รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 3
ชนมนเดินนำอิทธิฤทธิ์ซอกซอนเข้ามาในตลาด อิทธิฤทธิ์หยุดที่หน้าร้านขายเป็ดย่าง ชนมนเดินย้อนกลับมาดึงอิทธิฤทธิ์ให้เดินต่อไป
อิทธิฤทธิ์นั่งหน้ามุ่ยๆ ทำหน้าเซ็งๆ ในขณะที่ชนมนนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ อิทธิฤทธิ์กับชนมนนั่งยองๆ อยู่ที่พื้นหน้าสาแหรกแม่ค้าขายขนมจีนน้ำยา ชนมนรับจานขนมจีนน้ำยาจากแม่ค้าแล้วส่งต่อให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์นั่งกินอย่างซังกะตายแต่แล้วก็รู้สึกว่าขนมจีนรสเด็ดไม่เบา
พ่อค้าขายน้ำถือถาดน้ำปั่นแก้วใหญ่น่ากินเดินผ่าน อิทธิฤทธิ์จะกวักมือเรียก ชนมนจับมืออิทธิฤทธิ์ให้ลดลง ชนมนตักน้ำจากกระติกน้ำใบใหญ่ที่มีป้ายติดไว้ว่า “น้ำฟรี” อิทธิฤทธิ์รับถ้วยพลาสติคใส่น้ำเปล่ามากินแก้ขัด
ชนมนส่งเงินยี่สิบบาทให้พ่อค้าแล้วรับลูกชิ้นปิ้งมาสองไม้ ชนมนส่งลูกชิ้นปิ้งไม้หนึ่งให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์รับไปกินอย่างเอร็ดอร่อย ชนมนกับอิทธิฤทธิ์เดินเที่ยวตลาดกลางคืนของสะพานพุทธซึ่งมีทั้งกองเสื้อมือสองขาย กระเป๋า เข็มขัด รองเท้าผ้าใบ หนังสือการตูนมือสอง ทุกแผงขายของติดป้ายราคา 20-50 บาท ชนมนกับอิทธิฤทธิ์เดินกินไอติมมาด้วยกันอย่างลืมความบาดหมางไปชั่วครู่
อิทธิฤทธิ์กับชนมนยืนอยู่ริมน้ำในบรรยากาศผ่อนคลาย อิทธิฤทธิ์นับเงินในมือ
“กินไปตั้งเยอะ ยังเหลือตั้งสามร้อย น่าจะพอค่าแท๊กซี่กลับบ้าน”
อิทธิฤทธิ์ยัดเงินใส่กระเป๋ากางเกงก็เห็นชนมนยืนมองมา
อิทธิฤทธิ์พูด “เออๆ รู้แล้วๆ ชั้นรู้แล้วว่า เงินทุกบาทมีค่าแค่ไหน เงินบาทนึงอย่างน้อยก็ซื้อน้ำเปล่ากินได้”
ชนมนไม่ตอบแต่ยังจ้องอิทธิฤทธิ์เพราะรอคำพูดอื่นมากกว่า
“เออๆ แล้วชั้นจะคืนเงินเธอให้ ห้าร้อยแปดบาท จะคิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้นะ เอาอย่างนี้ชั้นจะคืนให้เป็นสิบเท่าเลย ดีมั้ย หรือว่าต้องการให้ชั้นขอบคุณ ไหนว่า ไม่ต้องการคำขอบคุณไง”
“ชั้นไม่ต้องการให้นายขอบคุณชั้น แต่ชั้นอยากให้นายรับปากว่า ต่อไปนายจะตั้งใจเรียน..”
“ก็มันไม่อยากเรียน”
“แต่นายต้องเรียน เพื่อตัวนายเอง ชั้นไม่รู้หรอกนะว่า นายมีปัญหาอะไรแต่ทุกครอบครัวก็มีปัญหากันทั้งนั้น ไอ้การที่นายทำตัวงี่เง่า มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก ทำไมนายไม่พยายามสอบให้ได้เรียนให้จบ แล้วทีนี้นายอยากใช้ชีวิตยังไง ก็ไม่มีใครบังคับนายแล้ว”
“ไม่ต้องมาสอน !”
“เด็กมีปัญหา !” ชนมนว่า
“มีปัญหาแล้วทำไม อย่างน้อยชั้นก็มีเงิน ไม่ต้องทุเรศตัวเองที่จะต้องยอมทำงานทุกอย่างเพื่อเงิน แม้แต่งานห่วยๆสอนคนงี่เง่าอย่างชั้น เออ ชั้นรู้ค่าของเงินแล้ว ชั้นรู้แล้วว่า เงินซื้อศักดิ์ศรีของคนได้”
“นายอิท ! คนอย่างนายนี่ ทำบุญไม่ขึ้นจริงๆ”
ชนมนเดินออกไปด้วยความโมโห อิทธิฤทธิ์โมโหตัวเองเหมือนกันที่พูดดีกับชนมนไม่ได้สักที
ลูกค้าสองคนสุดท้ายเพิ่งเดินออกจากร้าน ชูชัยกำลังเช็ดทำความสะอาดบริเวณเตา ส่วนชนมนก็เก็บร้าน เช็ดโต๊ะไปพลางคิดเรื่องอิทธิฤทธิ์ ชินพัฒน์อ่านการตูนไปอีกมือก็กวาดร้านไป
ชนมนโพล่งออกมา “พ่อ การที่เราจะปราบผู้ชายซักคนเนี่ย ต้องทำไงเหรอ”
ชินพัฒน์ตาโตและหูผึ่ง เขาทิ้งไม้กวาดรีบวิ่งมาหาชนมน
“พี่ชนมีแฟนเหรอ หูย...ซุ่มนะเนี่ย ใครอ่ะ โชคร้ายชะมัด”
ยังไม่ทันที่ชินพัฒน์จะพูดจบ ชนมนก็เอาผ้าเช็ดโต๊ะดำปี๋โปะปิดปากชินพัฒน์
ชนมนดุ “ไม่ยุ่งซักเรื่องจะตายมั้ย”
ชินพัฒน์ปัดผ้าเช็ดโต๊ะออกเป็นพัลวันอย่างขยะแขยง
“เฮ้ย แหวะ ไม่ยุ่งก็ได้”
ชินพัฒน์เดินออกไปแล้วหันขวับมาตอแยต่อ เขาทำท่าวิเคราะห์จริงจังแต่กวนโทสะเหมือนคนหวังดีประสงค์ร้าย
“เจ๊พูดถึงผู้ชายคนไหนเหรอ ไปปิ๊งใครมาล่ะซิ ป้าแว่นหน้าโหดอย่างเจ๊เนี่ย” ชินพัฒน์มองอย่างประเมิน “อืม..ไม่มีใครเอาเป็นแฟนหรอก เชื่อไอ้ชินเหอะ อย่าฝันๆ”
“อยากจะโดนอีกใช่มั้ย !”
ชนมนคว้าจานที่มีข้าวเหลือขึ้นมา ชินพัฒน์หลบได้ทันแล้วก็วิ่งปรู๊ดเข้าหลังบ้านไป ชูชัยจ้องมองชนมนอย่างวิเคราะห์อีกคน
ชูชัยแอบทำเป็นดุ “ถามทำไม จะไปปราบผู้ชายที่ไหน มีใครมาจีบ”
“เปล่า ไม่มีใครมาจีบ เรื่องงานน่ะ พ่อ”
“ปราบผู้ชายน่ะเหรอ จะไปยากอะไร ผู้ชายมันก็แพ้อยู่อย่างเดียวนั่นแหละ”
“อะไรเหรอ พ่อ”
“ผู้หญิงไง!” ชูชัยบอก
ชนมนทำหน้าแปลกใจ
ชูชัยอธิบายต่อ “ผู้ชายน่ะต่อให้เคยเป็นเสือ ก็กลายเป็นแมวทุกคน ผู้ชายยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่ตัวเองรัก”
“แน่ะ พ่อแอบโรแมนติคกะเค้าด้วย”
ชูชัยยิ้มขรึม “มีแม่แกคนเดียวเท่านั้น ที่เปลี่ยนพ่อได้”
ชนมนมองชูชัยอย่างชื่นชมและเริ่มแน่ใจกับความคิดเรื่องที่จะดึงมณีมันตรามาช่วยเรื่องอิทธิฤทธิ์
เช้าวันใหม่ เมนี่กางมือสุดแขนกางกั้นไม่ให้แฟนคลับหลายสิบคนเข้าไปข้างในสนามยิงปืน กลุ่มแฟนคลับที่ถือของฝากคนละถุงสองถุงเบียดตัวกันจะเข้าไปให้ได้
“น้องๆ เข้าไม่ได้นะคะ น้องมาย่าซ้อมยิงปืน ต้องการสมาธิค่ะ”
แฟนคลับคนนึงบอก “พวกเราสัญญาว่า เข้าไปจะนั่งกันเงียบกริบเลยค่ะ”
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ต้องรอข้างนอก เป็นแฟนคลับน้องมาย่า ต้องเป็นไงเอ่ย?”
กลุ่มแฟนคลับตอบอย่างพร้อมเพรียง “ต้องรักและปกป้องน้องมาย่า”
เมนี่ชี้นำเหมือนลีดเดอร์เชียร์กีฬา “และต้องรักษา...?”
กลุ่มแฟนคลับพูดอย่างพร้อมเพรียง “..ระยะห่าง !”
“ถูกต้องค่า แล้วต้องเชื่อฟังพี่เมนี่ด้วยนะคะ ถอยไปๆค่ะ รออยู่ตรงนี้นะคะ อีกแป๊บนึง น้องมาย่าก็จะออกมาแล้ว”
กลุ่มแฟนคลับยอมถอยออกมา เมนี่รีบเก็บถุงของขวัญของฝากจากแฟนคลับ
“แฟนคลับน้องมาย่าน่ารักกันจริงๆ ขอบคุณนะคะๆ รับรองถึงมือน้องมาย่าแน่นอน”
ชนมนเดินดุ่มๆมุ่งตรงเข้ามาแบบไม่ได้สนใจใคร เมนี่ที่กำลังโกยของฝากอยู่หันขวับมาดึงตัวชนมนไว้
“นี่น้องคะ พี่เมนี่บอกแล้วว่า เข้าไม่ได้”
“เออ..หนูมีธุระกับมาย่าน่ะค่ะ หนูขอเวลาแป๊บเดียว” ชนมนบอก
เมนี่กัดฟันทำดีด้วย “พี่เมนี่บอกแล้วนะให้รออยู่ข้างนอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องตามมาเจอข้างนอกหรอก หนูเข้าไปเองได้”
เมนี่ลืมตัวจึงดุใส่ “ไม่ใช่ย่ะ” เมนี่รู้สึกตัว “เออ..ไม่ใช่ค่ะ น้องฟังผิดแล้ว น้องต้องรออยู่ข้างนอกนะคะ แฟนคลับของน้องมาย่าต้องไม่ดื้อนะคะ”
“หนูไม่ใช่แฟนคลับค่ะ หนูรู้จักกับมาย่า”
กลุ่มแฟนคลับลุกฮือขึ้นทันที “เราก็รู้จัก”
ชนมนสะดุ้งมองกลุ่มแฟนคลับอย่างสยองเพราะเกรงในความแรง
“หนูรู้จักกับหมวดธรรม์” ชนมนบอก
กลุ่มแฟนคลับสวนกลับทันที “เราก็รู้จัก”
ชนมนงงงัน “รู้จักได้ไง”
“อย่าว่าแต่ชื่อครูสอนยิงปืนของน้องมาย่าเลย ครูของน้องมาย่าตั้งแต่สมัยอนุบาลประถมมัธยม แฟนคลับทุกคนรู้จักหมด”
เมนี่ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิก่อนจะหันไปหาหมู่มวลแฟนคลับ
“น้องๆคะ เริ่มได้ค่ะ อนุบาล 1...”
แฟนคลับพูดต่อ “อนุบาล 1 ครูศิริ”
“อนุบาล 2 ครูพรสรรค์”
“ป.1 ครูสุนันทา”
“ครูศรีนันทาต่างหากล่ะ”
“ไม่ใช่ๆ ครูสุนันทาน่ะถูกแล้ว”
“ครูศรีนันทาแน่นอน อย่าเถียง”
“ครูสุนันทา !”
แฟนคลับทะเลาะกันเอง “ครูศรีนันทา”
แฟนคลับเริ่มแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้วยืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเพื่ออวดภูมิว่าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ เมนี่รีบเข้าแทรกกลางเพื่อสงบศึก
“น้องๆ คะ อย่าทะเลาะกันค่า อย่า”
ชนมนอาศัยช่วงชุลมุนรีบเดินเข้าไปข้างในอย่างเนียนๆ
มณีมันตราในชุดดำพร้อมเสื้อกันกระสุนกำลังซ้อมยิงปืนด้วยความคล่องแคล่ว เธอวิ่งหลบเข้าที่กำบังแล้วกลิ้งตัวออกมายิงหนึ่งนัดแล้วฉากตัวหลบเข้าไปที่กำบังใหม่ ธรรม์โผล่มาจากที่กำบังฝั่งตรงข้ามยิงปืนใส่มณีมันตรา มณีมันตราวิ่งออกมาจากที่กำบังพลางรัวกระสุนใส่ธรรม์อย่างไม่ยั้ง ธรรม์กระโดดหนีไปหลบพลางยิงโต้กลับด้วยท่าแอคชั่นเท่ๆตามสไตล์หนังแอคชั่น
อยู่ๆชนมนก็โผล่พรวดเข้ามาด้วยหน้าตาเหรอหราอยู่กลางสนามซ้อม ธรรม์กับมณีมันตราได้จังหวะออกจากที่กำบังเข้าประจันหน้าเล็งปืนใส่กันพอดี ชนมนที่ยืนอยู่กลางปืนสองกระบอกเล็งมาตกใจจึงยกสองมือยอมแพ้ทันที
“อย่ายิงค่ะ อย่ายิง”
“พี่ชน ! มาได้ไงคะ”
ธรรม์กับมณีมันตรารีบลดปืนลง ชนมนโล่งใจแต่ยังยกทั้งสองมือค้างอยู่
มณีมันตรานิ่งคิดหลังจากได้รับข้อเสนอจากชนมนให้ไปเรียนกับอิทธิฤทธิ์ ชนมนมองอย่างลุ้นๆ ธรรม์ที่กำลังเก็บปืนใส่กล่องก็แอบลุ้นตามเหมือนกัน
“มาย่าตกลงเถอะนะ พี่อยากให้มาย่ามาติวด้วยจริงๆ ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าติวล่ะก็” ชนมนกลั้นใจ “พี่ลดให้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลย” ชนมนตัดใจ “หรือติวฟรีให้ก็ได้”
“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะ”
ธรรม์รู้ใจ “ยังโกรธอิทอยู่เหรอ”
“เมื่อวานอิทเค้าเสียใจมากเลยนะ เออ..เค้าก็ขอโทษมาย่าแล้วไม่ใช่เหรอ” ชนมนยิ้มเจื่อน “เออ..เผอิญพี่ได้ยินอิทเค้าพูดทางโทรศัพท์”
“ย่ากลัวว่า ถ้าย่าไปเรียนด้วย อิทจะยิ่งไม่ตั้งใจเรียนน่ะซิคะ”
“อิทจะยิ่งตั้งใจเรียนมากขึ้นซิไม่ว่า มีมาย่าคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะปราบเสือให้เป็นแมว เอ๊ย จะทำให้อิทตั้งใจและมีสมาธิเรียนมากขึ้น”
มณีมันตรายังนิ่งคิดไม่แน่ใจ ชนมนเริ่มใจแป้ว
ธรรม์พูดกล่อม “ไปเรียนกับชนเถอะ มาย่าก็ต้องลงเรียนซัมเมอร์ด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จะได้เรียนล่วงหน้าไปด้วย แล้วก็จะได้ช่วยชนคุมนายอิทด้วย ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย”
มณีมันตราเปลี่ยนใจได้ทันทีมองธรรม์อย่างชื่นชม
มณีมันตราดีใจ “พี่ธรรม์รู้ด้วยเหรอคะว่า ย่าลงเรียนซัมเมอร์”
ธรรม์ล้อ “พี่ก็เป็นแฟนคลับมาย่าเหมือนกันนะ”
“โอเคค่ะ พี่ชน ย่าจะไปติวกับพี่ชน”
เมนี่พูดเสียงดังลั่น “ไม่ได้ค่ะ น้องมาย่าจะไปไหนไม่ได้”
ทุกคนหันไปมอง เมนี่รี่เข้ามาอย่างจอมบงการ
“น้องมาย่าจะไปไหน จะไปทำอะไร ต้องบอกพี่เมนี่ทุกครั้ง จำไม่ได้หรือคะ”
เมนี่หันไปปะหน้ากับชนมน
“เอ๊ะ น้องคนนี้ เข้ามาจนได้นะ พี่เมนี่ขอไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ ทำไมดื้อด้านอย่างนี้คะ เชิญออกไปเดี๋ยวนี้นะคะ ออกไปค่ะ”
“นี่พี่ชนค่ะ พี่เมนี่ พี่ชนเป็นติวเตอร์ของหนู ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหนูจะต้องไปติวกับพี่ชน พี่เมนี่ล็อคเวลาให้หนูด้วย หนูขอแค่จันทร์พุธศุกร์” มณีมันตราบอก
เมนี่ขัดขึ้นมาทันที “ไม่ได้ค่ะ คิวเต็ม ! ไม่มีการติวที่ไหนทั้งนั้น”
ชนมนหน้าเสียและผิดหวังอย่างแรง
เมนี่ลากมณีมันตราเดินจ้ำออกมาอย่างรวดเร็วเพราะทำเวลา
“พี่เมนี่คะ หนูจำเป็นต้องไปติวกับพี่ชนจริงๆนะคะ วิชาที่หนูจะลงซัมเมอร์ยากมากๆ เลย ถ้าหนูไม่ติว หนูสอบไม่ผ่านแน่ๆ”
ชนมนกับธรรม์เดินจ้ำตามมาทัน ธรรม์ขวางทางไว้
“แล้วถ้ามาย่าสอบตก คุณไม่คิดเหรอว่า มาย่าจะเสียอิมเมจ ทีนี้งานดีๆ ได้หลุดมือแน่”
“ใช่ๆ” ชนมนสนับสนุน “แล้วที่มาย่ามีแฟนคลับเป็นแสนๆ ก็เพราะเค้ารักที่มาย่าเป็นเด็กดีสวยน่ารัก เล่นละครเก่ง แล้วก็ยังเรียนเก่งอีกด้วย แล้วถ้าให้หนูช่วยติวนะ รับรองมาย่าได้เกียรตินิยมแน่ๆ”
“ชีวิตของมาย่าไม่ได้มีแต่งานนะ คุณเมนี่ เรื่องเรียนก็สำคัญกับมาย่าเหมือนกัน มาย่าเป็นไอดอลของเด็กๆ อยู่ ถ้าหากมาย่าได้เกียรตินิยมเด็กๆจะต้องอยากเรียนเก่งเหมือนมาย่า แล้วรับรองโครงการอะไรต่อมิอะไรจะต้องมาขอให้มาย่าเป็น พรีเซ็นเตอร์ให้ คิดดูว่า ต่อไปมาย่าจะทำประโยชน์ให้สังคมได้มากแค่ไหน”
เมนี่คิดจะไปอีกทาง แต่เธอรีบคำนวณว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้างถ้าหากมาย่าเรียนดีเลิศ
เมนี่คิดอย่างรวดเร็ว “เกียรตินิยม ไอดอล พรีเซ็นเตอร์โฆษณา แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ เผลอๆอาจโกอินเตอร์” เมนี่พูดเสียงดัง “เข้าใจแล้วค่า ผลประโยชน์มากมายมหาศาลเลยทีเดียว โอเค น้องมาย่าไปติวได้ คิวที่ต้องทำเวิร์คช็อปกับหมวดธรรม์ ก็แบ่งไปติวกับหนูแว่นนี่ล่ะกัน”
มณีมันตราหน้าหงอยขึ้นมาทันที ธรรม์หน้าเสียไปหน่อยแต่ก็ยังรักษาอาการได้
“เป็นอันว่าหมดปัญหานะคะ ไปค่ะ น้องมาย่า ยิ้มค่ะ ยิ้ม อย่าทำหน้าเหนื่อยซิคะ เหนื่อยก็ต้องยิ้มค่ะ”
เมนี่พาตัวมณีมันตราเดินออกไป กลุ่มแฟนคลับกรูเข้ามาถ่ายรูปมณีมันตราด้วยความชื่นชอบทั้งๆที่เป็นแฟนคลับขาประจำที่เจอกันทุกวันอยู่แล้ว
ชนมนและธรรม์เดินออกมาด้วยกัน มณีมันตราถูกรุมล้อมด้วยกลุ่มแฟนคลับโดยพูดคุยกันมาอย่างกันเองเลยเดินมาได้อย่างช้าๆ เมนี่เดินล่วงหน้าไปเปิดรถตู้รอแล้วฉีกยิ้มอย่างอดทนแม้จะรำคาญแฟนคลับเต็มทน ชนมนกับธรรม์หันไปมองมณีมันตราที่ยิ้มหัวเราะกับกลุ่มแฟนคลับ
“เห็นแล้วเหนื่อยแทนนะคะ ไปไหนก็มีแต่คนรุมล้อม เห็นว่าวันนี้มีงานอีเว้นท์ต่ออีก แล้วจะมีแรงไปติวกับชนหรือเปล่าเนี่ย” ชนมนว่า
“ไม่ต้องห่วง มาย่าสู้อยู่แล้ว งานหนักแค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งเรื่องเรียน” ธรรม์บอก
“แต่อีกคน..เรียนก็ไม่เรียน เอาแต่ซิ่งมอเตอร์ไซค์ หาสาระไม่ได้”
“พี่เชื่อว่าชนจะทำให้นายอิทตั้งใจเรียนได้แน่ เข้าใจคิดนะ ที่ดึงมาย่าไปเรียนกับอิทด้วย”
ชนมนยิ้มดีใจที่ธรรม์ชม ถึงจะแค่ชมนิดเดียวแต่เธอก็ตัวพองเพราะปลื้มธรรม์อยู่แล้ว
“ชนต้องขอบคุณพี่ธรรม์ด้วย ถ้าไม่ได้พี่ธรรม์ ชนคงเกลี้ยกล่อมมาย่าไม่สำเร็จ ไงก็อย่าทิ้งกันนะ ช่วยๆกันไปก่อน”
“ไม่ทิ้งหรอก ว่างๆ พี่อาจจะขอไปติวด้วยนะ” ธรรม์ล้อ “ได้ข่าวว่าติวเตอร์ชนเก่งมาก แต่ดุชะมัด ขนาดถึงกับจะจับลูกศิษย์เข้าคุกกันทีเดียว”
ชนมนหัวเราะ “ลูกศิษย์ไปซิ่งถูกตำรวจจับเองนะคะ ติวเตอร์ไม่เกี่ยว”
มณีมันตราถือถุงขนมเต็มสองมือเดินเข้ามา เธอชะงักไปนิดที่เห็นธรรม์กับชนมนยิ้มขำกันอยู่
“พี่ธรรม์”
มณีมันตราจะส่งถุงขนมให้ธรรม์แล้วก็เปลี่ยนใจส่งให้ชนมนก่อนอย่างแก้เขิน
“เออ..พี่ชน เอาขนมไปทานนะคะ นี่ของพี่ชน แล้วนี่ก็ของพี่ธรรม์”
มณีมันตราส่งถุงขนมให้ชนมนกับธรรม์
“ของแฟนคลับไม่ใช่เหรอ จะดีเหรอคะ” ชนมนเกรงใจ
“แฟนคลับของย่าไม่ว่าหรอกค่ะ พวกพี่ๆเค้าให้ทีละเยอะๆ เวลาย่าไปถ่ายละครก็แบ่งให้กับพี่ๆที่กองด้วย แฟนคลับเข้าใจอยู่แล้ว”
“แต่พี่ไม่ชอบกินขนม ชนเอาไปทานเถอะ” ธรรม์บอก
ธรรม์ส่งถุงขนมให้ชนมน มณีมันตรามองตามตาละห้อยด้วยความเสียใจ
“แล้วนี่รถซ่อมเสร็จหรือยัง”
ชนมนยิ้มแหยๆ “สงสัยยังค่ะ ลุงมอเตอร์ไซค์แกหายไปเลยล่ะค่ะ”
ธรรม์ขำ “พี่ว่าลุงมอเตอร์ไซค์ย้ายวินหนีชนไปแล้วล่ะ”
ชนมนขำด้วย “ชนก็ว่างั้นเหมือนกัน”
มณีมันตรามองธรรม์กับชนมนอย่างตามไม่ทันว่าทั้งสองคุยเรื่องอะไร
“พี่ไปส่งชนก่อนนะ มาย่า วันนี้ย่าเก่งขึ้นเยอะเลย”
“พรุ่งนี้เจอกันนะ” ชนมนบอก
“พี่กลับนะ แล้วเจอกัน”
ธรรม์กับชนมนเดินออกไปด้วยกัน ธรรม์นึกได้ก็ดึงถุงขนมทั้งหมดมาถือไว้เอง ธรรม์กับชนมนเดินคุยกันไปหัวเราะกันไปห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังได้ยินเสียงดังแว่วๆ
“เฮ้ย จริงเหรอ ! พุ่งชนกองขยะเลยเหรอ ทำไมไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”
“ก็มันน่าอายนี่คะ”
มณีมันตรามองตามอดน้อยใจไม่ได้ทั้งเรื่องที่ธรรม์ไม่รับถุงขนม ธรรม์รู้เรื่องที่มอเตอร์ไซค์ของชนมนเสียก็สงสัยว่าไปรู้ตอนไหนและสองคนก็คุยเรื่องที่รู้กันเองอย่างสนิทสนม
มณีมันตราพึมพำด้วยความน้อยใจ “ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ”
เมนี่ซอยเท้ายิบๆเข้ามาดึงตัวมณีมันตรา
“ไปได้แล้วค่ะ น้องมาย่า”
“พี่เมนี่เอารถเข้าศูนย์บ้างหรือเปล่าคะ”
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วง พี่เมนี่เอารถเข้าเช็คระยะเป็นประจำ”
“ไม่ต้องเช็คบ้างก็ได้นะคะ” มณีมันตราพึมพำ “เผื่อรถเสีย จะได้มีคนไปส่งบ้าง”
มณีมันตราเดินไป เมนี่งงเพราะตามไม่ทัน
เช้าวันใหม่ ชนมนอ่านหนังสือให้อิทธิฤทธิ์ฟัง อิทธิฤทธิ์เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างซังกะตาย
ชนมนอ่าน “กรณีผู้ทรงเช็คถึงแก่ความตาย สิทธิในเช็คย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท”
ชนมนเหลือบตาขึ้นจากหนังสือเห็นอิทธิฤทธิ์นั่งเหม่อ
“ฟังอยู่รึเปล่า”
อิทธิฤทธิ์พูดเซื่องๆ “ฟัง…”
“ชั้นพูดว่าอะไร”
อิทธิฤทธิ์ซึม
“ฟังอยู่รึเปล่า…” อิทธิฤทธิ์พูด
“ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้น ที่ชั้นอ่านจากหนังสือน่ะ”
อิทธิฤทธิ์พูดอย่างซึมเซา “สิทธิในเช็คย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท”
ชนมนอ่านต่อ อิทธิฤทธิ์ยังเหม่อต่อแบบใจลอยไปไกล
“เมื่อต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทายาทจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค” ชนมนเหลือบตาขึ้นมอง “เข้าใจรึเปล่า”
อิทธิฤทธิ์เบื่อ “เข้าใจ…”
“เข้าใจว่าไง”
อิทธิฤทธิ์หน่ายใจ “เข้าใจตามที่อ่านนั่นแหละ”
“ตอบให้มันกระฉับกระเฉงหน่อยได้มั้ย”
อิทธิฤทธิ์เบนสายตามามองชนมนอย่างไร้ความหมายแล้วก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างอ่อนใจวางหนังสือลงเพราะเริ่มจะถอดใจ
มณีมันตราพูดเสียงหวานใส “สวัสดีค่ะ พี่ชน”
เหมือนมียาวิเศษมาชุบชีวิต อิทธิฤทธิ์ตาสว่างสดชื่นขึ้นทันที เขาหันขวับมาเจอมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์ดีใจ “มาย่า!”
มณีมันตรากับชนมน “ขอเรียนด้วยคนนะคะ”
มณีมันตรานั่งลงข้างๆ อิทธิฤทธิ์โดยนั่งตัวตรงเตรียมตัวเรียนไม่เหลือบมองอิทธิฤทธิ์แม้แต่น้อย
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรานั่งเรียนอยู่ด้วยกัน ชนมนอ่านตัวบทกฎหมายไป อิทธิฤทธิ์มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าสดใสผิดจากเมื่อกี้เป็นคนละคน เขาคอยมองแต่มณีมันตราโดยไม่ได้สนใจติวเลย
มณีมันตราตั้งใจเรียนโดยก้มหน้าจดทุกอย่างที่ชนมนติว อิทธิฤทธิ์เห็นมณีมันตราไม่ยอมสนใจ เลยหันไปเล่นไอโฟน มณีมันตราเหลือบมองอิทธิฤทธิ์อย่างอ่อนใจ
มณีมันตราตั้งใจฟังชนมน อิทธิฤทธิ์เอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ มณีมันตราแล้วยกไอโฟนขึ้นมาถ่ายรูปคู่ มณีมันตราหันมาจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์โดยทำหน้านิ่งใส่ อิทธิฤทธิ์ถอยออกมาอย่างเกรงๆ เพราะรู้ว่ามณีมันตรายังโกรธอยู่
มณีมันตราพลิกหาคำตอบในหนังสือเพื่อตอบคำถามชนมน ในขณะที่อิทธิฤทธิ์ใส่หูฟังกำลังฟังเพลงจากไอโฟนอยู่ เขาทำใจกล้าหน้าด้านถอดหูฟังอีกข้างหนึ่งใส่หูของมณีมันตราเพราะอยากให้เธอฟังด้วย
มณีมันตราดึงหูฟังออกแล้วกระตุกหูฟังของอิทธิฤทธิ์ออกด้วย เธอชี้ไปที่หนังสือตรงหน้า อิทธิฤทธิ์ดึงหนังสือมาเปิดแล้วก้มหน้าก้มตาอ่าน ชนมนยิ้ม
มณีมันตราเดินเข้ามารินน้ำจะดื่มพลางคุยมือถือกับเมนี่ไปด้วย
“ค่ะ ได้ค่ะ พี่เมนี่ ไม่ลืมค่ะ ไม่ลืม ตุ๊กตาหมีสำหรับงานประมูลพรุ่งนี้ งานวันเกิดพี่พู..หนูไม่ไปไม่ได้หรือคะ นั่นแหละค่ะ นักข่าวไปเยอะ หนูเลยไม่อยากไป โอเคๆค่ะ หนูต้องไปติวต่อแล้วล่ะค่ะ แค่นี้นะคะ”
มณีมันตรารีบกดมือถือปิดแล้วจะหยิบแก้วน้ำที่รินน้ำเสร็จ อิทธิฤทธิ์เข้ามาคว้าแก้วน้ำส่งให้ อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราอย่างอึกอักเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง
อิทธิฤทธิ์ชวนคุย “วันนี้เรียนสนุกดีเนอะ”
มณีมันตราเสียงดุ “นั่นเรียกว่าเรียนแล้วใช่มั้ย”
“ก็มันเบื่อ”
“เบื่อยังไงก็ต้องตั้งใจเรียน นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเธอแล้วนะ”
อิทธิฤทธิ์ขัด “รู้แล้วน่า”
มณีมันตราฉุนที่อิทธิฤทธิ์ไม่ได้สนใจเรื่องเรียนจริงจังจึงเดินผละไป อิทธิฤทธิ์รีบดึงตัวมณีมันตราไว้ ชนมนเดินเข้ามาชะงักหยุดฟังอยู่ห่างๆ
“อย่าโกรธซิ เธออยากให้ชั้นขอโทษ ชั้นก็ขอโทษไปแล้วไง”
มณีมันตราดึงมืออิทธิฤทธิ์ออกแล้วหันมามองหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างเย็นชา
“ถ้าไม่รู้สึกผิดจริง ก็อย่าขอโทษซะดีกว่า”
มณีมันตราเดินออกไป อิทธิฤทธิ์มองตามอย่างงุนงงเพราะไม่เข้าใจมณีมันตรา
“อะไรวะ ขอโทษแล้วจะเอาไงอีก”
ชนมนเดินเข้ามาหาอิทธิทฤทธิ์
“เป็นลูกผู้ชายอ่ะนะ ถ้ารู้ตัวว่าทำผิด ก็ต้องกล้าที่จะขอโทษต่อหน้าไม่ใช่ฝากข้อความผ่านโทรศัพท์ อย่างนั้นคนขี้ขลาดเค้าทำกัน” ชนมนว่า
อิทธิฤทธิ์สวน “ใครถาม?”
“แล้วที่ทำตัวเป็นแบดบอยเนี่ย คิดว่าเท่นักใช่มั้ย จะบอกให้นะ แบดบอยเป็นได้แค่กิ๊กเท่านั้นแหละ ไม่มีผู้หญิงสติดีๆคนไหนที่จริงจังยอมเป็นแฟนกับเด็กแว้นไร้อนาคตอย่างนายหรอก เปลี่ยนตัวเองซะ ไม่งั้นที่หวังอะไรไว้ ก็ลืมไปได้เลย มาย่าไม่มีวันมองนายแน่ นายอิทธิฤทธิ์”
ชนมนเดินออกไป อิทธิฤทธิ์ยืนอึ้งเพราะเถียงไม่ออกกว่าจะโต้กลับไปได้ชนมนก็เดินไปไกลแล้ว
“เฮ้ย..ชั้น..ชั้น” อิทธิฤทธิ์นึกอะไรไม่ออก “ชั้นไม่ได้เป็นเด็กแว้น ไม่ใช่โว้ย”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งเพราะคำพูดของชนมนกระแทกใจเขาอย่างแรง
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ชนมนพลิกหนังสือพลางจดลงสมุดเตรียมการสอนในครั้งต่อไปพลางมองไปที่ลูกศิษย์สองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบอยู่
อิทธิฤทธิ์ทำข้อสอบไปพลางมองมณีมันตราไปอย่างไม่มีสมาธิ
“มาย่า..มาย่า..เดี๋ยวคุยกันหน่อย”
มณีมันตราก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบโดยไม่สนใจอิทธิฤทธิ์
“มาย่า ชั้น..ขอ..”
ชนมนขัดจังหวะ “หมดเวลาแล้วล่ะค่ะ”
ชนมนดึงกระดาษข้อสอบจากมณีมันตราและอิทธิฤทธิ์
“วันนี้พอแค่นี้นะคะ คราวหน้าเราจะมาเฉลยข้อสอบกัน”
“ติวกับพี่ชนนี่ทำให้เรียนรู้เรื่องขึ้นตั้งเยอะ”
“มาย่า..”
ถนอมถือ Walkie Talkie เข้ามาขัดจังหวะ
“เรียนกันเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ คุณอิทคะ ป้ามีข่าวดีจะมาบอก”
เสียง Walkie Talkie ดังขึ้น
“วอ2 วอ2 มาถึงแล้วครับ”
“รถของผมใช่มั้ยครับ ป้าหนอม ป้าหนอมนี่น่ารักที่สุดเลย ขอบคุณนะครับ”
อิทธิฤทธิ์ตื่นเต้นดีใจจึงหอมถนอมฟอดใหญ่
“อุ้ย ไม่ใช่ ขอบคุณผิดคนแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ไม่สนใจฟังวิ่งปรู๊ดออกไปทันที
“คุณอิทของป้านี่รักรถยิ่งกว่าอะไรเลยนะคะ”
“ขาดรถเหมือนขาดใจเลยล่ะค่ะ พี่ชน แล้วนี่ใครไปรับรถให้อิทเหรอคะ”
ชนมนกับมณีมันตราหันไปมองถนอมรอคำตอบ
อิทธิฤทธิ์วิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความดีใจ
“เร็วๆ แดง”
แดงถือเสื้อแจ็คเก็ตวิ่งหน้าตาตื่นออกมา แดงรีบส่งเสื้อแจ๊คเก็ตให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์หยุดใส่เสื้อแจ็คเก็ตเตรียมซิ่งเต็มที่ เขามองหาว่ารถจอดอยู่ที่ไหน
อิทธิฤทธิ์ต้องชะงักกึกหน้าจากที่บานอยู่ก็เริ่มหุบ ธรรม์ยืนอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์เดินไปหาธรรม์อย่างช้าๆ ความกระดี๊กระด๊าหมดลงทันที ธรรม์ยื่นกุญแจรถให้ อิทธิฤทธิ์ยื่นมือไปรับแต่ธรรม์ยังไม่ให้กุญแจ
“ต้องพูดอะไรก่อน”
อิทธิฤทธิ์ไม่พอใจ “อย่าทำเหมือนชั้นเป็นเด็ก”
“นายก็อย่าทำตัวเป็นเด็กซิ ว่าไง ไม่อยากได้รถคืนหรือไง”
อิทธิฤทธิ์หงุดหงิด “ขอบใจ”
อิทธิฤทธิ์กระชากกุญแจรถจากมือธรรม์มาด้วยความเจ็บใจ ถนอมเดินออกมาส่งชนมนกับมณีมันตราที่กำลังจะกลับบ้าน มณีมันตราคุยมือถือมาตลอดทางด้วยท่าทางที่ยุ่งวุ่นวาย
“ค่ะ พี่เมนี่ หนูกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ไม่ต้องมารับค่ะ เดี๋ยว..เดี๋ยว..”
มณีมันตราหันไปเห็นธรรม์ที่กำลังเดินเข้ามาหา
“เดี๋ยวให้พี่ธรรม์ไปส่งก็ได้” มณีมันตราบอก
มณีมันตรากดปิดมือถือแล้วยิ้มประจบธรรม์
“นะคะ พี่ธรรม์ เดี๋ยวไปส่งย่าหน่อย”
อิทธิฤทธิ์โกรธที่มณีมันตราจะให้ธรรม์ไปส่ง เขารีบทำเป็นรับโทรศัพท์มือถือทันที
อิทธิฤทธิ์พูดมือถือเสียงดัง “เฮ้ย อีกแล้วเหรอ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ทุกคนหันไปมองอิทธิฤทธิ์แล้วก็พลอยตกใจไปด้วย
“เกิดเรื่องอะไรหรือคะ” ถนอมถาม
อิทธิฤทธิ์ไม่ตอบแต่ทำเป็นเดือดเป็นร้อนมากจนไม่มีเวลาตอบถนอม อิทธิฤทธิ์คว้ามือมณีมันตราแล้วดึงตัวเธอไป
“ไปช่วยไอ้เจ๋งกันหน่อย”
“เจ๋งเป็นอะไร เดี๋ยวซิ อิท เกิดเรื่องอะไร”
“ไม่มีเวลาแล้ว ไปด้วยกันก่อน ไป”
“มีเรื่องอะไร มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย” ธรรม์ถาม
อิทธิฤทธิ์ไม่สนใจฟังธรรม์ลากมณีมันตราไปที่รถมอเตอร์ไซค์
“เดี๋ยวก่อนซิ นั่นจะไปไหนกัน ย่าต้องไปทำงานต่อนะ”
ชนมนกับธรรม์รีบเดินตามไปแต่ไม่ทัน อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยมีมณีมันตราซ้อนท้ายออกไปแล้ว
“คุณพระคุณเจ้า ขอคราวนี้อย่าไปมีเรื่องอีกนะคะ คุณอิทขา” ถนอมว่า
ชนมนกับธรรม์มองตามไปด้วยความเป็นห่วง
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ มณีมันตราซ้อนท้ายมาด้วย
มณีมันตราร้อนใจ “เจ๋งถูกพ่อซ้อมอีกแล้วเหรอ”
อิทธิฤทธิ์ไม่ตอบอะไร เขาดึงมือมณีมันตราที่แตะตรงเอวให้กอดกระชับเขามากขึ้น มณีมันตราดึงมือกลับมาที่เดิม อิทธิฤทธิ์เร่งความเร็วซิ่งออกไป
มณีมันตราตกใจ “ว้าย”
มณีมันตรารีบกอดเอวอิทธิฤทธิ์ไว้แน่น
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ผ่านปากซอยที่มีป้าย “อู่ช่างเจ๋ง” ติดอยู่
“เลยแล้ว อิท ! นี่เธอจะไปไหนของเธอ” มณีมันตราถาม
อิทธิฤทธิ์ไม่ตอบและยังคงซิ่งรถต่อไป
“นี่เธอโกหกชั้นอีกแล้วใช่มั้ย”
มณีมันตราทั้งหยิกทั้งตีอิทธิฤทธิ์
“จอดเดี๋ยวนี้นะ อิท จอด”
อิทธิฤทธิ์ยังคงซิ่งรถต่อไป มณีมันตราทั้งตีทั้งหยิกอิทธิฤทธิ์จนเหนื่อยไปเอง
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถมอเตอร์ไซค์พามณีมันตราไปตามถนนสวยๆในกรุงเทพฯ ผ่านตลาดดอกไม้สวยๆ ผ่านถนนเลียบริมน้ำที่โรแมนติค ผ่านถนนสวยต้นไม้ใหญ่ๆ ผ่านตึกโบราณเก๋ๆ จนมณีมันตราเริ่มเพลิดเพลินกับการขี่รถเล่น
บรรยากาศจากช่วงเย็นผ่านสู่ช่วงค่ำ อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถพามณีมันตรามาที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา พระอาทิตย์เริ่มตกดินท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นโรแมนติค
รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่โดยมีหมวกกันน็อคของอิทธิฤทธิ์วางอยู่บนรถ มณีมันตราเดินไปหยุดอยู่ริมน้ำมองออกไปไกลๆ อย่างรู้สึกสบายใจเหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลก อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาหามณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์ยิ้มภูมิใจ “ชอบใช่มั้ยล่ะ วันหลังจะพามาบ่อยๆ”
มณีมันตราทำฟอร์ม “ก็งั้นๆแหละ”
มณีมันตรากลัวอิทธิฤทธิ์ได้ใจจึงหันขวับมาจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์
“อย่าคิดนะว่า จะพ้นผิดไปได้ บอกแล้วไงว่า”
อิทธิฤทธิ์พูดต่อประโยคให้ “ไม่ชอบคนโกหก ถ้าไม่โกหก แล้วเธอจะยอมมากับชั้นเหรอ แล้วชั้นจะมีโอกาส..โอกาสขอโทษเธอมั้ยล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ดึงมือมณีมันตรามากุมไว้
“มาย่า..ชั้นขอโทษนะ ชั้นจะไม่ทำผิดกับเธออีก”
“ขอโทษอย่างเดียวไม่พอ ต่อไปนี้เธอจะต้องตั้งใจเรียนด้วย”
“ได้ เพื่อเธอแล้ว ชั้นทำได้ทุกอย่าง”
“ไม่ได้ คิดอย่างนั้นไม่ได้ เธอต้องทำเพื่อตัวเธอเอง”
“เพื่อเธอ เพื่อชั้น เพื่อเราสองคน ชั้นจะตั้งใจเรียน ชั้นจะเรียนจบพร้อมเธอ ตามที่ให้สัญญาไว้ คนอย่างชั้นพูดคำไหนคำนั้น เราดีกันแล้วใช่มั้ย”
มณีมันตราแกล้งทำหยิ่งใส่ “ดีก็ได้”
อิทธิฤทธิ์ดีใจจึงเอามือจะโอบไหล่มณีมันตราแต่ไม่กล้าจึงได้แต่เอามือกอดคอมณีมันตราไว้เพื่อรักษาระยะห่างไว้เป็นแค่เพื่อน ทั้งสองคนยืนดื่มด่ำรับบรรยากาศดีๆ ด้วยกัน
“เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้นานแค่ไหนแล้วนะ..มาย่า..”
อิทธิฤทธิ์หันไปสบตากับมณีมันตราเพราะมีความสุขที่ได้อยู่กับมณีมันตราแค่สองคน ทันใดนั้นเสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ก็ดังสนั่นมาแต่ไกล อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราหันไปมอง ตี๋เล็กกับบ๊วยซิ่งรถมอเตอร์ไซค์มาแต่ไกล
อิทธิฤทธิ์บอกมณีมันตรา “กลับกันเถอะ”
อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตรากลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ตี๋เล็กกับบ๊วยซิ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้ ตี๋เล็กเห็นอิทธิฤทธิ์ก่อนแต่ไม่ทันเห็นชัดๆ มณีมันตรามากับอิทธิฤทธิ์ด้วย
ตี๋เล็กแซว “เฮ้ย ดูซิวะ เราเจอใคร”
บ๊วยพูดโง่ๆ “อ้าว ลูกพี่ไม่เห็นเหรอ ไอ้อิทไง ไอ้อิทธิฤทธิ์ ลูกนายตำรวจใหญ่ที่แข่งชนะลูกพี่มาทุกแมทช์”
“เออ ข้ารู้ว่า มันเป็นใคร” ตี๋เล็กพูดกับอิทธิฤทธิ์ “แหม มากับหญิงซะด้วย”
อิทธิฤทธิ์รีบจับมณีมันตราหันหลังหนีเพื่อไม่ให้ตี๋เล็กเห็นหน้า
“เฮ้ย ทำหวง ! อย่างนี้ยิ่งอยากเห็นหน้า” ตี๋เล็กว่า
“รีบขึ้นรถ”
อิทธิฤทธิ์รีบขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พลางใส่หมวกกันน็อค มณีมันตรารีบขึ้นซ้อนท้าย
“ขอดูหน้าหน่อยซิจ๊ะ น้อง อยากรู้ว่า แฟนไอ้อิทจะสวยแค่ไหน”
มณีมันตราลืมตัวหันมาจ้องหน้าตี๋เล็ก
“ชั้นไม่ใช่แฟนอิท”
“เฮ้ย! ดารานี่ ลูกพี่” บ๊วยว่า
ตี๋เล็กตะลึงจนอ้าปากค้าง
“ลูกพี่ๆ ดารา! ดารา”
อิทธิฤทธิ์ออกรถไปโดยมีมณีมันตราซ้อนท้าย ในขณะที่ตี๋เล็กยังอ้าปากค้างอยู่
“เฮ้ย ลูกพี่ มันไปแล้ว”
ตี๋เล็กเพ้อตาปรอย “น้องมาย่า...น้องมาย่าจริงๆหรือนี่”
“ใช่ น้องมาย่าจริงๆ ไอ้อิทพามาย่าไปโน่นแล้ว”
“น้องมาย่า..น้องมาย่าของพี่ตี๋เล็ก..”
บ๊วยเห็นตี๋เล็กพร่ำเพ้อไม่หายเสียที
“โทษนะ พี่”
บ๊วยยกมือไหว้หนึ่งทีแล้วตบหน้าผากตี๋เล็กไปหนึ่งเพี๊ยะเพื่อให้ตื่น ตี๋เล็กสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที
“เฮ้ย น้องมาย่าล่ะ ไปไหนแล้ววะ ฝันไปเหรอวะเนี่ย”
“ไม่ได้ฝัน ไอ้อิทพาน้องมาย่าไปแล้ว” บ๊วยว่า
“ตามไปสิวะ ข้าอยากถ่ายรูปกับเค้า! น้องมาย่าจ๋า รอพี่ตี๋เล็กด้วย”
ตี๋เล็กและบ๊วยรีบบึ่งรถตามไป
ตี๋เล็กขี่มอเตอร์ไซค์ไล่กวดอิทธิฤทธิ์อยู่พลางกดโทรศัพท์มือถือโดยใช้หูฟัง บ๊วยซิ่งรถตามมาอยู่ด้านหลัง
ตี๋เล็กพูดโทรศัพท์ “เฮ้ย เจอน้องมาย่าเว้ยเฮ้ย”
ตี๋เล็กซิ่งรถไปพร้อมกับยกมือชูขึ้นฟ้าด้วยความดีใจสุดๆ
ลูกน้องตี๋เล็กซึ่งอยู่ในแก๊ง T-ReX รับโทรศัพท์กันทีละคนเพราะต่างคนอยู่ต่างสถานที่กัน ลูกน้องทุกคนอึ้งตะลึงที่ได้ข่าวมณีมันตรา
ลูกน้องคนที่หนึ่งขับโชว์ท่าผาดโผนอยู่รับโทรศัพท์ทั้งๆที่อยู่ในท่านั้น
“หา มาย่า!”
ลูกน้องคนที่สองที่กินก๋วยเตี๋ยวอยู่ ถือตะเกียบที่ยังคีบลูกชิ้นจ่อที่ปาก
“หา มาย่า!”
ลูกน้องคนที่สามยืนฉี่ที่โถปัสสาวะในปั๊ม
“หา มาย่า !”
รถมอเตอร์ไซค์ของอิทธิฤทธิ์ที่มณีมันตราซ้อนท้ายกำลังแล่นหนีตี๋เล็กและบ๊วยที่ซิ่งรถตามมา อิทธิฤทธิ์เร่งความเร็วซิ่งหนี ตี๋เล็กและบ๊วยบิดเร่งตามมาจนตีขนานกับรถของอิทธิฤทธิ์ รถของตี๋เล็กกับรถของบ๊วยประกบรถอิทธิฤทธิ์ทั้งซ้ายและขวา
อิทธิฤทธิ์เร่งความเร็วเพิ่ม มณีมันตรากอดเอวอิทธิฤทธิ์แน่นอย่างหวาดเสียว อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถหนีหลุดจากตี๋เล็กและบ๊วยมาได้
รถของอิทธิฤทธิ์แล่นมาตามถนนใหญ่เพียงคันเดียวและดูเหมือนจะหลุดรอดมาได้แล้ว ทันใดนั้นรถมอเตอร์ไซค์ก็วิ่งออกมาจากตรอกทีละคันสองคันแล้วพากันวิ่งมุ่งสู่ถนนใหญ่รวมเป็นห้าสิบคันแล่นตามรถของอิทธิฤทธิ์ไป
อิทธิฤทธิ์เหลียวหลังไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์เป็นสิบๆคันแล่นตามมาอย่างน่าสยองขวัญ เขาบิดเร่งความเร็วหนีฝูงมอเตอร์ไซต์อย่างรวดเร็ว
อิทธิฤทธิ์ซิ่งหนีเข้าไปในซอย ตี๋เล็กซิ่งรถตามมาเห็นซอยเต็มไปหมดโดยไม่รู้ว่าอิทธิฤทธิ์เข้าซอยไหน ตี๋เล็กชี้โบ๊ชี้เบ๊ส่งสัญญาณให้ลูกน้องแก๊ง T-Rex แยกย้ายกันเข้าซอยต่างๆ หวังจะดักหน้าดักหลัง
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถรอดจากการตามของแก๊งได้อย่างเฉียดฉิว อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถออกมาจากซอยสู่ถนนใหญ่ แก๊งตี๋เล็กวิ่งมาจากคนละทิศละทางจากซอยต่างๆ และยังคงซิ่งรถตามอิทธิฤทธิ์ต่อไป
รถของพวกแก๊ง T-ReX วิ่งฉวัดเฉวียนใกล้จะเฉี่ยวรถคันอื่นบนท้องถนน เสียงบีบแตรดังลั่น ทันใดนั้นเสียงหวอตำรวจก็ดังขึ้น
อิทธิพลไม่พอใจที่ธรรม์ไปเอารถกลับมาให้อิทธิฤทธิ์ ขณะที่ชนมนและถนอมเอาใจช่วยอยู่ข้างๆ
“แกคิดอะไรของแก ถึงได้ไปเอารถกลับมาให้นายอิท น่าจะปล่อยให้ถูกยึดรถไปเลย ถ้ามันไม่ไปซิ่งรถ มันอาจจะเป็นผู้เป็นคนกับเค้าบ้าง”
“นายอิทไม่ได้ซิ่งรถเอาสนุกเหมือนพวกเด็กแว้นนะครับ เค้าแข่งรถเอาจริงเอาจริง การแข่งรถก็เหมือนการเล่นกีฬาอย่างนึงล่ะครับ ดีกว่าไปมั่วสุมทำอย่างอื่นนะครับ คุณพ่อ” ธรรม์ว่า
“แล้วนี่มันหนีเรียนไปแข่งรถที่ไหน” อิทธิพลถาม
“อุ๊ย คุณอิทติวกับหนูชนเสร็จแล้วถึงไปค่ะ แล้วก็ไม่ได้ไปแข่งรถนะคะนายเจ๋งโทรมาบอกว่ามีเรื่อง คุณอิทก็เลยรีบไปช่วย” ถนอมบอก
อิทธิพลไม่มีอะไรจะซักฟอกเรื่องอิทธิฤทธิ์ เขาหันมาทางชนมน
“แล้ววันนี้นายอิทตั้งใจเรียนหรือเปล่า”
ชนมนไม่รู้จะตอบยังไงจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ เพราะกำลังคิดคำตอบที่ฟังดูดีแต่ไม่โกหก
“ก็เออ..ก็โอเคค่ะ ท่าน” ชนมนตอบ
“นายอิทตั้งใจเรียนขึ้นกว่าเดิมครับ เพราะมีมาย่ามาติวเป็นเพื่อนด้วย” ธรรม์บอก
ชนมนมองธรรม์อย่างขอบคุณที่ช่วยเสริมให้ อิทธิพลพอใจและค่อยวางใจเรื่องอิทธิฤทธิ์
“ก็ดี หวังว่าวันนี้มันคงไม่ไปก่อเรื่องอะไรที่ไหนอีกนะ”
ธรรม์พูดหนักแน่น “รับรองครับ”
อิทธิพลเดินไปอย่างวางใจ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของธรรม์ก็ดังขึ้นเพราะเพื่อนตำรวจโทรมา
“ว่าไง” ธรรม์ตกใจ “อะไรนะ ! จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
อิทธิพลที่กำลังจะก้าวขึ้นข้างบนชะงักและหันมาหาธรรม์
ธรรม์พูดเกรงๆ “คือ..นายอิท..”
ชนมนกับถนอมตกใจเพราะรู้ว่าเกิดเรื่องกับอิทธิฤทธิ์แน่ๆ ธรรม์มองอิทธิพลอย่างหนักใจและกลัวแทนอิทธิฤทธิ์เพราะคราวนี้เป็นเรื่องใหญ่
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถที่มณีมันตราซ้อนท้ายมาตามถนน เขาหันไปมองด้านหลังก็เห็นตี๋เล็ก
บ๊วยและชาวแก๊งซิ่งรถไล่ตามมา โดยมีรถตำรวจและมอเตอร์ไซค์ตำรวจไล่กวดตามมาไม่ห่าง
“อิท ตำรวจ !”
“รู้แล้ว” อิทธิฤทธิ์บอก
“จอดเถอะ อิท จอด !
อิทธิฤทธิ์เร่งเครื่องแรงขึ้นจนมณีมันตราเกือบตกรถ เธอรีบกอดเอวอิทธิฤทธิ์ไว้ด้วยความตกใจ
อิทธิฤทธิ์ขี่รถด้วยความรวดเร็วเพื่อหนีตำรวจ แก๊งของตี๋เล็กตามมาทันจนเหมือนอิทธิฤทธิ์ซิ่งนำแก๊งนี้มา อิทธิฤทธิ์ซิ่งหนีตำรวจจนสลัดหลุดออกมาได้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นด่านตำรวจขวางทางอยู่ตรงหน้าโดยมีรถตำรวจและตำรวจนับสิบนายยืนรออยู่
อิทธิฤทธิ์ชะลอรถแล้วซิ่งข้ามเกาะกลางถนนไปอีกเลนนึงแล้วซิ่งหนีไป แก๊งเล็กซิ่งรถข้ามเกาะกลางถนนตามไปเป็นขบวน
อิทธิฤทธิ์ซิ่งตรงไปยัง 4 แยกเมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีรถตำรวจจอดขวางอยู่ เขาก็รีบเบนรถกระทันหันเพื่อขึ้นสะพานข้ามแยก แก๊งตี๋เล็กซิ่งตามขึ้นไปเป็นกระบวน บริเวณทางขึ้นสะพานไม่มีรถตำรวจตามมาทันซักคัน
ตี๋เล็กร้องออกมา “รอดแล้วเว้ย”
อิทธิฤทธิ์ต้องชะงักจอดทันที แก๊งตี๋เล็กจอดตาม ทุกคนต่างมองไปข้างหน้า
ตี๋เล็กตกใจ “เฮ้ย !”
ที่กลางสะพานมีรถตำรวจจอดขวางอยู่ 3-4 คันพร้อมด้วยรถขนนักโทษ อิทธิฤทธิ์รีบหันรถกลับหวังจะลงสะพาน แต่ยังไม่ทันได้ออกตัวรถตำรวจและมอเตอร์ไซค์ตำรวจแล่น 4-5 คันก็แล่นมาปิดทางขึ้นสะพานไว้ ตี๋เล็กถอดหมวกกันน็อคขยี้ตาตัวเองมองซ้ายขวาที่โดนตำรวจประกบ
“บรรลัยล่ะกู !”
อิทธิฤทธิ์ค่อยๆ ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วมองไปที่ตำรวจด้วยความหนักใจ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะ” อิทธิฤทธิ์จับมือมณีมันตราไว้อย่างปลอบใจ
บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความตึงเครียด ตำรวจวอ. รายงานกัน โดยที่ตำรวจอีกกลุ่มตรวจค้นนักซิ่งเพื่อหายาเสพติด และบางกลุ่มก็เข็นรถมอเตอร์ไซค์ไปรวมกัน
ตี๋เล็ก บ๊วยและชาวแก๊งเดินเรียงหน้ากระดานมาที่หน้ารถขนนักโทษ อิทธิฤทธิ์เดินรั้งท้ายโอบมณีมันตราให้ก้มหน้าต่ำๆไว้
“ไม่มีใครจำได้หรอก”
อิทธิฤทธิ์รีบถอดเสื้อแจ็คเก็ตคลุมศีรษะให้มณีมันตรา
ตำรวจ 3-4 นายเข้ามากวาดต้อนกลุ่มนักซิ่งทั้งหลาย กลุ่มนักข่าวอาญชกรรมนับสิบเข้ามาถ่ายรูปกันพรึ่บพรั่บ อิทธิฤทธิ์รีบโอบมณ๊มันตราเข้ามาใกล้อีก ตี๋เล็ก บ๊วย และกลุ่มนักซิ่งถอดเสื้อแล้วนอนคว่ำลงพื้นอย่างรู้งาน อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรายืนงงเพราะไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน
“เฮ้ย หน้าคุ้นๆ !” นักข่าวคนหนึ่งร้องออกมา
“ลูกผู้การอิทธิพลนี่ ! มีสก๊อยมาด้วย”
ตำรวจพูดกับอิทธิฤทธิ์ “ถอดเสื้อแล้วนอนลง ! ผู้หญิงแยกไปอีกคัน”
ตำรวจหญิงเข้ามาดึงมณีมันตราออกไปจากอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์รีบห้าม “เฮ้ย ไม่ได้นะ”
ตำรวจจับตัวอิทธิฤทธิ์ไว้
“เฮ้ย อย่าหนี”
ตำรวจหญิงจะดึงเสื้อแจ็คเก็ตออกจากหัวมณีมันตรา
“เอาออกก่อน จะค้นตัว”
อิทธิฤทธิ์ดิ้นรนเพราะพยายามไปช่วยมณีมันตรา ก่อนที่ตำรวจหญิงจะดึงเสื้อแจ็คเก็ตออกได้ ธรรม์ก็เข้ามาคว้าตัวมณีมันตราออกไปได้ก่อน
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
อิทธิฤทธิ์ดิ้นหลุดจากตำรวจได้ก็พรวดไปหามณีมันตรา แต่ธรรม์พาตัวมณีมันตราออกไปแล้ว มณีมันตราหันมามองอิทธิฤทธิ์ ตำรวจเข้ามาจับมืออิทธิฤทธิ์ไขว่หลังแล้วใส่กุญแจมือทันที อิทธิฤทธิ์รู้สึกอับอายขายหน้าที่มณีมันตรามาเห็นเขาในสภาพนี้ต่างกับธรรม์ที่มาแบบฮีโร่ ตำรวจอีกคนเข้ามาช่วยจับอิทธิฤทธิ์
“ไอ้นี่แหละตัวการ เป็นหัวหน้าแก๊ง อย่างนี้ต้องจับขังซะให้เข็ด”
“ไปๆ ไปขึ้นรถ”
ตี๋เล็ก บ๊วยและแก๊งทยอยกันปีนขึ้นรถขนนักโทษ อิทธิฤทธิ์หมดแรงทำอะไรอีกต่อไปแล้ว, ตำรวจดันตัวให้อิทธิฤทธิ์ตามแก๊งตี๋เล็กขึ้นรถไป
“ให้มันไวหน่อย ตอนนี้ล่ะทำอืดอาด ทีตอนซิ่งละเฟี้ยวฟ้าว เฟี้ยวฟ้าว”
อิทธิฤทธิ์ปีนขึ้นไปนั่งบนรถขนนักโทษแล้วนั่งก้มหน้า ในขณะที่รถแล่นออกไป
อิทธิฤทธิ์ที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่คนเดียวถูกตำรวจสองนายประกบตัวเข้ามา ตำรวจคนหนึ่งเอากุญแจมือออกให้อิทธิฤทธิ์ ตำรวจอีกคนจับมืออิทธิฤทธิ์ปั้มลายนิ้วมือทำประวัติ
ตำรวจจับอิทธิฤทธิ์เข้าห้องขังโดยขังรวมกับเด็กแว้นตัวจริงที่ทั้งดำ ทั้งกุ๊ย กลุ่มใหญ่ อิทธิฤทธิ์ยืนนิ่งและเริ่มสลด
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตำรวจพาลูกน้องตี๋เล็กบางส่วนเข้าไปในห้องขัง ลูกน้องคนหนึ่งนั่งอยู่กับแม่แก่ๆ ที่ร้องไห้ไม่หยุด
ลูกน้องอีกคนถูกพ่อลากตัวไปพลางตบตีด่าทอ ตี๋เล็กกับบ๊วยนั่งคอตกอยู่หน้าโต๊ะตำรวจเพราะกำลังถูกสอบปากคำอยู่ ตี๋เล็กกับบ๊วยยกมือไหว้ปะหลกๆ
“พวกผมไม่ได้แว้นจริงๆ นะครับ คุณตำรวจ” ตี๋เล็กปฏิเสธ
“เราขี่รถตามดูดาราเท่านั้น น้องมาย่า..” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กเอามือตะปบปิดปากบ๊วยทันที
“ไม่ใช่น้องมาย่าเว้ย น้อง..เออ..น้องมาม่า นักร้องวงโซกู๊ดไงครับคุณตำรวจ” ตี๋เล็กร้องเพลงมั่วๆประกอบ ‘So good , So good”
ตี๋เล็กร้องเพลง “I feel good” มั่วๆ พลางหันไปกระซิบกับบ๊วย
“เฮ้ย อย่าพูดถึงแฟนข้า เดี๋ยวเค้าจะเสียชื่อ”
บ๊วยพยักหน้าหงึกๆ บอกว่ารับรู้ ในขณะที่ตี๋เล็กหันไปปะเหลาะตำรวจใหม่
“พวกผมขี่รถตามน้องมาม่ากันน่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจซิ่งรถจริงๆ คุณตำรวจ ปล่อยพวกผมไปเถอะนะครับ”
เสียงอาป๊าดังขึ้น “ไม่ต้องปล่อยครับ คุณตำรวจ จับมันขังลืมไปเลย”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหันไปเห็นอาป๊ายืนหน้าทะมึนมองมาอยู่
ตี๋เล็กกับบ๊วยตกใจ “อาป๊า”
อาป๊าด่า “ไอ้ลูกเวร”
ตี๋เล็กกับบ๊วยพูดพร้อมกัน “ผมขอโทษ..”
อาป๊าพูดกับบ๊วย “เฮ้ย ลื้อไม่ใช่ลูกอั๊ว” อาป๊าพูดกับตี๋เล็ก “ทำไมเป็นคนอย่างนี้วะ วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง แล้วนี่ใจคอลื้อจะเอาให้ครบทุก สน. ในกรุงเทพและปริมณฑลเลยใช่มั้ย ไอ้เก๋าเจ้ง”
อาม้าเข้ามาขัดจังหวะ
“ถ้าอาตี๋เก๋าเจ้ง อาตี๋เป็นลูกลื้อ งั้นลื้อก็เก๋าเจ้ง เป็นหมาเหมือนกัน จะด่าอะไรให้รู้จักคิดหน่อย มันไม่เป็นมงคล ไป กลับ อาม้าจ่ายค่าปรับให้แล้ว”
ตี๋เล็กโผเข้าไปกอดอาม้าอย่างซาบซึ้งใจ
“อาม้า...ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ”
“ไปๆ กลับบ้าน อาม้าเตรียมน้ำใบทับทิมไว้ให้แล้ว จะได้ล้างซวย แล้วลื้อก็อย่าไปยุ่งกับพวกจิ๊กโก๋มันอีก จะได้ไม่มีเรื่องนะ อาตี๋ นะ” อาม้าบอก
“มันนั่นแหละเป็นตัวหาเรื่อง รักลูกจนหน้ามืดตามัว”
อาม้าประคองตี๋เล็กออกไป อาป๊าฮึดฮัดที่ทำอะไรไม่ได้ได้แต่ก็เดินตามไป
“แล้วผมล่ะ ลูกพี่” บ๊วยถาม
บ๊วยมองตามตาละห้อย ตี๋เล็กกอดกับอาม้าในขณะที่เดินออกไปอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง
อิทธิฤทธิ์นั่งเงียบอยู่มุมหนึ่งในห้องขัง กลุ่มเด็กแว้นรวมกลุ่มกันแยกกันไปอีกมุมหนึ่ง
“ครั้งแรกอ่ะดิ เดี๋ยวก็ชิน” เด็กแว้นคนหนึ่งปลอบ
“อยู่ซุ้มไหนวะ”
“เฮ้ย ถามแล้ว ไมไม่ตอบวะ”
อิทธิฤทธิ์พูดเบาๆ แต่กวน “ไอ้พวกกาก”
“ไอ้นี่..วอน”
กลุ่มเด็กแว้นลุกฮือ เด็กแว้นคนหนึ่งกระชากคอเสื้ออิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์สะบัดตัวหลุดจากเด็กแว้นท์
อิทธิฤทธิ์พูด “เด็กแว้นกากๆอย่างพวกแก ทำให้นักแข่งตัวจริงต้องเสียชื่อ ถ้าแน่จริง ไปแข่งกันในสนาม ไม่ใช่ซิ่งรถกวนเมืองทำให้คนเค้าด่าพ่อล่อแม่ ทำให้คนรักมอเตอร์ไซค์ต้องเน่ากันไปหมด”
“มึงก็แว้นเหมือนกันล่ะวะ ไม่งั้นมึงจะโดนจับเหรอ มันปากดีนัก สั่งสอนมันหน่อย”
กลุ่มเด็กแว้นกำลังจะรุมกระทืบอิทธิฤทธิ์ ทันใดนั้นตำรวจคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เฮ้ย ทำอะไร”
กลุ่มเด็กแว้นรีบปล่อยมือจากอิทธิฤทธิ์,ตำรวจคนหนึ่งอึกอักเล็กน้อยเพราะเพิ่งรู้ว่าอิทธิฤทธิ์เป็นลูกใคร
“นายอิทธิฤทธิ์มีคนมาประกันตัวแล้ว”
ชนมนกับธรรม์เดินเข้ามา อิทธิฤทธิ์เผลอดีใจ
อิทธิฤทธิ์เอ่ยถาม “..มาย่าเป็นไงบ้าง”
“ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะ” ชนมนว่า
“ไม่ต้องยุ่ง” อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “ชั้นถามว่า มาย่าเป็นไง ไม่ได้ยินหรือไง”
“ปลอดภัยดี” ธรรม์บอก
“งั้นก็ดีแล้ว มาประกันตัวชั้นไม่ใช่เหรอ ให้เพื่อนนายเปิดประตูสิ อยากกลับบ้านเต็มทนแล้ว รออะไรอยู่”
อิทธิพลเดินเข้ามาช้าๆ เขายืนมองจนอิทธิฤทธิ์จนรู้สึกขนลุก
อิทธิฤทธิ์พูดแทบไม่ออก “พ่อ..”
อิทธิพลเห็นอิทธิฤทธิ์อยู่ในห้องขังรวมกับพวกเด็กแว้นแลดูน่าอับอาย อิทธิพลพยักหน้าให้ตำรวจ ตำรวจรีบไขกุญแจเปิดประตูห้องขัง
อิทธิฤทธิ์ยืนมองอิทธิพลที่ยังนิ่งเงียบโดยยังไม่กล้าก้าวเท้าออกมา
อิทธิพลเดินหน้าเคร่งออกมา
ธรรม์กับชนมนเดินประกบตัวอิทธิฤทธิ์ตามออกมา นายตำรวจ 3-4 นายเดินออกมาส่งอิทธิพล กลุ่มนักข่าวกรูกันเข้ามาถ่ายภาพและยื่นไมโครโฟนสัมภาษณ์อิทธิพล
“ท่านคะ ลูกชายท่านเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กแว้นจริงรึเปล่าคะ”
“เห็นว่า ถูกจับมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็รอดมาได้ เพราะเป็นลูกชายท่าน”
“แล้วอย่างนี้ท่านจะแก้ปัญหาลูกชายยังไงคะ”
อิทธิพลเดินตรงไปที่รถโดยไม่ตอบคำถามใดๆ อิทธิฤทธิ์มองพ่อที่กำลังข่มอารมณ์อย่างหนักแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ธรรม์กับชนมนเครียด
มณีมันตราหมอบอยู่ในรถของธรรม์โดยโผล่หน้าออกมานิดๆ เพื่อดูสถานการณ์ เมื่อเห็นนักข่าวรุมล้อมกลุ่มอิทธิฤทธิ์อยู่มณีมันตราก็รู้สึกห่วงและกังวลมาก อิทธิพลเดินลิ่วๆ หลุดวงล้อมของกลุ่มนักข่าวไปได้โดยมีนายตำรวจช่วยกันนักข่าวให้ กลุ่มนักข่าวหันมาถ่ายรูปยิงแฟลชใส่อิทธิฤทธิ์ไม่ยั้ง
อิทธิฤทธิ์ยืนก้มหน้ารอให้อิทธิพลด่าสั่งสอน อิทธิพลยืนหันหลังให้โดยกำลังสะกดอารมณ์โกรธ ชนมนกับถนอมยืนอึ้งเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง อิทธิฤทธิ์อึดอัดใจกับอาการนิ่งของพ่อเป็นอย่างมาก
อิทธิฤทธิ์โพล่งออกมา “เออ..ผมรู้ว่า ผมทำให้พ่อขายหน้า ผมขอ..”
ธรรม์กับมณีมันตราเพิ่งตามเข้ามา อิทธิพลหันหน้ามาแล้วตบหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างแรงจนหน้าหัน
ถนอมตะลึง “คุณท่าน !”
อิทธิฤทธิ์ก้มหน้าอับอายที่ถูกตบหน้าต่อหน้าทุกคน มณีมันตราน้ำตาคลอด้วยความสงสาร อิทธิฤทธิ์กดเก็บความเจ็บปวดไว้ไม่แสดงออกมาแต่หันหามาจ้องหน้าพ่อ
อิทธิฤทธิ์พูด “ตบอีกสิ...”
ธรรม์ตกใจ “นายอิท”
“ผมมันเลวขนาดนี้ ทีเดียวไม่พอหรอก”
อิทธิพลโกรธที่อิทธิฤทธิ์ดูไม่สำนึก
อิทธิพลบอก “ได้ !”
อิทธิพลเงื้อมือจะตบอีกที ถนอมรีบมากอดอิทธิฤทธิ์ไว้
“พอแล้วค่ะ คุณท่าน คุณอิทสำนึกผิดแล้วล่ะ ใช่มั้ยคะ คุณอิท รีบขอโทษคุณพ่อสิคะ เร็วเข้า ขอโทษท่าน แล้วรับปากท่านซะว่า คุณจะไม่ก่อเรื่องอีก”
“พ่อตบผมไปแล้ว ทำไมต้องขอโทษด้วย” อิทธิฤทธิ์ว่า
อิทธิฤทธิ์เดินปึงปังออกไปโดยไม่กล้ามองหน้าใคร ถนอมรีบตามไปปลอบอิทธิฤทธิ์
“คุณพ่อครับ เป็นความผิดของผมเองที่ตามใจนายอิท ถ้าคุณพ่อจะทำโทษนายอิท ก็ต้องทำโทษผมด้วย” ธรรม์ว่า
“ที่จริงเป็นความผิดของหนูค่ะ อิทเค้าพยายามปกป้องหนู..” มณีมันตราบอก
“พอๆ ไม่ต้องแก้ตัวให้มัน ไม่มีใครบังคับให้มันไปซิ่งรถบนถนนจนถูกตำรวจจับ ถ้าจะผิดก็ผิดที่มันคนเดียว”
ชนมนมองทุกคนที่กำลังเคร่งเครียดแล้วก็พลอยเครียดร้อนใจไปด้วย
อิทธิฤทธิ์ที่กำลังโกรธแค้นใจเป็นที่สุดเดินเข้ามาในห้อง อิทธิฤทธิ์กำลังจะปิดประตู แต่ถนอมเดินตามเข้ามาทัน
“คุณอิทขา เจ็บมากมั้ยคะ”
ถนอมแตะหน้าอิทธิฤทธิ์ด้วยความสงสาร อิทธิฤทธิ์เบือนหน้าหนี
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
“คุณอิท..”
อิทธิฤทธิ์พูดอย่างเฉยชา “ผมไม่เป็นไรหรอก แค่โดนตบ เรื่องเล็ก”
อิทธิฤทธิ์ปิดประตูไม่ให้ถนอมตามเข้ามา ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าประตู หมูหวานเข้ามาคลอเคลียเลียมือเหมือนมาปลอบใจ อิทธิฤทธิ์เจ็บปวดใจน้ำตาของเขาไหลออกมาช้าๆ
อิทธิพลนั่งลงด้วยอารมณ์โกรธที่ลูกชายทำผิดแล้วผิดอีก ธรรม์กับมณีมันตราตามมาอธิบายเรื่องอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ลดละ โดยมีชนมนเดินตามมายืนฟังด้วย
“คุณพ่อครับ คราวนี้นายอิทไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ ถ้าคุณพ่ออยากรู้ว่าความจริงเป็นยังไง คุณพ่อก็ควรจะฟังมาย่า”
อิทธิพลนิ่งไปเหมือนว่าจะยอมรับฟังแล้ว
มณีมันตราพูด “อิทไม่ได้ตั้งใจจะไปซิ่งรถบนถนนนะคะ อิทขี่รถพาหนูไปเที่ยว แต่อยู่ๆ ก็มีพวกแก๊งมอเตอร์ไซค์ขี่รถไล่ตามเรา”
“เป็นแก๊งแข่งรถคู่แข่งของนายอิทน่ะครับ” ธรรม์เสริม
“อิทกลัวว่า หนูจะมีอันตรายก็เลยขี่รถหนี อิทไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตอย่างนี้เลยนะคะ”
“ไม่ว่ามันจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันก็เกิดเรื่องไปแล้ว” อิทธิพลว่า “ชั้นเป็นตำรวจ แต่ลูกชายดันทำผิดกฎหมายซะเอง แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความผิดครั้งแรกด้วย ชั้นหมดหวังกับไอ้ลูกคนนี้จริงๆ”
ชนมนเกรง “เออ..ถึงคุณอิทจะทำผิดแค่ไหน ท่านก็ทำรุนแรงเกินไปนะคะ”
“ถ้าชั้นไม่สั่งสอนมัน มันจะหลาบจำไม่ทำผิดซ้ำสองซ้ำสามมั้ยล่ะ ชั้นรู้ว่าชั้นควรจะจัดการกับลูกชั้นยังไง”
อิทธิพลเดินออกไปโดยยังโกรธอยู่ เขารู้ว่าอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทำผิดทั้งหมดแต่ก็ผิดอยู่ดี
ชนมนมองตามอิทธิพลด้วยความรู้สึกเห็นใจอิทธิฤทธิ์ที่มีพ่อดุและเข้มงวดขนาดนี้
อิทธิฤทธิ์ที่ยังอยู่ในชุดเดิมนั่งที่พื้นพิงเตียงอยู่ในห้องมืดสลัว ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เสียงชนมนดังขึ้น “ขอเข้าไปหน่อยนะ”
ชนมนเปิดประตูเดินเข้าไป อิทธิฤทธิ์ที่นั่งหันหลังรีบปาดน้ำตาแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตา
“นี่..นายอิท..”
อิทธิฤทธิ์พูดเบาๆ “ออกไป”
“เป็นไงบ้าง” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดังขึ้น “ออกไป”
“คุณพ่อนายไม่ได้ตั้งใจหรอก ท่านกำลังโกรธก็เลยทำอะไรไม่ทันคิด คราวนี้ทุกคนอยู่ข้างนายนะ ทั้งพี่ธรรม์ทั้งมาย่า..รวมทั้งชั้นด้วย มาย่าร้องไห้เลยตอนที่เห็นนาย..เออ..โดน...”
อิทธิฤทธิ์ลุกพรวดหันมาประจันหน้ากับชนมน
อิทธิฤทธิ์ตะคอก “ออกไป ! ชั้นไม่ต้องการความสงสาร”
ชนมนนิ่งอึ้งเห็นอิทธิฤทธิ์หน้าช้ำตาแดงก่ำหลังจากร้องไห้มาอย่างหนัก
“ออกไป! อย่ามายุ่งกับชีวิตชั้น ออกไป! ออกไป! ออกไป”
ชนมนรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของอิทธิฤทธิ์ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจ
“นายอิท..”
“ชั้นบอกให้ ออกไป”
อิทธิฤทธิ์ผลักชนมนให้ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าดังปัง อิทธิฤทธิ์ยืนพิงประตูด้วยความรู้สึกเสียใจที่ถูกพ่อตบและเสียหน้าที่ถูกมองเป็นคนน่าสงสาร
“โธ่เว้ย !”
อิทธิฤทธิ์ทุบประตูเต็มแรงอย่างระบายอารมณ์โกรธและเสียใจที่ปนเปกันไปหมด
ณ บ้านใหญ่โตที่ดูมีฐานะของตี๋เล็ก
อาป๊าโวยวาย “ฮวงซุ้ยบรรพชนเราสร้างผิดที่หรือยังไง อั้วถึงได้มีลูกเฮงซวยอย่างนี้”
อาม้าโวยกลับ “อย่ามา”เช้าชุ้ย” ปากเสียจริงๆ อาตี๋ไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย อีไม่ได้ไปแข่งรถ อีขี่รถตามดารา ตำรวจเข้าใจผิดไปเอง”
รูปดาราสาวจีนยุค 80 ประดับอยู่ที่บ้าน
อาป๊าโวยขึ้น “ชอบดารา แล้วต้องบ้าตามงั้นหรือ อั๊วชอบหมีเซี้ยะ อั๊วยังไม่บ้าเหมือนมันเลย ไอ้ลูกคนนี้ มันแปะยิ้งหรือเปล่าวะ”
บรรดาตุ๊กตาเชิดสิงโต ที่มีตัว “แปะยิ๊ง” หรือที่คนไทยเรียก “แป๊ะยิ้ม” ตั้งอยู่บริเวณนั้น
อาม้าพูดเสียงดัง “ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ ว่าลูกตัวเองปัญญาอ่อนได้ยังไง อัปมงคลจริงๆ อาตี๋เล็กทั้งหล่อทั้งเก่ง อีไปแข่งรถที่ไหนก็ไปกวาดรางวัลมาหมด”
ตี๋เล็กนั่งตาปรอยคิดถึงมณ๊มันตราอยู่ตรงกลางระหว่างอาป๊าอาม้า ในขณะที่อาป๊ากับอาม้าเถียงกันไปมาข้ามหัวตี๋เล็ก
“รางวัลบ้าอะไร แข่งกันเอง ซื้อรางวัลมาแจกกันเอง มีแต่เสียเงินเสียทอง ต่อไปนี้อั๊วจะไม่ให้มันไปขี่รถมอเตอร์ไซค์อีก ไอ้ตี๋เล็ก ! ลื้อต้องมาช่วยงานอั๊วที่ปั้มน้ำมัน”
อาม้าตอบให้แทน “ก็อาตี๋เล็กไม่อยากเป็นเด็กปั๊ม”
“ไม่อยากเป็น ก็ต้องเป็น พรุ่งนี้ไปช่วยโบกรถเข้าปั๊มก่อนเลย” อาป๊าพูดกับตี๋เล็ก “คราวนี้ห้ามเบี้ยวอีกนะ เข้าใจมั้ย”
ตี๋เล็กกำลังฝันหวานจึงไม่ได้ฟังอาป๊ากับอาม้าเถียงกันเลย
“เข้าใจแล้ว ผมรู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง”
ตี๋เล็กลุกพรวดขึ้นยืนด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ภาพในหัวของตี๋เล็กคือเขาซิ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้าเส้นชัยอย่างเท่
ภาพตี๋เล็กยืนบนแท่นอันดับ 1 โดยมีหรีดช่อมะกอกคล้องคอ มือของเขาชูถ้วยรางวัลใบใหญ่ ผู้คนโห่ร้องยินดี ช่างภาพถ่ายรูปรัวจนแสงแฟลชวิบวับ กระดาษสีโปรยปรายจนแทบมองอะไรไม่เห็น
มณีมันตราในชุดสาวพริตตี้รถแข่งสุดเซ็กซี่ถือขวดแชปเปญแหวกม่านของกระดาษสีเข้ามา ตี๋เล็กรับขวดแชมเปญจากมณ๊มันตราแล้วเขย่าขวดก่อนจะเปิดขวด สาดแชมเปญใส่ ผู้คนโห่ร้องยินดีปรีดาอีก มณีมันตรายิ้มหวานชื่นชมแล้วหอมแก้มตี๋เล็กไปหนึ่งที ก่อนจะขยับไปกระซิบที่ข้างหู
“สุดยอดไปเลยค่ะ พี่ตี๋เล็ก”
“คืนนี้ ไปขี่รถเล่นกันมั้ยจ๊ะ” ตี๋เล็กชวน
“เอาสิคะ”
มาย่าขยิบตาให้ตี๋เล็กปิ๊งๆๆ ตี๋เล็กส่งตาหวานแล้วเอาฟันขบกันใส่มณีมันตราเหมือนอยากจะขย้ำ
ตี๋เล็กยังคงฝันหวานต่อ
“น้องมาย่า...น้องมาย่าของพี่ตี๋เล็ก”
อาป๊าตบกะโหลกตี๋เล็กเข้าให้
“เฮ้ย ป๊า ตบหัวผมทำไม”
“อย่างลื้อตบทีเดียวไม่พอ มันต้องเบิ้ล ลื้อถึงจะได้มีสติ”
อาป๊าจะตบกะโหลกตี๋เล็กอีกทีแต่อาม้าจับมืออาป๊าไว้ทัน
“ลื้อตบหัวลูกอย่างนี้ได้ไง เดี๋ยวอีก็ก่งก๊งพอดี”
“อั๊วก็จะตบให้มันหายก่งก๊ง หายบ้าซะทีน่ะซิ ดูซิ มันเอาแต่นั่งยิ้มหวานเหมือนคนติงต๊อง อั๊วกลุ้มใจกับไอ้ลูกคนนี้จริงๆ”
“ผมจะเลิกขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว ป๊า”
อาป๊าดีใจ “หา เหล่าเอี๊ยะปอห่อ สวรรค์คุ้มครอง”
“ผมจะกลับตัวกลับใจเพื่อคนที่ผมรัก”
“เออดี..รู้จักกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ขอบคุณบรรพชนจริงๆ”
ตี๋เล็กประกาศก้อง “ต่อไปนี้ผมจะไม่ขี่รถเล่นๆอย่างไร้จุดหมายอีกต่อไป ผมจะจริงจังมุ่งมั่นกับการเป็นนักแข่งรถ ผมจะต้องได้เป็นแชมป์โลกคนต่อไป น้องมาย่าจะได้รู้ว่า พี่ตี๋เล็กคนนี้เป็นตัวจริง”
อาม้ามองตี๋เล็กอย่างชื่นชม อาป๊าอ้าปากค้างด้วยความกลุ้มใจ
“ไอ้ตี๋เล็ก ! ลื้อบ้าไปแล้วจริงๆ”
ตี๋เล็กไม่ได้ฟังอาป๊าพูดแม้แต่น้อย เขายืนยืดอย่างรู้สึกว่าตัวเองเท่มากๆ
อิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในชุดเดิมนั่งพิงพนักอยู่บนเตียง โดยมีหมูหวานนอนหมอบอยู่ใกล้ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วถนอมก็ถือถาดที่มีกล่องนม 2 กล่องกับแก้วเปล่าเข้ามา
“ผมไม่หิว”
“คุณอิทไม่หิว แต่หมูหวานหิวนี่คะ”
ถนอมเอากล่องนมเทใส่ชามของหมูหวานที่อยู่มุมห้องแล้วทำเป็นพูดกับหมูหวานแต่ที่จริงพูดกับอิทธิฤทธิ์
“หิวแล้วใช่มั้ย ลูก หิวก็กินซะนะ ป้าจะเอานมของหนูไว้ตรงนี้นะ ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็มาเทกิน เอ๊ย มากินได้เลย หมูหวาน โกรธใครแค่ไหน ก็ต้องกินนะ ถ้าหิวก็จะยิ่งโกรธ หัวเสียคิดอะไรไม่ออก วันนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก พรุ่งนี้ค่อยมาคิดกันใหม่ เนอะๆ”
ถนอมวางกล่องนมกับแก้วเปล่าไว้บนโต๊ะโดยจัดเตรียมให้อิทธิฤทธิ์ ถนอมจะเดินออกไปเพราะรู้ใจจึงไม่อยากเซ้าซี้อิทธิฤทธิ์อีก
อิทธิฤทธิ์โพล่งออกมา “ป้าหนอม..ทำไมพ่อเกลียดผมนัก”
ถนอมน้ำตาแทบร่วงในขณะโผเข้ามาหาอิทธิฤทธิ์
“โถ..คุณอิท..คุณท่านไม่ได้เกลียดคุณอิทนะคะ”
“พ่อเกลียดแม่ พ่อก็เลยเกลียดผมด้วย แล้วทำไมพ่อไม่ให้แม่พาผมไปด้วย เกลียดผม แล้วเลี้ยงผมไว้ทำไม”
“คุณอิทฟังป้านะ คุณพ่อไม่ได้เกลียดคุณอิท ทุกอย่างที่ท่านทำ ท่านทำเพื่อคุณอิท แล้วซักวันคุณอิทก็จะเข้าใจเอง ป้าบอกได้แค่นี้แหละ ดื่มนมแล้วก็นอนซะเถอะนะคะ พรุ่งนี้เช้าก็เป็นวันใหม่แล้ว”
ถนอมกอดอิทธิฤทธิ์เพื่อปลอบใจแล้วเดินออกไป
“ไม่เข้าใจ..ยังไงผมก็ไม่เข้าใจ !”
อิทธิฤทธิ์นึกถึงตอนที่อิทธิพลตบหน้าเขาอย่างแรง
เมื่อนึกถึงภาพนั้นอิทธิฤทธิ์ก็ยิ่งโกรธเกลียดพ่อตัวเองมากยิ่งขึ้น
ภาพในอดีต อิทธิฤทธิ์วัย 7 ขวบวิ่งเล่นเตะบอลในสนามหน้าบ้าน เขาสะดุดขาตัวเองหกล้มหน้าทิ่ม อิทธิฤทธิ์หน้าเบ้ด้วยความเจ็บแต่ก็กัดฟันไม่ยอมร้องไห้
ชายกระโปรงสีหวานขยับเข้ามาใกล้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์เงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มแหยๆให้ นฤดี แม่ที่สวยหวานและใจดีก้มลงมองเขา
“เจ็บตรงไหน ลูก”
อิทธิฤทธิ์เม้มปากแล้วส่ายหน้า
“เจ็บก็บอกแม่ได้ ร้องไห้กับแม่ได้นะ ลูก”
“พ่อบอก เป็นลูกผู้ชายห้ามร้องไห้”
นฤดีกระซิบ “ตอนนี้เราอยู่กันสองคน พ่อเค้าไม่รู้หรอก”
นฤดีเช็ดแก้มที่แดงปื้นเปรอะด้วยดินให้อิทธิฤทธิ์อย่างเบามือซึ่งเป็นแก้มข้างเดียวกับที่อิทธิฤทธิ์โดนพ่อตบ
แล้วนฤดีก็หอมแก้มอิทธิฤทธิ์เบาๆ
“โอมเพี้ยง ! แม่เสกคาถาให้แล้ว ทีนี้ไม่เจ็บแล้วเนอะ นี่แม่มีอะไรให้ด้วย”
นฤดีขยับไปเอาตะกร้าที่วางไว้ห่างออกมาไปมาให้ดู อิทธิฤทธิ์ชะโงกหน้าไปดูของในตะกร้าก็เห็นลูกแมวตัวน้อยขนปุยน่ารักที่ขาวสะอาดตาแป๋วแหวว อิทธิฤทธิ์ตื่นเต้นดีใจ
“ตั้งชื่อเพื่อนใหม่ว่าอะไรดี ชื่อ “หมูหวาน” ดีมั้ย” นฤดีถาม
“ดีครับ ! อิทชอบกินหมูหวาน”
“แต่หมูหวานตัวนี้กินไม่ได้นะ ลูก ดูแลเพื่อนเขาให้ดีๆนะ ต่อไปอิทจะมีหมูหวานอยู่เป็นเพื่อน เผื่อว่าแม่...”
อิทธิฤทธิ์โผเข้ากอดแม่ “ขอบคุณคร้าบ แม่ !”
นฤดีชะงักเพราะไม่กล้าที่จะบอกเรื่องที่อาจจะไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป
“อิทรักแม่ที่สุด”
“แม่ก็รักอิทที่สุดเหมือนกัน อย่าลืมแม่นะ ลูก อย่าลืมแม่”
นฤดีกอดอิทธิฤทธิ์ไว้แน่นโดยหวังให้หมูหวานไว้เป็นตัวแทนของเธอ
อิทธิฤทธิ์ลูบหัวหมูหวานอยู่
“แม่...อิทไม่ลืมแม่หรอก..ไม่มีวัน..”
อิทธิฤทธิ์คิดถึงแม่มากขึ้นทุกที
ภาพในอดีตย้อนมาอีกครั้ง อิทธิพลเดินมาส่งนฤดีด้วยท่าทีเงียบขรึม บรรยากาศในบ้านอึมครึมน่าอึดอัด นฤดีชะงักเปลี่ยนใจแล้วหันกลับมา
“ชั้นอยากจะบอกลาอิท..”
“ไม่ต้อง ! ไม่มีประโยชน์ ! คุณรอวันนี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอฤดี..คุณรีบไปดีกว่า ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ”
อิทธิพลหมายถึงก่อนที่เขาจะยอมวางศักดิ์ศรีแล้วยื้อนฤดีไว้
เสียงถนอมดังขึ้น “คุณอิท อย่าไปค่ะ อย่าไป”
อิทธิพลกับนฤดีหันไปมอง
อิทธิฤทธิ์ในวัย 7 ขวบวิ่งออกมา โดยมีถนอมวิ่งไล่ตามมาติดๆ
“แม่ ! แม่จะไปไหน”
อิทธิพลสั่ง “ป้าหนอมจับนายอิทไว้”
ถนอมตามมาตะครุบตัวอิทธิฤทธิ์ไว้ได้ทัน อิทธิฤทธิ์ได้แต่ยื่นมือไขว่คว้าหานฤดี
“แม่จะไปไหน อิทไปด้วย”
อิทธิพลมองอิทธิฤทธิ์ด้วยความปวดใจ
อิทธิพลพูดกับนฤดี “จะรออะไรล่ะ ไปได้แล้ว”
นฤดีมองอิทธิฤทธิ์c]h;รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันแต่ยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจที่จะไป
อิทธิฤทธิ์ร้องไห้ “แม่ๆ แม่จะไปไหน !”
อิทธิพลทนเห็นอาการทุรนทุรายของอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ อิทธิพลดึงตัวนฤดีออกไป ดูเผินๆเหมือนอิทธิพลจะใช้กำลังกับนฤดีแต่ที่จริงเป็นการตัดสินใจให้เธอ
“แม่ๆ แม่อย่าไป ! พ่อปล่อยแม่ ! อย่าทำแม่”
อิทธิฤทธิ์ดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของถนอมอย่างน่าสงสาร
อิทธิฤทธิ์น้ำตาคลอด้วยความสะเทือนใจ เขาหยิบรูปของนฤดีออกจากกระเป๋าสตางค์มาดู เป็นรูปถ่ายอิทธิฤทธิ์วัย 7 ขวบที่ถ่ายกับนฤดี
“ไม่เป็นไร แม่ แม่มาหาอิทไม่ได้ อิทจะไปหาแม่เอง”
อิทธิฤทธิ์มองรูปของแม่ด้วยความมุ่งมั่น
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
รถตู้หรูแล่นเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรมหรูห้าดาว
พริบตาเดียวแฟนคลับนับร้อยก็กรี๊ดและกรูกันเข้ามารุมล้อม แฟนคลับหลายคนถือมีป้ายไฟทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและเกาหลี บอดี้การ์ด 4-5 คนกั้นกลุ่มแฟนคลับไว้
บอดี้การ์ดสองคนก้าวลงจากรถมาเปิดประตูรถให้ โอเจที่ใส่แว่นดำ เสื้อโค้ทยาวก้าวลงจากรถ กลุ่มแฟนคลับกรี๊ดดังขึ้นและต่างรุมล้อมโดยพยายามเข้าไปใกล้ชิดโอเจ บอดี้การ์ดสองคนช่วยกันกลุ่มแฟนคลับที่บ้าคลั่ง บอดี้การ์ดอีกสองเข้ามาช่วยพยายามพาโอเจเข้าไปในโรงแรม
พิธีกรพูดขึ้น “สุดยอดซุปเปอร์สตาร์จริงๆค่ะ ท่านผู้ชม โอเจ ซุปเปอร์สตาร์ลูกครึ่งไทยเกาหลีถูกแฟนคลับนับร้อยรุมล้อมอยู่นานนับชั่วโมงกว่าจะฝ่าฟันเข้าที่พักไปได้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเดินทางมาเมืองไทยในครั้งนี้ของโอเจ เพื่อที่จะมาร่วมแสดงภาพยนตร์กับซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย..น้องมาย่า มณีมันตรา...”
โอเจที่กำลังถูกกลุ่มบอดี้การ์ดพาตัวเข้าโรงแรม โอเจหันมาโบกมือและยิ้มหวานด้วยท่าทีที่ดูกันเอง เสียงกรี๊ดของกลุ่มแฟนคลับดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ภาพทั้งหมดปรากฏกลายเป็นข่าวบันเทิงบนจอโทรทัศน์ขนาดยักษ์
ภาพโอเจที่หันมาโบกมือให้กลุ่มแฟนคลับถูกกดแช่ภาพไว้ จอทีวีดับวูบไปด้วยมือที่ถือรีโมทคอนโทรลของสุวิชซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท สุวิชยิ้มกว้างอย่างมีความสุขมากๆที่ได้โอเจมาเล่นหนังให้
“เห็นมั้ยล่ะว่า เราโชคดีแค่ไหนที่ได้ตัวโอเจมา รับรองหนังของเราจะต้องดังแน่ๆ ไม่ใช่ดังเฉพาะในเมืองไทยนะ แต่จะดังไปทั่วเอเชีย เผลอๆ ดังไปถึงฮอลลีวู้ด น้องมาย่าได้โกอินเตอร์ก็คราวนี้แหละ” สุวิชหัวเราะถูกใจ
มณีมันตราไม่ได้สนใจข่าวโอเจแต่จ้องมองไปที่โปสเตอร์ซึ่งติดอยู่บนบอร์ด มันเป็นโปสเตอร์หนังเรื่อง “The bodyguard’s Superstar บอดี้การ์ดสุดซ่ากับซุป’ตาร์สุดแสบ” เวอร์ชั่นเก่าซึ่งเป็นภาพตัดต่อโฟโต้ชอป โอเจใส่สูทดำเท่ยืนถือปืนเป็นบอดี้การ์ดกางมือปกป้องมณีมันตราในชุดราตรียาวสวยเป็นซูเปอร์สตาร์
“โปสเตอร์นี่..นี่หมายความว่าไงคะ จริงๆแล้วหนูต้องเล่นเป็นซุปเปอร์สตาร์ใช่มั้ยคะ”
สตีฟ ผู้กำกับหนังหัวสูง อีโก้จัด พูดสำเนียงเด็กนอกกำลังทำท่าหน่ายโลกอยู่
สตีฟเซ็ง “ใช่ แต่โอเจไม่ยอมเล่นเป็นบอดี้การ์ด สั่งให้เราแก้บทเปลี่ยนให้เธอเล่นเป็นบอดี้การ์ดแทน”
สุวิชรีบดึงโปสเตอร์เวอร์ชั่นนี้ออกแล้วขยำทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
“เรื่องก็ผ่านไปแล้ว อย่าไปสนใจเลย แก้แล้วบทสนุกขึ้นตั้งเยอะ” สุวิชว่า
“แล้วทำไมโอเจถึงไม่อยากเป็นบอดี้การ์ดล่ะค่ะ คุณสตีฟ” มณีมันตราถาม
“กลัวเหนื่อย ขี้เกียจ ซ้อมยิงปืนซ้อมคิวบู๊อยู่สองครั้งก็เลิกไปซะเฉยๆ” สตีฟบอก
“พูดอย่างงั้นได้ยังไงคุณผู้กำกับ คิวเค้าแน่น ไม่ว่างซ้อม โอเจเค้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเอเชีย บทก็เหมาะสมกับตัวตนเค้าดี ส่วนน้องมาย่าก็จะได้ลองบทใหม่ๆ ท้าทายๆ ดูบ้าง”
เมนี่เปิดประตูเข้ามาอย่างเร่งรีบโดยถือกระป๋องสเปรย์ปรับอากาศมาด้วย
เมนี่ตื่นเต้น “คุณโอเจมาแล้วค่ะ คุณสุวิช”
เมนี่ฉีดสเปรย์ไปทั่วห้อง
สุวิชงง “ทำอะไรน่ะ ฉีดยุงเหรอ ในนี้ไม่มียุง”
“ไม่ใช่ค่ะ นี่สเปรย์ปรับอากาศกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ คุณโอเจเค้าชอบกลิ่นนี้ค่ะ ทุกที่ที่เค้าไป ต้องอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกลาเวนเดอร์”
เมนี่ฉีดสเปรย์อีกรอบ สุวิชจามแต่ก็ต้องอดทน สตีฟถึงกับนวดขมับตัวเอง
บอดี้การ์ดซึ่งเป็นบุรุษร่างกำยำใหญ่ใส่ชุดสูทและแว่นดำเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขามองสำรวจไปรอบห้อง ก้มลงดูใต้โต๊ะและเดินไปที่หน้าต่างก่อนจะแหวกมู่ลี่เพื่อมองออกไปข้างนอก เขาลองเคาะผนังว่าตันหรือโปร่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนอื่นๆ นิ่งงัน จากนั้นบอดี้การ์ดคนนั้นก็หยิบ walkie Talkie ขึ้นมาพูดเสียงเข้ม
“เคลียร์ !”
ประตูเปิดกว้างออกโดยบอดี้การ์ดอีกคน โอเจแต่งตัวจัดเต็มใส่แว่นดำยืนเท่อยู่ เชอรี่ซึ่งเป็นล่ามถือกระเป๋าใบโตยืนอยู่ข้างๆ
เมนี่ผายมือ “เชิญคุณโอเจค่ะ”
โอเจเดินเข้ามาอย่างเท่ เชอรี่เดินตามติด เมนี่รีบมาเลื่อนเก้าอี้ให้ บอดี้การ์ดเลื่อนเก้าอี้นั้นออก บอดี้การ์ดอีกคนเข็นเก้าอี้ตัวใหญ่จากข้างนอกเข้ามาแทนที่ โอเจนั่งลงไขว่ห้างอย่างเท่ด้วยท่าซูเปอร์สตาร์เอเชีย
มณีมันตรามองโอเจอย่างทึ่งๆ ที่ได้เห็นความโอเว่อร์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สตีฟเบ้ปากดูถูกดาราที่ดังเพราะกระแสแต่ไม่มีฝีมือ สุวิชยิ้มไม่หุบในขณะเดินไปจะจับมือกับโอเจ
“สวัสดีครับ คุณโอเจ”
บอดี้การ์ดสองคนพรวดเข้ามากันไม่ให้สุวิชเข้ามาจับมือ สุวิชเก้อไปจึงได้แต่ค้อมหัวทักทาย โอเจก้มหัวให้นิดๆอย่างไว้ตัว เมนี่ถลึงตาพยักเพยิดส่งสัญญาณให้มณีมันตรา มณีมันตราลุกขึ้นแนะนำตัว
“อันยองฮาเซโย” มณีมันตราก้มคำนับแล้วพูดภาษาเกาหลีต่อ “ซอนึน มาย่า อิพนิตตา (สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมาย่าค่ะ)
โอเจถอดแว่นออกช้าๆ แล้วหันไปกระซิบกับเชอรี่ที่รับฟังแล้วหันมาแปล
เชอรี่แปล “คุณโอเจบอกว่า สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบ ผมจะพยายามเรียนรู้ภาษาไทยเพื่อที่จะได้คุยกับทุกคนได้ครับ”
“ดีมาก ดีมาก อย่างนี้คนไทยชอบ” สุวิชว่า
เชอรี่กระซิบแปลให้โอเจ โอเจกระซิบตอบให้เชอรี่แปล
เชอรี่แปล “คุณโอเจบอกว่า ใครๆ ก็ชอบผมทั้งนั้นแหละครับ”
สตีฟพูดเสียงดัง “ชั้นเนี่ยแหละที่ไม่ชอบ”
เชอรี่กำลังจะหันไปแปล สุวิชรีบเบรก
“อันนี้ไม่ต้องแปล !”
โอเจกระซิบกับเชอรี่อีก
เชอรี่แปล “คุณโอเจบอกว่า คุณมาย่าสวยมาก ไม่คิดว่านางเอกไทยจะสวยขนาดนี้”
มณีมันตราพูด “ขอบคุณค่ะ”
เมนี่เสนอหน้า “คัม-ซา-ฮัม-นี-ดา (ขอบคุณ)”
โอเจส่งตาหวานให้มณีมันตราอย่างหว่านเสน่ห์
สตีฟรำคาญ “เราเข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า ผมหวังว่า คุณโอเจจะอ่านบทมาแล้วนะ วันนี้เราจะมา First reading กัน เริ่มเลยดีมั้ย”
โอเจมองนาฬิกาข้อมือแล้วลุกขึ้น สตีฟชะงักอย่างเป็นงง
“คุณโอเจต้องไปแล้วล่ะค่ะ” เมนี่บอก
“อะไรกัน จะรีบไปไหน นั่งลงก้นยังไม่ทันจะร้อนเลย” สุวิชงง
“วันนี้คุณโอเจแค่แวะมาทักทายค่ะ เค้ามีนัดนวดแผนไทยน่ะค่ะ”
โอเจกระซิบกับเชอรี่อีก
เชอรี่แปล “ถ้ามีอะไรก็บอกคุณเมนี่นะครับ เค้าจะเป็นผู้จัดการผมตอนที่ผมอยู่ประเทศไทย บายครับ”
โอเจโบกมือลาอย่างเท่ บอดี้การ์ดเปิดประตูให้ โอเจเดินออกไปอย่างเท่ เชอรี่เดินตาม บอดี้การ์ด อีกคนเข็นเก้าอี้ประจำตัวโอเจตามไป ทุกคนนิ่งอึ้ง มณีมันตราเซ็งสุดๆ
มณีมันตราเดินออกมาจากห้องประชุมอย่างเซ็งมาก เธอหมดความทึ่งโอเจไปเลย เมนี่เดินตามมาช้าไปหนึ่งจังหวะเพราะมัวแต่กดไอแพดดูตารางงานของมณีมันตราอยู่
“หนูอุตส่าห์อ่านบทจนถึงตีหนึ่ง มารอโอเจตั้งแต่เช้า วันนี้เรามารอตั้งแต่กี่โมงคะ” มณีมันตราคิด “นี่เรารอมาตั้งสามชั่วโมง แล้วเค้ามาแค่สามวิแล้วก็กลับไปเฉยเลย ทำอย่างนี้ มันใช้ได้หรือคะ”
เมนี่ไม่ได้ฟังแต่ก็ยังตอบ “ค่ะ”
มณีมันตรานึกได้ “พี่เมนี่คะ วันนี้เรามีคิวประชุมที่นี่ถึงเย็นเลยใช่มั้ยคะ”
เมนี่ไม่ได้ฟัง “ค่ะ”
“โอเจไม่อยู่แบบนี้ เราก็ไม่ต้องประชุมแล้ว”
เมนี่ไม่ได้ฟัง “ค่ะ”
“แปลว่าวันนี้หนูว่างทั้งวัน งั้นหนูขอไปทำธุระส่วนตัวนะคะ”
“ค่ะ เอ๊ย ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่เมนี่มีงานให้ วันนี้มีตั้งหลายงานที่ต้องไป แต่ดันมาติดงานทางนี้ พี่เมนี่ก็เลยจำใจต้องแคนเซิลไป เดี๋ยวนะ วันนี้พี่กุ๊กกู๋มีงานเดินแบบที่ไหนนะ”
เมนี่จะเปิดไอแพดดู มณีมันตราดึงไอแพดมาแล้วจ้องเมนี่ด้วยท่าทางจริงจัง
“พี่เมนี่คะ ขอวันนึงเถอะค่ะ ถ้าต้องทำงานกับคนอย่างโอเจนี่ หนูขอไปทำใจวันนึงค่ะ นะคะพี่เมนี่ ยังไงวันนี้หนูต้องพักค่ะ”
เมนี่อ่อนลง “แล้วน้องมาย่าจะไปไหนคะ”
มณีมันตรายิ้มหวาน “ขอบคุณนะคะ พี่เมนี่” มณีมันตรายื่นไอแพดคืนให้
มณีมันตราตอบไม่ตรงคำถาม เธอเดินออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดหาธรรม์ ในขณะที่เมนี่กดเครื่องคิดเลขในไอแพดด้วยความรวดเร็ว
“วันนี้แคนเซิลงานไปสามงาน” เมนี่พึมพำ “งานนี้สองแสน งานนี้ครึ่งชั่วโมงแปดหมื่น งานที่พัทยาอีก....โอ๊ยย..วันนี้ชั้นขาดทุนไปสี่แสน”
เมนี่ก้มลงมองวอลเปเปอร์ในไอแพดที่เป็นรูปโอเจยิ้มเท่อย่างทำใจ
“ยังมายิ้มอีก ! ดีนะที่เป็นซุปตาร์ ! ไม่งั้นโดนแน่”
เมนี่เซ็งและห่อเหี่ยวใจเอามากๆ
อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานของอิทธิพล อิทธิฤทธิ์รื้อค้นเปิดลิ้นชักต่างๆ เพื่อค้นหาข้อมูลของนฤดีแต่ไม่เจออะไรเลย
“โธ่เว้ย รูปซักใบก็ยังไม่มี”
อิทธิฤทธิ์เกือบจะถอดใจแต่แล้วก็ค้นหาอีกครั้ง ในที่สุดก็เจอรูปนฤดีที่อยู่ใต้กองแฟ้มในลิ้นชักโต๊ะ
เป็นรูปนฤดีในวัย 30 ขนาดโปสการ์ด อิทธิฤทธิ์มองภาพแม่นิ่งนาน
ชนมนขี่จักรยานเข้ามาจอดที่หน้าตัวบ้าน อิทธิฤทธิ์เดินออกมาจากบ้านอย่างรีบร้อน ชนมนเดินไปขวางทางไว้
“เดี๋ยว นายจะไปไหน” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์หันมามองชนมนตาขวาง
“มันเรื่องของชั้น”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คงจะทำให้นายไม่มีกะจิตกะใจเรียนแล้ว แต่ชั้นว่านะ แทนที่นายจะต่อต้านพ่อของนาย นายน่าจะพิสูจน์ให้พ่อนายเห็นว่า นายไม่ได้เก่งแต่เรื่องซิ่งรถ แต่นายทำเรื่องดีๆก็ได้ อย่างเรื่องเรียน”
อิทธิฤทธิ์ขัด “พูดพอหรือยัง ไม่ว่าเธอจะพูดยังไง ชั้นก็ไม่เรียน ! แล้วต่อให้เธอเตะชั้นจนหัวหลุด ชั้นก็ไม่มีวันกลับไปเรียนกับเธอ ! แล้วก็เลิกยุ่งกับชีวิตชั้นได้แล้ว”
“นายอิท ! เดี๋ยวซิ”
ชนมนดึงอิทธิฤทธิ์ไว้ อิทธิฤทธิ์สะบัดแขนจนรูปนฤดีในมือหลุดร่วงลงพื้น ชนมนก้มลงจะช่วยเก็บให้แต่แล้วก็ชะงักที่เห็นเป็นรูปนฤดี
“นี่รูป..แม่ของนายเหรอ”
อิทธิฤทธิ์ดึงรูปนฤดีจากชนมนแล้วเดินลิ่วๆออกไปอย่างไม่สนใจ ชนมนมองตามอิทธิฤทธิ์เพราะเพิ่งนึกได้ว่าไม่เคยรู้เรื่องแม่ของอิทธิฤทธิ์เลย
ถนอมเดินนำชนมนเข้ามา แดงเด็ดใบกะเพราอยู่
“วันนี้หนูชนคงต้องมาเสียเที่ยวแล้วล่ะค่ะ คุณท่านยอมให้คุณอิทหยุดเรียนวันนึง คงเป็นเพราะรู้สึกผิดเรื่องเมื่อวาน”
ถนอมหันไปมองแดงอย่างไม่อยากให้รู้เรื่องที่อิทธิฤทธิ์ถูกตบ
“ท่านผู้การคุยกับอิทแล้วหรือยังคะ ท่านรู้แล้วนี่คะว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของอิทเค้าซะทั้งหมด” ชนมนบอก
“โอ๊ย คงไม่คุยหรอกค่ะ คุณท่านอาจจะรู้สึกผิดก็จริง แต่เรื่องที่จะให้ไปพูดกับลูกก่อน ไม่มีทางหรอกค่ะ ท่านก็คิดว่าท่านเป็นพ่อมีสิทธิ์ลงโทษลูกได้ ทางคุณอิทก็ไม่ยอมแก้ตัวหรืออธิบายอะไรทั้งนั้น เป็นกันซะอย่างนี้ ก็เลยไม่เข้าใจกันซะที” ถนอมว่า
“แต่น่าจะมีคนกลางที่จะช่วยให้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้นะคะ พี่ธรรม์ไงคะ ป้าหนอม”
“คุณอิทเกลียด..เอ๊ย ไม่ค่อยถูกกับคุณธรรม์เท่าไหร่”
ชนมนนึกได้ “แล้วคุณแม่ของอิทล่ะคะ”
ถนอมชะงักนิ่งเพราะรู้สึกอึดอัดใจที่จะพูดถึงนฤดี แดงเงี่ยหูฟังอย่างสอดรู้
“แดง ออกไปข้างนอกก่อน” ถนอมบอก
“หนูเด็ดกะเพราอยู่อะค่ะ” แดงบอก
“จะมาขยันอะไรตอนนี้ หล่อนจะสาระแนฟังเรื่องเจ้านายล่ะสิ ออกไป ไป” ถนอมไล่
“กะเพราค่ะ ไม่ใช่สะระแหน่”
ถนอมพูดใกล้ๆเน้นๆ “สา-ระ-แน ไม่ใช่ สะ ระ แหน่!”
แดงหน้ามุ่ยที่ถนอมรู้ทัน เธอรีบเดินออกไป ถนอมหันมามองชนมนอย่างชั่งใจ
“คุณท่านกับคุณผู้หญิงหย่าขาดกันตั้งแต่ตอนคุณอิทอายุเจ็ดขวบ” ถนอมเล่า
“นี่มันผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนี่คะ ตอนนี้อิทกำลังมีปัญหา ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของอิทจะหย่ากันด้วยเหตุผลอะไร ก็น่าจะกลับมาคุยกัน ช่วยกันแก้ปัญหาของลูก”
“เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นซิคะ”
ชนมนชักเอะใจ “นี่คุณแม่ของอิทเคยกลับมาหาอิทบ้างหรือเปล่าคะ”
ถนอมอึกอัก “ไม่..ไม่เคยค่ะ”
ชนมนตกใจและแปลกใจ “ไม่เคยเลยหรือคะ นี่อิทไม่เคยเจอหน้าคุณแม่มาเป็นสิบปีแล้วหรือคะ แล้วอย่างนี้หนูจะไปตามคุณแม่ของอิทได้ที่ไหนล่ะคะเนี่ย”
ถนอมตกใจ “หนูชนคิดจะทำอะไร อย่าเชียวนะคะ อย่าไปยุ่งกับเรื่องนี้เชียว”
ชนมนยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของอิทธิฤทธิ์
“ป้าหนอมคะ..”
“อย่าถามอะไรอีกเลยค่ะ ป้าเล่าให้ฟังได้แค่นี้แหละค่ะ”
ถนอมเดินหนีออกไป ทิ้งชนมนให้ยังครุ่นคิดและสงสัย
อิทธิฤทธิ์เดินวนมองสำรวจมอเตอร์ไซค์เก่าๆของเจ๋งอยู่อย่างไม่เชื่อใจ เจ๋งเช็ดรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองอย่างทนุถนอม
“ไหวแน่นะ”
“โห พี่อิท จะยืมแล้วยังมาดูถูกอีก เจ้านี่เคยพาเจ๋งไปถึงเชียงคานมาแล้ว”
อิทธิฤทธิ์รู้ทัน “เชียงคานที่อยู่เลยน่ะเหรอ”
เจ๋งยิ้มแหยๆ “ร้านอาหารเชียงคานหน้าปากซอยนี่แหละ น่า พี่อิท ช่วยฮาหน่อย อย่าทำหน้าซีเรียสนัก เรื่องตามหาแม่นี่ เดี๋ยวเจ๋งช่วย”
“ยังไงล่ะ”
เจ๋งคิด “เออ! เราไปออกรายการคุณสรยุทธกันมั้ยล่ะ “หนุ่มนักซิ่งไฮโซลูกชายนายตำรวจใหญ่ตามหาแม่ที่พลัดพรากจากกันมาสิบกว่าปี พาดหัวดราม่าขนาดนี้จะต้องกลายเป็นข่าวดังแน่ๆ”
อิทธิฤทธิ์ตบกะโหลกเจ๋งอย่างอดไม่ได้
“เมื่อวานชั้นยังดังไม่พออีกหรือไงวะ ข่าวชั้นถูกจับลงหน้าหนึ่งทุกฉบับออกข่าวทีวีทุกช่อง ถ้าชั้นก่อเรื่องอีกครั้ง พ่อชั้นไล่ชั้นออกจากบ้านแน่”
“โหย พี่อิท ยังไงก็พ่อลูกกัน พ่อเค้าจะโกรธแค่ไหน ก็ไม่ไล่พี่อิทออกจากบ้านหรอก ดูอย่างเจ๋งดิ พ่อเตะบ้างกระทืบบ้าง ก็ยังอยู่ด้วยกันได้”
“แกไม่รู้เรื่องอะไร อย่าพูดเลย ชั้นคงทนอยู่กับพ่อได้อีกไม่นานหรอก เพราะอย่างนี้ชั้นจะต้องไปตามหาแม่ให้เจอ”
“แล้วพี่อิทจะไปตามหาแม่ที่ไหน แม่พี่ไม่เคยติดต่อกลับมาเลยไม่ใช่เหรอ”
“เออ ชั้นตามของชั้นได้น่า ยังไงชั้นจะต้องตามหาแม่ให้เจอ”
อิทธิฤทธิ์ยังทำเก่งแม้ยังไม่รู้เลยว่าจะไปตามหาแม่ยังไง
มณีมันตราเดินออกมาที่ล็อบบี้ของบริษัท ธรรม์เดินเข้ามา มณีมันตราหันไปมองธรรม์อย่างขัดใจเล็กๆ
“โธ่ พี่ธรรม์ ย่าบอกแล้วว่า เดี๋ยวย่าไปหาพี่ธรรม์เอง รู้อย่างนี้ย่าบุกไปหาที่โรงพักเลยดีกว่า ไม่น่าโทรไปบอกก่อนเลย”
“ถ้าย่าไป มีหวังโรงพักพี่แตกแน่ๆ พี่มารับน่ะดีแล้ว ย่าไม่มีรถไม่ใช่เหรอ พี่เองก็ออกเวรพอดี เราจะคุยกันที่นี่หรือยังไง”
“ไปทานข้าวกันก่อนดีมั้ยคะ ย่าอยากเลี้ยงข้าวพี่ธรรม์”
“จะเลี้ยงทำไม”
“ก็เลี้ยงขอบคุณที่พี่ธรรม์ช่วยย่าไว้ไงคะ ถ้าเมื่อวานพี่ธรรม์ไม่ไปช่วยดึงตัวย่าออกมาได้ทัน มีหวังย่าได้เป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งแน่ๆ อาชีพนักแสดงก็คงดับไปด้วย”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง”
“ย่ามีภาพเป็นนางเอกสวยใสเป็นเด็กดีเรียนเก่งนะคะ ถ้าเมื่อวานย่าถูกตำรวจจับ ภาพย่าก็จะติดลบทันที ยิ่งมีคนชื่นชอบมากๆ เราก็ยิ่งพลาดไม่ได้ เหมือนกับย่ากำลังตกเหว แล้วพี่ธรรม์มาช่วยชีวิตย่าไว้ ยังไงอย่างงั้นเลย”
มณีมันตรามองธรรม์อย่างขอบคุณอย่างสุดๆ
“พี่ยอมแพ้แล้ว พี่ยอมรับคำขอบคุณของย่า”
“แล้วก็ต้องยอมให้ย่าเลี้ยงข้าวด้วยนะ”
“งั้นก็ได้..” ธรรม์พูดจริงจัง “มาย่า..ย่าไม่ได้แค่ “มีภาพ” เป็นเด็กดีเรียนเก่งนะ ย่าเป็นเด็กดีน่ารักจริงๆ เพียงแต่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้นแหละ”
มณีมันตราสบตาธรรม์แล้วยิ้มหวานเพราะฟังแล้วชื่นหัวใจ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของธรรม์ก็ดังขึ้น ธรรม์หยิบขึ้นมากดรับ
“ฮัลโหล ว่าไง ชน...” ธรรม์ฟัง “ได้ครับ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกมาเลย”
ธรรม์ฟังชนมนทางโทรศัพท์ที่โทรมาขอคำปรึกษาเรื่องอิทธิฤทธิ์แล้วก็เหลือบมองมณีมันตราอย่างชั่งใจว่าทำยังไงดี มณีมันตราเริ่มหน้าเสียและแอบลุ้น ธรรม์ตัดสินใจได้เพราะเห็นแก่อิทธิฤทธิ์มากกว่าความสุขส่วนตัว
“เรามาเจอกันดีกว่า ชน เดี๋ยวพี่โทรกลับนะ”
ธรรม์กดปิดโทรศัพท์มือถือแล้วมองมณีมันตราอย่างเกรงใจ
“พี่ชนโทรมาเหรอคะ”
“ย่าคงไม่ว่าอะไรนะ ที่ย่าจะต้องเลี้ยงข้าวเพิ่มอีกคน เอาอย่างนี้ มื้อนี้พี่ขอเลี้ยงเองดีกว่า พี่ยอมให้ย่าถล่มเลย วันนี้พี่เลี้ยงเต็มที่ ตัวเล็กแค่นี้จะกินซักเท่าไหร่เชียว ผอมจริงๆนะ เรา แค่พัดลมเป่า ก็ปลิวแล้วมั้ง”
ธรรม์พยายามพูดตลกแต่ไม่ขำ มณีมันตรายิ้มกร่อยๆ ถึงจะไม่เข้าใจความจำเป็นของชนมนแต่ก็อยากได้มีโอกาสอยู่กับธรรม์สองคนบ้าง
ชนมนนั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะอาหารโดยกำลังสั่งอาหารกับบริกรอยู่
“ขอแกงส้มผักรวมอีกอย่าง แล้วก็ข้าวเปล่าสามจาน แค่นี้แหละ”
บริกรจดออเดอร์เสร็จแล้วก็เดินออกไป ธรรม์กับมาย่าเดินมาที่โต๊ะอาหาร
“พี่ธรรม์มาเร็วดีจัง โชคดีจริงๆที่ย่าอยู่กับพี่ธรรม์พอดี ครบองค์ประชุมอย่างนี้ เราต้องช่วยอิทได้แน่ๆ” มณีมันตราพูดกับธรรม์ “ชนสั่งอาหารไปแล้วนะคะ สั่งอะไรมากินง่ายๆ เร็วๆ จะได้ไม่เสียเวลา”
มณีมันตรามองไปรอบๆ ร้านอาหารเล็กๆ ที่ไม่โรแมนติค
มณีมันตราพึมพำ “ผิดแผนไปหมด”
“ย่าว่าอะไรนะ”
“เออ..ย่าถามว่า พี่ชนมีแผนอะไรหรือคะ”
ชนมนยิ้มแหยๆ “พี่ก็ยังไม่มีแผนอะไรหรอกค่ะ พี่เพิ่งรู้เรื่องคุณพ่อคุณแม่อิทแยกทางกัน ก็เข้าใจแล้วล่ะค่ะว่า ทำไมอิทถึงได้กลายเป็นเด็กมีปัญหา” ชนมนพูดกับธรรม์ “ตอนนี้ชนอยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ของอิทน่ะค่ะ”
ธรรม์เครียดนิดๆ “ชนจะรู้ไปทำไม”
“ชนไม่ได้อยากรู้เรื่องครอบครัวคนอื่นหรอกนะคะ แต่ชนอยากหาทางผลักดันหรือหาอะไรที่จะเป็นแรงจูงใจให้อิทพยายามสอบผ่านให้ได้ ชนก็มาเจอคำตอบที่คุณแม่อิทนี่แหละ พี่ธรรม์พอจะรู้มั้ยคะว่า เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่อิท”
ธรรม์อึดอัดใจ “พี่ไม่มีฐานะที่จะบอกอะไรได้”
มณีมันตราเริ่มสนใจ ยิ่งธรรม์มีท่าทางแปลกๆ เธอก็ยิ่งอยากรู้
“อิทเคยบอกย่าว่า คุณลุงไล่คุณป้าออกจากบ้าน เป็นเรื่องจริงหรือคะ”
“พี่ต่างหากที่เป็นคนทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ของอิทต้องเลิกกัน”
ชนมนกับมาย่านิ่งอึ้งแปลกใจ ในที่สุดธรรม์ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
อ่านต่อตอนที่ 4