืมให้ครบปีไปเลย จะได้คิดเลขง่ายๆหน่อย ข้อนี้ผ่าน ไม่ทำอะมันซับซ้อนเกินไป เค้าไม่ออกข้อสอบกันหรอก” ชินพัฒน์ว่า
“เลขง่ายๆอย่างนี้ ยังทำไม่ได้ แล้วนี่แกจะสอบขึ้นม.1 ได้มั้ยเนี่ย ถ้าแกสอบไม่ผ่านเสียชื่อติวเตอร์มือวางอันดับหนึ่งอย่างชั้นหมด”
“กว่าจะถึงตอนนั้น พี่ชนก็คงเดินเล่นชอปปิ้งอยู่ใน”ลั้นดั้น”แล้วล่ะ”
ชนมนนิ่งเงียบเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะไปเรียนต่อ ชูชัยถือถุงกล่องข้าวผัดมามาส่งให้ชินพัฒน์
“เอาข้าวไปส่งที่โรงพักไป” ชูชัยสั่ง
“ได้เลย พ่อ! ไว้รวบยอดติวทีเดียวพรุ่งนี้นะ พี่ชน คนภาระเยอะก็เงี้ย”
ชินพัฒน์คว้าถุงกล่องข้าวผัดแล้ววิ่งปร๋อออกไปทันที
“ยังไม่บอกนายอิทล่ะสิ” ชูชัยว่า
“หนูไม่รู้จะบอกยังไงนี่ พ่อ” ชนมนบอก
เสียงมือถือของชนมนดังขึ้น ชื่อของอิทธิฤทธิ์ขึ้นที่หน้าจอ ชนมนมองอย่างลังเลเพราะไม่อยากรับสาย แต่ชูชัยก็คว้ามือถือมาจากชนมนมากดรับเสียก่อน
“ฮัลโหล นี่ชั้นเอง มาคุยกันหน่อยสิ” ชูชัยบอก
ชนมนมองชูชัยด้วยความตกใจ
อรุณวตีเดินออกมาจากทางห้องประชุม โดยมีสุวิชเดินตามประกบอย่างร้อนใจ
“คุณวตีครับ คุณวตีทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราเริ่มต้นใหม่หมดเราหมดเงินไปตั้งเท่าไหร่แล้วครับ อยู่ๆจะมาเปลี่ยนนักแสดงยกเซ็ตได้ยังไง”
“ชั้นเปลี่ยนนักแสดงแค่บางคนเท่านั้นเองค่ะ”
เมนี่กับนุกนิกถลาเข้ามาทันที
“คุณวตีจะเปลี่ยนใครเหรอคะ ไม่ใช่นุกนิกใช่มั้ยคะ” นุกนิกถาม
“ใช่นุกนิกใช่มั้ยคะ” เมนี่อยากรู้
“นักแสดงที่ชั้นจะเปลี่ยนคนแรกก็คือ เธอ นิดหน่อย ชั้นให้เวลาเธอแล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถสลัดความจอมปลอมออกไปได้ แอ๊บปั้นหน้าเป็นนางเอกทุกวัน เหนื่อยมั้ยจ๊ะ เธอไม่มีวันเป็นโรสลินได้” อรุณวตีพูดกับสุวิช “เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น เราคงต้องมานัดคุยเงื่อนไขการทำงานกันใหม่นะคะ คุณสุวิช”
อรุณวตีเดินออกไป สุวิชได้แต่มองหน้าเหวอๆ เพราะทำอะไรไม่ได้
“สมน้ำหน้าจริงๆ นี่..เธอน่ะ กลับไปเชียร์เบียร์อย่างเดิมเถอะ แม่แน่งน้อย!”
“รู้ได้ไง เอ๊ย ไม่ใช่ ชั้นไม่เคยเป็นเด็กเชียร์เบียร์ และชั้นก็ไม่ได้ชื่อแน่งน้อย!”
“ชั้นไปสืบมาหมดแล้วย่ะ แม่แน่งน้อย ชั้นมีหลักฐานเพียบ ทั้งรูปBefore After ก่อนอัพหน้าและหลังอัพดั้ง ใบเปลี่ยนชื่อปลี่ยนนามสกุลก็มี ชั้นรู้ว่า เธอจะต้องพ่นพิษใส่ชั้นเข้าซักวัน แล้วเธอก็ออกฤทธิ์ออกเดชให้เห็นจริงๆ”
“ช่วยไม่ได้นี่คะ ทุกคนก็ต้องเอาตัวเองรอดไว้ก่อน คุณสุวิชเคยสอนไว้อย่างนี้ แล้วนี่นุกนิกจะทำไงดีต่อไปคะ ไม่ได้เล่นละครของคุณวตีแล้ว” นุกนิกว่า
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ได้เล่นเรื่องนี้ ก็มีเรื่องอื่นให้เล่น ปีนึงๆมีละครเป็นร้อยๆเรื่อง”
“คุณสุวิช ! นังนี่ประวัติเน่าขนาดนี้ ยังจะเอาไว้อีกเหรอคะ”
“เค้าเรียกว่ามีประวัติโชกโชน อย่างนี้นักข่าวชอบ มีข่าวให้ทำทุกวัน เผลอๆดังกว่านางเอกใสๆอีกนะ” สุวิชบอก
“เมนี่เคยดูแลแต่เด็กดีๆ จะให้มาคุมเด็กใจแตกกร้านโลกแบบนี้ ไม่ไหวนะคะ”
“นุกนิกไม่ให้พี่เมนี่ต้องเหนื่อยหรอกค่ะ เพราะต่อไปนุกนิกจะคุมพี่เมนี่เอง ง่ายๆค่ะ นุกนิกสั่ง พี่เมนี่ทำตามที่สั่ง ไม่น่าเข้าใจยากนะคะ ไปค่ะ คุณสุวิช วันนี้นุกนิกว่างแล้ว ไปสปากันดีกว่า”
นุกนิกควงแขนสุวิชออกไป เมนี่ยืนอึ้งด้วยความโกรธและหมดหวัง
แม็กซ์ดึงมือมณีมันตราเดินมาจะเข้าห้องแคสติ้ง
“วันนี้งดซ้อมไม่ใช่เหรอ รอจนกว่าคุณวตีจะประกาศแคสติ้งใหม่” มณีมันตราบอก
“มาเถอะน่า” แม๊กซ์ว่า
เมนี่เดินหน้าจ๋อยเข้ามาหามณีมันตรา
“น้องมาย่าคะ”
“พี่เมนี่”
“พี่เมนี่ขอให้น้องมาย่าโชคดีประสบแต่ความสำเร็จนะคะ ถ้าหากพี่เมนี่เคยทำให้น้องมาย่าเจ็บปวดเสียใจ พี่เมนี่ขอโทษ โลกนี้คนดีๆต้องอยู่ได้เหมือนอย่างน้องมาย่า ส่วนใครที่คิดเลวทำเลวก็จะแพ้ภัยตัวเองเหมือนพี่เมนี่นี่ไงคะ”
“หนูไม่เคยลืมหรอกนะคะ พี่เมนี่เคยสอนหนู เคยดูแลหนูมาหลายปี เราเลือกจำแต่เรื่องดีๆได้นี่คะ พี่เมนี่”
“พี่ขอให้น้องมาย่าเป็นเด็กดีอย่างนี้ตลอดไปนะ แล้วความดีจะปกป้องหนูเอง แล้วถ้าใครคิดร้ายกับหนู พี่เมนี่ลุยให้เอง ไม่ต้องห่วง แล้วเจอกันนะ”
เมนี่กอดลามณีมันตราอย่างคนที่ยังมีเยื่อใยต่อกัน แล้วเมนี่ก็เดินหงอยๆออกไป แม็กซ์ยืนมองมณ๊มันตราแล้วแอบยิ้มขำ
“นางเอกจริงๆ... ไปได้ยัง”
“มีอะไรก็บอกมาน่า”
แม็กซ์เปิดประตูห้องแล้วให้มณีมันตราเดินเข้าไปก่อน
อรุณวตียืนอยู่ตรงหน้าบอร์ดแผนผังตัวละคร “รักนิรันดร์” โดยตรงชื่อ”โรสลิน” ยังว่างเปล่าอยู่
มณีมันตรากับแม็กซ์ค่อยๆเดินตรงไปหาอรุณวตี
มณีมันตรากระซิบ “คุณวตีจะแคสติ้งใหม่วันนี้เลยเหรอ”
อรุณวตีหันมาพร้อมกับรูปถ่ายของมณีมันตราที่อยู่ในมือ
“เราจะไม่เปิดคัดเลือกนักแสดงใหม่ เพราะเรามีนักแสดงที่ต้องการแล้ว มายาชั้นขอมอบบทโรสลินให้กับเธอ!”
อรุณวตีเอารูปมณีมันตราติดที่บอร์ดเหนือชื่อของ”โรสลิน” โดยที่รูปนุกนิกหายไปแล้ว ส่วนบทนีรชายังไม่มีรูปนักแสดง มณีมันตรายืนมองโปสเตอร์ มองแผนผังตัวละคร แล้วก็จ้องรูปและชื่อโรสลินอย่างนึกไม่ถึง
“หนู...หนู..หนูได้เล่นเป็นโรสลินแล้ว ขอบคุณนะคะ คุณวตี หนูจะไม่ทำให้คุณวตีผิดหวังค่ะ หนู..หนูดีใจจนพูดไม่ออกเลย..หนู..หนู”
“หายใจก่อน ย่า หายใจก่อน แล้วอย่าลืมขอบคุณป๋าดันคนนี้ด้วยล่ะ”
“ขอบคุณนะ แม็กซ์ คุณวตีคะ เราจะเริ่มซ้อมเมื่อไหร่คะ หนูขอเวลากลับไปอ่านบทก่อนนะคะ แล้วหนู..หนูต้องกลับไปบอกข่าวดีกับคนสำคัญของหนูด้วย”
“ไม่ต้องไปหรอก เพราะคนสำคัญของเธออยู่ที่นี่แล้ว”
มณีมันตรามองตามสายตาของอรุณวตีที่มองไปทางด้านหลังก็เห็นธรรม์ยืนมองมาทางนี้
“พี่ธรรม์ พี่ธรรม์มาได้ยังไง”
“ที่ชั้นตกลงให้เธอรับบทโรสลิน เพราะเธอมีความสามารถและเหมาะสมที่สุด ที่สำคัญหมวดธรรม์ให้คำมั่นกับชั้นว่า เธอจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับละครของชั้น”
มณีมันตราเข้าใจทุกอย่างทันที “พี่ธรรม์!”
มณีมันตราที่กำลังหัวใจพองโตอย่างมีความสุขต้องค่อยๆ แห้งเหี่ยวลงไป
ธรรม์เดินเงียบๆ ออกมาจากทางห้องแคสติ้ง มณีมันตราเดินช้าๆ ตามมาทางด้านหลัง
“ทำไม...ทำไมคะ พี่ธรรม์”
ธรรม์หันกลับมามองมณีมันตราที่กำลังจะร้องไห้
“พี่ทำเพื่อย่า....”
“ย่าไม่ต้องการ รู้มั้ยที่ผ่านมา ถ้าหากจะต้องเลือก ย่าเลือกพี่ธรรม์ทุกครั้งเลือกอย่างไม่เคยลังเลใจ พี่ธรรม์รักย่าบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงได้ตัดย่าออกไปจากชีวิตได้ง่ายเหลือเกิน”
“พี่เลือกที่จะไปจากชีวิตย่า ก็เพราะพี่เห็นชีวิตย่าสำคัญกว่าชีวิตพี่ เราต่างก็รู้ว่า เงื่อนไขของคุณวตีจะเปลี่ยนชีวิตย่าไปทางที่ดี แค่เริ่มต้นย่าก็ได้กลับไปเป็นนางเอก แล้วต่อๆไปจะมีแต่งานดีๆเข้ามา”
“ไม่มีใครรับประกันได้หรอกค่ะ วงการนี้ไม่เคยมีอะไรแน่นอน”
“คุณวตีจะเป็นคนดูแลเรื่องงานให้ย่าเอง คุณวตีจะช่วยเจรจาฉีกสัญญาที่ย่า
เซ็นไว้กับคุณสุวิช ต่อไปนี้ย่าจะเป็นอิสระ ย่าเลือกงานได้เอง คนเก่งๆในวงการมีมากมายนะ ย่า แต่มีซักกี่คนที่ไม่ได้เห็นย่าเป็นสินค้า แต่เห็นคุณค่าในตัวย่าอย่างคุณวตี นี่อาจเป็นโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตของย่านะ”
มณีมันตราน้ำตาไหล “ขอบคุณค่ะ พี่ธรรม์...ขอบคุณที่เป็นห่วงอนาคตของย่า แล้วหัวใจของย่าล่ะคะ พี่ธรรม์เคยคิดห่วงบ้างมั้ย”
“ย่า...”
มณีมันตราเดินเช็ดน้ำตาออกไป ธรรม์มองตามอย่างปวดใจไม่แพ้กัน
ชนมนนั่งชะเง้อรออิทธิฤทธิ์อย่างกระวนกระวายใจ ชนมนลุกพรวดขึ้นจะเดินหนีไปแต่ชูชัยกดไหล่ให้ชนมนนั่งลง อิทธิฤทธิ์เดินหน้าสดใสอย่างมีความสุขและมั่นใจว่าชูชัยจะมีข่าวดีให้เขา อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ชูชัยอย่างเริงร่ามีความสุขมากๆ
“หวัดดีครับ คุณลุง โทรตามผมมานี่ คุณลุงพร้อมจะทำข้าวผัดให้ผมกินแล้วล่ะใช่มั้ยล่ะครับ”
อิทธิฤทธิ์นั่งลงข้างชนมนอย่างเตรียมพร้อมแล้วหยิบช้อนและส้อมอย่างมุ่งมั่น
อิทธิฤทธิ์พูดกับชนมน “ชั้นผ่านด่านพ่อเธอแล้วใช่มั้ย” อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดัง “คุณลุงครับ ผมพร้อมแล้วครับ ขอข้าวผัดลุงชูแบบพิเศษใส่ทุกอย่างเลยนะครับ”
“ถ้าอยากกิน รอไอ้ชินกลับมาก่อน”
“อ้าว! แล้วโทรเรียกผมมาทำไมครับ” อิทธิฤทธิ์งง
“ไอ้ชน..มีอะไรจะบอก”
อิทธิฤทธิ์หันไปมองชนมนแล้วเริ่มรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติแล้ว ชนมนค่อยๆเลื่อนจดหมายตอบรับทุนส่งไปให้ อิทธิฤทธิ์หยิบจดหมายตอบรับทุนออกมาอ่าน
อิทธิฤทธิ์อ่านรวดเดียว “ชน..” อิทธิฤทธิ์เงยหน้าขึ้น “เธอสอบชิงทุนได้ ชั้นดีใจกับเธอด้วยนะ”
“อ่านใหม่ แล้วอ่านให้ละเอียดๆด้วย” ชูชัยบอก
อิทธิฤทธิ์อ่านจดหมายอย่างถี่ยิบอีกครั้งแล้วก็ต้องชะงักไปแล้วเขาก็เงยหน้ามองชนมนที่กำลังหวั่นใจอยู่
“เธอสอบชิงทุนได้..ไปเรียนต่อที่อังกฤษอย่างน้อยสองปี..”
ชนมนพูดเบาๆเกร็งๆ “เย้ๆ ดีเนอะ ได้ไปเรียนถึงอังกฤษแน่ะ นายไม่ว่าไรใช่มั้ย”
“มันจะมีสิทธิ์ว่าอะไร” ชูชัยตอบแทน
อิทธิฤทธิ์พรวดพราดไปดึงชนมนขึ้นมา
“ชั้นดีใจกับเธอมากๆ ยินดีด้วยนะครับ คุณลุง ชั้นตัดสินใจแล้ว ชั้นจะเรียนต่อป.โท ชั้นจะไปเรียนกับเธอที่อังกฤษ”
“ไม่ได้!”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ พ่อผมต้องอนุญาตแน่ๆ”
“พ่อนายอนุญาต แต่ชั้นไม่อนุญาต นายจะไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ แต่ห้ามไปเรียนประเทศเดียวกับไอ้ชน ไปอยู่ไกลหูไกลตาอย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น ห้ามเด็ดขาดนะ ไอ้ชน ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป”
“คุณลุงมีเหตุผลหน่อยได้ป่าวครับ”
“ชั้นมีเหตุผลที่สุดแล้ว ผู้ชายอย่างนาย มันไว้ใจได้ที่ไหน!” ชูชัยว่า
“พ่อก็..เรามาคุยกันดีๆก่อนดีมั้ย มันต้องมีทางออกสิ” ชนมนบอก
“ไม่มีทางออกอื่นแล้ว ไม่ต้องมาขอร้อง ไม่มีอุทธรณ์ ไม่มีฎีกา ปิดคดี!”
ชูชัยเดินออกไป อิทธิฤทธิ์กับชนมนได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ
ชนมนเดินออกมาส่งอิทธิฤทธิ์ โดยที่ต่างคนต่างเดินไปคิดไปด้วยความหนักใจ
“ตั้งสองปีแน่ะ..”
“แค่สองปีเอง เวลาผ่านไปเร็วจะตายไป อิท”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ ชน”
“ไม่ได้ ชั้นพยายามแค่ไหนรู้มั้ย กว่าจะสอบชิงทุนได้”
“เธอเรียนเก่งจะตาย สอบที่ไหนก็ได้ ทำไมต้องไปเรียนไกลถึงอังกฤษด้วย ชั้นไม่เข้าใจจริงๆ”
“ชั้นวางแผนเรื่องเรียนต่อก่อนที่จะรู้จักนายอีก ชั้นตั้งใจไว้แล้วว่าจะเรียนต่อให้สูงที่สุด ยิ่งได้ไปเรียนต่อเมืองนอกก็ยิ่งดี ชั้นจะได้มีโอกาสหางานดีๆทำ”
“งั้นเธออาจจะไม่ได้ไปแค่สองปี...”
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ชั้นตั้งใจว่าจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย อาจจะจบช้าหน่อยแล้วถ้ามีโอกาสชั้นขอทุนต่อได้ ชั้นอาจเรียนจนจบปริญญาเอกเลย”
“ไม่ให้ไป! ชั้นไม่ให้เธอไป ถ้าเธอไป ชั้นต้องไปด้วย ชั้นขอร้อง..นะ ชน..นะ อย่าไปเลย เราเรียนต่อโทด้วยกันที่นี่ก็ได้ เงินค่าเรียนทั้งหมดให้พ่อชั้นออกให้ก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าไปจากชั้น”
“นายกำลังขอในสิ่งที่ชั้นทำให้นายไม่ได้ ยังไงชั้นก็ต้องไปเรียนต่อ ถึงเวลาที่ชั้นจะต้องคิดถึงอนาคตของชั้นเองแล้ว นายก็เหมือนกันนะ อิท”
เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง ชนมนก็เลยหนีปัญหาด้วยการเดินออกไป
“ชน ! ชั้นไม่ให้เธอไปนะ ไม่ให้ไป! ได้ยินมั้ย ไม่ให้ไป!”
อิทธิฤทธิ์ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดที่ไม่ได้ดังใจ
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
ธรรม์กับอิทธิพลมองหน้ากันแล้วหันไปมองอิทธิฤทธิ์ที่ยืนทำหน้าดื้อๆอยู่
ถนอมยืนอยู่ข้างๆอิทธิฤทธิ์โดยพยายามรั้งอิทธิฤทธิ์ไว้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
“ผมจะไปเรียนต่อ! ผมจะไปเรียนพร้อมชนครับ พ่อ” อิทธิฤทธิ์บอก
“เออ..คือ..หนูชนได้ทุนไปเรียนต่ออังกฤษน่ะค่ะ คุณท่าน” ถนอมอธิบาย
“หนูชนคงไปเรียนต่อด้านกฎหมาย แล้วแกล่ะจะไปเรียนอะไร” อิทธิพลถาม
“ยังไม่รู้ ไปถึงก่อนแล้วค่อยคิด”
“เฮ้ย! ไม่ได้ นายต้องคิดได้แล้ว นายไม่ติดต่อหาที่พักที่เรียน นายจะเอาเอกสารที่ไหนไปขอวีซ่าเข้าประเทศ วีซ่าไม่ผ่าน ก็จบแล้ว นายอิท”
ถนอมแอบแนะให้ “ส่วนใหญ่ก็ไปเรียนภาษากันก่อนนะคะ”
“เออ ใช่ๆ ไปเรียนภาษาก่อนก็ได้ นายช่วยหาที่เรียนให้หน่อยดิ เอาให้เร็วที่สุดนะ ชนเค้าจะไปต้นเดือนหน้าแล้ว พ่อ! พ่อก็ต้องไปคุยกับลุงชูให้ผมด้วยนะ”
“ไม่ต้องไปคุยหรอก พ่อไม่ให้แกไป” อิทธิพลบอก
“ทำไมล่ะ พ่อ พ่อไม่ดีใจหรือไงที่ผมอยากเรียนต่อ”
“แกไปเรียนต่อเพราะผู้หญิง ไม่ได้คิดถึงอนาคตตัวเอง ถ้าพ่อให้แกไป แกได้ทำให้หนูชนไม่เป็นอันเรียนแน่”
“ทีนายธรรม์มันขออะไร ก็ยอมให้ตลอด มันขอไปอยู่สุดเขตชายแดนยังให้ไปพ่อลำเอียงตามใจแต่มันคนเดียว”
“พ่อให้ธรรม์ไป เพราะธรรม์รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แล้วแกล่ะ อิท แกรู้ตัวมั้ยว่ากำลังทำอะไร แกมีจุดมุ่งหมายในชีวิตกับเค้าบ้างมั้ย นายอิท”
“พ่อไม่ให้ไป ผมหาทางของผมเองก็ได้”
อิทธิฤทธิ์เดินหงุดหงิดโมโหแต่ไม่ได้อาละวาดอะไรมากนักออกไป ทุกคนมองตามอย่างอ่อนใจ
อิทธิฤทธิ์ดื่มนมอั๊กๆ จนหมดแก้วอย่างหงุดหงิดใจที่ทำอะไรไม่ได้ ตี๋เล็กกับบ๊วยดื่มนมอย่างเคียดแค้นใจตาม
“คราวนี้ทำไงดีวะ” อิทธิฤทธิ์ถาม
เจ๋งซ่อมรถเสร็จก็เดินเช็ดมือมาหาอิทธิฤทธิ์
“ทำใจเหอะ พี่อิท”
“ชั้นทำใจไม่ได้ อยู่ๆชนก็จะมาทิ้งกันไปอย่างนี้ได้ไง”
“พี่ชนเค้าไม่ได้ทิ้ง เค้าไปเรียนต่อ”
“เรียนต่อ ก็เหมือนทิ้งกันนั่นแหละ ทำไงดีวะๆๆ”
“ตื๊อ พี่อิท ตื๊อมันเข้าไป พี่ชนอาจยอมใจอ่อนไม่ไปก็ได้” ตี๋เล็กเสนอ
“พี่ชนโหดอย่างนี้ ใจแข็งจะตาย ฉุดดีกว่า พี่” บ๊วยเสนอบ้าง
“ปล้ำดีกว่า ชัวร์กว่า พอเป็นของตาย ทีนี้ก็ไปไหนไม่รอด”
อิทธิฤทธิ์ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห
“เฮ้ย! นี่พวกแกพูดถึงใครอยู่ ! ให้เกียรติผู้หญิงของชั้นด้วย แล้วถามหน่อยใครจะไปกล้าฉุดกล้าปล้ำ ผู้หญิงที่พวกแกพูดถึงนี่ ชนมน ลูกลุงชูนะโว้ยเหลืออยู่ทางเดียว ต้องตื๊อ ชั้นต้องตื๊อให้ถึงที่สุด ชั้นจะไม่ยอมปล่อยชนไป”
ตี๋เล็กคว้ากีตาร์มาขึ้นเล่นและร้องเพลงที่เกี่ยวกับการไม่อยากให้คนรักจากไปทันที
“If you leave me , you’ll take away the biggest part of me. Uh uh uh No baby please….”
อิทธิฤทธิ์มองตี๋เล็กร้องเพลงอย่างอินจัดแล้วเขาก็คิดออกว่าจะขอร้องชนมนยังไง
ชนมนเดินเข้ามาในบ้าน ถนอมที่เดินไปเดินมารออยู่แล้วปราดเข้าไปหาชนมนทันที
“หนูชน..ป้าได้ข่าวดีจากคุณอิทแล้ว ป้าดีใจด้วยมากๆนะคะ”
“แต่ดูเหมือนอิทจะไม่ดีใจกับหนูเท่าไหร่เลยล่ะค่ะ” ชนมนว่า
“คุณอิทไม่ทันจะเตรียมใจไว้ก่อนน่ะค่ะ แต่ยังไงก็ต้องดีใจกับหนูชนแน่ๆ ป้าล่ะใจหายจริงๆคุณธรรม์กำลังย้ายไปประจำที่ชายแดน แล้วก็มาหนูชนอีกคน”
“พี่ธรรม์จะไปเมื่อไหร่คะ หนูไม่รู้เรื่องเลยล่ะค่ะ”
“ก็คงไปไล่เลี่ยกับหนูชนแหละค่ะ”
“แล้วย่าจะเป็นไงบ้างเนี่ย”
“ถ้ารู้เมื่อไหร่ ก็คงจะอาการเดียวกับคุณอิทล่ะมังคะ ป้าถึงได้ขอให้หนูชนมาที่นี่”
“ป้าหนอมคะ ถึงหนูอยากจะเปลี่ยนใจ แต่หนูก็ทำไม่ได้ หนูมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวของหนู หนูถึงต้องสร้างอนาคตของหนูให้มั่นคง”
“ป้าไม่ได้คิดจะเกลี้ยกล่อมให้หนูชนเปลี่ยนใจ แต่ป้าอยากจะขอร้องให้หนูชนอย่าเปลี่ยนใจไปจากคุณอิทได้มั้ยคะ ขอเพียงให้ความมั่นใจซักนิด ให้ความหวังซักหน่อย คุณอิทก็จะอดทนรอหนูชนได้ค่ะ”
“อิทอยู่ไหนล่ะคะ”
“คุณอิทรออยู่ที่สระน้ำน่ะค่ะ”
ชนมนเดินออกไป ถนอมมองตามอย่างหวังว่าทั้งสองจะคุยกันเข้าใจ
ชนมนเดินช้าๆมาที่สระน้ำ บนพื้นมีเทียนจุดไฟใบเล็กใบน้อยวางเรียงกระจายอยู่เต็มไปหมด แสงเทียนจากทุกมุมวาววับดูสวยงามเข้ากับเสียงกีตาร์ที่ดังขึ้นเบาๆ พร้อมเสียงร้องของอิทธิฤทธิ์
“มองไปก็มีแต่ฝนโปรยปราย ในหัวใจก็มีแต่ความเหน็บหนาวท้องฟ้าที่มองไม่เห็นแสงดาว คืนเหน็บหนาวยิ่งทำให้ใจเราหนาวสั่น”
ชนมนเดินมาจนพบว่าอิทธิฤทธิ์นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลง”อยู่ต่อเลยได้ไหม” อิทธิฤทธิ์ร้องเพลงไป ตาก็จับจ้องมองไปที่ชนมนอย่างอ้อนวอนขอร้อง
“อยากอยู่ดูแลเธอให้เธอฝันดี แต่ใจก็รู้ดีคงหมดเวลาของฉัน อยากจะอยู่กับเธอให้นานน๊านนาน แต่ก็คงต้องลาเพราะใจที่ไหวหวั่น”
ชนมนยืนมองอิทธิฤทธิ์ร้องเพลงแล้วรู้สึกว่าความตั้งใจมั่นของตัวเองเริ่มสั่นสะเทือน
ภาพช่วงเวลาดีๆที่มีของอิทธิฤทธิ์กับชนมน/ผุดขึ้นมา ทั้งตอนที่อิทธิฤทธิ์ทำแผลที่มือให้ชนมน ตอนที่อิทธิฤทธิ์จูงมือชนมนตอนที่แว่นแตก ตอนที่อิทธิฤทธิ์อุ้มชนมนตอนโดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว ตอนที่อิทธิฤทธิ์จุดพลุไฟเย็นให้ชนมน ฯลฯ
อิทธิฤทธิ์ร้องเพลงต่ออย่างตั้งใจที่จะมอบให้ชนมนและหวังว่าชนมนจะใจอ่อน
“ อยู่ต่อเลยได้ไหม อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้ อยากได้ยินคำว่ารัก”
อิทธิฤทธิ์หยุดเล่นกีตาร์ร้องเพลงอย่างกะทันหันแล้วมองจ้องชนมนอย่างต้องการคำตอบ
“เรายังรักกันอยู่หรือเปล่า ชน...”
ชนมนนิ่งอึ้งไปอย่างหาคำตอบไม่ได้
มณีมันตรานั่งรออยู่เงียบๆในบ้าน ธรรม์เดินเข้ามาหา
“ย่า..เรายังมีอะไรที่ยังไม่เคลียร์อีกเหรอ”
“มีค่ะ ไม่งั้นย่าไม่มาที่นี่หรอกค่ะ ย่ามีเรื่องที่คาใจอยู่ พี่ธรรม์คะ ย่ากับอิทเป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบปี ครอบครัวอิทก็เหมือนครอบครัวย่า พี่ธรรม์กับย่าไม่มีทางที่จะหนีกันพ้น ถ้าหากเราเจอกัน พี่ธรรม์จะให้ย่าทำตัวยังไงคะ ทำเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน หรือทำตัวเป็นคนแปลกหน้าไปเลย”
“ไม่ต้องทำยังไงเลย เพราะเราจะไม่ได้เจอกันอีกนาน”
“หมายความว่าไง พี่ธรรม์จะไปไหน”
“พี่ทำเรื่องขอย้ายไปประจำอยู่จังหวัดชายแดนแล้ว ได้รับการอนุมัติจากผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว กำหนดเดินทางภายในอีกสองอาทิตย์”
มณีมันตราตกใจและโกรธ “พี่ธรรม์คิดจะบอกย่าเรื่องนี้เมื่อไหร่คะ”
“พี่ตั้งใจว่าจะไม่บอกย่า..พี่ไม่อยากบอกลา”
“เพราะอะไรคะ เพราะกลัวว่าย่าจะเสียใจเหรอคะ ตอนนี้ย่าไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ใจด้านชาไปหมดแล้ว ย่าไม่คิดเลยว่า พี่ธรรม์จะใจร้ายอย่างนี้..ใจร้าย..ใจร้ายที่สุด”
ธรรม์ขยับเข้าไปใกล้ แต่มณีมันตราถอยห่างออกมาก่อนที่เธฮจะน้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่
ชนมนนั่งลงข้างๆอิทธิฤทธิ์ที่ยังเกากีตาร์เบาๆก่อนจะหยุดไป
“ว่าไง..ที่ชั้นถามน่ะ”
“แล้วจำเป็นต้องตอบเหรอ วันแรกที่เรารู้จักกัน จนถึงวันนี้..มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเรื่องร้ายๆก็มี แต่ไม่เคยมีอะไรทำให้ความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปลง”
“แล้วทำไมเธอต้องไปจากชั้นด้วย แม่ทิ้งชั้นไปคนแล้ว เธอยังมาทิ้งชั้นไปอีก”
“ชั้นเรียนจบเมื่อไหร่ ชั้นจะกลับมา..ชั้นสัญญาก็ได้ เอ้า พอใจหรือยัง แต่ถ้าสองปีนานไป นายคิดว่า รอไม่ไหวก็ไม่ต้องรอ”
“เพราะเธอก็ไม่อยากรอเหมือนกันใช่มั้ย เธอถึงไม่เคยบอกชั้นเรื่องไปเรียนต่อนี่คือวิธีการบอกเลิกของเธอใช่มั้ย ชน”
“นายกำลังพาลหาเรื่องนะ อิท นายเอาสมองที่คิดเรื่องบ้าๆนี่ไปคิดเรื่องอนาคตตัวเองดีกว่ามั้ย นายจะได้ไม่ฟุ้งซ่านอย่างนี้ นายลองคิดเรื่องเรียนต่อดู เรียนอะไรก็ได้ที่นายอยากเรียน”
“ไม่ต้องมาสอนได้มั้ย”
“ชั้นแนะนำ ไม่ได้สอน ลืมไป คนอย่างนาย นอกจากซิ่งมอเตอร์ไซค์ ก็ทำอะไรไม่เป็น ไม่เคยมีความฝัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เกิดมาทำไมบนโลกนี้ ถ้านายไม่มีฝัน ก็อย่ามาดับฝันของคนอื่น ขอร้อง!”
อิทธิฤทธิ์โมโหกึกแล้วลุกขึ้นทันที
“เออ! ชั้นมันคนไม่มีฝัน ไม่ต้องห่วง ชั้นจะไม่ขวางทางเธอ เธอจะไปเรียนต่อห้าปีสิบปีก็เชิญตามสบาย ชั้นไม่กล้าดับฝันอันสูงส่งของเธอหรอก แล้วก็ขอบคุณนะที่อดทนกับชั้นมานาน ต่อไปนี้เธอจะไม่ต้องมาเหนื่อยกับชั้นอีก”
“เราจะจบกันแค่นี้ใช่มั้ย อิท”
“ก็ได้..ถ้าเธออยากจบ..ก็จบ”
ชนมนหันหลังให้อิทธิฤทธิ์แล้วเดินออกไปทันที
“เฮ้ย..ทำไมจบแบบนี้ล่ะ! ไม่ใช่นะ..ชน”
ชนมนเดินต่อไปแล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลเงียบๆ ชนมนปิดปากไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมา อิทธิฤทธิ์มองตามหลังชนมนด้วยความเสียใจเพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้จบลงแบบไม่เข้าใจกันแบบนี้
มณีมันตราเดินหนีธรรม์ออกมาอย่างน้อยใจและเสียใจมาก ธรรม์เดินมาดึงมณีมันตราไว้ไม่ให้ไป
“ย่า..ถ้าพี่ทำให้ย่าเสียใจ..พี่ขอโทษ” ธรรม์บอก
“ทำไมพี่ธรรม์ต้องย้ายไป พี่ธรรม์ไม่อยากเห็นหน้าย่าขนาดนั้นเลยเหรอ” มณีมันตราถาม
“พี่ตั้งใจไว้นานแล้ว แล้วเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ต่อไป.เราทั้งสองคนก็จะได้มีเวลาทุ่มเทกับงานที่เรารัก”
“ย่าเคยถามพี่ธรรม์ว่า เราจะดูแลกันไปอย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน พี่ธรรม์ตอบย่าว่า เราจะดูแลกันไปให้นานจนถึงที่สุด นี่คือสุดทางของเราแล้วใช่มั้ยคะ”
“ใช่..สุดทางของเราสองคนแล้ว ย่า การได้รักย่า เป็นเรื่องง่ายที่สุดในชีวิตของพี่พี่มองย่า แล้วพี่รักได้เลย โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องมีเงื่อนไข แต่การที่พี่จะได้ใช้ชีวิตกับย่า..เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของพี่”
“ทำไมคะ พี่ธรรม์ ทำไมพี่ธรรม์ต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วย”
“เพราะพี่รักย่า...พี่ถึงต้องไป”
ธรรม์มองมณีมันตราอย่างตัดใจให้ได้แล้วเดินจากไป มณีมันตรายืนเหงาและเจ็บปวดเหลือเกิน
อิทธิฤทธิ์นั่งเล่นกีตาร์เพลงเบาๆเศร้าๆ อย่างเหงาและโดดเดี่ยว มณีมันตราเดินมานั่งข้างๆ อิทธิฤทธิ์
“อิท..ชั้นอยากเกลียดพี่ธรรม์”
“อย่าเลย..ตอนนี้เราไม่มีเวลาเกลียดใครหรอก”
“ไม่มีเวลาเลยเหรอ”
“ไม่มีแล้ว..อีกแค่แวบเดียว คนที่เรารัก คนที่เราเกลียด ก็จะไปจากเราหมดแล้ว”
“แล้วเธอล่ะ”
“ชั้นไม่ไปไหนหรอก ชั้นจะอยู่ตรงนี้กับเธอ”
อิทธิฤทธิ์จับมือมณีมันตราไว้อย่างปลอบใจ มณีมันตราเอาหัวพิงอิทธิฤทธิ์ไว้เพราะยิ่งคิดเรื่องธรรม์แล้วก็ยิ่งเศร้า
“อย่าหนีชั้นไปอีกคนนะ สัญญานะ อิท”
“ชั้นไม่หนีไปไหนแน่ คนเป็นเพื่อนกัน ไม่มีวันทิ้งกันหรอก”
“ไม่มีใครดูแลกันได้ตลอดไปหรอก”
“ชั้นนี่แหละจะดูแลเธอเอง ดูแลไปตลอดชีวิตเลย ชั้นให้สัญญา” อิทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์โอบมณีมันตราเอาไว้อย่างปลอบใจซึ่งกันและกัน
อิทธิฤทธิ์อยู่บนมอเตอร์ไซค์โดยมีหน้าตาเคร่งเครียดมุ่งมั่น เขาปิดหน้ากากมอเตอร์ไซค์ลงอย่างเตรียมพร้อมเต็มที่ ธงสัญญาณโบกสะบัด ปืนดังลั่นเปรี้ยง เสียงปรื๊นๆของมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น อิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์นำปราดออกไปทันทีท่ามกลางรถมอเตอร์ไซค์คู่แข่ง ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งยืนชูป้าย”แก๊งสุดฤทธิ์” พร้อมกระโดดเชียร์เหยงๆอย่างเต็มที่
"พี่อิทสู้ๆๆๆ"
อิทธิฤทธิ์ซิ่งนำไปจนเข้าเส้นชัยชนะ เขาดริฟท์รถแล้วจอด อิทธิฤทธิ์ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วเงยหน้ามองนาฬิกาที่สนามก็เห็นว่าเป็นเวลา 2.81
อิทธิฤทธิ์มองสร้อยข้อมือตัวเองที่เขียนคำว่า RaCe "ชนะใส!”
อิทธิฤทธิ์นิ่งดื่มด่ำกับชัยชนะของตัวเอง
ผู้แข่งขันที่ 2 และที่ 3 ยืนอยู่บนแท่นรับรางวัลอยู่แล้ว อิทธิฤทธิ์ก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นหมายเลขที่ 1 ของแชมเปี้ยนนักแข่ง กรรมการมอบถ้วยรางวัลใบใหญ่ให้ ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งกรูกันเข้าไปขว้างสายรุ้งใส่อิทธิฤทธิ์
"สุดยอดเลย พี่อิท!”
"ลูกพี่ผมเองๆ !!”
"ลูกพี่ผมด้วย!!”
อิทธิฤทธิ์ชูถ้วยรางวัลขึ้นท่ามกลางเสียงเฮจากชาวแก๊งและผู้คนที่มาล้อมรอบ
ถนอมวุ่นอยู่การยัดกระปุกน้ำพริกใส่ถุงผ้าใบใหญ่จนเต็ม ธรรม์กับอิทธิพลเดินออกมาด้วยกัน ถนอมเริ่มแพคถุงผ้าอีกใบ
ธรรม์พูดขึ้น "ป้าหนอมครับ ผมไม่ได้ไปที่กันดารอะไรขนาดนั้นหรอกนะครับ"
"ป้าจัดอะไรให้ ก็เอาไปเถอะค่ะ เหลือดีกว่าขาด เรื่องอาหารการกินนี่สำคัญที่สุดนะคะ คุณธรรม์" ถนอมบอก
"ปล่อยไปเถอะ อย่าให้ได้อยู่ว่าง เดี๋ยวได้แอบไปนั่งร้องไห้อีก"
"ก็ป้าไม่อยากให้คุณธรรม์ไปนี่คะ"
ธรรม์โอบกอดถนอมไว้อย่างปลอบใจแต่ก็รับปากอะไรไม่ได้ อิทธิฤทธิ์ถือถ้วยรางวัลเดินเข้ามา ถนอมแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีก อิทธิพลมองถ้วยรางวัลใบใหญ่ในมือของอิทธิฤทธิ์แล้วถามโดยไม่ได้ตำหนิแต่เตือนอย่างหวังดี
"นายอิท..นี่แกเอาจริงใช่มั้ย"
"นี่ไงครับ จุดมุ่งหมายในชีวิตของผม" อิทธิฤทธิ์บอก
"แต่มันอันตรายนะคะ คุณอิทไปแข่งรถที ป้าหายใจไม่ทั่วท้องเลยล่ะค่ะ" ถนอมบอก
"ผมแข่งรถในสนามแข่ง ถ้าทำตามกฎกติกา รับรองว่า กลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ผมไม่เห็นแก่ตัวที่จะไปเสี่ยงอันตรายให้คนที่บ้านเป็นห่วงหรอกครับ ผมรู้ว่าผมมีครอบครัวรออยู่"
"ชั้นก็รู้ว่า ชั้นมีครอบครัวรออยู่" ธรรม์บอก
"แล้วมีอะไรรับประกันว่า นายจะมีชีวิตกลับมา ทำไม? อยากสร้างผลงาน อยากเลื่อนตำแหน่งเร็วๆ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น? อนาคตนายมันสำคัญมาก แล้วเราล่ะ เราไม่มีความสำคัญกับนายหรือไง"
"นายกำลังพูดถึงชั้น หรือว่าชน"
อิทธิฤทธิ์ฮึดฮัดโมโหเพราะที่พูดไปทั้งหมดก็เพราะเรื่องชนมนที่จะไปเรียนต่อด้วย
"นายอิท คนเราเกิดมาเพื่อทำภาระหน้าที่ของตัวเอง" อิทธิพลสอน "ธรรม์เลือกแล้วที่จะทำงานรับใช้ชาติอย่างเต็มที่ แกไม่ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่นักหรอก แค่แกเป็นคนดีก็พอแล้ว"
อิทธิฤทธิ์นิ่งคิดเพราะเขายังไม่หยุดแค่เป็นคนดีธรรมดาๆแน่นอน
ชนมนจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างวุ่นวาย ชูชัยกับชินพัฒน์เดินเข้ามาดู
"ไอ้ชิน เข้ามานี่"
ชินพัฒน์เดินเข้าไปอย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่าพี่สาวจะให้ทำอะไร
ชนมนสั่งคล้ายๆสั่งหมา "นั่ง!”
ชินพัฒน์นั่งทับกระเป๋าชนมนทันที ชนมนพยายามอย่างมากที่จะปิดล็อคกระเป๋าให้ได้
"นี่ขนของไปหมดบ้านหรือไง" ชูชัยถาม
"จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่ไง พ่อ นี่ๆ พ่อ สมุดบัญชีใช้จ่ายในบ้าน หนูไปทำเรื่องตัดค่าน้ำค่าไฟผ่านแบ๊งค์ให้แล้วนะ แล้วนี่ๆ เด็กที่ยังไม่ได้จ่ายค่าติว หนูจดไว้ตรงนี้หนูไปบอกเลิกรับซักรีดผ้าทุกบ้านนะ พ่อ มีป้าจิตรที่ยังค้างค่าซักผ้าอาทิตย์นึง"
ชนมนเปิดสมุดบัญชีเล่มใหญ่ เขาพลิกเร็วๆ แล้วชี้โน่นชี้นี่อธิบายให้ชูชัยฟังอย่างรวดเร็ว
ชูชัยดูสมุดบัญชี "แกทำงานหนักขนาดนี้เชียวเหรอ"
"ถ้าซอยบ้านเราขาดยาม พี่ชนก็ไปทำแล้วล่ะ พ่อ" ชินพัฒน์แซว
"หนูไม่อยู่ บ้านเราจะมีเงินพอใช้มั้ย พ่อ"
ชูชัยจับหัวชนมนไว้อย่างซาบซึ้งใจ
"พอ! แกไปเรียนให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงทางบ้านเลย ไปๆ ไปจัดการเรื่องส่วนตัวไป เรื่องที่บ้านพ่อจัดการเองได้ ไปลาเพื่อนๆครบหรือยังล่ะ"
ชนมนมองไปที่หมวกกันน็อคสีชมพูที่วางอยู่แล้วก็ชะงักนิ่งเงียบไป
"ไปลาซะ ไปลาให้ครบทุกคน จะได้ไปอย่างไม่มีอะไรค้างคาใจกัน" ชูชัยบอก
ชนมนนิ่งคิดว่าจะลาอิทธิฤทธิ์ดีหรือเปล่า
ชนมนนั่งอยู่ที่พื้น เธอก้มลงไหว้อิทธิพลและถนอมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟาเป็นการบอกลา
"หนูลานะคะ คุณลุง ลานะคะ ป้าหนอม"
"ลุงมีของขวัญจะให้" อิทธฺพลบอก
อิทธิพลส่งซองเช็คเงินสดให้กับชนมน ชนมนชะงักเพราะไม่กล้ารับไว้
"พ่อสั่งมาค่ะ ว่าไม่ให้รับ" ชนมนบอก
"พ่อหนูนี่มันรู้ทันจริงๆ แต่หนูต้องรับ ถึงเราไม่ใช่ญาติก็เหมือนเป็นญาติกันแล้ว หลานลุงจะไปเรียนต่อทั้งที จะไม่ให้ของขวัญได้ยังไง" อิทธิพลบอก
ธรรม์ยืนมองอยู่ห่างๆ ชนมนยังลังเลอยู่
"แต่คุณลุงให้หนูมามากแล้วนะคะ"
"รับไปเถอะ ชน ไม่มีคำว่ามากไปสำหรับชน ถ้าเทียบกับสิ่งที่ชนทำให้กับครอบครัวเรา" ธรรม์บอก
"รับไปเถอะค่ะ หนูชน ไม่งั้นต้องขนน้ำพริกป้าไปสองลังแทนนะคะ"
ชนมนรับซองเช็คมาจากอิทธิพลแล้วยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง
"หนูชน..ถ้าลุงมีลูกสาว..ลุงก็อยากได้ลูกสาวอย่างหนูชนนี่แหละ" อิทธิพลบอก
อิทธิพลลูบหัวชนมนอย่างรักเอ็นดูมากๆ
ธรรม์เดินออกมาส่งชนมน ชนมนเดินหน้านิ่งโดยพยายามจะไม่มองหาอิทธิฤทธิ์
ธรรม์พูดขึ้น "อิทไม่อยู่"
"ชนก็ไม่ได้คิดมาเจอเค้าอยู่แล้ว" ชนมนปากแข็ง
"เค้าเพิ่งกลับจากสนามแข่ง สงสัยจะไปบ้านเจ๋งหรือไม่ก็ปั๊มของตี๋เล็ก"
"ชนไม่อยากรู้ค่ะ"
ธรรม์พูดต่อ "ตอนนี้อิทจริงจังกับการเป็นนักแข่งรถมาก แต่พี่ไม่คิดว่า นี่เป็นสิ่งที่อิทอยากทำจริงๆ เค้ารู้แหละว่า เค้าอยากทำอะไร แต่ยังดื้ออยู่ มีชนแหละที่น่าจะพูดกับอิทได้"
"ตอนนี้ชนพูดอะไร อิทไม่ฟังแล้วล่ะค่ะ ชีวิตของอิท ให้เค้าเลือกเองเถอะ"
"ชนจะไม่ลาอิทจริงๆเหรอ"
"ไม่ดีกว่า ถ้าบอกลากัน แล้วจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายเสียใจ พี่ธรรม์ก็คิดอย่างนั้นใช่มั้ยคะ ทำไมคะ พี่ธรรม์ เราเลือกทางเดินที่ถูก แต่เรากลับเป็นฝ่ายที่ผิดไปได้"
"ไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกฝ่ายผิดหรอก ชน การจากลากันไม่เคยจบลงด้วยดี มีแต่จบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น"
ชนมนกับธรรม์ต่างก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องเป็นฝ่ายไป
เช้าวันใหม่ ชนมนกับชูชัยช่วยกันลากกระเป๋าเดินทางออกมาคนละใบ
"ไปกันเลยดีมั้ย เผื่อเวลาไว้ดีกว่า" ชูชัยบอก
เสียงมณีมันตราดังขึ้น "ยังไปไม่ได้ค่า ไปไม่ได้"
มณีมันตรารีบวิ่งเข้ามากอดชนมนไว้
"เรายังไม่ลากันเลย พี่ชนจะไปได้ไง"
"ก็เห็นย่าต้องซ้อมละครทุกวัน ไม่อยากกวน กะว่าถึงสนามบินแล้วจะโทรหาน่ะ"
"ไม่ว่างยังไง ย่าต้องมากอดลาพี่ชน"
ชินพัฒน์ถือหมวกกันน็อคสีชมพูวิ่งออกมา
"พี่มาย่า!!! กอดลาผมด้วยๆ"
ชูชัยเหนี่ยวคอชินพัฒน์ไว้ได้ก่อนที่เขาจะถลาไปกอดมณีมันตรา
ชูชัยมองหมวกกันน็อค "เอาไอ้นี่มาทำไม"
"อ้าว! พี่ชนไม่เอาไปด้วยเหรอ เห็นนั่งมองทุกคืน ไม่เอาไป เดี๋ยวนอนไม่หลับนะ”
"แกจะบ้าเหรอ ชั้นจะเอาหมวกกันน็อคไปทำอะไร" ชนมนว่า
"ก็เอาไว้กันน็อค..” ชินพัฒน์ตอบ
"พี่ชนคะ..พี่ชนทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ได้จริงๆเหรอคะ แล้วอิทล่ะคะ" มณีมันตราถาม
ชนมนนิ่งคิดเพราะกำลังพยายามตัดใจจากอิทธิฤทธิ์อยู่
อิทธิฤทธิ์ยืนพิงๆมอเตอร์ไซค์ของตัวเองอย่างโดดเดี่ยว ชนมนเดินเข้ามาหาอิทธิฤทธิ์อย่างช้าๆแล้วมาหยุดอยู่ด้านหลังเขา
"อิท...”
อิทธิฤทธิ์ชะงักไปเล็กน้อยแล้วค่อยๆหันกลับมามอง แล้วเขาก็เดินมาหาชนมนช้าๆ
"มีอะไรอีก"
"ชั้นมาลานาย แค่สองปีเองนะ อิท แล้วเราก็จะได้เจอกันแล้ว" ชนมนบอก
"เจอกันแล้วเป็นไง เธอก็จะเป็นเหมือนเดิม บ้าเรียนบ้าทำงาน แล้วก็ไม่มีเวลาให้ใคร นอกจากตัวเอง"
"ชั้นไม่เคยทุ่มเวลาให้ใครเท่านาย ต่อให้ต้องทำงานหนักแค่ไหน ชั้นมาหานายได้เสมอ นายต้องการอะไรอีก ต้องการชีวิตชั้นทั้งชีวิตเหรอไง"
"ชั้นให้ชีวิตชั้นทั้งชีวิตกับเธอได้"
"ไม่ได้หรอก อิท เราต่างต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ฐานะอย่างนาย นายเลือกได้ นายจะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ทุกคนภูมิใจ นายรักการแข่งรถ แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่นายอยากทำจริงๆ อย่าใช้ชีวิตแบบทิ้งๆขว้างๆได้มั้ย"
"มานี่ ต้องการมาบอกแค่นี้ใช่มั้ย"
"อิท..ชั้นเชื่อในตัวนายนะ ชั้นเชื่อว่า นายจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง.. ไม่ว่านายจะรอชั้นหรือไม่รอ ชั้นให้สัญญาว่า ชั้นจะกลับมา"
"ไม่ต้องสัญญา! จำไม่ได้เหรอว่า เราสัญญากันมากี่ครั้งแล้ว เราไม่เคยทำตามสัญญาได้เลย ชั้นเข้าใจแล้ว เธอจำเป็นต้องไป เธอไปเถอะ ไม่ต้องห่วงชั้นแล้ว"
อิทธิฤทธิ์ก้าวเข้าไปกอดชนมนเอาไว้
"ชั้นขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ไม่ต้องมีคำสัญญา..ไม่ต้องรอกัน ถ้าอยากจะลืมก็ลืมซะ..คนอย่างชั้นไม่มีค่าพอที่จะให้ใครจำ..ลาก่อนนะ ชน"
อิทธิฤทธิ์ปล่อยมือออกจากชนมน ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างเสียใจที่ต้องจากกันเหมือนตัดขาดไปจากกันจริงๆ ชนมนหันหลังเดินออกไป เธอเดินผ่านหมวกกันน็อคสีชมพูที่วางอยู่ตรงอัฒจันทร์ไป ชนมนเดินไปน้ำตาไหลไป อิทธิฤทธิ์หันกลับไปมองชนมน
เขามองหมวกกันน็อคที่ชนมนเอามาคืนแล้วก็น้ำตาไหล
ชูชัยกับชินพัฒน์ช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางมาวางไว้หน้าบ้าน
ทั้งสองกระสับกระส่ายเพราะกลัวว่าชนมนจะไปสนามบินไม่ทัน แต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นชนมนรีบเดินเข้ามา
"พี่ชนมาแล้ว พ่อ"
"ไปกันได้แล้ว ไป ไอ้ชิน ไปเรียกรถ เร็วเข้า" ชูชัยเร่ง
"พ่อต้องรอหนูนะ" ชนมนบอก
ชนมนเดินหน้าเศร้าเข้ามาแล้วกอดชูชัยไว้
"พ่อจะรอ"
"ผมก็จะรอ..พ่อแก่ขึ้นทุกวันนะ พี่ชน รีบๆเรียนให้จบไวๆ"
"ไอ้นี่!”
"ไม่อยากให้ไปแล้ว! คิดถึงอะ" ชินพัฒน์อ้อน
ชินพัฒน์เข้าไปกอดชนมนเอาไว้ แล้วทั้งสามคนพ่อลูกก็กอดกันกลมอย่างไม่อยากจะจากกันเลย
อิทธิฤทธิ์นอนหมดแรงอยู่บนกลางสนามแข่งโดยมีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างๆ มีหมวกกันน็อคสีดำและหมวกกันน็อคสีชมพูวางอยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์ เครื่องบินที่บินผ่านไปส่งเสียงดังกระหึ่ม
อิทธิฤทธิ์ร้องพึมพำเบาๆ “อยู่ต่อเลยได้ไหม อย่าปล่อยให้ตัวฉันไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจ ฉันอยู่ที่เธอหมดแล้วตอนนี้ อยากได้ยินคำว่ารัก”
อิทธิฤทธิ์มองออกไปไกลๆ บนท้องฟ้า
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์เดินออกจากห้องนอนมาเจอกันกลางทางของชั้นบน อิทธิฤทธิ์ชะงักเมื่อเห็นธรรม์ในชุดตชด.หน่วยพิเศษพร้อมกับถือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่
"จะไปแล้วเหรอ"
ธรรม์พยักหน้ารับ "ฮื่อ ไปวันนี้"
"ไปยังไง"
ธรรม์ยิ้ม "จะไปส่งเหรอ ไม่ต้องหรอก ชั้นจะขับรถไปเอง เราลากันตรงนี้เลยก็แล้วกันนะ"
ธรรม์ตบไหล่อิทธิฤทธิ์โดยที่อิทธิฤทธิ์ไม่ขยับตัวหนี
"ฝากดูแลทุกคนด้วยนะ" ธรรม์สั่งเสีย
ธรรม์เดินลงไปชั้นล่าง อิทธิฤทธิ์มองตามอย่างชั่งใจว่าจะทำไงดีกับธรรม์
อิทธิพลกับถนอมเดินมาส่งธรรม์ที่ทางออกของบ้าน ธรรม์ยกมือไหว้ลาอิทธิพลเป็นคนแรก
"ผมไปนะครับ คุณพ่อ"
"พ่อเชื่อว่า แกรู้หน้าที่ของตัวเองดี แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ต้องคิดก่อนลงมือทำเสมอ อย่าใจร้อนเป็นอันขาด..ธรรม์.. พ่อภูมิใจในตัวแกมาก"
อิทธิพลตบไหล่ธรรม์อย่างปลาบปลื้มและภูมิใจมาก
"ป้าหนอมครับ...”
ถนอมดึงธรรม์เข้ามากอดแล้วน้ำหูน้ำตาของเขาก็ไหลไม่หยุดทันที
"ไปถึงแล้วต้องรีบโทรมาบอกนะคะ ต้องโทรมาทุกวัน โทรเช้าโทรเย็นได้ยิ่งดีแล้วอยากได้อะไร ก็โทรมาบอกได้ทุกเวลา ป้าหนอมจะจัดส่งให้ถึงที่แล้วต้องกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆนะคะ คุณธรรม์"
"ผมคงกลับมาบ่อยไม่ได้หรอกครับ ป้าหนอม"
"ไม่รู้ล่ะค่ะ ถ้าลากลับบ้านได้ ก็ต้องกลับมาให้เห็นหน้ากัน"
อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาเห็นถนอมยังกอดลูบไหล่ลูบหลังธรรม์อยู่
อิทธิฤทธิ์เปรย "นี่ผมตกกระป๋องแล้วเหรอครับ"
ถนอมยอมปล่อยมือจากธรรม์
"คุณอิท..นึกว่าไม่ยอมลงมาซะแล้ว" ถนอมว่า
"ไม่มาได้ไง พี่ชายไปรับใช้ชาติไกลถึงชายแดน ไม่ลาไม่ได้หรอก"
ธรรม์มองอิทธิฤทธิ์อย่างไม่คาดคิด อิทธิพลกับถนอมมองสองพี่น้องอย่างดีใจที่สุดวันนี้ก็มาถึง
"กลับมาให้ได้ล่ะ รู้ไว้ด้วยว่า ทุกคนรออยู่ เข้าใจนะ พี่ธรรม์"
อิทธิฤทธิ์รีบหันเดินออกไปทันที ธรรม์เดินเข้าไปกอดไหล่อิทธิฤทธิ์ไว้แน่น
"ขอบใจนะ ไอ้น้อง!”
"เฮ้ย! ไม่ต้องกอด! ขนลุกเว้ย"
อิทธิฤทธิ์ผลักธรรม์แล้วเดินพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว ธรรม์หันกลับมามองอิทธิพลกับถนอมอย่างโล่งใจ
มณีมันตราถือบทละครเดินไปท่องไป พอจำไม่ได้เธอก็พลิกบทมาดูอีกครั้งแล้วท่องต่อ มณีมันตรา เดินท่องบทมาเรื่อยๆจนออกมานอกตัวบ้าน ธรรม์ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านมณีมันตราโดยมองมาที่มณีมันตรา ธรรม์ขยับเข้ามาจะบอกลาแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
มณีมันตราหยุดเดินแล้วหันมองไปรอบๆ เพราะรู้สึกเหมือนมีคนแอบมอง เธอเดินตรงไปใกล้รั้วบ้าน ธรรม์จะเดินหนีแต่ก็เดินไปไม่ทันแล้ว ธรรม์กับมณีมันตราต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครเดินเข้าหากัน
มณีมันตราพึมพำกับตัวเอง "ลาก่อนค่ะ พี่ธรรม์"
มณีมันตรายืนมองจนธรรม์เดินพ้นสายตาไป แล้วเธอก็หยิบบทขึ้นมาเปิดอ่าน
“เมื่อเราพบกัน ได้รู้จักกัน ได้รักกัน แล้วก็จะต้องมีวันที่เราต้องพรากจากัน โรสไม่รู้ว่าจะได้พบคุณอีกเมื่อไหร่..แต่โรสรู้ว่า วันนั้นจะต้องมาถึง..โรสจะรอนะคะ”
น้ำตาของมณีมันตราหยดลงบทละครทีละหยดๆ
อิทธิฤทธิ์กับอิทธิพลนั่งคุยกันอยู่ที่อัฒจันทร์คนดูที่ในสนามมีการซ้อมแข่งรถ
"ตอนนี้เหลือแกคนเดียวแล้วนะ อิท ทุกคนเค้ามีทางไปของตัวเองแล้ว ถ้าแกอยากทำทีมแข่งรถ พ่อจะออกทุนให้ เอามั้ยล่ะ" อิทธิพลถาม
"อย่าเลย พ่อ ผมรักการแข่งรถนะ พ่อ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตผม"
"พ่อทำให้แกหลงทางใช่มั้ย ถ้าพ่อไม่บังคับให้แกเรียนนิติฯ"
"พ่อไม่ได้บังคับ ผมอยากเรียนเอง ตอนเด็กๆผมอยากจับผู้ร้ายให้หมดโลก ไม่ได้รู้หรอก ผมกลับมาถูกจับซะเองตอนโต" อิทธิฤทธิ์นิ่งคิด "ผมรู้แล้วว่า ผมอยากทำอะไรต่อไป แต่ไม่รู้จะฝันมากไปหรือเปล่า"
"ไม่มีอะไรที่ไกลเกินฝันหรอก"
"ผมจะทำได้แน่เหรอ พ่อ"
"คนเราถ้ามีความพยายามมากพอ ไม่มีอะไรที่เกินความสามารถหรอก"
"ได้ ผมจะลองดูซักตั้ง! ให้รู้ซะบ้างว่า คนอย่างผมก็มีความฝันเหมือนกัน”
อิทธิฤทธิ์เริ่มมุ่งมั่นที่จะฝึกเป็นตำรวจขึ้นมาแล้ว
อิทธิฤทธิ์วิ่งนำตี๋เล็ก บ๊วย และเจ๋งมาอย่างเอาจริง อิทธิฤทธิ์วิ่งผ่านด่านฝึกความแข็งแกร่งต่างๆ ทั้งด่านปีนข้ามกำแพง กระโดดหอ คลานลอดลวดหนาม โรยตัวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ฯลฯ อิทธิฤทธิ์เป็นคนนำมาตลอด เมื่อวิ่งเหนื่อยๆจนต้องหยุด อิทธิฤทธิ์ก็จะจับที่สร้อยข้อมือหนังไว้เพื่อกำลังใจ
"เราต้องชนะ! ชนะตัวเองให้ได้"
อิทธิฤทธิ์เหงื่อโทรมตัวแต่ยังวิ่งต่อไปไม่ได้หยุด ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งนอนเป็นศพอยู่ทางเบื้องหลัง
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 16 อวสาน (ต่อ)
สองปีผ่านไป คัพเอ๊าท์ขนาดยักษ์ของหนังเรื่อง “รักนิรันดร์” ที่มีมณีมันตรากับแม็กซ์แสดงนำติดอยู่หน้าตึกโรงหนังกลางกรุง
ชูชัยลบราคาเดิมของข้าวผัดทิ้งแล้วเขียนเพิ่มใหม่อีก 5 บาท โดยเพิ่มทุกอย่าง ชูชัยเดินมานั่งกินกาแฟกับอิทธิพลที่โต๊ะ ต่างคนต่างหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
"นายธรรม์ทลายแก๊งยาบ้าได้อีกแก๊งแล้ว" อิทธิพลบอก
"ไอ้นี่มันสมกับเป็นลูกเที่ยงธรรมจริงๆ" ชูชัยว่า
"ชั้นเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือนะเว้ย"
"คนมีเลือดดีอยู่ในตัว ใครเลี้ยงก็เหมือนกัน"
ชินพัฒน์ในชุดนักฟุตบอลถือลูกบอลวิ่งออกมาโดยวิ่งฟุตเวิร์ควอร์มร่างกาย
"ผมไปเตะบอลนะ พ่อ"
"ยังไม่เลิกอีก" ชูชัยว่า
"ผมติดตัวสำรองแล้วนะ พ่อ"
"แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นตัวจริง"
"ใกล้แล้วๆ ใกล้ไปบอลโลกแล้ว พ่อ"
"เฮ้ย เดี๋ยวๆ แกไปเตะบอล แล้วใครจะช่วยงานชั้น"
"ท่านผู้การไง พ่อ ฝากด้วยนะครับ ท่าน" ชินพัฒน์ว่า
ชินพัฒน์วิ่งหนีจู๊ดออกไปทันที อิทธิพลกับชูชัยมองตามขำๆ
ชินพัฒน์วิ่งออกมาจากทางบ้านแล้วก็ชะงักด้วยความตกใจ
ชินพัฒน์ตะโกน "ช่วยด้วย ! มีคนงัดรถ! ช่วยด้วย!”
ตี๋เล็กกับบ๊วยกำลังใช้เหล็กยาวๆ งัดเข้าไปในกระจกด้านหลังของรถอยู่ ตี๋เล็กกับบ๊วยสะดุ้งเฮือกเมื่อชาวบ้าน 4-5 คนเริ่มมามุง
ชินพัฒน์มองเห็นว่าเป็นใคร "เฮ้ย! พี่ตี๋เล็ก พี่บ๊วย กลายเป็นโจรไปแล้วเหรอ"
ตี๋เล็กกับบ๊วยพูดพร้อมกัน "ไม่ใช่เว้ย!”
ตี๋เล็กกับบ๊วยช่วยกันงัดจนเปิดล็อคประตูได้ แล้วทั้งสองก็รีบเปิดประตูรถแล้วอุ้มเด็กที่ถูกลืมไว้ในรถออกมา เจ๋งวิ่งนำหน้าแม่ของเด็กมาที่รถ
"เจอแม่เด็กแล้วๆ" เจ๋งบอก
แม่ของเด็กรีบเข้าไปรับลูกมาอุ้มไว้ด้วยความดีใจ
"ขอบคุณนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ"
"โห..พวกคุณ! พวกคุณคือ..ฮีโร่!” ชินพัฒน์ชื่นชม
"ไม่ใช่! พวกเราคือ..”
ตี๋เล็ก บ๊วย และเจ๋งพูดพร้อมกัน "แก๊งสุดฤทธิ์ จิตอาสา!”
ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งยืนเก๊กหล่อแล้วบิดตัวหันหลังให้เนื่องจากทุกคนใส่เสื้อกั๊กแบบเสื้ออาสาชุมชน
ตี๋เล็กนึกได้ "เฮ้ย ! กี่โมงแล้ว"
"เก้าโมงแล้ว พี่" บ๊วยบอก
"กลับปั๊มๆๆ เลยเวลาเข้างานแล้ว ป๊าด่าตายเลย" ตี๋เล็กว่า
"ผมต้องเอารถไปส่งเหมือนกัน"
"สลายตัว ! ไอ้บ๊วย แกไปกับชั้น"
ตี๋เล็กดึงบ๊วยให้ไปด้วยกัน ส่วนเจ๋งเดินแยกไปอีกทาง
"ฮีโร่เป็นต้องกลัวพ่อทุกราย"
ชินพัฒน์เลี้ยงลูกบอลบนหัวแล้วเดินออกไป
ธรรม์กับกลุ่มตชด.4-5 คนพากันตีล้อมโรงรถไว้ ธรรม์ส่งสัญญาณมือให้แบ่งคนกลุ่มละสองคนแยกย้ายกันไปเพื่อจับแก๊งยาบ้าที่หนีมาซ่อนตัวในโรงรถ ทันใดกลุ่มแก๊งยาบ้าโผล่ขึ้นมาแล้วกราดยิงใส่กลุ่มของธรรม์ ธรรม์และกลุ่มตชด.ยิงสวนกลับจนกระสุนปลิวว่อนไปทั่วบริเวณก่อนจะมีระเบิดควันลงตูมใหญ่ ควันตลบคลุมมิดทั่วทั้งบริเวณจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
มณีมันตราหน้าซีดเพราะตกใจกลัวขณะมองมือถือที่ดังในระบบสั่นไม่หยุด มณีมันตราค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดรับเพราะกลัวว่าจะเป็นข่าวร้าย
"ฮัลโหล ! ใช่ค่ะ ขอโทษนะคะ จากไหนนะคะ คุณ..คุณพูดใหม่อีกครั้งได้มั้ยคะ ไม่ค่ะ ดิชั้นจะไม่เชื่ออะไร จนกว่าดิชั้นจะไปดูด้วยตาของตัวเอง..ไม่เชื่อค่ะ ยังไงก็ไม่เชื่อ"
มณีมันตรากดปิดมือถือแล้วมือถือก็ร่วงหลุดจากมือพร้อมๆกับที่ตัวของมณีมันตราทรุดลงกับพื้น
"เค้าตายแล้ว..เค้าตายแล้ว"
มณีมันตรามองแหวนของธรรม์ที่นิ้วนางของตัวเองแล้วร้องไห้ด้วยความเสียใจเหมือนหัวใจกำลังสลาย
นักศึกษาที่คุมการแสดงตะโกนสั่ง "คัท ! คัท!”
มณีมันตราเงยหน้าเช็ดน้ำตาแล้วยิ้มให้กับนักศึกษาที่เดินเข้ามาหา
"อีกเทคมั้ยคะ พี่ว่า พี่ยังไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ มันน่าจะใจหายวูบไปเลยเนอะ"
"โอเคแล้วล่ะครับ พี่ คิวพี่แน่นเอี๊ยด ยังยอมสละเวลามาเล่นให้ พวกผมไม่รู้จะขอบคุณพี่ย่าไงดีแล้ว"
"พี่เล่นให้ได้ สนุกดีออก ขอให้ได้ส่งประกวดชนะที่หนึ่งเลยนะ"
"ชนะไม่ชนะไม่รู้ล่ะค่ะ แต่หนังสั้นของเรา รับรองคนดูล้นทะลักแน่ๆ" นักศึกษาอีกคนบอก
นักศึกษา3-4 คนช่วยกันเก็บกล้องเก็บสายไฟที่เซ็ทไว้สำหรับถ่ายหนังสั้น มณีมันตราเดินหลุดออกมาเซ็ทหนังสั้น รางวัลนักแสดงดีเด่นวางอยู่ 4-5 รางวัลเป็นแบ๊คกราวนด์ เสียงมือถือของมณีมันตราดังขึ้น มณีมันตราเดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดูเห็นหน้าจอแล้วรีบกดรับ
"หวัดดีค่ะ ป้าหนอม ข่าว..ข่าวอะไรคะ ช่องไหนคะ"
มณีมันตรารีบหารีโมทแล้วกดเปิดทีวี
ถนอมคุยโทรศัพท์กับมณีมันตรา
"ไม่ต้องเปิดดูหรอกค่ะ ข่าวตำรวจได้รับบาดเจ็บน่ะค่ะ" ถนอมบอก
"พี่ธรรม์เหรอคะ พี่ธรรม์บาดเจ็บหรือคะ"
"ไม่ใช่คุณธรรม์ค่ะ ฝ่ายตำรวจถูกแก๊งยาบ้าถล่ม แต่ไม่มีใครเป็นอะไร ป้าเลยรีบโทรมาบอก กลัวคุณย่าจะไปได้ข่าวผิดๆ"
มณีมันตราถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"ป้าเห็นข่าวตำรวจยิงกับผู้ร้ายทีไร ก็ใจหายทุกที ไม่คุยเรื่องไม่สบายใจดีกว่าพรุ่งนี้แล้วใช่มั้ยคะ คุณย่า"
"อิทเค้ารู้แล้วใช่มั้ยคะ" มณีมันตราถาม
"รู้แล้วค่ะ เตรียมแต่งหล่อเต็มที่เพื่องานใหญ่ของคุณมาย่า"
"ไม่ใช่งานรอบพรีเมียร์หนังของย่านะคะ เรื่องพี่ชนน่ะค่ะ"
"ป้าไม่แน่ใจค่ะ เห็นคุณอิททำแต่งาน ไม่เห็นพูดอะไรเลย"
"คนปากแข็ง เดี๋ยวย่าจัดเองค่ะ"
มณีมันตรายิ้มอย่างมีแผนการ
เช้าวันใหม่ ชูชัยจัดโต๊ะในร้านด้วยท่าทางปกติ ชินพัฒน์ที่แต่งตัวหล่อวิ่งออกมาแล้วตรงออกไปหน้าบ้าน ชินพัฒน์วิ่งกลับมาหาชูชัย
"ยังไม่มาเลย พ่อ ได้ยินเสียงรถ มาแล้วๆๆ"
ชินพัฒน์วิ่งออกไปดูอีกแล้วก็วิ่งกลับมาหาชูชัย
"ทำไมเราไม่ไปรับพี่ชนที่สนามบินล่ะ พ่อ"
"ไอ้ชนไม่ยอมให้ไปรับ ไม่ยอมบอกเที่ยวบิน แล้วแกจะไปนั่งรอนอนรอที่นั่งเรอะ นั่งลง! อยู่เฉยๆ พี่เค้ากลับมา ก็เห็นเองแหละ"
ชินพัฒน์นั่งลงแล้วแล้วผุดลุกขึ้นยืนอีก
"คนมันตื่นเต้น อยู่เฉยๆ ไม่ไหว"
แล้วชินพัฒน์ก็ลุกวิ่งไปอย่างเร็วแล้วต้องชนเข้ากับชนมนจนต้องถอยหลังออกมา
ชินพัฒน์แหกปาก "พี่ชน!”
ชนมนสะพายกระเป๋าพร้อมแฮนด์แบ๊คหนึ่งใบมายืนมองชินพัฒน์ขำๆ
"เออ...ชั้นเอง"
ชินพัฒน์ส่งเสียงดังอีก "พี่ชน..." แล้วชินพัฒน์ก็พูดเสียงเบาลง "ทำไมไม่เห็นเปลี่ยนเลย" ชินพัฒน์เข้ามาดมตัวชนมน "ไม่มีกลิ่นนักเรียนนอกซักนิดเลย ไปเรียนนอกมาจริงป่าวเนี่ย"
"ชั้นไปสองปีเอง จะให้เปลี่ยนแค่ไหน แกก็ไม่เปลี่ยน ยังอ้วนดำเหมือนเดิม พ่อ! หนูกลับมาแล้ว"
ชนมนโยนกระเป๋าทั้งหมดแขวนไว้ที่ชินพัฒน์แล้วรี่เข้าไปไหว้ชูชัยที่ไหล่แล้วกอดแรงๆ เพราะคิดถึง
"คิดถึงๆ คิดถึงพ่อที่สุด" ชนมนสั่งชินพัฒน์ "ไปยกกระเป๋าที่หน้าบ้านให้ด้วย ไอ้ชิน!”
"พ่อก็คิดถึงแก ไอ้ชน"
ชูชัยกอดชนมนด้วยท่าทีนิ่งๆแต่ก็สุขอย่างเต็มเปี่ยม ชินพัฒน์สะพายกระเป๋าซ้ายขวาพร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกสองใบเข้ามาในบ้าน
ชนมนเปิดประตูเข้ามาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตัวเองอย่างมีความสุข แล้วชนมนก็ต้องหยุดชะงักแล้วลุกขึ้นมานั่งทันที
ชนมนมองไปรอบๆ ห้องที่ติดโปสเตอร์และรูปถ่ายของมณีมันตราเต็มห้องไปหมด มีนิตยสารหน้าปกมณีมันตราทุกเล่ม มีตัวอักษร Love Maya พาดเต็มไปหมด ชูชัยกับชินพัฒน์ช่วยกันขนกระเป๋าทุกใบของชนมนเข้ามาให้ในห้อง
"ไอ้ชิน แกทำห้องชั้นให้เหมือนเดิมเดี๋ยวนี้เลยนะ"
ชนมนมองหาหมวกกันน็อคสีชมพูด้วยความเคยชิน
"หาอะไร หมวกกันน็อคเหรอ" ชินพัฒน์ถาม
"ป่าว! ตุ๊กตาหมีของชั้นหายไปไหน แล้วนี่ไอ้ชินยังไม่เลิกคลั่งมาย่าอีกเหรอ พ่อ" ชนมนทำไก๋
"คลั่งหนักกว่าเดิมอีก" ชูชัยบอก
"ก็คนมันรัก คนที่ไม่มั่นคงในความรัก ไม่เข้าใจหร็อก" ชินพัฒน์ว่า
"ยังไงมาย่าก็ลืมพี่ธรรม์ไม่ได้หรอก" ชนมนบอก
"ตอนนี้พี่ธรรม์ไม่ใช่ศัตรูหัวใจของผม แต่เป็นพี่อิท"
ชนมนนิ่งอย่างแปลกใจแต่ก็คิดว่าเป็นไปได้จึงอดที่จะเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาไม่ได้
ชินพัฒน์ว่า "จ๋อยล่ะซี้"
"จริงเหรอ พ่อ"
"ไม่รู้ ไม่เคยสนใจเรื่องดารา รู้แต่ว่า นายอิทเปลี่ยนไปเยอะ" ชูชัยบอก
"คืนนี้ไปด้วยกัน แล้วพี่ชนจะรู้เองว่า พี่อิทเปลี่ยนไปขนาดไหน"
ชนมนเริ่มเฉาลงไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากจะเดาว่าอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนไปยังไง
ณ งานเปิดตัวหนัง”รักนิรันดร์” เวลาผ่านไปที่จอหนังในโรงเป็นฉากสุดท้ายที่มณีมันตราในบทโรสลินยืนร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวบนเนินเขา ภาพมณีมันตราบนจอหนังถูกฟรีซไว้แล้วเครดิตตอนท้ายก็เริ่มวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ ม่านโรงหนังคลี่ปิดจอ เสียงปรบมือของคนดูทั้งหมดดังกึกก้องอย่างชื่นชมพร้อมเสียงเป่าปากด้วยความชอบใจ
มณีมันตราในชุดพีเรียดโก้สวยและทีมงานเดินออกมาที่กลางเวทีแล้วโค้งรับ แฟนคลับและคนในวงการพากันส่งช่อดอกไม้ให้ทีมงาน โดยที่มณีมันตราได้รับช่อดอกไม้มากเป็นพิเศษ ชนมนกับชินพัฒน์นั่งเช็ดน้ำตากันอย่างซาบซึ้ง
"ทำไมจบเศร้าอย่างนี้ รู้ตอนจบแต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้" ชนมนว่า
"พี่มาย่าเล่นเก่งไง ปีหน้ากวาดรางวัลอีกแน่ ไปๆ ไปหาพี่มาย่ากัน"
ชินพัฒน์ดึงชนมนให้ลุกออกจากที่นั่งไป ผู้คนเริ่มเดินออกจากที่นั่งจนแถวที่นั่งเบาบางจนเห็นธรรม์นั่งอยู่เงียบๆ ที่มุมไกลๆ ธรรม์จับตามองมณีมันตราที่อยู่บนเวทีไว้ตลอด
มณีมันตราส่งช่อดอกไม้ให้ทีมงานแล้วหันมารับช่อดอกไม้ช่อสุดท้ายจากแฟนคลับ มณีมันตรามองไปที่แถวที่นั่งคนดูที่ตอนนี้ทั้งโรงสว่างจนมองเห็นได้ทั่วแต่มณีมันตราเห็นแต่ที่นั่งว่างเปล่า มณีมันตราเดินกลับเข้าไปด้านหลังเวที ธรรม์ยืนหลบอยู่อีกมุมหนึ่งของโรงหนัง
มณีมันตราเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ทีมงานหอบช่อดอกไม้เดินตามหลังมา
"พี่เอาดอกไม้ไปเก็บไว้ที่รถให้นะ แล้วช่วงสี่ทุ่มทางพี่กี้ บันเทิงวีคลี่ขอแทรกคิวสัมภาษณ์ย่าด้วยนะ"
"หนูให้สัมภาษณ์แต่เรื่องหนังนะคะ ไม่ตอบเรื่องอิทแล้ว เบื่อแล้วล่ะค่ะ" มณีมันตราบอก
"พี่ก็ขอเค้าไว้แล้วล่ะ"
ทีมงานเดินออกไป ชนมนกับชินพัฒน์ที่มีบัตรพาสคล้องคออยู่เดินเข้ามา ชนมนเข้ามาทันได้ยินที่มณีมันตราพูดถึงอิทธิฤทธิ์ มณีมันตราหันไปเห็นชนมนกับชินพัฒน์ที่เพิ่งเดินเข้ามา
"พี่ชน!”
"พี่มาย่า!”
มณีมันตรารีบตรงเข้าไปกอดชนมน ชินพัฒน์จะเข้าไปกอดชนมนเพื่อจะได้กอดมณีมันตราด้วย
แต่ชนมนผลักหัวชินพัฒน์ออกไปได้ก่อน
"กลับมานี่ โหดกว่าเก่าอีก" ชินพัฒน์บ่น
มณีมันตราพูดเร็ว "พี่ชนเป็นไงบ้าง เรียนยากมั้ย นี่จบแล้ว ไม่ต้องกลับไปอีกใช่มั้ยคะ พี่ชนทำไมกลับมาบ้างเลยล่ะค่ะ ย่าว่าจะไปเยี่ยมก็ไม่มีเวลาซักที ดูซิคะ ปีๆผ่านไปเร็วจังเลย สมน้ำหน้าคนใจร้อนเนอะ ถ้าใจเย็นซักหน่อย ก็คงไม่ต้องอกหักรักคุดหรอก"
"ย่าพูดช้าๆหน่อย พี่ตอบไม่ทัน ใครใจร้อนเหรอ"
"ก็อิทไงคะ ถ้าไม่ใจร้อนโวยวายใส่พี่ชน อดทนรอซักหน่อย แค่สองปีเอง เห็นมั้ยคะ แล้วเราก็ได้เจอกันแล้ว นี่ก็ได้แต่ทำตัวเฉาไปวันๆ ไม่มีไรทำก็มาเฝ้าย่าที่กองตลอดเลย"
"งั้นเหรอ อิทเค้าเรียนต่อหรือว่าทำงานล่ะ ย่า" ชนมนถาม
มณีมันตราเหลือบไปเห็นช่อดอกไม้สีขาววางอยู่ที่มุมห้อง มณีมันตราเดินไปหยิบมาดูโดยไม่ทันฟังว่าชนมนถามอะไร มณีมันตราเห็นการ์ดที่ติดมากับช่อดอกไม้เป็นการ์ดที่มีลายมือของธรรม์เขียนว่า “ยินดีด้วยนะ ย่า” พร้อมลายเซ็นธรรม์
"พี่ธรรม์...”
มณีมันตราหันขวับไปทางชนมนทันที
"พี่ชนรอย่าแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวย่ามา"
"ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเรากลับแล้วล่ะ พี่ดีใจกับย่านะ หนังดีมากๆเลย พี่ว่าหนังเรื่องนี้ต้องประสบความสำเร็จ คนดูถล่มทลายแน่ๆ"
มณีมันตราใจลอย "ค่ะๆ ขอบคุณนะคะ"
มณีมันตราถือช่อดอกไม้สีขาวเดินออกไปอย่างร้อนใจ ชนมนมองตามอย่างเหวอๆ เพราะไม่รู้ว่ามณีมันตราเป็นอะไร
มณีมันตราถือช่อดอกไม้สีขาวเดินตามหาธรรม์ไปตามทางเดินที่จะไปที่จอดรถ จนมาเจอทีมงานอีกคนเข้าที่กลางทาง
"พี่นิดคะ พี่เห็นคนที่ส่งดอกไม้นี่มั้ยคะ"
"ไม่เห็นค่ะ ดอกไม้อะไรเหรอคะ"
มณีมันตราเดินตามหาธรรม์ต่อไป จนมายืนอยู่กลางล็อบบี้ของโรงหนัง เธอมองไปรอบๆตัวก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว มณีมันตรามองไม่เห็นวี่แววของธรรม์
มณีมันตราหันมองไปรอบๆ อีกครั้งแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นธรรม์ยืนอยู่ในเงามืด มณีมันตรามองธรรม์อย่างน้อยใจที่เขาไม่ก้าวออกมาหา เธอจึงหันหลังจะเดินออกไป
ธรรม์เรียกเบาๆ "ย่า...”
ธรรม์รีบก้าวยาวๆมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามณีมันตรา มณีมันตราเงยหน้ามองธรรม์นิ่ง
"ย่านึกว่า พี่ธรรม์จะเดินไปจากย่าอีกเหมือนเคย"
"พี่อยากเจอย่า แต่พี่กลัวว่า พี่จะทำลายวันสำคัญของย่า"
"ทำไมพี่ธรรม์ชอบคิดเอง ชอบตัดสินใจเอง"
"แต่พี่ก็ตัดสินใจไม่ผิด..ไม่ใช่เหรอ"
"ค่ะ พี่ธรรม์ตัดสินใจไม่ผิด มีแต่คนเสนองานดีๆทั้งหนังทั้งละคร โฆษณาก็เข้ามาไม่ได้ขาด ย่าทำงานไม่ได้หยุด เพราะชีวิตย่ามีแค่นี้จริงๆ มีแต่งาน ก็ดีแล้วล่ะค่ะ เพราะย่าไม่ต้องแบ่งเวลาให้ใครแล้วนี่"
"ย่า..พี่ก็ไม่มีเวลาให้ใคร ที่พี่ไม่มาหา เพราะมาแล้ว พี่ก็ต้องไปอีก ถ้าเราเจอกันแล้วทำให้ย่าต้องร้องไห้ พี่ก็ไม่อยากให้ย่าเห็นหน้าพี่อีก"
"พี่ธรรม์ทำได้เหรอ พี่ธรรม์จะไม่มาเจอหน้าย่าอีกเลย ทำได้เหรอคะ"
"ก็นี่ไง..ทำไม่ได้"
"เราไม่ต้องคิดเยอะแล้วได้มั้ยคะ เราได้ทำงานที่เรารักแล้ว ทุกอย่างลงตัวหมดเรามีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไหน ก็แค่นั้น เราอยู่โดยไม่ต้องคิดว่า อีกห้าปีข้างหน้าเราจะเป็นยังไง คิดถึงแต่วันนี้วันที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันได้มั้ยคะ พี่ธรรม์"
มณีมันตราเดินออกไป ปล่อยให้ธรรม์คิดหาคำตอบเอาเอง
ชนมนกับชินพัฒน์เดินออกมาด้วยกัน ชินพัฒน์ทำเดินเป๋ไปเป๋มาอย่างงอนๆ
"พี่ชนอะ พี่ย่าบอกให้รอไง"
"รออะไรล่ะ ย่าเค้ามีงานต่อ เดี๋ยวเราเจอกันวันหลังก็ได้"
"ตอนนี้ยังกับว่าเจอง่ายนักนี่ พี่มาย่าคิวแน่นๆเอี๊ยะๆไปถึงปี 3000 แล้ว"
"ชิน..อิทเค้า..เป็นไงบ้าง ที่บอกว่าเค้าเปลี่ยนไปน่ะ เปลี่ยนไปยังไง"
รองเท้าหนังมันวับของอิทธิฤทธิ์กระทบพื้นดังปัง ปัง ปังขึ้นในความเงียบ
ชนมนถามต่อ "อิทยังอยู่กับกลุ่มแก๊งเค้าหรือเปล่า พวกตี๋เล็กน่ะ"
ช่อดอกไม้สวยๆ อยู่ในมือของอิทธิฤทธิ์
"อิทไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรใช่มั้ย"
ชนมนพะวงถามชินเรื่องของอิทธิฤทธิ์จนไม่ทันมองว่าอิทธิฤทธิ์กำลังเดินช้าๆ สวนทางมา ชนมนเหลือบไปมองแวบๆว่าใครเดินมาอีกทางซึ่งก็เห็นแต่ไหล่ที่ติดยศร้อยตำรวจตรีแวบๆ ชนมนหันไปมองว่าเป็นใครแวบแรกที่เธอคือเห็นหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างเดียว ชนมนหยุดชะงักหันไปมองอิทธิฤทธิ์แล้วต้องอึ้งไปอึดใจ
"อิท!”
อิทธิฤทธิ์ในชุดตำรวจถือช่อดอกไม้เดินตรงและมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
ชนมนเรียกเสียงดัง "อิท!”
อิทธิฤทธิ์ชะงักหยุดเดินแต่ยังยืนนิ่งอยู่ ชนมนก้าวเร็วๆ เข้าไปหาอิทธิฤทธิ์
"อิทจริงๆ ด้วย! ทำไมไม่บอก?" ชนมนหมายถึงเรื่องที่เขาเป็นตำรวจ
"แล้วจะให้บอกยังไง ขอโทษนะ ย่ารออยู่"
อิทธิฤทธิ์เดินหน้านิ่งออกไปอย่างไม่สนใจจะคุยกับชนมนต่อ ชนมนมองตามอิทธิฤทธิ์ชนิดที่ต้องอึ้งมากขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่า
เสียงอิทธิฤทธิ์ดังขึ้น "ไม่ต้องมีคำสัญญา..ไม่ต้องรอกัน ถ้าอยากจะลืมก็ลืมซะ..คนอย่างชั้นไม่มีค่าพอที่จะให้ใครจำ"
"อิท..เค้าลืมชั้นแล้วจริงๆ"
ชนมนเจ็บปวดเสียใจที่อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
เช้าวันใหม่ เด็กแว้นขี่มอเตอร์ไซค์มา 2 คัน เด็กแว้นทั้งสองคันขี่มาคู่กันช้าๆ แล้วก็เอาเท้าแหย่กัน ถีบกัน คุยกันไปเหมือนเป็นเจ้าของถนน
สักพักเด็กแว้นทั้งสองก็พยักหน้าให้กันแล้วบิดเร่งความเร็วซิ่งแข่งกันไปบนถนนโล่งๆ เสียงปรื้นๆของมอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่กว่าหลายเท่าดังขึ้น เด็กแว้นหันไปมองด้านหลังเห็นอิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์ไล่หลังมาก็รีบซิ่งเพื่อจะเอาชนะ
อิทธิฤทธิ์เร่งความเร็วอีกนิดเดียวก็พุ่งนำหน้าเด็กแว้นทั้งสองคนไปได้ อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถไปไกลแล้วหยุดรถอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับเหวี่ยงรถกลับมาประจันหน้าจะรอจับพวกเด็กแว้น เด็กแว้นทั้งสองที่ซิ่งรถกันมาต้องรีบเบรกกึกอยู่ตรงหน้ามอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ลงจากมอเตอร์ไซค์อย่างเท่แล้วเดินอาดๆไปหาพวกเด็กแว้น
"พวกนายถูกจับแล้ว ไอ้เด็กแว้น!”
"เราไม่ใช่เด็กแว้น!”
เด็กแว้นคนหนึ่งแก้ตัว "เรามันสายพันธุ์นักแข่ง"
"เรามันสายเลือดสุดโก่ง"
"สุดโต่งเว้ย" อิทธิฤทธิ์พูดแก้ให้
เด็กแว้นคนหนึ่งเริ่มสั่น "ใจเราๆ...”
อิทธิฤทธิ์พูดต่อให้ “ใจเรามันไม่ธรรมดา” แต่พวกนายเป็นแค่เด็กแว้นธรรมดา นักแข่งจริงๆ ต้องไป
แข่งที่สนามแข่งรถ ใส่หมวกกันน็อค ใส่ชุดป้องกันทุกอย่างพร้อม ไม่มาแว้นบนถนนอย่างนี้ ! เดี๋ยวได้ตายไม่รู้ตัว"
"พี่..พี่เป็นนักแข่งหรือเป็นตำรวจครับ"
อิทธิฤทธิ์ตอบทันที "เป็นตำรวจที่เป็นนักแข่ง! ไป ไปโรงพัก"
อิทธิฤทธิ์จับเด็กแว้นโดยเอามือไขว้หลังแล้วใส่กุญแจมืออย่างฉับไว
อิทธิพลในชุดตำรวจยืนมองถนอมที่เดินวุ่นวายจัดเก้าอี้สามตัวไปมา
"ไม่เอาเก้าอี้ดีกว่า เอาออกๆ"
แดงเข้ามายกเก้าอี้ออกไปทีละตัว
"คุณท่านมายืนตรงนี้ค่ะ เชิญค่ะ" ถนอมเชิญ
อิทธิพลเดินไปยืนตรงจุดที่ถนอมชี้ อิทธิฤทธิ์ในชุดตำรวจเดินเข้ามา
"โทรตามผมมา มีไรเหรอครับ ป้าหนอม"
"คุณอิทมายืนข้างๆ คุณพ่อตรงนี้ค่ะ"
ธรรม์ในชุดตำรวจเดินเข้ามา
"ดูซิคะ คุณอิทว่า ใครกลับมาแล้ว"
อิทธิฤทธิ์มองธรรม์อย่างไม่แปลกใจ
"เรามารวมญาติทำอะไรกันหรือครับ ป้าหนอม ผมต้องไปเข้าเวรนะครับ"
"เราจะมาถ่ายรูปกันค่ะ เอ้าๆ ยืนชิดกันหน่อยค่ะ"
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ยืนประกบอิทธิพลซ้ายขวาแล้วโพสท่าถ่ายรูปครอบครัว
อิทธิฤทธิ์แซวลอยๆ "บ้านไม่กลับ แต่ไปหาหญิงก่อน คนเรา"
ธรรม์แซวกลับ "งอนกลับบ้าน รอให้สาวมาง้อ คนเรา"
ถนอมถ่ายรูปอีกสามสี่ช็อท
"ป้าหนอมมาถ่ายรูปด้วยกันดิ แดงๆ ถ่ายรูปให้หน่อย"
"นึกว่าจะไม่เรียกซะแล้ว"
ถนอมกระวีกระวาดเข้าไปรวมกลุ่มถ่ายรูปด้วย โดยมีแดงกดชัตเตอร์ให้เป็นระยะ
"ผู้ชายบ้านนี้หล่อๆกันทุกคน คุณท่านยิ้มอย่างเดียว ไม่พูดอะไรเลยหรือคะ" ถนอมถาม
อิทธิพลพูด "มีความสุขจนพูดไม่ออก ชั้นเป็นพ่อที่โชคดีที่สุดแล้ว"
อิทธิพลกอดไหล่อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ซ้ายขวาอย่างภาคภูมิใจที่สุด
ชนมนรื้อเสื้อผ้าและข้าวของออกจากกระเป๋าเดินทาง ชินพัฒน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ รื้อดูถุงข้าวของของชนมนที่มีแต่หนังสือและหนังสือ
"ซื้อมาแต่หนังสือนี่ พี่ชนจะกลับมาเป็นติวเตอร์อีกเหรอ"
"ฮื่อ ก็ทำเป็นงานพิเศษไง"
"ถ้าเจออย่างพี่อิทอีกล่ะก็ เหนื่อยถึงตายได้เลย"
ชนมนไม่อยากคิดถึงอิทธิฤทธิ์จึงก้มหน้าก้มตาเก็บแยกเสื้อผ้าและข้าวของไป
"อยากเจอ ก็ไปเจอเหอะ" ชินพัฒน์บอก
"ก็เค้าไม่อยากเจอชั้น..เราไม่จำเป็นต้องเจอกันด้วย เราไม่ได้มีสัญญาอะไรกันไว้..แล้วที่สำคัญเค้าก็มีคนอื่นไปแล้ว"
"พี่ชนนี่หลอกง่ายจริงๆ พี่อิทเค้าไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่พี่ชนคิด รู้มั้ยว่าหลังจากที่พี่ชนไปเรียนต่อ พี่อิทยังมาบ้านเรา..มาเกือบทุกวันเลย"
"มาทำไม?” ชนมนถาม
"มากินข้าวผัด!”
ชนมนมองชินพัฒน์อย่างไม่เข้าใจอะไรที่น้องชายพูดเลย
ในช่วงสองปีที่ผ่านไป อิทธิฤทธิ์ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เข้ามานั่งที่โต๊ะ
ชินพัฒน์เล่า "พี่อิทมาที่ร้านเราทุกวัน แต่พ่อก็ไม่เคยยอมทำข้าวผัดให้กินซักทีพี่อิทก็เลยได้กินแต่ข้าวผัดฝีมือผม..”
ภาพชินพัฒน์เอาจานข้าวผัดสีดำๆเละๆมาวางตรงหน้าอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์กินข้าวผัดฝีมือชินพัฒน์ไปอย่างข่มสีหน้ากล้ำกลืน
วันต่อมา อิทธิฤทธิ์ก็มานั่งกินข้าวผัดฝีมือชินพัฒน์อีก โดยคราวนี้ข้าวผัดสีออกเขียวๆ
วันต่อๆมา อิทธิฤทธิ์ก็มาตักข้าวผัดฝีมือชินพัฒน์กินอีก คราวนี้ข้าวผัดดูดีขึ้นนิดหน่อย
อีกหลายวันต่อมา อิทธิฤทธิ์ในชุดฝึกพรางตัวของตำรวจก็ยังมานั่งกินข้าวผัดฝีมือของชินพัฒน์ ชูชัยผัดข้าวผัดไปเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของอิทธิฤทธิ์ไป
เดือนต่อมา อิทธิฤทธิ์ในเสื้อยืดสีขาวมีตราตำรวจเป็นกุ้นสีเลือดหมูมานั่งกินข้าวผัดฝีมือชินพัฒน์
ชินพัฒน์เล่า "ผมว่า..พี่อิทน่าจะได้กินข้าวผัดฝีมือผมไปประมาณ 125 จานเห็นจะได้ อร่อยจนลืมไม่ลงเลยทีเดียวเชียว"
หลายเดือนต่อมา อิทธิฤทธิ์ในเครื่องแบบตำรวจเดินอย่างมั่นใจเข้ามาในร้าน ชูชัยกำลังตักข้าวผัดจากกระทะใส่จานหยุดชะงักมองเล็กน้อย ชินพัฒน์กำลังเช็ดโต๊ะอยู่มองอิทธิฤทธิ์ตาค้าง อิทธิฤทธิ์ถอดหมวกวางลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงรอข้าวผัด
ชินพัฒน์ถือจานข้าวผัดสีประหลาดมาวางไว้ตรงหน้าอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์พยายามซ่อนความผิดหวังและกำลังจะลงมือกินข้าวผัดฝีมือของชินพัฒน์อีก ทันใดนั้นจานข้าวผัดฝีมือชินพัฒน์ก็ถูกดึงออกไป แล้วจานข้าวผัดฝีมือชูชัยก็ถูกวางแทนที่
อิทธิฤทธิ์เงยหน้ามองเห็นว่าเป็นชูชัยที่เอาจานข้าวผัดมาไว้ให้เขา ชูชัยตบไหล่อิทธิฤทธิ์อย่างพอใจแล้วเดินออกไป อิทธิฤทธิ์จ้องมองข้าวผัดฝีมือชูชัยอยู่อึดใจแล้วเริ่มกินข้าวผัดด้วยความอร่อยและภูมิใจ
ชินพัฒน์ที่ทำท่ากินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อยเลียนแบบอิทธิฤทธิ์
"แล้วความพยายามของพี่อิทก็เอาชนะใจพ่อจนได้ ที่สุดพี่อิทก็ได้กินข้าวผัดลุงชู!”
"แล้วยังไง" ชนมนถาม
"ถ้าพี่อิทไม่แคร์พี่ชนแล้ว พี่อิทจะทนกินข้าวผัดฝีมือผมมากว่าสามเดือนเหรอไปหาพี่อิทเหอะ ไป" "ชั้นต้องไปง้อก่อนเหรอ ชั้นไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย"
"พี่อิทเค้างอนที่ตามไปเรียนกับพี่ชนไม่ได้ จะไม่ให้เค้าเล่นตัวซักนิดซักหน่อยเหรอ"
"แล้วเรื่องย่าล่ะ ที่แกบอกว่า อิทเป็นศัตรูหัวใจของแก หมายความว่าไง"
"ถามมากจริง พี่ชนนี่ ก็พี่อิทกันผู้ชายทุกคนไม่ให้มายุ่งกับพี่มาย่า แล้วไม่เรียกว่าเป็นศัตรูหัวใจของผมได้ไง ไม่ต้องถามอีกล่ะว่า พี่อิทกันพี่มาย่าให้ใคร"
ชนมนลุกขึ้นเดินไปเดินมาตัดสินใจ ชูชัยเดินเข้ามา
"ไปเถอะ ชน"
"เห็นมั้ย พี่อิทผ่านด่านพ่อแล้ว จะต้องรออะไรอีก"
"ถ้าอิทลืมหนูไปแล้วจริงๆ ล่ะ พ่อ"
"รู้เรื่องทุกอย่าง แล้วจะกลัวอะไรอีก ถ้าหากไม่เป็นไปอย่างที่คิด คนที่สูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุด คือนายอิท ไม่ใช่แก"
ชนมนกอดชูชัยอย่างขอบคุณแล้วผละออกไป
"แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ พ่ออยากได้ลูกเขยเป็นตำรวจ"
ชูชัยตบไหล่ชินพัฒน์จนไหล่ทรุดเป็นการเตือน
"ไม่ใช่ ชั้นอยากได้”คนจริง”เป็นลูกเขยต่างหากล่ะ" ชูชัยว่า
"มาเฟียมีลูกเขยเป็นตำรวจ มัน”ใช่” จริงๆเลยนะ พ่อ"
"ไอ้ชิน!”
ชูชัยตบไหล่ของชินให้ทรุดไปอีกข้าง
ประตูรั้วบ้านมณีมันตราเปิดออก รถของมณีมันตรากำลังแล่นออกมาจากรั้วบ้าน
รถมอเตอร์ไซค์สีดำแล่นมาจากไหนไม่รู้มาขวางทางรถมณีมันตราไว้ มณีมันตรารีบจอดรถแล้วรีบลงจากรถตรงไปหาคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่ใส่ชุดดำเหมือนอิทธิฤทธิ์ทันที
"เล่นอะไรน่ะ อิท ถ้าชั้นเบรกไม่ทัน จะทำไง เลื่อนรถออกไป ชั้นจะรีบไปไม่มีเวลาเล่นด้วย"
"จะรีบไปไหน"
มณีมันตราที่กำลังจะกลับไปที่รถตัวเองได้ยินเสียงก็ต้องชะงักหันกลับมา
"พี่ธรรม์...”
ธรรม์เปิด Face Shield ของหมวกกันน็อคขึ้นจนเห็นว่าเป็นธรรม์จริงๆ
"นึกอะไรขึ้นมาคะ" มณีมันตราถาม
"ย่าเคยบอกว่าให้พี่ลองเป็นอิทดูบ้างไม่ใช่เหรอ"
"ย่าไม่ได้อยากให้พี่ธรรม์ขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนอิทซะหน่อย"
"ไปนั่งรถเล่นกัน"
"อะไรนะคะ"
"ไหนบอกว่า ไม่ให้คิดเยอะไง"
ธรรม์ส่งหมวกกันน็อคให้มณีมันตรา มณีมันตราคิดแป๊บเดียวแล้วก็รับหมวกกันน็อคมาใส่ไว้ มณีมันตราขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ธรรม์ดึงมือมณีมันตรามากอดเอวตัวเองไว้
"ไม่ต้องห่วงมือใหม่นะ พี่จะระวังที่สุด ชีวิตย่ามีค่ายิ่งอะไรทั้งหมดในโลกนี้"
ธรรม์ปิด Face Shield แล้วซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ออกไป โดยมีมณีมันตรากอดเอวซ้อนท้ายไปด้วย
ธรรม์ขี่มอเตอร์ไซค์แบบสบายๆ โดยมีมณีมันตรานั่งซ้อนท้าย รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาเรื่อยๆตามถนนที่มีทุ่งหญ้าสวยๆ อยู่สองข้างทาง
ภาพในอดีตระหว่างธรรม์กับมณีมันตราตั้งแต่เจอกันอีกครั้งที่สนามยิงปืนแวบขึ้นมา แล้วตมด้วยภาพเรื่องราวของความรักดีๆของทั้งสองคน ตอนที่ธรรม์มาอยู่เป็นเพื่อนมณีมันตราที่โรงพยาบาล ตอนที่ธรรม์อุ้มมณีมันตราเพื่อปกป้องจากนักข่าว ภาพตอนที่ธรรม์กับมณีมันตราปรับความเข้าใจกับมณีมันตรา ตอนที่ธรรมสวมแหวนให้มณีมันตราในวันเกิด
รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นปลายทาง
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์แล้วมาวนรถกลับมาจอดที่ใกล้อัฒจันทร์คนดู ชนมนเดินเข้ามาอย่างลังเลและไม่แน่ใจ อิทธิฤทธิ์ถอดหมวกกันน็อควางไว้บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ แล้วอิทธิฤทธิ์ก็หันมาเห็นชนมนที่กำลังเดินเข้ามาหา อิทธิฤทธิ์ก็เดินเข้าไปหาชนมนเหมือนกัน
"อิท..นายไม่ต้องการคำสัญญา แต่ชั้นก็ได้สัญญากับตัวเองว่า ชั้นเรียนจบเมื่อไหร่ ชั้นจะกลับมาหานาย นี่ไง คราวนี้ไม่มีการผิดสัญญาแล้ว ชั้นมาบอกนายแค่นี้แหละ"
ชนมนจะเดินออกไปแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออิทธิฤทธิ์แกล้งพูดลอยๆ ขึ้นมา
"แล้วเวลาสองปีที่หายไปของชั้นล่ะ เธอจะชดใช้ยังไง"
ชนมนฮึดฮัดหงุดหงิดแล้วหันกลับมาหาอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง
"ทำไมชั้นต้องชดใช้ ชั้นหายไปสองปี นายถึงได้มีเวลาคิดได้ คิดถึงอนาคตตัวเอง ได้ทำฝันตัวเองให้เป็นจริง ไม่งั้นนายจะได้เป็นตำรวจให้พ่อภูมิใจเหรอ"
"ชั้นเป็นตำรวจได้เพราะความดีของเธองั้นดิ"
"ชั้นแค่พยายามคิดในแง่ดีเท่านั้นแหละ ในเรื่องร้ายๆ มักจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเสมอ หรือนายว่าไม่จริง"
"งั้นลองหายไปซักห้าปีสิบปีดิ กลับมาอีกที ชั้นอาจจะได้เป็นนายพลเลยก็ได้"
"ชั้นไม่พูดกับนายแล้ว ชั้นจะไม่ขอโทษด้วยที่ชั้นไปเรียนต่อ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ชั้นก็จะตัดสินใจเหมือนเดิม รู้ไว้ด้วย"
"เธอสัญญาว่า เธอจะไม่ทิ้งชั้น เธอกลับมา ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะชั้นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะทิ้งชั้นไปอีก"
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างอึ้งๆไป
รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นสุดทางของถนน ธรรม์กับมณีมันตรายืนเคียงข้างกันและจับมือกันไว้ ธรรม์ดึงมือมณีมันตราที่ยังสวมแหวนของเขาอยู่ขึ้นมาดู
ธรรม์ยิ้ม "ดีใจจังที่แหวนยังอยู่ ย่าคงอยากถอดขว้างใส่หน้าพี่หลายครั้งแล้วสิ"
มณีมันตราชูสองนิ้ว
"แค่สองครั้งเอง!”
"พี่จะพยายามไม่ทำให้ย่าเสียใจอีก พี่จะไม่ตัดสินใจแทนย่าแล้ว ต่อไปไม่ว่ามีอะไร เราจะตัดสินใจด้วยกัน"
"เรามาถึงสุดทางแล้วนะคะ พี่ธรรม์ เรายังไปต่อด้วยกันได้ใช่มั้ย"
"ที่ผ่านมาเรามากันแค่ครึ่งทางเอง เราแค่หยุดพัก..คิดทบทวนเรื่องของเราเรายังมีเวลาที่จะเดินทางไปด้วยกันอีกนาน...และอีกยาวไกล"
"ย่ารอพี่ธรรม์ได้นะ ไม่ต้องกลัวว่า ย่าจะรอไม่ได้ พี่ธรรม์รู้ว่า มีย่ารออยู่พี่ธรรม์ต้องกลับมา อย่าหายไปจากชีวิตย่าอีกนะ"
"พี่ไม่สัญญานะ แต่พี่จะพยายามไม่หายตัวไป ย่าไม่ได้รอพี่ฝ่ายเดียว พี่ก็รอที่จะได้เจอย่า พี่ทำได้แล้วนะ ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องห่วงมาก แค่ใช้เวลานี้ นาทีนี้ที่เรามีอยู่ด้วยกัน"
"พี่ธรรม์เหลือวันพักร้อนกี่วันนะ ห้าวันใช่มั้ย พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนกันต่อดีคะ"
"ไม่ต้องไปไหน อยู่ด้วยกันตรงนี้ก็พอแล้วล่ะ ย่า"
ธรรม์ดึงมณีมันตราเข้ามากอดอย่างอบอุ่นใจ
อิทธิฤทธิ์ยืนมองชนมนอย่างกวนๆ เหมือนหาเรื่องมากกว่าหาคำตอบ
"ชั้นจะไม่ทิ้งเธอไปไหนอีก ถ้าไม่จำเป็น" ชนมนบอก
"นึกแล้ว"
"ก็ชั้นต้องกลับมาใช้ทุนนี่ ชั้นยังไม่รู้เลยว่า ชั้นต้องไปสอนหนังสือที่ไหนถ้าชั้นต้องไปสอนที่ไหน นายก็ย้ายตามชั้นไปสิ ไม่เห็นยากไ
"ยังกับพ่อเธอจะยอมให้ชั้นตามไปงั้นแหละ"
ชนมนพูดกวนบ้าง "เราแต่งงานกัน ก็แก้ปัญหาได้แล้ว"
"ไม่อะ"
"โห ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยนะ"
"ทำไมต้องคิด"
"จะกวนอีกนานมั้ย นายอิทธิฤทธิ์"
ชนมนชักโมโหจึงกระชากมืออิทธิฤทธิ์มา แล้วพบว่าอิทธิฤทธิ์ยังใส่สร้อยข้อมือหนังที่เธอทำให้อยู่
อิทธิฤทธิ์ยังหยิ่ง "มันแกะไม่ออก"
"ทำไมไม่เอากรรไกรตัดล่ะ ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็คิดได้นะ นายเลิกโกรธเลิกงอนซักทีได้มั้ย เราไม่เคยรักษาสัญญาได้ นายก็เลยไม่เชื่อคำสัญญา แต่นายจำไม่ได้ว่า ชั้นรักษาสัญญาข้อนึงของเราได้มาตลอด ชั้นไม่เคยมองคนอื่นเลย ไม่เคยรู้สึกกับใคร เหมือนกับที่รู้สึกกับนาย ถ้าแค่นี้ยังไม่พอ ชั้นก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว"
"ไม่เคยมองคนอื่น ไม่เคยรู้สึก! รู้สึก! รู้สึกอะไร พูดสั้นๆมาคำเดียวไม่ได้หรือไง“รัก” น่ะ “รัก” พูดได้มั้ย"
"ถ้าพูดจะเลิกโกรธมั้ยล่ะ" ชนมนพึมพำ "ทำไมชั้นต้องเป็นฝ่ายง้อ เฮอะ!”
"พูดมา คำเดียว-สั้นๆ-แค่นี้ พูด-มา"
"ก็-ได้...ชั้น..รัก..นาย..”
"และจะรักตลอดไป เรามาทำสัญญากันดีกว่า สัญญากับอิทธิฤทธิ์ ต้องแบบนี้"
อิทธิฤทธิ์ก้มหน้าลงไปใกล้ๆหน้าชนมนแล้วเอาจมูกชนกับจมูกของชนมนประทับเป็นตราสัญญาไว้
หน้าอิทธิฤทธิ์อยู่ใกล้กับหน้าชนมนโดยห่างแค่นิ้วเดียว
อิทธิฤทธิ์ยิ้มอย่างมีความสุขสุดๆ "รักชนที่สุด!”
อิทธิฤทธิ์ขยับเข้าไปใกล้หมายจะจูบชนมนตอนที่ชนมนมองอย่างเผลอๆ แต่ชนมนหลบวูบได้ทัน เธอผลักอิทธิฤทธิ์ออกไปอย่างตกใจแล้วถอยหลังหนี
"เฮ้ย!”
อิทธิฤทธิ์วิ่งคว้าตัวชนมนเข้ามากอดไว้แน่นอย่างสุดเริงร่าเพราะในที่สุดก็ได้ชนมนกลับมาคืนมา
อิทธิฤทธิ์ใส่หมวกกันน็อคสีดำโดยมีชนมนใส่หมวกกันน็อคสีชมพูนั่งซ้อนท้าย รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของอิทธิฤทธิ์แล่นไปตามสนามแข่งรวดเร็วเหมือนจรวดพุ่งปู๊ดออกไปจนเหลือแต่ฝุ่นสีสวยๆ ที่กลายเป็นตัวหนังสือว่า “เมื่อคิดใหม่ ชีวิตก็เปลี่ยน”
จบบริบูรณ์...