ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 16
วันต่อมาที่เรือนขุนเมืองราย จะเด็ดนั่งคุยอยู่กับขุนเมืองรายที่ยังบาดเจ็บอยู่
“ขอน้าท่านอย่าเป็นห่วงเลยข้าพเจ้ารู้นิสัยของสอพินยาดี หากข้าพเจ้ายั้งทัพพวกโมนยินอังวะไว้ได้ การจะปีนกำแพงตีเมืองเอาให้ชนะขาดนั้นคงไม่ทำ เพราะหมายพึ่งกำลังอังวะมากกว่าจะยอมเสียลี้พลตัวเอง”
“แล้วท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าจะยั้งทัพพวกอังวะอยู่”
“หากทำลายหน่วยกำบังลงได้ ข้าพเจ้าก็จะสามารถแหวกกลางทัพอังวะออกเป็นสองส่วนได้ คราวนี้ก็จะเกิดระส่ำระสาย พวกอังวะซึ่งถูกเมงกยอกแงบังคับมาให้ออกรบก็คงพากันวิ่งกลับเข้าค่าย ไม่ได้หมายจะรบจริง ทีนี้ก็จะเหลือแต่พวกโมนยิน ซึ่งเป็นทหารไม่มีระเบียบ คงไม่สามารถรวมตัวกันติด จึงเป็นการง่ายที่ข้าพเจ้าจะไล่ตีให้เตลิดไป”
“ข้าพเจ้าดีใจเหลือเกินที่ได้ท่านมาช่วยพระเจ้าอยู่หัวได้ทันการณ์ แล้วท่านจะออกท้ารบกับพวกมันเมื่อไหร่”
“วันนี้ข้าพเจ้าได้ส่งทหารแม่นธนูออกไปแจ้งสาส์นพวกมันแล้ว คงไม่เกินอีกสอง-สามราตรี คงได้รับมือพวกมันแน่”
ขุนเมืองรายพนมมือจดหัว
“ขอเทพยดาฟ้าดินช่วยปกปักรักษาแผ่นดินตองอูข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วยังมีอะไรที่ท่านยังกังวลอยู่อีกไม๊”
“นายทหารที่พาออกรบครั้งนี้ข้าพเจ้ายังไม่รู้ใจกันดี ไม่คุ้นเคยเหมือนพวกจาเลงกาโบ เนงบา สีอ่อง”
“อย่ากังวลเลย คนตองอูเพลานี้ต้องการแม่ทัพที่เข้มแข็ง เกียรติศักดิ์ความกล้าหาญของท่านก็เป็นที่ลือในหมู่ทหารอยู่ ขอท่านสำแดงความเป็นคนกล้าให้พวกเขาเห็นเท่านั้น ทุกคนพร้อมพลีชีวิตให้มาตุภูมิ”
“และข้อสำคัญอีกอย่าง ข้าพเจ้าเกรงพระทัยพระเจ้าอยู่ว่าหากถูกพวกอังวะร้องท้าจะระงับโทสะไม่อยู่ พาทหารออกนอกกำแพงไล่ตีข้าศึกจนได้รับอันตราย”
“ข้อนี้ข้าพเจ้าก็จนปัญญาเหมือนกัน พระนิสัยวู่วาม เอาโทสะเป็นที่ตั้งนี่เปลี่ยนไม่ได้จริงๆ”
ขุนเมืองรายหนักใจไม่แพ้จะเด็ด
ที่กองบัญชาการค่ายอังวะ จิสะเบงยืนอ่านสาส์นท้ารบของจะเด็ดอยู่ต่อหน้าสอพินยาและโสหันพวา
เมงกยอกแงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งแม่ทัพโมนยิน ทหารอังวะยืนเฝ้าอยู่รายรอบ
“พระเจ้าตองอูส่งสาส์นออกมาท้ารบกับเราแล้ว ครั้งนี้เราต้องบุกตะลุยเข้ากำแพงเมืองตองอูให้ได้ ทัพหงสาของท่านคงพร้อมในการบุกตองอูแล้วนะท่านอุปราช”
สอพินยาพยักหน้าตอบโสหันพวาหันและมองจิสะเบงที่นิ่งอ่านสาส์นอยู่
“มีอะไรหรือท่านจิสะเบง”
“ผู้ลงนามในหนังสือนี้เป็น แม่ทัพบุเรงนอง”
สอพินยาอึ้งไป
“มันจะเป็นผู้ใดก็ช่างปะไร ขอให้มันเป็นพวกตองอูข้าพเจ้าตัดหัวมันขาดได้ทุกคน” เมงกยอกแงบอก
“แต่มันผู้นี้คือคนตัดศีรษะน้องชายทั้งสองของท่านอาจารย์” เมงกยอกแงโกรธมาก
“ข้าพเจ้าละบวชมาก็เพื่อจะทำศึกกับมันผู้นี้ แรงแค้นข้าพเจ้าจะได้ทุเลาลงเสียที”
“รบหนก่อนข้าพเจ้าเห็นจะเด็ดยังห่มผ้ากาสาว์อยู่ บัดนี้มันคงละเพศบรรพชิตนำทัพออกทำศึกเอง ข้าพเจ้าคะเนตามที่รู้จักนิสัยคนผู้นี้ดีว่ามันต้องมีแผนอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงออกมาท้ารบ ฉะนั้นข้าพเจ้าขอเตือนว่าท่านอาจารย์ต้องตรองให้หนัก หาไม่คงเอาชนะมันไม่ได้” จิสะเบงบอก เมงกยอกแงโมโห จ้องมองจิสะเบงด้วยความโกรธ
“ท่านมันก็คนตองอู อย่ามาหมิ่นข้าพเจ้าเช่นนี้เด็ดขาด จงคอยดูว่ามันมีปีกกระพือบินหนีข้าพเจ้าได้หรือไม่”
จิสะเบงนั่งเงียบ
สอพินยาเดินม้าลัดเลาะมากับจิสะเบงและทหารเพื่อกลับค่ายทิศตะวันตก ท่าทางสอพินยากับจิสะเบงดู
เซื่องซึมไป
“อย่าคิดมากไปเลยจิสะเบง เราไม่ถือโทษโกรธท่านดอก”
“ขอบพระทัยพระอนุชาที่เชื่อใจข้าพเจ้า เมงกยอกแงทะนงตนไม่ฟังคำข้าพเจ้าเพราะไม่รู้จักจะเด็ดจริง”
“งั้นท่านแจ้งข้าพเจ้ามาเถิดว่า จะเด็ดคิดจะแก้กลอย่างไร”
“ข้าพเจ้าไม่รู้แผนลึกดอก แต่จับพิรุธได้ว่าครั้งก่อนโมนยินต้องออกร้องท้าปรามาส ตองอูจึงยกทัพออกมา แต่ทำไมครั้งนี้ตองอูกลับเป็นฝ่ายร้องท้าโมนยินเสียเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าหงสาวดีก็ได้ตั้งค่ายมั่นคงแล้ว สำแดงว่าจะเด็ดต้องมีอะไรดี ไม่อย่างนั้นจะไม่นำทหารออกมาเสี่ยงตายเด็ดขาด”
สอพินยาหัวเราะเสียงดัง และยิ้มอย่างมีเลศนัย ควบม้าวิ่งออกไป จิสะเบงสงสัย ควบม้าตามไป
คืนนั้นที่กองบัญชาการค่ายสอพินยา ไขลูนั่งสนทนาอยู่กับสอพินยา
“ถ้าพระอนุชาประสงค์จะใช้ศึกครั้งนี้เป็นกลผูกมิตรละก้อ เราก็ไม่ต้องสั่งทหารปีนกำแพงตองอู สู้ออมแรงรอให้ทัพอังวะแตกแล้วจึงเข้าไปช่วยล้อมน่าจะเป็นการดีกว่า”
“เราขอให้จะเด็ดมันได้ใจกำเริบตีตะลุยเข้ามาในวงล้อมเราเถิด จะขอกุดหัวมันจบศึกกันเสียที”
“กลนี้ ข้าพเจ้าจะเอาจิสะเบงเข้าช่วยรุม จะเด็ดเมื่อมันเห็นหน้าจิสะเบงคงแค้นกำเริบอีกสิบเท่า คราวนี้เราก็ไม่ต้องออกแรง ปล่อยให้จะเด็ดกับจิสะเบงมันเข่นฆ่ากันเอง”
สอพินยายิ้มอย่างพอใจในแผนของไขลู
วันรุ่งขึ้น จะเด็ดในชุดออกรบมีธงปักอยู่ข้างหลัง นั่งอยู่บนหลังม้ามีกองทัพล้อมรอบ
“พี่น้องทหารของข้าพเจ้าทั้งหลาย ท่านไม่เคยเป็นทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้ามาก่อน แต่ข้าพเจ้าขอให้พี่น้องทหารจงมั่นใจเถิดว่า ตราบใดที่ท่านรบตามหลังข้าพเจ้า นั่นหมายความว่าข้าพเจ้ายังเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าหาศัตรู ขอให้พี่น้องทหารจงอย่าทอดทิ้งข้าพเจ้า จงตามติดข้าพเจ้าอย่าได้ลดละ เราจะให้สัตย์สาบานร่วมกันว่า เราจะรบเพื่อราชวงศ์เมงกะยินโย รบเพื่อวงศ์ตระกูลของตัวเอง รบเพื่อรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานสืบไป”
กองทหารทั้งหมดโฮร้องอย่างห้าวหาญ
จะเด็ดควบม้านำทหารตองอูมาเต็มทุ่งอย่างองอาจ กล้าหาญ เมงกยอกแงนำทัพทหารอังวะโมนยินเดินมาหยุดอยู่กลางสมรภูมิรบ
จะเด็ดติดธงควบม้านำทหารมาหยุดอยู่ห่างๆ เมงกยอกแงควบม้าออกมาอยู่หน้ากองทหาร
“ท่านเองหรือคือบุเรงนองที่แจ้งสาส์นไปถึงเรา”
“เราเอง เมื่อครั้งโมนยินยังเป็นคนป่าเข้าปล้นกรุงแปร เรานี้ คือผู้ตัดหัวเมงฮลาแงและเมงกวนแงน้องชายท่านเอง”
“เรายินดีที่จะไม่ต้องเก็บความแค้นให้สุ่มใจต่อไปอีกนาน ท่านจงยื่นคอมารับคมอาวุธเราโดยดีเถิด อย่าให้ทหารผู้น้อยต้องลำบากเลย”
“เราเองก็เปรมใจที่จะได้หัวแม่ทัพทั้งสามพี่น้อง มากองประดับเกียรติตัว จะได้เอาไว้โอ่ให้แคว้นอื่นฟัง”
“งั้นจะช้าอยู่ทำไม๊ เร่งม้าเข้ามาเลย”
จะเด็ดกระตุกม้าเร่งเข้าใส่ กองทหารตองอูพากันเฮ เมงกยอกแงพุ่งม้าเข้าหาทันที ทหารอังวะเฮ
สองคนควบม้าเข้าร่ายทวนกันอย่างดุเดือด ทหารทั้งสองฝ่ายเฮให้กำลังใจแม่ทัพตน
กองทหารหงสาวดียืนนิ่งสงบไม่ไหวติงอยู่กลางทุ่ง สอพินยา ไขลู จิสะเบง ยืนม้านิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
“เสียดาย วันนี้พระเจ้ามังตราเลือกที่จะบัญชาการแต่ในกำแพง ไม่ยอมออกศึกกลางแปลงคู่จะเด็ด”
จิสะเบงยืนม้ากระสับกระส่าย จิตใจไม่ปกติ สอพินยามองเหมือนขัดใจ แต่ไขลูยังคงนิ่งสงบ
ที่กำแพงเมืองตองอู มังตรายืนมองกองทัพหงสาวดีที่ตั้งทัพอยู่ไกลๆ อย่างหงุดหงิด
“ถ้าพวกมันไม่บุกเข้าปีนกำแพง ก็ให้พวกมันยืนทัพกันอยู่เช่นนั้น”
มังตรายืนนิ่งมองออกไปนอกกำแพงอย่างมีสติ
กองทหารหงสาวดีที่ยังยืนสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม สอพินยาหงุดหงิดที่ต้องยืนม้าคอยเฉยๆ
ส่วนที่ทุ่งกลางหุบเขา จะเด็ดร่ายทวนสู้กับเมงกยอกแงอย่างดุเดือด โดยมีทหารทั้งสองฝ่ายเฮ เมงกยอกแงเริ่มพลาดท่าเสียทีควบม้าหนีกลับเข้าทัพ จะเด็ดตามรุก กองทหารม้าจะเด็ดทะยานเข้าหากองทหารม้าอังวะที่หนี เป็นการตามไล่ล่าที่ตื่นเต้น
ทหารม้าตองอูที่เหลือและพลเดินเท้าต่างทะยานเข้าหากองทัพอังวะเช่นเดียวกัน กองม้าโมนยินควบหนีพาเมงกยอกแงหลบเข้าหลังกองทัพอังวะ
“กองกำบัง พร้อม”
กองกำบังโมยินวิ่งออกมาตั้งกำแพงบังกองทหารม้าไว้ทันที กองทหารม้าตองอูพุ่งเข้าหาแนวกำบังอย่างไม่ลดละ เมงกยอกแงมองด้วยความสงสัย แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมพวกตองอูมันไม่รั้งม้าไว้”
ทหารม้าตองอูดึงหอกพิเศษที่มีโซ่ล่ามติดข้างอานม้าออกมา กองม้าตองอูควบม้าเข้ามาหยุด แล้วพุ่งหอกเข้าใส่แนวกำบังอย่างรวดเร็ว โล่แนวกำบังถูกหอกพิเศษซึ่งมีโซ่ล่ามติดอานม้าอยู่พุ่งทะลุเข้ามาจนตั้งรับไม่ทัน ทหารม้าตองอูชักม้ากลับออกซ้ายขวาทันที แนวกำบังถูกม้าลากกระเด็นกระจัดกระจายอย่างไม่เป็นท่า
ทหารแนวกำบังถูกลากติดกับโล่ลากไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา กองม้าตองอูและพลเดินเท้าตองอูพุ่งเข้าเข่นฆ่ากองทหารอังวะอย่างดุเดือด ทหารอังวะที่เหลือต่างพากันวิ่งเอาตัวรอดกลับเข้าค่ายทันที เมงกยอกแงตกใจ ร้องลั่น
“กลับมาก่อน กลับมาสู้กับมันก่อนไอ้พวกอังวะตาขาว”
ทหารม้าตองอูตามไล่ตีพวกอังวะที่วิ่งหนี พวกอังวะกลุ่มแรกหนี ทำให้พวกที่วิ่งตามหลังต้องหันมาสู้กับทหารตองอูที่ตามมาอย่างจนตรอก จะเด็ดพยายามควบม้าเข้าหาเมงกยอกแง แต่ถูกสกัดจากกลุ่มทหารโมนยิน เมงกยอกแงเห็นท่าจะสู้ไม่ได้จึงหาทางหนี
สอพินยา ไขลู จิสะเบงมองไปที่กองทัพโมนยินแตกพ่าย
“เป็นไปตามท่านคาดแล้วท่านไขลู สั่งทหารล้อมตีพวกตองอูได้แล้ว”
“ทหาร ตั้งปีกกาปล่อยให้ทัพอังวะจากทิศเหนือผ่านไปอยู่แนวหลังไว้”
ทหารกองหงสาวดีพากันแผ่ขยายปีกไปทางเหนือทันที
ที่เชิงเทินกำแพงเมืองตองอู มังตราเห็นทหารม้าและพลเท้าหงสาวดีกำลังแปรเป็นปีกกาไปทางเหนือ มังตราทหารม้าและพลเท้าอังวะโมนยินแตกกระเจิดกระเจิงโดยมีทหารตองอูตามมาติดๆ”
“พวกมันไปรุมทัพจะเด็ด ทหารเตรียมกองม้าให้เราเดี๋ยวนี้ เราจะออกไปช่วยจะเด็ดรับศึกกลางแปลงกับพวกมัน”
“แต่ว่า พระเจ้าอยู่หัว”
“ทำตามที่เราสั่งเดี๋ยวนี้”
สอพินยาควบม้าเข้ามาเคียงไขลูและจิสะเบง มองอย่างพอใจ ก่อนสั่งการ
“ท่านไขลู ท่านจิสะเบง จะเด็ดมันพุ่งม้าตรงมาโน้นแล้ว ท่านทั้งสองจนนำทหารไปต้านมันไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะขออยู่ปลอบใจท่านเมงกยอกแงแล้วจะตามไป”
ไขลูกับจิสะเบงชักม้าออกไปกลางหมู่ทหาร
“ทหาร ตามข้าพเจ้ามา ประหารพวกตองอูให้หมด”
ทหารที่เหลือควบม้าตามจิสะเบงกับไขลูไป
กองม้า กองเดินเท้าอังวะโมนยินกำลังหนีกองม้า พลเท้าตองอูจะเด็ดที่ไล่ติดตามมา เมงกยอกแงควบม้ามาในกลุ่มทหารโมนยิน ร้องสั่งโวยวาย
“ทหารกลับไปยันมันไว้ ทหารหงสาวดีมาช่วยเราแล้ว”
ไขลูกับจิสะเบงควบม้านำทหารหงสาวดีสวนไปข้างหน้า ปล่อยให้ทหารเมงกยอกแงสวนไปอยู่ด้านหลัง จะเด็ดควบม้ามาในกลุ่มทหารตองอู เมงกยอกแงควบม้าเข้ามาในกลุ่มทหารสอพินยาพร้อมทหารติดตามกลุ่มหนึ่ง สอพินยาที่รออยู่ยิ้มให้ เมงกยอกแงรู้สึกอับอาย
“เราแค้นใจเหลือเกิน ปล่อยให้จะเด็ดมันแก้กลเอาได้”
“อย่าห่วงเลยท่านอาจารย์ แค้นของท่านข้าพเจ้าจะล้างให้เอง”
ไขลูกับจิสะเบงควบม้านำทหารหงสาวดีและทหารอังวะโมนยินมาหยุดตั้งแนวรับ จะเด็ดควบม้ามาหยุดตั้งแนวรับด้วยเช่นกัน จิสะเบงกับจะเด็ดเผชิญหน้ากัน
“ข้าพเจ้าละอายต่อฟ้าดินนัก ที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักกุโสดอกับคนทรยศแผ่นดิน จนบัดนี้ข้าพเจ้ายังกลัวนรกปากไม่กล้าเอ่ยให้พระอาจารย์รู้”
จิสะเบงไม่กล้าสบตากับจะเด็ด ไขลูรีบปลอบ
“อย่าฟังมันท่านจิสะเบง เป็นเพราะลูกนางนมช่างเจรจาเอาข้อดีใส่ตัวต่างหาก มันรั้งสไบพระพี่นางตองอูปีนคว้าตำแหน่งแม่ทัพไป คนลุ่มน้ำอิรวะดีต่างรู้กันทั่ว เอาเลยซิ ท่านจิสะเบง ข้าพเจ้าจะให้เกียรติท่านได้ล้างมลทินก่อน”
จิสะเบงฮึดสู้
“จะเด็ด ลิ้นเล่ห์ของท่านเท่านั้นที่เรายอมด้อยกว่า แต่เพลงทวนบนอานม้าท่านอย่าหมายว่าจะเอาชนะเราได้ เสียดายก็แต่ วันนี้มหาเถรกุโสดอจะไม่ได้เห็นความจริงข้อนี้ ถ้าบูชาครูจบแล้วก็กระทืบผนังม้าออกมาเลย”
จะเด็ดยกทวนขึ้นจบศีรษะ แล้วกระทบโกลนม้าพุ่งออกไปทันที ทหารตองอูพุ่งเข้าหาทัพหงสาวดีทันที จิสะเบงพุ่งม้าออกรับ ทหารหงสาวดีวิ่งตาม
จะเด็ดพุ่งม้าเข้าร่ายทวนกับจิสะเบงอย่างดุเดือด ไขลูยืนม้ามองอย่างพอใจ
ประตูเมืองตองอูเปิดออก มังตราควบม้านำทหารตองอูพุ่งออกมาอย่างห้าวหาญ สอพินยากับเมงกยอกแงหันไปเห็น แล้วยิ้ม
“สุดท้ายพระเจ้าตองอูก็ออกจากกำแพงจนได้”
“ขอข้าพเจ้าได้ล้างอายเป็นผู้เด็ดหัวพระเจ้าตองอูเองเถิดท่านสอพินยา”
สอพินยายิ้มค้อมศีรษะให้ เมงกยอกแงและทหารโมนยินควบม้าพุ่งออกไปทันที สอพินยาชอบใจที่ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย มังตราและทหารตองอูพุ่งเข้าประจัญบานกับกองทหารเมงกยอกแง
จะเด็ดกับจิสะเบงกำลังร่ายทวนกันอยู่ จะเด็ดหันไปเห็นมังตราออกมาก็ตกใจจะเข้าไปช่วย ไขลูจึงต้องพุ่งม้าออกขวาง จะเด็ดจึงถูกไขลูกับจิสะเบงรุมสองต่อหนึ่ง
จะเด็ดจึงสุดปัญญาจะไปช่วยมังตราได้
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 16 (ต่อ)
มังตราร่ายทวนสู้กับเมงกยอกแงท่าทางเพลี้ยงพร้ำหลายหน มังตราโกรธ พุ่งม้าเข้าใส่อย่างบ้าบิ่น คราวนี้เมงกยอกแงจะพลาดบ้าง
สอพินยาเห็นไม่เข้าท่าจึงเข้าช่วยรุมสุดท้ายมังตราโดนด้ามทวนสอพินยาฟาดเข้าหน้าถึงคิวแตก
เมงกยอกแงเข้าซ้ำจนทวนมังตราหลุดจากมือ มังตราพยายามหลบคมทวนของทั้งสองได้หลายหน แต่ก็หลบไม่พ้น
เมงกยอกแงแทงทวนหมายต้นคอ มังตราเบี่ยงตัวหลบหันหลังให้
มังตราเสียที ถูกทวนเมงกยอกแงแทงเข้าที่สะบักหลักหนึ่งแผลฉกรรจ์ จะเด็ดหันมาเห็นตกใจ
“จะเด็ด พี่ท่าน”
มังตราเจ็บหนักฟุบลงกับคอม้า ทหารม้าตองอูเข้าขวางถูกสอพินยาแทงตายอีกคน มังตราพยายามควบม้าหนี เมงกยอกแงกับสอพินยาควบตาม
“พระเจ้าตองอูถึงฆาตแล้วท่านอาจารย์ อย่าให้รอดไปได้”
จะเด็ดรวบรวมแรงอึดสุดท้ายแหวกวงล้อมจิสะเบงกับไขลูออกไปได้ ทหารตองอูเข้าสกัดไขลูกับจิสะเบงไว้
มังตราควบม้าหนีสุดกำลัง เมงกยอกแงกับสอพินยาควบม้าตามไล่ประหารอย่างไม่ลดละ
จะเด็ดควบม้าตามไปช่วยมังตราอย่างสุดชีวิต
“ตองอู ยันทัพข้าศึกให้ได้ อย่าให้มันเข้าประชิดกำแพง”
จะเด็ดตะโกนสั่ง สอพินยาเห็นจะเด็ดตามมาก็หันมาสู้ จะเด็ดหลบคมทวนสอพินยาไปได้ ควบม้าตามเมงกยอกแงไปทันที เมงกยอกแงควบม้าจวนถึงมังตราแล้ว มีทหารตองอูเข้าขวางอีกแต่ถูกเมงกยอกแงฆ่าตายตกม้าไปอีกคน
จะเด็ดควบม้าตามมาอยู่ในระยะกับเมงกยอกแง ตัดสินใจพุ่งทวนในมือออกไป ทวนของจะเด็ดพุ่งแหวกอากาศมาถูกม้าเมงกยอกแงล้มกลิ้งไปทันที จะเด็ดควบม้าผ่านเมงกยอกแงไปแล้วชักม้ากลับมา
“ตองอู กลับเข้ารักษากำแพงเมือง”
กองทหารหงสาวิ่งตามกองทัพตองอู สอพินยาควบม้ามาหยุดมองตามจะเด็ดไป ไขลู จิสะเบงควบม้าเข้ามาเคียงข้าง
“น่าเสียดายที่เอาหัวพระเจ้าตองอูมันไม่ได้ สั่งทหารถอยกลับค่ายเถิดท่านไขลู”
สอพินยาบอก เสียงเป่าสัญญาณถอยดังขึ้น สอพินยา ไขลู จิสะเบงชักม้ากลับ ทหารค่อยๆ ถอยตาม
จะเด็ดควบม้ามาถึงหน้ากำแพงตองอูหยุดม้าหันกลับมามอง เห็นว่าพวกสอพินยาไม่ตาม
ท้องพระโรงฝ่ายใน หมอหลวงกำลังพยาบาลมังตราอยู่ที่พระแท่นมีนันทวดี จันทรา กำลังเฝ้าดูอย่างเป็นห่วง เลาชูกับจะเด็ด หมอบเฝ้าห่างออกมา
“พระอาการพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างไรบ้าง” นันทวดีถามหมอหลวง
“เสมอเทพยดาปรารถนาจะบันดาลพระบารมีพระเจ้าอยู่หัว ให้ราษฎรประจักษ์ในพระมหากรุณาธิคุณ คมอาวุธของข้าศึกจึงไม่อาจทำร้ายพระองค์ ให้เป็นอันตรายถึงสวรรคต”
เลาชีหันมามองจะเด็ดที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ
“เป็นเพราะเจ้าคนเดียว หลงสตรีเมืองแปรจนตองอูเดือดร้อนไปทั่วทำไมเจ้าไม่ปกป้องพระเจ้าอยู่หัวด้วยชีวิต พระเจ้าอยู่หัวต้องอาวุธ แต่เจ้ากลับแคล้วคลาดได้อย่างไร”
เลาชีต่อว่าจะเด็ด จะเด็ดเสียใจน้ำตาไหล แต่ไม่โต้ตอบ จันทรามองจะเด็ดด้วยความน้อยใจแต่ก็ต้องเข้ามาห้ามเลาชีไว้
“การรบบ้างครั้งก็ไม่มีใครช่วยใครได้ดอกแม่ท่าน น้องท่านไม่เป็นอะไรแล้วแม่ท่านอย่ากลัวเลย”
จะเด็ดยังนั่งเงียบ
“แล้วเมื่อไหร่ศึกนี้จะสิ้นสุดกันเสียที”
มหาเถรเดินเข้ามา ทุกคนทรุดลงกราบ มหาเถรเดินไปมองมังตราแล้วหันมาจ้องจะเด็ด เห็นน้ำตาจะเด็ดอยู่ก็เข้าใจ มังตรายังคงนอนสงบนิ่ง
ที่กองบัญชาการโมนยิน โสหันพวา สอพินยา ไขลู จิสะเบง ยังอยู่ในสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการสู้รบ
ทหารโมนยินนำเครื่องดื่มเข้ามาให้ โสหันพวามีสีหน้าเคียดแค้นที่เสียขุนพลเมงกยอกแง
“ไอ้จะเด็ดมันฝากรอยแค้นเพิ่มให้ข้าอีกคราวแล้ว อาจารย์เมงกยอกแงไม่น่าพลาดท่าให้มันง่ายๆ เช่นนี้เลย”
“ท่านอย่าเสียใจไปเลย บาดแผลที่ท่านฝากไว้ให้พระเจ้าตองอูนั้นอาจคุ้มค่ากับการเสียท่านเมงกยอกแงไปก็ได้” ไขลูบอก
“ข้าและกองทัพโมนยินต้องการเข้าไปเหยียบในกำแพงเมืองตองอูโดยเร็วที่สุด พวกท่านมีแผนการอย่างไร” โสหันพวาถาม
“ข้าคิดว่าต่อจากนี้พวกตองอูคงไม่กล้าออกกลางแปลงอีก ทหารและขุนศึกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่เมืองแปร คงแค่รักษากำแพงเมืองไว้เท่านั้น” จิสะเบงบอก
สอพินยามีสีหน้าสะใจ สมน้ำหน้า
“ถึงขนาดให้ไอ้จะเด็ดสึกออกมาเป็นผู้นำทหารออกรบ ตองอูคงหมดขุนศึกแล้วเป็นแน่”
“พวกท่านรีบคิดแผนการในการเข้าตีตองอูโดยเร็ว ก่อนที่ทหารโมนยินของข้าจะหมดความอยากในการทำศึก”
“ท่านโสหันพวาอย่าเป็นกังวลเลย ข้าคิดว่าท่านจิสะเบงคงมีแผนการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเป็นแน่”
ไขลูบอกแต่จิสะเบงยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร
มหาเถรมองออกไปนอกกำแพงเมืองนิ่งคิด มีจะเด็ดยืนอยู่ใกล้ๆ
“ศึกตองอูครั้งนี้หนักหนากว่าทุกครั้ง เพราะมีคนตองอูบัญชาการอยู่ฝ่ายตรงข้าม ครั้งแรกข้าพเจ้าไม่แจ้งพระอาจารย์เพราะไม่อยากให้เสียใจ เพลานี้ข้าพเจ้าท้อเหลือเกินพระอาจารย์” จะเด็ดบอก
“ตั้งแต่ราชวงศ์เมงกะยินโยตั้งกรุงตองอูมา ไม่เคยมีคนตองอูชั่วช้าเลวทรามคิดทรยศต่อแผ่นดินเลย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นจิสะเบง”
“การที่จิสะเบงเดินทัพมากับหงสาวดีได้ ข้าพเจ้าคาดว่าทัพตองอูเราที่อยู่เมืองแปรน่าจะไม่รู้”
“เจ้าเอาการอะไรมาเดา”
“การที่พระอุปราชสอพินยายกเป็นทัพหลวงมา แม่ทัพหน้าควรจะเป็นท่านเสียงโคนสุคญี แต่วันนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นท่านเสียงโคนเลย กลับมีจิสะเบงเป็นทัพหน้าแทน บางทีหงสาวดีอาจจะให้เสียงโคนยันทัพตองอูเราไว้ที่แปรอยู่ก็ได้”
“เพลานี้ตองอูก็เหลือแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่บัญชาการทหารอยู่ ขืนปล่อยให้พวกมันล้อมกรุงไว้นานกว่านี้ ขวัญกำลังใจชาวบ้านจะเสียไปมากกว่านี้”
จะเด็ดหนักใจ ต่างพากันนิ่งเงียบไป
จะเด็ดเดินลงจากกำแพงเมืองจะไปขึ้นม้าที่ผูกอยู่ ทันใดนั้นตองสาอุ้มลูกพรวดออกมาขวางจะเด็ดไว้
จะเด็ดตกใจเดินเลี่ยงไปทางอื่น ตองสากอดลูกน้อยจับขาจะเด็ดไว้ จะเด็ดจ้องมอง ตองสาจึงเปิดผ้าคลุมศีรษะออก มองจะเด็ดนิ่ง น้ำตาคลอ
“ข้าพเจ้าขอโทษท่านจะเด็ดด้วย ที่จำเป็นต้องขวางท่านไว้”
“ตองสา ท่านเองหรือ” จะเด็ดก้มลงไปหา
“ข้าพเจ้าอยากพบท่านมาหลายเพลาแล้ว แต่ไม่กล้าออกไปสู้หน้าผู้อื่นเพราะ…” ตองสาซบหน้ากับลูกร้องไห้
จะเด็ดสงสัยมาก
“เด็กคนนี้เป็นใคร”
“ลูกชายข้าพเจ้าเอง”
“ท่านมีลูก กับใคร”
“เพราะลูกนี่แหละที่ข้าพเจ้าอยากจะพบท่าน”
จะเด็ดงง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จะเด็ดพาตองสามานั่งคุย ตองสาหันมามองจะเด็ดพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“บางครั้งข้าพเจ้าเคยแค้นสอพินยา อยากจะฆ่าลูกฆ่าตัวตายเสีย แต่พอสำนึกได้ว่าเป็นเพราะความชั่วของสอพินยากับข้าพเจ้าเอง ทำไมต้องมาให้ลูกรับกรรม ข้าพเจ้าจึงอยากนำลูกมาให้ท่านเลี้ยงดู แต่หากท่านไม่เวทนาเด็ก ข้าพเจ้าก็จนใจ”
“เพลานี้ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนคนเงาหาย จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เกรงจะดูแลชีวิตเด็กน้อยไม่ได้ตลอด ขอท่านไปยกให้คนอื่นดูแลดีกว่า” จะเด็ดบอกพร้อมกับล้วงไถ้ให้ “ข้าพเจ้ามีทรัพย์ติดตัวอยู่เพียงแค่นี้ ขอมอบให้ท่านไว้เลี้ยงลูกไปก่อน เสร็จศึกเมื่อไหร่ข้าพเจ้าจะตรองดูอีกที” จะเด็ดดึงมือตองสามารับไป “แม้เขาจะเป็นลูกของข้าศึกที่มาล้อมกรุงเพลานี้ ข้าพเจ้าก็ขอให้ท่านดูแลเขาให้ดี”
จะเด็ดรีบเดินไปจะขึ้นม้า ตองสาร้องไห้วิ่งตามมากอดไว้ไม่ให้ขึ้นม้าอย่างน่าสงสาร
“หากไม่อายเทวดาฟ้าดิน ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับท่านว่า ข้าพเจ้ายังรักท่านอยู่เหมือนเดิม แต่ที่เสียทีสอพินยาเพราะคิดว่าท่านไม่ได้รักข้าพเจ้าเลย”
“ท่านโกหก เป็นเพราะท่านไม่ได้รักข้าพเจ้ามั่นเท่าข้าพเจ้ารักท่านต่างหาก”
ตองสาผวาเข้ากอดจะเด็ด
“ไม่จริง ข้าพเจ้ารักท่าน รักมาก สาบานได้” จะเด็ดกอดตอบ
“แต่ก็เกรงว่าเมื่อไหร่ตองอูแตก สอพินยาเข้ากรุงได้ ท่านก็จะหันไปโลมกับสอพินยาให้ช้ำใจอีก”
“ไม่ ข้าพเจ้าไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด ท่านอย่าประณามหญิงกายชั่วอย่างข้าพเจ้าซ้ำอีกเลย ความแค้นสอพินยาเพลานี้ แม้เจอหน้ามีพร้าอยู่ในมือ จะขอฟันคอให้ขาดเป็นสองท่อนเลย ไม่เชื่อก็ลองดู”
จะเด็ดมองตองสา แล้วเกิดความหวังบางอย่างขึ้น
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 16 (ต่อ)
วันต่อมา ตองสาขี่ม้าตรงไปยังค่ายทหารหงสาวดีอย่างรวดเร็ว กองทหารลาดตระเวนหงสาวดีได้ยินเสียงฝีเท้าม้า
“นั่นใคร ที่นี่เขตหวงห้าม กล้าดีอย่างไรลอบเข้ามา จับมัน”
ทหารหงสาวิ่งเข้ามาล้อมม้าไว้ พยายามดึงตองสาให้ตกจากม้า
“อย่านะ อย่าทำร้ายข้า ข้าเป็นสนมอุปราชสอพินยา แม่ทัพหงสานะ อย่าเข้ามานะ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าหัวขาดแน่”
ทหารหงสาคนนั้นหยุดชะงัก จ้องมองตองสาอย่างไม่แน่ใจ
กองลาดตระเวนนำตองสาเข้ามาหาในกระโจมที่สอพินยา ไขลูกำลังพักผ่อนอยู่
“พวกเจ้าไปนำใครมา”
“ข้าพเจ้าพบพวกนี้กำลังลอบเข้ามาสอดแนมในเขตค่ายเรา และนางผู้นี้อ้างว่า...เป็น...เออ”
ไขลูหันไปมองตองสาแล้วเอะใจ สอพินยาจ้องมองตองสาแล้วจำได้ ตองสาโผเข้ากอดขาสอพินยา ไขลูตั้งสติได้รีบมาดึงออกทันที แต่ตองสายังพยามยามเรียกหา
“ทูนหัวของข้าพเจ้า เป็นบุญข้าพเจ้าเหลือเกินที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านอีก เมตตาพูดกับข้าพเจ้าสักคำเถิด”
“อย่ามาพร่ำรำพัน เก็บคำเจ้าไว้” ไขลูกบอกเสียงเข้ม
สอพินยาเงียบ ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีแต่แววตานั้นดีใจปรารถนาตองสามาก
ตองสาอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว กำลังนั่งเช็ดผมอยู่ สอพินยาเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วจูบที่ไหล่ตองสา ตองสาทำเป็นงอน
“พระอุปราช หากข้าพเจ้าไม่เสี่ยงชีวิตมาเฝ้า มีหรือพระองค์จะตามหา ข้าพเจ้าจะเชื่อใจพระองค์ได้เยี่ยงไรว่าพระองค์จะเมตตาตองสาผู้ต่ำต้อย ผู้ที่พระองค์ลวงบำเรอสวาทเมื่อครั้งเสด็จตองอู และท่านไขลูก็เป็นผู้แจ้งว่าจะนำข้าพเจ้าไปหงสาวดีด้วย แล้วก็ตระบัดสัตย์นี่หรือคำชาวกรุงหงสาวดีผู้เจริญยิ่ง” ตองสาเข้ากอดซบสอพินยา “พระอนุชาพระองค์ทิ้งขว้างข้าพเจ้าปล่อยให้ข้าพเจ้าอุ้มท้องไม่มีพ่อ ทนอับอายชาวตองอูมาร่วมสี่ปี บัดนี้ข้าพเจ้าเสี่ยงตายมาทวงสัญญา พระองค์จะประหารเราก็เชิญ”
สอพินยางง นึกไม่ถึง
“เรามีลูกกับเจ้าหรือ” ตองสาพยักหน้า
“ท่านได้ลูกชายด้วย ข้าพเจ้าคิดถึงท่านเหลือเกิน พอรู้ว่าเป็นท่านคุมค่ายอยู่ที่นี่จึงเสี่ยงชีวิตลอบออกมา เพื่อจะได้มาพบท่าน”
“แล้ว ลูกล่ะ อยู่ที่ไหน”
“ข้าพเจ้าฝากคนใกล้กันเลี้ยงอยู่ในตองอู ไม่รู้ว่าหนทางมาพบพระองค์จะลำบากแค่ไหนจึงไม่กล้าพามาด้วย หากพระองค์ไม่เวทนาข้าพเจ้าก็ขอให้สงสารลูกเถิด อย่างน้อยเขาก็มีเลือดหงสาวดี อย่าให้เขาต้องตกยากอยู่ในตองอูเลย”
“ถ้าเป็นลูกชายเรา มีหรือจะยอมให้ตกยากอยู่ในตองอู”
“ชีวิตคนเรานี้ช่างมีกรรม ผู้อื่นที่มาหมายปองเราก็ไม่รัก มาปักใจภักดีกับผู้ที่ไม่เคยสนใจเราเลย ข้าพเจ้าอยากจะเกลียดพระองค์เหลือเกิน”
“ทุกข์ของท่านกับลูกนั้นหมดแล้ว หากตีตองอูแตกเมื่อไหร่ เราจะเลี้ยงดูเจ้ากับลูกให้สมเสมอคนหงสาวดีทีเดียว”
สอพินยาไม่พูดพร่ำระดมกอดจูบตองสาไปทั่วร่าง ตองสาอ่อนระทวยล้มตัวลงนอน สอพินยาก้มหน้าลงมาจนชิดตองสา
ขณะนั้นลูกตองสานอนหลับอยู่ในเรือนจะเด็ด จะเด็ดนั่งพัดวีให้อยู่ใกล้ๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ไขลูเดินอยู่หน้าที่พักสอพินยา ทำท่าเหมือนอยากเข้าไปข้างในกระโจมแต่ไม่กล้า เพราะรู้ว่าสอพินยากำลังมีความสุขอยู่ ไขลูหงุดหงิด
ทหารยามเดินอารักษ์ขาไปมา สอพินยาเดินถือจอกน้ำจัณฑ์ออกมาจากกระโจมอย่างมีความสุข สอพินยาบิดตัวไปมา ไขลูยืนมองอย่างสงบ
“ท่านไขลู ต่อไปนี้รอบกระโจมเราไม่ต้องให้ทหารเวรยามเข้าใกล้ทั้งกลางวันและกลางคืนโดยเด็ดขาดนะ”
“พระอนุชา ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าวัยหนุ่มฉกรรจ์ยามอยู่กลางทัพนี้มันเปล่าเปลี่ยวกายแค่ไหน แต่ถ้าพระองค์ปล่อยให้เรื่องอิสตรีสำคัญกว่าการทหารจะทำให้กองทัพเราอ่อนด้อยขาดวินัย เป็นผลร้ายในการรบ”
“ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นดอก ท่านคิดมากไป”
“พระองค์เป็นแม่ทัพ ทหารต้องการขวัญและกำลังใจจากพระองค์ หากเห็นพระองค์หลงมัวเมากับอิสตรี ทหารจะสิ้นยำเกรง โดยเฉพาะท่านเมงกยอกแงกับทหารอังวะ”
“ท่านจะส่งนางกลับตองอูอย่างนั้นหรือ”
ไขลูเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าสอพินยา เหมือนจะถวายชีวิต สอพินยาตกใจ รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีแน่
“พระอาญามิพ้นเกล้า นางรู้เรื่องในค่ายเรามากเกินกว่าที่จะให้กลับตองอูได้ โทษสถานเดียวคือตัดหัว”
สอพินยาหน้าเสีย เถียงไขลูไม่ออก ขณะนั้นตองสายืนแอบฟังอยู่ไม่ห่างจากกระโจมนัก สอพินยาปากสั่นพูดไม่ค่อยออก
“นางมีลูกชายกับเรานะท่านไขลู”
ไขลูใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น
“ข้าพเจ้าขอให้พระองค์ตัดสินพระทัยภายในราตรีนี้ มิควรยื้อเวลาอีก สงคราม เราต้องนึกถึงชัยชนะมากกว่าอิสตรี คืนนี้ขอพระองค์รำลานางให้หมดอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายเถิด ก่อนอรุณจะรุ่งฟ้าพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะให้ทหารมารับตัวไป”
สอพินยาหน้าเสีย ทรุดนั่งอย่างหมดแรง ตองสามองไขลูอย่างเกลียดชังและไม่มีวันยอมตาย
พอตกกลางคืนสอพินยานั่งดื่มอย่างกลุ้มใจภายใต้แสงเทียนวับวาว
ตองสาเดินเข้าซบ กอดสอพินยาอย่างออดอ้อน จูบตามไหล่อันเปลือยเปล่าของสอพินยาเหมือนไม่รู้เรื่องใดๆ
“การศึกยามนี้เข้าขั้นอันตราย ท่านควรหลบไปอยู่ที่อื่นก่อน”
“ข้าพเจ้าไม่อยากจากพระองค์ไปไหนเลย ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์ทนความเจ็บช้ำมาร่วมสี่ปีเพื่อรอวันที่ได้อยู่ใกล้พระองค์ แต่นี่พบกันยังไม่ทันไรพระองค์ก็จะขับใสข้าพเจ้าไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว”
“พูดอะไรอย่างนี้ เพราะรักดอกจึงจำต้องทำ บอกเรามาเถิดว่าท่านอยากไปอยู่ที่ไหน”
“ข้าพเจ้ากลับไปตองอูไม่ได้ดอก เพราะข้าพเจ้าทรยศต่อตองอูไปแล้ว ข้าพเจ้าขอไปคอยพระองค์อยู่ที่หงสาวดีได้ไม๊”
“ได้ งั้นก่อนย่ำรุ่งเราจะให้ทหารลอบพาท่านออกไปจากค่าย”
ตองสาเข้ากอดจูบสอพินยาเหมือนอาลัยสุดชีวิต
“ข้าพเจ้ารักพระองค์เหลือเกิน รักที่สุด พระองค์ต้องรักษาคำสัตย์นะ อย่าทิ้งข้าพเจ้าอีก เมื่อชนะตองอูเราจะได้รับลูกมาอยู่ด้วยกัน”
นัยตาสอพินยาปวดร้าวแปลกๆ กอดจูบตองสาด้วยความอาลัยเช่นกัน ตองสาจ้องมองนิ่ง
สอพินยากับตองสา ต่างระดมจูบกันอย่างดูดดื่มตามเหตุผลของตัว เป็นการสั่งลาที่จะไม่ได้เจอกันอีก
กลางดึกคืนนั้นที่กระโจมสอพินยามีทหารยามเดินไปมาเพียงไม่กี่คนเพราะสอพินยาสั่งไว้ ภายในกระโจม สอพินยานอนอยู่คนเดียวด้วยท่าทางเมามาย สอพินยานอนดิ้นควานหาตองสา แต่ไม่มีตองสานอนอยู่ข้างๆ จึงตื่นมามอง ตกใจรีบลุกขึ้นเรียกหา
“ตองสา แม่นางตองสา นางอยู่ไหน”
สอพินยาวิ่งออกไปนอกกระโจม
สอพินยาวิ่งหน้าตื่นออกมาเรียกหาตองสา ทหารยามรีบหันมาดู
“ตองสา ตองสา นางอยู่ไหน ตองสา” ไขลูกับกองทหารที่จะมานำตัวตองสาเดินเข้าหาสอพินยา “ท่านไขลู ท่านนำตัวแม่นางตองสาไปแล้วหรือ”
“ก็ กำลังจะมารับตัวไป”
“นางไม่ได้อยู่กับข้า นางไม่ได้อยู่ในนั้น” ไขลูตกใจ
“ทหารออกค้นในค่ายเร็ว ค้นทุกที่” ไขลูสั่ง ทหารรีบแยกย้ายกันออกไปอย่างรวดเร็ว “ข้าพเจ้าพลาดไปแล้วไม่ควรปล่อยข้ามคืนเลย”
ไขลูรีบเดินออกไปตามหาตองสา สอพินยายืนงง นึกไม่ถึง
ขณะนั้นตองสาควบม้าอยู่ในป่าชายแดนตองอู มุ่งตรงไปเมืองแปรอย่างรวดเร็ว ตองสาควบม้าตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ไม่กลัวตายอีกแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ไขลูเดินเข้ามาหาสอพินยาอย่างรีบเร่ง ท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด สอพินยานั่งคอยอยู่ เมื่อเห็นไขลูเข้ามาจึงลุกขึ้นอย่างดีใจ
“ท่านเจอตองสาหรือไม่” ไขลูส่ายหน้า
“ข้าพเจ้าส่งทหารย้อนไปหาร่องรอยทางกลับเข้าตองอู แต่ไม่มีวี่แววเลย”
“ท่านหมายความว่า...”
“หากนางไม่กลับเข้าเมือง ข้าคิดว่านางต้องไปทางเมืองแปร และหากเป็นเช่นนั้นจริง การที่ตองสามาหาท่านคงเป็นการวางแผนของไอ้จะเด็ดมันเป็นแน่”
“ไขลู ท่านคิดมากไปหรือเปล่า นางอาจแอบได้ยินที่ท่านจะมาพาตัวไปฆ่า นางจึงเตลิดไปเพื่อเอาชีวิตรอด คนอย่างจะเด็ดคงไม่คิดแผนการโดยเอาชีวิตผู้หญิงมาเสี่ยงหรอก สภาพท่านแย่มากเลยไขลู ไปพักผ่อนเถอะ”
“พระอนุชาข้าคิดว่าเราไม่อาจเสี่ยงใดๆ ได้อีกแล้ว ไม่ว่าตองสาจะหนีไปด้วยสาเหตุใด ทัพหงสาและโมนยินต้องตีตองอูโดยเร็วที่สุด”
อ่านต่อหน้า 4
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ตองสาฟุบมาบนหลังม้าอย่างเหนื่อยอ่อน สีอ่องและทหารลาดตระเวนสองคนควบม้าออกจากเนินข้างทางจึงเห็นม้าของตองสา
“เฮ้ย เจ้าเป็นใคร หยุด ไม่งั้นเรายิงนะ เจ้าเป็นใครบอกมา” ตองสายังคงฟุบอยู่บนหลังม้าปล่อยให้ม้าวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีแรงบังคับ สีอ่องควบม้าตาม สั่งยิงทันที “พลธนู...น้าวสาย”
พลธนูบนหลังม้าน้าวสายขึ้นพร้อมกัน ตองสาค่อยๆ หมดแรงล่วงลงจากหลังม้านอนนิ่งอยู่ที่พื้น ผ้าคลุมหลุดออก ผมกระจาย เห็นใบหน้าชัดเจน สีอ่องและทหารลาดตระเวนควบม้ามาล้อมไว้
“นางเป็นผู้หญิงท่านสีอ่อง”
สีอ่องมองตองสา ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร
ที่เรือนปลัดทัพ กระโจมตะคะญี สัญลักษณ์รูปนกยูงประทับบนผืนผ้าชิ้นเล็ก ตะคะญีคลี่ดูอย่างชื่นชม
ตองสาครึ่งนั่งครึ่งนอน ดื่มน้ำที่จาเลงกาโบนำมาให้ เนงบา สีอ่องนั่งอยู่มุมหนึ่ง
“ท่านบุเรงนองให้ข้าพเจ้านำมยุระตรามา เพื่อยืนยันกับครูท่านให้มั่นใจ เพลานี้ตองอูถูกล้อมทั้งเหนือและตะวันตก ไม่มีผู้ใดสามารถเล็ดรอดผ่านค่ายพระอุปราชสอพินยาออกมาถึงท่านได้”
“นางเป็นคนกล้าหาญมาก สมควรยกย่องเป็นวีระสตรีแห่งตองอูยิ่ง พวกเราไม่ได้นิ่งนอนใจดอก แต่เห็นว่าหงสาวดีไม่ได้คิดตีตองอูจริงจังจึงเฝ้าสงบอยู่ และจัดให้สีอ่องคุมทหารไปคอยลาดตระเวณเอาข่าวอยู่หลังค่าย เมื่อท่านเล็ดลอดมาแจ้งชัดเจน ปะรืนนี้เราจะได้ยกทัพไปช่วย”
ทั้งหมดนั่งรอคำสั่งจากตะคะญีอยู่โดยรอบ
“ทำไมต้องรอถึงปะรืนเล่าพ่อครู เหตุร้ายแรงอย่างนี้พรุ่งนี้เช้าก็จัดการได้เลย”
“การจะถอนทหารต้องคำนึงถึงสถานะการณ์ให้รอบครอบ ชาวแปรเพลานี้เราอย่ามั่นว่าเป็นมิตรสนิทของตองอู แล้วยังมีทัพของเสียงโคนกระหนาบอยู่ จู่ๆ จะถอนทัพไปโดยไม่วางแผนให้ดี ทัพของเราที่ท่านตองหวุ่นญีคุมอยู่จะพลอยฉิบหายไปด้วย”
“แล้วท่านพ่อจะจัดการอย่างไร”
“ข้อหนึ่งคือ.....เราต้องเคลื่อนทัพออกจากแปรโดยไม่ให้เสียงโคนสุคญีที่ตั้งค่ายหงสาวดีประจันอยู่รู้”
“ขืนรู้ มีหวังเราเสียแปรแน่”
“ข้อสอง เราจะต้องว่ากล่าวเอารานองไปทัพด้วยจึงจะปลอดภัย”
“พ่อครูจะจับรานองไปเป็นตัวประกันอย่างนั้นหรือ”
“รานองไม่ใช่คนโง่ เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้ดอก ต้องมีกุศโลบายที่น่าเชื่อจึงจะสำเร็จ”
“ท่านพ่อจะทำการใดท่านอุปราชรานองถึงจะยอมไปด้วย”
ตะคะญีนิ่งคิด เหมือนยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร
รานองนั่งจ้องหน้าตะคะญีที่มาเข้าเฝ้า
“ท่านจะให้เราเป็นผู้คุมทัพไปตองอูอย่างนั้นหรือ”
“ด้วยข้าพเจ้ากับเนงบา จะต้องอยู่ช่วยราชการทัพท่านตองหวุ่นญีระวังทัพเสียงโคนสุคญีที่แปรนี่ จึงจำต้องให้จาเลงกาโบกับสีอ่องเพียงสองคนคุมพลไป ด้วยลูกข้าพเจ้ายังเด็กไม่เคยคุมทัพใหญ่มาก่อน เกรงว่าจะเสียทีแก่หงสาวดี หากพระองค์ระลึกถึงไมตรีของบุเรงนองอยู่ จงเอ็นดูคนทั้งสองเหมือนลูกหลาน ช่วยเป็นที่ปรึกษาไปในการทัพนี้ด้วย”
“เรานี้นึกรักน้ำใจคนตองอูที่ช่วยปกป้องกรุงแปรมาตลอดอยู่แล้ว เมื่อตองอูเดือดร้อนเราจะไม่ช่วยได้อย่างไร งั้นเดี๋ยวเราจะรีบเข้ากราบทูลพระเจ้าอยู่หัวนรบดีให้จัดทัพแปรไปช่วยในคืนนี้เลย”
“คืนนี้เลยหรือ”
“เราจะเอาทหารแปรไปตามความจำเป็นเตรียมการไม่ยากอยู่แล้ว หรือท่านเตรียมทัพตองอูไม่ทัน”
“ทัน ทัน ข้าพเจ้าให้จัดทัพไว้แล้ว แต่ไม่นึกว่าพระองค์จะด่วนพระทัยขนาดนี้”
“ท่านก็น่าจะรู้ดีนะท่านปลัดทัพ พระเจ้าแปรนี้ความคิดครึ่งหนึ่งเป็นของพระองค์แต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นของพระอัครเทวี หากปล่อยข้ามคืนท่านนึกหรือว่า ถ้าพระอัครเทวีรู้จะทรงยอมให้ชาวแปรช่วยชาวตองอู” ตะคะญีแอบดีใจ
“เป็นพระกรุณายิ่ง พระอุปราช”
ตะคะญีรีบยกมือไหว้ คนอื่นๆ กราบ
เรือนปลัดทัพ กระโจมตองหวุ่นญี ตองหวุ่นญีโกรธมากหลังจากที่ฟังตะคะญีเล่า
“ข้าพเจ้าเกิดมาจนอายุเท่านี้ พระเจ้าตองอูชุบเลี้ยงให้สุขสบายมาถึงสองรัชกาล ทำไมท่านจะมาตัดข้าพเจ้าไม่ให้ไปทำศึกบนแผ่นดินเกิด” ตองหวุ่นญีบอกเสียงดังจนตะคะญีกลัว
“กรุงแปรนี้ยังต้องการผู้ใหญ่ฝ่ายตองอูคุ้มครอง หาไม่เสียงโคสุคญีอาจขาดความเกรงกลัวบุกเข้าตีแปรได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านสมควรอยู่คุมกองทหารที่นี่ก่อน”
“ท่านกำลังหาเหตุอ้างเรื่อยเปื่อยนะท่านครู ท่านครูจะให้ขุนพลอย่างเราหดหัวหลบอยู่ที่แปรได้อย่างไร เรา ในตำแหน่งขุนพลผู้บังคับบัญชาท่าน ขอสั่งการ นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ท่านจะต้องมารักษาการคุมกองทหารแทนเราสืบไป เราจะเป็นผู้นำทัพคู่กับรานองไปตองอูเอง”
ตะคะญีมองตองหวุ่นญีอย่างเข้าใจในความรู้สึก
“ข้าพเจ้ารู้ในน้ำใจส่วนลึกท่านดี จึงหมายจะกันไม่ให้ท่านนำทัพไปประจัญบานกับหงสาวดี”
“อย่าห่วงเราเลยท่านครู ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามองหน้าชาวตองอูครั้งใดแล้วร้าวในหัวอก ถึงตัวไม่ชั่วก็เหมือนชั่ว ขอเราได้ล้างอายให้เลือดในอกเราเถิด” ตองหวุ่นญีพูดอย่างเจ็บปวด ตะคะญีตัวเย็นวาบ “นึกว่าเอ็นดูให้ข้าพเจ้าตายตาหลับ จิสะเบง…ข้าพเจ้าเป็นผู้ให้เขาเกิดมา เมื่อเขาจะตายก็ขอให้เขาตายเพราะมือข้าพเจ้า อย่าให้เขาตายเพราะมือผู้อื่นเลย”
ตะคะญีกับจาเลงกาโบ นิ่งเงียบ มองตองหวุ่นญีอย่างเห็นใจ
ที่ค่ายโมนยิน สอพินยา ไขลู โสหันพวา จิสะเบงกำลังนั่งปรึกษากันอยู่ในที่พักของโสหันพวา
ไขลูสบตากับสอพินยาก่อนพูดกับโสหันพวา
“ท่านจิสะเบงเห็นว่ากำแพงเมืองด้านทิศตะวันออกเป็นจุดที่สามารถเข้าถึงง่ายที่สุด มีแนวป่าปกคลุม กว่าทหารตองอูจะเห็นก็ยากแก่การระดมกำลังป้องกัน”
“หากบุกโจมตีง่ายเช่นนั้นแล้วทำไมไม่แจ้งเราเมื่อครั้งก่อน ปล่อยให้เรารอโดยเปล่าประโยชน์ เทียวบุกแต่ด้านทิศเหนือต้องเสียกำลังไปมากมาย”
“ท่านอย่าโมโหท่านจิสะเบงเลย เหตุที่ไม่บุกด้านตะวันออกนั้นเพราะมีลำคลองใหญ่ขวางอยู่ ทัพเราต้องเสียเวลาในการทำแพล่องข้าม อีกทั้งไม้สร้างแพก็ต้องไปนำมาจากที่อื่น”
สอพินยารีบพูดขึ้นมา
“ท่านโสหันพวาจงเตรียมการไว้เถิด อีกไม่กี่เพลากองทัพหงสาและโมนยินก็จะเหยียบเข้าไปในแผ่นดินตองอูแล้ว”
วันต่อมา ในท้องพระโรงตองอู จะเด็ดนั่งคุยอยู่กับมังตรา
“พระวรกายพระองค์ยังมิแข็งแรง ใยจะรีบมาดูศึกถึงกำแพงเมือง”
“เราจะนอนตาหลับได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้ว่าจะเสียตองอูไปเมื่อไหร่ หากไม่มาเจ็บอย่างนี้เราจะขอเอาชีวิตไปแลกกับพวกหงสาวดีมันให้เห็นแจ้งในเพลานี้เสียดีกว่า แล้วนี่ทำไมพี่ท่านไม่สั่งทัพให้บุกขยี้ค่ายหงสาวดีมันเสียเลย ในเมื่อค่ายโมยินอังวะทิศเหนือของมันก็ได้แตกไปแล้ว มัวรออะไรอีก” จะเด็ดยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทุกครั้งที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ข้าพเจ้าจะขนลุกได้สองสถาน”
มังตราหยุดเดิน ลดความโกรธลง
“พี่ท่านก็รู้ดีว่าข้าพเจ้าโกรธท่านเพราะมักน้อยใจว่า พี่ท่านรักข้าพเจ้าไม่เท่าที่ข้าพจ้ารักและเกื้อหนุนบำรุงท่านต่างหาก”
“หามิได้ ข้อหนึ่งนั้นเมื่อเพลาพระองค์ท่านสำแดงพระกรุณาแก่ข้าพเจ้า สถานสอง ท่านทำให้ข้าพเจ้าปิติแล้วมักทำให้ตกใจตามมาทุกครั้ง เพลานี้ก็เช่นกัน พระองค์พระกรุณาให้ข้าพเจ้าเร่งไปเอาชนะหงสาวดี แต่ไม่รู้วันหน้าพระกรุณาจะเป็นอย่างไร”
“พี่ท่านคิดได้แต่อารมณ์ร้ายของข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้ากำเนิดบนกองบุญในตำแหน่งที่ผู้ใดจะขัดใจไม่ได้ ข้อดีที่ข้าพเจ้าหยิบยื่นพี่นางให้ท่านไม่คิดถึงเลย”
“พระมหากรุณาพระองค์ท่าน ที่จะให้ข้าพเจ้าได้ครองตะละแม่พี่นางนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยลืม แต่ความผิดที่เกิดจากความเขลาของข้าพเจ้าที่ผ่านมานั้นพระพี่นางยังไม่ยอมอภัย ข้อนี้จะเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าได้อย่างไร”
มังตรายิ้ม ทรงคว้าพระสุวรรณภิงคารที่มหาดเล็กเชิญตามมา
“แผ่นดินตองอูนี้จงเป็นพยาน เมื่อจะเด็ดได้ทำศึกชนะหงสาวดีครั้งนี้มาถวายแล้ว ข้าพเจ้าจะจัดพิธีสมโภชบำรุงขวัญเมืองตองอูเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกร และจะขอจัดสมโภชพิธีอุปภิเษกพระพี่นางให้จะเด็ดเป็นสัญญา”
แล้วมังตราก็หลั่งน้ำสู่เบื้องธรณี จะเด็ดรู้สึกซาบซึ้งเป็นที่สุด ยกมือพนมรับ
“เดชะพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ผู้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าจะเด็ด ขอถวายสัตย์ว่าจะขอเป็นดั่งอาวุธคู่พระหัตถ์ หากมีมารร้ายตนใดมาสิงใจให้ข้าพเจ้าประพฤติชั่ว ขอพระแม่ธรณีจงช่วยปัดเป่าให้ปลาสนาการไป และดลบันดาลให้ข้าพเจ้าประพฤติแต่สิ่งที่ชอบสมแก่คู่อภิเษกของตะละแม่จันทราด้วยเถิด”
จะเด็ดยกมือจบศีรษะสูงสุด
ในกระโจมพักของสอพินยา สอพินยากำลังแต่งชุดสำหรับออกรบอยู่ สอพินยาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอก ด้วยความสงสัยจึงตัดสินใจเดินออกไปดูแล้วสอพินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำพวกป้อมค่ายและยุ้งฉางอย่างน่ากลัว ทหารหงสาวิ่งกันจ้าละหวั่น ธนูเพลิงก็ยังพุ่งมาไม่ขาดสาย ไขลูกำลังสั่งการให้ดับเพลิงอยู่
“เสริมกำลังขึ้นเชิงเทินหลังค่ายไว้ ไปเอาน้ำมามากๆ อย่าให้ลามไปที่โรงพระแสงเด็ดขาด เร็ว”
จิสะเบงและเมงกยอกแงควบม้ามาด้วยอาการตกใจ ค่ายของเมงกยอกแงก็ถูกลอบโจมตีด้วยธนูเพลิงเหมือนกัน
“ค่ายของข้าถูกธนูเพลิง”
“พวกไหนมันเข้ามาประชิดหลังค่ายเรา”
“น่าจะเป็นพวกตองอูยกมาจากแปร พระอนุชา”
“ท่านจิสะเบง สั่งลั่นกลองศึกเร็ว”
จิสะเบงควบม้าออกไป
“ลั่นกลองศึก ลั่นกลองศึก”
อ่านต่อตอนที่ 17