xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 1

มองจากดงตาลริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี แขวงงะสะยอก กรุงพุกาม ประมาณ พ.ศ. 2058 ในยามเช้า ผ่านสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไกลออกไปลิบๆ แลเห็นวัดแห่งอาณาจักรพุกามลางๆ อยู่บนยอดเขา ยอดเจดีย์สีทองเหลืองอร่ามยามต้องแสงอาทิตย์จะส่องแสงเปล่งประกาย บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในเวลานั้น

เสียงนกร้องออกหากินดังเป็นระยะๆ ตามด้วยเสียงกระดิ่งที่แขวนคอวัวกำลังลากเกวียนอยู่กลางทุ่ง อีกมุมหนึ่ง บนเส้นทางยาวเหยียดไปสู่ดงตาลที่สายหมอกปกคลุมหนาทึบเห็นเกวียนบรรทุกชาวบ้านแล่นเข้ามา
บนเกวียนจะเห็นว่ามีชาวบ้านอยู่หลายๆคน นางเลาชีนั่งอุ้มจะเด็ดวัย 6 เดือนนั่งอยู่บนเกวียน ข้างๆนางมีห่อข้าวของวางอยู่ เด็กน้อยจะเด็ดนอนหลับอย่างมีความสุขในอ้อมแม่

เช้าวันใหม่ ภายในศาลาวัดกุโสดอ เมืองตองอู จะเด็ดที่หลับสนิทถูกวางลงตรงหน้าพระมหาเถรมังสินธูที่มองพินิจพิจารณา ก้มลงตรวจดูดวงชะตา
"ชื่ออะไรนะ"
"ชื่อจะเด็ดพระคุณเจ้า เพราะตอนเกิดได้สามวันมีปลวกมาไต่เต็มตัว" นางเลาชีบอก
พระมหามังสินธูเถรวางกระดาษฉนวนแล้วช้อนตัวจะเด็ดขึ้นวางบนตักสีหน้าสดใสเปล่งปลั่งยิ่ง
"เป็นบุญวาสนายิ่งนัก ที่เราจะได้ชุบเลี้ยงพระเจ้ามหาราชาแห่งพุกามประเทศ ให้เติบใหญ่"
พระมหาเถรมังสินธูยกตัวจะเด็ดลอยขึ้นเหนือหัว มองดูด้วยสายตาชื่นชม แสงจากช่องลมส่องมาที่ตัวจะเด็ดพอดี

มหาเถรมังสินธูอุ้มจะเด็ดอยู่ที่ระเบียงกุฎิ สายตาทอดไกลไปยังพระราชวังตองอูที่ยิ่งใหญ่ สง่างาม เลาชีนั่งพับเพียบอยู่ห่างๆ
มหาเถรมังสินธูเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งมีความหมาย แล้วมองหน้าจะเด็ด
"นั่นคือเมืองตองอู เมืองของเจ้า"
หน้าจะเด็ดดูเหมือนมีราศีบางอย่างจับ มหาเถรมังสินธูขมวดคิ้ว พิศดูจะเด็ดอย่างฉงน ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวล แล้วพึมพำเบาๆ
"ดวงชะตาเจ้าแรงนัก จะเด็ดเอ๊ย แรงจนน่าวิตก"
เสียงกังสดาลดังแว่วมา มหาเถรเหลียวไปดูทางที่ตั้งพระราชวัง เลาชีก็เหลียวไปดูเช่นกัน
"พระสนมเอก...บุตรีฉนวยกง ทรงประสูติพระราชบุตรให้แก่เมงกะยินโย พระเจ้าอยู่หัวแห่งตองอูแล้ว"
เลาชี หันหน้าไปทางพระราชวังตองอูแล้วก้มลงกราบถวายตัว มหาเถรมังสินธูยืนหลับตาสงบนิ่งแผ่เมตตาไปยังพระราชวังหลวงตองอู
"ขอให้มหาบพิตร และราชวงศ์เมงกะยินโยจงเถลิงศิริสวัสดิ์ชัยเทอญ"

20 ปีต่อมา ณ เมืองตองอู
กลองศึกใบใหญ่ตีเป็นสัญญาณอยู่บนหอ นักกีฬาตีคลีทีมสีเขียวควบม้าเข้ามาในสนาม
พระเจ้าเมงกะยินโย หรือ "พระเจ้าสิริชัยะสุระ"กับข้าราชบริพารประทับอยู่บนพลับพลาทอดพระเนตรอย่างสนใจ แม้พระเจ้าสิริชัยสุระจะทรงพระประชวรแต่ไม่แสดงออก พระราชเทวีเฝ้ามองอย่างเป็นห่วง
ขบวนทีมตีคลีสีเขียวมายังหน้าพลับพลาพระที่นั่ง
เสียงประชาชนโห่ร้องต้อนรับจะเด็ดจะนำขบวนทีมตีคลีสีเขียว
“จะเด็ด” ควบม้าตรงมาหยุดหน้าที่ประทับทำความเคารพ มองหาจันทรา
"บนพลับพลาไม่มีจันทรา"
เขารู้สึกผิดหวังพลางลูบคอม้าที่ขี่อย่างลืมตัว ตรงหน้าผากม้ามีดอกไม้ผูกประดับอยู่ช่อหนึ่ง

อุทยานฝ่ายใน เช้าต่อเนื่องมา ดอกไม้ในมือ “จันทรา” วัย 19 ปี เป็นชนิดเดียวกับที่ผูกติดบนคอม้าของจะเด็ด นางยกดอกไม้ขึ้นดมแล้วหันมามองจะเด็ด
"พี่ท่านรับคำท้ามังตราทำไม ก็รู้อยู่ว่ามังตราไม่เคยยอมแพ้ใคร เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีก"
จะเด็ดเอาดอกไม้แซมผมให้จันทราที่ยิ้มน้อยๆ
"แต่ครั้งนี้พี่จะรักษาตัวอย่างดี จะไม่ยอมให้มังตราทำให้เจ็บอีกเด็ดขาด ขอแต่น้องหญิงเสด็จไปทอดเนตรแข่งตีคลีสักครั้งเถอะนะ พี่ขอร้อง"
"กีฬาหวาดเสียวไม่อยากดู แข่งครั้งก่อนบุตรขุนวังตกม้าแขนหัก ยังไม่หายเลยไม่ใช่หรือ"
"กีฬาอาชา ถ้าเผลอก็ย่อมเจ็บเป็นธรรมดา แต่มันเป็นกีฬาที่ทำให้รู้ว่า ผู้ใดบังคับม้าได้เก่งกว่ากัน ขอน้องหญิงเสด็จเถอะนะ พี่อยากได้กำลังใจ"
"ไม่อยากรับคำ ถ้าไปก็คงจะเห็นเอง"

บริเวณสนามตีคลี ขบวนนักกีฬาตีคลีทีมสีแดงควบม้ามายังหน้าที่ประทับทำความเคารพประชาชนจำนวนมากพากันโห่ร้องต้อนรับ บนพลับพลาที่ประทับ พระเจ้าสิริชัยะสุระพระวรกายดูอ่อนเพลียประทับอยู่กับพระราชเทวี เลาชีกับฝ่ายในประทับอยู่ในฉนวนใกล้ๆ ชะเง้อหามังตรา
"ไหนละมังตราลูกเรา" พระราชเทวีถาม
"ช้าอีกตามเคย" พระเจ้าสิริชัยะสุระบอก

นางข้าหลวงตองสาชะเง้อมอง แล้วบอก
"พระราชบุตรเสด็จมานั่นแล้วเพคะ"
มังตราควบม้าเข้ามาอย่างเร่งรีบจนมาหยุดถวายความเคารพพระเจ้าสิริชัยะสุระ แล้วหันมายิ้มเย้ยกับจะเด็ด
"ไม่ได้ตั้งใจให้พี่ท่านรอ แต่บังเอิญมหาดเล็กมันผูกอานให้ไม่ดี ได้ฤกษ์แล้วนี่ จะมัวช้าทำไม"
มังตราชักม้าออกไปตั้งหลักที่กลางสนามในทันที
ฝ่ายจะเด็ดยังชะเง้อมองหาจันทรา แต่ผิดหวัง ไม่พบ จึงชักม้าตามมังตราไป
บนสนามตีคลี มีนักกีฬาทั้งสองทีม การแข่งขันเริ่มขึ้น เมื่อพนักงานตีกลองสัญญาณขึ้นในจังหวะที่เร้าใจ ก่อนจะให้สัญญาณถือธนูเดินออกมาหน้าพลับพลา เสียงกลองหยุดตี ทุกอย่างเงียบ พนักงานให้สัญญาณปล่อยลูกธนูเข้าไปที่เป้าสัญญาณทันที

การแข่งขันเริ่มขึ้น ลูกคลีถูกตีอย่างแรง นักกีฬาทั้งสองฝ่ายต่างรุกและรับกันเป็นที่อลม่านในสนาม

ภายในห้องประทับ จันทราสีหน้าครุ่นคิดกำลังให้นางข้าหลวง 2 คนแปรงผมให้

บนนักกีฬาทั้งสองฝ่ายต่างแย่งตีลูกคลีกันอย่างดุเดือดแต่...จะเด็ดดูจะไม่ตั้งใจแย่งลูกสักเท่าไหร่ เพราะเสียใจที่จันทราไม่มา ขณะที่มังตราเข้าใจว่า จะเด็ดกลัวตนก็ยิ่งได้ใจ
บนพลับพลาที่ประทับ พระเจ้าสิริชัยะสุระไม่สบาย แพทย์เข้าไปดูอาการ พระองค์โบกมือไล่ ขณะนั้นมีขุนนางหนึ่งคนจ้องมองสังเกตอาการของพระเจ้าสิริชัยะสุระ
พวกนางในนั่งดูอย่างหวาดเสียว
นักกีฬาฝ่ายจะเด็ดคนหนึ่งถูกมังตราเบียด และกระแทกอย่างแรง จนกระเด็นตกม้า พวกนางข้าหลวงร้องกรี๊ด ปิดตากันวุ่นวาย จะเด็ดชักม้าเข้ามาเทียบม้ามังตรา
"มังตราเล่นแบบนี้ไม่ยุติธรรมนะ"
"เวลาออกศึก พี่ท่านหาความยุติธรรมได้หรือ กีฬาคือเรื่องของแพ้ชนะ พี่ท่านดูขลาดอยู่ ใยไม่มาแย่งลูกด้วยข้าพเจ้า คนดูเขาชักไม่สนุกกันแล้ว"
มังตราควบม้าออกไปแย่งลูกต่อ จะเด็ดพยายามควบม้าเข้าไปคุมเชิง ไม่ให้มังตราเข้าใกล้ม้าอื่นๆ มังตราโกรธควบม้าเข้าหาจะเด็ดไม่ได้คิดจะตีลูกคลี แต่หมายตีจะเด็ดที่หงายตัวหลบไม้คลีมาได้อย่างหวุดหวิด คนดูพากันร้องด้วยความตกใจ
มังตราควบม้าไปเบียดจะเด็ดเพื่อแย่งลูกคลีกัน แต่ม้าอื่นๆพยายามหลบ ผู้คนต่างพากันร้องเสียงหลง จะเด็ดได้ลูกตีเข้าประตูของมังตรา คนดูพากันดีใจ มังตรายิ่งโกรธ
"ครั้งหน้าพี่ท่านจะไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก"
นางข้าหลวงต่างดีใจที่จะเด็ดตีลูกเข้าประตู
มังตราพยายามเอาไม้คลีหันมาหวดจะเด็ด แต่จะเด็ดเอาไม้คลีรับหวดโต้ จนเกิดการดวลไม้คลีบนหลังม้าแทน
จะเด็ดปล่อยให้มังตราตีลูกเข้าประตู จะเด็ดพึงพอใจที่เห็นมังตรามีความสุขในการตีลูกเข้าประตู

19 ปีที่แล้ว บนถนนหน้าวัดกุโสดอ ขบวนเสลี่ยงขุนวังซึ่งตัวอ้วนมาก แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิงนั่งให้พนักงานหามรีบๆจนเกือบวิ่งไปตามทาง สีหน้าคนหามแต่ละคนแทบจะตายคาเสลี่ยง มีคนใช้ถือร่มและเครื่องตามประจำตัววิ่งตาม 2 คน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันใจขุนวังนัก จึงคายหมากที่เคี้ยวอยู่ปาหัวคนแบกเสลี่ยงที่อยู่หน้าอย่างจัง
"รีบเดินให้มันเร็วๆกว่านี้ได้ไม๊ ไอ้หอก มึงเห็นกูเป็นอย่างไง เดี๋ยวก็ได้หัวขาดกันหมดโคตรหรอกมึง"
บนกุฏิ ขุนวังขันทีอ้วนที่กำลังกราบอยู่ตรงหน้าหน้ามหาเถรมังสินธู ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบน่าสงสาร คนรับใช้ขุนวังกราบอยู่ด้านหลัง ไกลออกไปที่ลานวัด เลาชีกำลังกวาดลานวัดอยู่ มีจะเด็ดวัย 10 เดือนคลานเล่นอยู่ใกล้ๆ พระภิกษุอื่นนั่งศึกษาพระธรรมอยู่ในมุมสงบ
"มีเรื่องอะไรรึ ขุนวัง"
"พระเจ้าอยู่หัวมีพระบัญชาให้ข้าพเจ้ามาหาแม่หญิงที่ล่ำสันแข็งแรงไม่มีโรคภัยไปถวาย พระคุณเจ้า"
"มาหาในวัดนี่นะเหรอ หาไปทำไม"
"ให้เป็นแม่นมของมังตราราชบุตร กับตะละแม่จันทราราชธิดา พระคุณเจ้า"
"ตะละแม่จันทราต้องมีพระนมก็สมควรอยู่ เพราะพระอัครมเหสีพระตะละแม่สิ้นไปแล้ว แต่มังตราราชบุตรนี่สิ พระราชเทวีก็ยังสาวยังแส้ ไฉนต้องหาพระนม"
"ก็เพราะยังพระเยาว์นะซิพระคุณเจ้า ถึงต้องมีพระนม....พระราชเทวีไม่มีกษีรให้พระราชบุตรเสวย นะพระคุณเจ้า"
"ถ้าเป็นดังนั้นจริง ก็ยังไม่เห็นเหตุเลยว่า มาปรึกษาเราทำไม กลับไปกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวทีเถอะว่า ตอนนี้เราครองเพศบรรพชิตนะขุนวัง ไม่ใช่ขุนทัพคู่พระทัยดังแต่ก่อนแล้ว"
มหาเถรมังสินธูลุกขึ้นจะเดินเข้าห้อง ขุนวังอ้วนดึงจีวรไว้จนเกือบล้ม มหาเถรมังสินธูใช้เท้าปัด
ป้องกันอย่างลืมตัว ขุนวังอ้วนรีบกราบด้วยความตกใจแล้ว ชายตาไปทางเลาชีกับจะเด็ด และหันมามองหน้ามหาเถรมังสินธู แห่งวัดกุโสดอ
"ได้ข่าวว่ามีนางลูกอ่อนมาอาศัยอยู่กับท่านที่กุโสดอนี้ รูปลักษณ์ดีนัก ถ้าพระคุณเจ้าเข้าเฝ้ากราบทูลพระเจ้าอยู่หัว ทุกอย่างจะเป็นตามพระราชประสงค์ ข้าพเจ้าจะได้พ้นทุกข์"
มหาเถรมังสินธู คิดอะไรบางอย่างในใจเกี่ยวกับบุญญาธิการของจะเด็ด แล้วหันไปจ้องเลาชีที่อุ้มจะเด็ดอยู่ที่ลานวัด

19 ปีที่แล้ว ตอนนั้น จะเด็ดอายุได้ขวบกว่า จันทราอายุราว 8-9 เดือน และมังตรา อายุเพียง 5 เดือน ซึ่งมังตราผู้นี้ มีอายุอ่อนกว่าจะเด็ดราว 7 เดือน ภายในห้องราชบุตรในเรือนพระนมเลาชี มีข้าหลวงที่มาช่วยดูแลจันทราและมังตรา ประมาณ 7 - 8 คน
หลังม่านบางๆที่กั้นอยู่ นางเลาชีกำลังให้นมมังตราอยู่ ขณะที่ข้าหลวงกำลังดูแลจันทราที่กำลังร้องเพราะหิวนม นางข้าหลวงพูดเสียงปลอบโยน
"เดี๋ยวนะเพคะ อีกเดี๋ยวเดียว"
เลาชีให้นมเสร็จก็วางมังตราลง สั่นระฆังเบาๆ ข้าหลวงเปิดม่านเข้าไปอุ้มมังตราที่หลับสนิทออกมา สวนกับข้าหลวงอีกคนที่อุ้มตะละแม่จันทราเข้าไป เลาชีรับไปให้นม ข้าหลวงทางข้างนอก อุ้มมังตรามาวาง ใช้สำลีชุบน้ำเช็ดปากให้ ข้าหลวงพูดกับมังตรา เสียงเบาๆ
"พระราชบุตรอิ่มแล้วใช่มั้ยเพคะ หลับปุ๋ยเลย"

ภายในห้องนอนของเลาชี จะเด็ดคลานเล่นอยู่กับพี่เลี้ยง เลาชีเดินกลับเข้ามาจะเด็ดหันมามองแม่ที่เข้ามายิ้มให้ แล้วรีบคลานเข้าไปหา
"จะเด็ด หิวนมหรือยังลูก"
จะเด็ดสั่นหัวน้อยๆ เลาชีหัวเราะขำ
"มา...ยังมี นมแม่ยังมี มาเร็ว มากินนมลูก"

เวลาล่วงเลยไป เย็นวันหนึ่ง ภายในห้องครัวเรือนเลาชี จันทรา และนางกำนัลกำลังเรียนทำอาหารกับนางเลาชี

"เสวยอะไรสักนิดนะลูก แล้วจะได้เสด็จกลับ"

อ่านต่อหน้า 2

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ส่วนที่บริเวณอุทยานตองอู เย็นวันเดียวกัน มังตรากำลังเล่นสกาอยู่กับมหาดเล็กเสียงดัง เพราะอารมณ์เสียที่มหาดเล็กเล่นสู้พระองค์ไม่ได้ จะเด็ดนั่งเบื่ออยู่ห่างๆ

"กินอะไรเข้าไปถึงได้โง่อย่างนี้ เดินหมากให้มันมีชั้นเชิงหน่อยซิวะ เดินอย่างนี้ก็เสียเมืองวันยังค่ำ เป็นถึงขุนน้ำขุนนางตองอู ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้ ถ้าเล่นผิดอีกกระดานเดียว จะทูลเสด็จพ่อให้ปลดออกจากขุนนางเสียเลย"
ขุนนางคนนั้นตัวสั่นยิ่งเล่นไม่ถูกเข้าไปใหญ่ จะเด็ดเบื่อมาก
"พี่ท่าน มาเล่นสกากับข้าหน่อยซิ พวกนี้มันไม่ได้เรื่อง ต้องกับพี่ท่านถึงจะสนุก มา...มา เฮ้ยหลีกไปให้พี่ท่านนั่ง"
"มื้อนี้ข้าพเจ้าไม่อยากคิดอะไร ท่านเล่นกับท่านเหล่านี้ต่อเถิดข้าพเจ้าจะไปอยู่กับแม่ท่าน"
มังตราสั่งเสียงเด็ดขาด "ไม่ได้ ไม่ให้ไป"
จะเด็ดยืนนิ่งไม่โต้ตอบ แต่รู้ว่าไม่พอใจ พวกขุนนางรีบเข้ามาประจบ
"จะเด็ดท่าน อยู่เล่นสกากับพระราชบุตรสักครู่เถิด ไม่อย่างงั้นพวกเราถูกปลดยศแน่"
จะเด็ดตัดสินใจไม่ถูก รู้สึกสงสารพวกขุนนางเหล่านี้เหลือกำลัง

ศาลาวัดกุโสดอในอดีต มังตราในวัยเด็กกำลังหลับ ในขณะที่มหาเถรมังสินธูกำลังสอนวิชารบในมหาภารตะยุทธ์อย่างสนุกสนาน จะเด็ดนั่งอยู่ข้างพระแท่นมังตรา ตั้งใจฟังอย่างสนใจ แต่พอเห็นมังตราหลับก็แกะผ้ามัดเกล้าถวายให้หนุนพระเศียร มหาเถรมังสินธูแอบชำเลืองแต่ทำไม่รู้

บริเวณลานวัดในวันหนึ่ง จะเด็ดกับมังตราฝึกรำทวนกันอยู่บนม้าไม้โยก มหาเถรมังสินธูและคนอื่นๆเฝ้าดูอยู่เป็นวง มังตราโกรธที่ทำอะไรจะเด็ดไม่ได้ จึงฟาดทวนอย่างไม่มีกระบวนท่า จะเด็ดรู้ข้อนี้ดีจึงไม่ยอมบุกเอาแต่ตั้งรับอย่างเดียว ถึงกระนั้น มังตราก็ยังพลาดท่าโดนทวนจะเด็ดเข้าที่มือ
มังตราลงไปนั่งร้องให้กับพื้นด้วยความเจ็บ จะเด็ดตกใจที่พลาดไปถูกมังตรา รีบทิ้งทวนเข้าไปดู
มังตราโกรธเอาทวนใกล้ๆตัวฟาดจะเด็ดหลายที จะเด็ดนิ่งยอมให้ลงโทษแต่โดยดี จันทราแอบมองอยู่กับพวกเด็กผู้หญิงและพวกพี่เลี้ยง รีบวิ่งออกมาห้าม จะเด็ดยังคงก้มนิ่งอย่างสวามิภักดิ์ มังตรายังเอาแต่ร้องไห้ยังไม่หายแค้น จันทราจึงต้องคอยปลอบน้อง มหาเถรมังสินธูนั่งมองนิ่งๆไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้น

ภายในโบสถ์ วัดกุโสดอมหาเถรมังสินธูจุดธูปให้จะเด็ดกับมังตราสาบานต่อหน้าพระประธาน
มังสินธูกล่าวนำ
"ข้าพเจ้าจะไม่คิดคดทรยศต่อพระราชบุตรมังตรา จะจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่"
"ข้าพเจ้าจะไม่คิดคดทรยศต่อพระราชบุตรมังตรา จะจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่" จะเด็ดกล่าวตาม
มหาเถรมังสินธูพยักหน้าให้มังตราพูด
"ข้าพเจ้าจะรักนับถือจะเด็ดเป็นเสมือนพี่ชายร่วมอุทรและอภัยให้จะเด็ดในทุกๆเรื่อง"
"ข้าพเจ้า…จะรักนับถือจะเด็ดเป็นเสมือนพี่ชายร่วมอุทรและอภัยให้จะเด็ดในทุกๆเรื่อง"
มังตราโผเข้ากอดคอจะเด็ดอย่างแรง จนหงายท้องล้มลง ทั้งคู่ในวัยเด็กหัวเราะกันสนุกสนาน
อุทยานตองอู ในเวลากลางคืน เสียงมังตรายังคงเล่นสกาอย่างเมามัน สนุกสนานมาก จะเด็ดนั่งมอง ทหารจุดไต้เอามาปัก จะเด็ดเข้าไปกระซิบถาม
"เสด็จกลับได้หรือยัง ค่ำแล้ว"
"ยัง"
มังตรายังสลับเล่นระหว่างจะเด็ดกับเหล่าขุนนางหลายคน จนกระทั่ง เมื่อเหลียวมาอีกที จะเด็ดหายไปแล้ว มังตราลุกพรวด ถามทหาร
"พี่เราไปไหน"
"ไปเรือนท่านแม่นมแล้วพระราชบุตร"
มังตราคว่ำกระดานสกาอย่างแรง "เลิก" ก่อนฉุนเฉียวเดินออกไป มหาดเล็กตามแทบไม่ทัน

ลานหน้าเรือนเลาชี ขบวนเสลี่ยงสีวิกา จันทรากำลังเคลื่อนขบวนออก แต่ไม่มีจันทรานั่งอยู่ในนั้น จะเด็ดเดิน สวนเข้ามามองไม่เห็นจันทราก็แปลกใจ
"ตะละแม่จันทราล่ะ พระพี่เลี้ยง"
"ตะละแม่ขอประทับอยู่ที่นี่คืนหนึ่งจ๊ะ ท่านจะเด็ด"
ขบวนเสลี่ยงสีวิกาเคลื่อนออกไป จะเด็ดรู้สึกหัวใจเต้นแรงไม่สามารถเก็บความกดดันภายในไว้ได้

จะเด็ดปีนหน้าต่างเข้ามาในห้อง เวลากลางคืน จันทรานั่งแต่งตัวอยู่ตกใจ เขามองอย่างบูชา แล้วคลานเข้ามาจับมือตะละแม่ขึ้นมาจูบแนบไว้กลางหน้าผาก จันทราเองก็สั่นไปทั้งร่าง แต่พยายามระงับอารมณ์
"ไฉนทำเกินควรดังนี้ ข้าพเจ้าขอไว้แล้วไง"
"ผิดชอบชั่วดี ข้าพเจ้ารู้อยู่แก่ใจ หากไม่เกรงราชภัยจะเกิดแก่น้องท่าน ข้าพเจ้าจะขอชิงน้องท่านบุกป่าซอกซอนไม่ให้ผู้ใดพบ"
"พี่ท่านกลับออกไปก่อนเถอะ เหตุนี้ร้ายแรงนัก"

มังตราเดินขึ้นมาบนเรือนเลาชี ทุกสิ่งเงียบ แต่พอหันมองไปที่ห้องจันทรา มีโขลนนั่งเฝ้าหน้าห้อง 2 คน ราชบุตรมองเห็นแสงเทียนลอดส่องสว่างออกมาจากใต้ประตู จึงเดินไปแอบฟัง
"โปรดเชื่อน้องเถอะ ใจน้องนี่ก็ไม่ได้ผิดพี่ท่านหรอก แต่กระทำเช่นนี้พี่ท่านจะต้องโทษหนัก รีบกลับออกไปก่อนที่จะมีใครเห็น"
มังตราแน่ใจว่า จะเด็ดอยู่ในนั้นกับจันทราแน่ จึงสั่งโขลนที่เฝ้าอยู่
"เจ้าเฝ้าหน้าต่างห้องพระพี่นางไว้อย่าให้ใครออกมา ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร เจ้าจัดการมันได้เลย แล้วเอ็งไปตามสมเด็จแม่มาด่วน"
โขลนคนหนึ่งวิ่งออกไป โขลนอีกคนคว้าหอกได้รีบวิ่งไปคุมเชิงอยู่ที่หน้าต่าง แล้วมังตราก็รีบวิ่งเข้าไปห้องนางเลาชี

มังตราทุบประตูเรียกเลาชี แต่พยามยามไม่ให้เสียงดังมากนัก
"แม่นม แม่นม เปิดประตู แม่นมเปิดประตู"
เลาชีสีหน้าตื่นตกใจ
"มีอะไรเกิดขึ้นมังตรา"
มังตรารีบเข้ามาฉุดมือเลาชีไปที่ห้องจันทราอย่างรวดเร็ว เลาชียังไม่เข้าใจยืนงงมองหน้ามังตราอยู่
"นี่เรื่องอะไรกันมังตรา"
"ท่านแม่บอกให้พระพี่นางเปิดประตูออกมาซิ และจะรู้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างในกับพระพี่นางนั้นเป็นใคร"
เลาชีตกใจแทบจะล้มทั้งยืน พอจะเดาอะไรออก ได้แต่ยืนตัวสั่น
"ถ้าท่านแม่ไม่กล้าเรียก ข้าพเจ้าจะเรียกเอง พระพี่นางเปิดประตูหน่อยซิ สมเด็จแม่ให้มารับตัวกลับวัง พระพี่นาง ได้ยินไม๊" มังตราเรียกพลางทุบประตู

จะเด็ดอยู่ในห้องจันทรา กำลังมองลงไปด้านล่างหน้าต่าง เห็นโขลนถือหอกยืนเฝ้าอยู่ จันทรากลัวกอดจะเด็ดไว้แน่น
"ผิดครั้งนี้น้องยินดีรับโทษด้วยพี่ท่าน"
"ข้าพเจ้าจะออกไปพบราชบุตรเอง"

จะเด็ดกอดจันทราไว้ด้วยความเป็นห่วง

ขบวนพระราชเทวีเสด็จมาถึง แล้วเสด็จขึ้นบนเรือนไปทันที ทุกคนทรุดตัวลงกราบ ยกเว้นพวกโขลน

"มีเรื่องร้อนอะไรกันนัก มังตรา"
"พระพี่นางอยู่ให้ห้องนี้กับท่านพี่จะเด็ด"
"เป็นไปได้อย่างไง ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น อ้ายลูกถ่อยของเจ้าทำความงามหน้านัก ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่เกรงพระราชอาญา เรียกมันให้เปิดประตูออกมา"
มังตรายิ้มสมใจมองไปในห้องพี่สาว

ภายในห้อง จันทราร้องไห้อย่างหน้าสงสาร เสียงพระราชเทวีดังเข้ามา
"เรียกมันเปิดประตูออกมาสิ มัวช้าอยู่ทำไม"
จันทราสั่นไปทั้งตัว
"สมเด็จแม่"
เลาชีเคาะประตูเรียก
"จะเด็ด เปิดประตูออกมาเดี๋ยวนี้นะ แม่บอกให้เปิดได้ยินไม๊"
จะเด็ดพยายามสงบสติอารมณ์ ขณะที่จันทราลนลาน
"ข้าพเจ้าถึงตายแน่ จะขอตายกับพี่ท่าน"
จะเด็ดสีหน้าตรึกตรอง

ภายนอกห้อง พระราชเทวีทุบประตูอย่างแรง
"ถ้าไม่เปิด แม่จะเรียกทหารทั้งวังมาพังประตูเดี๋ยวนี้ ลูกอยากให้หมู่คนมันรู้กันหมดทั้งวังรึไง แม้นว่าเป็นลูกเรา แต่ปลงใจทำชั่วถึงขนาดนี้ ก็จะให้ตายไปด้วยกัน เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิด"
ภายในห้อง จะเด็ดประคองจันทรา มองตา เสียงมั่งคงกระซิบบอก
"อย่าขัดขืนวิธีการที่ข้าพเจ้าจะทำเป็นอันขาด"
"ทำอะไร พี่ท่านจะทำอะไร" จันทรากระซิบถาม
"การครั้งนี้เหมือนเราสองคนจะข้ามฝั่ง โดยมีเรือน้อยนั่งได้เพียงผู้เดียว"
เสียงเคาะประตูดัง
"ตะละแม่เปรียบประดุจเพชรประดับมหาพิชัยมงกุฏ จงยึดเรือน้อยไปถึงฝั่งเถิด"
"ไม่...ไม่นะ"
"วาสนาของข้าพเจ้ากับน้องท่าน พระพรหมกำหนดแล้วจะเป็นไปอย่างไรก็สุดแท้ ให้สัญญาก่อน"
จันทราน้ำตานองเต็มหน้า จะเด็ดซับน้ำตา กระซิบเบาๆ
"สัญญา จันทราสัญญาก่อน"
จันทราเอาแต่ร้องไห้ จนทำให้จะเด็ดลังเลที่จะทำตามที่คิดไว้

พระราชเทวีเคาะประตูเสียงดัง เลาชีก็ช่วยเคาะ แต่เสียงเบากว่า

"จะเด็ดอยู่รึเปล่าลูก"
เลาชีหันมาทางพระราชเทวีบอก
"ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่มีใครกระมังพระเทวี"
มังตราทุบประตูอย่างแรง
"มีซิ มีแน่ๆ เราได้ยินเสียง"
มังตราจะเงื้อมือทุบ ประตูก็เปิดอกทันที จะเด็ดยืนอยู่ไม่มีผ้าโผกหัว ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น
พระราชเทวีถาม
"อ้ายคนชั่ว ไหน ลูกสาวชั่วของเราอยู่ไหน"
สีหน้าจะเด็ดยอมรับผิดทุกอย่าง

จะเด็ดยังคุกเข่าลงกับพื้นอย่างสำนึกผิด เลาชีตรงเข้าตบหน้าฉาดใหญ่ แล้วถาม
"ตะละแม่จันทราล่ะ"
จะเด็ดไม่ตอบ เดินออกมายืนห่างจากประตู ทุกคนขยับเข้าไปดูที่ประตู เห็นจันทราถูกผูกข้อมือหลายเปลาะ ผูกปากด้วยผ้าโผกหัวจะเด็ด
"อะไรกัน"
มังตราหน้าเสียพวกโขลนรีบเข้าไปแก้มัด
"โทษของข้าพเจ้าครั้งนี้ แม้ต้องถ่ายด้วยชีวิตก็หาสาสมไม่ ที่อาจเอื้อมกระทำการต่อพระธิดา...ขอถวายชีวิต"
มังตรายืนตะลึงงันอยู่ เลาชีปราดเข้าหาจะเด็ด ลากตัวมาแล้วตบตีไม่ยั้งมือ แล้วร้องไห้ไปด้วย
"อ้ายจะเด็ด ถ้ากูรู้ว่า น้ำนมกูจะชุบเลี้ยงมึงให้ทรยศต่อพระเจ้าอยู่หัว เพลานี้ กูตายเสียดีกว่าที่จะอยู่มีชื่อว่าเป็นแม่อ้ายคนไม่รู้คุณเจ้านาย"
จะเด็ดนิ่งยอมให้ทุบตี จันทราสงสารจะเด็ดเอาแต่ร้องไห้
"ถ้าแม่เลาชีไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับจะเด็ด ก็อย่าเหลือความสงสารแก่มันเลย คุมตัวมันให้แน่นหนา เราจะนำความนี้ขึ้นกราบบังคมทูล"

จะเด็ดถูกคุมตัวอยู่ ข้อมือถูกมัดเชือกติดกับต้นเสากลางบ้าน มีทหารและโขลนเฝ้าอยู่
ภายในห้องนอน เลาชี ไหว้พระสวดมนต์ นางร้องไห้น้ำตาไหลตลอดเวลา

กลางบ้าน เรือนเลาชี มังตราเดินเข้ามามองเหมือนรู้ตัวว่าผิดที่ทำเกินเหตุ
มังตราเสียงอึกอักนิดหน่อย
"ไม่ควรทำนี่พี่ท่าน"
"อันบุรุษถึงจะต่ำต้อยวิทยาการใดก็ยังถือว่าเป็นบุรุษ แต่ถ้าขาดความกล้าหาญ จะเรียกบุรุษได้อย่างไร" จะเด็ดบอก
มังตรา หน้าเสีย
"มังตราท่านเป็นขัตติยราชสูงกว่าคนทั้งแผ่นดิน ไฉนมาละความกล้าเสีย ทำมารยาประหนึ่งอิสตรี เมื่อท่านลงมือทำภัย ทำไมจึงไม่กลัว"
มังตราก้มหน้า
"ข้าวิตกแทนท่านนัก ต่อไปเบื้องหน้าจะเรียกตนเองว่า ชายชาตินักรบได้อย่างไร"
มังตราสำนึกผิด
"พี่ท่านกล่าวเหมือนอาวุธเสียดเข้าไปในอกเรา ยกโทษให้เราเถิดนะ"
ทั้งคู่ต่างจ้องหน้ากัน
"วานพี่ท่านอย่าเก็บความไม่รู้คิดของเราเป็นข้อผูกพยาบาทเลย คิดอ่านหาทางผ่อนหนักเป็นเบาเถิด"
จะเด็ดหน้าครุ่นคิด
"เร็วสิ คิดเร็วๆ"
"เดี๋ยว กำลังตรองอยู่"
"ไม่ตรึก...ไม่ตรองแล้ว บอกมาเลย"

จะเด็ดเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรอยู่

อ่านต่อหน้า 3

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ในเวลาต่อมา ที่ท้องพระโรงฝ่ายใน ตำหนักพระเจ้าอยู่หัวสิริชัยะสุระ พระตำรวจวังโบยขวับหลายที จะเด็ดสะดุ้งสุดตัว พระเจ้าสิริชัยะโบกมือให้หยุด

"จันทราบอกความจริงมา เหตุใดต้องไปประทับที่เรือนพระนมไม่ยอมกลับพระตำหนัก"
จันทราร้องไห้ เงยหน้าเหมือนจะพูด แต่จะเด็ดชิงพูดก่อน
"ข้าพเจ้ากระทำเองพระเจ้าค่ะ ตะละแม่ไม่ได้รู้เห็นประการใดเลย"
พระเจ้าสิริชัยะสุระท่าทางเหนื่อยหอบ
"โบยมัน ...ไม่ต้องหยุด"
พระตำรวจโบย จะเด็ดสะดุ้ง แต่อดทนไม่ร้อง ได้แต่บิดตัวอยู่ไปมา ด้วยความเจ็บมาก จันทราน้ำตาไหลพราก เลาชีทั้งสงสารจันทรา ทั้งแค้นจะเด็ด
พระตำรวจโบยไปอีกหลายที
"ถ้าสมเด็จพ่อยั้งการลงทัณฑ์แก่จะเด็ด"
จะเด็ดส่งเสียงครางให้จันทราหันมาบอกด้วยสายตาว่า จำต้องทำ
จะเด็ดบอกด้วยสายตาเข้มมากว่า...อย่า
"ถ้ายั้งการลงทัณฑ์ ลูกจะทูลความจริง"
จะเด็ดตกใจ รีบร้องห้าม
"ตะละแม่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ผิด ข้าพเจ้าเป็นผู้ผิดจริงๆ"
เลาชีคลานเข้ามาจับมือจันทราร้องไห้ด้วยความสงสาร

ภายท้องพระโรงฝ่ายในโมงยามนั้น จันทรายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น ทุกคนจ้องมองไปที่นางด้วยสายตาเดียว
"ตะละแม่อย่าพูดอื่นใดเลย .ข้าพเจ้ายอมรับผิดทุกอย่างแล้ว โปรดลงทัณฑ์ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวเถิด" จะเด็ดบอก

"ความจริงเรื่องมันเป็นเช่นไร ถึงจะเป็นหญิง เจ้าก็มีเลือดขัตติยะ พูดความจริงมา" พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระว่า
เลาชีร้องไห้จับมือจันทราไว้แน่น จะเด็ดจำต้องเงียบ ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด

ถนนในพระราชฐานทางไปพระตำหนัก มังตราลากมหาเถรมังสินธูที่อยู่ในอาการเหนื่อยหอบลิ้นห้อย หายใจถี่แรง ซวนเซ มังตราเกือบล้มไปด้วยเพราะจูงอยู่ มังตราตัดสินใจแบกขึ้นหลังวิ่งขึ้นบันไดไป

ท้องพระโรงฝ่ายใน ตะละแม่จันทราทูลความจริงต่อเบื้องพระพักตร์พระราชบิดา แล้วยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
"ลูกทูลตามความจริงแล้ว ขอโปรดหยุดโบยพี่ท่านเถิด"
พระเจ้าสิริชัยะสุระยิ่งทรงกริ้วมากขึ้น
"นี่หมายความว่าเจ้ากระทำอย่างที่พระเทวีเข้าใจใช่ไม๊....พระเทวีโบยตะละแม่จันทราด้วยอีกคน"
เลาชีรีบลุกไปขวางพระตำรวจวังไว้
เลาชีจำต้องกัดฟันพูด
"อ้ายลูกชั่วข้าพเจ้ามันบังอาจ ลงโทษมันแต่ผู้เดียวเถิด ตะละแม่ไม่ได้เป็นใจด้วยกับมัน พระเทวีก็ทรงประจักษ์อยู่แล้วว่า ตะละแม่ถูกมันพันธนาการถึงปานนั้น"
เลาชีกอดจันทราไว้แน่ไม่ยอมให้โขลนเข้าใกล้

มังตราแบกมหาเถรมังสินธูอยู่บนหลังวิ่งลุยเข้าตำหนักฝ่ายในไป เลาชีกอดตะละแม่อยู่ไม่ให้โขลนเอาตัวพระธิดาไป
"ได้โปรดเถิดพระเทวี ตะละแม่ไม่ได้รู้เห็นจริงๆ อย่าลงโทษพระพี่นางเลย"
"เหตุไฉน พระองค์มองข้ามอุปนิสัยของสตรีที่เวทนาสัตว์ผู้ยาก ถ้าเป็นจริง ไหนเลยจะไม่รับเสียกับพระราชเทวีในคราวแรก ความที่ตะละแม่กราบทูลเพราะใจเวทนาข้าพเจ้าหรอก..พระองค์ท่านควรเชื่อในคำข้าพเจ้าสักครั้งเถิด" จะเด็ดบอก
"มึงนี่เจรจาเกินตัวนัก ยังจะเจรจาลวงกระทั่งกูเชียวหรือ โบยมันอีก"
มังตราแบกมหาเถรมังสินธูมาถึงประตู แต่ตัวเองไม่กล้าเข้าไป ได้แต่รุนหลังพระภิกษุชราเข้าไปคนเดียว
"ไปเลยพระอาจารย์ .เข้าไปเลย เร็วๆ เดี๋ยวไม่ทันการ"
มหาเถรรีบตรงไปยังที่ประทับ พระมหาสิริชัยะสุระประทับนั่งหอบเหนื่อยอยู่
"มหาบพิตร มหาบพิตร อาตมาขอบิณฑบาต"
พระราชเทวีและคนอื่นๆต่างทรุดลงกราบมหาเถร ยกเว้นพระเจ้าอยู่หัวที่เพียงยกมือพนมอยู่บนที่ประทับ
"ถึงพระองค์จะนำตัวจะเด็ดไปตัดหัวที่ไหน ก็ไม่อาจทำให้เรื่องสงบลงได้ เรื่องทั้งหมดพระราชบุตรโวยวายขึ้นมาเอง เนื่องจากโกรธที่จะเด็ดไม่ยอมอยู่เล่นสกาด้วย ถ้าจะเด็ดจะได้รับโทษพระราชบุตรมังตราก็สมควรต้องโทษด้วย"
มังตราแอบฟังอยู่ถึงกับสะดุ้ง
"เด็กเขาโตมาด้วยกัน เมื่อห่างกันไปก็ย่อมจะคิดถึงกันเป็นธรรมดา เราผู้ใหญ่คิดมากกันแบบผู้ใหญ่ เรื่องเสียหายถึงได้เกิดขึ้นปานนี้ ถ้าพระองค์ระแวงเรื่องดังนี้ อาตมาก็จะขอจะเด็ดไปดูแลเอง"
เลาชีก้มกราบมหาเถรด้วยสำนึกบุญคุณเป็นล้นพ้น
"และเพื่อจะให้เป็นประโยชน์กับตองอูในภายหน้า อาตมาจะขอส่งจะเด็ดไปอยู่กับขุนวังทะกยอดิน เพื่อจะได้ศึกษางานจากขุนวัง กลับมาเป็นข้าราชวงศ์เมงกะยินโยสืบไป"

ลานบ้านขุนวังทะกยอดินนรธา หลายวันต่อมา นันทวดีกำลังตรวจสอบสินค้าเพื่อประเมินอากรต่างๆ บรรยากาศดูสับสนวุ่นวายไม่น้อย มีทั้งเกวียน วัว ช้าง ข้าวของสินค้าต่างๆวางเกะกะเต็มลานไปหมด
“นันทวดี” กับสาวใช้สองคน เดินไปที่ศาลาที่ขุนวังทะกยอดินนั่งอยู่กับมหาดเล็ก พ่อของนางกำลังอ่านพระราชหัตถเลขาเป็นกระดาษสาม้วนอยู่บนตั่งใหญ่กลางศาลา มีทาสหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ นันทวดีเข้ามาหมอบไหว้ขุนเมืองราย
ทะกยอดินบอก
"นันทวดีบุตรสาวข้าพเจ้าเอง เขาเป็นกำลังสำคัญในกิจการงานเรือนแทนแม่ที่ตาย ไม่อย่างนั้น ข้าพเจ้าคงหาใครมาปรนนิบัติไม่ได้...ก็ดีนะ ถ้าได้ลูกชายพระนมเลาชีมาช่วยราชการที่นี่อีกสักคน ข้าพเจ้าก็จะเบาแรง แต่น่าเสียดายที่มีเหตุไม่ดีขึ้นในวังขนาดนั้น"
"ขอประทานโทษท่านขุนวังทะกยอดิน เรื่องนี้ขอกำชับให้เป็นความลับนะท่าน ใครได้ข่าวจะเสื่อมถึงพระเกียรติ"

ขุนเมืองรายบอก

นันทวดีนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

"เอาละ ด้วยเป็นพระประสงค์ในพระเจ้าอยู่หัว เรายินดีน้อมเกล้าปฎิบัติ เชิญท่านกลับเถอะ อย่ากังวลเลย"
นันทวดีไหว้ ขุนเมืองรายลาทะกยอดินออกไปโดยมีทาสคนหนึ่งออกไปส่ง
"เรื่องอะไรกันหรือท่านพ่อ"
"พระเจ้าอยู่หัว ส่งลูกชายพระนมมาให้เราดูแล ฝึกราชการอยู่ที่นี่"
"ไม่ใช่เรื่องนั้นท่านพ่อ เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงต่างหาก"
"จะเด็ด ลูกพระนมมีใจพิศวาสต่อตะละแม่จันทรา พระธิดาอันประสูติแก่พระอัครมเหสี ถึงกับลักลอบเข้าพบกันในที่รโหฐาน พระองค์ท่านจึงคิดจับแยกให้ห่างกัน"
"คนแบบนี้ท่านพ่อจะรับเข้ามาอยู่ในบ้านเราทำไม บ่าวไพร่สาวๆก็มีหลายคน เดี๋ยวก็จะเกิดเรื่องบัดสีขึ้นในบ้านเรา"
"เป็นพระประสงค์ เราไม่ควรคัดค้าน"
"พวกผู้ชายเจ้าชู้ไม่เลือกที่ต่ำที่สูงนี่ ลูกชังน้ำหน้านัก คอยดูนะ มาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่ลูกจะดัดสันดานให้เข็ด มันผู้นั้นชื่ออะไรนะ ท่านพ่อ"
"ชื่อ จะเด็ด"
นันทวดีทำหน้าเหมือนได้กลิ่นเหม็น

ในโบสถ์วัดกุโสดอ จะเด็ดถือธูป 3 ดอกในมือ ควันธูปลอยอบอวล
"สาบาน...สาบานต่อหน้าองค์พระเดี๋ยวนี้เลย ดวงชะตาเจ้าต่อไปภายหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้ แต่หากได้ทรงชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้ว ถ้าแม้เจ้าเคลิ้มในอำนาจราชศักดิ์เพลาใด เพลานั้นห้ามเจ้าทรยศต่อมังตราราชบุตร จงสนองคุณในราชวงศ์เมงกะยินโยจนตัวตาย สาบานถวายสัตย์ต่อพระประธานในวิหารกุโสดอนี้"
จะเด็ดพนมมือขึ้นไหว้
"เบื้องหน้า แม้อำนาจวาสนาของข้าจะรุ่งโรจน์ประการใด จะไม่คิดแย่งเศวตฉัตรจากมังตราเป็นอันขาด จะซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เมงกะยินโย จะดูแลมังตราราชบุตรดุจน้องร่วมอุทรมารดาเดียวกัน จะปกป้องมังตราราชบุตรด้วยชีวิต หากข้าผิดสาบานขอให้หัวข้าหลุดจากบ่า เลือดอย่าได้ตกต้องธรณีตองอู....ข้าขอสาบาน"
จะเด็ดกล่าวจบก็ปักธูป และกราบลง 3 ครั้ง

นันทวดีเดินเข้ามาในเรือนเล็ก ขณะที่ทาสหญิงกำลังช่วยกันเก็บข้าวของทำความสะอาดอยู่"เอาละ...พวกเจ้ารีบกลับออกไปได้แล้ว และข้าขอสั่งเด็ดขาดว่าห้ามมาที่เรือนนี้อีก และไม่มีกิจจำเป็นอันใดก็ห้ามสนทนาด้วยชายผู้นี้ ถ้าข้าเห็นผู้ใดขัดคำสั่งข้าจะโบยให้หลังลาย จำไว้...ข้ารังเกียจชายที่มักในกามา โดยไม่มีสติไตร่ตรอง ไป รีบออกไป"
พวกทาสหญิงรีบเก็บข้างของออกไปจากในเรือน สวนกับทะกยอดินที่เดินเข้ามา"พ่อนึกว่าลูกจะให้ท่านจะเด็ดเขาอยู่ที่เรือนด้านหน้าเสียอีก" "ลูกคิดว่าไม่น่าเหมาะ เพราะด้านหน้ามีผู้คนเข้าออกมากมายผิดวิสัย เดี๋ยวจะเกิดเรื่องบัดสีอย่างในวังหลวงขึ้น"
ทะกยอดินพยายามจะห้ามปรามบุตรสาว
"นันทวดี"
"อยู่เรือนนี้มีแต่พวกบ่าวไพร่ทาสชายล้วน แล้วลูกก็สั่งห้ามพวกทาสหญิงเข้ามาบริเวณนี้ น่าจะกำหราบกำหนัดลงได้บ้าง"
"นันทวดี ฟังพ่อ"
"ท่านพ่อก็อย่างให้ท้ายมันนัก เกิดยังไม่สำนึก เราจะเสื่อมชื่อไปด้วย ลูกไปละไม่อยากอยู่เห็นหน้า"
นันทวดีเดินออกมาเจอจะเด็ดยืนฟังอยู่ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัว นางยืนตะลึงจ้องหน้าอย่างไม่แน่ใจ ทะกยอดินเดินตามออกมาจากในเรือน
"คนนี้แหละคือจะเด็ด พนักงานคนใหม่ของพ่อ ท่านจะเด็ด ถ้ามีสิ่งใดขัดข้องให้แจ้งแก่นันทวดีได้ น้องนันทวดีนี้ ข้าพเจ้าได้มอบอำนาจในเรือนนี้ให้ดูแลทั้งหมด"
จะเด็ดหันมามองนันทวดีด้วยแววตาใสซื่อ
"เป็นพระคุณยิ่งที่ท่านเป็นธุระให้ข้าพระเจ้า"
นันทวดีตกตะลึงนิ่งงันพูดไม่ออก


พระราชวังเมืองแปร ตั้งตระหง่าน อลังการ ภายในท้องพระโรงฝ่ายหน้า เสียงดนตรีประโคม ขุนทหารข้าราชการหมอบเฝ้าอยู่เต็มท้องพระโรง พระเจ้าแปรนรบดีประทับอยู่บนบัลลังก์
รานองอุปราชเมืองแปร กล่าวขึ้นว่า
"ด้วยเพลานี้พระเจ้ามหาสิริชัยยะสุระ เมงกะยินโยเจ้าแผ่นดินตองอูได้ประชวรลง กองสอดแนมเราแจ้งว่าคงมีพระชนม์ชีพได้อีกไม่นาน หากดับสูญลงวันใด มังตราราชบุตรคงได้รับมอบสิริราชสมบัติ ด้วยพระชนม์ยังน้อยคงจะปกครองบ้านเมืองไม่ได้เข้มแข็ง ข้า...อุปราชรานองแห่งแปร จึงเห็นสมควรว่าควรจะตั้งขบวนราชทูตไปเจริญไมตรีเพื่อหยั่งเชิงสถานการณ์ เพราะแปรเป็นเมืองเล็กตั้งอยู่ใกล้อาณาจักรตองอูกว่าเมืองใด จึงไม่ควรประมาทในการณ์นี้"
พระเจ้าแปรนรบดีสีหน้าล้ำลึก
ปะขันหวุ่นญีเห็นว่า
"ตองอูเป็นเมืองที่ตั้งราชวงศ์ขึ้นมาภายหลัง ด้วยความจริงคงอยากขยายอาณาเขต แต่เราอย่าลืมว่า พระเจ้าสการะวุฒิพีแห่งกรุงหงสาวดีนครอันยิ่งใหญ่นั้น คือราชนัดดาแห่งแปร ย่อมคุ้มครองแปรได้ ใครหรือจะอาจมารังควาญแปร"
"ในการณ์นี้ข้าพเจ้าคาดว่าหงสาวดีคงยังไม่ได้ยินข่าว เพราะอยู่ห่างตองอูกว่าเรามาก เราน่าจะจัดการส่งข่าวให้แก่พระเจ้าสการะวุฒิพีทรงทราบ" รานองว่า

"ถ้าเช่นนั้นก็จงแจ้งข่าวไป แล้วรอดูว่าพระเจ้าหงสาวดีมีพระประสงค์เช่นไร เราจะได้ถือปฏิบัติตาม"

อ่านต่อหน้า 4

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 1 (ต่อ)

วันใหม่ นอกเมืองหงสาวดี ทหารส่งข่าวจากแปร 3 คนควบม้ามาแต่ไกล มีธงเมืองแปรเป็นสัญลักษณ์โบกไสว

ในท้องพระโรงเมืองหงสาวดี พระเจ้าสการะวุฒพีนั่งบัลลังก์อยู่แล้ว สอพินยาประทับในที่พระอุปราช มีไขลูอยู่ข้างพระที่ สการะวุฒิพีตรัสว่า
"ตองอูนั้นเปรียบเสมือนเนื้อก้อนใหญ่ ขบเคี้ยวอร่อยลิ้นยิ่งนัก แต่เมงกะยินโยเป็นพระเจ้าแผ่นดินชรา ไม่คิดการเชิงรบแล้วจู่ๆ จะหาข้อขัดแย้งยกกำลังไปหักหาญนั้น ดูประหนึ่งเราขาดไร้ซึ่ง
ความเป็นราชาธิราช"
"แต่หากพระเจ้าตองอูมหาสิริชัยยะสุระสิ้นบุญญาธิการ ที่จะประทับใต้เศวตรฉัตรแล้ว ไฉนเลยมังตราราชบุตรที่ฟันน้ำนมยังไม่หมดปากจะปกป้องตองอูได้" สอยันปายบอก
เสียงโคนสุคญีบอก
"แต่ท่านขุนวังอย่าลืมว่า ขุนพลตองอูคู่บารมีของเมงกะยินโยนั้นมีฝีมือยิ่งนัก ที่เราอยากรู้เวลานี้ก็คือ เขาคิดกันเยี่ยงไร"
"ข้าเห็นว่าเมืองตองอูเป็นชัยภูมิที่เปรียบเสมือนด่านกั้นเมืองอังวะและยะไข่ด้านทิศเหนือ และอังวะเองก็จ้องจะยึดเมืองตองอูเสมอมา หากตองอูอ่อนอำนาจลง ข้าเชื่อว่าอังวะคงเข้าตีตองอูเป็นแน่ และถ้าอังวะได้ตองอูเสียแล้ว เมืองแปรก็คงไม่พ้นอังวะเช่นกัน อย่างนี้แล้วหงสาวดีก็คงนิ่งดูดายไม่ได้ ควรจะส่งคนเข้าไปสอดส่องประมาณกำลังทแกล้วทหารตองอูเสียก่อนที่จะไม่ทันการ"
"ถ้าเช่นนั้น เราก็ควรจัดคณะทูตไปเยี่ยมพระอาการแก่พระเจ้ามหาสิริชัยยะสุระเป็นการเจริญไมตรีดุจเดียวกับแปร คณะมนตรีเห็นสมควรว่า จะแต่งตั้งผู้ใดเป็นหัวหน้าคณะทูตไปตองอูครั้งนี้ ถึง
จะเหมาะสม" สอยันปายว่า
สอพินยาบอก
"ข้า สอพินยาอุปราชแห่งหงสาวดี ขอรับอาสาการนี้เองพระเจ้าพี่ หากเป็นผู้อื่นอาจไม่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระเจ้าตองอู การที่จะสืบถึงภายในก็จะไม่อาจทราบความ"
พระเจ้าสการะวุฒิพีหันไปมองเหล่าอำมาตย์ทั้งหมด เสียงโคนสุคยี และขุนทหารของหงสาวดีออกความเห็นสนับสนุนเต็มที่
"อุปราชสอพินยา พระอนุชาเหมาะสมแล้วพระเจ้าข้า"
ข้าราการทั้งหมดขานรับ
"เห็นควรพระเจ้าค่ะ"
ทุกคนในท้องพระโรงถวายบังคม

พระเจ้าสิริชัยะสุระทรงบรรทมอยู่บนเตียง พระราชเทวีและจันทรากำลังนำยาที่หมอหลวงปรุงถวายให้พระองค์เสวย มังตรายืนกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ

ทางในชนบท ขบวนราชทูตหงสาวดี และแปร มีสอพินยานั่งคู่กับรานองในรถม้า โดยมีไขลูขี่ม้าตามรถม้า

วันใหม่ บริเวณโกดังเก็บข้าว เรือนทกะยอดิน จะเด็ดกำลังสั่งการให้พวกทาสยกกระสอบสินค้าเข้าไปเก็บในโกดัง พร้อมกับจดบันทึกรายการลงในกระดานดำ นันทวดีแอบยืนมองการทำงานของจะเด็ดอย่างเงียบๆ ระหว่างนั้น เขามองเห็นนางว่ายืนมองตนอยู่ จึงจะเดินไปหา นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
"มีการอันใดจะให้ข้าพเจ้าทำหรือน้องนันทวดี"
"ไม่...มี"
"ถ้าอย่างนั้น น้องท่านมายืนลอบมองข้าพเจ้าอยู่ทำไมตั้งนาน สองนาน"
"ไม่ได้ลอบ ก็...ก็ ข้าเพียงแต่ กำลังคิดว่าจะบอกเจ้าเรื่องพระเจ้าอยู่หัวดีหรือไม่"
"พระเจ้าอยู่หัวมีเรื่องอันใด"
"พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรนะซิ เห็นว่าเจ้าเคยรับใช้พระองค์อยู่เลยมาบอก ท่านพ่อย้ำข้าว่าทุกอย่างถูกเก็บเก็บเป็นความลับ คิดว่า เจ้าคงไม่รู้"
นันทวดีพูดจบ รีบเดินออกไปทันที จะเด็ดตกใจ ยกมือขึ้นพนมไหว้ไปทางพระราชวังหลวง เหมือนจะถวายพระพร

ในเดือนต่อมา ภายในท้องพระโรงเมืองตองอู พระเจ้าสิริชัยะสุระทรงอ่อนเพลียแต่พยายามฝืน ประทับอยู่กับพระราชเทวีอยู่บนบัลลังก์ มังตรา, สอพินยากับรานองประทับรองลงมา ไขลูเข้าเฝ้าอยู่ใกล้สอพินยา ส่วนรานองมีองครักษ์อยู่ใกล้ๆ เสนา-อำมาตย์ตองอูเข้าเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง
ขบวนราชทูตแปรกับหงสาวดี นำเครื่องราชบรรณาการเข้าถวายตามประเพณี
"ข้าพเจ้า รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้านรบดีแห่งแปร และพระเจ้าสการะวุฒิพีแห่งกรุงหงสาวดีเป็นล้นพ้น ที่ทรงเป็นห่วงพระอาการของข้าพเจ้า หาก..."
พระเจ้าสิริชัยะสุระมีอาการหายใจไม่ออก ก่อนฝืนพระวรกายตรัสต่อ
"...ข้าพเจ้าแข็งแรงเมื่อไหร่ จะ...จะ เสด็จไปเข้าเฝ้าใต้เบื้องยุคลบาทถึงแปรและหงสาวดีเลยทีเดียว"
สอพินยายิ้มละไมที่เต็มไปด้วยไมตรี
"ขอพระเจ้าอา ทรงมีพระพลานามัยปราศจากโรคาโดยเร็วเถิด ตองอูกับหงสาวดี มีสัมพันธ์ดุจพี่น้องกันมาตั้งแต่เริ่มตั้งราชวงศ์ เมื่อพระองค์ทรงพระประชวรย่อมวิตกเป็นธรรมดา"
"แปรเองก็เช่นกัน พระโอสถที่พระเจ้านรบดีทรงนำมาถวายนั้น เป็นโอสถชั้นเลิศ ที่แปรมีในห้องยาหลวง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะรักษาพระองค์ให้ทุเลาได้เร็ววัน" รานองบอก
"ข้าพเจ้าขอ ทูลไปยังพระเจ้าอยู่หัวท่านด้วยกตัญญูหาที่สุดไม่ได้อีกครั้ง และขอให้คณะทูตจงพักผ่อนในตองอูนครของเราด้วยความผาสุขตามเท่าที่พำนัก เรา ได้มอบให้ขุนวังทะกยอดินเป็นผู้ดูแลคณะท่าน"
ทะกยอดินถวายความเคารพสอพินยาและรานอง ทุกคนถวายบังคม มหาดเล็กข้างที่ประทับรีบพยุงพระเจ้าสิริชัยะสุระเข้าไปฝ่ายในทันที พระราชเทวีตามเสด็จด้วยความเป็นห่วง สอพินยากับรานองมองหน้ากันอย่างมีเลศนัย

มหาดเล็กประครองพระเจ้าอยู่หัวประทับยังพระแท่นบรรทม โดยมีพระราชเทวีดูแลอยู่ใกล้ๆ
นางกำนัลเดินนำทะกยอดินเข้ามาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์
พระราชเทวตรัสกับมหาดเล็ก"จัดโอสถถวายซิ" ก่อนจะตรัสกับสวามี
"เห็นสมควรให้หมอหลวงตรวจพระอาการอีกครั้ง"
มหาดเล็กกับหมอหลวงรีบถวายงานตามรับสั่ง พระเจ้าสิริชัยะสุระยกพระหัตถ์กวักเรียกทะกยอดินให้เข้ามาใกล้ๆ
"เจ้า อย่าเชื่อตามที่แปรและหงสาวดีรับสั่ง ข้าให้เขาไปพักกับเจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นขุนนางที่ฉลาด จะไม่หลงกลเมืองอื่น...ง่าย"
"รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า"
พระเจ้าอยู่หัวทำท่าหายใจไม่ออก พระราชเทวีกับหมอรีบถวายโอสถ

ทะกยอดินถวายบังคมรับบัญชาลา

ห้องโถงภายในเรือนทะกยอดิน จะเด็ดกับกรมวังกำลังเก็บเอกสารสำคัญใส่หีบ บ่าวไพร่เช็ดถูทำความสะอาด ทะกยอดินเดินนำบ่าวไพร่ที่แบกของออกตามมาจากในห้อง นันทวดีเดินตามออกมา

"ท่านพ่อน่าจะอธิบายในลูกเข้าใจมากกว่านี้ ว่าทำไมพระองค์ถึงให้อุปราชที่แสนยิ่งใหญ่มาพำนักอยู่ที่เรือนเราเยี่ยงนี้ ผิดไปลูกอาจโดนตำหนิที่ทำการต้อนรับบกพร่อง"
"ราชการบ้านเมืองเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงน่ะลูก"
"แต่ท่านพ่อเคยชมลูกไม่ใช่หรือว่า ลูกปฏิบัติงานได้เยี่ยงลูกชาย ปฏิบัติได้สมยศพ่อโดยไม่ได้เข้าไปอยู่ในวัง และการครั้งนี้ลูกก็อยากตั้งใจทำให้เห็นความสามารถ"
"ลูกทำได้ดีแน่พ่อเชื่อใจ แต่การนี้พ่ออยากให้ลูกสนองงานอุปราชอยู่ห่างๆ"
"ท่านพ่อหมายถึงอะไร"
"งานรับใช้ใกล้ชิดอุปราชทั้งสอง พ่อจะยกให้กับจะเด็ดเขา"
นันทวดีหันมามองจะเด็ดอย่างไม่พอใจ
"ลูกเป็นผู้มีอำนาจตัดสินในบ้านนี้แต่ผู้เดียว ไฉนท่านพ่อถึงให้ผู้อื่นทำ"
"เอาเถอะ...อุปราชท่านเป็นชาย ถ้าให้ชายคอยรับใช้ชายจะเป็นการสะดวกกว่า แล้วอีกอย่างจะเด็ดเองก็รับใช้ใกล้ชิดพระราชบุตรมาก่อน น่าจะเข้าใจขนบธรรมเนียมในราชวังดี และลูกก็จะได้ผ่อนแรง"
กรมวังรีบเข้ามาแจ้ง
"ขบวนราชทูตเสด็จมาแล้วท่านขุนวัง"
นันทวดีมองจะเด็ดอย่างไม่พอใจจะเด็ดทำงานไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้ไม่ชี้

ขบวนราชทูตทั้งสองเมืองเคลื่อนขบวนมาหยุดที่ลานบ้าน สอพินยากับรานองประทับรถม้ามาด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีบ่าวไพร่ 10 คน ทหารม้าเมืองแปร 4 คน ทหารม้าหงสาวดี 6 คน โดยมีทหารตองอู 6 คนนำมา
ทะกยอดิน, นันทวดี และเหล่ากรมวังยืนรอรับเสด็จอยู่แล้ว ทุกคนทำความเคารพ
"เราคงไม่ได้ทำให้ท่านขุนวังลำบากมากนักใช่ไม๊" สอพินยาถาม
"เป็นบุญที่ได้รับสนองพระองค์อย่างที่สุด .เรือนใหญ่หลังนี้จะถวายให้พระองค์อุปราชทั้งสองประทับ"
รานองถาม
"น่าจะเป็นเรือนท่านอยู่เป็นแน่ แล้วท่านล่ะไปอยู่เสียที่ไหน"
"ข้าพเจ้าย้ายไปอยู่เรือนเล็กกับบุตรสาวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอเบิกตัวเข้าเฝ้า นันทวดี บุตรีข้าพเจ้า"
นันทวดีที่เข้ามากราบอุปราชทั้งสอง สอพินยามองนันทวดีอย่างไม่กระพริบตา

ในเรือนใหญ่ กรมวังกับบ่าวไพร่ช่วยกันยกของขึ้นมาจัดเก็บแล้วออกไป สอพินยา รานอง ไขลู เดินเข้ามา
"เมงกะยินโยยังไม่สิ้นลายเป็นแน่" รานองบอก
สอพินยาถาม
"ท่านอาพูดถึงการใด"
"การหนึ่งที่เราต้องมาประทับยังเรือนขุนวังนี่ ก็เพื่อจะได้ห่างไกลจากราชวังหลวง การสองก็เพื่อเราจะได้มาเจริญการค้ากับขุนวังทะกยอดิน"
"หรือไม่ก็เพื่อให้ได้มาพบแม่นางนันทวดีบุตรีขุนวัง เพื่อหวังสร้างสัมพันธ์ด้วยหงสา ท่านคิดเช่นไร ไขลู"
"หากท่านอุปราชสอพินยาจะพานางบุตรีขุนวังตองอูกลับไปกรุงหงสาวดี พระคู่หมั้นอเทตยาแห่งแปรจะคิดเช่นไร...จริงไม๊ท่าน อุปราชรานอง" ไขลูบอก
สอพินยาหัวเราะชอบใจ
"ข้าพเจ้าเองยังไม่เคยเห็นหน้าคู่หมั้นตัวเอง ท่านอาว่า อเทตยาแห่งแปรกับแม่นางนันทวดีแห่งตองอู นางผู้ใดงามเหนือกัน"
จะเด็ด กระแอมกระไออยู่ในห้อง ทุกคนเงียบเสียงลงทันที ไขลูขยับดาบหันไปถาม
"มันผู้ใดหาญเข้ามาอยู่ในเรือน ออกมา"
จะเด็ดค่อยๆเดินหน้าซื่อออกมา
"เจ้ามีเหตุอันใดถึงบังอาจเข้ามาอยู่ในเรือนพักอุปราช"
"ขุนวังทะกยอดินท่านให้ข้าพเจ้ามาคอยเฝ้ารับใช้ท่านอุปราชสอพินยา" จะเด็ดบอก
สอพินยาได้สติรีบสำรวมกิริยา
"ถ้าอย่างนั้นเพลานี้เราไม่มีกิจอันใด เจ้าออกไปได้" ไขลูบอก
จะเด็ดเดินออกไปอย่างนอบน้อม รานองหัวเราะชอบใจ
"ต่อไปนี้เราไม่ควรพูดอะไรโดยไม่ระวัง พรุ่งนี้อาจะออกไปสังเกตรอบๆเมือง ท่านจะไปด้วยอาไม๊"
"ข้าพเจ้าขอตรองดูก่อน เดินทางมาเหนื่อยเหลือเกิน"
รานองมองสอพินยาอย่างรู้ทัน แล้วเดินเข้าห้องไป สอพินยามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

จะเด็ดเดินออกมาจากเรือนพักอุปราช เห็นนันทวดี เดินนำบ่าวสาวนำอาหารจะเอาไปให้สอพินยา จะเด็ดเข้ามาขวางไว้
"เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขวางเรา"
"น้องท่านจะนำอาหารไปไหน"
"ใครเป็นน้องเจ้า"
"ท่านขุนวังสั่งข้าพเจ้าไว้ว่าให้นับถือท่านเป็นน้อง มีอะไรก็ให้สั่งสอนได้"
"เกินตัว เจ้ากำเริบมากไปแล้วนะ หลีกไป"
"ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ดูแลเรือนอุปราช เพราะฉะนั้นใครจะขึ้นเรือนต้องได้รับอนุญาตจากข้าพเจ้าก่อน เพื่อความปลอดภัยของคณะฑูต"
นันทวดียืนตัวสั่นด้วยความโกรธ)
"เจ้า...เราเป็นเจ้าของเรือน ต้องการให้ท่านอุปราชได้เสวยตามธรรมเนียม"
"ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะจัดการเอง เชิญน้องท่านกลับไปได้"
นันทวดีโมโหสะบัดหน้าไปทันที จะเด็ดมองตาม แล้วยิ้มกับตัวเอง

ศาลารับแขก หน้าบ้านทะกยอดินนั่งตรวจบัญชีอยู่ นันทวดีเดินโมโหเข้ามานั่งใกล้ๆ
"ท่านพ่อ...ลูกจะทนคนของท่านพ่อไม่ไหวแล้วนะ"
"ผู้ใด"
"ก็จะใคร พ่อพนักงานใหม่ที่ชื่อจะเด็ดนั่นไง ท่านพ่อคัดท้ายจนมันขึ้นวอชูคอ ไม่เกรงแม้กระทั่งลูก"
"จะเด็ดเขาทำอะไรลูก"
"เขาไม่ให้ลูกขึ้นไปบนเรือนอุปราช ทั้งๆที่มันเป็นเรือนของเรา เขาอ้างว่าเป็นการอารักขอุปราช เขาคิดว่าลูกจะขึ้นไปปลงพระชนม์อุปราชรึไง คนที่ลูกอยากฆ่าคืนมันต่างหาก"
"ความจริงจะเด็ดเขาเพียงทำตามหน้าที่ต่างหาก จริงซิ พ่อยังไม่เคยนึกถึงข้อนี้เลย สมแล้วที่เขาโตมาในเขตเศวตรฉัตร"
"ท่านพ่อ ต่อไปนี้ลูกคงต้องขออนุญาตเขาก่อนลงจากเรือนตัวเองด้วยกระมัง มันวางอำนาจ"
"นันทวดี...ลูกจงรู้ไว้ข้อหนึ่งว่า การอารักขานั้นถ้าทำกับคนที่เรารัก มันคือการป้องกันภัย แต่ถ้าทำกับคนที่เราไม่ไว้ใจก็คือการควบคุมตัว ลูกคิดว่าจะเด็ดเขาทำอย่างไหน"

นันทวดีนิ่งตรองเหมือนไม่แน่ใจ

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น