รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 10
เมนี่ลากมณีมันตรามาที่หลังเวทีที่โอเจยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“น้องมณีมันตราทำอย่างนี้ได้ยังไง ตอนนี้เรากำลังเล่นข่าวน้องมณีมันตรากับโอเจอยู่ แต่น้องมณีมันตรากลับควงน้องอิทมางาน คนเค้าจะคิดยังไง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คนดูไม่โง่นะคะ เค้ารู้กันหมดแล้ว ว่าโอเจกับหนูไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“แต่มีแฟนคลับที่เค้าอยากให้โอเจกับน้องมณีมันตราเป็นแฟนกัน พี่เมนี่เคยบอกแล้วว่าแฟนคลับไม่สนหรอกว่าจะจริงหรือหลอก ขอแค่มีภาพฟินๆให้จิกหมอนก็พอแล้ว ไม่รู้ล่ะ น้องมณีมันตราต้องเป็นข่าวกับโอเจไปจนกว่าหนังจะออกจากโรง”
“พี่เมนี่ครับ มณีมันตราทำถูกแล้วล่ะครับ เพราะต้นสังกัดที่เกาหลีกำลังจะจับคู่ผมกับนางเอกคนใหม่อยู่ครับ”
“นางเอกคนใหม่! ใครคะ?”
“เธอชื่อ อุม แบร คลี ครับ เป็นลูกครึ่งเกาหลีแอฟริกัน จะได้ร่วมงานกันเดือนหน้า”
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกพี่เมนี่เลยคะ ปล่อยให้พี่ตกข่าวอยู่คนเดียว”
“เค้าบอกให้ปิดเป็นความลับก่อนน่ะครับ”
“ตายแล้ว! งั้นพี่เมนี่ต้องเริ่มปล่อยข่าวว่าน้องโอเจกับน้องมณีมันตราเลิกกันแล้ว..เพิ่งบอกไปว่ายังไม่เลิก แล้วจะไปบอกว่า เลิกยังไงล่ะเนี่ย”
เมนี่คิดแผนนู่นนี่ยุ่งไปหมดแล้วเดินออกไป
“เมื่อกี้นายว่า นางเอกที่ต้องจับคู่ด้วยชื่ออะไรนะ”
“พูดซ้ำไม่ได้แล้วล่ะ” โอเจบอก
“อ้าว!”
“เพราะชั้นมั่วขึ้นมาน่ะสิ ชั้นแค่อยากจะช่วยเธอให้ไม่ต้องมาเป็นข่าวกับชั้นอีก”
“นายช่วยชั้นทำไม”
“นักแสดงเก่งๆอย่างเธอไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เป็นข่าวหรือสร้างกระแสอะไรแล้วซักวันชั้นจะต้องไปให้ได้ถึงจุดที่เธอกำลังยืนอยู่”
มณีมันตรามองโอเจอย่างรู้สึกดีด้วยเป็นครั้งแรก
สตีฟถือไมโครโฟนยืนพูดอยู่บนเวที มณีมันตรากับโอเจยืนอยู่ด้านหลัง กลุ่มนักข่าวและช่างภาพยืนออถ่ายรูปอัดเทปเสียงอยู่หน้าเวที ชนมนกับธรรม์ยืนด้วยกันที่มุมหนึ่งใกล้ๆกับที่เมนี่กับสุวิชยืนอยู่ด้วย อิทธิฤทธิ์ยืนคนเดียวห่างออกมา
สตีฟพูด “...จากอุปสรรคความยุ่งยากในการทำงานที่ผมเล่ามาทั้งหมดนะครับ ในที่สุดก็ออกมาเป็นภาพยนตร์คุณภาพ ที่จะเข้าฉายอาทิตย์หน้านี้แล้วนะครับ ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
อิทธิฤทธิ์จ้องมองชนมน ชนมนสบตากับอิทธิฤทธิ์แล้วก็ทำเป็นเมิน เมื่อสตีฟพูดจบ ทุกคนก็ปรบมือให้ สตีฟส่งไมค์ให้มณีมันตราพูดต่อ
“The bodyguard’s superstar เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของย่า ตลอดระยะเวลาการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ย่าได้เติบโตขึ้น ได้รับประสบการณ์มากมาย ได้พัฒนาตัวเองในเรื่องการแสดง เพราะได้คุณสตีฟ คุณโอเจและพี่ๆ ทีมงานทุกคนคอยให้ความสนับสนุนและกำลังใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แต่ความทรงจำดีๆกับย่า..ย่าขอขอบคุณทุกคนค่ะ”
ทุกคนในงานปรบมือแล้วต้องชะงักกันไปเป็นแถบๆ เมื่อตี๋เล็กในชุดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ถือช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ แหวกนักข่าว ก้าวขึ้นมาบนเวที
“และผม..ตี๋เล็กก็เป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆของน้องมณีมันตรา”
อิทธิฤทธิ์ ธรรม์และชนมนอึ้ง
“ถ้าไม่มีผม หนังเรื่องนี้ก็ไม่เกิด” ตี๋เล็กตะโกนถามสุวิช “ใช่มั้ยครับ อาเจ็กสุวิช”
สุวิชเอามือปิดหน้าเพราะไม่อยากรู้จักด้วย
“วันนี้ผมมาแสดงความยินดีกับน้องมณีมันตรา ได้โปรดรับช่อดอกไม้แทนหัวใจของพี่ตี๋เล็กด้วยครับ”
ตี๋เล็กคุกเข่าลงแล้วมอบช่อดอกไม้ให้ มณีมันตราฝืนยิ้มแล้วรับช่อดอกไม้มา
“ใครก็ได้ ลากมันลงมาที เมนี่” สุวิชตะโกนบอก
“ค่ะๆ รปภ.กำลังมาแล้วล่ะค่ะ ปล่อยคนบ้าเข้ามาได้ไงเนี่ย” เมนี่ว่า
ธรรม์รีบขึ้นเวที
“ต่อไปผมจะขอร้องเพลงให้น้องมณีมันตรา...” ตี๋เล็กบอก
ธรรม์เดินไปถึงตัวตี๋เล็ก
“พี่ตำรวจ...”
ธรรม์ดึงตัวตี๋เล็กไปจากเวทีอย่างละม่อม มณีมันตรามองธรรม์อย่างขอบคุณแล้วก็รีบทำหน้าเฉยใส่ โอเจรีบดึงไมโครโฟนจากมณีมันตราแล้วพูดต่อ
โอเจพูดสำเนียงเกาหลี “สวัสดีครับทุกๆคนก่อนอื่นผมขอบอกว่า ผมเตรียมฝึกซ้อมการพูดในวันนี้ตั้งสามวัน !”
ผู้ร่วมงานปรบมือแล้วกรี๊ดกร๊าด มณีมันตรามองโอเจที่ยังไม่สิ้นลาย
โอเจพูดต่อ “เริ่มเลยละกันนะครับ เดี๋ยวจะลืม”
นักข่าวและผู้ร่วมงานหัวเราะ
“ผมเคยแสดงละครหลายเรื่องที่เกาหลี รวมทั้งคอนเสิร์ตและโฆษณามากมาย ผมเก่งมาก! แล้วผมก็ทำได้ดีทุกอย่างเสียด้วย และเมื่อรู้ว่าจะได้มาถ่ายหนังที่เมืองไทย ผมจึงไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่”
อิทธิฤทธิ์เบะปาก สตีฟก็เบะปากจนเกือบจะพร้อมกัน
“แต่..เมื่อได้มาพบกับมาย่า ได้เห็นความตั้งใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมตัวก่อนแสดง การมีสมาธิขณะแสดง และความใส่ใจหลังจากแสดงเสร็จ ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมสู้เธอไม่ได้เลย การมาเมืองไทยครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากมาย่า”
โอเจหันไปดึงมณีมันตราให้มายืนใกล้ๆ
“การแสดงของมณีมันตราในฉากสุดท้าย ทำให้ผมทึ่งจริงๆ ผมคงยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเกี่ยวกับการแสดง ต้องขอบคุณมาย่าด้วย ขอบคุณครับ”
โอเจโค้งคำนับมณีมันตรา มณีมันตราโค้งคำนับตอบ
โอเจรวบตัวมณีมันตรามากอด มณีมันตราไม่รู้จะทำยังไง เธอกอดตอบเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด นักข่าวถ่ายรูป โอเจปล่อยมณีมันตรา มณีมันตรามองหน้าโอเจแล้วยิ้ม
โอเจยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มมณีมันตราอย่างรวดเร็ว มณีมันตราตกใจอย่างคาดไม่ถึง อิทธิฤทธิ์กับชนมนอึ้งๆ ธรรม์ที่กำลังลากตี๋เล็กออกจากงานหันมามองอย่างอึ้งๆ ไปด้วย นักข่าวรัวชัตเตอร์กระหน่ำ เมนี่กับสุวิชยิ้มปลื้มและปรบมือนำจนทำให้ทุกคนต้องปรบมือตาม
โอเจโค้งรับเสียงปรบมือโค้งแล้วโค้งเล่าเป็นอันปิดตัวโอเจ
ชนมนเดินโขยกเขยกหน่อยๆ ดูโปสเตอร์ในงาน เธอหยิบมือถือราคาถูกขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้
เสียงอิทธิฤทธิ์ดังขึ้น “มากับไอ้ธรรม์ได้ไง”
ชนมนหันไปข้างหลังเห็นอิทธิฤทธิ์ยืนมองหน้าตาเอาเรื่อง
ชนมนนิ่งๆ กวนๆ “พี่ธรรม์เค้าขับรถไปรับชั้นที่บ้านน่ะสิ”
“ทำไมเธอถึงต้องยอมมากับมัน”
“แล้วทำไมชั้นจะมาไม่ได้ ชั้นก็อยากมางานเลี้ยงอย่างนี้บ้าง ทำไมคนอย่างชั้นมางานหรูๆไม่ได้หรือไง”
“ถ้าอยากมางานนี้ทำไมไม่บอก”
“ชั้นไม่อยากมาเป็นส่วนเกิน...”
“ชั้นกับมาย่าเป็นเพื่อนกัน”
“ชั้นกับพี่ธรรม์ก็เป็นเพื่อนกัน... แต่ชั้นกับนายไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉะนั้นนายไม่มีสิทธิ์ถามอะไรชั้น”
ชนมนเดินหนีออกไป อิทธิฤทธิ์ยืนนิ่งด้วยความเจ็บใจ
มณีมันตรายิ้มให้สัมภาษณ์กับนักข่าวที่รุมล้อมอย่างสบายๆ รับมือได้
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ แค่ทำตามสคริปต์น่ะค่ะ นี่เป็นฉากนึงในหนัง โอเจกับหนูยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ขอบคุณนะคะ ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
มณีมันตรายกมือไหว้นักข่าวเป็นอันจบการให้สัมภาษณ์ มณีมันตราเดินนอบน้อมออกมาจากกลุ่มนักข่าว
“นายโอเจ..ทำแสบจริงๆ”
มณีมันตราเดินหลบหลีกผู้คนพลางส่งยิ้มหวานให้ทุกคนที่เดินผ่านไปมา มณีมันตราหุบยิ้มทันทีที่เห็นธรรม์เดินเร็วๆเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง
“นักข่าวว่ายังไงบ้าง” ธรรม์บอก
“ย่ารับมือได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่ไงพี่ก็ต้องเป็นห่วง ย่าโกรธพี่ยังไงก็ไม่ควรควงอิทมาอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นผลดีกับย่าเลย”
“ย่าไม่สน ย่ากับอิทเป็นเพื่อนกัน เรามาด้วยกันอย่างบริสุทธิ์ใจ ถ้าควงพี่ธรรม์มาจะยิ่งเป็นข่าวมากกว่า”
“งั้นแสดงว่า เรายังเป็นแฟนกันอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่รู้ เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้”
“ย่า... จะให้พี่ทำยังไง ย่าถึงจะยอมยกโทษให้”
มณีมันตราอย่างงอน “ก็ทำอย่างที่ทำตอนนี้ยังไงคะ ควงพี่ชนแทนย่า”
“โธ่ ! อย่าประชดกันอย่างนี้ได้มั้ย ก็รู้อยู่ว่าพี่กับชน”
ตี๋เล็กโผล่พรวดเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ “น้องมาย่าจ๋า!”
มณีมันตรากับธรรม์หันไปมองตี๋เล็กอย่างรำคาญใจแล้วทีนี้
“ขอพี่ตี๋เล็กหอมแบบไอ้พระเอกนั่นได้ป่าว”
“ไอ้นี่..สงสัยอยากเจ็บตัว” ธรรม์ว่า
ธรรม์ลากตี๋เล็กออกไป มณีมันตรามองตามอย่างเป็นห่วงแล้วตัดสินใจเดินตามไป
ธรรม์ลากตี๋เล็กออกมาที่มุมลับตาคน
“นายเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า นายรับปากไว้ว่ายังไง” ธรรม์ว่า
“โกวเล้งเคยบอกไว้ว่า ลูกผู้ชายยืดได้ก็ต้องหดได้ เออ โกวเล้งนี่เพื่อนพ่อผมเอง พี่” ตี๋เล็กบอก
“ที่โดนไปคราวก่อน ยังไม่เข็ดใช่มั้ย”
“ความรักน่ะ เจ็บกี่ครั้งก็ไม่เข็ดหรอก พี่”
“มณีมันตราไม่มีวันที่จะสนใจนายหรอก นายตี๋เล็ก”
“วันนี้ไม่สนใจ แต่วันหน้ายังมี ถ้าน้องมาย่าได้เห็นลูกตื๊อ เอ๊ย ได้เห็นความจริงจังและจริงใจของผม ซักวันน้องเค้าก็ต้องใจอ่อน พี่น้องนี่เหมือนกันเลย ไม่รู้จักความรักว่าเป็นยังไง คนอย่างตี๋เล็กรักแล้วรักเลย ไม่มีวันเปลี่ยนใจ” ตี๋เล็กพูดเสียงเข้ม “ผมจะรักน้องมาย่าตลอดไป”
ตี๋เล็กเดินหน้ากวนออกไป ธรรม์ขยับจะไปเล่นงานต่อ
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป ! นี่แสดงว่านายจะไม่เลิกตื๊อมาย่าใช่มั้ย”
มณีมันตราเข้ามาดึงธรรม์ไว้ไม่ให้ตามไป
“ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ”
“อย่างนี้ย่าควรไปแจ้งความให้ตำรวจบันทึกไว้เป็นหลักฐานในชั้นแรกก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยหาทางจัดการกับมัน”
“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะ”
“นี่ไม่ใช่เวลามาประชดกัน มันเคยลักพาตัวย่ามาแล้วนะ”
“ตี๋เล็กเค้าแค่อยากให้ย่าซ้อนมอเตอร์ไซค์ เค้าดูต๊องๆไม่น่ามีพิษมีภัย”
“แล้วถ้าวันหนึ่งมันเกิดบ้าขึ้นมา ไม่ต้องการแค่ให้ย่าซ้อนท้ายล่ะ”
“พี่ธรรม์เลิกห่วงย่าเกินเหตุซะทีเถอะค่ะ ถ้าพี่ธรรม์ห่วงย่าจริง เมื่อวานพี่ธรรม์คงไม่ปล่อยย่าให้รอ..ย่าเจอคนที่บ้ากว่าเลวกว่าตี๋เล็กตามถึงที่จอดรถ ตอนนั้นย่าอยู่คนเดียว รู้มั้ยว่า ย่ากลัวแค่ไหน”
ธรรม์ตกใจและรู้สึกผิดอย่างมาก “พี่ขอโทษ...”
ธรรม์จับมือมณีมันตราไว้อย่างงอนง้อ
“ตกลงจะให้พี่ทำยังไง มาย่าถึงจะหายโกรธพี่”
อิทธิฤทธิ์กำลังเดินหามณีมันตราเห็นภาพธรรม์ยืนจับมือมณีมันตราอยู่
“ดีกันได้ซะที หมดหน้าที่เราแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ยืนมองเพราะยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าธรรม์กับมณีมันตราเหมาะสมกัน อิทธิฤทธิ์เดินผละออกไป นักข่าวซุ่มอยู่ที่มุมตึกยกกล้องขึ้นมาถ่าย มณีมันตราดึงมือออกจากธรรม์แล้วเดินออกไปทิ้งให้ธรรม์ยืนอยู่คนเดียว
ชนมนกำลังใช้มือถือถ่ายรูปตัวเองทำหน้าสวยใส่กล้อง อิทธิฤทธิ์มาหยุดมองชนมนเพลินๆ ไป ชนมนใส่ชุดสวยและแต่งหน้าสวยโดยเฉพาะดวงตาที่โตและสวยสดใส แขกผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
“ผมถ่ายให้มั้ยครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ชนมนอายๆ “แต่กดเบาๆหน่อยนะคะ มือถือเก่ามากแล้ว”
ชายคนนั้นใช้มือถือถ่ายรูปให้ชนมนสองสามรูปแล้วคืนมือถือให้และหยิบมือถือของตัวเองออกมา
“ผมขอถ่ายรูปด้วยนะครับ”
อิทธิฤทธิ์กำลังมองชนมนอย่างเพลินๆ จากหน้าที่ยิ้มเริ่มหุบลงๆทุกที ชนมนมองชายคนนั้นอย่างไม่ไว้ใจ ชายคนนั้นยื่นหน้าใกล้หน้าชนมนเพื่อถ่ายรูปคู่ด้วย อิทธิฤทธิ์เดินดุ่มๆตรงเข้าไปอย่างอารมณ์เสีย เขาคว้าข้อมือชนมนให้เดินไปด้วยกัน
“พอแล้ว ไม่ต้องถ่าย”
“เฮ้ยๆ จะพาชั้นไปไหน”
“กลับบ้าน !”
“นายอยากกลับก็กลับไปคนเดียวซิ ชั้นจะกลับกับพี่ธรรม์”
“จะอยู่เป็นก้างทำไม ไอ้ธรรม์คืนดีกับมณีมันตราแล้ว”
“นายเสียใจก็อย่ามาลงที่ชั้น”
“ไม่ได้เสียใจ” อิทธิฤทธิ์รำคาญ “เออๆ เสียใจก็ได้ ไปเมาด้วยกันหน่อย ไป”
“ไม่ไป !”
อิทธิฤทธิ์ไม่ฟัง เขายังคงลากชนมนต่อไป
“ชั้นบอกว่าไม่ไป!”
อิทธิฤทธิ์หันมาจ้องหน้าชนมนและทำหน้านิ่งใส่ ชนมนนึกว่าอิทธิฤทธิ์กำลังเสียใจ
“เออๆ ไปก็ได้ ขอชั้นโทรบอกพี่ธรรม์ก่อน”
“ช่างมัน ไม่ต้องโทร”
อิทธิฤทธิ์ลากชนมนออกไป ขณะที่ชนมนกำลังพยายามใช้มือถือโทรติดต่อหาธรรม์ไป
มณีมันตราเดินหนีธรรม์พลางใช้มือถือโทรตามหาอิทธิฤทธิ์
“อิท..ปิดมือถือทำไม”
ธรรม์เดินเข้ามา
“อิทกลับไปกับชนแล้วล่ะ”
“อย่ามาหลอกกันหน่อยเลย อิทต้องรอกลับพร้อมย่า”
“เดี๋ยวนี้พูดอะไร ไม่เชื่อกันเลยใช่มั้ย”
“พี่ธรรม์อยากทำให้ย่าหมดความเชื่อถือเอง”
“เมื่อกี้ชนโทรมาบอกว่า ถูกอิทลากกลับบ้านไปด้วย ถ้าไม่เชื่อโทรถามชนได้เลย”
“ย่าให้พี่เมนี่ไปส่งก็ได้”
“คุณเมนี่ไปงานเลี้ยงส่งโอเจต่อ อยากไปเลี้ยงส่งโอเจมั้ยล่ะ”
“เดี๋ยวย่าติดรถแฟนคลับกลับ”
“ย่า...”
ธรรม์มองมณีมันตราอย่างออดอ้อนและขอร้อง
“จะไม่ยอมให้พี่ไปส่งจริงๆเหรอ พี่ทำผิดจนย่ายกโทษให้ไม่ได้เลยเหรอ”
มณีมันตรามองธรรม์อย่างชั่งใจ
รถยนต์ของอิทธิฤทธิ์แล่นไปตามถนน อิทธิฤทธิ์ขับรถอย่างสบายๆ ชนมนนั่งหันหน้ามองออกนอกหน้าต่างโดยไม่ยอมหันมาคุยด้วย
“อยากกลับกับไอ้ธรรม์นักเหรอ” อิทธิ์ฤทธิ์ถาม
“เออ...” ชนมนตอบ
“เป็นผู้หญิงพูดให้มันเพราะๆหน่อย มิน่าล่ะ..”
“มิน่าอะไร?!”
“มิน่าถึงไม่มีแฟนยังไงล่ะ ไม่น่าถาม !”
“ถ้าเมื่อกี้นายไม่เข้ามาขัดจังหวะ ชั้นอาจจะได้แฟนไปแล้ว”
อิทธิฤทธิ์เค้นหัวเราะ “หลงตัวเอง !”
“ผู้ชายคนนั้นมาจีบชั้น ไม่เห็นหรือไง วันนี้ชั้นสวย”
“บอกแล้ว ถ้ายังเป็นติวเตอร์ของชั้น ห้ามมีแฟน”
อิทธิฤทธิ์เร่งคันเร่งซิ่งรถออกไปเร็วขึ้น
“ช้าๆ หน่อย ! นายอิท เป็นบ้าอะไร”
อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนท่าทีขับรถอย่างหน้าเคร่ง
รถธรรม์แล่นมาจอดหน้าบ้าน มณีมันตรารีบลงจากรถไปเปิดรั้วบ้าน ธรรม์ตามมาดึงกุญแจเพื่อช่วยไขประตูรั้วให้
มณีมันตราเมิน “กลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่มาส่ง”
“พี่นึกว่าหายโกรธแล้วซะอีก”
“ให้มาส่ง ไม่ได้แปลว่ายกโทษให้”
“ย่าจะโกรธพี่ไปอีกนานแค่ไหน เราจะหาเวลาเจอกันก็ยาก เราจะมาเสียเวลาโกรธกันทำไม เราคืนดีกันเถอะนะ ย่านะ”
“ถ้าย่ายกโทษให้พี่ธรรม์ง่ายๆ พี่ธรรม์ก็ได้ลืมย่าง่ายๆอีกน่ะสิคะ”
“งั้นเอาอย่างนี้ ย่าหาว่าพี่ไม่ห่วงใช่มั้ย งั้นคืนนี้พี่จะเป็นยามเฝ้าย่าทั้งคืนเลย”
มณีมันตราไม่เชื่อ “พี่ธรรม์คงอยู่ทั้งคืนได้หรอก”
“พี่จะเฝ้าอยู่ที่หน้าบ้าน จนกว่าย่าจะหายโกรธพี่”
“ก็ลองดูค่ะ ย่ากะว่าจะโกรธพี่ธรรม์ซักเดือนนึง ดูซิว่า พี่ธรรม์จะเฝ้าย่าได้นานแค่ไหน ย่าว่า แค่คืนนี้คืนเดียวก็ไม่รอด เพราะใจพี่ธรรม์อยู่แต่กับงาน”
มณีมันตราเปิดรั้วเดินเข้าบ้านไป ธรรม์เดินตามไปติดๆ นักข่าวเดินออกมาถ่ายรูปธรรม์เดินเข้าบ้านตามหลังมณีมันตราในยามดึก
ธรรม์เดินมาหยุดที่หน้าบ้าน มณีมันตราเดินเข้าบ้านไปแล้วปิดประตูใส่กลอนทันที ธรรม์หยุดยืนอยู่ที่หน้าตัวบ้าน มณีมันตรายืนแอบมองมาจากหน้าต่าง ธรรม์ยังคงยืนเป็นยามเฝ้ามณีมันตราอย่างแข็งขัน
ชนมนจ้องมองอิทธิฤทธิ์อย่างจับผิด
“มีอะไร?!”
“ทำไมชั้นจะมีแฟนไม่ได้ !?” ชนมนถาม
“ก็เพราะชั้นไม่ให้มี !”
“ชั้นนี่ไม่น่าถามคนที่ไม่มีเหตุผลอย่างนายเลย !”
อิทธิฤทธิ์ร้องออกมา “เฮ้ย !”
“ไม่ต้องมาเฮ้ย ! ชั้นจะไม่สนใจนายอีกต่อไป”
“น้ำมันหมด !”
“หมดก็เรื่องของนาย”
รถยนต์ของอิทธิฤทธิ์ค่อยๆแล่นช้าลงๆแล้วก็ดับไปดื้อๆ
ชนมนร้องออกมา “เฮ้ย !”
“ไม่ต้องมาเฮ้ย ! ตอนนี้ต้องลงเดินแล้ว”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างเซ็งสุดๆ
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินเคียงคู่กันมา เงาของทั้งสองทาบลงบนพื้นถนนเป็นคนสองคนเดินคู่กัน ชนมนเดินด้วยรองเท้าส้นสูงอย่างทรมาณ อิทธิฤทธิ์เดินช้าๆเพื่อจะได้ให้ชนมนเดินตามทัน
“นี่เราต้องเดินไปถึงไหนเนี่ย” ชนมนถาม
“ก็เดินจนกว่าจะเจอปั๊มน้ำมัน”
“แล้วก็ต้องเดินกลับมาที่รถอีก”
ชนมนหยุดเดินทันทีและมองหาไปรอบๆ
“ไม่ต้องมองหาหรอก ชั้นเช็คทางเน็ตแล้ว มีปั๊มน้ำมันอยู่ทางโน้น น่าจะกิโลกว่าๆ”
“ชั้นมองหาป้ายรถเมล์ ชั้นจะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน! นายนี่ไม่ได้เรื่อง ก่อนออกจากบ้าน ทำไมไม่เช็คให้ดีก่อน ชั้นรู้ว่านายชอบทำอะไรเสี่ยงๆ แต่เสี่ยงแบบนี้ มันสนุกเหรอ นายอิทธิฤทธิ์”
“ชั้นขอโทษ ! วันนี้ชั้นรีบ แล้วนานๆทีชั้นถึงจะเอารถที่บ้านมาขับ คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันบ้างดิ”
“แต่นายนี่ทำผิดพลาดกว่ามนุษย์ปกติเค้าทำกัน ! ทำผิดพลาดบ่อยจนนับไม่ไหวแล้ว โอ๊ย ว้าย”
ชนมนเดินสะดุดจะล้มเพราะรองเท้าส้นสูงแต่อิทธิฤทธิ์รับไว้ได้ทัน ชนมนสะบัดตัวจากอิทธิฤทธิ์ เธอลุกขึ้นยืนให้มั่นแล้วถอดส้นสูงเดินเท้าเปล่าไป อิทธิฤทธิ์มองชนมนจากด้านหลัง
“วันนี้เธอดูสวยจริงๆด้วย”
ชนมนเดินไปเรื่อยๆ “เพราะเห็นแต่ด้านหลังใช่มั้ยล่ะ เล่นมุกเดิมๆ นายไม่เคยเห็นชั้นเป็นผู้หญิงนี่ ชั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของนายอยู่แล้ว”
“แล้วชั้นเคยอยู่ในสายตาของเธอหรือเปล่า”
ชนมนชะงักกึกไม่กล้าหันมามอง
“หรือเธอเห็นชั้นเป็นแค่”เด็กมีปัญหา”
ชนมนหันกลับมามองอิทธิฤทธิ์
“คำนี้มันเจ็บมากนักหรือไง”
“เจ็บจนจุก ! คนอื่นจะมองว่าชั้นสร้างแต่ปัญหาก็ช่าง แต่ชั้นไม่อยากให้เธอมองชั้นอย่างนั้น เธอน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าชั้นเปลี่ยนไปแล้ว”
ชนมนอึ้ง “ชั้นขอโทษ...ชั้นจะไม่พูดแบบนี้กับนายอีก..นายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
“ชั้นเปลี่ยนได้เพราะเธอ”
ชนมนกับอิทธิฤทธิ์เผลอตัวมองหน้ากัน อิทธิฤทธิ์ก้มลงจะหอมหัวยุ่งๆของชนมน
ชนมนได้สติเบี่ยงตัวออก “จะทำอะไร !”
“ไม่รู้..”
“นายนี่ไม่เคยรู้อะไรเลย!”
ชนมนเดินแก้เขินออกไปอย่างทำอะไรไม่ถูก อิทธิฤทธิ์เดินตามไปดึงรองเท้าชนมนมาถือให้
“ก็ไม่รู้จริงๆ รู้แต่ว่า ตอนนี้ชั้นมีความสุขมาก”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินเคียงคู่กันไปเงียบๆต่างคนต่างเก็บความรู้สึกดีๆไว้ในใจ
เช้าตรู่ที่บ้านของมณีมันตรา มณีมันตรานอนหลับอยู่บนเตียง เธอค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงียอแต่ก็แค่ครู่เดียว
มณีมันตรานึกขึ้นมาในทันที “พี่ธรรม์!”
มณีมันตรารีบกระโดดลงจากเตียงแล้วคว้าเสื้อคลุมมาใส่ก่อนจะออกจากห้องเพื่อลงไปดูธรรม์
มณีมันตรารีบเปิดประตูบ้านออกมาแล้วกวาดตามองหาธรรม์แต่ยังไม่เห็น
“นึกแล้วเชียว !”
มณีมันตราจะหันกลับเข้าบ้านแต่แล้วก็หันกลับมามองหาอีกครั้งก็เห็นปลายเท้าโผล่มา เธอเดินไปที่มุมสนามหน้าบ้านจึงเห็นธรรม์นอนขดตัวอยู่ที่เก้าอี้สนาม
มณีมันตรามองธรรม์ที่ทุกข์ทรมาณนอนเฝ้าหน้าบ้านเธอทั้งคืนทำให้เธอใจอ่อนลง มณีมันตราย่องเข้าไปใกล้ขึ้นอีก ธรรม์ขยับตัวตื่นทันทีตามประสาตำรวจที่หูตาไว มณีมันตราจะถอยหนีแต่ก็หลบไม่ทันเสียแล้ว ธรรม์รีบลุกขึ้นคว้าแขนมณีมันตราเอาไว้
“ย่า..”
“ล้างหน้าล้างตาซะ แล้วกลับบ้านไปได้ ย่าเชื่อพี่ธรรม์แล้วค่ะ ว่าทำได้อย่างที่พูด”
มณีมันตรายังคงรักษาท่าที เธอเดินกลับเข้าบ้าน ธรรม์ยืนมองตาละห้อย
อิทธิฤทธิ์ทำนิ่งขรึมเป็นผู้ใหญ่แล้วเดินตรงไปที่เป้าหมาย เขาจ้องเหมือนกำลังจ้องหน้าคนที่พูดด้วย
อิทธิฤทธิ์พูดจริงจัง “ชั้นขอบอกให้เธอรู้ไว้ด้วย ชั้นไม่ใช่เด็กแล้ว ! แล้วเหตุผลที่ชั้นไม่ยอมเรียกเธอว่า “พี่” ก็เพราะว่า...ชั้น..อย่าดิ..วันนี้เธอต้องฟังชั้น”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าไปใกล้ๆ หน้าของหมูหวานที่กำลังกินอาหารแมวอยู่
“บอกให้ฟังยังไงล่ะ !”
หมูหวานหันมาจ้องมองอิทธิฤทธิ์ด้วยตาแป๋วแหววเหมือนรอฟังจริงๆ
“ชั้นไม่ยอมเรียกเธอว่า “พี่” ก็เพราะว่า...เฮ้ย..จ้องกันอย่างนี้ใครจะพูดออก”
อิทธิฤทธิ์คว้าหมูหวานมาอุ้มแล้วก็เริ่มกลุ้มใจกับตัวเองเพราะแม้แต่กับแมวก็ยังพูดไม่ออก
อิทธิฤทธิ์ปรึกษาหมูหวาน “ทำไงดี มันพูดไม่ออก มันรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่ข้างในแต่มันอธิบายไม่ถูก...เริ่มหยั่งงี้ล่ะกัน เราคิดยังไงก็พูดไปอย่างที่คิด”
อิทธิฤทธิ์มองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“เลยเวลาแล้ว ทำไมยังไม่มา”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มอย่างนึกอะไรได้ เขาวางหมูหวานกลับที่เดิมแล้วหยิบมือถือขึ้นมาทำเป็นกดโทรหาชนมน
อิทธิฤทธิ์โทรเหมือนจริงมาก “นี่เธอ ทำไมยังไม่มาอีก ชั้นคิดถึง”
อิทธิฤทธิ์หัวเราะอย่างภูมิใจตัวเองพลางพยักหน้ากับหมูหวาน
“คราวนี้เอาจริงล่ะ !”
อิทธิฤทธิ์กดมือถือโทรหาชนมนจริงๆ มือของเขาสั่นนิดๆ
“ทำไมแค่นี้ต้องตื่นเต้น..ไอ้อิทๆ..แกต้องเริ่มต้น ไม่งั้นแกจะไม่มีวันเริ่มได้”
อิทธิฤทธิ์ลุ้นและเตรียมบอกคิดถึงชนมนเต็มที่แต่แล้วก็ต้องหน้าจ๋อยไปเมื่อได้รับข้อความจากปลายทางว่า“เลขหมายที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“เฮ้ย ปิดโทรศัพท์ ! ได้ไงอ่ะ !? ...ชนไม่เคยมาเลท”
อิทธิฤทธิ์มองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งเพราะชักจะเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับชนมน
ชินพัฒน์วิ่งหน้าตื่นมา ชาย 2 คนหน้าตาดุดันบุกตามเข้ามา ชนมนวิ่งลงมาจากชั้นบนด้วยหน้าตาตื่นตกใจแล้วมายืนทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ชาย 2 คนช่วยประคองชูชัยที่ตัวอ่อนปวกเปียกออกไปอย่างรีบร้อนจนชนโต๊ะและเก้าอี้ล้มปึงปังไปตลอดทาง ชินพัฒน์ผวาวิ่งไปหาชนมน
“ทำไงดี พี่ชน ! ทำไงดี !?”
ชนมนได้สติก็รีบดึงชินพัฒน์ให้ตามชูชัยไป ชนมนปิดประตูบ้านกับร้านอย่างรวดเร็วและแรงจนเกิดเสียงดังปังกังวานในความเงียบ
ถนอมจิบกาแฟพลางเช็คดูแฟนเพจของมณีมันตราในไอแพด
“แปลกจริง..วันนี้คุณมาย่าไม่มีคิวงาน..สงสัยจะเตรียมตัวสอบซัมเมอร์” ถนอมบอก
อิทธิฤทธิ์ลงจากชั้นบนตรงรี่เข้าหาถนอม
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดัง “ป้าหนอม ป้าหนอม ติวเตอร์ของผมมาหรือยังครับ”
“อ้าว! หนูชนยังไม่มาอีกเหรอคะ”
“ป้าหนอมมัวแต่เล่นเน็ตอยู่ได้ ไม่สนใจผมอีกแล้วนะ”
“เดี๋ยวป้าโทรตามหนูชนให้เดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
“ไม่ต้องโทร ถ้าเค้าไม่มาก็ไม่ต้องมา” อิทธิฤทธิ์บ่นพึมต่อว่าชนมน “จะโทรมาบอกกันซักนิดก็ไม่ได้”
อิทธิฤทธิ์โกรธจึงเดินปึงปังออกไปอย่างไม่ได้ดั่งใจ
ถนอมพูดไล่หลัง “เดี๋ยวป้าโทรตามให้ค่า คุณอิทใจเย็นๆนะคะ เดี๋ยวก็ได้ติวแล้วค่ะ”
ถนอมหันไปเห็นอิทธิพลยืนฟังอยู่
อิทธิพลพอใจ “แค่ติวเตอร์มาช้าหน่อยก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง นายอิทขยันขนาดนี้เชียวเหรอ ป้าหนอม”
“ค่ะ คุณท่าน คุณอิทขยันขึ้นเยอะ” ถนอมขำ “แต่นี่คงไม่ใช่อยากแค่ติวมั้งคะ คงอยากเห็นหน้าคนติวด้วย”
อิทธิพลเข้าโหมดจริงจังทันที “บอกนายอิทมันด้วย เรื่องเรียนต้องมาก่อน !”
อิทธิพลเดินออกไปเมื่อได้รับรู้ข้อมูลเรื่องอิทธิฤทธิ์กิ๊กกับชนมนแต่เขาก็ไม่ใส่ใจนักเพราะคิดว่าเป็นเรื่องวูบวาบของวัยรุ่น
“ไม่น่าพูดออกไปเลย เรา !”
ถนอมรู้ว่าพลั้งปากไปทำให้เกือบดิสเครดิตของอิทธิฤทธิ์ ถนอมกลับไปสนใจไอแพดต่อโดยลืมโทรตามชนมน
อิทธิฤทธิ์เข้ามาในห้อง เขาหยิบหนังสือแล้วไปนั่งอ่านที่โต๊ะ
“ไม่มาก็อย่ามา อ่านเองก็ได้”
อิทธิฤทธิ์พลิกไปพลิกมาอย่างไม่มีสมาธิ เขามองออกไปนอกหน้าต่างหลายครั้งเพื่อดูว่าชนมนมาหรือยัง อิทธิฤทธิ์จ้องตากับหมูหวานที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
อิทธิฤทธิ์พูดเข้าข้างตัวเอง “เอางั้นเหรอ หมูหวาน ! ก็ได้ๆ ไปดูหน่อยก็ได้”
อิทธิฤทธิ์ปิดหนังสือปึงปังแล้วลุกพรวดออกไป
มณีมันตราเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องน้ำแล้วตัดสินใจเคาะประตูห้องน้ำ
“พี่ธรรม์คะ ทำอะไรอยู่ ทำไมนานนัก”
มณีมันตราแนบหูกับประตูห้องน้ำ แล้วเคาะเบาๆอีกสองสามครั้ง
“พี่ธรรม์...”
ธรรม์เปิดประตูโผล่มาแต่หัวมีน้ำหยดพราวเต็มหน้าจนมณีมันตราเกือบหัวทิ่มเข้าไปในห้องน้ำ เธอผละออกแทบไม่ทัน
“ย่าอนุญาตให้พี่ธรรม์ล้างหน้าอย่างเดียว นี่อาบน้ำด้วยเลยเหรอคะ”
“ก็พี่ตัวเหนียวไปหมด..พี่เฝ้าอยู่หน้าบ้านย่าทั้งคืนเลยนะ” ธรรม์บอก
“ย่าไม่ได้ขอให้เฝ้าซักหน่อย รีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จ แล้วก็กลับไปซะ”
ธรรม์น้อยใจ “ได้ ! ย่าไม่อยากเห็นหน้าพี่ พี่ก็จะกลับ”
ธรรม์จะปิดประตูห้องน้ำ
“เดี๋ยวค่ะ ! แล้วพี่ธรรม์จะใส่ชุดเดิมเหรอคะ”
“เออ..จริง..พี่มีเสื้ออยู่ในรถ”
ธรรม์รีบเปิดประตูห้องน้ำออกมา มณีมันตราตกใจรีบหันหลังพลางปิดหน้าทันที
“ว้าย ! พี่ธรรม์ !”
ธรรม์หัวเราะ “เฮ้ย ! พี่ไม่ได้โป๊”
มณีมันตราค่อยหันกลับมามอง ธรรม์นุ่งผ้าขนหนูตัวเดียวโดยมีผ้าขนหนูอีกผืนคลุมไหล่อยู่อย่างไม่อุจาด
มณีมันตราหันกลับไปอีก “พี่ธรรม์เนี่ย ! อย่างนี้ก็ถือว่าโป๊อยู่ดี”
“ทำอย่างกับว่าไม่เคยเห็น..”
มณีมันตราหันกลับมาแว้ดใส่พองาม “เคยเห็นตอนไหน”
“ก็ตอนว่ายน้ำด้วยกันไง ตอนเด็กๆเราไปเที่ยวทะเลด้วยกันบ่อยไป”
“นั่นมันตอนเด็กๆ ! นี่ไม่ใช่เวลามากวนโมโหกันนะ พี่ธรรม์”
“เห็นย่าโมโหก็ยังดีกว่าเห็นย่าทำเย็นชาใส่พี่..ย่าอยากทุบอยากตีพี่..ก็ตามสบายเลย ขออย่างเดียว อย่าไล่พี่ได้มั้ย”
มณีมันตราชะงักนิ่งคิดแล้วเพิ่งเห็นว่าทั้งตัวของธรรม์เป็นรอยแดงเทือกจากยุงกัด
มณีมันตราใจอ่อนลง “เดี๋ยวย่าไปหยิบเสื้อที่รถให้ กินอะไรซักหน่อย แล้วค่อยกลับล่ะกันค่ะ”
มณีมันตราเดินออกไป ธรรม์มองตามอย่างใจชื้นขึ้น
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านชนมนที่ประตูปิดสนิท อิทธิฤทธิ์ลงจากมอเตอร์ไซค์ เขาถอดหมวกกันน็อคแล้วมองไปที่หน้าบ้านชนมน
“ทำไมปิดร้านล่ะ?”
อิทธิฤทธิ์พยายามส่องดูตามรูประตูของบ้านและกดกริ่งหลายทีแต่ก็ไม่มีการตอบรับ อิทธิฤทธิ์ถอยห่างออกมามองขึ้นไปที่ชั้นสอง
อิทธิฤทธิ์ตะโกน “ชน! ชน! ...ชนอยู่มั้ย ชน!” อิทธิฤทธิ์บ่น “หายไปไหนหมดบ้าน หรือว่าจะย้าย
บ้านหนีเรา”
เด็กที่เคยเตะบอลกับอิทธิฤทธิ์วิ่งผ่านมา
“พี่อิท มาหาไอ้ชินเหรอ”
“ไม่ใช่! พี่มาหา....เออ..ใช่..พี่มาหาชิน..เรารู้มั้ยทำไมวันนี้ร้านปิด”
อิทธิฤทธิ์รอคำตอบ
อิทธิฤทธิ์วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในล๊อบบี้โรงพยาบาล แล้วตรงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์
“เมื่อเช้ามีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาใช่มั้ยครับ ตอนนี้เค้าอยู่ห้องไหนครับ”
“คนไข้ชื่ออะไรคะ”
“คนไข้ชื่อ..ชื่อ..โธ่! คุณ ! จะมีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามากี่รายเชียว”
“ยี่สิบรายค่ะ เช้านี้มีอุบัติเหตุรถชนกัน ตกลงคนไข้ชื่ออะไรคะ”
“ชื่อ...ชื่อ” อิทธิฤทธิ์คิด “ร้านข้าวผัดลุงชู..เออ..คนไข้ชื่อลุงชู..”
เจ้าหน้าที่มองหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาล้อเล่นหรือเปล่า
อิทธิฤทธิ์เริ่มอาย “คนไข้ชื่อคุณชู..ชูวิทย์..ชู...ชูชาติ..ชู..ชู..”
เสียงชินพัฒน์ดังขึ้น “ชูชัย..”
อิทธิฤทธิ์พูดกับเจ้าหน้าที่ “ใช่ๆ ชูชัย”
“นามสกุลล่ะคะ”
“นามสกุล...นามสกุล..” อิทธิฤทธิ์คิด
เสียงชินพัฒน์ดังอีก “ปราบยิ่ง”
“ใช่ๆ คนไข้ชื่อชูชัย ปราบยิ่ง เฮ้ย”
อิทธิฤทธิ์หันขวับมาเห็นชินพัฒน์ยืนอยู่ด้านหลัง
“เฮ้ย ! ชิน ! คุณลุงไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
อิทธิฤทธิ์มองชินพัฒน์ที่พยายามยิ้มรับแต่ก็ยิ้มไม่ออก
ห้องคนไข้รวมเต็มไปด้วยความแออัด เตียงคนไข้เรียงราย คนไข้นอนอยู่ทุกเตียงและญาติคนไข้นั่งเฝ้าเต็มไปหมด ชินพัฒน์เดินพาอิทธิฤทธิ์เข้ามา อิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆอย่างอึดอัดและไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย
ชินพัฒน์พาอิทธิฤทธิ์มาถึงเตียงที่ชูชัยนอนไม่ได้สติอยู่ ชนมนจับมือพ่อไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและมีน้ำตาคลอ ชนมนว้าวุ่นใจเพราะทำอะไรไม่ถูก พอเงยหน้าขึ้นเห็นอิทธิฤทธิ์เข้ามาเธอก็รู้สึกเหมือนได้ที่พึ่ง
ชนมนกลัวมาก “อิท..พ่อยังไม่ฟื้นเลย ชั้นจะทำยังไงดี”
“ใจเย็นๆ..ชน...ชั้นอยู่นี่แล้ว..ชินอยู่เฝ้าคุณลุงไปก่อนนะ”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนให้ลุกออกไป ชินพัฒน์รีบนั่งลงข้างเตียงเพื่อเฝ้าพ่ออย่างแข็งขัน
“จะพาชั้นไปไหน?” ชนมนถาม
ชนมนห่วงพ่อจึงรั้งตัวไว้แต่อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนไปด้วยกันจนได้
“ไปด้วยกัน เดี๋ยวก็รู้ !”
อิทธิฤทธิ์กอดไหล่ชนมนแล้วพาตัวเธอเดินออกไป
ธรรม์ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์กำลังง่วนกับการคนโจ๊กอยู่หน้าเตาซ้ายและทอดไข่ดาวอยู่ที่เตาขวา มณีมันตราถือหนังสือพลางเดินเตร่มาใกล้ๆ แล้วเหลือบมอง พอธรรม์หันมามอง มณีมันตราก็ทำเป็นก้มอ่านหนังสือ
“แน่ใจนะว่าจะไม่กินด้วยกัน” ธรรม์ถาม
“ไม่ล่ะค่ะ ย่าเรียบร้อยแล้ว”
“แค่กาแฟแก้วเดียว มันไม่พอหรอกนะ รู้อยู่ไม่ใช่เหรอว่า อาหารเช้าสำคัญที่สุด”
“ก็วันนี้ไม่หิวนี่..เวลาไม่ต้องออกไปทำงาน ไม่ต้องกินอะไรทั้งวันก็ยังได้”
“เดี๋ยวย่าเห็นอาหารฝีมือของพี่ แล้วจะหิวเอง”
มณีมันตราหัวเราะเยาะ “อย่ามาคุย อร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วนี่ทำอะไรเยอะแยะไปหมด”
ธรรม์ยิ้มสนุก “เดี๋ยวก็รู้”
ธรรม์ทอดเบคอนเสียงดังฉู่ฉี่ มณีมันตราชะโงกมองธรรม์ที่ทำทั้งโจ๊กทั้งอาหารเช้าฝรั่งเยอะแยะ ธรรม์หันมามองมณีมันตราอย่างมั่นใจในฝีมือตัวเอง มณีมันตราทำปากยื่นใส่อย่างไม่เชื่อแม้แต่น้อย
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินออกจากห้องตรวจคนไข้พร้อมหมอ
“ก็อย่างที่หมอบอกไปน่ะครับ คนไข้เกิดอาการช็อคเพราะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป อาการอย่างนี้เกิดขึ้นได้ถ้าหากคนไข้ไม่กินยาตามเวลา แต่ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ” หมอบอก
“แล้วเมื่อไหร่คนไข้จะฟื้นล่ะครับ” อิทธิฤทธิ์ถาม
“อีกซักพักคงจะฟื้นครับ” หมอพูดกับชนมน “คุณพ่อของคุณไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างจริงจังมากว่าห้าปี มีโอกาสเกิดโรคอื่นแทรกซ้อนได้ ถ้าหากเป็นโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาทก็เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าหนักไปกว่านั้นอาจจะถึงขั้นเป็นโรคหัวใจล้มเหลวนะครับ”
ชนมนหน้าเสียและพูดไม่ออกด้วยความกลัวว่าพ่อจะเป็นหนัก
อิทธิฤทธิ์ย้ำให้ชนมนสบายใจ “แต่ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วใช่มั้ยครับ คุณหมอ”
“ครับ คนไข้ไม่เป็นอะไรแล้ว โรคเบาหวานเราควบคุมได้นะครับ ดูแลคนไข้เรื่องการทานอาหารและยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด แล้วก็มาหาหมอตามกำหนดก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้อีก
“ค่ะ หนูจะดูแลพ่อให้ดีกว่านี้ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”
หมอเดินแยกออกไป อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่ยังหนักใจอยู่
อิทธิฤทธิ์พูด “เลิกทำหน้าเครียดได้แล้ว หมอก็บอกแล้วว่า โรคนี้เราควบคุมได้ ต่อไปเธอก็ต้องเข้มกับคุณลุงให้มากขึ้น ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ฟื้นแล้วน่า”
“เดี๋ยวพ่อชั้นก็ฟื้น..จริงๆเหรอ” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์จับไหล่ชนมนไว้สองมือเหมือนเป็นพี่ชายแล้วจ้องชนมนอย่างให้กำลังใจ
“จริงๆ ! เชื่อชั้น พ่อเธอต้องไม่เป็นอะไร”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์แล้วอาการหนักใจกลุ้มใจก็ค่อยๆ เบาบางลง
ชามโจ๊กโรยผักชี ขิงซอย พริกไทย โปะด้วยไข่ดาวดูน่ากินมากวางอยู่บนโต๊ะ 2 ชาม
ธรรม์วางจานเบคอน ไส้กรอกทอด มันทอดและขวดซอสต่างๆลงบนโต๊ะ มณีมันตรานั่งที่โต๊ะอาหาร เธอมองที่จานอาหารที่ดูน่ากินแล้วก็เงยหน้ามองธรรม์ที่จัดโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
“น่ากินใช่มั้ยล่ะ” ธรรม์ถาม
มณีมันตราหิวขึ้นมาทันที “ก็งั้นๆ แล้วนี่นะคะ อาหารเช้าของพี่ธรรม์?” มณีมันตราทำหน้าไม่ปลื้ม
“มีข้าวผัดอเมริกัน แล้วทำไมจะมีโจ๊กอเมริกันไม่ได้ล่ะ อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นลองชิมดูก่อน ถ้าไม่อร่อยนะ พี่ให้... พี่ให้พ่นใส่หน้าเลยเอ้า”
มณีมันตรายิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงๆนะ”
มณีมันตรารีบตักโจ๊กกินทันทีแล้วแกล้งทำหน้าแหยเกเหมือนไม่อร่อย
ธรรม์สงสัย “เฮ้ย ! เอาจริงเหรอ”
มณีมันตราอมโจ๊กไว้แล้วเม้มปากก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ๆ หน้าธรรม์ทำท่าเหมือนจะพ่นใส่ ธรรม์ไม่หลบได้แต่หลับตาแล้วแอบหรี่ตามอง มณีมันตรากลืนโจ๊กเข้าไปแล้วตักโจ๊กกินต่อ
“แกล้งกันนี่ !”
“ก็อยากท้าก่อนทำไมล่ะ”
ธรรม์ยิ้มขำและดีใจที่มณีมันตรายอมอ่อนลงให้ ธรรม์ขยี้หัวมณีมันตราอย่างเอ็นดู
“เอ้า ! อย่ามัวเล่น รีบๆทานเข้า ! แล้วอย่าอมข้าวเหมือนตอนเด็กๆล่ะ ไม่งั้นโดนยีหัวแน่”
มณีมันตราย่นจมูกใส่ธรรม์อย่างไม่กลัว ธรรม์หัวเราะแล้วลงมือกินอาหารเช้าด้วย เขาตักโน่นตักนี่ให้มณีมันตราชิม ธรรม์กับมณีมันตรากินข้าวมื้อสายด้วยกันในบรรยากาศสบายๆ
เมนี่เดินฉับๆเข้ามาในออฟฟิศที่มีบรรยากาศเคร่งเครียดของพนักงานที่เช็คข่าวหน้าคอมพิวเตอร์
“เอ้า !ทุกคน! เตรียมพร้อม ! หลังจากรอบพรีเมียร์ของ“บอดี้การ์ดสุดซ่ากับ ซุป’ตาร์สุดแสบ” เมื่อวาน ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้าไปบิวด์ต่อในโลกไซเบอร์ เริ่มได้เลย อวยกันเข้าไปว่า หนังสนุกตื่นเต้นเร้าใจทุกนาที โอเจหล่อน่ากิน มาย่าน่ารักสุดๆ”
พนักงานนั่งหน้าแหยกันเป็นแถว
“เป็นอะไรกัน อาหารไม่ย่อยเหรอ ทำไมทำหน้ากันอย่างนั้น”
พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้น “ก่อนที่เราจะเข้าไปปั่นกระแสหนัง พี่เมนี่แก้ข่าวน้องมาย่าก่อนดีกว่านะคะ”
“ข่าวอะไร?”
เมนี่เดินไปหน้าจอคอมพิวเตอร์ของพนักงาน พนักงานทุกคนมารุมเพื่อดูเมนี่ว่าจะว่ายังไง
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นข่าวออนไลน์ที่พาดหัวว่า “มาย่าคัน ลากผู้ชายช่วยเกา เข้ามุมมืด” ประกอบด้วยภาพธรรม์จับมือมณีมันตราในงานเลี้ยงปิดกล้องอยู่ที่มุมลับตาคน
“โอ๊ย นี่มันเป็นเพราะมุมกล้อง” เมนี่บอก
“แต่ยังมีอีกนะคะ” พนักงานอีกคนบอก
พนักงานคนนั้นคลิกอีกข่าวในไอแพดให้ดู ข่าวพาดหัว “มาย่าชวนหนุ่มค้างบ้าน กกกันข้ามคืน นัวกันข้ามวัน” มีภาพธรรม์กับมณีมันตราเดินเข้าบ้านตอนกลางคืนและภาพมณีมันตรากับธรรม์ยืนคุยกันในตอนเช้า
เมนี่ไม่พอใจ “เลวที่สุด!”
“จริงค่ะ พาดหัวข่าวได้น่าเกลียดที่สุด !”
“เขียนข่าวอย่างนี้ คิดจะฆ่าน้องมาย่าชัดๆ”
“เลวจริงๆ ! ทำไมต้องมาออกข่าววันนี้ด้วย หนังเรากำลังจะเข้าโรง อย่างนี้มีหวังหนังได้เจ๊งแน่ๆ”
เมนี่หันกลับเดินฉับๆออกไปแบบห่วงแต่หนังไม่ห่วงมณีมันตรา พนักงานมองตามอย่างเซ็งๆ และสงสารมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินกลับมาที่ห้องพักคนไข้รวม ชนมนเริ่มผ่อนคลายขึ้น
“สบายใจขึ้นบ้างแล้วใช่มั้ย”
ชนมนพยักหน้ารับ “ถ้าพ่อชั้นฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ชั้นคงสบายใจขึ้นมากกว่านี้” ชนมนนึกได้ “เออ..แล้วนายรู้เรื่องพ่อชั้นได้ไง”
“ชั้นไปหาเธอที่บ้านมาน่ะซิ ทีหลังมีเรื่องอะไร ต้องบอกกันนะ อยู่ๆก็หายไป ไม่มาสอน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ รู้มั้ย! ชั้นเป็นห่วง”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์แล้วอดยิ้มไม่ได้ “นายเป็นห่วงชั้นเป็นด้วยเหรอ”
อิทธิฤทธิ์อึกอักและทำฟอร์ม “ถ้าไม่เป็นห่วง จะตามมาเหรอ ถามอะไรโง่ๆ”
“ทำเป็นพระเอกปากแข็ง” ชนมนว่า
อิทธิฤทธิ์ก้มลงมองใกล้ๆหน้าชนมน “งั้นเธอก็เป็นนางเอกของชั้นงั้นสิ”
“อย่ามา...” ชนมนเปลี่ยนเรื่องทันที “อิท.. ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มา…ถ้าไม่มีนาย ชั้นคงแย่.. พอเห็นพ่อล้มลงไป ชั้นทำอะไรไม่ถูกเลย หมอพูดอะไร ชั้นก็ฟังไม่รู้เรื่อง”
อิทธิฤทธิ์ปลื้มจนหัวใจพองโตเป็นครั้งแรกที่ชนมนมองอย่างขอบคุณและชื่นชม
“ไม่ต้องขอบคุณ..ไงชั้นก็ต้องมาอยู่แล้ว..ไป..เข้าไปกัน”
อิทธิฤทธิ์เหนี่ยวคอชนมนให้เดินเข้าไปในห้องพักคนไข้รวมด้วยกัน
มณีมันตรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะสนาม ธรรม์ถือแก้วน้ำหวานมาวางบนโต๊ะ
ธรรม์มองไปรอบๆ “รดน้ำต้นไม้บ้างหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวพี่รดน้ำให้ แล้วต้องตัดกิ่งบ้างนะ ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ แล้ววันก่อนบอกว่าเครื่องซักผ้าเสียใช่มั้ย”
“วันนี้ไม่ต้องทำงานเหรอคะ” มณีมันตราถาม
ธรรม์ยิ้มประจบ “วันนี้วันหยุดของพี่ พี่มีเวลาให้ย่าทั้งวันเลย”
“แล้วคดีที่กำลังทำอยู่ล่ะคะ ทิ้งมาเฉยๆได้เหรอ แล้วพี่ธรรม์กำลังทำคดีสำคัญอะไรอยู่คะ นี่ไม่ได้ถามหาเรื่องนะคะ ย่าอยากรู้จริงๆ”
“พี่บอกรายละเอียดไม่ได้หรอก แต่คดีนี้เกี่ยวกับคดีมาเฟียที่ฆ่าพ่อของพี่”
มณีมันตรานิ่งอึ้งทันที “ย่า..ย่าขอโทษ..โธ่..นี่ถ้าย่าฟังพี่ธรรม์ซักหน่อย”
“เราต่างก็ไม่ยอมฟังกันแหละ ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วใช่มั้ย..ไม่โกรธพี่แล้วนะ”
“ไม่โกรธแล้วค่ะ พี่ธรรม์ก็อย่าโกรธย่านะ”
มณีมันตราส่ายหน้าแล้วจับมือธรรม์ไว้แล้วยิ้มให้อย่างเข้าใจ ธรรม์จับมือมณีมันตราไว้ทั้งสองมืออย่างนุ่มนวล
“พี่ไม่เคยแม้แต่จะคิด..พี่ไม่มีวันโกรธย่าหรอก ย่าไม่โกรธพี่แล้ว งั้นทายาให้หน่อยสิ เมื่อคืนพี่โดนยุงกัดทั้งตัวเลย นี่ๆกัดที่หน้าด้วย”
ธรรม์แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้มณีมันตรา มณีมันตราหัวเราะแล้วผลักหน้าธรรม์ออกไป
“ไม่มีซักหน่อย..หมวดธรรม์อ้อนเป็นกับเค้าด้วยเหรอเนี่ย”
“พี่ก็อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง..ไม่งั้นชีวิตมันจะเหนื่อยเกินไป”
มณีมันตราแตะมือธรรม์อย่างให้กำลังใจ ธรรม์พลิกมือมากุมมือมณีมันตราไว้อย่างเข้าใจกัน เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน ธรรม์กับมณีมันตราหันไปมองก็เห็นรถเมนี่แล่นมาจอดที่หน้ารั้วบ้าน
“คุณเมนี่..พี่หลบก่อนดีกว่า”
“ไม่เห็นต้องหลบเลย เราไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
“พี่ไม่อยากให้ย่ามีปัญหา”
ธรรม์หลบเข้าบ้านไปพร้อมๆ กับที่เมนี่เปิดประตุรั้วแล้วเดินฉับๆ ตรงเข้ามาหามณีมันตรา
มณีมันตรารีบบอก “พี่เมนี่คะ วันนี้ย่าหยุดขออ่านหนังสือสอบนะคะ ถึงมีงานอะไร ได้ค่าเหนื่อยเท่าไหร่ ย่าก็ไม่รับนะคะ”
“นี่มันอะไรกันคะ น้องมาย่า!”
เมนี่คลิกเปิดเวปในมือถือแล้วส่งต่อไปให้มณีมันตราดูทันที มณีมันตราเห็นรูปตัวเองกับธรรม์แล้วก็นิ่งอึ้งด้วยความตกใจ
“ข่าวไม่จริงค่ะ พี่เมนี่ ย่ากับพี่ธรรม์ไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้”
“แต่หมวดธรรม์ค้างที่นี่จริง!ใช่มั้ยล่ะ อย่ามาปฏิเสธ รถยังจอดอยู่หน้าบ้านอยู่เลย”
มณีมันตรานิ่งอึ้งจนพูดไม่ออกเพราะปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
“เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่า ทำอะไรอยู่ ! ทำอย่างนี้เสียภาพพจน์นางเอกแค่ไหน น้องมาย่าของทุกคน ต้องเป็นเด็กดีใสซื่อบริสุทธิ์ แหม ตอนโปรโมทว่ารักกุ๊กกิ๊กกับโอเจ ทำเป็นโวยวาย แต่ตัวเองกลับพาผู้ชายมานอนค้างที่บ้านได้”
ธรรม์โผล่พรวดออกมาจากในบ้านทันที
“เรื่องนี้เป็นความผิดของผมคนเดียวครับ คุณเมนี่” ธรรม์บอก
เมนี่หันขวับไปมองธรรม์แล้วหันไปมองมณีมันตราอีกครั้งอย่างโกรธๆ
ธรรม์กับมณีมันตรานั่งคู่กัน เมนี่รู้ความจริงแล้วถึงได้ใจเย็นลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเรื่องต้องแก้ไขต่อ
“คุณเมนี่ครับ”
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะค่ะ หมวดธรรม์ ถึงหมวดจะยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกับน้องมาย่าแต่รูปหลุดออกมาแบบนี้ ใครเค้าจะเชื่อ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เมนี่แถเรื่องนี้ไปได้เอง ถ้านักข่าวมาสัมภาษณ์ น้องมาย่าก็ยกมือไหว้ขอโทษแฟนคลับ บีบน้ำตาซะหน่อย ก็คงจบเรื่อง แต่ห้ามเกิดเรื่องแบบนี้อีกเป็นอันขาด”
“ค่ะ ต่อไปหนูจะระวังตัว ถ้าจะเจอกัน เราจะไปเจอกันที่อื่น” มณีมันตราบอก
“ไม่ได้ค่ะ ต่อไปน้องมาย่ากับหมวดธรรม์ห้ามเจอกันอีกเลย”
“ทำไมเราจะเจอกันไม่ได้คะ ข่าวออกมาอย่างนี้ ใครๆก็รู้แล้วว่า เราสองคนคบกันอยู่ จะมาปิดตอนนี้มันก็สายไปแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่สายหรอกค่ะ เราก็ออกข่าวไปว่า หมวดธรรม์มาตามตื๊อน้องมาย่าฝ่ายเดียว อ้างว่าหมวดเป็นไอ้โรคจิตที่ตามน้องมาย่าอยู่ก็ได้..ก็เลยเฝ้าอยู่หน้าบ้านได้ทั้งคืน อย่างนี้คนค่อยเชื่อหน่อย”
“พี่เมนี่จะรักษาชื่อเสียงหนู แต่ทำลายอนาคตพี่ธรรม์งั้นเหรอคะ ไม่ค่ะ หนูจะบอกความจริงกับทุกคนว่า เกิดอะไรขึ้น”
“ไปคิดดูให้ดีๆก่อนนะ มณีมันตรา! เธอต่างหากที่กำลังทำลายอนาคตของตัวเองเพื่อผู้ชายคนเดียว! จะทำอะไรล่ะก็..คิดถึงผลที่ตามมาด้วย”
เมนี่เดินออกไปทันที ธรรม์นิ่งอึ้งและรีบหาทางออกให้มณีมันตรา
“ย่า..เราคงต้องอยู่ห่างๆกันซักพัก” ธรรม์บอก
“ไม่ค่ะ พี่ธรรม์ ย่าจะไม่ยอมให้พี่เมนี่มากำหนดชีวิตย่าอีกแล้ว ย่าทุ่มเททั้งเรื่องงานเรื่องเรียน แล้วก็ไม่เคยทำตัวเสียหาย คนจะเชื่อข่าวไม่เชื่อเรา ก็ไปบังคับใจใครไม่ได้ แค่เรารู้แก่ใจว่า เราไม่ได้ทำอะไรผิดก็พอแล้ว”
“แต่สำหรับย่า มันไม่พอนะ ทำตามที่คุณเมนี่แนะนำเถอะ”
“ย่าไม่มีใครเลยนะคะ พี่ธรรม์ พ่อกับแม่ไม่เคยสนใจย่า ปีนึงโทรมาแค่ครั้งสองครั้งย่ามีพี่ธรรม์..ไม่ได้ทำให้ย่าเสียงาน แต่กลับเป็นกำลังใจให้ย่าสู้งานมากขึ้น รู้มั้ยบางครั้งย่าไม่อยากกลับบ้านเลย..ไม่อยากกลับมาอยู่คนเดียว..ถ้าพี่ธรรม์ไปจากย่า..ย่าก็ต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีก”
มณีมันตราน้ำตาไหลอย่างอ้างว้างเหมือนเด็กไม่มีที่พึ่ง ธรรม์ดึงมณีมันตรามากอดปลอบใจทั้งที่ตัวเองก็ว้าวุ่นใจที่ทำให้ชีวิตมณีมันตราต้องวุ่นวายและมีปัญหา
ชูชัยนอนอยู่บนเตียงแล้วค่อยๆได้สติ เขาลืมตาขึ้นมองไปรอบๆอย่างงงๆ อิทธิฤทธิ์ ชนมน และชินพัฒน์นั่งอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ชินพัฒน์หน้าแหยและน้ำตาไหล
ชินพัฒน์ทำเป็นเข้มแข็ง “ผมว่าแล้ว..พ่อต้องไม่เป็นไร” ชินพัฒน์ร้องไห้ฮือๆ
ชนมนน้ำตาคลอ “เป็นไงมั่ง พ่อ”
“เฮ้ย ! ไม่เป็นไร” ชูชัยเพิ่งเห็นอิทธิฤทธิ์ “แล้วไอ้นี่มาทำไม”
อิทธิฤทธิ์พูด “ผมมาเยี่ยมคุณลุงน่ะซิครับ คุณลุงปลอดภัยแล้วนะครับ แต่คงต้องพักดูอาการอีกซักวันสองวัน ถ้าไม่มีอะไรก็ออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ต่อไปอย่าลืมกินยาอีกนะครับ คุณลุง”
“นายเป็นญาติข้างไหนของชั้นเรอะ?”
“อิทเค้าพูดถูกนะ พ่อ ที่พ่อช็อคล้มหัวฟาดพื้นเนี่ยก็เพราะว่าลืมกินยา” ชนมนบอก
ชินพัฒน์เช็ดน้ำตาและขี้มูก “พ่อแกล้งลืมต่างหาก กลัวยาหมดเร็ว เดี๋ยวจะเปลืองเงินค่ายา ผมพูดก็ไม่เคยเชื่อ เชื่อแต่พี่ชนคนเดียว พี่ชนก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน”
“ก็พี่เค้าไปทำงาน” ชูชัยบอก
“ไอ้ตอนที่พี่อิทลากไปต่างจังหวัดวันก่อนโน้น ไปทำงานที่ไหน ผมว่า พ่อเริ่มออกอาการตั้งแต่ตอนนั้นแหละ พอไม่กินยาอีก เลยทรุด” ชินพัฒน์พูดไปเรื่อยโดยไม่ได้ตั้งใจว่าใคร
อิทธิฤทธิ์กับชนมนมองหน้ากันเพราะต่างก็รู้สึกผิดที่ไปเพชรบูรณ์ด้วยกันในคราวก่อน
“พอ ! ไม่ต้องพูดมาก! พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว”
ชนมนกอดพ่อ “ต่อไปหนูจะไม่ทิ้งพ่อไปไหนอีกแล้ว”
ชินพัฒน์กอดตามอีกคน “หนูด้วย...”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนเพราะรู้ว่าชนมนรู้สึกผิดมากมาย อิทธิฤทธิ์รู้สึกผิดยิ่งกว่า ทันใดนั้นก็มีเสียงดังโครมครามจากเตียงข้างๆ ที่มีผ้าม่านกั้นอยู่ อิทธิฤทธิ์มองชูชัยและมองไปรอบๆที่มีสภาพแออัด
เช้าวันใหม่ ซุปไก่สกัดดำข้นเดือดคลั่กๆ อยู่ในหม้อต้ม อิทธิฤทธิ์เปิดขวดซุปไก่สกัดเทลงไปในหม้อเพิ่มไปอีกสองสามขวด
“ซุปไก่สกัดอุดมด้วยโปรตีน”
ขวดซุปไก่เปล่าๆ กองเกลื่อน รอบบริเวณมีขวดซุปรังนกอีกหลายขวด วิตามินหลายสิบขวด อิทธิฤทธิ์เปิดฝาขวดรังนกและขวดวิตามินต่างๆ เทลงหม้อทีละขวดๆ
“รักแท้ รังนกแท้..วิตามินบีรวม ซิงค์ คิวเท็น คอลลาเจน”
อิทธิฤทธิ์คนหม้อบนเตาอย่างภาคภูมิ แดงลากตัวถนอมเดินเข้ามา
แดงถือถังน้ำยาดับไฟ “รีบห้ามคุณอิทเร็ว ป้าหนอม”
“ทำอะไรคะคุณอิท!” ถนอมถาม
“ต้มยาบำรุงครับป้า”
ถนอมเห็นขวดกองเกลื่อน “ว้ายตาย! ใครเค้าเอามาต้มกินกันคะ”
“ยาจีนยังต้มได้เลย ป้าหนอม แล้วทำไมยาฝรั่งจะต้มไม่ได้ ต้มอย่างนี้นะ ซดกินทีเดียวเลย ไม่ต้องมากินทีละอย่าง”
ถนอมกับแดงมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะอธิบายให้อิทธิฤทธิ์เข้าใจได้ยังไงดี
ถนอมพะอืดพะอม “มันจะกินไม่ได้น่ะซิคะ ป้าล่ะกลัวจริงๆ คุณอิทเข้าครัวทีไรเป็นเรื่องทุกที แล้วนี่ต้มยารวมมิตรนี่ไปให้ใครคะ”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มเขินๆ แต่ยังไม่ยอมตอบ เขารีบตักยาข้นๆหนืดๆในหม้อใส่กระติก ถนอมมองอิทธิฤทธิ์ด้วยความแปลกใจ
ชนมนหิ้วถุงโจ๊กเปิดประตูห้องเข้ามา ชนมนเปิดประตูค้างไว้เพื่อรอชินพัฒน์
“เร็วๆ ได้มั้ย โจ๊กเย็นหมดแล้ว”
ชินพัฒน์ถือถุงขนมกรุบกรอบเคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมกับวิ่งเข้ามา
“ก็ตามมาติดๆเนี่ย จะรีบไปไหน พ่อไม่หนีไปไหนหรอก”
ชินพัฒน์วิ่งนำหน้าชนมนไปเปิดม่านที่ปิดเตียงออก
“เฮ้ย ! พ่อหายไปแล้ว”
“พ่อจะหายไปไหนได้” ชนมนงง
ชนมนกับชินพัฒน์นิ่งอึ้งเมื่อเห็นเตียงเปล่า
“พ่อไปห้องน้ำหรือเปล่า !” ชนมนเดา
“ไปห้องน้ำ..ทำไมข้าวของหายไปหมดเลยล่ะ หรือว่าเราเข้าผิดห้อง”
ชนมนใจหายวูบ เธอหยิบป้ายชื่อที่ติดอยู่ท้ายเตียงขึ้นมาดู
“ไม่ผิดห้องหรอก”
“หรือว่าพ่อ... !”
ชนมนกับชินพัฒน์มองหน้ากันแล้วคิดไปในทางร้ายทันที ชนมนกับชินพัฒน์วิ่งออกไปทันที
ชายคนหนึ่งกำลังถามเจ้าหน้าที่ที่หน้าเคาท์เตอร์อยู่
“ห้อง 405 ขอบคุณครับ”
ชนมนและชินพัฒน์วิ่งหน้าตื่นเข้ามาแทรกตัวจนชนชายคนนั้นกระเด็นออกไป
“พ่อหนูหายไปไหนคะ คุณ” ชนมนถาม
“พ่อผมอาการหนักเหรอครับ แล้วนี่หมอย้ายพ่อไปอยู่ไหนแล้วครับ”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” พยาบาลถาม
“พ่อหายไปจากห้องค่ะ พ่อหนูชื่อชูชัย ปราบยิ่ง คนไข้ห้อง 303”
พยาบาลเช็คคอมพิวเตอร์ “คุณชูชัย..เราย้ายไปอยู่ห้อง VIP แล้วค่ะ”
“หา! ห้อง ICU” ชินพัฒน์ตกใจ
ชนมนฟังชินพัฒน์ “ห้อง ICU !”
พยาบาลรีบบอก “ไม่ใช่ห้องICUค่ะ เป็นห้องคนไข้ระดับ VIP ค่ะ”
ชินพัฒน์โวยวาย “พ่อเข้า ICU ระดับ VIP งั้นอาการก็หนักปางตายเลยล่ะสิ”
“เฮ้ย ! ไอ้ชิน แกฟังใหม่ดีๆ” ชนมพูดกับเจ้าพยาบาล “นี่หมายความว่าพ่อหนูไม่ได้เป็นอะไร แต่ถูกย้ายไปอยู่ห้อง VIP งั้นเหรอคะ ใครเป็นคนบอกให้ย้ายคะ”
ชนมนหันไปเห็นอิทธิฤทธิ์เดินถือกระติกยาเข้ามาก็รู้ได้ในทันที
“นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ “เห็นห้องใหม่หรือยัง”
“ใครอนุญาตให้ย้ายพ่อชั้นตามใจชอบ ชั้นตกใจแทบตาย นึกว่าพ่อทรุดหนักถูกย้ายไปไอซียูแล้ว แล้วนี่..ค่าห้องวีไอพีคืนล่ะเท่าไหร่?”
ชินพัฒน์สะกิดชนมน “ตกลงห้องวีไอพีนี่มันดีกว่าห้องไอซียูเหรอ ถ้าดีกว่าก็ดีแล้วน่า พี่ชน”
“นั่นซิ ได้ไปอยู่ห้องที่ดีกว่า สะดวกสบายกว่า จะบ่นทำไม?”
อิทธิฤทธิ์เดินอาดๆ ออกไปอย่างมั่นใจมากที่ได้เป็นผู้นำ ชนมนมองตามด้วยความหงุดหงิดใจ
อิทธิพลที่อยู่ในชุดตำรวจนั่งจิบกาแฟจนหมดหลังกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ถนอมที่คอยดูแลอยู่พยักหน้าให้แดง แดงรีบเก็บชามข้าวต้มออกไป ธรรม์ในชุดตำรวจเดินลงมานั่งด้วยสีหน้าไม่แจ่มใส
“ขอโทษนะครับที่ลงมาช้า”
ถนอมพยักหน้าให้แดง แดงรีบจัดแจงจะตักข้าวต้มใส่ชามให้
“ขอแค่กาแฟก็พอ แดง” ธรรม์บอก
“หน้าตาเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน” อิทธิพลว่า
แดงโพล่ง “เพราะข่าวคุณมาย่าใช่มั้ยล่ะคะ เป็นใครก็หลับไม่ลงหรอกค่ะ”
ถนอมเสียงเข้ม “พูดมากน่ะ เก็บจานชามไป”
แดงเก็บชามข้าวต้มวางบนถาดแล้วเดินเฉียดถนอมไป
“ข่าวใหญ่อย่างนี้ ปิดไม่มิดหรอก ป้าหนอม” แดงบอก
ถนอมมองแดงอย่างดุๆ ให้หุบปากเสียเพราะกลัวอิทธิพลจะรู้เรื่องธรรม์กับมณีมันตราที่ไปค้างคืนด้วยกัน
“มีปัญหาอะไร เรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว” อิทธิพลถาม
ธรรม์อึกอัก “ก็ทั้งสองเรื่องแหละครับ”
“อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย เรื่องงานจะต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ แล้วปัญหาเรื่องส่วนตัวน่ะ มันเรื่องอะไร?”
ถนอมรีบเปลี่ยนเรื่อง “นี่ไม่มีใครสังเกตเลยเหรอคะว่า คุณอิทไม่อยู่ ไม่ได้ไปเที่ยวซิ่งที่ไหนหรอกนะคะ แต่ไปเยี่ยมคุณพ่อของหนูชนที่โรงพยาบาลค่ะ คุณอิทนี่น่ารักจริงๆเลยนะคะ”
“ลุงชูไม่สบายเหรอครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ธรรม์ถาม
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ เห็นว่าโรคเก่ากำเริบ สามสี่วันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว คุณอิทตื่นตีห้ามาต้มยาเชียวนะคะ ใครจะคิดว่า คนอย่างคุณอิทจะทำเรื่องแบบนี้ได้”
ธรรม์แปลกใจ “นายอิทเนี่ยนะตื่นตีห้า”
“พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง มัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นจนลืมหน้าที่ของตัวเอง” อิทธิพลพูดกับธรรม์ “แกยังต้องตามเรื่องลูกน้องไอ้เก่งกาจต่อไป” อิทธิพลพูดกับถนอม “ถามหนูชนด้วยว่า ต้องหยุดสอนกี่วันยังไงก็หาเวลามาสอนชดเชยด้วย นี่มันใกล้จะสอบเต็มทนแล้ว”
อิทธิพลเดินไปจากโต๊ะอาหาร
“คุณท่านนะคุณท่าน จะชมลูกซักคำก็ไม่มี” ถนอมน้อยใจแทน
อิทธิพลพูดโดยไม่หันกลับมา “เออ..มีน้ำใจกับเพื่อนมันก็ดี แต่ก็ต้องอย่าลืมเรื่องเรียน”
ถนอมสะดุ้งน้อยๆ แล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับธรรม์
ชูชัยกำลังมะงุมมะงาหราใช้รีโมทปุ่มกดให้เตียงยกขึ้น ทั้งหัวเตียงและท้ายเตียงค่อยๆ ยกขึ้น โดยไม่ได้หยุดเหมือนจะหนีบตัวชูชัยไว้
“เฮ้ยๆ อะไรวะ” ชูชัยรีบกดปุ่มให้เตียงหยุด
ชูชัยมองไปรอบๆห้องอย่างไม่เข้าใจที่ต้องย้ายห้อง เขาเอามือวางแปะที่เตียงไปโดนรีโมททีวีเข้า
“ไอ้ชนมันคิดอะไรของมัน ! ย้ายมาอยู่ห้องใหญ่ขนาดนี้”
เสียงทีวีดังสนั่น ชูชัยรีบหยิบรีโมทที่อยู่บนเตียงกดให้หยุด
“เฮ้ยๆๆ !! เฮ้อ !! อะไรกันนักกันหนา”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วชนมนกับชินพัฒน์ที่ถือถุงโจ๊กเดินเข้ามา ตามมาด้วยอิทธิฤทธิ์ที่ถือกระติกยา
“วันนี้เป็นไงบ้าง พ่อ” ชนมนถาม
“ไม่เป็นไรแล้ว แข็งแรงยิ่งกว่าเก่าอีก ไปบอกหมอไปว่า พ่อจะกลับบ้านแล้ว”
“พ่อยังไม่ได้กินอะไรเลย กินโจ๊กก่อนนะ” ชนมนบอก
“เดี๋ยวๆ ก่อนกินอาหารเช้า ต้องกินยาบำรุงก่อน ยานี่ผมต้มเองกับมือเลยนะครับ” อิทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์กุลีกุจอเทยาจากกระติกใส่แก้วแล้วส่งให้ชูชัย ชูชัยรับแก้วยามาแล้วมองสีดำข้นหนืดของยาอย่างไม่วางใจ ชนมนกับชินพัฒนืจ้องอย่างไม่แน่ใจเหมือนกัน
“กินๆไปเถอะ พ่อ อย่าให้พี่อิทเค้าเสียน้ำใจ” ชินพัฒน์บอก
ชนมนพยักหน้าให้ชูชัยเป็นการกระตุ้นอีกที แม้ยาจะดูสยองแต่ชูชัยก็กลั้นใจดื่มไปหนึ่งอึก ชูชัยอยากอ้วกแต่ก็อ้วกไม่ออก เขาอมไว้ในปากอย่างพะอืดพะอมก่อนจะทุบอกปั๊กๆ เพราะรู้สึกคลื่นไส้และร้อนวาบลงอก ชนมนรีบหยิบภาชนะที่ประจำห้องคนไข้ไว้เพื่อรองรับของเสียส่งให้พ่อทันที ชูชัยพ่นยาปรู๊ดออกมา
ชูชัยรีบบอก “น้ำๆๆ !”
ชินพัฒน์รีบส่งแก้วน้ำให้ ชูชัยดื่มน้ำล้างปากแต่ยังเหม็นไม่หาย
ชูชัยจ้องอิทธิฤทธิ์ “นายจะฆ่าชั้นงั้นเรอะ”
“รสชาติมันเป็นยังไงหรือครับ” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ยังมีหน้ามาถาม ! ทั้งขมทั้งเหม็น ! รสชาติห่วยแตกสุดบรรยาย ! วันนี้มาทำไมอีกนายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวชั้น ไปได้แล้ว ไป”
“พ่อไปไล่พี่อิทเค้าได้ไง พี่อิทเค้าเป็นย้ายพ่อมาอยู่ห้องไอซียู..เอ๊ย วีไอพีสุดหรูนี่นะ”
ชูชัยพูดกับชนมนด้วยสีหน้าดุและเรียบเฉย “นี่มันอะไรกัน !”
“หนู..หนูอธิบายได้นะ รอแป๊บนึงนะ พ่อ”
ชนมนรีบลากอิทธิฤทธิ์ออกไปนอกห้อง
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ชนมนลากอิทธิฤทธิ์ออกมาจากทางห้องพักวีไอพี
“นายเห็นมั้ยว่า พ่อชั้นไม่พอใจแล้ว ใครขอให้นายย้ายพ่อชั้นมาห้องพิเศษ ใครสั่ง!”
“ใจ-สั่ง-มา” อิทธิฤทธิ์ร้องเป็นเพลง “....ก็เลยมาร้องเพลงบอก แค่อยากให้เธอนั้นเข้าใจ ไอ้สิ่งที่ชั้นทำลงไป ใจสั่งมา... อย่าโกรธเลยนะคนดี ยกโทษให้ชั้นนะแก้วตา”
“ไม่ตลก!”
อิทธิฤทธิ์นิ่งหน้าจ๋อยเมื่อเห็นว่าชนมนจริงจังมาก
“ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง! นี่ชั้นจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ชั้นไปเช็คค่าห้องมาแล้ว ขนาดลดราคาพิเศษ คืนนึงตั้ง 6,000 พ่ออาจจะต้องอยู่ถึง 5 วัน ก็เป็น 30,000 นี่ยังไม่รวมค่าหมอค่ายานะ”
“เธอก็ไม่ต้องจ่ายไง ชั้นจ่ายทุกอย่างให้เอง”
“พ่อชั้น ชั้นรับผิดชอบเอง”
“แต่ชั้นเป็นคนย้ายห้องนะ ชั้นรับผิดชอบเอง”
“นายน่ะเหรอจะรับผิดชอบ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ทุกวันนี้ยังแบมือขอเงินพ่ออยู่เลย ถ้ายังหาเงินเองไม่ได้ ก็อย่าเที่ยวจ่ายเงินให้คนอื่น”
อิทธิฤทธิ์รู้สึกโดนหยาม “ชั้นหาเงินเองก็ได้ ชั้นจะรับผิดชอบค่าห้องที่เกินมา”
“ในเวลาสามสี่วันนี่ นายจะไปหางานหาเงินที่ไหนได้”
อิทธิฤทธิ์ไม่เคยคิดเรื่องหาเงินมาก่อนจึงตอบแบบไม่คิด “งานมีเยอะแยะไป แจกใบปลิวก็ได้”
“รู้มั้ยได้วันละเท่าไหร่”
อิทธิฤทธิ์ไม่รู้จึงนิ่งเงียบเพราะกำลังนึกอยู่
“ใจดีสุดๆเลย ให้ 300” ชนมนบอก
“เออ เห็นมั้ย ได้ตั้ง 300”
“แล้วค่าห้องเท่าไหร่” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์ตอบ “30,000”
“แล้วต้องทำงานกี่วัน”
“ร้อยวัน... เอง”
“คิดเลขเก่งหนิ ไปเป็นเสมียนโรงจำนำมั้ย ได้ 320 แน่ะ มากกว่าแจกใบปลิวอีก”
อิทธิฤทธิ์รู้สึกถูกหยามศักดิ์ศรีจนทนไม่ได้
อิทธิฤทธิ์เสียงดังเพราะฮึดขึ้นมา “ชั้นหาเงินสามหมื่นมาให้เธอเอง เธอคอยดู”
“เออ! ชั้นจะคอยดู”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนจ้องหน้ากันอย่างท้าทาย
อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนท่าทีกะทันหันและพูดเสียงเบาลง “แต่เธอต้องช่วยชั้นด้วยนะ”
ชนมนเซ็งเพราะสุดท้ายก็มาตกหนักที่ตัวเองจนได้
รถตู้แล่นมาจอดที่หน้าบริษัท กลุ่มนักข่าวนับสิบพร้อมกล้องถ่ายรูปและกล้องบันทึกภาพพากันไปรอที่รถ พนักงานบริษัทชาย 3-4 คนมากันที่ประตูรถ พนักงานเปิดประตูรถ เมนี่ก้าวลงมาจากรถก่อน มณีมันตราก้าวลงตามมา กลุ่มนักข่าวรุมทึ้งยื่นไมโครโฟนข้ามเมนี่เพื่อไปสัมภาษณ์มณีมันตรา
“น้องมาย่าคะ จะอธิบายเรื่องภาพหลุดว่ายังไงคะ”
“หมวดธรรม์กับน้องมาย่าอยู่บ้านเดียวกันมาตั้งนานแล้ว จริงๆหรือครับ”
“ที่ว่าน้องมาย่าไม่เคยมีแฟนไม่เคยคบผู้ชาย ก็เป็นเรื่องสร้างภาพทั้งนั้นใช่มั้ย”
“พี่ๆคะ” มณีมันตราสูดหายใจลึกเพื่อตั้งสติ “หนูอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ค่ะ หนูกับพี่ธรรม์ไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอย่างที่ทุกคนกำลังเข้าใจผิดกันอยู่”
“เข้าใจผิดอะไรคะ ภาพชัดแจ้งขนาดนี้ ถ้าหมวดธรรม์กับน้องมาย่าอยู่ด้วยกัน”
“แล้วทำไมพี่ธรรม์จะไปหาหนูไม่ได้ ก็พี่ธรรม์เป็น”
“เป็นพี่สนิทของน้องมณีมันตราก็ต้องไปมาหาสู่กัน ขอโทษนะคะ ตอนนี้น้องมาย่ายังไม่พร้อมให้สัมภาษณค่ะ แล้วยังไงเราจะมีข่าวแถลงข่าวเรื่องนี้นะคะ ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ พี่เมนี่จะแจ้งให้ทราบนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ”
เมนี่ลากตัวมณีมันตราเข้าไปในบริษัท พนักงานบริษัทช่วยกั้นกลุ่มนักข่าวให้
นักข่าวคนหนึ่งพูดกับนักข่าวอีกคน “นี่ต้องตามไปสัมภาษณ์เรื่องนี้ต่อที่งานอีเว้นท์ไหนอีกล่ะ พี่”
มณีมันตราจะหันกลับมาแต่ก็ถูกเมนี่ลากตัวไปจนได้
มณีมันตรานั่งนิ่งรอฟังอยู่ สุวิชกับเมนี่ปรึกษากันสองคนด้วยหน้าเครียดทำเหมือนมณีมันตราไม่มีตัวตน
“เมนี่! จัดแถลงข่าวเย็นนี้เลย ให้น้องมาย่าขอโทษเรื่องภาพหลุด บอกไปว่าในบ้านอยู่กันหลายคน แต่ช่างภาพดันจับได้แต่รูปหมวดธรรม์ เป็นไง วิธีแก้ปัญหาของผมเฉียบคมมั้ย คิดไม่ถึงล่ะสิ”
“เดี๋ยวนะคะ คุณสุวิชจะให้หนูขอโทษเรื่องอะไรคะ” มณีมันตราถาม
“ก็ขอโทษที่เธอมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่สิ ขอโทษที่เธอทำให้ทุกคนเข้าใจผิดคิดว่า เธอค้างคืนกับหมวดธรรม์ ทำให้ประชาชนต้องเสียความรู้สึกกับเธอ เราต้องทำให้คนกลับมารักเอ็นดูเธอเหมือนเดิม”
“ไม่ค่ะ หนูจะไม่โกหกประชาชน..”
“โธ่เอ๊ย ! ที่เธอทำตัวเป็นสาวสวยแก่นแสนซน มันก็คือการโกหกอย่างนึงแหละ เธอยอมให้เราปั้นเธอสร้างภาพเธออย่างที่เราต้องการมาตั้งแต่แรกแล้ว เธอก็ต้องยอมต่อไป มณีมันตรา”
“แต่คราวนี้หนูไม่ยอมค่ะ หนูจะบอกความจริงกับทุกคนว่า หนูกับพี่ธรรม์คบกัน แต่ก็คบกันอย่างมีขอบเขต..เราอาจผิดที่ทำอะไรไม่ระวังตัว แต่เราไม่ผิดที่คบเป็นแฟนกัน ดาราคนอื่นเขาก็เปิดเผยเรื่องแฟนได้ ทำไมหนูจะเปิดเผยไม่ได้ล่ะคะ”
“เพราะเธอเป็นน้องมณีมันตราองค์หญิงแห่งวงการบันเทิงน่ะซิ” สุวิชว่า
มณีมันตราเสียงแข็ง “ไม่ค่ะ หนูขอเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมายัดเยียดตำแหน่งอะไรให้หนู หนูขอแค่เป็นนักแสดงที่มีชีวิตของตัวเองก็พอค่ะ”
สุวิชกับเมนี่มองมณีมันตราอย่างไม่พอใจมาก
เช้าตรู่ของอีกวัน ห้องนอนมืดสลัว มีเงาตะคุ่มๆ นาฬิกาปลุกที่หัวเตียงชี้เวลาตี 4 อิทธิฤทธิ์นอนหลับอยู่ นาฬิกาปลุกดัง
อิทธิฤทธิ์สะดุ้งลุกขึ้นนั่งแล้วล้มตัวลงนอนต่อ เสียงมือถือดังขึ้น อิทธิฤทธิ์หลับตาแต่เอื้อมมือไปหยิบมือถือมากดรับอย่างยังไม่ยอมตื่น
“เฮ้ย !! โทรมาทำไมตอนนี้วะ !!”
ชนมนแผดเสียงมาจากปลายสาย “นี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอ นายอิท”
อิทธิฤทธิ์รีบเปิดไฟที่หัวเตียง เขาลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วตาสว่างขึ้นมาทันที
“ตื่นแล้วครับๆ ตื่นแล้วครับ เจ้านาย”
อิทธิฤทธิ์พรวดพราดออกไปพร้อมๆกับลื่นล้มแล้วเขาก็รีบลุกขึ้นมาใหม่ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปอาบน้ำ
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน เขามองไปรอบๆ บ้านของชนมนที่ชาวบ้านเริ่มทำมาหากินกันแล้ว ทั้งหมดเป็นภาพที่อิทธิฤทธิ์ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งภาพพระรับบิณฑบาตร พ่อค้าแม่ค้าเปิดร้านเปิดแผงเริ่มขายอาหาร พ่อค้าขายหมูปิ้งเข็นเข้ามา ทุกคนล้วนทำงานหนักแต่เช้าอย่างเป็นปกติ
อิทธิฤทธิ์มุ่งมั่น “ชน ! ชั้นพร้อมจะลุยแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ลงจากรถมอเตอร์ไซค์ เขาถอดหมวกกันน็อคแล้วเดินอาดๆเข้าไปในร้าน อิทธิฤทธิ์ต้องถอยหลังออกมา ชินพัฒน์เดินอาดๆ เข้ามาหาแล้วมองอิทธิฤทธิ์หัวจรดเท้า
“จะไหวเหรอ เพ่” ชินพัฒน์ถาม
“แค่ทำข้าวกล่องขายแค่นี้ ทำไมจะไม่ไหว”
“ก่อนอื่น..ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกก่อน แล้วก็แว่นด้วย รองเท้า กางเกง ถอดออกให้หมดเลย”
อิทธิฤทธิ์ถอดแจ๊กเก็ต ถอดแว่นอย่างเพลินๆ แล้วก็หยุด “เฮ้ย !”
“พี่แต่งตัวไม่ได้ดูเป็นพ่อค้าเลย แต่ถึงพี่จะแต่งตัวโทรมแค่ไหน ก็ยังหล่อเนี้ยบอยู่ดีผมเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน..คนหน้าตาดีเหมือนกันมีปัญหาไม่ต่างกัน..งั้นใส่นี่ไว้ล่ะกัน เดี๋ยวเสื้อแพงๆจะเยินซะหมด ใส่นี่ด้วย เดี๋ยวหมดหล่อ”
ชินพัฒน์ส่งผ้ากันเปื้อนที่เป็นพลาสติคคลุมอกถึงเข่ากับหมวกให้
ชินพัฒน์ตะโกนเข้าไปในบ้าน “ผมไปโรงบาลแล้วนะ พี่ชน”
ชินพัฒน์คว้าปิ่นโตอาหารแล้วเดินออกไป ชนมนในสภาพหัวยุ่งเสื้อผ้าโทรมรีบเดินออกมา
“อย่าขึ้นรถเมล์ผิดอีกล่ะ”
ชนมนหันกลับมามองอิทธิฤทธิ์แล้วก็ขำที่เห็นอิทธิฤทธิ์ใส่ผ้ากันเปื้อนพร้อมหมวกคลุมผมเรียบร้อย
ชนมนยืนผัดข้าวผัดกระทะใหญ่อยู่หน้าเตาเสียงดังโช้งเช้งอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว อิทธิฤทธิ์หั่นแตงกวากับมะเขือเทศตามแทบไม่ทัน เขามองชนมนตลอดเวลา ชนมนตักข้าวผัดใส่กล่องโฟมทีละกล่องๆ อิทธิฤทธิ์รีบรับกล่องข้าวผัดมาจัดวางแตงกวาและมะเขือเทศ
ชนมนตักข้าวผัดใส่กล่องโฟมได้สิบห้ากล่อง อิทธิฤทธิ์ยังจัดวางแตงกวาและมะเขือเทศและปิดกล่องโฟมรัดหนังสติ๊กไม่ทันกับที่ชนมนตักข้าว ชนมนไม่รออิทธิฤทธิ์หันไปล้างกระทะอย่างแข็งขันเพื่อเตรียมผัดกระทะต่อไป
“กระเทียม ! หมู ! คะน้า ! เตรียมพร้อม”
อิทธิฤทธิ์จัดข้าวกล่องมือเป็นระวิงแล้ววิ่งไปเอาชามกระเทียมที่ปอกแล้วมาให้ชนมนอย่างลนลาน
“กระเทียมๆ กระเทียมมาแล้ว หมูๆๆๆ หมูหั่นแล้วนี่ คะน้ายังไม่หั่น รอเดี๋ยวๆ”
อิทธิฤทธิ์วิ่งวุ่นไปคว้าตะกร้าผักคะน้าตะกร้าใหญ่ที่ล้างแล้ววางสะเด็ดน้ำอยู่ อิทธิฤทธิ์รีบร้อนจนสะดุดขาตัวเองล้มลงแต่มือยังชูตะกร้าคะน้าไว้ได้
“เร็วๆ เอาคะน้ามา” ชนมนเร่ง
อิทธิฤทธิ์ตาลีตาเหลือกหั่นผักคะน้าอย่างรวดเร็ว ชนมนเคาะกระทะเล่นๆ แต่ยังไม่ได้เปิดไฟเตาแก๊ส ชนมนมองอิทธิฤทธิ์ที่ตั้งอกตั้งใจหั่นคะน้าอย่างขำๆและเห็นว่าอิทธิฤทธิ์เอาจริงเอาจังมาก
กองกล่องข้าวผัดวางอยู่เต็มโต๊ะ อิทธิฤทธิ์ที่มีกระเป๋าคาดเอวยืนบื้อๆ อยู่หลังโต๊ะ อิทธิฤทธิ์กระมิดกระเมี้ยนยืนหนีบๆ เพราะเรียกลูกค้าไม่เป็นและอายที่ใส่กระเป๋าคาดเอวเหมือนแม่ค้า ชนมนถือกล่องกระดาษใส่ข้าวกล่องเดินเข้ามาหยุดมองอิทธิฤทธิ์อย่างเหนื่อยใจ ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสายแต่ไม่มีใครสนใจที่จะหันไปมองอิทธิฤทธิ์เลย ชนมนยืนมองอยู่อึดใจแล้วเดินเข้าไปหา
“นี่ยังขายไม่ได้ซักกล่องเลยเหรอ” ชนมนถาม
“อืม..สาวๆแถวนี้คงไดเอทกันมั้ง”
“ไดเอทบ้าอะไร ไม่มีใครรู้ว่า นายขายอะไร ถ้ามัวแต่ยืนบื้ออยู่อย่างนี้”
ชนมนจัดกองกล่องข้าวผัดที่ตั้งกองๆ อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น ชนมนตัดฝากล่องกระดาษมาเขียน เธอผลักอิทธิฤทธิ์ให้ก้มลงแล้วใช้หลังอิทธิฤทธิ์เป็นโต๊ะ ชนมนเขียนที่ฝากล่องว่า”ข้าวผัดลุงชูเจ้าเก่า 30 บาท” แล้ววางฉับลงที่หน้าโต๊ะ
“ข้าวผัดลุงชูค่า กล่องละสามสิบ ข้าวผัดร้อนๆ ขายวันนี้วันเดียวนะคะ หมดแล้วหมดเลย”
ผู้คนเริ่มหยุดซื้อกับชนมนกันทีละคนสองคนแล้วกลุ่มคนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ขอสองกล่องจ้ะ”
“ข้าวผัดลุงชูใกล้โรงพักที่อร่อยๆใช่มั้ยเธอ”
“ใช่ๆ ชั้นจำลูกสาวได้ มาขายถึงที่เลย ดีจัง”
“สองกล่องนะคะ พี่คนสวยรับกี่กล่องคะ ห้ากล่องเลยเหรอคะ อิท” ชนมนเรียก
อิทธิฤทธิ์ยืนดูชนมนขายตั้งแต่ต้นอย่างเพลิดเพลินและทึ่งมาก
“อะไรเหรอ”
ชนมนจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์โดยไม่ตอบ
อิทธิฤทธิ์ตะโกน “ข้าวผัดลุงชูครับ รับข้าวผัดลุงชูมั้ยครับ อร่อยสุดๆ วันนี้ขายที่นี่ที่เดียว”
กลุ่มคนเข้ามาเรียงแถวกันซื้อกันไปคนละสามสี่กล่อง อิทธิฤทธิ์รับเงินทอนเงินแล้วเอากล่องข้าวใส่ถุงอย่างเงอะงะในทีแรกก่อนจะเริ่มคล่องขึ้นๆ และเริ่มสนุกกับการขายของ อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่ช่วยขายอย่างไม่หยุดมือ
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสนุกจนลืมเหนื่อย
อิทธิฤทธิ์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เธอพิงพนักแผ่อย่างคนหมดแรง
ชนมนเดินตามเข้ามามองอิทธิฤทธิ์อย่างขำๆ โดยชนมนยังมีแรงเก็บเศษคะน้าที่เกลื่อนพื้น มีด และเขียงที่วางทิ้งไว้
อิทธิฤทธิ์ถอนใจแรงด้วยความเหนื่อย “เฮ้อ....”
“แค่นี้เหนื่อย..เหยาะแหยะชะมัด” ชนมนว่า
“ไม่เหนื่อยได้ไง ตื่นตั้งแต่ตี 4 ทำงานไม่ได้พัก นี่ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ตาจะปิดอยู่แล้วนี่”
“รู้ไว้ด้วยว่า บ้านชั้นทำงานอย่างนี้ทุกวัน นี่แหละชีวิตของคนทำมาหากิน คนเก็บขยะเริ่มงานตีสี่ แล้วนายคิดว่าเค้าต้องตื่นกี่โมง ชีวิตของนายสบายแค่ไหนรู้มั้ย แค่ตื่นเช้าไปเรียน นายยังขี้เกียจ”
“ครับๆ ผมรู้ซึ้งแล้ว” อิทธิฤทธิ์นึกได้ “เก็บแรงไว้สอนวันอื่นเถอะนะ เรามานับเงินกันดีกว่า”
อิทธิฤทธิ์ปลดกระเป๋าเงินที่คาดเอวออก แล้วควักเงินออกมาซึ่งมีแบงค์และเหรียญวางเป็นกองลงบนโต๊ะ
อิทธิฤทธิ์กับชนมนช่วยกันนับเงินอย่างชื่นมื่นจนถึงตอนสุดท้ายคือนับเหรียญบาท
“2,985 2,986 2,987 2,988 2,989...” ทั้งสองนับจนเหรียญหมด “2,989! เฮ้ย หายไปไหน 11 บาท” อิทธิฤทธิ์เอากระเป๋าเงินมาควานดูแล้วเท “ทำไมไม่ครบสามพันล่ะ”
“นายทอนเงินผิดน่ะสิ”
“งั้นชั้นออกเองก็ได้”
อิทธิฤทธิ์ควักระเป๋าสตางค์ตัวเองออกมาเติม แต่หาดูแล้วก็มีแค่เหรียญ 10 เหรียญเดียว
“ขาดอีกบาทนึง”
ชนมนเอาเหรียญ 1 บาทมาวางไว้บนฝ่ามือของอิทธิฤทธิ์ที่มีเหรียญสิบวางอยู่ซึ่งเป็นสองเหรียญคู่กัน
“ไม่เลวๆ ขายตอนเช้าแป๊บๆได้สามพันแล้ว งั้นเรารีบไปผัดข้าวต่อ เอาไปขายตอนกลางวันกับตอนเย็นอีกสองร้อยกล่อง” อิทธิฤทธิ์คิด “ถ้าวันนี้เราขายได้สามร้อยกล่องก็ได้เงินเก้าพันบาท ขายซักสี่วัน” อิทธิฤทธิ์คิด “ก็ได้สามหมื่นหก” อิทธิฤทธิ์หัวเราะอย่างผู้ชนะ “พอค่าห้องแล้วยังได้เงินเกินมาอีกแน่ะ ! บอกแล้วว่า ชั้นต้องทำได้”
อิทธิฤทธิ์เอาเหรียญรวมกับกองเงินบนโต๊ะโดยทำท่าจะรวบเงินเข้าหาตัวเหมือนคนชนะเล่นไพ่
ชนมนร้องบอก “เดี๋ยว!”
อิทธิฤทธิ์ชะงัก “เดี๋ยวอะไร”
ชนมนหยิบเงินออกจากกองทีละห้าร้อยทีละสองร้อย “นี่ค่าข้าวสาร ค่าหมู ค่าไก่ นี่ค่าผัก ค่าซีอิ๊วน้ำปลา ค่าแก๊ส ค่ากล่องโฟม ค่าถุง และค่าหนังสติ๊ก”
อิทธิฤทธิ์มองเงินในกองที่เหลือน้อยนิดเดียวราวพันสองร้อยบาท
“ตัดต้นทุนออก..ที่เหลือนี่คือกำไรของนาย” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์นับเงิน “ทำงานเหนื่อยแทบตายได้แค่พันสองเนี่ยนะ”
ชนมนดึงเงินมาจากอิทธิฤทธิ์สามร้อยบาท
“ยังไม่หมด นายต้องจ่ายค่าแรงชั้นด้วย”
อิทธิ์ฤทธิ์นับเงินอย่างมีค่าเหลือเกิน “เหลือเก้าร้อยบาท ! ทำงานตั้งแต่ตี 4 ได้แค่เก้าร้อย”
“อย่าบ่น ! รู้หรือยังว่า เงินมันหายาก” ชนมนบอก
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างพอใจที่อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งและรู้ค่าของเงินอย่างเข้าถึงเนื้อใน
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์ที่กินลูกชิ้นปิ้งและดูดโอเลี้ยงอยู่ด้วยกันที่เก้าอี้สนาม ชินพัฒน์เหยียบลูกบอลไว้ที่ใต้เท้า ชินพัฒน์ดูดโอเลี้ยงจนเหลือครึ่งถุงแล้วจะโยนทิ้ง อิทธิฤทธิ์แตะไหล่ชินเป็นการห้ามไว้ อิทธิฤทธิ์ดึงถุงโอเลี้ยงของชินพัฒน์มาดูดจนหมดถุงอย่างรู้ค่าของทุกบาทแล้วค่อยโยนทิ้งถังขยะไป
ชินพัฒน์มองอย่างทึ่งเหมือนเขาประกอบวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ “พี่อิท !”
“มันเสียดาย..ถุงละตั้งแปดบาท”
“แล้วนี่พี่อิทจะทำยังไงต่อไป”
“ขายข้าวกล่องมันไม่เวิร์กแล้ว ต้องหาวิธีอื่นที่ได้เงินเร็วกว่านี้”
“ที่จริงพี่ไม่ต้องเอาใจพี่ชนขนาดนั้นก็ได้..พี่ชนอ่ะนะ แค่ซื้อกุหลาบให้ดอกนึงก็ดีใจตายแล้ว เกิดมาพี่ชนยังไม่เคยได้ดอกไม้จากผู้ชายคนไหนเลย นี่พี่อิทเล่นทุ่มทุนสร้างจ่ายเป็นหมื่นๆ”
“เฮ้ย ! ที่พี่ย้ายให้คุณลุงไปอยู่ห้องพิเศษ ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจชน..” อิทธิฤทธิ์ทำปากแข็ง
ชินพัฒน์จ้องหน้า “งั้นเหรอ..ไม่มีเรื่องอะไรที่จะหลุดรอดจากสายตาอันแหลมคมของผมได้หรอก พี่อิท...พี่คิดอะไรอยู่ ผมรู้นะ”
อิทธิฤทธิ์จ้องหน้ากลับ “อยากเป็นตัวโรงเรียนป่ะ?”
“ตัวโรงเรียนอะไร?” ชินพัฒน์ดีใจ “พี่อิทจะยัดเงินให้ผมได้เข้าทีมโรงเรียนเหรอ?”
“เฮ้ย ! ไม่ใช่โว้ย พี่จะช่วยฝึกซ้อมให้ นายต้องเข้าทีมบอลของโรงเรียนให้ได้ก่อนแล้วค่อยๆไต่เข้าไปทีมเยาวชนแล้วเข้าทีมสโมสรที่เจ๋งๆซักที่ แล้วอีกไม่นานนายก็จะได้เข้าทีมชาติ นายจะได้พาบอลไทยไปบอลโลกอย่างที่ฝันไว้”
“ผมคงได้แต่ฝันแหละ พี่อิท ทั้งพ่อทั้งพี่ชนไม่เห็นมีใครเชื่อในตัวผมซักคน”
“เฮ้ย ! นายต้องพิสูจน์ตัวเองซิวะ ทำให้ทุกคนเห็นว่า นายเจ๋งแค่ไหน”
อิทธิฤทธิ์ลุกขึ้นซอยเท้าฟุตเวิร์ตอยู่กับที่เป็นการวอร์มร่างกาย ชินพัฒน์จ้องหน้าอิทธิฤทธิ์
“พี่อิท...ไม่น่าเชื่อเลยว่า…ถ้าไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่า พี่อิทเคยเป็นเด็กแว้นมาก่อน”
ลูกบอลลอยละลิ่วกระแทกหัวชินพัฒน์พอเจ็บๆด้วยฝีมือการเตะของอิทธิฤทธิ์
“ชั้นเป็นนักแข่งรถโว้ย ไม่ใช่เด็กแว้น ตามมาๆ”
อิทธิฤทธิ์ไปเขี่ยลูกบอลกลับมาแล้วเลี้ยงลูกออกไป ชินพัฒน์ตามไปแย่งบอลกับอิทธิฤทธิ์อย่างสนุกสนาน
ชนมนเข็นรถเข็นชูชัยเข้ามาที่สนามหญ้า
“ชน..เรื่องค่าห้องพิเศษ ไม่ต้องไปพึ่งไอ้เด็กแว้นนั่นหรอกนะ”
“หนูก็ไม่ได้คิดจะให้อิทเค้าจ่ายอยู่แล้ว พ่อไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวหนูหาทางเองได้”
“แกจะเอาเงินเก็บมาจ่ายล่ะซิ เฮ้อ ไอ้เด็กบ้านั่นไม่น่ามายุ่งเลย ทำให้เราต้องเสียเงินด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“อิทเค้าหวังดีน่ะ พ่อ หนูก็กะจะย้ายพ่อออกจากห้องคนไข้รวมอยู่เหมือนกัน”
“แต่ไม่ใช่ย้ายมาอยู่ห้องวีไอพีอย่างนี้ คืนละเป็นหมื่นไม่ใช่เรอะ”
“ไม่ถึงหรอก พ่อ คุณพ่อของอิทรู้จักเจ้าของโรงพยาบาล เค้าลดให้เหลือเท่ากับห้องธรรมดาเลยนะ ถ้าต้องเสียเงินเพิ่มอีกนิดเพื่อให้พ่อได้อยู่สบายขึ้นหนูยอมเสียจ้ะ อิทเค้าก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกันนะ พ่อดูสิ”
อิทธิฤทธิ์กับชินพัฒน์เล่นบอลกันอย่างคล่องแคล่ว ชูชัยกับชนมนมองไปที่อิทธิฤทธิ์ซึ่งเล่นเตะบอลกับชินพัฒน์เหมือนเด็กๆ
“อะไรของแก ! ไอ้ชินเล่นเตะบอลกับไอ้เด็กแว้น แล้วทำไม”
“พ่อเคยเห็นชินมันเล่นอะไรจริงจังอย่างนี้หรือเปล่าล่ะ” ชนมนถาม
ชูชัยหันกลับไปมองอีกครั้ง อิทธิฤทธิ์ตั้งลูกบอลไว้ที่พื้นแล้วทำท่าวิ่งพร้อมทำท่าเตะบอลให้ชินพัฒน์ดู อิทธิฤทธิ์สอนบอลให้ชินพัฒน์อย่างจริงจัง ชินพัฒน์วิ่งแล้วเตะบอลเข้าระหว่างถังขยะสองอันที่ตั้งเป็นเขตโกล ชินพัฒน์วิ่งไปกระโดดชนอกกับอิทธิฤทธิ์ ชินพัฒน์ชูมือหัวเราะอย่างยิ่งใหญ่พลางทรุดเข่าลงกับพื้นทำท่าโอเวอร์แบบนักฟุตบอลที่เตะบอลเข้าประตูได้
“พ่อเคยเห็นไอ้ชินมีความสุขอย่างนี้บ้างหรือเปล่า” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์ดึงชินพัฒน์ที่ยังคงคุกเข่าเอาหัวซบลงกับหญ้าขึ้นมา อิทธิฤทธิ์กอดคอชินพัฒน์เดินออกไป
“ท่าทางมันจะเอาจริงทางนี้..แต่อ้วนดำอย่างนี้จะไหวเร้อ” ชูชัยถาม
“ก็ลองดูซักตั้งดีมั้ยล่ะ พ่อ”
ชูชัยพยักหน้าอนุมัติ ชนมนยิ้มอย่างดีใจ
อิทธิฤทธิ์เดินคุยกับชนมน ชินพัฒน์กระโดดเข้ามาแทรกกลาง
“พี่ชน ! เรื่องจริงเหรอ พ่อให้ผมไปเข้าแคมป์ฟุตบอลเหรอ”
“เออ..ให้ไปตอนปิดเทอมใหญ่ แต่แกต้องสอบให้ได้ไม่ต่ำกว่า 3.5 ถ้าได้ต่ำกว่านี้ก็อด ต้องอยู่ช่วยขายข้าวผัดตลอดปิดเทอม”
“ผมได้ไปเข้าแคมป์ฟุตบอลๆ ! ผมไปอ่านหนังสือเตรียมสอบดีกว่า หนังสือๆ หนังสืออยู่ที่บ้านนี่ ผมกลับไปบ้านก่อนนะ เดี๋ยวมา”
ชินพัฒน์กระโดดหอมแก้มชนมนแล้วหันมาหอมแก้มอิทธิฤทธิ์ฟอดใหญ่
“ขอบคุณนะ พี่ชน ขอบคุณนะ พี่อิท”
อิทธิฤทธิ์ตกใจ “เฮ้ย !”
“ผมไปล่ะ พี่ๆจีบกันตามสบายเลย”
ชินพัฒน์เอามืออิทธิฤทธิ์มาจับมือชนมนไว้แล้ววิ่งจู๊ดออกไป อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนไว้นิ่งจนชนมนต้องดึงมือออกไปเอง
“ทำไมนายดูไม่ดีใจเลย นี่ชั้นทำตามที่นายแนะนำทุกอย่างเลยนะ ให้โอกาสชินได้ทำอย่างที่ฝัน ชั้นยอมเสี่ยงเสียเงินให้มันไปแคมป์ฟุตบอล เงินไม่ใช่น้อยๆเลย” ชนมนถาม
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องเงินได้มั้ย”
“นายไม่ต้องเครียดเรื่องค่าห้องเลย ชั้นบอกแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องรับผิดชอบ ถึงชั้นต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินเพิ่ม ชั้นก็มีความสุขที่ได้ทำเพื่อพ่อเพื่อน้อง..แล้วความสุขของนายล่ะ”
“ขี่มอไซด์..”
“ความสุขของนายมีแค่เนี้ย ไม่เคยคิดถึงคนอื่นบ้างเลยหรือไง”
อิทธิฤทธิ์นิ่งคิดไปไกล “ป้าหนอมเคยเล่าให้ชั้นฟังว่า ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ชั้นเห็นมอไซด์ที่ไหนเป็นต้องหยุดมองอยู่นาน แม่ก็เลยซื้อมอไซด์ของเล่นให้ ชั้นเล่นได้เป็นชั่วโมงๆไม่เคยเบื่อ พอสอบเข้านิติได้ ก็เลยขอพ่อซื้อมอไซด์ให้”
“แสดงว่า มอเตอร์ไซค์คันนี้มีความหมายต่อนายมาก ทำให้นายนึกถึงคุณแม่ตอนเด็กๆ และก็เป็นของขวัญจากคุณพ่อของนายด้วย”
“ของขวัญอะไร ชั้นขอตั้งนานกว่าพ่อจะยอมซื้อให้ พ่อซื้อให้เพราะต้องการตัดความรำคาญ พ่อชั้นแก้ปัญหาด้วยเงินตลอดแหละ”
“ท่านผู้การรักนายต่างหาก ท่านถึงได้ทำทุกอย่างเพื่อชดเชยในสิ่งที่นายขาดมอเตอร์ไซค์คันนี้ไม่ใช่แพงที่ราคาอย่างเดียว แต่มีค่าสำหรับนายมาก”
“เฮอะ ! ก็แค่มอไซด์คันเดียว”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว อิทธิฤทธิ์นิ่งสะดุดเมื่อนึกถึงราคาของรถ
ชูชัยนั่งจดรายได้รายจ่ายลงสมุดเล่มเล็กด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชูชัยพึมพำ “ปิดร้านมาสามวันแล้ว...ขาดรายได้ไป..ต้องปิดร้านดึกหน่อยแล้วทีนี้”
ชนมนกับธรรม์ในชุดตำรวจเปิดประตูเข้ามา ธรรม์ถือตะกร้าผลไม้มาด้วย เขาวางตะกร้าลงแล้วยกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณลุง ผมเอาผลไม้มาเยี่ยม” ธรรม์พูดกับชนมน “พี่ติดงาน ก็เลยมาเยี่ยมช้าไปหน่อย ขอโทษทีนะ ชน”
ชูชัยพูดอย่างไม่เป็นมิตร “ลำบากนัก ก็ไม่ต้องมาหรอก”
“พี่ธรรม์ตั้งใจมาเยี่ยมพ่อจริงๆนะ หนูไปปอกแอ๊ปเปิ้ลให้นะ เดี๋ยวต้องเอาไปล้างก่อน พี่ธรรม์มาช้าไปนิดเดียว นายอิทเพิ่งกลับไป”
ชนมนยกตะกร้าผลไม้ไปที่อ่างล้างจาน
“รู้จักกับไอ้หมอนั่นด้วยเหรอ เออดี พี่เป็นตำรวจ น้องเป็นเด็กแว้น”
“นายอิทเป็นนักแข่งรถน่ะครับ แข่งรถแต่ในสนามแข่ง ไม่ได้เป็นเด็กแว้นหรอกครับ”
“ให้ท้ายน้องชายอย่างนี้ มิน่ามันถึงได้ซ่านัก” ชูชัยว่า
“ที่จริงผมไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของนายอิทหรอกครับ” ธรรม์ชะงักเพราะไม่อยากเล่าต่อ
ชนมนล้างแอ๊ปเปิ้ลเสร็จใส่จานแล้วมานั่งปอกใกล้ๆ
“คุณพ่อของพี่ธรรม์เป็นลูกน้องของท่านผู้การน่ะ พ่อ” ชนมนบอก
“แล้วพ่อของคุณไปไหนซะล่ะ” ชูชัยถาม
ธรรม์เฉไฉ “เรื่องมันผ่านไปนานแล้วล่ะครับ”
ชนมนพูดเสียงเบา “พ่อ..อย่าถามเลย พี่ธรรม์เค้าไม่อยากพูดถึง”
“เรื่องบ้านแตกพ่อไปทางแม่ไปทาง เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะต้องอาย”
“ผมไม่ใช่เป็นลูกที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง! แม่ผมตายตั้งแต่ผมยังเด็ก ส่วนพ่อของผม..ตายในหน้าที่...ถูกมาเฟียยิงตาย”
ชูชัยเริ่มสะกิดใจแล้วชะโงกไปใกล้ๆ เพื่อมองที่ป้ายชื่อของธรรม์
“ธรรม์ สัตยารักษ์...สัตยาภักดิ์...” ชูชัยนิ่งอึ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณพ่อคุณชื่ออะไร?”
“พ่อถามทำไม ถามไปก็ไม่รู้จักหรอก” ชนมนว่า
“คุณพ่อของคุณชื่ออะไร !” ชูชัยถาม
“ร้อยเอกเที่ยงธรรม สัตยาภักดิ์ ครับ” ธรรม์ตอบ
ชูชัยนิ่งอึ้งเหมือนมีอาการช็อตเพราะน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงจนหน้ามืดและตาพร่า
“พ่อ ! พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า” ชนมนตกใจ
ธรรม์กับชนมนรี่เข้าไปประคองชูชัยก่อนที่จะหน้าคว่ำลงไป
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
อิทธิพลกำลังอ่านแฟ้มคดีของเก่งกาจซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาเหลือบมองกล่องกระดาษใส่รูปเก่าๆ
อิทธิพลเปิดกล่องออกแล้วหยิบรูปเก่าๆของเขากับเที่ยงธรรมออกมาดู ถนอมถือถ้วยกาแฟมาวางไว้ให้บนโต๊ะ ในขณะที่อิทธิพลกำลังดูรูปเก่าๆอยู่
“คุณท่านดูรูปเก่าๆอีกแล้ว อย่าไปดูเลยค่ะ ดูแล้วก็ทำให้เศร้าใจเปล่าๆ”
“ฤดีอาจจะพูดถูกก็ได้..เที่ยงธรรมตายเพราะชั้น”
“ไม่จริงค่ะ คุณชาติชายเป็นคนยิงคุณเที่ยงธรรม คนที่ทำให้คุณธรรม์ต้องกำพร้าพ่อ คือคุณชาติชายต่างหาก อิชั้นล่ะไม่อยากเรียกคุณด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี ยังไงๆเค้าก็เป็นเพื่อนคุณท่าน”
“ไอ้ชาติชายมันไม่ใช่เพื่อนชั้น ! มันกำลังรอชดใช้กรรมอยู่ที่ไหนซักแห่ง ! แต่อีกไม่นานชั้นจะต้องเจอตัวมัน แล้วชั้นจะลากมันเข้าคุกด้วยมือของชั้นเอง”
อิทธิพลหยิบรูปถ่ายเพื่อนรักสามคนขึ้นมาดู
ชนมนกับธรรม์ช่วยกันประคองชูชัย ชูชัยกลืนยาลงคอแล้วชนมนประคองให้ดื่มน้ำตามไป
“หน้าพ่อยังซีดอยู่เลย หนูไปตามหมอดีกว่า”
“ไม่ต้อง ! พ่อดีขึ้นแล้ว..ดีขึ้นแล้วจริงๆ” ชูชัยพูดกับธรรม์ “หมวดธรรม์”
ชูชัยจ้องหน้าธรรม์นิ่งเพราะไม่รู้จะพูดยังไงดี
“มิน่า..หน้าตาคุณถึงคุ้นๆ” ชูชัยว่า
“ตกลงคุณลุงรู้จักพ่อของผมหรือครับ” ธรรม์ถาม
“คุณหน้าตาเหมือนเพื่อนของผมคนนึง..ยิ่งเห็นหน้าคุณ ผมก็ยิ่งคิดถึงไอ้เพื่อนของผม..มันไม่น่าเลย..ทำไมเรื่องจบลงแบบนี้ได้” ชูชัยเรียกสติกลับมา “ถึงคุณพ่อคุณไม่อยู่แล้ว แต่ผมบอกคุณได้เลย ถ้าเขายังอยู่ เขาจะต้องภูมิใจในตัวคุณมากหมวดธรรม์”
“ขอบคุณครับ คุณลุง”
“ตอนนี้คุณอยู่กับใครนะ ตะกี้ที่ชนพูด ผมไม่ทันฟัง”
“ไว้วันหลังค่อยคุยต่อเถอะ พ่อ ดูพ่อเหนื่อยๆยังไงไม่รู้”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ คุณลุงจะได้พักผ่อน” ธรรม์ยกมือไหว้ “ลานะครับ ขอให้คุณลุงหายเร็วๆ แล้วผมจะไปอุดหนุนที่ร้านนะครับ”
“ไปได้เลยๆ ผมจะรอนะ หมวดธรรม์”
ธรรม์เดินออกไป ชนมนแปลกใจที่เห็นชูชัยดูอ่อนยวบไม่แข็งๆเฉยๆเหมือนที่ทำกับผู้ชายทุกคน
“พ่อไม่เกลียดตำรวจแล้วเหรอ”
“ในโลกนี้มีตำรวจสองคนที่พ่อไม่เกลียด คือหมวดธรรม์คนนี้แล้วก็..เพื่อนของพ่อ”
ชนมนหัวเราะ “อ้าว ! พ่อมีเพื่อนเป็นตำรวจเหรอเนี่ย งั้นที่หนูสงสัยก็ไม่ใช่แล้วซิ หนูนึกว่าที่เราย้ายบ้านกันบ่อยๆ เพราะพ่อคอยหนีตำรวจซะอีก พ่อนอนพักเถอะ”
ชนมนห่มผ้าห่มให้พ่อแล้วจัดแจงเก็บจานแอ๊ปเปิ้ลเก็บแก้วไปโดยไม่ได้หันมาทางพ่ออีก ชูชัยหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ใต้หมอนออกมาก่อนจะดึงรูปถ่ายเก่าที่สอดไว้ในกระเป๋าออกมาดู ภาพนั้นคือภาพของชาติชาย(ชูชัย) เที่ยงธรรมและอิทธิพลในวัยหนุ่มซึ่งรูปเดียวกับที่อิทธิพลมี
รูปถ่ายใบเดียวกับที่ชูชัยถืออยู่แต่เป็นรูปที่พับจนเห็นแต่อิทธิพลและเที่ยงธรรม มือของอิทธิพลค่อยๆคลี่ส่วนที่เหลือออกจนเห็นเป็นชาติชายที่อยู่ในรูปด้วย
อิทธิพลจ้องไปที่ชาติชาย(ชูชัย) เขม็งอย่างโกรธแค้นอยู่ลึกๆแต่ไม่ฟูมฟาย
“แล้วเราจะต้องได้เจอกัน ไอ้ชาติชาย ! ไอ้เพื่อนทรยศ”
อิทธิพลดูนิ่งและน่ากลัว
เช้าวันใหม่ เจ๋งตกใจสุดขีด
“หา! อะไรนะ! พี่อิทจะขายมอไซด์!”
อิทธิฤทธิ์ยืนอยู่กับมอเตอร์ไซค์สุดที่รักกำลังนิ่งมองมันอย่างพยายามตัดใจให้ได้
“คิดให้ดีๆนะพี่อิท มอไซด์คันนี้มันคือชีวิตของพี่นะ” เจ๋งว่า
“ชั้นคิดดีแล้ว แต่ชั้นต้องการใช้เงิน” อิทธิฤทธิ์บอก
“พี่ก็ไปขอพ่อดิ ทำไมต้องขายมอไซด์ด้วย”
“ถ้าไปขอพ่อ ชั้นก็ไม่ได้หาเงินด้วยตัวเองน่ะดิ ชั้นจำเป็นต้องขายจริงๆ เพื่อนชั้นกำลังเดือดร้อน”
“เพื่อนคนไหน พี่ เออ..พี่มีเพื่อนกับเค้าซะที่ไหน พี่มาย่าเหรอ ไม่น่าใช่นะ” เจ๋งคิด
“เฮ้ย ! ไม่ต้องถามมาก ชั้นตัดสินใจแล้ว !”
“อ้าว ! ตัดสินใจแล้ว แล้วมาหาผมทำไม”
“ชั้นขายให้ใครดีวะ ชั้นต้องรีบขายให้ได้ในวันนี้ ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจได้เร็ว มีเงินจ่าย และที่สำคัญชั้นอยากขายให้กับคนที่รักมอไซด์จริงๆ ยิ่งเป็นนักแข่งรถด้วยยิ่งดี” อิทธิฤทธิ์มองหน้าเจ๋งที่มีคำตอบให้แล้ว “เฮ้ย..อย่าบอกนะว่า..ชั้นต้องขายให้ไอ้”
เจ๋งพยักหน้ารับอย่างขมขื่น อิทธิฤทธิ์จ้องไปที่มอเตอร์ไซค์อย่างทรมานใจ
ตี๋เล็กนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ที่สูงกว่าทุกคน โดยมีบ๊วยยืนสอพลออยู่ข้างๆ
ตี๋เล็กหัวเราะลั่น “ได้ ! ไม่มีปัญหา ขายเท่าไหร่ก็ว่ามา”
บ๊วยหัวเราะตาม “ว่ามาเลย ! ไม่คิดเลยว่า วันนี้จะมาถึงจนได้”
อิทธิฤทธิ์กับเจ๋งยืนกัดฟันกรอดๆอย่างอดกลั้นอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์
“วันนี้ของแกน่ะ มันวันอะไรวะ” เจ๋งถาม
“ก็วันที่ลูกพี่ของแกเป็นไอ้ขี้แพ้น่ะสิ นักแข่งไม่มีมอไซด์ก็เป็นได้แค่มดปลวกในสนามเท่านั้นแหละวะ” บ๊วยว่า
“คนอย่างชั้นต่อให้ขี่มอไซด์พี่วินปากซอยก็ชนะลูกพี่แกได้ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่ที่ฝีมือและนี่โว้ย” อิทธิฤทธิ์ตบที่อกซ้าย “ไม่ได้เกี่ยวกับรถ เรามาตกลงราคาได้หรือยัง”
“แกจะเอาเท่าไหร่” ตี๋เล็กถาม
อิทธิฤทธิ์ตัดใจ “ชั้นลดให้แกห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
เจ๋งตาเหลือก “พี่อิทจะขายแค่แสนห้าเหรอ !”
ตี๋เล็กรีบตอบรับอย่างตีปีก “แสนห้า ! ตกลงเลย”
บ๊วยค้านทันที “แพงไป !” บ๊วยเดินดูรอบๆรถ “รถคันนี้ผ่านมาตั้งกี่สนามแล้ว ลูกพี่ มันต้องหักค่าเสื่อมหักค่าโมรถใหม่ ไหนจะค่าแต่งรถอีก..เจ็ดหมื่นแล้วกัน”
ตี๋เล็กเห็นตามบ๊วยโดยไม่ใช้หัวคิดเอง “เออๆ..ใช่ๆ เจ็ดหมื่นก็พอ”
“เฮ้ย ! ไม่ได้โว้ย ! พี่อิทถนอมรถอย่างกับลูก ! รถนี่สภาพดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ! ยังไงก็ต้องแสนห้า” เจ๋งบอก
ตี๋เล็กกลัวไมได้รถ “โอเคๆ แสนห้าก็แสนห้า”
บ๊วยรีบขัด “ไม่ได้โว้ย ! พุดกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ งั้นเอาไปห้าหมื่น”
“เฮ้ย! ห้าหมื่น! ถูกไปป่าววะ” ตี๋เล็กว่า
“ลูกพี่อยู่เฉยๆ ให้ผมจัดการเอง” บ๊วยพูดกับอิทธิฤทธิ์อย่างเหนือกว่า “ว่าไง ถ้าไม่พอใจราคานี้ก็ไปขายต่อที่อื่น แต่จะมีใครซื้อต่อจากแก แกมันสร้างศัตรูไว้ทุกสนาม คนในวงการไม่มีใครยอมช่วยแกหรอก นอกจากพี่ตี๋เล็ก ถ้าตกลง เดี๋ยวไปกดเงินให้เลย ห้าหมื่นขาดตัว ไม่มีการต่อรอง”
อิทธิฤทธิ์นิ่งคิด “ตกลง!”
เจ๋งเจ็บปวด “พี่อิท!”
ตี๋เล็กเจ็บปวดไปด้วย “ไอ้อิท”
บ๊วยสะกิดเตือน “ลูกพี่ ! เราได้รถของมันแล้ว”
“เออๆใช่ๆ” ตี๋เล็กหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ ในที่สุดแกก็ต้องก้มหัวให้ชั้น ! ต่อไปชั้นจะได้เป็นแชมป์ทุกสนาม! แกสิ้นชื่อก็คราวนี้แหละ ไอ้อิท”
ตี๋เล็กหยุดหัวเราะกึกเมื่อเห็นอิทธิฤทธิ์ยืนจ้องมอเตอร์ไซค์อย่างเจ็บปวดเพราะเขารู้หัวอกคนรักมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน อิทธิฤทธิ์เดินผละจากมอเตอร์ไซค์ไปปล่อยให้เจ๋งจัดการเรื่องเงินแทนเขา
หนังสือพิมพ์บันเทิงถูกโยนลงที่ตรงหน้ามณีมันตรา มณีมันตรามองหน้ามองสุวิชที่เป็นคนโยนลงมา เมนี่ยืนเสนอหน้าอยู่ข้างๆสุวิช
“อ่านนี่หรือยัง ! เธอติดอันดับหนึ่งของโพลดาราสร้างภาพ” สุวิชว่า
“แต่โพลดาราสาวยอดนิยมอยู่อันดับสุดท้าย” เมนี่เสริม
“ทุกคนก็รู้ไม่ใช่เหรอคะว่า โพลพวกนี้เชื่อไม่ได้ เป็นโพลที่ทำขึ้นเอง”
“แล้วชาวบ้านจะรู้มั้ยล่ะ ข่าวออกมายังไง คนก็ต้องเชื่อตามข่าว ตอนนี้ระหว่างที่รอให้ข่าวเธอกับหมวดธรรม์เงียบ ก็รับงานอีเว้นท์ไปก่อนล่ะกัน มีข่าวฉาวอย่างนี้รับงานอีเว้นท์ไม่หวาดไม่ไหวทีเดียว”
“ไม่ค่ะ หนูขอรับงานที่ใช้ความสามารถไม่ใช่เพราะข่าวฉาว”
“งั้นก็ฝันไปเถอะ ตอนนี้โฆษณาของเธอทุกตัวไม่ต่อสัญญา เพราะกลัวเธอจะไปทำลายอิมเมจของสินค้า งานหนังงานละครก็ไม่ต้องพูดถึง เธอน่ะรับบทสาวใสๆไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เราก็ไม่รู้จะให้เธอเล่นบทไหนดี” เมนี่ว่า
“ถ้าเธอไม่รับงานอีเว้นท์ งั้นชั้นคงต้องให้เธอพักงาน” สุวิชยื่นคำขาด
มณีมันตราตกใจ “พักงาน ! พักไปนานเท่าไหร่คะ”
“ไม่รู้ ! ก็คง..จนกว่าชั้นรู้ว่าจะทำยังไงกับเธอดี เธอคิดว่า เธอเป็นซุปตาร์แล้ว จะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ จะบอกให้นะ มีเด็กเป็นร้อยเป็นพัน สวยกว่าใสกว่า รอแทนที่อยู่ ชั้นหยิบใครมาปั้นใหม่ก็ได้ แต่สำหรับเธอ..เธอหมดโอกาสที่จะกลับไปเป็นซุปตาร์แล้ว มาย่า!” สุวิชว่า
สุวิชเดินออกไปอย่างไม่ไยดี มณีมันตรานิ่งอึ้งสะเทือนใจที่ถูกพักงานไม่ใช่เพราะไม่ได้กลับไปเป็นซูเปอร์สตาร์
“เป็นไง ไม่เชื่อกัน ก็ต้องเจออย่างนี้ แล้วอย่าคิดนะว่า พวกแฟนคลับของเธอจะช่วยอะไรได้ ต่อให้ดิ้นพราดๆก่นด่าบริษัทยังไง เธอก็ไม่มีวันได้เกิดใหม่แน่!” เมนี่ว่า
มณีมันตราได้แต่สะกดกลั้นความรู้สึกเสียใจเอาไว้
เจ๋งขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ มีอิทธิฤทธิ์ซ้อนท้ายแล่นเข้ามา
“จอดๆ จอดตรงนี้แหละ”
เจ๋งจอดมอเตอร์ไซค์หยุดอยู่หน้าบ้าน อิทธิฤทธิ์รีบลงจากรถทันที
“ขอบใจโว้ย ที่มาส่ง”
เจ๋งส่งซองเงินให้ “เอ้า เงินค่ามอไซด์ของพี่ แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย บ้านใครเหรอ พี่”
“กลับไปได้แล้ว ไป”
ชนมนเดินออกมาจากในบ้าน เจ๋งรีบลงจากมอเตอร์ไซค์ทันที
เจ๋งยิ้มหวาน “นี่บ้านพี่ชนเองเหรอครับ”
ชนมนยิ้มตอบเจ๋ง เธอมองอิทธิฤทธิ์ที่มากับรถเจ๋งด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ทำไมนายมามอเตอร์ไซค์เจ๋งล่ะ”
อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนเรื่อง “วันนี้เราไปแท๊กซี่ล่ะกันนะ”
“ชั้นไปรถเมล์เองได้ ชั้นบอกนายแล้วว่า ไม่ต้องไปกับชั้นทุกวันหรอก ชั้นต้องคอยดูแลพ่อ ไม่มีเวลาติวให้นาย ยังไงเรียนท่านผู้การด้วยนะ พ่อออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ชั้นจะติวชดเชยให้ ติวอย่างเข้มเลย..” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์งอนหน่อยๆ “ชั้นไม่ได้ไปโรงบาลกับเธอเพราะเรื่องติว”
เจ๋งมองอิทธิฤทธิ์กับชนมนแล้วก็เห็นท่าทีอิทธิฤทธิ์ที่มองชนมนซึ่งเปลี่ยนไปเหมือนมีอะไรแฝงอยู่
เจ๋งคิดอย่างเร็ว “พ่อพี่ชนเข้าโรงบาลเหรอ เพื่อนพี่อิทที่กำลังเดือดร้อนคือ พี่ชนเหรอเนี่ย โห ! พี่อิทขายมอไซด์เพื่อพี่ชน ! พระเอกมากๆ”
ชนมนตกใจ “นี่นายขายมอเตอร์ไซค์เหรอ!?”
“ใช่ พี่ชน! พี่อิทขายมอไซด์ไปแล้ว มอไซด์สามแสนแต่ขายไปแค่ห้าหมื่น ! ขายขาดทุนไม่เจ็บใจเท่าต้องขายให้ไอ้ตี๋เล็กมัน” เจ๋งบอก
อิทธิฤทธิ์ไล่ “ไอ้เจ๋ง ! กลับไปได้แล้ว ไป” เจ๋งรีรอคันปากเพราะอยากพูดต่อ “ชั้นบอกให้ไป”
เจ๋งรีบเดินออกไปแล้วก็หันกลับมาใหม่
เจ๋งพูดเร็วรัว “ขายมอไซด์คู่ใจนี่ มันเจ็บปวดสุดบรรยายจริงๆนะ พี่ชน! พี่อิทเสียสละขนาดนี้ได้แสดงว่าพี่เค้าต้อง...”
อิทธิฤทธิ์ถีบเจ๋งออกไปเสียก่อนที่เจ๋งจะพูดจบและทำท่าจะตามไปซ้ำ เจ๋งรีบขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป
ชนมนทั้งอึ้งทั้งซึ้งใจ “ทำไม..ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ทำไมต้องถาม...”
“ชั้นไม่ยอมให้นายเสียสละเพื่อชั้น ยังไงชั้นก็ไม่ยอม”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ยอมจริงๆ ส่วนอิทธิฤทธิ์ก็ทำหน้าดื้อใส่พอๆกัน
ตี๋เล็กเช็ดมอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์อย่างปลาบปลื้มมีความสุข
“เป็นเด็กดีนะ ลูกนะ ขอต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวทีเร็กซ์” ตี๋เล็กจูบรถมอเตอร์ไซค์ฟอดใหญ่ ในขณะที่บ๊วยกำลังใช้มือถือถ่ายทุกมุมของมอเตอร์ไซค์อยู่
“พี่ๆ อย่าจูบมาก เดี๋ยวหมอง ราคาตกหมด เดี๋ยวผมจะโพสประกาศขายให้นะ ผมขอค่านายหน้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ ขายซักสองแสนก็ได้..สองหมื่น” บ๊วยฝันหวาน
“ใครบอกว่าชั้นจะขายต่อ”
“พี่ต้องขายนะ คันนี้ซื้อถูกเหมือนได้เปล่า ขายได้กำไรเห็นๆ”
“ชั้นไม่ขาย! ชั้นจะเอาไว้ขี่หยามหน้าไอ้อิทมัน”
“แต่พี่ต้องขาย!” บ๊วยอยากได้เงินค่านายหน้ามาก
ตี๋เล็กสวน “ไม่ขาย!”
“ต้องขาย!”
“ไม่ขาย!”
เสียงชนมนดังขึ้น “ต้องขาย!”
ตี๋เล็กพูดใส่หน้าบ๊วย “ไม่ขายโว้ย!”
ตี๋เล็กชะงักเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เสียงของบ๊วย เขาหันขวับไปทางด้านหลังทันที ชนมนยืนหน้าโหดมองมาอยู่โดยในมือถือซองเงินจำนวนห้าหมื่น
ตี๋เล็กกับบ๊วยตกใจ “เฮ้ย!”
ชนมนวางซองเงินลงบนโต๊ะ
“ชั้นมาขอซื้อรถคืน..”
อิทธิฤทธิ์เดินตามเข้ามาช้าๆอย่างไม่เห็นด้วยกับชนมน ตี๋เล็กกับบ๊วยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
มณีมันตรายืนนิ่ง ในมือของเธอถือบทหนังเก่าพลางคิดถึงงานที่เคยทำ ธรรม์เดินอย่างร้อนใจเข้ามา
“พี่ธรรม์...”
“พี่รู้ข่าวแล้ว เรื่องที่ย่าถูกพักงาน”
มณีมันตรารีบซุกบทหนังลงใต้กองนิตยสาร
มณีมันตราฝืนยิ้ม “ย่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ พักก็ดีเหมือนกัน ย่ากำลังจะสอบซัมเมอร์พอดี”
“แล้วนี่จะถูกพักงานไปถึงเมื่อไหร่”
“ไม่มีกำหนดค่ะ”
“งั้นย่าต้องแก้ข่าว ทำตามที่พี่เมนี่บอกเถอะ เปิดงานแถลงข่าวอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นซะ ไม่งั้นย่าอาจจะกลับไปทำงานในวงการไม่ได้อีก”
“พี่เมนี่จะให้ย่าแถลงข่าวว่า พี่ธรรม์เป็นโรคจิตตามตื๊อย่านะคะ”
“แถลงข่าวแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงพี่ เรื่องนี้พี่รับมือได้”
“ไม่ค่ะ ย่าจะไม่แถลงข่าว ถ้าหากว่าย่าทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วต้องถูกพักงานย่ายอมค่ะ แต่ย่าจะไม่ยอมโกหกเพื่อเอาตัวรอดคนเดียวเด็ดขาด”
“แต่พี่ไม่ยอมให้ย่าต้องเสียอนาคตเพราะพี่”
ธรรม์กับมณีมันตราจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ตี๋เล็กกับบ๊วยไม่กล้าต่อกรกับชนมน ทั้งสองกลับหันไปโวยกับอิทธิฤทธิ์แทน
“พูดแล้วคืนคำ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าวะ”
“นั่นดิ คนไม่รักษาคำพูด ได้เกิดเป็นลูกหมาห้าร้อยชาติแน่”
อิทธิฤทธิ์พูด “ชั้นห้ามแล้ว เค้าไม่ฟัง คุยกันเองแล้วกัน”
ตี๋เล็กสั่ง “ไอ้บ๊วย ! จัดการ”
ตี๋เล็กผลักบ๊วยออกไปประจันหน้ากับชนมน
“รับเงินไปแล้ว ก็ช่วยคืนรถให้อิทด้วย” ชนมนบอก
บ๊วยกล้าๆกลัวๆ “เรา..เรายังไม่ได้บอกว่า จะขายคืนให้”
“บอกไปเลย ว่าไม่ขายๆๆ” ตี๋เล็กว่า
“บอกเองไม่ได้หรือไง” บ๊วยทำใจกล้าพูดใส่หน้าชนมน “ไม่ขาย ยังไงก็ไม่ขายคืน”
บ๊วยดึงตี๋เล็กมารวมพลังประจันหน้ากับชนมน ทั้งสองเห็นอิทธิฤทธิ์ไม่ยุ่งด้วยก็เริ่มฮึกเหิมทำใจกล้าเพราะพวกเขาคิดว่าแค่ผู้หญิงคนเดียวมาเหยียบถิ่นของตนเอง
“เออ..ไม่ขาย!” ตี๋เล็กพูดกับอิทธิฤทธิ์ “แกจะไม่ยุ่งใช่มั้ย! ดี! ชั้นจะคุยกับเจ๊เค้าเอง” ตี๋เล็กพูดกับชนมน “ชั้นไม่ขายคืนให้ซะอย่าง จะทำอะไรชั้นได้”
“นั่นดิ จะทำอะไรได้! ไอ้อิทมันเซ็นโอนรถให้แล้ว!” บ๊วยหัวเราะเยาะ “เราเอาไปทำเป็นเศษเหล็กยังได้เลย เจ๊!”
“พวกนายโกงอิท! อิทซื้อรถมาเป็นแสน” ชนมนว่า
ตี๋เล็กขัด “มันอยากโง่เอง ช่วยไม่ได้!”
“คนมันร้อนเงินก็เงี้ยแหละ ลูกพี่ เอาเงินไปทำไรวะ ไอ้อิท เสียบอลหรือว่าติดหญิงโง่บรมเลยขายมอไซด์เอาเงินไปจีบหญิง!” บ๊วยว่า
ชนมนยิ่งโกรธ “ตกลงพวกนายจะไม่ขายคืนใช่มั้ย”
ตี๋เล็กกับบ๊วยพูดพร้อมกัน “ไม่!”
ชนมนก้าวเข้าไปหาตี๋เล็กกับบ๊วยอย่างมั่นคง ตี๋เล็กเริ่มหวาดหวั่น
“ไอ้บ๊วย! ไปตามเด็กที่ปั๊มมาให้หมด! ให้มาช่วยจับยัยเจ๊นี่โยนออกไป เร็วเข้า”
ชนมนชะงักมองตี๋เล็กอย่างลังเลแวบเดียว
ตี๋เล็กได้ทีเพราะนึกว่าขู่สำเร็จ “กลัวล่ะซิ! ยังไงก็เป็นผู้หญิง ไม่ต้องไปเรียกแล้ว ลุยเลย ไอ้บ๊วย คราวนี้ได้เอาคืนแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ชะงักมอง เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดนึงเพราะรู้ว่าตี๋เล็กคิดผิดไปแล้วและเดี๋ยวคงได้เจอดีแน่
“ได้เลย ลูกพี่ เรื่องรังแกผู้หญิง ถนัดอยู่แล้ว ลุย” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กกับบ๊วยย่ามใจปรี่กันเข้าไปหาชนมนแต่แล้วก็ต้องหน้าชะงักเมื่อเห็นฝ่าเท้าชนมนลอยเข้าหา
ร้านสั่นสะเทือนเหมือนถูกแผ่นดินไหว
ตี๋เล็กกับบ๊วยร้องเสียงอย่างเจ็บปวดฟังไม่เป็นภาษา
ความสั่นสะเทือนสงบลงแล้วตามด้วยเสียงปรื้นๆของมอเตอร์ไซค์ที่ดังขึ้นแทน
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีชนมนซ้อนท้ายซิ่งออกมาจากร้านตี๋เล็ก
ตี๋เล็กกับบ๊วยหมดสภาพกองอยู่ที่พื้น หน้าตาของทั้งสองมีรอยแดงเป็นปื้นๆ
ตี๋เล็กครวญครางและมึนงง “โอ๊ย โอย.. เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน ลูกพี่! เหมือนมีอะไรวูบๆ ผ่านหน้าไป” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กเพิ่งรู้ว่ามีซองเงินห้าหมื่นเสียบอยู่ในอกเสื้อ
ตี๋เล็กนึกได้ “มอไซด์ของชั้น! ยัยเจ๊โหดเอามอไซด์ชั้นไป ! ไปตามคืนมาเดี๋ยวนี้ ไอ้บ๊วย”
“ไม่ไหวอ่ะ ลูกพี่ ผมกลัวเจอลูกถีบอีก! ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน”
อุปกรณ์แต่งรถบนชั้นร่วงกราวตกลงหัวตี๋เล็กกับบ๊วยเป็นการส่งท้าย
ตี๋เล็กกับบ๊วยร้องลั่น “อ๊าก ! โอ๊ย”
“โอ๊ย! ทำไมฟ้าดินถึงกลั่นแกล้งช้านนน ชั้นทำอะไรผิด”
หมวกกันน็อคหล่นลงหัวตี๋เล็กเป็นความซวยปิดท้าย ตี๋เล็กล้มหงายหลังไปทับบ๊วยแล้วสลบเหมือดไป
มณีมันตราเดินมาหยิบหนังสือกฎหมายขึ้นมาอ่าน ธรรม์ตามเข้ามาดึงหนังสือไปจากของเธอ
“เรายังคุยกันไม่จบ”
“ถ้าย่ายอมแถลงข่าวตามที่บริษัทต้องการ ก็เท่ากับย่ากับพี่ธรรม์ต้องเลิกคบกันพี่ธรรม์ต้องการอย่างนั้นหรือคะ”
“เราไม่ต้องเลิกคบกันก็ได้ ก็แค่อย่าเพิ่งเจอกัน..รอให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมก่อน”
มณีมันตราขัด “ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ทุกคนมองย่าเปลี่ยนไปแล้ว พี่ธรรม์ไม่ต้องห่วงย่าหรอกค่ะ อย่างมากย่าก็รอจนกว่าจะหมดสัญญากับบริษัท”
“แล้วมันกี่ปีกันล่ะ” ธรรม์ถาม
มณีมันตราพูดไม่เต็มปาก “สามปีค่ะ”
ธรรม์ดุใส่ “ย่าจะยอมเสียเวลาไปเปล่าๆสามปีเชียวเหรอ!? ย่าไม่คิดเหรอว่า ย่าจะพลาดโอกาสดีๆอะไรไปบ้าง ไหนว่ารักการแสดงยังไงล่ะ”
“นี่พี่ธรรม์อยากให้ย่าแถลงข่าวจริงๆใช่มั้ย งั้นพี่ธรรม์ไปแถลงข่าวเองล่ะกัน อยากพูดอะไรก็พูดไปเลย บอกทุกคนไปเลยว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน นอกจากซุปตาร์กับแฟนคลับโรคจิต พี่ธรรม์ต้องการอย่างนั้นใช่มั้ย”
“นี่ไม่ยอมเข้าใจใช่มั้ย ย่า พี่อยากให้ย่าแถลงข่าวก็เพื่อตัวย่าเอง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ไม่ต้องพูดกันดีกว่า!”
“ดี! ย่าก็ไม่อยากฟัง! พี่ธรรม์หัดทำตัวแบบอิทบ้าง อยากทำอะไรก็ทำ! เลิกทำตัวเป็นคนดีซะที มันน่าเบื่อ! รู้มั้ย!?”
ธรรม์นิ่งอึ้งและเจ็บใจที่ทำดีไม่ได้ดี มณีมันตราจ้องธรรม์อย่างดื้อแพ่งและหงุดหงิดโมโหจนสติหลุด
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าตึกทางเข้า ชนมนที่นั่งซ้อนท้ายขยับลงจากรถทันที
อิทธิฤทธิ์รีบบอก “เดี๋ยว! ขอขี่อีกรอบได้มั้ย”
“นายจะขี่อีกกี่รอบก็เรื่องของนาย ชั้นจะเข้าไปดูพ่อ”
“ไปด้วยกันก่อนดิ ขอห้านาที นะๆๆ แค่ห้านาที”
“แล้วทำไมต้องให้ชั้นซ้อนไปด้วยล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ถอดหมวกกันน็อคออกอย่างขัดใจ
“ไม่ต้องถามมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ซ้อนท้ายรถชั้นง่ายๆนะ ขึ้นรถมา เร็วเข้า”
“ไม่! นายอยากขี่รถให้หนำใจ ก็ขี่ไป ชั้นไม่มีเวลามาเล่นกับนายแล้ว”
อิทธิฤทธิ์บ่นกับมอเตอร์ไซค์ “ทำไมเจ๊เค้าเข้าใจยากอย่างนี้วะ ก็คนเค้าอยากให้ซ้อนท้าย” อิทธิฤทธิ์ลูบตัวรถอย่างรักมาก “อุตส่าห์ได้แกคืนมา น่าจะไปฉลองกันหน่อย”
“ถ้ารักรถขนาดนี้ ก็ไม่น่าจะเอาไปขายตั้งแต่แรก”
“ก็นี่เป็นทางเดียวที่ชั้นจะหาเงินมาได้เร็วที่สุด”
“นายไม่ต้องห่วงเรื่องค่าห้องพิเศษ ชั้นจัดการเองได้ ขอบคุณมากนะที่พยายามช่วยชั้น” ชนมนเดินออกไปแล้วก็นึกได้จึงหันกลับมา “นายอิท..คนเรามีทางเลือกเสมอแหละ อยู่ที่นายจะเลือกไปทางง่ายหรือทางยาก”
ชนมนเดินเข้าตึกโรงพยาบาล อิทธิฤทธิ์นิ่งคิดหาทางออกอีกครั้ง
อิทธิพลนิ่งคิดไตร่ตรองเรื่องที่อิทธิฤทธิ์ขอร้องเรื่องขอบัตรเครดิตคืน
“ไม่ได้ ชั้นยังคืนบัตรเครดิตให้แกไม่ได้” อิทธฺพลบอก
อิทธิฤทธิ์ฮึดฮัดและเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่มาขอร้องพ่อ
“ไม่ได้ก็ไม่ได้ นึกอยู่แล้วว่าพ่อต้องไม่ช่วย”
“ถ้าแกไม่บอกว่า แกจะเอาบัตรเครดิตไปจ่ายค่าอะไร ชั้นจะคืนให้ได้ยังไง แล้วอีกอย่างเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่า ชั้นจะคืนให้ต่อเมื่อแกสอบเสร็จแล้ว”
“ผมขอยืมไปจ่ายค่าโรงบาลให้เพื่อนก่อน แล้วผมจะทำงานหาเงินมาใช้คืนพ่อ”
อิทธิพลแปลกใจ “อะไรนะ”
“แปลกใจอะไรนัก”
“แกเนี่ยนะจะทำงานหาเงินใช้ชั้น?”
“พ่อฟังไม่ผิดหรอก ผมเนี่ยแหละจะทำงานหาเงินมาคืนพ่อ นานหน่อย แต่ใช้คืนแน่ ตกลงจะคืนบัตรเครดิตให้ผมได้ยัง?”
“แล้วเพื่อนนักซิ่งของแกคนไหน ไปซิ่งรถจนแข้งขาหักจนต้องเข้าโรงพยาบาล”
“พ่อจะถามอะไรนักหนา ขอบัตรเอาไปใช้แค่วันเดียว คนเข้าโรงบาลไม่ใช่เพื่อนผม แต่เป็นพ่อของชน พ่อไม่เชื่อไปถามไอ้ธรรม์ดูได้ มันเพิ่งไปเยี่ยมพ่อของชนมา”
อิทธิพลแอบรู้สึกดี “แกรู้จักช่วยเหลือคนอื่นด้วยเหรอ”
“ตกลงจะคืนหรือไม่คืน”
อิทธิพลนิ่งคิดจนอิทธิฤทธิ์ดูไม่ออกว่าจะให้คืนหรือไม่ให้คืน
อิทธิฤทธิ์ยอมอ่อนลง “พ่อ..ผมขอร้องล่ะ” อิทธิพลยังนิ่ง “งั้นก็ไม่เป็นไร ผมคิดผิดไปจริงๆ”
อิทธิฤทธิ์โกรธพ่ออีก ด้วยความใจร้อนเขาจึงจะผลุนผลันออกไปแต่แล้วก็ต้องชะงัก
อิทธิพลเรียกไว้ “นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์หันกลับมาอย่างรำคาญหงุดหงิดใจแล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นอิทธิพลยื่นบัตรเครดิตคืนให้
อิทธิฤทธิ์รีบกระตุกบัตรเครดิตจากมือพ่อทันที แล้วเขาก็นึกได้จึงยกมือไหว้อย่างรวดเร็ว
อิทธิฤทธิ์ยังพูดเสียงแข็งอย่างรักษาฟอร์ม “ขอบคุณครับ”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปทันทีด้วยความดีใจ อิทธิพลพูดไล่หลัง
“คืนให้แค่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ ชั้นอนุญาตให้เอาไปจ่ายแค่ค่าโรงพยาบาลเท่านั้นนะ นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์ทำเป็นรำคาญ “รู้แล้วน่า!”
อิทธิฤทธิ์ตอบโดยไม่หันหลังไปมองแล้วก็แอบยิ้มดีใจเพราะรู้สึกดีกับพ่อขึ้นแต่อิทธิพลไม่ได้เห็นภาพนั้น
อ่านต่อตอนที่ 11