รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 12
ชินพัฒน์เดินมานั่งปักหลักรออยู่ตรงบริเวณที่นั่งรอ เขามองตรงไปเห็นลิฟต์ ชินพัฒน์จัดแจงหยิบถุงขนมปัง กล่องนมซึ่งเป็นอาหารเช้าออกมาจัดการ ประตูลิฟต์เปิดออก ชินพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นพยาบาลที่กำลังเดินออกมาจากลิฟต์
ชินพัฒน์ดูดนมกล่องไปแล้วหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่าน เขาเงยหน้าขึ้นมองต้นทางบ้างแล้วก็อ่านหนังสือการ์ตูนอย่างเมามันจนไม่เงยหน้าทำให้ลืมมองต้นทางต่อ
ชนมนเดินหนีอิทธิฤทธิ์มาที่ระเบียงของห้อง
“ชน..เรื่องเมื่อคืน..”
ชนมนเขิน “ไม่มีอะไรต้องพูด เมื่อคืนเราก็คุยกันเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
“เธอไม่อยากรู้คำตอบจริงๆเหรอ.. ตกลงเราสองคนเป็นอะไรกัน”
ชนมนแข็งใจจ้องหน้า “ชั้นเป็นติวเตอร์ของนาย ชั้นมีหน้าที่ช่วยให้นายสอบผ่าน”
“ถ้าเธอเป็นแค่ติวเตอร์ เธอคงไม่บ้ากระโดดขวางมอไซด์ชั้นหรอก ตอนนี้เธอรู้สึกยังไง ชั้นก็รู้สึกยังงั้นกับเธอ”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้ ตอนนี้นายควรจะคิดแต่เรื่องสอบ ไม่ควรวอกแวกคิดเรื่องไร้สาระ เข้าใจมั้ย”
“ชั้นไม่คิดว่า “เรื่องของเรา” เป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่พูดกันวันนี้ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันอีกเลย”
“ชั้นอยากให้นายแน่ใจจริงๆซะก่อน”
“ถ้าไม่แน่ใจ ชั้นไม่พูดหรอก”
“เหมือนอย่างที่เคยแน่ใจเรื่องมาย่าน่ะเหรอ”
“ชั้นไม่เคยรู้สึกกับย่า เหมือนอย่างที่รู้สึกกับเธอ ชั้นไม่อยากให้วันสอบมาถึงเลยไม่ใช่เพราะกลัวจะทำข้อสอบไม่ได้ แต่ชั้นกลัวที่จะไม่ได้เห็นหน้าเธออีก ตกลงเรามาเป็น...”
ชนมนพูดสวนทันที “ไม่! รอให้นายสอบเสร็จก่อน แล้วค่อยพูดกันเรื่องนี้”
“ไม่! เราต้องพูดกันวันนี้! ชั้นไม่ยอมให้เธอปฏิเสธชั้น เธอจะต้องมาเป็น..”
ชนมนสวน “บอกว่าไม่”
“ไม่..ได้ไง เธอเป็นติวเตอร์ของชั้นนะ”
“ชั้นเป็นติวเตอร์นาย แล้วทำไมชั้นต้องเป็น..เป็น...”
“เป็น..เป็นอะไร..ชั้นแค่ขอให้เธอไปเป็นกำลังใจชั้นในวันสอบเท่านั้นแหละ คิดว่าชั้นจะขอเธอมาเป็น..เป็นอะไรเหรอ” อิทธิฤทธิ์ยิ้มล้อๆ
“นี่..ที่พูดมาทั้งหมด..หลอกชั้นเหรอเนี่ย ! นายอิท”
ชนมนทุบลงที่หัวไหล่อิทธิฤทธิ์ตรงที่เดิม อิทธิฤทธิ์เจ็บไหล่จนทรุดตัวเอียง
“โอ๊ย! เจ็บ!”
“ดี! สม”
ชนมนเดินโกรธออกมา อิทธิฤทธิ์ดึงตัวชนมนเข้ามากอดได้ทันทีทันควัน
“ไม่ได้หลอกซักหน่อย คนที่เป็นกำลังใจให้กัน ก็ต้องเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้ง ทุกอย่างรอบตัวอื้ออึงจนสติของเธอแตกกระเจิง ที่สุดเธอก็มีนาทีนี้กับเขาด้วย
ชินพัฒน์นั่งอ่านการ์ตูนอย่างติดหมัด เขาอ่านจนจบเล่มแล้วรีบหยิบเล่มต่อไปขึ้นมาอ่านทันที ชูชัยถือถุงอาหาร ถุงผลไม้เต็มสองมือผ่านหน้าชินพัฒน์ไป ชินพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองว่าใครที่เดินผ่านไป
“หน้าคุ้นๆ..”
ชินพัฒนืก้มลงอ่านการ์ตูนต่ออย่างเพลิดเพลิน ชูชัยเดินผ่านชินพัฒนือย่างไม่ทันมองเหมือนกัน ธรรม์เดินมาทันเห็นชูชัยเดินไปหลังไวๆ ธรรม์ก็เดินมาตบไหล่ชินพัฒน์
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่ชนเค้า”
ชินพัฒน์เงยหน้ามองธรรม์แล้วก้มอ่านการ์ตูนต่อ “พี่ชนเค้ามีเพื่อนแล้ว”
“ย่ามาเหรอ วันนี้เค้ามีงานอีเว้นท์นี่”
ชินพัฒน์ไม่ได้ฟัง “อ่าฮะ..”
ธรรม์ขำ “พี่ไม่กวนล่ะ แค่แวะมาดูชนหน่อยเท่านั้น แล้วเดี๋ยวชินจะแวะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไปส่งให้ได้นะ”
ชินพัฒน์ยังอ่านต่อ “กลับไม่ได้ ต้องรอพ่อมาก่อน”
“ก็คุณลุงมาแล้วนี่” ธรรม์บอก
ชินพัฒน์ก้มอ่าน “ยังไม่มา”
“มาแล้ว เดินลิ่วๆไปโน่นแล้ว”
“บอกว่ายังไม่มา ถ้ามา ก็ต้องเห็นดิ”
ชินพัฒน์เงยหน้าขึ้นอย่างมั่นใจมากแล้วก็ต้องตาลุกโพลงเมื่อเห็นชูชัยเดินอยู่ไกลๆ
ชินพัฒน์ตกใจ “พ่อ! พี่อิท! พี่ชน!” ชินพัฒน์หันไปมองธรรม์ “พี่ธรรม์”
“เออ..พี่เอง..”
“พี่ธรรม์ๆๆๆ โทรหาพี่อิทด่วนเลย”
“โทรทำไม”
“ไม่ต้องถาม รีบโทรเร็วเข้า! บอกว่า ระเบิดกำลังจะลงแล้ว”
ธรรม์หยิบมือถือขึ้นมาอย่างงงๆ ชินพัฒน์รีบยัดหนังสือการ์ตูนกับทุกอย่างลงกระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว แล้วพาธรรม์วิ่งตามไปทางที่ชูชัยเดินไปที่ห้องคนไข้
อิทธิฤทธิ์ยังคงกอดชนมนอยู่ ชนมนเริ่มรวบรวมสติได้จึงพูดออกไป
“ปล่อย!”
“ตอบตกลงก่อน แล้วจะปล่อย”
ชนมนศอกใส่อิทธิฤทธิ์แต่อิทธิฤทธิ์ทำตัวงอหลบได้ ชนมนจะกระทืบเท้าแต่อิทธิฤทธิ์ก็ชักเท้าหลบทัน
ชนมนแกล้งยอมแพ้ “ตกลง..”
“ตกลงอะไร..พูดให้มันเต็มๆประโยค”
“ชั้นตกลงยอมเป็น..” ชนมนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ปวดจัง”
อิทธิฤทธิ์ตกใจ “ปวดตรงไหน ปวดแผลหรือว่าปวดหัว ปวดแบบไหน ตอนหมอตรวจน่ะตรวจละเอียดหรือเปล่า หมอบอกว่าไงบ้าง สมองไม่ได้กระทบกระเทือนใช่มั้ย”
ชนมนถือโอกาสที่อิทธิฤทธิ์ผ่อนมือด้วยความเผลอรีบผลักอิทธิฤทธิ์ออกไปเต็มแรง
ชนมนพูดอย่างปกติสุดๆ “หายปวดแล้ว”
“หลอกกันได้! ทำไม! เรื่องแค่นี้ทำไมตอบไม่ได้”
“ถ้านายคิดว่าเป็น”เรื่องแค่นี้” ก็แสดงว่านายไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ นายหยุดคิดก่อนได้มั้ยว่า เรื่องของเรามันเป็นไปได้แค่ไหน”
“ชั้นไม่เห็นว่า เรื่องของเราจะมีปัญหาอะไร” อิทธิฤทธิ์คิด “เรื่องที่ชั้นเด็กกว่าเหรอ ไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับยุคนี้ หรือว่าเธอมีปัญหาที่ชั้นหน้าตาดีเกินไป..ชั้นก็เครียดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” อิทธิฤทธิ์ยิ้มกวน
“ชั้นไม่อยากพูดกับนายแล้ว! เหนื่อย”
อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนไว้ก่อนที่ชนมนจะเดินหนีไปได้
“ชั้นจริงจังกับเรื่องของเรานะ ชน ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราผ่านมาด้วยกัน ชั้นเชื่อว่าเรื่องของเราเป็นไปได้..ตอนนี้ขึ้นอยู่ที่เธอคนเดียว ชนมน”
อิทธิฤทธิ์จับตัวชนมนไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจ้องมองชนมนอย่างจริงจังที่สุดในชีวิต ชนมนเริ่มใจอ่อนและกำลังจะตอบตกลงเป็นแฟนกับอิทธิฤทธิ์
“ชั้น..ชั้น..”
เสียงมือถือของอิทธิฤทธิ์ดังขัดจังหวะ
อิทธิฤทธิ์พูด “ไม่ต้องไปสนใจ..ตอบชั้นมาก่อน”
เสียงมือถือของอิทธิฤทธิ์ดังไม่หยุดทำลายบรรยากาศ
“หยุดอยู่ตรงนี้นะ ห้ามขยับไปไหน”
อิทธิฤทธิ์พุ่งไปหยิบมือถือที่วางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วรีบกดรับ
“โทรมาทำไมตอนนี้?! เฮ้ย! อะไรนะ!?” อิทธิฤทธิ์พูดกับชนมน “พ่อเธอมา”
ชนมนตกใจ “พ่อมา!”
ชนมนกับอิทธิฤทธิ์ตกใจหันรีหันขวาง ชนมนลืมตัววิ่งขึ้นไปนอนบนเตียงอิทธิฤทธิ์ที่ใกล้ตัวที่สุด อิทธิฤทธิ์ไม่ทันคิดจึงวิ่งกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงชนมน อิทธิฤทธิ์รีบรูดม่านปิดกั้นเตียงทั้งสองไว้
แล้วอิทธิฤทธิ์กับชนมนก็นึกได้ว่านอนสลับเตียงกัน “เฮ้ย!”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนรีบรูดม่านออกแล้วจะพุ่งเปลี่ยนเตียงกันแต่ทว่าสายไปเสียแล้วเพราะชูชัยเปิดประตูผลัวะเข้ามาในนาทีนั้น ชูชัยมองอิทธิฤทธิ์ในชุดคนไข้ที่นั่งอยู่บนเตียงของชนมน แล้วมองไปที่ชนมนที่ยังก้าวลงจากเตียงอิทธิฤทธิ์ไม่พ้นดี
“นี่มันอะไรกัน!”
ชินพัฒน์กับธรรม์พรวดพราดตามเข้ามาในห้องและได้แต่ยืนมองภาพที่ทุกคนในห้องนิ่งอึ้งตะลึงงัน อิทธิฤทธิ์กับชนมนนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับตัวจากสายตาพิฆาตของชูชัย
ห้างสรรพสินค้ามีผู้คนเบาบาง เมนี่เดินฉับๆนำหน้ามณีมันตราเพื่อพาตรงไปด้านหลังเวทีเล็กๆที่มีเพียงยกพื้นและแบ๊คดร๊อป แฟนคลับ 2-3 คนเข้ามาจะขอถ่ายรูปกับมณีมันตรา
“น้องมาย่า! ไม่ได้เจอนานเลย!”
“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”
เมนี่เข้ามาห้าม “ไม่ได้ๆ น้องมาย่าต้องไปเตรียมตัว โทษทีนะ”
เมนี่รีบลากมณีมันตราออกจากกลุ่มแฟนคลับ
“พี่เมนี่คะ นั่นแฟนคลับของหนูนะคะ”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก เราต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลามาเอาใจแฟนคลับว่างงานพวกนั้นหรอก”
“พี่เมนี่เคยสอนหนูให้คอยใส่ใจแฟนคลับไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นมันเมื่อก่อนที่เธอมีแฟนคลับเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ตั้งแต่เธอมีข่าวฉาวกับหมวดธรรม์ แฟนคลับของเธอเหลือแค่หยิบมือเดียว เอาไปช่วยสร้างกระแสอะไรก็ไม่ได้ จะไปเอาใจทำไมให้เสียเวลา”
“ถึงหนูจะเหลือแฟนคลับไม่กี่สิบคน หนูก็จะทำตัวเหมือนเดิม หนูไม่ทิ้งแฟนคลับของหนูเพราะพวกเค้าไม่มีประโยชน์ต่อหนูหรอกค่ะ”
“นี่เธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่า เธอน่ะไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าเธอเป็นมาย่าซุปตาร์คนเดิม เธอไม่มีวันมางานอีเวนท์นี้หรอก”
มณีมันตราเริ่มฉุกคิดมองไปรอบๆ ซึ่งดูไม่เป็นบรรยากาศงานอีเวนท์เพราะว่าดูกระจอกมาก
ชนมนนั่งจ๋อยอยู่ที่เตียงของตัวเอง ชินพัฒนืเกาะแจอยู่กับชนมนด้วยความเกรงกลัวพ่อ ในขณะที่อิทธิฤทธิ์ยืนรอรับมือชูชัยซึ่งมีธรรม์ยืนอยู่ข้างๆ ชูชัยนิ่งเงียบและกวาดสายตาไปที่อิทธิฤทธิ์ ชนมนและชินพัฒน์แล้วกลับมาจ้องที่อิทธิฤทธิ์อีกครั้ง
“นี่หมายความว่า เมื่อคืนนี้นายนอนค้างที่นี่งั้นเหรอ” ชูชัยถาม
“ไอ้ชินก็อยู่ด้วยนะ พ่อ” ชนมนบอก
“พ่อไม่ได้ถามแก”
ชนมนนิ่งเงียบไม่กล้าพูดต่อ ชินพัฒน์ทำท่ารูดซิปปากไม่ให้ชนมนพูดต่อเพราะทำให้พ่อเดือดมากขึ้น
“ครับ เมื่อคืนผมนอนอยู่ที่เตียงข้างๆนี่ ผมอยากจะมาดูแลชน ถึงคุณลุงจะจับผมโยนออกไป ผมก็จะหาทางกลับมาดูแลชนอีก..คุณลุงห้ามผมไม่ได้หรอก” อิทธิฤทธิ์บอก
ชูชัยดุ “พี่ชน”
อิทธิฤทธิ์พูดอย่างไม่กลัว “ผมเรียกชนว่าพี่ไม่ได้หรอกครับ คุณลุง เราตกลงกันแล้วว่า เราจะเป็น..”
ชนมนตาแทบถลน “นายอิท!”
“เราจะเป็นเพื่อนกัน” อิทธิฤทธิ์พูดออกมา
ชนมนกับชินพัฒน์ถอนใจอย่างโล่งอกพร้อมๆกัน
“ชั้นไม่ต้องการให้ลูกสาวชั้นมีเพื่อนอย่างนาย ! คนอย่างนายมีแต่จะพาเพื่อนไปตาย..ไปหาเพื่อนที่อื่นไป อย่าให้ต้องเตือนกันอีกเป็นครั้งที่สอง” ชูชัยว่า
“พ่อ..หนูเป็นคนกระโดดไปขวางมอเตอร์ไซค์เอง หนูแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ หนูหาเรื่องเจ็บตัวเอง พ่อจะโทษว่าเป็นความผิดอิทคนเดียว มันไม่ยุติธรรมนะ พ่อ”
“วันนี้แกยังไม่เจ็บตัวเพราะมัน วันหน้ามันต้องทำให้แกเจ็บตัวแน่ เลิกยุ่งกับมันตั้งแต่วันนี้เป็นดีที่สุด”
“อ้าวๆ พ่อ..พ่อเริ่มมั่วแล้ว นี่หาเรื่องพี่อิทชัดๆเลยนะเนี่ย” ชินพัฒน์หันขวับไปมองธรรม์ “พี่ธรรม์! ต้องพี่ธรรม์คนเดียวเลย”
ธรรม์ขยับเข้ามาจะช่วยพูดให้แต่แล้วก็ต้องชะงัก
อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “ไม่ต้องยุ่ง” อิทธิฤทธิ์พูดกับชูชัย “คุณลุงครับ คุณลุงบอกมาได้เลย จะต้องให้ผมทำยังไง”
“ไม่ต้องทำยังไงทั้งนั้น “ชั้นไม่ชอบหน้านาย” ไปอยู่ห่างๆ ลูกสาวชั้น”
“คุณลุงครับ ชนยังต้องติวให้อิทจนกว่าจะถึงวันสอบนะครับ คุณลุงคงไม่อยากให้ชนไม่สบายใจที่ต้องผิดคำพูดกับคุณพ่อผม.. อีกแค่สามสี่วันเองครับ นะครับ” ธรรม์ช่วยเจรจา
ทุกคนจ้องมองไปที่ชูชัยอย่างลุ้นๆ
ธรรม์เดินออกมาทางห้องคนไข้ อิทธิฤทธิ์ที่เปลี่ยนชุดแล้วเดินตามมาก่อนที่ทั้งสองจะเดินเคียงข้างกันไป
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงเบาๆ แบบไม่เต็มใจ “ขอบใจ..”
ธรรม์หันมามองหน้าอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดังขึ้น “ขอบใจ..ขอบใจที่ช่วยพูดกับคุณลุงให้ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย คุณลุงคงไม่
ยอมให้ชนติวให้ชั้นต่อ นายมีบุญคุณกับชั้นมาก พอใจยัง?”
“ไม่ต้องขอบใจชั้นหรอก” ธรรม์แหย่ “เรียกชั้นว่า”พี่”ซักครั้ง ก็พอ”
“ฝันไปเถอะ!”
“แล้วนายจะทำยังไงต่อไป หลังจากสอบเสร็จ คุณลุงคงจะไม่ให้นายได้เจอกับชนอีก”
อิทธิฤทธิ์คิดไม่ออก “ชั้นหาทางเองได้ ไม่ต้องให้นายช่วยทุกครั้งหรอก ชั้นไม่เข้าใจจริงๆทำไมพ่อชนถึงได้เหม็นขี้หน้าชั้นนักนะ คนเราเกลียดกันโดยไม่มีเหตุผลได้ไง”
ชินพัฒน์โผล่พรวดมาแทรกกลางระหว่างธรรม์กับอิทธิฤทธิ์
“พ่อเกลียดพี่อิทน่ะไม่แปลกหรอก แต่ที่พ่อชอบพี่ธรรม์มาก นี่สิแปลก!”
อิทธิฤทธิ์กระซิบเสียงดัง “ไอ้นี่มันขี้ประจบ”
“ผมว่าไม่ใช่ พี่ธรรม์กรุ๊ปเลือดอะไร บางที..เราอาจจะเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด”
ธรรม์ขำ “บ้าน่า ! เราไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกันเลย คุณลุงก็แค่ถูกชะตากับพี่” ธรรม์พูดกับอิทธิฤทธิ์ “นายก็เลิกซิ่งมอเตอร์ไซค์ มาเป็นตำรวจเหมือนชั้น คุณลุงอาจจะชอบหน้านายขึ้นบ้างก็ได้นะ ไอ้น้อง”
ธรรม์ตบไหล่อิทธิฤทธิ์แล้วเดินออกไป อิทธิฤทธิ์ปัดไหล่ตัวเองอย่างฉุนหน่อยๆ
อิทธิฤทธิ์เสียงดัง “ชั้นลูกคนเดียวโว้ย ไม่มีพี่ชาย! แล้วชั้นก็จะไม่เลิกซิ่งรถเด็ดขาด ชั้นจะทำให้คุณลุงยอมรับชั้นให้ได้!” อิทธิฤทธิ์มองชินแล้วพูดเสียงเบาลง “นี่ชั้นต้องเลิกซิ่งรถจริงๆหรือ”
ชินพัฒน์ส่ายหน้าอย่างไม่ให้ความหวังใดๆ อิทธิฤทธิ์กลุ้มใจที่ความรักมีอุปสรรคเหลือเกิน
มณีมันตรากดรับโทรศัพท์มือถือแล้วคุยกับธรรม์
“พี่ธรรม์..ค่ะ งานจะเริ่มแล้ว หลังงานนี้ งานคงมีมาเรื่อยๆ ค่ะ พี่เมนี่กำลังช่วยดูงานอื่นให้.. ค่ะ.. แล้วเราฉลองกัน ย่าไม่ตกงานแล้ว เย้ ไม่ต้องห่วง.ย่าสู้ตายอยู่แล้ว”มณีมันตราชูสองนิ้ว “แค่นี้ก่อนนะคะ”
มณีมันตรากดมือถือปิดแล้วถอนใจเฮือก หน้าที่กำลังยิ้มร่าของเธอค่อยๆเฉาลง มณีมันตราอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นจู๋กับเสื้อกล้ามสุดเซ็กซี่ โดยที่สาวๆพริตตี้ในชุดเดียวกับมณีมันตราเดินว่อนหลังเวที เมนี่เดินพรวดๆเข้ามาแล้วรีบเอาครีมกันแดดยัดใส่มือมาย่า
“ออกไปได้แล้ว งานเริ่มแล้ว! ไปๆ เร็วเข้า”
เมนี่ดึงตัวมณีมันตราออกไปทางด้านหน้าเวทีอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มสุดล่ำ 4 คนนั่งอยู่หน้าเวทีมีสาวพริตตี้ 4 คนที่ใส่ชุดเดียวกับมณีมันตรายืนข้างๆ เสียงเพลงละตินเซ็กซี่เร้าใจดังขึ้น มณีมันตราเดินมาจากข้างเวทีแล้วมาหยุดที่กลางเวทีก่อนจะโพสท่าพร้อมโชว์ครีมกันแดดในมือ เสียงคนดูที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายปรบมือและเป่าปากวี๊ดๆ
มณีมันตรากระดิกนิ้วด้วยท่าเซ็กซี่เชิญชวน หนุ่มล่ำ1 เดินขึ้นเวทีมาหยุดอยู่ข้างมณีมันตรา มณีมันตราหยุดนิ่งเพราะไม่อยากทำงานต่อ เธอหันไปมองข้างเวทีก็เห็นเมนี่จ้องมาอย่างเอาเรื่อง
มณีมันตรากลั้นใจฝืนยิ้มแล้วเทครีมกันแดดไปที่หลังคอของหนุ่มล่ำแล้วลูบไล้ทาครีมกันแดดให้ สาวพริตตี้ 4 คนที่อยู่หน้าเวทีก็ลูบไล้ทาครีมกันแดดให้หนุ่มล่ำคนอื่นๆ ไปพร้อมๆกับมณีมันตรา มณีมันตราดูไม่ต่างกับสาวพริตตี้คนอื่นๆ แม้แต่น้อย มณีมันตรากล้ำกลืนฝืนทนทาครีมกันแดดไปตามบ่าและแขนให้หนุ่มล่ำ
ธรรม์ยืนนิ่งอึ้งอยู่ในหมู่คนดู เขามองจ้องไปที่มณีมันตราอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
พิธีกรพูด “ขอเสียงปรบมือให้ Sassy Girl ของเรา น้องมาย่าค่ะ อย่าลืมนะคะ ซัมเมอร์นี้ อย่าลืมใช้ Sunshine men ครีมกันแดดสำหรับหนุ่มเซ็กซี่..เซ็กซี่” พิธีกรทำเสียงกระเส่า
มณีมันตรายังคงทาครีมกันแดดให้หนุ่มล่ำต่อไป ธรรม์ยืนนิ่งอึ้ง
เสียงอิทธิพลดังขึ้นในหัวของเขา ” การมีแฟนในตอนนี้ มันจะมีผลต่อทั้งงานของแกและงานของหนูมาย่า ถ้าคบกันแล้ว ช่วยพากันให้ชีวิตดีขึ้น..ก็ดี แต่ถ้าผลเป็นไปในทางตรงกันข้าม แกคงต้องทบทวนเรื่องนี้ดูใหม่แล้ว นายธรรม์”
กลุ่มสาวพริตตี้พร้อมหนุ่มล่ำเดินขึ้นไปรวมกันบนเวที มณีมันตรายืนอยู่ตรงกลางพร้อมถือครีมกันแดดแล้วโพสท่าให้ถ่ายรูป
กลุ่มนักข่าวและคนดูที่เป็นผู้ชายเป็นส่วนใหญ่กรูกันเข้าไปถ่ายรูปมณีมันตรา มณีมันตราโพสท่าให้ถ่ายรูปพร้อมกวาดยิ้มให้ทุกคนในงานแล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นกลุ่มคนดูที่อยู่รอบล้อมธรรม์กรูมาหน้าเวทีหมดจนเหลือธรรม์ยืนอยู่คนเดียว มณีมันตรากับธรรม์มองหน้ากันอยู่อึดใจเดียว แล้วธรรม์ก็หันหลังเดินออกไป มณีมันตรามองตามอย่างใจเสีย
อิทธิฤทธิ์พรวดพราดเข้ามากวาดเอาหนังสือกฎหมายและโน้ตบุ๊คใส่กระเป๋าเป้ ถนอมรีบเร่งเข้ามาหา
“คุณอิท! คุณอิทของป้า! คุณอิทไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ”
“เป็นไร ป้าหนอม อ๋อ..ที่มอไซด์ล้มน่ะเหรอ ผมไม่เป็นไรเลย ผมไปก่อนนะ”
อิทธิฤทธิ์คว้ากระเป๋าเป้แล้วจะรีบออกไปทันที
ถนอมน้อยใจ “ป้าเป็นห่วงคุณอิทแทบตาย นี่ไม่ได้นึกถึงใจคนที่ห่วงอยู่ทางนี้เลยใช่มั้ย”
อิทธิฤทธิ์กลับเข้ามากอดถนอมไว้
“โอ๋ๆ ป้าหนอมก็.. นึกถึงซิครับ นึกถึงตลอดเลย แต่ผมต้องรีบไป ผมต้องรีบทำเวลา”
“คุณอิทจะรีบไปไหนคะ”
“ไปติวกับชน”
“ก็หนูชนยังอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอคะ”
“ชนอยู่โรงบาล ก็ไปติวที่โรงบาลไง ป้า ต่อไปชนอยู่ที่ไหน ผมก็ต้องอยู่ที่นั่น” อิทธิฤทธิ์ดูนาฬิกาข้อมือ “ผมมีเวลาแค่สามวัน! ตอนนี้ทุกนาทีมีค่า นอกจากผมต้องทำเวลาแล้ว ผมยังต้องทำคะแนนด้วยนะ ป้าหนอม”
“ทำคะแนนอะไร คะแนนสอบเหรอคะ” ถนอมไม่เข้าใจ
อิทธิฤทธิ์ก้าวพรวดๆ สวนทางกับอิทธิพลที่เพิ่งกลับมาบ้าน
“หมอให้กลับบ้านได้ ทำไมไม่บอก จะได้ไปรับ แล้วนั่นจะไปไหน” อิทธิพลถาม
“ขอยืมรถหน่อยนะ พ่อ”
อิทธิฤทธิ์ก้าวพรวดๆออกไปโดยไม่ตอบอะไรอิทธิพลแม้แต่คำถามเดียว
“มันรีบร้อนไปไหนของมัน เพิ่งออกจากโรงพยาบาลแท้ๆ”
“เพิ่งออกมาแล้วก็จะกลับเข้าไปใหม่ค่ะ คุณท่าน บอกว่าจะไปติว แต่คงเป็นเพราะห่วงหนูชนล่ะมากกว่า เรื่องนี้คุณท่านคิดว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่ว่ายังไง ขอให้สอบให้ผ่านเรียนให้จบแล้วกัน เรื่องความรักของเด็กๆ อย่าไปใส่ใจมาก จะรักชอบกันไปนานแค่ไหนเชียว”
“คุณท่านอย่าได้ประมาทคนอย่างคุณอิทนะคะ ลงว่ารักใครแล้ว ก็รักแล้วรักเลยไม่มีเปลี่ยนใจ เห็นเหลาะแหละๆอย่างนี้ ถ้าเอาจริงขึ้น คุณอิททำอะไรไม่เคยถอยอย่างที่พยายามสอบให้ผ่านเพื่อให้ได้เจอคุณแม่ยังไงล่ะค่ะ เอาจริงจนจะถึงเส้นชัยอยู่แล้วนะคะ”
อิทธิพลหนักใจ “อีกไม่นานแล้วซินะ..ที่ชั้นจะต้องพานายอิทไปพบกับฤดี”
ถนอมนิ่งอึ้งมองอิทธิพลอย่างเห็นใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะพูดวกมาที่นฤดีเข้าได้
อิทธิฤทธิ์สะพายกระเป๋าเป้เปิดประตูพรวดเข้ามาอย่างร้อนใจ ชนมนซึ่งนั่งพิมพ์งานด้วยโน้ตบุ๊คอยู่ที่เตียงคนไข้เงยหน้าขึ้นมอง
“อิท..”
ชนมนยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ อิทธิฤทธิ์ก็ดึงหนังสือออกมาแล้วรีบโยนกระเป๋าเป้ลงที่โซฟาโดยไม่มอง อิทธิฤทธิ์กระโดดขึ้นไปบนเตียงเบียดชนมนจนแทบเกยไหล่
“เอ้า! เรามาติวกันได้เลย” อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าไปใกล้หน้าชนมนเกินความจำเป็น
ชนมนนั่งตัวแข็งนิ่ง อิทธิฤทธิ์มองชนมนด้วยความแปลกใจแล้วหันไปเห็นชินพัฒน์ที่เปิดผ้าม่านที่กั้นเตียงเดิมของอิทธิฤทธิ์ออก ในมือของชินพัฒน์ถือถาดอาหารเย็นและกำลังจ้วงกินอย่างอร่อยแต่
เงื้อมือค้างอยู่ ชินพัฒน์ทำหน้าตาสยองแทนอิทธิฤทธิ์
“อ้าว! ชิน! อยู่ด้วยเหรอ”
ชินพัฒน์พยักหน้าเหมือนผีดิบแล้วพยักหน้าไปทางโซฟาที่อยู่ข้างเตียงชนมน
อิทธิฤทธิ์งง “เป็นอะไร”
อิทธิฤทธิ์เริ่มจะสังหรณ์ใจหน่อยๆแล้วเขาก็ค่อยๆหันไปมองที่โซฟาและแล้วต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเห็นชูชัยนั่งหน้านิ่งอยู่โดยมีกระเป๋าเป้ของอิทธิฤทธิ์คาอยู่บนตัก
“เฮ้ย!”
อิทธิฤทธิ์พรวดลงจากเตียงแทบไม่ทันแล้วรีบไปดึงกระเป๋าเป้มากอดไว้
“ขอโทษครับ คุณลุง ขอโทษ”
อิทธิฤทธิ์ทิ้งกระเป๋าเป้ลงแล้วยกมือไหว้ปะหลกๆอีกหลายครั้ง
“ขอโทษครับๆ ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่ทันจะมอง”
ชูชัยลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับอิทธิฤทธิ์
“พรุ่งนี้ชนออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ให้ไปติวต่อที่บ้านชั้น ห้ามไปติวที่อื่นเด็ดขาดและทุกครั้งที่ชนติวให้นาย จะต้องมีไอ้ชินอยู่ด้วย ไอ้ชิน!”
ชินพัฒน์รับคำ “ครับผม!”
ชินพัฒน์เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างอิทธิฤทธิ์กับชนมนที่นั่งอยู่บนเตียง
“คุณลุงครับ..ผมว่า..เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีมั้ยครับ เออ..คือ..ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เราเริ่มต้นกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” อิทธิฤทธิ์บอก
“ไม่ต้อง! ยังไงชั้นก็ไม่มีวันชอบหน้านาย”
ชูชัยเดินออกไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคงและมีอำนาจ อิทธิฤทธิ์กับชนมนหันมามองหน้ากันอย่างสิ้นหวังยิ่งขึ้นทุกทีๆ
เช้าวันใหม่ อิทธิฤทธิ์รีบเดินออกมาจากบ้านโดยปากคาบขนมปังปิ้งและกระโดดโหยงเหยงใส่รองเท้าไปด้วย เขายัดขนมปังใส่ปากไป
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดัง “กระเป๋าผมล่ะ ป้าหนอม”
ถนอมอุ้มหมูหวานรีบร้อนออกมาจากในบ้าน
“กระเป๋าอยู่โน่นไงคะ คุณอิท จะรีบไปไหนแต่เช้าคะ”
อิทธิฤทธิ์รีบร้อนหันมองหากระเป๋าที่วางอยู่แถวนั้น เขารีบคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายหลัง
“ก็ไปติวน่ะซิครับ ป้า ผมไปนะ”
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยว จะไม่ลาหมูหวานก่อนเหรอคะ” ถนอมแกล้งพูดกับหมูหวาน “เป็นแมวหัวเน่าไปแล้วนะเราน่ะ ก็ต้องเห็นใจกันหน่อย คนกำลังมีความรักก็เงี้ยแหละ”
อิทธิฤทธิ์หัวเราะกลบเกลื่อน “มีความรักไรล่ะ ป้าหนอม อีกสองวันจะสอบแล้ว ก็ต้องฟิตกันหน่อย”
“อีกสองวันก็จะไม่ได้เห็นหน้าหนูชนแล้วด้วยใช่มั้ยล่ะคะ”
“ผมไม่มีวันยอมหรอก” อิทธิฤทธิ์ลูบหัวหมูหวาน “สอบเสร็จ แล้วจะมาเล่นด้วยนะ”
อิทธิฤทธิ์จะผละออกไปแต่เขาเห็นว่ามณีมันตราเพิ่งเดินเข้ามา
“ย่า..จะไปติวที่บ้านชนด้วยกันเหรอ”
“เปล่า ชั้นว่างไม่เป็นเวลา ไม่อยากลำบากพี่ชนเค้า ว่าจะอ่านเองน่ะ”
“นี่ไม่ได้มาหาชั้นงั้นดิ” อิทธิฤทธิ์มองหน้ามณีมันตรา “เป็นไรเปล่า หน้าตาดูเครียดๆ”
“ไม่ได้เป็นอะไร เธอรีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่ชนจะรอ”
“มีอะไรคุยกับชั้นได้นะ ย่า”
อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราอย่างค้างคาใจเล็กน้อยแต่ก็ต้องรีบออกไปหาชนมน
“คุณธรรม์ออกไปวิ่งน่ะค่ะ เดี๋ยวคงจะมาแล้ว ไปรอในบ้านดีกว่านะคะ นี่พอป้ารู้ข่าวว่า คุณมาย่าไม่โดนพักงานแล้ว ดีใจจนบอกไม่ถูกเลยล่ะค่ะ แล้วจะได้กลับไปเล่นละครเมื่อไหร่คะ” ถนอมถาม
“ยังไม่รู้เลยค่ะ ตอนนี้ทางบริษัทให้หนูรับงานอีเวนท์ไปก่อน..” มณีมันตราหยุดชะงัก
ถนอมมองตามสายตาของมณีมันตราก็เห็นธรรม์ที่อยู่ในชุดออกกำลังกายเพิ่งวิ่งเหยาะๆเข้ามา
ธรรม์ชะงักเมื่อได้ยินคำว่า “งานอีเว้นท์” ธรรม์มองมณีมันตรานิ่งไม่พูดอะไร
ถนอมค่อยๆ เดินหลบเข้าไปในบ้านอย่างรู้งานพร้อมกับหมูหวาน
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ธรรม์เดินเข้ามาพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าเช็ดคอแล้วหยิบขวดน้ำที่โต๊ะอาหารขึ้นมาดื่ม
มณีมันตราเดินตามมาช้าๆ อย่างหนักใจ เธอคิดหาทางที่จะพูดให้ธรรม์เข้าใจ
“พี่ธรรม์..”
ธรรม์กรอกน้ำใส่ปากแบบดูไม่สนใจการมาของมณีมันตรา
“พี่ธรรม์ฟังย่าอธิบายก่อนได้มั้ย ย่าไม่รู้จริงๆว่า เค้าให้ย่าไปเป็นสาวพริตตี้”
“ก่อนไปไม่รู้ แต่พอไปถึงงาน เค้าก็ต้องบรีฟงานก่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ปฏิเสธเค้าไปล่ะ ทำไมยอมไปตากหน้าทำงานแบบนั้น”
“พี่เมนี่เซ็นสัญญารับงานไปแล้วนี่คะ ย่าทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ พี่เมนี่บอกว่าไม่มีงานอื่นเข้ามาเลย แต่ถ้าย่าออกงานอีเวนท์เรียกกระแสอีกสองสามงานเดี๋ยวคงจะมีงานหนังงานละครเข้ามา”
“แล้วงานอีเวนท์เรียกกระแสที่ว่า ถ้าเค้าให้ย่าใส่ชุดว่ายน้ำเดินกลางถนนล่ะ ย่าก็จะยอมทำงั้นเหรอ”
“ถ้าพี่ธรรรม์รู้จักย่า พี่ธรรม์จะไม่ถามคำถามนี้ ย่าพลาดไปแค่ครั้งเดียว แล้วที่ย่าพลาดก็เพราะย่าทำตามที่พี่ธรรม์บอก”
“นี่กลายเป็นความผิดพี่ไปงั้นสิ
มณีมันตราเริ่มโกรธบ้าง “ย่าโง่เองที่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ แล้วคิดบ้างมั้ยว่า ย่าต้องฝืนใจ
ตัวเองแค่ไหนที่ต้องทำงานทุเรศๆแบบนั้น นี่เป็นช่วงชีวิตที่ย่ารู้สึกตกต่ำสุดๆ ย่ารู้สึกเหมือนเป็นแค่สินค้าชิ้นนึง และเป็นสินค้าราคาถูกด้วย”
ธรรม์เริ่มรู้สึกผิด “ย่า..”
“สิ่งที่ย่าต้องการตอนนี้คือ กำลังใจให้ย่าสู้ต่อไป สู้เพื่อให้ได้งานแสดงกลับมา แต่ย่าโทรไป พี่ธรรม์ก็ไม่ยอมรับสาย มาหาก็มีแต่ดุว่า และยังมาโกรธใส่อีก ถ้าพี่ธรรม์อยากโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของย่า ได้! ย่าผิดเอง”
มณีมันตราเดินกลับออกไปด้วยความโมโห ธรรม์รู้สึกผิด
อิทธิฤทธิ์นิ่งฟังชนมนติวข้อสอบให้อยู่
“กฎหมายวิอาญา (คำย่อของวิชานี้-กฎหมายวิธีวิจารณาความอาญา)มีการแก้ไขค่อนข้างบ่อย อาจารย์มักจะเอาฏีกาใหม่หรือหลักกฎหมายที่แก้ไขใหม่มาออกข้อสอบ กฎหมายใหม่ที่ชั้นจดให้นายไปท่อง ท่องให้หมดเลยนะ แล้วอีกอย่างนะ”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้และตะแคงหูไปใกล้ที่ปากของชนมนทำเหมือนฟังอย่างตั้งใจจริงจัง
“อีกอย่างอะไร..พูดดังๆหน่อย ไม่ค่อยได้ยิน มาพูดใกล้ๆหน่อยได้ป่าว”
ชินพัฒน์โผล่พรวดแทรกกลางพร้อมกินลูกชิ้นปิ้งลูกสุดท้ายที่ถือติดมา
“ไม่ได้! ใกล้แค่นี้พอแล้ว”
ชินพัฒน์ลากเก้าอี้มานั่งขวางกลางทำให้อิทธิฤทธิ์ต้องขยับเก้าอี้ออกห่างชนมน
“อย่างนี้จะติวกันยังไง” อิทธิฤทธิ์ถาม
“สบายมาก ถ้าพี่อิทไม่ได้ยิน เดี๋ยวผมพูดทวนให้เอง” ชินพัฒน์เลียนเสียงชนมน ”กฎหมายใหม่ที่ชั้นจดให้นายไปท่อง ท่องให้หมดเลยนะ” เป็นไง เซียนป่ะล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ดึงกระเป๋าตังค์ออกมาจากกางเกงแล้วเตรียมควักเงินออกมาติดสินบนชินพัฒน์ ชินพัฒน์ยิ้มแล้วถูมือเตรียมรับทรัพย์แต่แล้วเขาก็เหลือบไปมองด้านหลังอิทธิฤทธิ์แล้วเปลี่ยนท่าทีทันควัน
“ไม่ดีมั้ง พี่ ! เงินไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”
อิทธิฤทธิ์กรีดแบงก์ในกระเป๋าตังค์โชว์ “ต้องการเท่าไหร่ บอกมาได้เลย”
ชินพัฒน์ขยิบตาส่งสัญญาณห้าม “หยุดๆ พูดอย่างนี้ ดูถูกกันชัดๆ”
อิทธิฤทธิ์ถามอีก “เท่าไหร่?”
“ให้เท่าไหร่ก็ไม่เอา”
อิทธิฤทธิ์วางกระเป๋าตังค์ลงบนโต๊ะดังปัง ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างอ่อนใจเพราะขี้เกียจจะช่วยแล้ว
“เอาไปทั้งกระเป๋าเลยไป แล้วนายจะไปไหนก็ไป ขอชั้นติวกับชนสองคน”
ชินพัฒน์ส่ายหน้ายิกๆ “ไม่เอา!”
อิทธิฤทธิ์ไม่เข้าใจจริงๆ “มีปัญหาอะไร?”
“ปัญหายืนอยู่ข้างหลังแน่ะ!”
อิทธิฤทธิ์หันขวับมองไปด้านหลังก็เห็นชูชัยกำลังยืนลับมีดอย่างช้าๆ พร้อมกับจ้องมา
ธรรม์ที่เปลี่ยนเป็นชุดนอกเครื่องแบบเดินลงมาจากห้องนอน ถนอมถือตะกร้าเสื้อผ้าเดินตามหลังมา
“คุณธรรม์คะ คุณธรรม์รีบไปง้อคุณมาย่าเลยนะคะ อย่าได้โกรธกันข้ามวันข้ามคืนเชียว เดี๋ยวจะคืนดีกันยากนะคะ”
“ผมกับย่าไม่ได้...”
ถนอมขัด “อย่าเถียงค่ะ คุณธรรม์กับคุณมาย่าต้องทะเลาะกันแน่ๆ ป้าเห็นคุณมาย่าเดินตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ออกไป คุณธรรม์ก็หน้าตาไม่สู้ดีพอกัน”
“ไว้ก่อนแล้วกันนะครับ ผมต้องรีบไปทำงาน”
“วันนี้ไม่ต้องเข้าเวรไม่ใช่เหรอคะ”
ธรรม์นิ่งเพราะลังเลใจ อิทธิพลเดินเข้ามาเพราะเตรียมจะออกไปทำงาน
อิทธิพลยิงเข้าเรื่องทันที “ว่ายังไง สืบเรื่องเด็กแก๊งนายตี๋เล็กไปถึงไหนแล้ว”
“ผมได้รายชื่อเด็กแว้นเก่าที่เคยเป็นเด็กส่งยามาสี่ห้าคน เด็กที่ทำงานให้นายเก่งกาจต้องอยู่ในรายชื่อนี้แน่ ผมกำลังสืบหาตัวอยู่ ได้เรื่องยังไงผมจะรีบรายงานให้ทราบนะครับ”
ธรรม์ยกมือไหว้ลาอิทธิพลแล้วรีบเดินออกไป
“คุณท่านนี่ก็..ไม่น่าจะมาขัดจังหวะเลยค่ะ อิชั้นกำลังคุยเรื่องสำคัญกับคุณธรรม์อยู่ สองพ่อลูกนี่นะ เจอหน้ากันก็คุยแต่เรื่องงาน”
“เรื่องสำคัญของป้าหนอมน่ะ ถึงจะสำคัญยังไง ก็คงไม่สำคัญเท่าเรื่องการตามล่าหาไอ้ฆาตกรที่ฆ่าเที่ยงธรรมหรอกมั้ง” อิทธิพลบอก
อิทธิพลเดินออกไป ถนอมเถียงไม่ออก
ชูชัยนั่งแทนที่ชินพัฒน์โดยมือยังคงลับมีดพลางยกมีดขึ้นส่องดูความคม
อิทธิฤทธิ์เอนหลังจนแทบตกเก้าอี้เพื่อที่จะหาช่องว่างที่จะคุยกับชนมนให้ได้
อิทธิฤทธิ์กระซิบ “ชน..ชน..”
ชูชัยหันมาพรึ่บมองอิทธิฤทธิ์พร้อมกับชูมีดที่อยู่ในมือ
“มีปัญหาอะไร?”
อิทธิฤทธิ์ตกใจ “เฮ้ยๆๆ!!”
อิทธิฤทธิ์ประคองตัวไว้ไม่ให้หงายหลังตกเก้าอี้ไปแล้วรีบกลับมานั่งตัวตรงทำข้อสอบต่อเหมือนเดิม
“ว่าไง มีปัญหาอะไร?”
“เออ...คือ..ไม่เข้าใจคำถามนิดหน่อยครับ”
ชนมนชะโงกหน้ามา “คิดอะไรได้ ก็เขียนไปก่อน วิเคราะห์คดีตามที่นายคิด ทำเหมือนกำลังสอบจริง แล้วเดี๋ยวชั้นจะตรวจให้ว่า นายพลาดประเด็นไหนบ้าง”
“มีอะไรสงสัยอีกมั้ย!?” ชูชัยถาม
ชูชัยหันมามองอิทธิฤทธิ์ด้วยสายตานิ่งๆแต่เอาจริง อิทธิฤทธิ์จำต้องก้มหน้าทำข้อสอบต่อไปอิทธิฤทธิ์ก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบต่อแล้วอดรนทนไม่ไหวจึงวางปากกาลงแล้วถาม
“ผมมีข้อสงสัยครับ”
ชูชัยค่อยๆวางมีดลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน อิทธิฤทธิ์ลุกขึ้นยืนประจันหน้าชูชัยอย่างไม่เกรง
“ทำไมผมกับชนจะคบเป็น..เป็นเพื่อนกันไม่ได้” อิทธิฤทธิ์ถาม
ชนมนผุดลุกด้วยความตกใจ “อิท!”
“คุณลุงบอกว่า ไม่ชอบหน้าผม เหตุผลแค่นี้มันไม่พอ”
ชูชัยว่า “ไอ้เด็กแว้น!”
“ผมเป็นนักแข่ง!”
“เรียนไม่จบ! อนาคตก็ไม่มี! ใครจะให้คบ!” ชูชัยว่า
อิทธิฤทธิ์รีบบอก “สอบครั้งนี้ ผ่านชัวร์ จบแน่นอน อนาคตค่อยว่ากัน ที่จริงเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับชนไม่ใช่เหรอครับ ชีวิตของชน ให้ชนตัดสินใจเองดีกว่านะครับ”
อิทธิฤทธิ์รีบดึงชนมนมาให้ยืนอยู่เคียงข้าง ชนมนรีบดึงมือออกจากอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์พูดกับชนมน “ตอบไปเลย ชน ไม่ต้องกลัว!”
“ชั้นเป็นพ่อที่ไม่เคยบังคับลูก แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่ชั้นต้องตัดสินใจแทนลูกสาวชั้น ชนหมดหน้าที่ติวนายเมื่อไหร่ นายก็หมดสิทธิ์มาเหยียบที่นี่อีก”
“คนอย่างผมไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ผมจะต้องทำให้คุณลุงยอมรับผมให้ได้” อิทธิฤทธิ์ว่า
ชูชัยไม่ยี่หระ เขาเดินออกไปแล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของอิทธิฤทธิ์
“ซักวันนึงผมจะต้องได้กินข้าวผัดฝีมือของคุณลุง”
ชูชัยหัวเราะฮึๆอย่างเยาะๆ แล้วเดินออกไป ชินพัฒน์พรวดเข้ามาวางจานข้าวผัดสีคล้ำๆเละๆลงบนโต๊ะ
“แต่ตอนนี้กินข้าวผัดฝีมือเชฟชินไปก่อนนะ เพ่”
อิทธิฤทธิ์มองจานข้าวผัดของชินพัฒน์อย่างกล้ำกลืนก่อนจะหันไปสบตากับชนมน
ธรรม์รอเจ๋งที่กำลังพลิกดูรูปที่สแกนจากประวัติผู้ต้องหาในมือที่มีอยู่ 4-5 ใบ เจ๋งส่งรูปที่คิดว่าเป็นพวกเด็กแว้นที่เคยส่งยาให้ธรรม์ทีละรูปๆ
“ไอ้ดำนี่มันเคยส่งยาอยู่แถวๆนี้” เจ๋งส่งรูปให้ธรรม์ “แล้วไอ้อ่ำกับไอ้สันต์นี่ก็ใช่แต่พอมันไปเข้าแก๊งตี๋เล็กแล้ว พวกมันก็เลิกยุ่งกับยาแล้วนะครับ พี่ธรรม์”
“มันอาจจะแอบส่งยาขายยาโดยที่ตี๋เล็กไม่รู้ก็ได้ แล้วนี่พี่จะไปตามไอ้สามคนนี้ได้ที่ไหน”
“หลังจากโดนรวบตัวที่สนามแข่งคราวก่อน ไอ้ดำกับไอ้อ่ำก็กลับบ้านนอก ส่วนไอ้สันต์ เห็นว่ามันกำลังจะบวช” เจ๋งพลิกดูเห็นรูปของบ๊วย “ไอ้บ๊วยนี่ก็มีประวัติด้วยเหรอครับ ผมไม่ยักรู้ นึกว่ามันรับแทงบอลอย่างเดียว”
“ไอ้นี่ พี่ก็กำลังตามตัวอยู่ เห็นว่าไปกบดานอยู่ที่อื่น” ธรรม์บอก
“ผมว่าไม่น่าใช่มัน ไอ้บ๊วยมันโง่ๆเซ่อๆ แล้วกล้าซะที่ไหน อย่างเก่งก็รับส่งยาไม่กี่เม็ด แก๊งค้ายาแก๊งไหนรับมันไปเป็นลูกน้องนี่โง่บรมเลยนะ พี่ธรรม์”
เสียงเก่งกาจดังขึ้น “ไอ้น้อง!”
ธรรม์กับเจ๋งหันไปตามเสียงก็เห็นเก่งกาจกับเข้เดินอาดๆเข้ามา
“รถพี่เสียอยู่ปากซอยโน่น ไปช่วยดูให้หน่อยสิ” เก่งกาจบอก
“รถอะไรครับ พี่ ผมรับซ่อมแต่มอไซด์นะครับ” เจ๋งบอก
“อ้าว! งั้นเหรอ”
“ผมไปดูให้ได้นะครับ แบตอาจจะหมด ในรถพี่มีสายพ่วงมั้ยล่ะครับ” เจ๋งถาม
“แบตอาจจะไม่หมดอย่างเดียวน่ะซิ เบรคก็มีปัญหา ถ้าน้องซ่อมแต่มอไซด์ ก็ไม่รบกวนดีกว่า เดี๋ยวโทรตามช่างเอง ยังไงก็ขอบใจนะ”
เก่งกาจกวาดตามองธรรม์กับเจ๋งอย่างรวดเร็วและเหลือบเห็นรูปเด็กแว้นในมือของเจ๋ง
เก่งกาจมองธรรม์แล้วยิ้ม “คุณตำรวจก็เล่นมอไซด์กับเค้าด้วยหรือครับ”
ธรรม์มองเก่งกาจอย่างแปลกใจที่รู้ว่าเขาเป็นตำรวจทั้งๆที่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ
“ผมคุ้นเคยกับตำรวจดีน่ะครับ เห็นปั๊บก็รู้ปุ๊บว่า เป็นตำรวจ” เก่งกาจพูดกับเจ๋ง “โชคดีจริงๆเลยนะ ได้ลูกค้าดีๆอย่างคุณตำรวจคนนี้ อย่างนี้รับรองไม่มีเบี้ยวแน่”
เก่งกาจเดินอาดๆออกไป เข้รีบเดินตาม ธรรม์มองตามอย่างสงสัยที่เก่งกาจดูแปลกๆ
เก่งกาจเดินช้าๆ มาจากทางบ้านเจ๋ง เข้เดินปาดเหงื่อตามมา
“พี่เก่งเล่นเงี้ยเลยเหรอ”
“ชั้นก็อยากเห็นหน้าไอ้คนที่ตามไล่ล่าหาตัวชั้นซิวะ ว่าหน้าตามันเป็นยังไง แล้วแกไปสืบประวัติมันมาได้หรือยัง”
“ไอ้หมวดธรรม์เป็นตำรวจใหม่ เห็นว่า ได้มาทำงานด้านสืบสวน ก็เพราะพ่อมันเป็นนายตำรวจใหญ่”
เข้เปิดสมาร์ทโฟนจอใหญ่แล้วเลื่อนปรู๊ดๆ ให้เก่งกาจดูรูปธรรม์ในเครื่องแบบตำรวจ
เก่งกาจยิ้มขำ “นายตำรวจใหญ่..ใหญ่แค่ไหนวะ”
“ก็ใหญ่ระดับผู้การอิทธิพลล่ะ พี่” เข้บอก
เก่งกาจชะงัก “ผู้การอิทธิพล”
เก่งกาจดึงสมาร์ทโฟนของเข้มาเลื่อนดูเองก็เห็นรูปธรรม์กับอิทธิพลในชุดเครื่องแบบตำรวจ
“แต่ไอ้หมวดธรรม์นี่ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของผู้การ เป็นลูกชายลูกน้องเก่า ผู้การรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม..เห็นว่าพ่อแท้ๆของมันถูกมาเฟียยิงตาย”
“พอ! ไม่ต้องเล่าต่อ เรื่องที่เหลือชั้นรู้หมดแล้ว มิน่าล่ะ ถึงได้ตั้งหน่วยพิเศษตามไล่ล่าชั้นโดยเฉพาะ ..คิดจะแก้แค้นส่วนตัวนี่เอง”
เข้งง “นี่มันเรื่องอะไรหรือ พี่เก่ง”
“แกไม่ต้องรู้หรอก นี่คงถึงเวลาที่ชั้นจะต้องตามหาลูกพี่เก่าแล้วล่ะมั้ง”
เก่งกาจยิ้มอย่างสะใจที่จะได้ป้ายความผิดให้กับชูชัยอีกครั้ง
ชนมนเดินเก็บจานข้าวผัดกับแก้วน้ำใส่ถาด อิทธิฤทธิ์เดินตามมาติดๆ เขาดึงถาดจานและแก้วน้ำไปถือให้
“ไม่ต้องช่วย กลับไปได้แล้ว ไป” ชนมนไล่
อิทธิฤทธิ์อ้าง “กลับไปตอนนี้ รถมันติด”
“นายขี่มอเตอร์ไซค์ กลัวอะไรกับรถติด”
“ก็ไม่อยากกลับ มีไรป่าว”
“มี!” ชูชัยสวนขึ้นมา
อิทธิฤทธิ์กับชนมนหันไปเห็นชูชัยยืนมองอย่างไม่ชอบใจ
“ติวเสร็จแล้ว ก็กลับบ้านไป เกะกะร้าน! ชนก็ต้องอ่านหนังสือสอบเหมือนกัน”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนงงเพราะเพิ่งรู้ “สอบไรเหรอ”
ชินพัฒน์โผล่เข้ามาแจมด้วย
“สอบชิงทุนไปเรียนป.โทที่...”
ชนมนขัดทันที “หนูสอบเสร็จไปแล้วเมื่อต้นเดือน ตอนนี้เหลือแต่ส่งโครงงานวิจัยเท่านั้น”
“เออๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ มันก็ต้องใช้เวลาอ่านหนังสือหาข้อมูลไม่ใช่เหรอ แกเสียเวลากับไอ้เด็กเหลือขอนี่มากพอแล้ว” ชูชัยว่า
อิทธิฤทธิ์วางถาดจานข้าวผัดลงทันที “ถ้าพูดอย่างนี้ คงจะต้องเคลียร์กันหน่อย”
“นายอิท! ไป กลับบ้านไป ชั้นจะไปส่ง ไปซี้ ไป”
ชนมนลากอิทธิฤทธิ์ไปเต็มแรง ชินพัฒน์มองหน้าชูชัยแล้วส่ายหน้า
“แรงไปป่าว พ่อ” ชินพัฒน์ถาม
“ชั้นพูดผิดตรงไหน?” ชูชัยถามกลับ
“แต่พี่อิทเปลี่ยนไปแล้วนะ พ่อ คนเราทำผิดแล้วไม่มีโอกาสตั้งต้นใหม่หรือไง” ชินพัฒน์ชมตัวเอง “แน่ะ วันนี้คมๆ” ชินพัฒน์แตะแขนพ่อ “นะพ่อนะ ให้โอกาสพี่อิทเค้าหน่อย”
ชินพัฒน์เดินออกไปโดยไม่รู้ว่าคำพูดนั้นกระทบใจชูชัยจนชูชัยอึ้งไปเหมือนกัน
ชนมนลากอิทธิฤทธิ์ออกมาส่งที่หน้าบ้าน อิทธิฤทธิ์แกล้งฝืนตัวไว้ไม่ให้ชนมนลากไปง่ายๆ
“นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์งอแง “ก็บอกแล้ว ยังไม่อยากกลับ”
ชนมนทั้งลากทั้งดึงแต่อิทธิฤทธิ์ไม่ขยับแม้แต่น้อย ชนมนปล่อยมือจากอิทธิฤทธิ์อย่างหมดแรง
“นายอยากอยู่ทะเลาะกับพ่อต่อหรือไง แล้วมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นมั้ย พ่อจะมีแต่เกลียดขี้หน้านายมากขึ้นๆ”
“ก็ชั้นมีเวลาอยู่กับเธออีกแค่สองวัน ชั้นขอใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ได้หรือไง”
“ตอนนี้ชั้นอยากให้นายคิดถึงแต่เรื่องสอบ ปัญหาเรื่องอื่นค่อยคิดทีหลัง ชั้นเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก”
“ยังไงล่ะ”
“เออน่า แล้วเดี๋ยวเราก็คิดออกเองแหละ”
อิทธิฤทธิ์ยิ้ม “นี่แสดงว่า เธอตกลงยอมคบชั้นเป็นแฟนแล้วใช่มั้ย”
ชนมนทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะทำเสียงดังใส่ “ขี่รถดีๆล่ะ แล้วข้อสอบอีกข้อที่ให้ไปทำ พรุ่งนี้ทำมาส่งด้วยนะ”
ชนมนรีบหันหลังจะกลับเข้าบ้านแต่อิทธิฤทธิ์ดึงชนมนไว้ทันทีก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูชนมน
“อย่าทำเป็นไม่ได้ยิน..ตกลงเราเป็น”แฟน”กันแล้วนะ!”
ชนมนเก้อเขิน “เออ..ฮื่อ..เดี๋ยว..เดี๋ยวนะ.ไว้สอบ...”
อิทธิฤทธิ์ขัด “ไม่ต้องเดี๋ยวแล้ว ชั้นถือว่าเธอตกลงแล้ว”
ชนมนพูดตะกุกตะกัก “เดี๋ยว..ชั้นยังไม่ได้..”
อิทธิฤทธิ์จับไหล่ชนมนด้วยมือทั้งสองอย่างมั่นคง
“เรื่องบางอย่างไม่ต้องพูดก็ได้..แค่มองตา..ก็รู้”
อิทธิฤทธิ์ก้มหน้าลงไปใกล้ชนมนจนหน้าผากแทบชนกัน ชนมนมองไปด้านหลังอิทธิฤทธิ์แล้วก็ตาโตลุกโพลงอย่างตกใจ อิทธิฤทธิ์เซ็งทันทีเพราะรู้ว่าใครยืนอยู่ด้านหลัง
อิทธิฤทธิ์ค่อยๆปล่อยมือจากชนมนอย่างหน่ายๆ เพราะมาถูกตัดอารมณ์เอาซะนี่ เขาหันหน้ากลับไปทางหน้าบ้านก็เห็นชูชัยยืนจ้องมองมาด้วยสายตาโหดเงียบ อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ลาชูชัยโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดซักนิด
“ผมกลับล่ะครับ คุณลุง ขอบคุณที่มาส่ง” อิทธิฤทธิ์พูดกับชนมน “ไปนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
อิทธิฤทธิ์ขยี้หัวชนมนแล้วเดินออกไป ชนมนหันกลับมามองชูชัยอย่างทำหน้าไม่ถูก
ธรรม์นั่งหน้าเคร่งหาข้อมูลพวกเด็กแว้นต้องสงสัยทางอินเตอร์เน็ตจากโน้ตบุ๊ค อิทธิฤทธิ์อุ้มหมูหวานมานั่งสังเกตการณ์มองธรรม์อยู่ไม่ไกล ธรรม์จดโน้ตข้อมูลไปพลางคลิกดูข้อมูลไปเรื่อยๆ และทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความหนักใจ อิทธิฤทธิ์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตามเหมือนจะเลียนแบบธรรม์อยู่ในที
เสียงมือถือของธรรม์ดังขึ้น ธรรม์หยิบมากดรับอย่างรวดเร็ว
“ว่าไง ได้เบาะแสแล้วเหรอ ใช่ๆ นายบำรุง คนเดียวกับนายบ๊วยนั่นแหละ” ธรรม์ฟัง “มันไม่ได้กลับไปอยู่กับแก๊งเก่า แต่ไม่น่าจะกบดานได้นาน โอเค ขอบใจ”
ธรรม์กดมือถือปิดแล้วเปิดแฟ้มดูข้อมูลต่อ
อิทธิฤทธิ์พูดเลียนแบบ “โอเค..ขอบใจ” อิทธิฤทธิ์พูดกับหมูหวาน “ขี้เก๊กเกินว่ะ ไม่ไหว”
ธรรม์พูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ “ความเท่มันเลียนแบบกันไม่ได้หรอก”
“ใคร? ใครเลียนแบบนาย!?”
ธรรม์เงยหน้ามองนิ่งๆ “แล้วมานั่งดูชั้นทำงานทำไม มีเรื่องอะไรจะปรึกษาหรือเปล่า เรื่องชนล่ะซิ”
“ชั้นไม่โง่ปรึกษานายเรื่องผู้หญิงหรอกโว้ย คนอย่างนายจะรู้เรื่องอะไร เฮอะ”
อิทธิฤทธิ์อุ้มหมูหวานจะเดินออกไปแล้วก็เปลี่ยนใจทันทีทันควันจึงเดินกลับมาอย่างจนตรอกจริงๆ
อิทธิฤทธิ์วางหมูหวานไว้บนกองแฟ้มของธรรม์อย่างไม่เกรงใจ
“เออ..แต่ขอถามเรื่องพ่อของชนหน่อยดิ ทำไง..ทำไงชั้นถึงจะ..”
อิทธิฤทธิ์อึกอักและลีลาเยอะเพราะรู้สึกเสียหน้าที่ต้องลดตัวมาปรึกษากับธรรม์
ธรรม์ต่อให้ “..เอาชนะใจคุณลุงได้.. นายก็ทำตัวดีๆ”
“ชั้นก็ทำตัวดีแล้ว ชั้นตั้งใจติวสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยท่องหนังสือหนักขนาดนี้ ถ้าชั้นสอบผ่าน คุณลุงก็ไม่น่าจะมีปัญหากับชั้นอีก แต่นี่ชั้นพูดไรก็ไม่สนไม่ฟัง ห้ามไม่ให้ชั้นเจอชนลูกเดียว ไม่มีเหตุผลเลย!”
“คุณลุงเค้าเป็นพ่อของชน เค้ามีสิทธิ์ แค่นายสอบผ่าน มันยังพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกว่า นายจะดูแลชนได้” ธรรม์แหย่ “นายไม่ต้องดีเท่าชั้นก็ได้ แค่อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนัก รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ คนอื่นถ้าไม่ใช่คุณพ่อ ไม่มีใครทนความกวนประสาทของนายได้หรอก”
“เฮ้ย! แค่ถามความเห็น ไม่ได้ให้สอน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ คิดว่าตัวเองดีไม่มีที่ติงั้นดิ ไอ้คนบ้างาน คิดถึงแต่ตัวเอง ย่าคงทนนายไปไม่ได้นานหรอก”
อิทธิฤทธิ์อุ้มหมูหวานเดินปึงปังออกไปอย่างเสียฟอร์ม ธรรม์หยิบมือถือขึ้นมากดดูรูปมณีมันตราหลายๆรูปในมือถือด้วยความคิดถึงมณีมันตราและรู้สึกผิด
เช้าวันใหม่ มณีมันตราเดินอย่างโดดเดี่ยวและหมดความมั่นใจอยู่หน้าบริษัท
เด็กวัยรุ่นหน้าใส 7-8 คนนั่งกรอกใบสมัครอยู่ กลุ่มวัยรุ่นที่มาสมัครเป็นดาราพากันเงยหน้ามองมณีมันตราแล้วก้มหน้าลงกรอกใบสมัครต่ออย่างไม่สนใจ
วัยรุ่นคนหนึ่งพูดลอยๆ “ซุปตาร์ขาลง”
มณีมันตราทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินต่อไปแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นป้ายเชียร์”รักมาย่า” อยู่ในถังขยะ มณีมันตราทำใจให้นิ่งแล้วเดินต่อไปแล้วก็ต้องหยุดยืนอยู่หน้าบอร์ดติดประกาศที่อยู่ตรงหน้า
มณีมันตราเห็นโปสเตอร์ละครเวที “รักนิรันดร์” บทประพันธ์โดย “เทราปที” เขียนบทและกำกับการแสดงโดย “อรุณวตี” มีป้ายกระดาษแผ่นยาวพาดโปสเตอร์ละครว่า “คัดเลือกนักแสดง 1-7 พค.” มณีมันตราจ้องมองโปสเตอร์อย่างมีความหวังขึ้นมาทันที
สุวิชกับเมนี่กำลังยืนพิจารณาแผนผังนักแสดงที่มีรูปนักแสดงติดอยู่ที่แผนผังจนเกือบครบ ขาดแต่บทของโรสลีนและนีรชาที่ยังไม่มีรูปนักแสดงติดอยู่ ตรงชื่อบทราเชนทร์เป็นรูปแม็กซ์ พระเอกซุปตาร์ของเมืองไทย สุวิชกับเมนี่ถือรูปนักแสดงวัยรุ่นปึกใหญ่ในมือพลางส่งดูให้กันอย่างพิจารณา
“ตกลงเปลี่ยนพระเอกไม่ได้จริงๆเหรอ!” สุวิชถาม
“ไม่ได้ค่ะ คุณวตียืนยันว่า ต้องเป็นน้องแม็กซ์ ธีธัช เท่านั้น ไม่งั้นก็ยกเลิกโปรเจ็คนี้ไปเลยค่ะ” เมนี่บอก
“อะไรกัน! เราเป็นผู้จัดเป็นคนลงเงินนะ เราไม่มีสิทธิ์เลือกนักแสดงเลยหรือไง”
“คุณวตีขอแคสติ้งนักแสดงเองทั้งหมดค่ะ”
มณีมันตราที่ยืนรออยู่ห่างๆ พูดขึ้น
“พี่เมนี่คะ..”
เมนี่จุ๊ปากใส่ “อย่าเพิ่ง!”
สุวิชกับเมนี่คุยกันต่ออย่างไม่สนใจมณีมันตรา
“ทำไมถึงได้เรื่องมากอย่างนี้ ชั้นเห็นสัญญาแล้ว เงื่อนไขยุ่บยั่บไปหมด คุณอรุณวตีนี่ คิดว่าตัวเองเป็นเทพมาจากไหน”
“เธอก็เทพจริงๆนะคะ แล้วอีกอย่าง “รักนิรันดร์” เป็นของคุณแม่เธอ ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไข เราก็คงไม่ได้ร่วมสร้างหรอกค่ะ แต่ยังไงก็คุ้ม “รักนิรันดร์” ทำละครทำหนังกี่ครั้ง ก็ดังเป็นพลุแตกทุกครั้ง แต่ยังไม่เคยทำละครเวทีเลย ใครๆ ก็เฝ้ารอดูมาตั้งนานแล้ว ดังเปรี้ยงแน่นอนค่ะ”
“ชั้นล่ะเสียดาย! นี่เป็นโอกาสดีที่จะปั้นเด็กใหม่ของเรานะเนี่ย” สุวิชว่า
“เมนี่คุยกับคุณวตีให้แล้วล่ะค่ะ ยังไงบทโรสลิน (โรส-สะ-ลิน)กับนีรชาก็ต้องให้เด็กของเราเล่น เมนี่จะส่งเด็กทั้งบริษัทไปแคสเรื่องนี้”
มณีมันตราโพล่งออกมา “หนูขอไปแคสด้วยได้มั้ยคะ”
สุวิชกับเมนี่หันมามองมณีมันตราเหมือนกำลังประเมินราคาสินค้า
มณีมันตราเดินตามตื๊อเมนี่มาตามทางเดินหน้าห้องประชุม
“พี่เมนี่คะ”
เมนี่เดินไปพลางและเช็คดูรูปเด็กในสังกัดบนไอแพดของตัวเองไป
“พี่เมนี่ หนูอยากเล่นเรื่องนี้จริงๆ หนูอ่านเรื่อง”รักนิรันดร์”เป็นร้อยๆรอบ เป็นนิยายที่หนูรักมาก แล้วหนูก็อยากมีโอกาสได้ทำงานกับคุณวตีซักครั้งในชีวิต” มณีมันตราบอก
เมนี่เงยหน้ามองมณีมันตราอย่างรำคาญ “คิดว่าอยากเล่น ก็จะต้องได้เล่นงั้นเหรอ”
“หนูไม่ได้คิดอย่างนั้นค่ะ หนูอยากจะลองไปแคสติ้งเท่านั้น”
“แล้วจะไปแคสบทไหนล่ะ ชั้นไม่เห็นว่าจะมีบทไหนเหมาะกับเธอเลย” เมนี่ว่า
“บทไหนก็ได้ค่ะ หนูเล่นได้ทุกบท”
“งั้นก็ได้ วันศุกร์นี้มาลองแคสดู”
“หนูสอบศุกร์นี้ค่ะ พี่เมนี่ หนูขอมาวันอื่นได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้! คิวเต็มแล้ว เหลือแค่วันศุกร์นี้วันเดียว ถ้ามาไม่ได้ ก็เป็นปัญหาของเธอแล้วคงรู้นะว่า เวลาคุณวตีคัดเลือกนักแสดงน่ะ ไม่เคยยอมให้ถือบท เธอท่องบทมาให้แม่นเป๊ะทุกคำด้วย ! ชั้นช่วยเธอได้แค่นี้แหละ”
เมนี่เดินออกไป ทิ้งให้มณีมันตรานิ่งเครียดที่ต้องสอบและต้องเตรียมแคสติ้งครั้งสำคัญด้วย
เมนี่เดินหลุดออกไปจากมณีมันตราก็เจอกับสุวิชที่ยืนรออยู่ที่มุมตึก
“ทำดีมาก!” สุวิชชม
“เมนี่ว่า ห้ามไม่ให้มาย่าไปแคสไม่ดีกว่าเหรอคะ บทโรสลินนี่มันบทของมาย่าชัดๆเลยนะคะ คุณสุวิช หรือว่าเราจะกลับมาดันมาย่าต่อ”
“เด็กคนนี้ไม่น่าลงทุนแล้ว หนังบอดี้การ์ดเจ๊งไม่เป็นท่า เข้าโรงอาทิตย์เดียวก็ถูกถอดออก แล้วยังมามีข่าวฉาวคาราคาซังอีก เราดันเด็กใหม่ไปเลยดีกว่ายังไง”รักนิรันดร์” ก็ต้องดังเปรี้ยงแน่ๆใช่มั้ยล่ะ งั้นทำยังไงก็ได้ให้เด็กคนนี้ได้เล่นบทโรสลิน”
สุวิชดึงไอแพดของเมนี่มาเลื่อนปรู๊ดๆ จนเห็นรูปเต็มตัวของนุกนิกที่เป็นสาวสดใส
เมนี่หนักใจ “น้องนุกนิก จะไหวเหรอคะ เคยเล่นโฆษณาแค่ตัวเดียว”
สุวิชมองหน้าเมนี่เป็นเชิงสั่ง
เมนี่กลับลำทันควัน “ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเมนี่จัดการให้ เมนี่จะส่งแต่พวกเด็กใหม่ไม่มีผลงานไปแคสกับคุณวตี แล้วก็ให้แอคติ้งโค้ชซ้อมบทกับน้องนุกนิกให้การแสดงโดดเด้งจนคุณวตีไม่เลือกน้องไม่ได้เลยล่ะค่ะ”
“อย่าลืมคู่แข่งคนสำคัญของนุกนิกด้วย” สุวิชกำชับ
มณีมันตรายังคงยืนดูโปสเตอร์ละครเวที”รักนิรันดร์”อยู่ ทีมงานเดินมาส่งซองใส่บทซองหนาให้
“ก็เมนี่บอกคุณสุวิชแล้ว”
“ที่ให้มาย่าไปแคสติ้งด้วย ก็เพื่อให้ไปเป็นข่าว จะได้ช่วยสร้างกระแสให้กับนุกนิก แต่อย่าให้ไปแย่งบทของนุกนิกล่ะ ยังไงนุกนิกก็ต้องได้เป็นนางเอกรักนิรันดร์” สุวิชบอก
สุวิชเดินออกไป เมนี่เดินตามพลางบ่นพึมพำ
“โจทย์ยากจริ๊ง”
มณีมันตราดึงบทจากซองออกมาดูอย่างมุ่งมั่นแม้ว่าจะหนักใจแค่ไหนก็ตาม
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ชนมนเดินซื้อของเข้าร้านโดยถือของเต็มสองมือทั้งถุงใส่กล่องโฟม ถุงก๊อบแก๊บ ทิชชู่ม้วนเป็นโหล
อิทธิฤทธิ์เดินหลีกผู้คนเพื่อจะตามชนมนให้ทัน ชนมนเดินคล่องจนอิทธิฤทธิ์ตามแทบไม่ทัน
“ชน..ชน..รอด้วยดิ”
ชนมนหยุดแวะซื้อลูกชิ้นปิ้งที่รถเข็น อิทธิฤทธิ์เดินตามมาจนทันแล้วดึงถุงข้าวของไปถือให้
ชนมนยื้อถุงไว้ “ไม่ต้อง ไม่หนัก”
“ไม่ได้! เป็นแฟนกัน ก็ต้องเทคแคร์กัน”
ชูชัยก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าอิทธิฤทธิ์กับชนมนที่กำลังยื้อถุงของกันอย่างเงียบๆ
“นายพูดว่าไงนะ” ชูชัยถาม
อิทธิฤทธิ์กับชนมนหยุดยื้อถุงกันทันที อิทธิฤทธิ์ดึงถุงทั้งหมดมาถือเองจนได้
“ไม่มีอะไรหรอก พ่อ อิทเค้าล้อเล่นไปเรื่อย พ่อออกมาซื้ออะไรเหรอ ก็หนูบอกแล้วว่า หนูจะซื้อของเข้าร้านให้เอง”
ชูชัยจ้องอิทธิฤทธิ์ “เรื่องแบบนี้ไม่ควรพูดเล่น”
อิทธิฤทธิ์จ้องกลับ “ผมก็ไม่ได้พูดเล่น”
“อิท! อย่า-กวน!” ชนมนว่า
อิทธิฤทธิ์นึกถึงคำเตือนของธรรม์ได้ก็ลดท่าทีกวนประสาทลง เขาพยายามอดกลั้นและยอมอ่อนลง
“ผมขอโทษครับ..ผมพูดผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย ถ้าเมื่อไหร่ผมเรียนจบ”
ชูชัยขัดขึ้น “ไม่ว่าเวลาไหน นายก็ไม่มีสิทธิ์พูดกับลูกสาวชั้นอย่างนี้ แล้วทำไมไม่ไปรอที่บ้าน”
“ผมมาช่วยชนถือของครับ” อิทธิฤทธิ์บอก
“อยากช่วยงั้นเหรอ ได้! ตามมา!”
ชูชัยเดินนำออกไป อิทธิฤทธิ์มองหน้าชนมนเลิ่กลั่กแล้วรีบจ้ำตามไป
เก่งกาจกับเข้เดินออกมาจากมุมที่หลบอยู่ เก่งกาจมองตามหลังอิทธิฤทธิ์กับชนมน
“ไอ้เด็กนั่น..ลูกชายแท้ๆของผู้การอิทธิพล” เข้บอก
“แล้วทำไมวะ” เก่งกาจถาม
“ถ้าพี่อยากจะแก้แค้นไอ้ผู้การที่ทำลายล้างแก๊งเก่าของพี่ ก็เล่นงานลูกชายมันสิ พี่”
“แกไม่รู้อะไร อย่าแส่เรื่องนี้ ชั้นไม่เล่นงานไอ้เด็กอ่อนหัดให้เสียเวลา ถ้าจะเล่นงาน ชั้นจะเล่นพ่อมันเลย”
เก่งกาจจะเดินออกไปแต่แล้วก็หันกลับไปมองอิทธิฤทธิ์อีกครั้งแล้วมองเลยไปว่าอิทธิฤทธิ์กำลังเดินตามใคร ชูชัยเหลียวหน้ามาเพียงเสี้ยวหน้าและเพียงแวบเดียว เก่งกาจมองตามอย่างไม่แน่ใจแล้วเดินออกไปอีกทาง โดยมีเข้เดินตาม
ชูชัยเดินตัวปลิวนำหน้ามาด้วยสีหน้านิ่งๆ ตามเคยแต่ก็แอบสาแก่ใจ
“เดินเร็วๆ ไอ้ชน ไม่ต้องรอ” ชูชัยบอก
ชนมนเดินตามหลังมาอย่างละล้าละลังแล้วมองไปข้างหลังด้วยความเป็นห่วง
“พ่อก็..”
ชูชัยถามขึ้น “พ่อทำไม?”
“ไม่เห็นจะต้องถาม”
อิทธิฤทธิ์เดินถือถุงมาเต็มสองมือและแบกถุงข้าวสารมาอย่างทุลักทุเล
“ก็เห็นบอกว่า..อยากช่วย” ชูชัยถามอิทธิฤทธิ์ “ไง ไม่ไหวเหรอไง”
อิทธิฤทธิ์กัดฟัน “ไหวครับ ไหว”
“ชั้นช่วยถือถุงของให้”
“ไม่ต้องๆ ชั้นไหวๆ”
“นายไม่ต้องทำอะไรเพื่อพิสูจน์ตัวเองหรอกนะ อิท”
อิทธิฤทธิ์หนักมาก “โอ๊ย! ยังไม่ต้องคุยกันตอนนี้ รีบๆเดินดีกว่า”
“เห็นมั้ย รุ่นน้องแกไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย”
ชูชัยดึงชนมนให้เดินห่างออกจากอิทธิฤทธิ์ ชนมนไม่วายหันมาอีกครั้ง
“ไม่ไหวก็บอก อย่าฝืน พ่อไม่ว่าอะไรหรอก”
“ไหวดิ! แค่นี้เรื่องเล็ก! จะห่วงอะไร” อิทธิฤทธิ์เสียงดังขึ้น “เออ.. คนไม่รักกันชอบกันคงไม่เป็นห่วงกันอย่างเงี้ยหรอกเนอะ”
ชูชัยหันมามองอิทธิฤทธิ์ตาขวางแล้วรีบลากชนมนเดินห่างออกไป
ชูชัยกับชนมนเดินผ่านหน้าเก่งกาจที่โผล่มาจากซอกหลืบแบบเฉียดฉิวจนเกือบจะปะหน้ากัน เก่งกาจยืนมองจ้องชูชัยอย่างคิดไม่ถึง อิทธิฤทธิ์แบกถุงข้าวสารกับถุงข้าวของผ่านหน้าเก่งกาจไป เข้เพิ่งเดินตามมาถึงตัวเก่งกาจที่เปลี่ยนใจเดินตามมาดูหน้าชูชัยอีกครั้ง
“เปลี่ยนใจแล้วเหรอ พี่เก่ง” เข้ถาม
เก่งกาจตบไหล่เข้อย่างพอใจมาก
“ขอบใจว่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะแก ชั้นคงไม่มีวันได้มีโอกาสทำหน้าที่พลเมืองดี”
เก่งกาจยิ้มอย่างมีแผนการที่จะกำจัดชูชัยได้แล้ว
อิทธิฤทธิ์ทำหน้าบิดหน้าเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ชินพัฒน์บีบๆนวดๆไหล่และคอให้อิทธิฤทธิ์
“พี่อิทนึกสนุกอะไรขึ้นมา ถึงไปแบกข้าวสารเล่น ปกติข้าวสารมาส่งที่ร้านอยู่แล้ว” ชินพัฒน์บอก
อิทธิฤทธิ์พยักหน้าไปทางชูชัยที่กำลังเช็ดโต๊ะที่ห่างออกไป
“ฝีมือพ่อนั่นเอง” ชินพัฒน์แตะหลังอิทธิฤทธิ์เบาๆอย่างปลอบใจ “สู้ๆนะ พี่อิท รักแท้ก็ก็ต้องมีอุปสรรคเงี้ยแหละ พ่อทำอย่างงี้ไม่ถูกจริงๆ ทำให้พี่ชนต้องลำบากใจ”
ชนมนที่กำลังตรวจข้อสอบให้อิทธิฤทธิ์ต้องชะงักและเงยหน้ามองชิน
ชนมนดุใส่ “ลำบากใจอะไร”
“อ๊ะ ก็ลำบากใจว่าจะเลือกใครดี พ่อหรือว่าแฟน”
“ชั้นไม่ใช่...”
“อ๊ะๆๆ อย่ามาปฏิเสธว่า เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันเงี้ย คบกันเป็นแค่เพื่อนเงี้ย ถ้าเป็นแค่นั้นพี่ชนไม่โดดขวางมอไซด์พี่อิทหรอก ไม่มีอะไรต้องกลัว เราเสียเลือดเสียน้ำตามากันแค่ไหนกว่าจะมาถึงวันนี้ ผมจะช่วยพี่ๆเอง” ชินพัฒน์ปลุกใจพี่สุดๆ
ชินพัฒน์เดินออกไปพร้อมกับดึงเก้าอี้ที่ไว้นั่งกั้นกลางระหว่างอิทธิฤทธิ์กับชนมนไปด้วย ชูชัยหันมาเห็นชินพัฒน์เดินออกก็เรียกไว้
“ไอ้ชิน”
“จะไปฉี่! ถ้าจะให้เฝ้าพี่ชนไม่ต้องกินไม่ต้องฉี่ ต้องไปจ้างยามแล้วล่ะ พ่อ” ชินพัฒน์ว่า
ชินพัฒน์วิ่งจู๊ดเข้าไปข้างในบ้านแล้วก็วิ่งจู๊ดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ท่อน้ำแตก พ่อ! ไปดูเร็ว! เดี๋ยวน้ำท่วมบ้าน”
ชินพัฒน์ลากชูชัยเข้าไปในบ้านทันที อิทธิฤทธิ์ยิ้มกริ่มเพราะหายปวดเมื่อยทันทีที่ได้อยู่กับชนมนสองคน “ชน..”
ชนมนใช้ปากกาวงคำตอบในข้อสอบปรื๊ดๆแล้วส่งคืนให้อิทธิฤทธิ์ทันที
“ตรวจเสร็จแล้ว!”
ชนมนเก็บรวบรวบหนังสือกฎหมายบนโต๊ะเป็นกองเดียวแล้วดันทั้งกองไปตรงหน้าอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์ถาม “ทำอะไร”
“กลับบ้านไปได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องมานะ” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์มองชนมนอย่างไม่เข้าใจและเริ่มไม่ชอบใจ
ชนมนลุกไปเช็ดโต๊ะเก็บโต๊ะต่อจากชูชัยที่ทำงานค้างไว้ อิทธิฤทธิ์เดินมาขวางทางชนมนที่ขยับจะไปเช็ดอีกโต๊ะ
“อย่าให้ต้องง้อมากได้มั้ย”
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ชั้นจะติวให้นาย ชั้นอยากจะให้นายพักเต็มที่หนึ่งวันก่อนที่จะไปสอบ ไม่ต้องท่องหนังสือ ไม่ต้องคิดเรื่องสอบ ทำใจให้สบายๆ นี่เป็นวิธีที่ชั้นทำมาตลอด แล้วก็ได้ผลด้วย”
“ไม่อ่ะ ชั้นจะมา ไม่ต้องติวก็ได้ พ่อเธอให้เวลาชั้นอีกแค่วันเดียว”
“ไม่ได้ นายต้องอยู่บ้าน ห้ามออกไปไหนด้วย เข้าใจมั้ย”
“วิธีนี้ได้ผลกับเธอ แต่อาจจะไม่ได้ผลกับชั้น ไม่ให้ชั้นมา เธอก็ไม่ได้ค่าติว”
“ตอนนี้เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ นายต้องสอบให้ผ่านเรียนให้จบ สำคัญกว่า” ชนมนว่า
อิทธิฤทธิ์จ้องชนมนนิ่งอย่างซึ้งใจ “ชน..”
ชนมนพูดปนหัวเราะ “เห็นชั้นงกล่ะซี้ ถึงได้เอาเงินมาหลอกล่อ ไปๆ กลับไปได้แล้ว”
ชนมนดันหลังอิทธิฤทธิ์ให้เดินออกไป
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่”
ชนมนหยุดชะงักเพราะไม่ผลักอิทธิฤทธิ์ต่อ เธอเริ่มใจหายที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกนาน
อิทธิฤทธิ์พูด “วันสอบนะ.. เธอต้องไปเป็นกำลังใจให้ชั้น เธอสัญญากับชั้นแล้ว”
“ชั้นยังไม่ได้สัญญาซะหน่อย..”
“งั้นก็สัญญาตอนนี้! สัญญา!?”
ชนมนยื่นมือส่งไปให้ทันทีก่อนที่อิทธิฤทธิ์จะก้มหน้าเข้ามาใกล้
“ก็ได้..ชั้นให้สัญญา”
อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนไว้แล้วดึงชนมนเข้ามาใกล้ เขารวบมือจับไว้แน่นเหมือนจะไม่ยอมปล่อยมือเธออีกเลย
มณีมันตรานั่งท่องหนังสืออย่างเคร่งเครียดแล้วเหลือบไปเห็นกองบทละครรักนิรันดร์ที่ตั้งอยู่ มณีมันตราหยิบบทละครมาเปิดดูก็เห็นบทพูดที่ยาวเป็นหน้าๆ มีสีที่มาร์คบทพูดของตัวละครโรสลินและนีรชา
ไว้ทั้งสองตัว แต่คนละสีอย่างเด่นชัดว่าบทพูดทั้งสองคนยาวพรึ่ดเต็มหน้า
“ต้องท่องหมดนี่เลยเหรอ” มณีมันตราท่องบท “ชั้นเป็นเสี้ยนหนามขัดขวางความรักของ
เธองั้นหรือ ขอให้คิดดูอย่างถี่ถ้วนว่า ชั้นเป็นคนเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวหรือ..”
มณีมันตราพึมพำท่องบทต่อพลางนวดขมับตัวเองเพราะปวดหัว เธอวางบทละครลงแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาท่องใหม่อย่างสับสนว่าจะเลือกอะไรก่อนหลังดี ทันใดนั้นมณีมันตราก็ฟุบหน้าลงกับกองหนังสือเพราะแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะ
เสียงธรรม์ดังขึ้น “ย่า..”
มณีมันตราเงยหน้าขึ้นมาแล้วรีบนั่งตัวตรงเมื่อเห็นว่าธรรม์ยืนอยู่ตรงหน้า
“พี่ธรรม์..มีอะไรคะ ย่าไม่มีเวลาทะเลาะด้วยหรอกนะ”
มณีมันตราเปิดหนังสืออ่านต่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ก็ไม่มีเวลาเหมือนกัน พี่แวะมาได้แป๊บเดียว”
“แล้วพี่ธรรม์จะมาที่นี่ให้เสียเวลาทำไมล่ะคะ” มณีมันตราถาม
“พี่มาขอโทษ พี่เป็นคนผิดเอง พี่ไม่ควรจะโกรธย่า แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมทำตัว
เป็นคนไม่มีเหตุผล พี่ขอโทษจริงๆ”
มณีมันตรานิ่งอึ้งเพราะไม่คาดคิด ธรรม์รอให้มณีมันตรายกโทษแต่มณีมันตรายังคงนิ่ง ธรรม์จึงเดินออกไปอย่างหมดหวังว่ามณีมันตราจะยกโทษให้
“พี่ธรรม์..”
ธรรม์ชะงักแล้วหันมามองมณีมันตราอีกครั้ง
“ย่าไม่ยกโทษให้..” มณีมันตราบอก ธรรม์หน้าจ๋อยจนมณีมันตราต้องยิ้ม “ย่าไม่ต้องยกโทษให้พี่ธรรม์หรอกค่ะ เพราะพี่ธรรม์มีสิทธิ์ที่จะโกรธย่า…
ธรรม์โล่งใจอย่างงงๆที่มณีมันตราหายโกรธเขาแต่โดยดี
มณีมันตราวางกองบทละครรักนิรันดทร์ลงบนโต๊ะอีกมุมหนึ่งของบ้าน มณีมันตรานั่งลงแล้วหยิบบทขึ้นมาท่องอย่างสบายใจขึ้น ธรรม์เดินตามมานั่งข้างๆ
“หายโกรธแล้วจริงๆ เหรอ” ธรรม์ถาม
“ย่ามาคิดดูใหม่แล้ว ถ้าพี่ธรรม์เห็นย่าใส่ชุดสาวพริตตี้อย่างนั้น แล้วไม่โกรธ นั่นแหละ ย่าคงต้องโกรธพี่ธรรม์ โกรธมากๆเลยล่ะ โกรธยิ่งกว่าโกรธ”
ธรรม์ไม่เข้าใจผู้หญิง “เฮ้อ..ปวดหัว”
“ถ้าพี่ธรรม์ไม่โกรธ ไม่รู้สึกอะไร ก็แปลว่าไม่แคร์ แต่โกรธย่าแล้ว ก็ควรจะฟังกันบ้างไม่ใช่ไม่ยอมฟังอะไร ที่จริงย่าเสียใจมากกว่าโกรธนะ”
“พี่ขอโทษ..พี่โกรธย่า โกรธตัวเอง โกรธไปหมดที่พาย่ามาจากตรงนั้นไม่ได้ พี่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนขี้ห่วง..คงขี้หวงด้วย..” ธรรม์พูดทีเล่นทีจริง “เป็นเพราะ’รัก’มั้ง”
มณีมันตราเขิน “พี่ธรรม์อย่ามา! บอกรักอะไรตอนนี้ ไว้บอกหลังสอบได้มั้ยคะ ตอนนี้ย่ารับข้อมูลอะไรเพิ่มไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีโน่นนี่เต็มหัวไปหมด สติจะแตกอยู่แล้ว”
ธรรม์ดึงบทในมือมณีมันตราออก “วันนี้อ่านหนังสือสอบก่อน พรุ่งนี้ค่อยท่องบท ย่าเก่งอยู่
แล้ว ต้องทำได้แน่ ย่าต้องตั้งสติดีๆ เท่านั้นแหละ ถ้าทำสมาธิไม่เป็น ก็หลับตา พักซักห้านาทีสิบนาที แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่”
มณีมันตราหลับตาลงเพราะเหนื่อย “ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเลยนะคะ”
ธรรม์มองมณีมันตราที่อ่อนล้าอย่างเห็นใจ เขายกแขนขึ้นโอบไหล่ให้มณีมันตราได้พิงไหล่ของเขาไว้
“ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ไม่มีเวลาให้ท้อแล้ว เราต้องสู้ต่อไปเพื่อวันข้างหน้า”
มณีมันตราลืมตาและเงยหน้าขึ้นสบตากับธรรม์
“พี่ธรรม์ก็อย่าท้อนะ ทำคดีสำคัญอยู่ใช่มั้ยล่ะ เรามาสู้ด้วยกัน เพราะงั้นเราห้ามทิ้งกันเด็ดขาด”
“บอกให้พักไงล่ะ หลับตาไป”
ธรรม์เอามือปิดตามณีมันตราแล้วจับหัวมณีมันตราให้พิงไหล่ของเขาไว้แล้วโอบมณีมันตราให้อยู่นิ่งๆ
มณีมันตราหลับตาพิงไหล่ธรรม์ไว้อย่างสุขสบายใจที่สุด
อิทธิพลเปิดประตูเข้ามาเพื่อหยิบแฟ้มงานที่อยู่บนโต๊ะ
อิทธิพลหันไปเห็นซองเอกสารซองใหญ่วางอยู่ที่กลางโต๊ะทำงาน อิทธิพลหยิบซองเอกสารขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ หน้าซองเขียนว่า “ผู้การอิทธิพล”
อิทธิพลเปิดซองแล้วดึงรูปถ่าย 3-4 ใบที่อยู่ในซองออกมาดูแล้วก็ต้องชะงักกึกจ้องรูปที่อยู่ในมืออิทธิพลซึ่งเป็นรูปชูชัยกวาดหน้าบ้านอยู่โดยหน้าชัดเจนมาก
“ไอ้ชาติชาย!”
อิทธิพลรีบดูรูปอื่นอย่างรวดเร็ว เป็นรูปชูชัย ชนมนและชินพัฒน์ที่เดินกลับจากตลาดด้วยกันและรูปแอบถ่ายของชูชัยอีก 2- 3 รูปที่ทำงานอยู่ในร้านข้าวผัด อิทธิพลนิ่งอึ้งเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ข้อมูลชาติชายมาโดยง่ายและยังรู้เพิ่มอีกว่าชนมนเป็นลูกของชาติชายอีกด้วย
อิทธิฤทธิ์เล่นกีตาร์ฆ่าเวลาอย่างเซ็งๆ โดยมีหมูหวานป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ อิทธิฤทธิ์เล่นเพลงใสๆเบาๆ แล้วก็เล่นเพลงที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เขาแหกปากร้องเพลงระบายความเหงาไปเรื่อยๆ หมูหวานกระโดดลงพื้นหนีไปทันที ถนอมถือถาดจานขนมและแก้วน้ำเข้ามา
“โอ๊ย! เบาๆค่ะ คุณอิท”
อิทธิฤทธิ์กรีดสายกีตาร์ดังสนั่นส่งท้ายอีกครั้งก่อนจะหยุดไป
“เป็นอะไรคะ คุณอิท” ถนอมถาม
“เบื่อ!”
“งั้นก็ไปหาหนูชนซิคะ”
“ก็เค้าห้ามไม่ให้ไปหา โทรไปก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบกลับ ส่งแต่รูปนี้มา”
อิทธิฤทธิ์เปิดรูปในมือถือและชูให้ถนอมดูเป็นรูปชนมนหน้าดุๆในมือชูกระดาษเขียนว่า A
“ที่จริงหนูชนก็คิดถูกนะคะ คุณอิทควรจะอยู่นิ่งๆซักวัน พรุ่งนี้จะได้มีสมาธิในการสอบยังไงล่ะคะ”
“โอ๊ย! ยิ่งอยู่บ้านก็ยิ่งฟุ้งซ่าน! ผมไม่ชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบอยู่คนเดียว”
“แหม! ก็อยู่คนเดียวมาได้ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้อยู่ไม่ได้ซะงั้น เพราะหนูชนใช่มั้ยคะเนี่ย”
“ผมไปหาชนดีกว่า”
อิทธิฤทธิ์ผุดลุกขึ้นทันที อิทธิพลเดินเร็วๆเข้ามาแล้วส่งรูปชูชัยที่ถ่ายกับชนมนและชินให้อิทธิฤทธิ์ดู
อิทธิพลชี้ไปที่ชูชัย “รู้จักไอ้หมอนี่ใช่มั้ย”
“ครับ รู้จัก ลุงชูพ่อของชน เมื่อวานก็เพิ่งเจอกัน มีเรื่องอะไรเหรอ พ่อ”
อิทธิพลฟังคำยืนยันจากอิทธิฤทธิ์อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจจริงๆว่าตอนนี้ชูชัยอยู่ที่ไหน อิทธิพลกดมือถือติดต่อลูกน้องทันที
อิทธิพลพูดโทรศัพท์ “ออกหมายจับได้”
อิทธิฤทธิ์กับถนอมจ้องอิทธิพลแล้วก็รับรู้ได้ว่ามีรูปออกมาอย่างนี้ต้องมีเรื่องผิดปกติแน่ๆ
“พ่อจะจับใคร! จับพ่อของชนเหรอ”
อิทธิพลมองอิทธิฤทธิ์อย่างคิดไม่ตกว่าจะอธิบายยังไงดี อิทธิฤทธิ์ตกใจและงุนงงมาก
ชูชัยขี่จักรยานโดยมีชนมนซ้อนท้าย ตะกร้ารถจักรยานมีถุงข้าวของเต็ม ชินพัฒนืใส่ชุดซ้อมบอลถือลูกฟุตบอลวิ่งตุ๊บตั๊บๆ ตามหลังจักรยานมา
ชินพัฒน์หอบเหนื่อย “โอ๊ย! ไม่ไหวๆ ขอซ้อนบ้างดิ พี่ชน”
“อ่อนยังนี้ จะเป็นนักบอลทีมชาติได้ไง”
ชูชัยเบรกจักรยานเพื่อรอให้ชินพัฒน์วิ่งตามมาให้ทัน ชินพัฒน์ตามมาจนทันแล้วเกาะแฮนด์จักรยานไว้อย่างหมดแรง
“ของอย่างนี้มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่างพี่ชนกว่าจะมาได้เป็นติวเตอร์มือวางอันดับหนึ่ง ก็ต้องใช้เวลาใช่มั้ยล่ะ”
ชนมนลงจากจักรยานมายืนข่มใส่ชินพัฒน์สนุกๆ
“ชั้นสอนการบ้านเพื่อนตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง ตอนอยู่ป.4 ชั้นก็ติวเลขพี่ป.6 แล้ว ชั้นเป็นติวเตอร์อันดับหนึ่งตั้งแต่ยังไม่จบปริญญาด้วยซ้ำ ติวได้ตั้งแต่เด็กป.1 ถึงรุ่นพี่ป.โท เป็นไงล่ะ”
“เป็นไง พี่ชนก็เลยกลายเป็นป้าแว่นหาแฟนไม่ได้น่ะซิ” ชินพัฒน์ว่า
ชนมนลืมตัว “ใครว่าชั้นหาแฟนไม่ได้! ชั้นหาได้แล้วย่ะ”ชนมนชะงักมองพ่ออย่างเกรงๆ
ชูชัยไม่สนใจฟังชนมน “เราต้องรีบไปกันแล้ว”
ชูชัยมองไปรอบๆ เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2-3 คนมายืนเมียงมองอยู่
“มีอะไรเหรอ พ่อ ทำท่าเหมือนมีใครตามมาทวงหนี้” ชินพัฒน์ว่า
“เราไม่ได้ติดหนี้ใครแล้วนี่ เราใช้หนี้ไปหมดแล้ว” ชนมนบอก
“กลับบ้านกันได้แล้ว เร็วเข้า”
ชูชัยเข็นจักรยานนำออกไปอย่างรวดเร็ว ชนมนกับชินพัฒน์มองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วรีบเดินตามพ่อไป
ชูชัยเดินลิ่วๆนำเข้ามายืนนิ่งคิดอยู่กลางบ้านเพราะแน่ใจในสัญชาตญาณว่ามีตำรวจตามมา ชนมนกับชินพัฒน์ตามเข้ามา
“ไปเก็บกระเป๋า ไป เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว” ชูชัยบอก
“ทำไมล่ะ พ่อ เกิดอะไรขึ้น” ชนมนถาม
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรู้ เราต้องไปจากที่นี่ก่อน” ชูชัยบอก
“พ่อพูดอย่างนี้ทุกที ไม่รู้ล่ะ คราวนี้หนูต้องรู้ว่า พ่อหนีใครอยู่” ชนมนคาดคั้น “หนูพูดถูกใช่มั้ย พ่อ ที่เราต้องย้ายบ้านบ่อยๆ เพราะพ่อหนีใครอยู่”
“อย่างพ่อนี่คงจะโจทก์เพียบ! แต่พ่อไม่ต้องห่วงนะ เราโทรตามพี่ธรรม์แล้ว”
“โทรทำไม!” ชูชัยถาม
“ก็โทรให้มาช่วยน่ะซิ ไม่ว่าพ่อจะมีปัญหาอะไร พี่ธรรม์ช่วยพ่อได้แน่ พี่เค้าเป็นตำรวจนะ พ่อ”
“พี่ธรรม์มาแล้ว” ชินพัฒน์บอก
ธรรม์เดินหน้าเครียดตรงเข้ามา ชูชัยสบตากับธรรม์ก็รู้ในทันทีว่าธรรม์รู้แล้วว่าเขาคือชาติชายตำรวจ 2 นายเดินตามหลังมาหยุดที่ด้านหลังธรรม์เป็นกำลังเสริม ชูชัยยื่นสองมือให้ธรรม์ใส่กุญแจมือแต่โดยดี ชนมนกับชินพัฒน์ตกตะลึง
“พี่ธรรม์ทำอะไร?!” ชนมนถาม
“นายชาติชาย ชาติยางกูล คุณถูกจับในข้อหาฆ่าคนตาย” ธรรม์พูด
“พี่ธรรม์จับคนผิดแล้ว นี่พ่อของชนนะ พ่อของชนชื่อชูชัย ไม่ใช่ชาติชาย พ่อไม่มีทางจะฆ่าใครได้ พี่ธรรม์จะบ้าเหรอ! ปล่อย! ปล่อยพ่อชนเดี๋ยวนี้”
อิทธิพลเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องนายตำรวจ 2 นาย
“หมวดธรรม์จับถูกคนแล้ว”
อิทธิพลก้าวช้าๆ ไปประจันหน้ากับชูชัย ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครกลัวเกรงใคร
“ไอ้ชาติชาย! ถึงเวลาที่แกต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำลงไป” อิทธิพลว่า
อิทธิพลพยักหน้าให้ธรรม์ดำเนินการบอกสิทธิ์ต่อ ชูชัยยืนนิ่งอย่างสงบเยือกเย็น
“คุณมีสิทธิ์ที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ถ้าหากให้การ คำให้การจะถูกใช้เป็นพยานในชั้นศาล คุณมีสิทธิ์ที่จะพบหรือปรึกษาทนายได้” ธรรม์พูด
ชนมนกับชินพัฒน์ยืนอึ้งเพราะคำบอกสิทธิ์แต่ละประโยคเหมือนกรีดไปที่หัวใจของชนมนที่เห็นพ่อกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ชินพัฒน์ยืนหน้าซีดอย่างตกใจและทำอะไรไม่ถูกนอกจากเขย่าตัวชนมน
“พี่ชนๆ พี่ชนทำอะไรซักอย่างดิ พี่ชนเรียนมาตั้งเยอะ ต้องช่วยพ่อได้ดิ”
ชนมนได้แต่ยืนมองธรรม์พาตัวชูชัยเดินออกไป อิทธิพลเดินตามไปพร้อมกับลูกน้อง
ชนมนได้สติ “พ่อ!”
ชนมนกับชินพัฒน์รีบตามหลังธรรม์และกลุ่มตำรวจที่จับชูชัยไป
ธรรม์พาตัวชูชัยที่ถูกใส่กุญแจเดินมาถึงรถตำรวจ
ชูชัยหยุดชะงักหันมามองอิทธิพลที่เดินตามมา อิทธิพลเดินมาประจันหน้ากับชูชัย
“มีอะไร”
“ชั้นจะให้การกับหมวดธรรม์เพียงคนเดียว” ชูชัยบอก
ธรรม์นิ่งอึ้งไปที่ตอนนี้ทุกอย่างถาโถมมาอย่างรวดเร็ว เขาจับคนที่ฆ่าพ่อของตัวเองได้แต่กลับเป็นพ่อของชนมน
“ก็ดี ถ้าหากมีคนกล่าวหาว่า การสอบสวนไม่เป็นกลาง เพราะหมวดธรรม์มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดีนี้ จะได้บอกได้ว่า ผู้ต้องหายินยอมและเป็นฝ่ายเสนอเอง” อิทธิพลเยาะ “นี่ชั้นบอกแกหรือยังว่า ดีใจจริงๆที่ได้เห็นหน้าเพื่อนเก่าอีก”
“ชั้นไม่เคยมีเพื่อนอย่างแก”
อิทธิพลกับชูชัยยืนจ้องหน้ากันโดยมีธรรม์ยืนอยู่ตรงกลาง
เก่งกาจกับเข้ยืนมองจากฝั่งตรงกันข้าม เก่งกาจมองไปที่อิทธิพลกับชูชัยที่ยืนประจันหน้าอยู่ไกลๆ
“ปิดคดีได้ซะที! โชคดีนะ พี่ชาติ!” เก่งกาจว่า
เก่งกาจเดินยิ้มสะใจออกไปพร้อมกับเข้
ชนมนกับชินพัฒน์เดินตามมาถึงรถตำรวจ
“พ่อ!”
ชูชัยรีบมุดเข้าไปในรถตำรวจอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมหันไปมองลูกทั้งสองคน
ชนมนตัดพ้อ “ทำไมพี่ธรรม์ทำอย่างนี้”
“พี่ทำตามหน้าที่!”
ธรรม์เข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ รถตำรวจแล่นออกไป
ชนมนกับชินพัฒน์ตะโกนเรียก “พ่อ!”
ชนมนกับชินพัฒน์วิ่งตามรถตำรวจไป อิทธิพลมองตามแล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถตัวเอง ลูกน้องเดินตาม
ชนมนกับชินพัฒน์วิ่งไล่ตามรถตำรวจจนหมดแรงแทบทรุดตัวลง สองพี่น้องได้แต่ยืนกอดกันมองท้ายรถตำรวจที่แล่นออกไปไกลแล้ว
ชินพัฒน์เสียขวัญ “พี่ชน! เราจะทำยังไงดี!?” ชินพัฒน์ใกล้จะน้ำตาแตก
ชนมนกำลังจะร้องเหมือนกันแต่ก็กลั้นไว้ “อย่าร้อง! นี่ไม่ใช่เวลาจะมาร้องไห้ กลับไปรอที่บ้าน ชั้นจะไปช่วยพ่อเอง”
“ผมไปด้วย”
“ชั้นบอกให้กลับไปรอที่บ้าน ก็ไปซิ”
“พี่ชนช่วยพ่อได้ใช่มั้ย”
ชนมนทำเป็นมั่นใจ “ได้อยู่แล้ว พ่อไม่ได้ทำผิดนี่ ตำรวจต้องจับผิดคนแน่ๆ ชั้นมีรุ่นพี่เป็นทนายเยอะแยะ เดี๋ยวชั้นหาทางช่วยพ่อเอง ไปๆไปรอที่บ้าน ไป”
ชินพัฒน์เดินกลับไปอย่างหงอยๆซึมๆ ในขณะที่ชนมนยืนเครียดเพราะกำลังนึกหาทางออก
ชูชัยนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือที่ถูกใส่กุญแจมือวางอยู่บนโต๊ะ ธรรม์นั่งลงตรงข้ามกับชูชัยพร้อมกับวางแฟ้มคดีลงบนโต๊ะ ธรรม์พยายามนิ่งและควบคุมอารมณ์เอาไว้
“ผมอยากให้คุณ...คุณเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันเกิดเหตุตั้งแต่ต้น”
“ผมไม่มีอะไรจะเล่า” ชูชัยบอก
อิทธิพลเปิดประตูเข้ามาทันได้ยินก็พรวดเข้าไปหาชูชัยทันที
“ไหนแกบอกว่า แกจะให้การ”
“ก็นี่แหละคำให้การของชั้น” ชูชัยว่า
“ไอ้ชาติ! คนอย่างแกกลับคำหน้าด้านๆได้อยู่แล้ว แกสารภาพความผิดมาดีกว่า พยานหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุดขนาดนี้ ยังคิดว่าจะหาทางรอดได้งั้นเหรอ”
“แกใช่มั้ยที่เป็นพยานในคดีนี้” ชูชัยพูดกับธรรม์ “ผมไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ คำพูดของคนอย่างผมจะมีน้ำหนักสู้คำให้การของพยานระดับนายตำรวจใหญ่ได้ยังไง”
“ถ้าคุณให้การรับสารภาพ ศาลอาจจะบรรเทาโทษให้ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นดุลพินิจของศาล ถ้าคุณไม่เคยกระทำผิดมาก่อน”
“ผมทำผิดมามาก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่วันทำ ก็คือการทำผิดต่อเพื่อน”
“แกจะบอกว่า แกไม่ได้ยิงเที่ยงธรรมตายงั้นเหรอ” อิทธิพลถาม
“ก่อนที่จะสืบหาว่าใครยิงเที่ยงธรรม หมวดไม่อยากรู้หรือไงว่า ใครที่ส่งเที่ยงธรรมไปตาย! ใครที่ได้เลื่อนตำแหน่งพรวดๆ หลังจากทลายบ่อนในวันนั้น ใครที่พร้อมจะยอมเสียเพื่อนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”
“หมวดธรรม์ออกไปก่อน”
ธรรม์มองเพื่อนของพ่อทั้งสองคนอยู่อึดใจแล้วเดินออกไป ชูชัยจ้องมองอิทธิพลด้วยความเกลียดชัง
ชนมนรีบร้อนจะเข้าไปในสถานีตำรวจ อิทธิฤทธิ์ที่เดินเตร่รออยู่แล้วรีบมาขวางหน้า
“ชน...”
ชมนจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์เขม็งอย่างพาลโกรธอิทธิฤทธิ์ไปด้วย
“รู้เรื่องพ่อชั้นแล้วใช่มั้ย”
อิทธิฤทธิ์ได้แต่พยักหน้ารับ
“นายรู้แล้ว รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่บอกชั้น! แล้วนายรู้อะไรมาบ้าง พ่อชั้นถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ใคร?! พ่อชั้นฆ่าใคร?”
“พ่อนายธรรม์”
ธรรม์เดินเข้ามา ชนมนหันไปมองธรรม์ที่นิ่งเครียดกว่าที่เคย
ชนมนนึกได้ “พ่อ..พ่อพี่ธรรม์ถูกมาเฟียฆ่าตาย”
“ใช่ พ่อพี่ถูกมาเฟียยิงตาย แล้วมาเฟียคนนั้นก็คือนายชาติชาย หรือลุงชูชัย พ่อของชน เราตรวจสอบลายนิ้วมือแล้ว เราจับไม่ผิดตัวแน่ นายชาติชายกับนายชูชัยเป็นคนๆเดียว”
“ไม่จริง! พ่อชนไม่ใช่มาเฟีย ไม่ใช่ผู้ร้ายฆ่าคนตาย อย่ามายัดข้อหากันง่ายๆอย่างนี้ชนจะประกันตัวพ่อออกมาสู้คดี” ชนมนว่า
“นายชาติชายไม่ขอประกันตัวและไม่ให้ญาติเข้าเยี่ยม ชนคิดว่า เป็นเพราะอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เพราะละอายใจจนไม่กล้ามองหน้าลูกๆตัวเอง” ธรรม์บอก
ธรรม์เดินไปที่จอดรถโดยทิ้งให้ชนมนยืนมึนงงเหมือนโดนทุบหัวอีกครั้ง
“ไม่จริง! ไม่จริง! ชั้นไม่มีวันเชื่อเรื่องบ้าๆพวกนี้”
อิทธิฤทธิ์เตือนสติ “แต่เธอต้องยอมรับความจริง”
ชนมนเดินหนี “ชั้นบอกแล้วไงว่า ชั้นไม่เชื่อ”
“เธอต้องมีพยานหลักฐานใช่มั้ย ถึงจะเชื่อ งั้นก็ไปกับชั้น”
อิทธิฤทธิ์ดึงตัวชนมนให้เดินออกไปด้วยกัน
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 12 (ต่อ)
อิทธิพลนั่งประจันหน้าอยู่กับชูชัย
“แกคิดจะปั่นหัวนายธรรม์งั้นสิ ไม่สำเร็จหรอก ชั้นเล่าทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว” อิทธิพลบอก
“แกเล่าอะไรไปบ้างล่ะ เล่าแบบเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นล่ะสิ แกไม่ได้รู้สำนึกเลยใช่มั้ยว่า แกเป็นส่วนนึงที่ทำให้เที่ยงธรรมตาย” ชูชัยสวน
“เที่ยงธรรมตายเพราะกระสุนของแก ไอ้ชาติ”
“แต่แกอาจจะสำนึกผิดบ้างล่ะ ไม่งั้นแกคงไม่รับนายธรรม์ไปเลี้ยงเพื่อไถ่บาป เรื่องนี้ชั้นต้องยกความดีให้แกว่ะ แกเลี้ยงนายธรรม์จนได้ดี แต่ทำไมเลี้ยงลูกชายให้เป็นเด็กแว้นไปได้วะ ท่านผู้การ”
“แกอย่ามาโยกโย้พูดเรื่องอื่น สารภาพมา! ว่าแกฆ่าเที่ยงธรรม!”
“ชั้นไม่ได้ฆ่า!”
“แล้วใครฆ่า” อิทธิพลถาม
“แกยังไงล่ะ!” ชูชัยบอก
“ไอ้ชาติ! ถึงแกจะไม่รับสารภาพ ชั้นก็เอาแกเข้าคุกได้ แกได้ติดคุกไปตลอดชีวิตแน่”
อิทธิพลลุกเดินไปที่ประตูแล้วก็ต้องชะงัก
“ลืมถามไปเรื่องนึง” ชูชัยบอก
อิทธิพลหันมามองชูชัย
ชูชัยยิ้ม “นฤดี ภรรยาท่านผู้การเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
อิทธิพลฉุนโกรธกึกขึ้นมาทันที เขาออกไปจากห้องแล้วปิดประตูดังปัง ชูชัยยิ้มเยาะอย่างสะใจ
ชนมนจ้องไปที่รูปถ่ายเก่าๆ ของอิทธิพล เที่ยงธรรม และชูชัย 2-3 รูปที่อยู่ในมือ
ชนมนเริ่มกลัวความจริง “พ่อ..พ่อหนูรู้จักท่านผู้การด้วยหรือคะ ป้าหนอม”
ถนอมหันไปมองหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างอึดอัดใจ อิทธิฤทธิ์เคร่งเครียดแทนชนมนเป็นที่สุด
“ไม่ได้แค่รู้จักนะคะ คุณชาติชาย คุณพ่อของคุณอิท คุณเที่ยงธรรม” ถนอมชี้ที่เที่ยงธรรมที่อยู่ในรูป “เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆและรักกันมากด้วย จะมาแตกคอกันก็ตอนที่คุณชาติชายเริ่มไปทำงานที่บ่อน” ถนอมนิ่งไปเพราะไม่อยากเล่าต่อ
“เล่าต่อค่ะ ป้าหนอมรู้อะไรบ้าง เล่ามาให้หมด หนูขอร้อง” ชนมนบอก
“เล่าทุกอย่างให้ชนรู้เถอะ ป้าหนอม ชนเค้าจะได้รู้ว่า ต้องช่วยพ่อเค้ายังไง” อิทธิฤทธิ์เชียร์
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ชาติชายทำหน้าที่คุมบ่อนและส่งยา
ถนอมเล่า “คุณท่านเคยพูดว่า วันที่คุณชาติชายถูกไล่ออกจากโรงเรียน คือวันที่ชีวิตได้เริ่มดิ่งลงเหว เพราะหลังจากวันนั้นคุณชาติชายก็ไปคุมบ่อนเป็นเด็กส่งยา และที่สุดก็มาเปิดบ่อนและค้ายาซะเอง จนกลายเป็นเจ้าพ่อมาเฟียขาใหญ่ขึ้นบัญชีดำของตำรวจ”
ชนมนช็อคเมื่อรับรู้เรื่องชูชัยเป็นมาเฟียอย่างหนีความจริงไม่ได้
“พ่อพาลูกน้องบุกไปจับลุงชูชัยที่บ่อนหลังจากรู้ข่าวว่า จะมีการส่งยาล็อตใหญ่พ่อนายธรรม์บุกเข้าไปก่อน แล้วก็โดนยิงตาย” อิทธิฤทธิ์บอก
ชนมนโพล่งออกมา “พ่อชั้นเป็นมาเฟีย เปิดบ่อน ค้ายา แล้วก็ยังฆ่าเพื่อน”
ถนอมเอื้อมมือมาจับมือชนมนไว้อย่างปลอบใจ
“หนูชน..ฟังป้านะ” ถนอมบอก “ไม่ว่าจะยังไงคุณชาติชายก็ยังเป็นคุณพ่อของหนู ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ให้จัดการกันไปตามกฎหมาย ยังไงป้าก็ยังเห็นหนูชนเป็นหนูชนคนเก่งคนเดิม ไม่มีอะไรจะทำให้ป้ามองหนูเป็นอื่นไปได้”
ถนอมลูบไหล่ลูบหลังปลอบใจชนมนที่น้ำตาปริ่มใกล้จะไหลอยู่แล้ว ชนมนกราบที่ไหล่ถนอม
“ขอบคุณค่ะ ป้าหนอม”
ชนมนกลั้นน้ำตาแล้วลุกออกมา
“ถึงไม่ต้องติวคุณอิทแล้ว หนูชนก็ต้องกลับมาเยี่ยมกันบ้างนะคะ” ถนอมบอก
“หนูจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วล่ะค่ะ ป้าหนอม”
ชนมนเดินอย่างรวดเร็วออกไป อิทธิฤทธิ์รีบตามไปทันที ถนอมมองตามอย่างเห็นใจชนมน
ชนมนเดินเร็วๆออกมาจากตัวบ้านอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ตามมารั้งตัวชนมนไว้ไม่ให้ไป
“ชน..ชั้นรู้ว่า เธอรู้สึกยังไง”
“นายไม่มีวันรู้หรอกว่า ชั้นรู้สึกยังไง! อิท..เราอย่าเจอกันอีกเลย”
ชนมนสะบัดตัวออกจากอิทธิฤทธิ์ แต่อิทธิฤทธิ์คว้าตัวชนมนมากอดไว้แน่นไม่ยอมให้ไป
“ไม่! ไงชั้นก็ไม่ยอม เรื่องของพ่อเราไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรา”
“พ่อนายจับพ่อชั้นเข้าคุก ! ตอนนี้ชั้นไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนบ้านนี้ทุกคนไม่อยากเห็นหน้า ชั้นเกลียดนาย เกลียดพ่อนาย เกลียดพี่ธรรม์ เกลียดทุกคนที่ทำลายครอบครัวของชั้น ได้ยินมั้ยว่า ชั้นเกลียด เกลียดๆๆ”
ชนมนระเบิดน้ำตาอย่างกลั้นไม่ไหว เธอทุบอิทธิฤทธิ์ไม่ยั้งมือ อิทธิฤทธิ์ยังกอดชนมนอยู่ไม่ยอมปล่อยโดยยอมให้ชนมนทุบระบายจนหนำใจและหมดแรงจนหยุดไปเอง
“เธอกำลังโกรธเรื่องอะไร เรื่องที่พ่อเธอถูกจับเข้าคุก หรือเรื่องที่เธอเพิ่งรู้ว่า พ่อเธอเป็นใคร?”
ชนมนนิ่งอึ้งที่ถูกอิทธิฤทธิ์พูดจี้ใจดำ เธอผลักอิทธิฤทธิ์ออกไปจนได้
“ตอนนี้นายรู้แล้วนี่ว่า พ่อชั้นเป็นใคร ชั้นไม่เคยแน่ใจเลยว่า เรื่องของเราจะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ชั้นแน่ใจแล้วว่า ชั้นกับนายเป็นเพื่อนกันยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ชั้นเป็นได้แค่ติวเตอร์ของนาย แล้วหน้าที่ของชั้นก็จบไปแล้ว ได้ยินมั้ย อิท มันจบแล้ว”
ชนมนเดินออกไปทันที
อิทธิฤทธิ์ตะโกนไล่หลัง “เธอจบ แต่ชั้นยังไม่จบ! และไม่ยอมให้จบด้วย!”
อิทธิฤทธิ์ทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดที่ถูกชนมนตัดขาดอย่างหมดเยื่อใย
ชินพัฒน์จัดเก็บร้านอย่างขยันผิดปกติ เขายกเก้าอี้ขึ้นหงายวางบนโต๊ะจนเกือบเสร็จ ชนมนเดินอย่างหมดแรงเข้ามา ชินพัฒน์หันขวับไปมองแล้วมองเลยไปทางด้านหลังชนมน
“พ่อล่ะ..พ่อไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ” ชินพัฒน์ถาม
ชนมนจ้องมองชินพัฒน์อย่างพูดไม่ออกและไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง
“ตำรวจไม่ให้ประกันตัวพ่อเหรอ”
ชนมนน้ำตาจะไหล “ชิน...พี่ช่วยพ่อไม่ได้”
ชินเดินเข้าไปกอดชนมนไว้อย่างปลอบใจ
“ตอนนี้เราร้องไห้ได้แล้วใช่มั้ย” ชินพัฒน์ถาม
ชนมนพยักหน้ารับแล้วก็น้ำตาไหลอย่างอัดอั้นใจเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ
“พ่อจะต้องติดคุกจริงๆเหรอ พี่ชน..แล้วเราสองคนจะอยู่กันยังไง”
ชนมนกอดชินไว้อย่างไม่มีคำตอบให้น้องชาย ชนมนกับชินพัฒน์น้ำตาไหลเงียบๆ
ชนมนกับชินพัฒนืกอดปลอบใจกันกลางร้านที่โล่งว่างและมืดมน
บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารหลักฐานต่างๆของคดีของเที่ยงธรรม
รูปถ่ายที่เกิดเหตุ ผลตรวจต่างๆ และแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุ อิทธิพลกับธรรม์ยืนคุยกันเพื่อสรุปการดำเนินคดีต่อไป
“ถ้าไอ้ชาติชายไม่ขอประกันตัว ก็ทำเรื่องส่งไปขังต่อที่เรือนจำศาลอาญา แกรีบรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วสรุปสำนวนการสอบสวนซะ จะได้ส่งต่อไปให้อัยการสั่งฟ้อง”
อิทธิฤทธิ์เดินพรวดพราดเข้ามา
“เดี๋ยวก่อนครับ พ่อ พ่อแน่ใจแล้วเหรอว่า ลุงชูเป็นคนยิงพ่อนายธรรม์”
อิทธิฤทธิ์เข้ามารื้อหยิบแฟ้มคดีไปอ่านอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแก” อิทธิพลบอก
“เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับชนก็ต้องเกี่ยวกับผมด้วย คดีนี้ยังมีช่องโหว่ ปืนที่ใช้ยิงผู้ตายก็ยังหาไม่เจอ ทางตำรวจยังตรวจสอบหัวกระสุนไม่ได้ว่ามาจากปืนกระบอกไหน” อิทธิฤทธิ์บอก
“แต่เรามีคุณพ่อเป็นประจักษ์พยานที่เห็นว่า นายชาติชายยิงพ่อชั้น” ธรรม์ว่า
“พ่อแน่ใจหรือว่า พ่อ”เห็น” ลุงชูเป็นคนยิง พ่อมองจากระยะทางกี่เมตร ตอนนั้นเวลากี่โมง มีแสงสว่างพอที่จะเห็นได้ชัดเจนแค่ไหน แล้วมีลุงชูคนเดียวหรือครับที่ถือปืนอยู่ พ่อคิดดูให้ดีๆ” อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “พ่อชั้นอาจจะไม่ใช่เป็นประจักษ์พยาน แต่เป็นพยานแวดล้อมกรณี เพราะพ่อไม่ได้เห็นกับตาจริงๆ!”
ธรรม์นิ่งอึ้งและคิดตามทำให้ได้เห็นอีกแง่มุมของคดี
อิทธิพลไม่พอใจ “นายอิท! แกเรียนกฎหมายไม่กี่ปี อย่ามาทำอวดรู้หน่อยเลย ชั้นอยู่กับคดีนี้มาเป็นสิบปี ชั้นอ่านบันทึกการสอบสวนเป็นพันครั้ง ชั้นมั่นใจว่า ไอ้ชาติชายเป็นคนยิงเที่ยงธรรม!”
“พ่อมั่นใจ..แล้วพูดเรื่องอื่นทำไม ทำไมไม่ยืนยันกับผมให้ชัดๆว่า พ่อเห็นลุงชูยิงจริงๆ ! พ่อคิดดูให้ดีๆ ผมไม่อยากให้พ่อส่งคนบริสุทธิ์เข้าคุก” อืทธิฤทธิ์บอก
อิทธิฤทธิ์เดินออกไป โดยทิ้งให้ธรรม์หันไปมองอิทธิพลอย่างเริ่มมีคำถามขึ้นในใจ
อิทธิพลนั่งอยู่ที่มุมมืดในบ้าน เขาคิดถึงวันที่เที่ยงธรรมถูกยิง
วันนั้นอิทธิพลวิ่งเข้าไปในโกดังร้างแล้วเห็นเที่ยงธรรมถูกยิงจนล้มลง ชูชัยกับเก่งกาจถือปืนที่มีควันกรุ่นค้างอยู่และลดปืนลงช้าๆ เกือบพร้อมกัน
อิทธิพลคิดและทบทวน
อิทธิพลพึมพำ “เป็นมัน! ต้องเป็นมัน!”
ความมั่นใจของอิทธิพลที่คิดว่าชูชัยยิงเที่ยงธรรมเริ่มสั่นคลอน
เช้าวันใหม่ มณีมันตราเดินก้มหน้าก้มตาท่องหนังสือในนาทีสุดท้าย อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาปิดหนังสือของมณีมันตราแล้วยึดเอาไว้
“อิท!”
“ไม่ต้องอ่านแล้ว มาอ่านตอนนี้ไม่เข้าสมองหรอก ก่อนสอบ ควรจะทำใจให้สบายๆ ดีกว่า เชื่อชั้นดิ”
“พี่ชนเป็นไงบ้าง” มณีมันตราถาม
อิทธิฤทธิ์ตอบสั้นๆ “แย่!”
“ชั้นเพิ่งเห็นจากข่าวเมื่อเช้า โทรหาใครก็ไม่มีใครรับสาย ทั้งพี่ชนทั้งพี่ธรรม์ แล้วนี่เป็นเรื่องจริงเหรอ อิท”
“เรื่องลุงชูเป็นมาเฟียเก่าน่ะเรื่องจริง แต่เรื่องที่ฆ่าพ่อนายธรรม์นี่ ยังไม่รู้” อิทธิฤทธิ์หนักใจ “ชั้นไม่รู้จะช่วยชนยังไงต่อไปดี”
“เธอต้องสอบให้ผ่าน อิท! ตอนนี้..นี่เป็นเรื่องเดียวที่เธอทำเพื่อพี่ชนได้”
“รู้แล้วน่า”
“ทำให้ได้นะ อิท! อย่าทำให้พี่ชนผิดหวัง”
มณีมันตราเดินออกไปที่ห้องสอบของตัวเอง อิทธิฤทธิ์มองไปที่ทางเดินแม้จะรู้ว่าชนมนไม่มาแน่
อิทธิฤทธิ์นึกถึงตอนที่ชนมนให้สัญญาว่าจะมาเป็นกำลังใจให้อิทธิฤทธิ์ในวันสอบ
“วันสอบนะ.. เธอต้องไปเป็นกำลังใจให้ชั้น เธอสัญญากับชั้นแล้ว”
“ชั้นยังไม่ได้สัญญาซะหน่อย” ชนมนบอก
“งั้นก็สัญญาตอนนี้! สัญญา!?”
“ก็ได้..ชั้นให้สัญญา”
อิทธิฤทธิ์มองไปยังทางเดิน กลุ่มนักศึกษาพากันเดินเข้าห้องสอบจนเหลือแต่ทางเดินที่ว่างเปล่า แต่อิทธิฤทธิ์ยังยืนรอชนมนอยู่จนเสียงกริ่งดังเตือนให้เข้าห้อง อิทธิฤทธิ์จึงค่อยๆหันกลับเดินไปห้องสอบ
อิทธิฤทธิ์กับนักศึกษาทุกคนในห้องสอบเปิดข้อสอบที่คว่ำหน้าอยู่แล้วพลิกเปิดดูข้อสอบทันที อิทธิฤทธิ์อ่านข้อสอบชนิดอ่านแล้วอ่านอีกแต่ก็นึกอะไรไม่ออกเลย นาฬิกาที่หน้าห้องจากเวลา 10.00 น.เลื่อนไปครึ่งชั่วโมงเป็น 10.30 น.
นศ.แว่นหนาคนหนึ่งชูมือ “ขอเล่ม 2 ครับ”
อาจารย์คุมสอบเดินไปส่งสมุดคำตอบให้นศ.แว่นหนาเพิ่ม อิทธิฤทธิ์กับเพื่อนนศ.คนอื่นหันไปมองนศ.แว่นหนาอย่างหมั่นไส้จนอยากเอาปากกาขว้างหัว
นศ.คนอื่นก้มลงเขียนคำตอบอย่างเคร่งเครียดและรวดเร็ว แต่อิทธิฤทธิ์ยังจ้องอ่านข้อสอบและสมุดคำตอบของเขายังว่างเปล่าเพราะยังไม่ได้เขียนอะไรแม้แต่ตัวเดียว
อิทธิฤทธิ์มึนตึ๊บเพราะอยู่ดีๆก็คิดอะไรไม่ออกเสียเฉยๆ เขาดูข้อสอบแล้วเงยหน้าจ้องนาฬิกาที่เข็มยาวเดินไปเรื่อยๆ อิทธิฤทธิ์คิดและเคาะปากกาไปด้วยอย่างวุ่นวายใจ เขาเหลือบไปมองแว่นตาหักของชนมนที่วางอยู่บนโต๊ะของเขา อิทธิฤทธิ์หยิบแว่นเก่าของชนมนที่ติดมาเป็นตัวแทนตัวชนมนเพื่อกำลังใจให้ตัวเอง
เสียงชนมนดังก้องในหัวของเขา “ชั้นเป็นได้แค่ติวเตอร์ของนาย แล้วหน้าที่ของชั้นก็จบไปแล้ว ได้ยินมั้ย อิท มันจบแล้ว!”
อิทธิฤทธิ์วางปากกาลงอย่างว้าวุ่นใจเรื่องชนมน เขาอ่านข้อสอบก็ไม่รู้เรื่องจึงไม่ทำมันซะเลย
นาทีนี้อิทธิ์ฤทธิ์คิดอะไรไม่ออกจริงๆ!
ชนมนกับชินพัฒน์นั่งรออยู่อย่างเงียบๆสองคน
ตำรวจและผู้คนเดินผ่านไปมา ชินพัฒน์มองหน้าชนมนที่เคร่งเครียดอยู่ โดยที่ชินพัฒน์รู้เรื่องชูชัยเป็นใครจากชนมนแล้ว
ชินพัฒน์ปลอบใจ “พี่ชน ที่จริงพ่อเคยเป็นมาเฟีย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เจ๋งดีออก”
ชนมนหันมาจ้องหน้าน้องชาย “ไม่เจ๋งเลย! พวกมาเฟียทำงานผิดกฎหมาย เปิดบ่อน ขายยาเสพติด ค้าของเถื่อน คนดีๆเค้าไม่ทำกันหรอก”
“แต่พ่อเป็นคนดีนะ พี่ชน”
ชนมนสับสนใจ “พี่เคยคิดว่างั้น แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว”
ธรรม์เดินออกมาจากข้างใน ชนมนกับชินพัฒน์ผุดลุกขึ้น ชนมนคว้าถุงผ้า ชินพัฒน์คว้าถุงใส่กล่องอาหาร ชนมนกับชินพัฒน์ตรงดิ่งไปหาธรรม์ด้วยความร้อนใจ
ชนมนยังไม่สนิทใจเหมือนเดิม “พี่ธรรม์..เราเข้าไปเยี่ยมพ่อได้หรือยังคะ”
“คุณลุงยังยืนยันที่จะไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม” ธรรม์บอก
“พ่อนี่ทำตัวอินดี้ตลอดๆ” ชินพัฒน์ว่า
“งั้นชนฝากของไปให้พ่อได้มั้ย ชนเอาเสื้อผ้ากับยามาให้พ่อ พ่อเป็นเบาหวานน่ะค่ะ รบกวนหน่อยนะคะ”
“ฝากนี่ด้วยครับ พี่ธรรม์ ถามพ่อให้ด้วยว่า อยากกินไร พรุ่งนี้จะทำมาให้”
ธรรม์รับถุงของจากชนมนกับชินพัฒน์มาถือไว้
“ขอบคุณนะคะ พี่ธรรม์”
ชนมนดึงชินพัฒน์ให้เดินออกมาด้วยกันแต่แล้วก็ต้องชะงัก
“ชน..”
ชนมนหันมามองธรรม์ด้วยสายตานิ่งๆและห่างเหิน
“ชนต้องเข้าใจนะว่า พี่มีหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิด...” ธรรม์บอก
“พี่ธรรม์แน่ใจแล้วหรือคะว่า พ่อเป็นคน..เป็นคนฆ่า..พ่อของพี่ธรรม์จริงๆ”ชนมนถาม
“ตอนนี้คดีอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน พี่ไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณลุงเป็นผู้บริสุทธิ์จริง เรามีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว งานนี้ไม่มีการจับแพะแน่”
ธรรม์ถือถุงข้าวของเดินออกไป แนมนกับชินพัฒน์มองตามโดยที่ธรรม์ไม่ได้ช่วยให้ทั้งสองรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
อิทธิฤทธิ์กำแว่นหักของชนมนไว้ในมือ เขายังคงควบคุมสติไม่ได้และไม่มีสมาธิที่จะทำข้อสอบ อิทธิฤทธิ์นั่งมองสมุดเขียนคำตอบเปล่าอยู่ท่ามกลางนักศึกษาที่ก้มหน้าก้มตาเขียนโดยไม่เงยหน้า
เสียงเจ๋งดังแว่วๆ “พี่อิทๆ”
อิทธิฤทธิ์มองหาต้นตอของเสียง เขาชะโงกมองไปที่หน้าตึก เจ๋งกระโดดเหยงๆ ชูป้ายกระดาษที่เขียนว่า “พี่อิทสู้ สู้” อิทธิฤทธิ์มองเจ๋งชูป้ายแล้วก็นึกถึงวันที่โกงข้อสอบได้
ภาพตอนที่เจ๋งชูป้ายบอกคำตอบผุดขึ้นมา แล้วต่อด้วยภาพตอนที่ชนมนจับได้ว่าอิทธิฤทธิ์โกงข้อสอบ อิทธิฤทธิ์พบว่าชนมนเป็นติวเตอร์ ตามด้วยภาพเก่าๆที่ชนมนพยายามติวอิทธิฤทธิ์อย่างสุดความสามารถ ทุกภาพผ่านแวบเข้ามาในหัวอิทธิฤทธิ์เป็นฉากๆ ชนมนเหนื่อยยากลำบากที่ต้องติวอิทธิฤทธิ์จนได้เรื่อง
เมื่อนึกถึงภาพเหล่านั้น อิทธิฤทธิ์ก็วางแว่นหักของชนมนไว้ตรงหน้า เขาเงยหน้ามองนาฬิกาหน้าห้องที่บอกเวลา 10.45 น. อิทธิฤทธิ์สูดลมหายใจลึกๆ แล้วตั้งสมาธิอ่านข้อสอบใหม่แล้วเริ่มเขียนคำตอบอย่างรวดเร็ว อิทธิฤทธิ์หยุดคิดเป็นพักๆแล้วก้มหน้าก้มตาเร่งรีบทำข้อสอบเพื่อไล่ให้ทันเวลา
นาฬิกาที่หน้าห้องบอกเวลา 11.58 น. มณีมันตรานั่งทำข้อสอบอย่างแล่นฉิว สมุดคำตอบอีกเล่มวางอยู่แล้ว เพราะเธอกำลังเขียนเล่มที่ 2 อยู่ เสียงกริ่งดังขึ้นบอกถึงการหมดชั่วโมงสอบ มณีมันตราเขียนคำสุดท้ายจบลงพอดี เธอวางปากกาลงอย่างมั่นใจ
กลุ่มนักศึกษาทยอยเดินมาส่งสมุดคำตอบให้กับอาจารย์ที่อยู่หน้าห้อง อิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในสภาพหัวยุ่ง หน้าเครียดสุดๆ ยังคงทำข้อสอบอย่างเร่งรีบ เขาเพิ่งมาคิดออกมาเมื่อหมดเวลาสอบแล้ว อาจารย์คุมสอบเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะอิทธิฤทธิ์
“หมดเวลาแล้ว!”
อิทธิฤทธิ์ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบ เขายกมือห้ามไม่ให้อาจารย์พูดต่อ ก่อนจะอีกมือเขียนไปเรื่อยๆ
อิทธิฤทธิ์บอก “ขอห้านาที!”
“ผมบอกว่า หมดเวลาแล้ว กฎก็ต้องเป็นกฎ หรือว่าอยากถูกปรับตก”
อิทธิฤทธิ์ชะงักกึกแล้ววางปากกาลงแล้วส่งสมุดคำตอบให้อาจารย์ไปอย่างไม่บิดพลิ้ว
อาจารย์ทำหน้าประมาณว่าอิทธิฤทธิ์ไม่น่ารอด “มีเล่มเดียว?”
อาจารย์ถือสมุดคำตอบของอิทธิฤทธิ์เดินออกไป อิทธิฤทธิ์ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
มณีมันตราเดินเตร่รออิทธิฤทธิ์อยู่พลางมองนาฬิกาข้อมือด้วยความร้อนใจ อิทธิฤทธิ์เพิ่งเดินออกมาจากทางห้องสอบ มณีมันตราตรงไปหาทันทีด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง ทำได้มั้ย อิท”
“ก็...ก็พอได้”
“พอได้” แค่นั้นเหรอ แล้วอย่างนี้จะได้เอมั้ย”
“ไม่รู้”
“เธอต้องทำได้ซิ พี่ชนเก็งข้อสอบแม่นมาก ที่ติวมาออกเกือบหมดเลย ข้อสอบของเธอยากมากเหรอ เธอทำข้อไหนไม่ได้บ้างล่ะ”
อิทธิฤทธิ์โมโหตัวเองที่ทำไม่ได้เท่าที่คิดไว้ “พูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ได้เอหรือไม่ได้ก็ช่างมันแล้ว โดน’ไทร์ ก็’ไทร์”
“พูดอย่างนี้ได้ไง รู้มั้ยว่า พี่ชนจะเสียใจแค่ไหน”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งไป เจ๋งที่ถือป้ายเชียร์วิ่งกระหืดหอบเข้ามา
“พี่อิทๆ สอบเสร็จแล้วใช่ป่ะ ไปฉลองกัน”
“ไม่ใช่เวลาที่จะฉลอง!” อิทธิฤทธิ์บอก
“ไม่ฉลองได้ไง นี่เป็นการสอบครั้งสำคัญของพี่อิทนะ”
“เธอจะไปหาพี่ชนใช่มั้ย” มณีมันตราถาม
อิทธิฤทธิ์ปากแข็ง “เปล่า ชั้นจะไปทำไม เค้าไม่อยากเห็นหน้าชั้นแล้ว”
“แต่เธอต้องไป! เธอต้องไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ชน ชั้นแคสงานเสร็จ แล้วจะรีบตามไป”
มณีมันตรารีบเดินออกไปทันที ทิ้งให้อิทธิฤทธิ์นิ่งคิด
เจ๋งสะกิดแขนอิทธิฤทธิ์เบาๆ “ตกลงเอาไง พี่ ไปฉลองกันหรือไปหาพี่ชน หรือไปหาพี่ชนแล้วพาไปฉลองด้วยกัน”
“แกไปคนเดียวเลย ไป”
“ให้ผมไปไหนเหรอ” เจ๋งถามซื่อๆ
“ไป..ไปไกลๆ ชั้น ไป”
เจ๋งทำหน้าเหรอหราเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย “ผมตกข่าวอะไรเหรอ พี่อิท”
อิทธิฤทธิ์รีบเดินออกไปโดยไม่สนใจจะตอบอะไร
ธรรม์นั่งนิ่งพร้อมกับแฟ้มคดีที่อยู่ตรงหน้า เขาถือปากกาเตรียมจดคำให้การของชูชัย ชูชัยยังคงทำหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย บนโต๊ะมีถุงยาและแก้วน้ำถัดไปเป็นถุงเสื้อผ้าและถุงกล่องอาหาร
“ทานยาซะก่อนซิครับ แล้วเราค่อยคุยกันต่อ” ธรรม์บอก
“เรียกว่า สอบปากคำต่อ จะถูกต้องกว่ามั้งครับ หมวด แต่อย่ามาเสียเวลากับผมเลย ไปตามล่าหาไอ้คนที่ฆ่าพ่อของหมวดจะดีกว่า” ชูชัยบอก
“คุณยืนยันว่า คุณไม่ได้เป็นคนยิง”
“ผมทำเรื่องชั่วๆมามาก แต่มีเรื่องนึงที่ผมไม่เคยทำ ผมไม่เคยฆ่าใคร ผมไม่ใช่คนมือสะอาดเหมือนเที่ยงธรรม แต่มือของผมก็ไม่เคยเปื้อนเลือด”
ธรรม์จ้องชูชัยที่กล้าสบตาด้วยอย่างเปิดเผย ธรรม์เริ่มคิดอีกด้านว่าชูชัยอาจจะไม่ได้เป็นคนฆ่าจริงๆ
“ถ้าไม่ใช่คุณเป็นคนยิง แล้วใครเป็นคนยิง” ธรรม์ถาม
“ไปสืบเอาเอง หน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่เรื่องของผม”
“ผมก็กำลังทำหน้าที่อยู่นี่ไงครับ” ธรรม์เปลี่ยนท่าทีลดความขึงขังลง “คุณลุงเป็นเพื่อนของพ่อผมจริงๆ หรือครับ เพื่อนถูกฆ่าตาย แต่กลับบอกว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผมไม่รู้ว่า ทำไมคุณลุงถึงไม่ยอมให้ความร่วมมือ เป็นเพราะความอคติต่อตำรวจหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าเป็นผม ผมจะหาความยุติธรรมให้เพื่อนผม ผมจะต้องตามล่าไอ้คนที่ฆ่าเพื่อนผมมารับโทษให้ได้!”
ธรรม์จ้องมองชูชัยอย่างรอคำตอบ ชูชัยนิ่งอึ้งและเริ่มใช้เหตุผลเหนืออารมณ์
อิทธิพลเดินเข้ามาในบ้าน ถนอมเดินออกมาจากในบ้านโดยมีแดงถือตะกร้าดอกบัวและธูปเทียน
“คุณท่าน” ถนอมนึกได้ “คุณท่านต้องไปงานเผาศพบ่ายนี้ใช่มั้ยคะ อิชั้นเตรียมสูทไว้ให้ที่ห้องแล้วนะคะ”
“แล้วนี่จะไปไหน” อิทธิพลถาม
“ไปวัดค่ะ อิชั้นว่าจะไปบนให้คุณอิทซักหน่อย ไม่รู้ว่าสอบเป็นไงบ้าง”
ถนอมหันไปมองแดงอย่างส่งสัญญาณไล่ตามปกติโดยไม่ต้องพูด
แดงรับรู้ในทันที “ไปรอที่รถค่ะ ได้ค่ะ ป้าหนอม”
ถนอมรอจนแดงเดินออกไปแล้วจึงหันมาต่อว่าอิทธิพล
“คุณท่านนะคุณท่าน จะจับคุณชาติชาย ทำไมไม่รอให้คุณอิทสอบเสร็จซะก่อนล่ะคะ”
“เรื่องนี้รอได้ที่ไหน ชั้นตามไล่ล่าไอ้ชาติชายมาสิบกว่าปี ชั้นไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไปเด็ดขาด แล้วนายอิทเป็นยังไง มีเรื่องแค่นี้ ถึงกับไม่มีใจสอบ ก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว”
“นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายค่ะ ไม่ใช่เรื่องแค่นี้ คุณอิทน่ะชอบหนูชนจริงจังนะคะแล้วหนูชนก็สนิทกับทั้งคุณอิททั้งคุณธรรม์ เหมือนโชคชะตาเล่นตลกจริงๆ ที่ทำให้ทั้งสามคนมาเป็นเพื่อนกัน แล้วก็ต้องมาขาดกันเพราะเรื่องของคนรุ่นพ่อ”
“แล้วมันเป็นความผิดของใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ความผิดของไอ้ชาติชาย” อิทธิพลว่า
“แต่คุณชาติชายไม่ยอมรับว่าฆ่าคุณเที่ยงธรรม” ถนอมบอก
“แล้วป้าหนอมก็เชื่อคำโกหกของมันงั้นเหรอ”
“ไม่รู้ซิคะ ตอนนี้อิชั้นไม่แน่ใจแล้ว คุณชาติชายเป็นผู้ชายใจนักเลง ยอมให้ตำรวจจับโดยไม่มีการขัดขืน แล้วทำไมไม่ยอมสารภาพผิดซะดีๆ หรือว่าคุณเค้าไม่ได้ทำผิดจริงๆ แต่นั่นแหละ อิชั้นจะไปรู้อะไร คุณท่านน่าจะเป็นคนรู้เรื่องนี้ดีที่สุด”
ถนอมเดินออกไป อิทธิพลนิ่งคิดเพราะความเชื่อมั่นเรื่องชาติชายเริ่มสั่นคลอนลงเรื่อยๆ
ชูชัยยังนิ่งไม่ยอมให้คำตอบที่ธรรม์ต้องการง่ายๆ
“ผมไม่เคยลืมการตายของเที่ยงธรรม ผมสัญญากับตัวเองแล้ว ผมจะไม่ยอมตายจนกว่าจะล้างแค้นให้เที่ยงธรรมได้” ชูชัยบอก
“คุณลุงจะล้างแค้นยังไง ส่งคนไปเก็บไอ้คนที่ฆ่าพ่อผมหรือครับ สุดท้ายมือคุณลุงก็ต้องเปื้อนเลือด คุณลุงได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียแต่คงไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรด้วยหรอกมั้งครับ นอกจากชนจะฝากเสื้อผ้ากับยาแล้ว เค้ายังฝากนี่มาให้คุณลุงด้วย”
ธรรม์หยิบรูปถ่ายชูชัย ชนมนและชินพัฒน์ที่ทั้งสามยิ้มสดใสมีความสุขส่งให้กับชูชัย
“ชนคงอยากให้คุณลุงคิดถึงลูกๆที่รออยู่”
ชูชัยมองรูปถ่ายอย่างเสียใจที่ต้องทำให้ลูกๆต้องมารับรู้ด้านมืดของตัวเอง
“ผมอยากจะฆ่ามันด้วยตัวเอง” ชูชัยว่า
“แล้วผลที่ตามมาจะเป็นยังไง มันตายแต่คุณลุงต้องติดคุก แล้วชนกับชินล่ะครับคุณลุงอย่าทำร้ายครอบครัวมากไปกว่านี้เลยนะครับ คุณลุงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าใครเป็นคนยิงพ่อผม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมที่จะจัดการมันเอง มันเป็นใครครับ คุณลุง”
ชูชัยกำลังจะพูด
อ่านต่อตอนที่ 13