xs
xsm
sm
md
lg

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 12

ทางด้านคุณประยงค์แต่งตัวเสร็จแล้ว หล่อนก้าวออกมายืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงบันไดชั้นบน ในชุดที่ใส่ถ่ายรูปเพื่อวาดภาพนั่นเอง อีทิ้งถือชายสไบตาม ท่านผู้หญิงแย้มออกมาพร้อมบ่าวติดตาม เห็นชุดเข้าก็แปลกใจ

“แม่ประยงค์ ทำไมแต่งตัวอย่างนี้”
“ไม่สวยหรือคะ อ๋อ คุณแม่จะว่าล้าสมัยใช่มั้ยคะ คุณแม่ก็ทราบว่าลูกชอบแต่งหน้านางห่มสไบ ถึงจะไม่เข้าสมัยที่เขานุ่งซิ่นกันแต่ลูกจะแต่งอย่างนี้”
คุณน้อยเดินมา แต่งชุดล้ำ เปรี้ยวของยุคสมัย คุณประยงค์หันไปเห็น “ให้แม่น้อยเขาล้ำสมัยไปคนเดียวเถอะค่ะ ดูซิ ซิ่นสั้นจนจะเห็นหัวเข่าอยู่แล้วคงงามหรอก”
โดยหญิงสาวสมัย ร.6 ใส่ซิ่นยาวครึ่งแข้ง ส่วนสมัย ร.7 เป็นซิ่นยาวแค่เข่า คุณน้อยแย้งเอาว่า
“น้อยได้ยินคุณหญิงอรุณเล่าว่าลูกสาวเพิ่งกลับจากอังกฤษก็แต่ง เหมือนสาวๆ ชาวลอนดอน”
“แม่ประยงค์ ลูกชอบแต่งตัวย้อนไปสมัยรัชกาลก่อนไม่เป็นไร แม่ก็ยังเห็นคุณท้าวนางแก่ๆ แต่งเหมือนกัน แต่ลูกไม่รู้เลยว่าไม่ควรแต่งสีแดงเทียมเจ้านาย” ท่านผู้หญิงว่า
“เอ๊ะ คุณแม่ขา ชุดนี้ลูกใส่ถ่ายภาพให้เบอร์ซิเดอร์โรแบงเขาวาดรูปนะคะ ไม่เห็นคุณแม่ทักเลย”
“แม่เห็นว่ารูปวาดสีออกเข้มเป็นสีครั่ง อีกอย่างอยู่ในเรือนเขาไม่มีใครเห็น แต่วันนี้ลูกต้องเปลี่ยน” ท่านผู้หญิงบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“คุณแม่ขา นี่มันแดงคร่ำนะคะ ไม่เหมือนที่เจ้านายใส่เท่าไหร่เลย” คุณประยงค์แย้งอีก
ท่านผู้หญิงติง “ถึงยังไงก็แดง เปลี่ยนเถอะลูกเชื่อแม่นะแม่ประยงค์ ประเพณีมีอยู่เราอย่าฝืนเลยลูก”
“ค่ะ คุณแม่ ลูกขอบคุณค่ะ” คุณประยงค์ต้องจำนน

ญาติทุกคนยืนรออยู่ตรงบริเวณหน้าบันไดห้องโถง ท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง พระยาราชานุกูล หรือ คุณปาน พร้อมภรรยา คุณหญิงผะอบ พระวิจิตรนาวา หรือ คุณปั้นและคุณนายมณีผู้เป็นภรรยา คุณน้อย รวมทั้งพระยาธรรมานุรักษ์ วัยหนุ่ม อายุ เท่าๆ กับคุณน้อย พระยาอรรถการคดี น้องชายของคุณน้อย อายุน้อยกว่า 2 ปี เจ้าคุณอักษรธำรง ท่านเจ้าพระยาที่ยืนคู่ท่านผู้หญิง มีสีหน้าเบ่งบานมีความสุขกว่าใครอื่น
สักครู่หนึ่ง เจ้าคุณเดินเข้ามา งามสง่ายิ่งนัก ตรงเข้าไปไหว้ท่านเจ้าพระยาและท่านผู้หญิง
ทักทายกับญาติๆบ้าง คุณน้อย ยิ้มเย้าๆ
ท่านเจ้าพระยามองขึ้นไปบอกทุกคน “มาแล้ว”
เห็นคุณประยงค์เดินลงบันไดมา ทุกคนมองด้วยสายตาชมเชย พอมาถึงขั้นสุดท้าย เจ้าคุณไปรับยื่นมือให้ก้าวเคียงลงมาที่พื้นต่างคนต่างมองกัน
ท่านเจ้าพระยาก้าวเข้ามา “วันนี้จะตบแต่งครองคู่กัน ฉันปลื้มใจมาก ขอต้อนรับลูกเขย ตั้งแต่เป็นพ่อปราชญ์ครั้งกระโน้นจนเป็นพระยาอักษรธำรงในวันนี้ ฉันไม่เคยคลายความรักความยินดีที่มีต่อพ่อเลย ขอฝากแม่ประยงค์...ลูกสาวที่ฉันรักฉันหวงยิ่งกว่าชีวิตของฉันไว้กับเธอ ขอให้เธอรักและดูแลเหมือนที่ฉันทำมาเท่าอายุของเขา แต่เธอก็คงต้องนานกว่าฉันนะจากนี้ไปอีกเป็นสิบๆปี”
คนอื่นๆ ยิ้มๆกันทุกคน แม้แต่ท่านผู้หญิง เข้าไปกอดลูกสาว คุณประยงค์ไหว้ที่อก
“เจ้าคุณ...แม่ประยงค์รักเจ้าคุณมานานตั้งแต่เขายังเด็ก ไม่เคยคลอนแคลนความรัก ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดไปก็คิดถึงข้อนี้ไว้มากๆ จะได้ให้อภัยเขาได้สะดวกใจขึ้น”
คุณประยงค์ท้วง “คุณแม่ มองแต่ลูกจะทำผิดเสมอ”
“แม่ประยงค์ ไม่ต้องเป็นแม่แค่เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน แม่ก็ตักเตือนอย่างนี้ได้ แต่นี้เป็นแม่เห็นลูกมาแต่เล็กแต่น้อยรู้จักลูกดีที่สุดเตือนแค่นี้ยังน้อยไป”
สีหน้าคุณประยงค์ เฉยขึ้น จ้องหน้าแม่นิ่งอยู่ เห็นชัดว่าไม่พอใจ บรรยากาศอึมครึม สีหน้าทุกคนต่างอึดอัด แล้วมองหน้ากัน ท่านเจ้าพระยาเอ่ยขึ้น
“แม่แย้ม ขอบใจหล่อนนัก แม่ประยงค์ลูกฟังคุณแม่แล้วปฏิบัติตาม...ไปกันเถอะ...ใกล้จะถึงฤกษ์แล้ว ยังต้องเดินทางอีก”
ทุกคนเดินออกไปหน้าตึก ซึ่งมีรถม้า 2-3 คัน และรถยนต์หรูจอดอยู่ คนทั้งหมดเดินออกมาตรงไปที่รถ ส่วนที่ข้างตึก เห็นหน้าไอ้กลับโผล่มาแอบดู มีบ่าวอยู่ด้านหลังบ้างทุกคนยิ้มแย้มชื่นชม

ส่วนสองหนุ่มอยู่ที่เรือนปู่กลับ รับฟังเรื่องราวเดียวกันนี้อยู่
“ผม...” เชษฐาลังเลอยู่นิดหน่อย “กับคุณประยงค์แต่งงานกันเป็นงานใหญ่หรือปู่”
“ขอรับ เสด็จในกรมวังท่านอยู่ราชวัตร ท่านเจ้าพระยาเป็นพระสหายก็ประทานน้ำสังข์ เลี้ยงฉลองด้วยเพราะที่นี่อยู่ไกลถึงปากน้ำ ไปมาลำบากขอรับ”
“ผมแต่งมั้ย กับคุณน้อย...สุดท้ายน่ะ” มนัสวีร์ถามอย่างตื่นเต้น
ปู่กลับนิ่งเงียบไป นัยน์ตาหวั่นไหวสักครู่ มนัสวีร์โวยขึ้น
“ปู่ ไม่ยุติธรรมบอกแต่เรื่องของคุณหนึ่ง แต่ทำไมเรื่องของผมไม่บอกอะไรเลย ผมประท้วงนะปู่”
“ไม่มีสัญญาของคุณกับคุณน้อย คุณจะไม่เห็น เธอรู้เรื่องไปไม่มีประโยชน์อยู่คนละโลก ผมไม่น่าบอกคุณหลวงเลย”
“ดีแล้วที่บอก เธอคงคอยผมอยู่เหมือนกันเพราะผมเห็นเธอยิ้ม” มนัสวีร์ว่า
“อะไรนะ” เชษฐาแปลกใจ
“วันแรกที่มา” มนัสวีร์บอก
“ไม่เห็นแกพูดอะไร” เชษฐางง
“ฉันก็เลือนๆ ไปเพราะต่อจากนั้นไม่เคยเห็นอะไรอีกเลย ปู่กลับผมอยากติดต่อกับเธอ ได้จะได้รู้ว่าเรื่องของเธอกับผมจบยังไง ปู่พอจะมีวิธีมั้ยครับ”
“คุณไม่มีสัญญากับเธอ ถ้าจะเห็นเธอ เธอต้องเป็นคนปลุกสัญญา”
มนัสวีร์ฉงน “ปลุกสัญญาหรือครับ”

คืนนี้ดวงจันทร์สีซีดลอยบนท้องฟ้า น้ำในคลองพลิ้วเป็นระลอก ย่าน้อยนั่งมองออกไปในน้ำ สายตาเศร้า
“คุณหลวง ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นว่าทำไมวันนั้น....ที่เรานัดกัน ทำไมคุณหลวงไม่มาตามนัด”
คุณสวาสดิ์นั่งจับเจ่าอยู่ข้างๆ
“ฉันคอยคุณหลวงทั้งคืน จนกระทั่ง...”
ภาพจำผุดขึ้นมา ตอนคุณน้อยก้าวลงเรือง นั่งลงพายเรือ
“ปลุกสัญญากับคุณหลวงสิคะคุณอาขา แล้วก็ถามท่าน”
ย่าน้อยหันมามองคุณสวาสดิ์ ด้วยนัยน์ตาสงบลึกซึ้ง มองไม่รู้ว่าคิดอะไร เห็นแต่นัยน์ตาแายแววแค้นขึ้นมาแวบหนึ่ง

เมื่ออดีตในคืนวันหนึ่ง คุณน้อยนั่งสนทนาอยู่กับคุณหลวงขจรตรงริมน้ำ
“เขาว่าคุณหลวงกำลังจะแต่งกับแม่จริน ข้าหลวงเสด็จพระองค์หญิงคนที่คุณหลวงไม่รักแม้กระผีกเดียว”
“ไม่จริงครับคุณน้อยอย่าเชื่อเสียงนกเสียงกา”
“ให้เชื่อใครล่ะคะ”

“เชื่อผมคนเดียว รักผมต้องเชื่อผมคนเดียวนะครับ”

พอนึกเรื่องนี้ขึ้นมา ย่าน้อยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเยาะหยัน

“ถ้าได้ไปเกิดเมื่อไหร่ก็ตาม...ขออย่างเดียว”
“ขอว่ากระไร” คุณประยงค์ถาม
“ขอเกิดเป็นผู้ชาย”
สีหน้าย่าน้อยดูน่ากลัวลางๆ ขึ้นมานิดหน่อย
“เป็นผู้ชาย....ผู้ชาย” ย่าน้อยเสียงเหี้ยมขึ้นตามลำดับจนแตกพร่า
“คุณอาขา” คุณสวาสดิ์เรียก
“แม่น้อย หล่อนไม่เคยเป็นอย่างนี้”
ย่าน้อยสวนคำทันที “เกลียดผู้ชาย...เกลียด” เสียงนั้นก้องกังวานสะท้านสะเทือนไปทั้งห้อง
และหน้าคุณย่าน้อย กลายเป็นผีน่ากลัว ชั่วแวบ

มนัสวีร์นอนหลับอยู่ในห้องผวาตื่น สายตางุนงงอยู่สักครู่ พึมพำกับตัวเอง
“เกลียดผู้ชาย.....ก็เราสิจะมีใคร”

มนัสวีร์คาใจมาก พาตัวเองมาอยู่ต่อหน้ารูปย่าน้อยตอนรุ่งเช้า สีหน้าย่าน้อยนิ่งสนิท
“เกลียดผมทำไมครับ”
ย่าน้อยยังนิ่ง
“ผมมีโอกาสได้ทำอะไรลบล้างมั้ยครับ”
ย่าน้อยมองต่ำที่มนัสวีร์ ด้วยสีหน้าทั้งรักทั้งแค้นนิดๆ

ฟากสมรูดม่าน ส่วนนวลเอาถาดอาหารมาวางให้เกษลดา ที่ยังนอนซม
“อาหารเช้าค่ะคุณ”
“ขอบใจ นี้เธอ” เกษลดาเรียกสม
“คะ คุณเกษลดา”
“คุณเชษฐาตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วค่ะ แต่ไม่อยู่ค่ะ” สมบอก
“เขาไปไหน”
“ออกไปกับคุณอนงค์วดีค่ะ”
คำพูดนวลกระแทกเข้าหน้าเกษลดาเต็มแรง นัยน์ตาหล่อนวาบขึ้นด้วยความแค้น แล้วเปลี่ยนเป็นหน้านิ่ง ตรึกตรอง

สองคนนั่งด้วยกันที่สวนสวย มีต้นไม้ใบบัง ดอกไม้ห้อยย้อย บรรยากาศงดงาม แต่อนงค์วดีกิริยาไม่นิ่ง พะว้าพะวง คอยเหลียวไปดูทางที่เป็นสโมสรตลอดเวลา
“เป็นอะไรครับ อนงค์วดี”
“เป็นห่วงแขกค่ะ ตอนออกมาอาหารเช้ายังเซ็ตไม่เสร็จ”
“ช่างอาหารเช้า”
อนงค์วดีขำๆ “อาหารเช้าสำคัญนะคะ ควรจะทานเป็นมื้อใหญ่”
เชษฐากวนอีก “ช่างใหญ่”
“คุณเชษฐา....เกเรจัง”
เชษฐานั่งตัวตรง กิริยาจริงจังขึ้น “อนงค์วดี เชื่อเรื่องเราสองคนกับคุณชวดประยงค์มั้ยครับ”
“เชื่อค่ะ”
เชษฐาถอนใจเฮือกใหญ่ “ผมจะเลิกกิจการทั้งหมด สโมสรจะปิดไม่มีกำหนด”
อนงค์วดีใจหายวาบ “อย่าเลยนะคะ”
“ผมกลัวเรื่องจะแพร่กระจายออกไปด้วย มันไม่มีดีอะไรเลยเราจะยุ่งยาก อาจต้องเผชิญกับสื่อซึ่งสื่อบางสำนักเสนอข่าวเร็วข่าวแรง กับข่าวที่จริงมั่งไม่จริงมั่ง”
“อนงค์ไม่ค่อยกลัวข่าวค่ะ วันนี้เป็นข่าววันรุ่งขึ้นอยู่ในถังขยะ”
“หือม์...” เชษฐามองด้วยสายตาเอ็นดู
“จำมาค่ะจากหนังเรื่องหนึ่ง คุณเชษฐาคะอย่าปิดสโมสรเลยค่ะอนงค์สงสารคนทำงานค่ะ เขาตกงานทันที”
เชษฐามอง ประทับใจมาก
“เขาไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีพ่อแม่ญาติพี่น้อง...”
เชษฐาลุกขึ้น ปราดเข้าไปหาอนงค์วดี กอดไว้เต็มอ้อมแขน
“ผมห่วงคุณที่สุด กลัวคุณชวดทำอันตรายคุณ คุณไม่ใช่หลานชวดแต่คุณคือศัตรูของท่าน”
อนงค์วดีนิ่งเงียบในอ้อมแขน ใจเต็มตื้นด้วยความซาบซึ้งในความห่วงใยนั้น เชษฐากอด แล้วยกสองมือประคองหน้า ไล้มือไปตามปากแก้มคิ้วคาง
“ผมทนไม่ได้ แค่นึกว่าคุณต้องเจอชะตากรรมเหมือนในอดีตและผมเป็นตัวการสำคัญ”
“อย่าโทษตัวเองค่ะ ทุกคนมีเหตุผล”
“ปิดเสียเถอะสโมสร ปิดตึก ให้คุณประยงค์อยู่ที่นี่ไปอย่างเดิม ไม่ต้องไล่เธอไปไหน” เชษฐาออกความคิด
“คุณชวดเพียงแต่มาหาเรา ยังไม่ได้ทำอะไรใคร เดี๋ยวเราทำพิธีขอขมาลาโทษท่าน ท่านอาจให้อภัย”
“อนงค์วดีรู้มั้ยคุณชวดของคุณทำเรื่องราวร้ายกาจแค่ไหน”
“อนงค์ไม่อยากรู้ค่ะ มันผ่านไปแล้ว”
“ที่แน่ๆ เธอฆ่าผม”
“อนงค์เคยกลัวเธอจะทำร้าย แต่ตอนนี้แน่ใจว่าเธอไม่ทำ เพราะเธอรักคุณ”
“ความผิดของคุณจริงๆ ผู้ชายสมัยก่อนเขามีรักได้หลายๆคน ซ้อนกันไปซ้อนกันมา” เชษฐาขำๆ “จริงๆนะคนมียศถาบรรดาศักดิ์ รักผู้หญิงได้ทีละ 4-5-6-7 คนยังมี”
“แต่ผู้หญิง รักทีละคน ไม่ว่าสมัยนี้หรือสมัยไหน” อนงค์วดีว่า

ภาพอดีตผุดขึ้นมา แม่อรนั่งรอคอยเจ้าคุณ ดึกแล้วยังไม่กลับมา
คุณประยงค์อยู่ในภาพ หัวเราะเบาๆ “นั่งรอนอนรอ....นังอร รอไปเทิ๊ด”
เสียงย่าน้อยขัดขึ้น “แต่เจ้าคุณกลับเรือนทุกคืน ไม่เคยค้างกับคุณอาเลยนี่คะ”
“หล่อนเป็นคนปากเสียตั้งแต่เป็นจนตาย”

วิญญาณคุณประยงค์ลอยวูบไปบัดนั้น เหลือเพียงห้องภาพอันว่างเปล่า
 
อ่านต่อหน้า 2

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 12 (ต่อ)

วิญญาณย่าน้อย และคุณสวาสดิ์วูบมานั่งสบายใจบนเก้าอี้ชุดในห้องโถง ขณะคนงานทำงานกันอยู่

“ปากเสียแต่ไม่เคยทำอะไรเสียนะคะคุณอาขา...”
คุณสวาสดิ์นั่งแกว่งขาบนเก้าอี้ บอก “คุณย่าไปไกลแล้วค่ะ คุณอา”
ย่าน้อยสีหน้าเคร่งขรึมลง “คุณย่าของลูกสวาสดิ์ไม่เคยไปไม่ไกล เธอไปจนสุดในทุกๆ เรื่อง”
“ไปจนสุดในทุกๆ เรื่องเหรอคะ เรื่องอะไรมั่งคะคุณอา”
“อาไม่ได้แอบฟังนะลูกสวาสดิ์ ได้ยินเอง”

ย่าน้อยเล่าเหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นคืนหนึ่ง ที่หน้าห้องหอคุณประยงค์ เวลานั้นคุณน้อยเดินก้าวกระโดดผ่าน ได้ยินเสียงจากในห้อง หยุดดู
“ไม่ได้...ได้ยินมั้ย บอกว่าไม่ได้”
คุณน้อยเข้าไปแอบฟัง

ภายในห้องเจ้าคุณหันหน้ามาหาคุณประยงค์ สายตาเย็นชาเล็กๆ
“เจ้าคุณทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรม อิฉันเป็นเมียต้องค้างกับอิฉันบ้าง”
“ผมสัญญากับอรแล้วว่าจะกลับเรือนทุกคืน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้”
“ผมต้องรักษาสัญญา ผมขอโทษนะครับ”
คุณประยงค์นิ่งไปสักครู่ แล้วจึงเปลี่ยนท่าที เข้ามาสั่งคุกเข่าตรงหน้าเจ้าคุณที่อยู่บนเตียง
“เมื่อไหร่เจ้าคุณจะขอพระราชทานตราให้อิฉันเสียที”
เจ้าคุณนิ่งอึ้งไป
“อิฉันเป็นคุณหญิงให้เจ้าคุณได้สมฐานะมากกว่าแม่อร”
“แต่....อรมาก่อนคุณประยงค์นะครับ”
“เจ้าคุณต้องคิดว่าใครเหมาะสม คนในสังคมเขาเฝ้ามองอยู่”
เจ้าคุณไม่ตอบ สีหน้าคุณประยงค์รู้แล้วจะทำยังไงต่อไป

ในห้องรโหฐานอีกวัน 2 คน ท่านเจ้าพระยา คุณประยงค์ คุยกันอยู่ในนี้
“ถ้าเจ้าคุณพ่อไม่พูดให้ลูก ลูกจะตากหน้าอยู่สังคมได้อย่างไร เสด็จประทานกรุณาแต่งงานให้ แต่คนรับตราเป็นคนป่าดอยที่ไหนไม่รู้”
ท่านเจ้าพระยาปราม “แม่ประยงค์ คนกลางเขาต้องเป็นคนตัดสิน”
“ไม่ค่ะ...เจ้าคุณพ่อต้องพูดให้ลูก ลูกเชิญเจ้าคุณมาแล้ว”
ท่านเจ้าพระยาปราม “ไม่...อย่าเพิ่ง”
เจ้าคุณเข้ามาแล้วไหว้
“นั่ง....นั่ง”
“ท่านมีเรื่องสำคัญจะพูดกับกระผมหรือขอรับ”
ท่านเจ้าพระยาอึดอัด “มันก็....สำคัญอยู่หรอก”
“ครับ” เจ้าคุณคอยฟัง
ท่านเจ้าพระยาตั้งสติได้เร็ว สมกับเป็นคนมีอำนาจ “ฉันจะถามว่ารู้มั้ยว่าเมื่อไหร่ จะพระราชทานตราตั้ง แม่ประยงค์เขาจะได้เตรียมตัว”
“กระผมไม่ทราบขอรับ”
“บอกเขาล่วงหน้า ผู้หญิงมีเรื่องต้องเตรียมหลายเรื่อง”
“ขอรับประทานโทษ ผมได้ไตร่ตรองแล้วสำหรับทั้งแม่อรทั้งคุณประยงค์ถ้าใครตั้งครรภ์ก่อนจะเป็นคนรับพระราชทานตราตั้งขอรับ”
“อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้น จะพูดไปแม่ประยงค์เป็นลูกสาวฉัน มีหน้ามีตามีฐานะสมกับเป็นคุณหญิงของเจ้าคุณทุกอย่าง คิดถึงข้อนี้บ้างหรือเปล่า” ตอนนี้น้ำเสียงท่านเจ้าพระยาหนักแน่นขึ้น เจ็บร้อนแทนลูกสาว
“กระผมเกรงใจคุณหลวงพ่อแม่อร เคยสัญญากับท่านไว้”
“เจ้าคุณ” เสียงท่านเจ้าพระยามึนตึงมาก “จะให้สัญญากับใครทีหลังไตร่ตรองให้รอบครอบหน่อย กับแม่ประยงค์ก็สัญญิงสัญญากับเขาสารพัด”
เจ้าคุณนิ่งไป
“แล้วฉันกับคุณหลวงพ่อตาเจ้าคุณน่ะ เจ้าคุณเกรงใจใครมากกว่ากัน”
“กระผมต้องขอรับประทานโทษ กระผมลั่นวาจากับแม่อรไปแล้วขอรับกระผมไม่ได้ปฏิเสธคนไหน ทั้งสองคนก็มีโอกาสเท่าๆ กัน”
ท่านเจ้าพระยารับรู้ด้วยสีหน้าของผู้ชาย ที่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องท้อง! แล้วท่านก็เผยอยิ้มนิดๆ

เวลาต่อมา ท่านเจ้าพระยาเดินเนิบนาบขึ้นบันได คุณประยงค์เดินตาม บ่าวก้มหน้าหลบลง กำลังเช็ดราวบันได ท่านเดินจนถึงบันไดขั้นสุด แล้วหันมามองคุณประยงค์ จ้องมองนิ่ง คุณประยงค์สบตา แล้วเดินตามขึ้นไป
ท่านเปิดประตูเข้ามา มองไปยังเตียงกว้างใหญ่ ปูผ้าสีขาวสะอาดเรียบกริบ ท่านมองไปรอบๆห้อง คุณประยงค์มาสั่งคุกเข่า มองพ่อ
“แม่ประยงค์พลาดที่ไม่ตามพ่อปราชญ์ไปเมืองพิษณุโลก ครั้งนั้นพ่อผิดด้วย พ่อรู้จักธาตุแท้ของผู้ชายแต่ไม่ได้เตือนลูก เพราะลูกเป็นคนที่บังคับไม่ได้”
คุณประยงค์ นั่งก้มหน้าเสียใจ
“ต่อไปลูกต้องรู้ว่า ผู้ใหญ่เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน สิ่งใดที่เขาเตือนควรจะฟังเก็บไปคิดสักครั้งก็ยังดี”
“ค่ะ คุณพ่อ” คุณประยงค์กราบลงกับเข่า
“ผู้ชายเหมือนกันทุกคน ที่ไหนสบายใจ สบายตา สบายหู เขาก็จะติดสิ่งนั้นสุดท้ายเขาต้องสบายกาย ลูกต้องหาวิธีทำให้เขาสบายกาย”
สีหน้าคุณประยงค์...รับฟัง คิดตาม
“พ่อรักลูกเป็นที่สุด ทุกอย่างที่แม่ประยงค์อยากได้ ถ้าไม่สุดวิสัยพ่อจะมาหาให้แต่บางอย่างสุดวิสัยของพ่อลูกต้องขวนขวายเอง...เข้าใจนะ”
คุณประยงค์ กราบที่เข่าอีกครั้ง
“เจ้าคุณพ่อเป็นพระของลูก”
ท่านเจ้าพระยาตบหัวเบาๆ ลุกขึ้น เดินไปที่ประตู ก่อนออกหันมา “พ่อน่าจะได้อุ้มหลานเร็วๆนี้”

แล้วท่านก็เดินยิ้มออกไป

ในวันต่อมา เห็นอีทิ้งยืนคุมบ่าวทำความสะอาดห้องนอนอยู่เป็นที่โกลาหล โดยมีคุณประยงค์นั่งเอ้เต เอนสบายๆ อยู่เก้าอี้มุมห้องดู บ่าวเก็บกวาดห้อง แล้วถู เช็ดทุกซอกทุกมุมในห้อง

“อีทิ้ง อบฟูกรึยัง” คุณประยงค์ถาม
“เจ้าค่ะ”
ดอกไม้แห้งทั้งหลายถูกโปรยปรายลงบนฟูก ตามด้วยผ้าปูผืนใหญ่คลุมลง พวกบ่าวช่วยกันพับชายมิดชิด
“กลิ่นบุหงา เจ้าค่ะ” อีทิ้งบอก

เวลาต่อมาบ่าวตบหมอนให้นุ่มฟู อีกคนเช็ดหน้าต่าง เช็ดประตูไป สักครู่บ่าวเอาอุบะดอกไม้สด ร้อยเป็นตาข่ายสวยงาม ไปแขวนประดับที่หน้าต่าง ส่วนอีกคนวางแจกันดอกไม้บนโต๊ะมุมห้อง เป็นดอกพุดขาวสะอาดเป็นพุ่ม
อีทิ้งจัดข้าวของบนโต๊ะเครื่องแป้ง บ่าวอีกคน ถือตะลุ่ม ใส่เสื้อผ้าเจ้าคุณเข้ามา อีทิ้งพิสูจน์กลิ่น พยักหน้าพอใจ

ห้องนอนคุณประยงค์ คืนวันนั้นจึงหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง คุณประยงค์ลูบไล้แป้งนวลเม็ดๆ ที่บี้จนกระจายไปทั่วใบหน้า คอ และแขน
อีทิ้งเอาบ่าวเข้ามา เปิดผ้าคลุมเตียง บ่าวคนหนึ่งเก็บบุหงาไปหมด แล้วสะบัดผ้าปูลงไปอีกที
ต่อมาเห็นเจ้าคุณนอนเอนๆ สวมชุดนอน มีคุณประยงค์ อิงแอบ เจ้าคุณทำท่าหอมกลิ่นในห้อง คุณประยงค์เอนเข้าหา เจ้าคุณหลับ คุณประยงค์หลับตา หนุนแขน ที่เคยหนุนเสมอๆ
คุณประยงค์ลืมตา สีหน้าอิ่มเอม ละมุนละไม สมใจทุกอย่าง

ที่เรือนแม่อรวันหนึ่ง สองคนคุยกันอยู่ โดยเกดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชด
“ฮึ สมพาสนางฟ้า เพลิดเพลินทุกวัน”
“พี่เกดอย่าดูแคลนท่าน ท่านทำตามสัญญาที่ว่าจะตื่นนอนพร้อมน้อง ท่านไม่เคยผิดสัญญา”
“โธ่เอ๋ย...เฮ้อ อีเกดไม่รู้จะพูดยังไง แค่มาตื่นนอนที่นี่ พอใจแค่นี้รึแม่อร”
“พี่เกดไม่พอใจหรือจ๊ะ ผัวกลับบ้านทุกคืนไม่ไปค้างที่ไหน นี่ก็กว่าสามเดือนนะที่ท่านไม่ผิดสัญญา”
เข้าหน้าเกด เหล่ความไม่ประสีประสาของอรมาก
“ผัวน่ะ...ต้องทำอะไรมากกว่านั้นนะพี่จะบอกให้” เกดลุกเดินไปทันที
แม่อรยิ้มนิดๆ ในสีหน้าลึกๆ เป็นปริศนา

คืนนั้นเองยินเสียงร้องกรี๊ดของคุณประยงค์ ดังก้องกังวานไปทั่วตึกทั้งหลัง คล้ายคนเจ็บปวดปางตาย
เสียงนั้นดังมาจากห้องนอนคุณประยงค์ ที่อีทิ้งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง คุณประยงค์หันหลังให้อีทิ้งยืนเหมือนถูกสาป อีทิ้ง ค่อยๆ เขยิบเข้าไป ยื่นมือจะไปแตะมือ
คุณประยงค์หันขวับมาอย่างเร็ว สีหน้าซีดจนขาว สั่นระริกไปทั้งตัว “แน่ใจหรืออีทิ้งว่ามันท้อง”
“ยายพุกคนครัวว่า สั่งมะขามกับมะดันจิ้มกะปิกินทุกวันเจ้าค่ะ”
คุณประยงค์เซไป ความผิดหวังใหญ่หลวง ท่วมหัวใจ
“จะกินพออร่อยปากได้มั้ย”
“กินทุกวันมาเดือนกว่านะเจ้าคะ”
“ข้าไม่เชื่อ เอ็งไปสืบมาให้แน่ใจ”
“โอ๊ย จะต้องสืบทำไมให้เหนื่อยเจ้าคะ มีอีย้อยอยู่ทั้งคนส่งมันสอดแนมทุกเรื่องอยู่แล้วเจ้าค่ะ” อีทิ้งลอยหน้าพูด “ท้องแน่เจ้าคะ โอ้กอ้ากทุกเช้า เจ้าคุณประคบประหงม...”
คุณประยงค์ตบเปรี้ยงทันที จนอีทิ้งหน้าหัน มันหันมาหน้าเหวอมากทำไมกูโดนตบ
“มึงไปให้พ้นหน้ากู”
“ทำ...ทำไมเจ้าคะ” อีทิ้งอึ้ง น้ำตาคลอเบ้าทันที “ตบบ่าวทำไมเจ้าคะ”
“มึงยินดีปรีดากับมันก็ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้า อีนกสองหัวไม่เห็นใจกูก็ไป...ไปให้พ้นจากบ้านนี้เลย กูไล่มึง มึงกลับบ้านนอกคอกนาของมึงไป กูไม่อยากเห็นหน้ามึงอีกต่อไป”
อีทิ้งนิ่งสีหน้าอึดอัก เสียใจมากกัดปากแน่นไม่ให้น้ำตาไหล
“คุณท่านคนใหญ่เจ้าขาทิ้งไม่ได้ยินดีกะมัน ทิ้งเสียใจกะคุณ ทิ้งสาบานนะเจ้าคะ” อีทิ้งน้ำตาคลอๆ พูดอย่างจริงใจ
“กูไม่เชื่อมึงอย่ามาทำท่าสำออย....กระแดะ”
อีทิ้งหันหลังทันที คลานตุ้บตั้บออกประตูเปิดออก เห็นคุณน้อย ยืนแอบฟังอยู่หน้าห้อง
“แม่น้อย สาระแนนักนะ”
“อีทิ้ง ปิดประตูเร็ว” คุณน้อยสั่ง
อีทิ้งปิดประตูเร็ว
คุณประยงค์แหวใส่ทั้งคู่ “อย่าสะเออะมาให้เห็นอีกทั้งสองคน”
“จริงหรือพี่อรท้อง ฮะอีทิ้ง” คุณน้อยถามอีทิ้ง
“อยากรู้ก็ไปถามกันเองสิเจ้าคะ รักกันนักนี่” อีทิ้งรีบหนีไปทันที

คุณสวาสดิ์ฟังแล้วสงสสัย เลยถามย่าน้อย
“หนูอยากเห็นคุณย่าอาละวาด ร้องไห้มั้ยคะคุณอา”

เวลาเดียวกันภายในห้องที่แสนมืดมิด ผีคุณประยงค์ นั่งท่วงท่าเศร้าสร้อยอยู่ ใบหน้าก้มต่ำ สวยเศร้าราวภาพวาด
ใบหน้าซีดขาวนั้น ทำให้ผีร้ายกลายเป็นผีที่น่าสงสาร น้ำตาไหลพราก ขณะก้มมองลงไป

ได้ยินแต่เสียงสะอื้นแผ่วๆ เป็นที่น่าเวทนานัก
 
อ่านต่อหน้า 2

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 12 (ต่อ)

วันรุ่งขึ้น ชัยชนะพร้อมละมุนมาหาปู่กลับที่บ้านสิงหมนตรี กำลังคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งข้างตึกสโมสร

“คะรับ...คุณชัยชนะ”
“คุณย่าให้ฉันมาถามปู่กลับว่า ทำอย่างที่คุณย่าสั่งหรือยัง”
ปู่กลับนิ่งเงียบ
“ท่านฝันค่ะปู่กลับ ฝันร้าย” ละมุนบอก
ปู่กลับมองละมุน นัยน์ตาเป็นคำถาม
“ท่านฝันถึงคุณชวด แต่ที่ท่านห่วงที่สุดปู่กลับอาจจะนึกว่าเป็นคุณอนงค์ แต่ไม่ใช่นะคะ” ละมุนบอกอีก
“ไม่ใช่หรือคะรับ”
“ท่านห่วงคุณเชษฐาครับปู่ อย่างที่ปู่รู้ท่านเห็นรูปภาพท่านเจ้าคุณท่านว่าตามประวัติที่ท่านทราบมา คุณชวดประยงค์....เอ้อ....ฆ....”
ปู่กลับเงยหน้ามองชัยชนะ นัยน์ตาบอกว่าพูดเถิด พูดได้
“คุณชวดเคยฆ่าท่านเจ้าคุณมาครั้งหนึ่งแล้ว ท่านเชื่อว่า....อาจจะมีการฆ่ากันอีกครั้ง ท่านจึงให้ผมมาบอกว่าที่ท่านสั่งให้ปู่รีบทำเร็วที่สุด”
“ทำไมท่านไม่มาเองคะรับ”
“ท่านไม่มา ผมไม่ทราบว่าทำไม”
“เรียนท่านว่าผมทำตามคำสั่งของท่านแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ คุณเชษฐารู้เรื่องทั้งหมด” ชายชราบอก
ชัยชนะมองหน้าละมุน
“ท่านคงได้แต่หวังว่าคุณเชษฐาจะระวังตัว”

ทว่าเหมือนจะไม่ทันแล้ว ทั่วทั้งห้องมืดมิด ร่างเชษฐาถูกเหวี่ยงไปเต็มแรงด้วยแรงโกรธของคุณประยงค์ กลิ่งโคโล่ไปสามสี่ทอด เชษฐาฟุบหมอบ หันหน้ามาดู คุณประยงค์ยืนจังก้า เท้าเอวสองข้าง ก้มมาดู

ส่วนย่าน้อยรำพึงอยู่ในห้องรูป
“น่าสงสารจริงๆ อาอยู่อาเห็นว่าเธอสับสนไปหมด คนเคยเป็นใหญ่มีอำนาจมากที่สุดในบ้าน แม้แต่พ่อแม่ก็ต้องยอมลงให้ แต่ต้องมาแพ้กับผู้หญิงที่เธอเหยียดหยามว่าต่ำกว่าเธอ”
เสียงคุณสวาสดิ์ถามขึ้น “คุณอา...คุณย่าไปไหนแล้วคะ”

ต้นไม้โยกโยน พัดเอนไปมา เสียงหวีดหวิวของลม ดังสะท้อนไปสะท้อนมาฟังดูน่ากลัว พระจันทร์ข้างขึ้นเต็มดวง ลอยเลื่อนหลบเข้าหลังเมฆ
บริเวณตึกทั้งหลังมืดสลัวลง นกแสก บินผ่านส่งเสียงร้องน่ากลัว

พวกพนักงานที่กำลังทำงานหันไปมองบรรยากาศข้างนอก พอไฟดับพรึบ ทุกคนไหวตัว บางคนวิ่งเข้าหากัน คุณประยงค์เดินข้ามห้องรูปออกมา มีแสงมลังเมลืองรอบตัว
“คุณอา จะไปไหน”
คุณประยงค์เดินไปต่อ
ย่าน้อยบอก “คุณอา....อย่าให้ใครเห็นนะคะ สงสารเขา”
คุณประยงค์หันไป บอกเสียงขุ่น “ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องบอก”
พวกพนักงานไม่มีใครเห็น

ทั่วบริเวณตึกทั้งในและด้านนอก ลมยังพัดโยกโยนอยู่ สลับกับฟ้าผ่าดังเปรี้ยงๆๆ

อนงค์วดีวิ่งออกมาจากข้างในบ้าน เข้ามาในห้องโถง
ปิ่นสุดากับผักบุ้ง วิ่งมา เจอเกษลดาที่หัวบันได ทั้ง 3 คนวิ่งลงมาพร้อมๆ กัน
“คุณอนงค์วดี....บอกฉันว่าเกิดอะไร นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
“ทำไมจะไม่ใช่ค่ะ เรากำลังจะเข้าหน้าฝนก็เป็นธรรมดา....พายุก็แรงอย่างนี้เสมอ”
เกษลดาไม่เชื่อ “ไม่จริง”
“ที่คุณว่าไม่ธรรมดาเราจะรู้มั้ยว่าเพราะอะไร” ปิ่นสุดาแดกดัน
เกษลดาย้อนเจ็บ “รู้สิคุณสองคนต้องรู้เพราะเป็นโคตรของคุณนี่”
ขาดคำนั้นเองเกษลดารีบวิ่งไปที่รูปภาพคุณประยงค์ ทุกคนวิ่งตาม ทั้งหมดพบว่ากรอบรูปว่างเปล่า เกษลดา ตกใจ ร้องกรี๊ด ตัวสั่นงันงกไปหมด หันหลังให้รูปภาพทันที
ส่วน อนงค์วดี ปิ่นสุดา และผักบุ้ง ตกตะลึงยืนจ้องกรอบรูปอันว่างเปล่า
เกษลดาพยายามรวบรวมกำลังใจ หันกลับไปมองอีกที แต่ยังไม่มีรูป
เกษลดาข่มเสียงให้เป็นปกติแม้เสียงจะสั่น “คุณชวดคุณก็แค่วิญญาณ แค่พลังงาน ทำอะไรใครไม่ได้” พลางดึงสร้อยที่ห้อยพระออกมา จบมือพนม “ฉันมีพระคุ้มครองฉันพร้อมที่จะเจอ”

สภาพนอกตึกยามนี้ ยังคงปั่นป่วนและรุนแรงเพิ่มขึ้น ต้นไม้สะบัดไปสะบัดมา ฟ้าก็ร้องครืนครัน เปรี้ยง...เปรี้ยง เสียงสายฟ้าฟาดลงมา
คุณประยงค์ยืนจังก้า ร่างใหญ่โตอยู่หน้าตึก “ตั้งแต่วันที่รู้ว่ามึงท้องจนถึงวันนี้กูเหมือนตกนรกนังอร....กูจะจองล้างจองผลาญมึงไปตลอดชีวิต มึงไปเกิดชาติไหนถ้ากูยังอยู่กูจะตามมึงให้เจอ มึงจะมีชีวิตมืดมนทุกชาติ...ทุกชาติ”

ส่วนในห้องโถง แขกวิ่งกรูออกนอกห้อง กลับบ้านไปหมดสิ้น
“หนึ่ง....ใครเห็นหนึ่งบ้าง”
อนงค์วดีออกวิ่งพรวด กระโจนขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“ระวังยายหนูมันมืด” ปิ่นสุดาตะโกนตาม
อนงค์วดีพลาดล้มกลิ้งลงมา
ปิ่นสุดาร้อง “ว้าย”
อนงค์วดีทรงตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งหายลับตัวไป ทุกคนยืนคอย ต่างแหงนดูด้วยสีหน้าระทึกมากๆ ปู่กลับเองก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหลังม่านที่แอบดู
สักพักหนึ่งอนงค์วดีวิ่งกลับลงมา ยืนนิ่ง มองดูแต่ละคน สีหน้าทุกคนหวั่นไหว เหมือนรู้คำตอบ
“คุณเชษฐาไม่อยู่ในห้อง” อนงค์วดีบอกเสียงสั่น
เกษลดายกมือปิดปากเหมือนจะร้องแต่ยังไม่มีเสียง

ทุกคนตกใจในสีหน้า ปู่กลับ ใจสั่นระรัว...สีหน้าหวาดหวั่น

หลังจากนั้นไม่นาน ปู่กลับถือตะเกียงเดินงกเงิ่นเข้าบ้านสีหน้าทุกข์ทน ชายชราวางตะเกียง เห็นแสงไฟวูบวาบๆ ไปทั่วห้อง

“อีทิ้ง เอ็งโชคดีไปผุดไปเกิดแล้ว ไม่เหมือนคนที่ต้องอยู่ไปไหนไม่ได้ รวมทั้งข้าด้วยถึงข้ายังไม่ตายแต่ก็เหมือนตายแล้ว อยู่กับผีมาตั้งห้าหกสิบปี อยากตายก็ไม่ตายเสียที”
ปู่กลับน้ำตาซึม ป้ายซ้ายป้ายขวา สะอื้ฮักๆ
“แล้วนี่ทุกอย่างจะเกิดอีกเหมือนเก่า วงล้อกรรมจะหมุนมาที่เดิมหรือไร อีทิ้งข้าทนเห็นมันเกิดอีกไม่ได้....ทนไม่ได้” ปู่กลับเสียงดังขึ้นอย่างอดไม่ไหว

สักครู่หนึ่งใต้ต้นไม้รกครึ้ม ปู่กลับพูดพลางเดินไปพลางอยู่บริเวณนี้
“คุณท่านคนใหญ่...คุณท่านคนใหญ่ อยู่ที่ไหน ออกมาด้วย ไอ้กลับไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
เสียงคุณประยงค์ ร้องไห้คร่ำครวญ แว่วๆ มา
“อยู่ทางไหน...” ชายชราหันไปมา “อย่าหลอกอย่าหลอนไอ้กลับเลย กราบล่ะขอรับ”
คุณประยงค์ปรากฎตัวขึ้นลางๆเลือนๆ
“ออกมาเถิด...ออกมาบอกไอ้กลับหน่อยว่าคุณท่านจะไปทำกับท่านเจ้าคุณเหมือนที่เคยทำมาแล้ว”
คุณประยงค์ มีกิริยาน่าสงสาร เสียใจหนักร้องไห้ไม่หยุด
“ไอ้กลับไม่เชื่อคุณท่านคนใหญ่ อย่าล่อหลอกให้ตายใจคราวที่แล้วก็ล่อหลอกพาท่านไป แล้วก็ฆ่าท่าน...”ปู่กลับเสียงดังขึ้นอีก “อีทิ้ง....อีทิ้งอยู่ที่ไหน มาช่วยข้าด้วย”
คุณประยงค์ก้มหน้านิ่ง ด้วยกิริยาของผีที่โศกเศร้า ปู่กลับร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำมูกน้ำตาเปรอะเต็มหน้า
สักครู่หนึ่งคุณประยงค์เงยหน้าแล้วหันมาหา “ไอ้กลับ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เอ็งเชื่อข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณท่านไม่ตั้งใจหรือขอรับ” ปู่กลับหัวเราะเยาะหยัน “จะให้ไอ้กลับเชื่อ คุณท่านไปพาท่านเจ้าคุณกลับไปคืนเขา คืนเขาไป”
คุณประยงค์สะอื้น
“ท่านเป็นคน คุณท่านเป็นวิญญาณ” ปู่กลับจ้องเขม็ง
คุณประยงค์เหลียวมาสบตา
ปู่กลับบอกต่อเน้นเสียงหนักแน่น “สมสู่กันไม่ได้”
คุณประยงค์สะอื้นแรงจนตัวสั่นสะท้าน ร่างคุณประยงค์กลายเป็นร่างผีที่น่ากลัว ก้มหน้า ผมเผ้าปิดหน้า แลดู
น่าสงสาร ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ดังกังวาน ปู่กลับเห็นก็หมอบลง ท่าทีเศร้าซึม อดนึกสงสารไม่ได้ จนนึกไปถึงเรื่องราวในอดีต

เหตุการณ์หลังจากแม่อรท้อง ทุกคนรับรู้กันทั่ว คุณประยงค์ร้องไห้ขมขื่นใจเหลือแสนอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องรโหฐานของคฤหาสน์ ภาพเจ้าคุณกับแม่อร แสดงความรักใคร่ใกล้ชิดกันผุดขึ้นมาหลอกหลอน
อีทิ้งเดินเข้ามา น้ำตาคลอเต็มหน้า ร้องเรียก “คุณท่านคนใหญ่เจ้าขา”
คุณประยงค์หันมา น้ำตาเต็มตา โผเข้าสู่อ้อมแขนอีทิ้ง
“ทูนหัวของบ่าว....อย่าร้องนะเจ้าคะ”
คุณประยงค์สะอึกสะอื้น “ทิ้ง...ช่วยข้าด้วย ข้าจะทำยังไงดีทำไมเจ้าคุณทำกับข้าอย่างนี้”
“คุณท่านไม่ต้องไปใยดี หนุ่มๆทั่วพระนครใครๆก็หมายปองคุณท่าน”
“ทิ้ง พูดอะไร ข้าอยู่กินออกเรือนกับท่านเจ้าคุณแล้วนะ”
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณไม่น่าทำอย่างนี้เลย คุณท่านเจ้าคะ...ทำไมไม่ท้องล่ะเจ้าคะ ปล่อยให้อีนังคุณนายบ้านนอกมันท้องขึ้นมาได้ยัง”
“ข้าก็ไม่รู้ ท่านกลับไปเรือนท่านน่ะ ใกล้สางทุกวันนะ”
อีทิ้งตบเข่าฉาด “แล้วยังท้อง เหม่....มันคงยั่วยวน...”
คุณประยงค์ปริเวทนา แทบจะด่าวดิ้นสิ้นใจ

อีกมุมในคฤหาสน์ แม่ลูกคุยกันอยู่
“เจ้าคุณพ่อท่านผิดหวังมาก อยู่แต่ในห้องไม่อยากพูดกับใคร” ท่านผู้หญิงเอ่ยขึ้น
“ลูกจะไปหาท่าน” คุณประยงค์ผุดลุกขึ้น
“อย่าเลยลูก...อย่าเพิ่ง”
คุณประยงค์ค่อยๆ ลดตัวลงนั่ง
“แม่ประยงค์ เชื่อเรื่องบุญวาสนาต่อกันมั้ยลูก เขาทำบุญร่วมกันชาติปางก่อนทั้งเด็กที่อยู่ในท้องแม่อรนั่นด้วย แม่ประยงค์อย่าคิดแข่งบุญแข่งวาสนากับเขาเลย”
คุณประยงค์นิ่งงันไป
“แม่ประยงค์เกิดมาอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง ถือว่าลูกแม่ทำบุญกุศลไว้แรงส่งมาถึงชาตินี้ แม่ประยงค์ควรจะพอใจแค่นี้นะลูก แค่นี้ผู้หญิงทั้งพระนครก็ริษยาตาร้อนลูกของแม่กันเป็นการใหญ่แล้ว”
คุณประยงค์ยังคงนิ่ง นัยน์ตาชอกช้ำ
“ถึงไม่ใช่คุณหญิงรับตรา แต่แม่ประยงค์ก็เป็นเมียผู้ชายที่ลูกรัก มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงกว่าเหรียญตราหรือลูก”
คุณประยงค์โต้เถียงด้วยเสียงเจือสะอื้น “แม่อรจะเชิดหน้าชูตาเจ้าคุณได้อย่างไร ท่านรับราชการใหญ่โตสมควรได้คุณหญิงที่ออกสมาคมได้...”
ท่านผู้หญิงอึ้ง เถียงไม่ออก
“ลูกอยากทำหน้าที่นั้น ในชีวิตของลูกลูกอยากเห็นพ่อปราชญ์ก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองในราชการไปถึงตำแหน่งสูงที่สุด ลูกหวังไว้ว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ส่งเสริมเขาทุกวิถีทาง”
ท่านผู้หญิงทอดถอนใจใหญ่ ตอนนี้ได้แต่สงสารลูก
คุณประยงค์ไม่มีอารมณ์จะโต้เถียงแม่ เศร้าเกินกว่าจะทำ
“แม่ประยงค์ ฟังแม่นะลูก ในเมื่อมันไม่เป็นอย่างที่เราหวัง ลูกต้องตัดใจถือว่ามีวาสนาต่อกันแค่นี้”
“พอใจแค่เป็นเมียสองอยู่ในเรือน...ใช่มั้ยคะคุณแม่”
ท่านผู้หญิงแย้มมีสีหน้าเป็นเชิงตอบรับ

คุณประยงค์นั่งนิ่ง นัยน์ตาแห้งแล้งเหลือเกิน ความทุกข์แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าหมองนั้น

 
อ่านต่อหน้า 4

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 12 (ต่อ)

สองนายบ่าวคนกะผีอยู่ในภาพอดีตที่เคยมีร่วมกันพักหนึ่ง ในที่สุดคุณประยงค์ก็เอ่ยขึ้น

“ไอ้กลับ ข้าขอเอ็งนะ”
“ไม่ได้ขอรับ คุณท่านคนใหญ่พาท่านเจ้าคุณกลับคืนมาเถิดขอรับ ก่อนที่เรื่องจะยุ่งไปกันใหญ่”
“ข้าขอตัวท่านไว้ไม่นาน ท่านยังมีเรื่องต้องชำระสะสางกับข้า ไอ้กลับกรรมของใคร ใครกระทำไว้ต้องรับผลกรรมนั้น”
ปู่กลับย้อนขมขื่นขุ่นข้องยิ่งนัก “แค่นี้ยังไม่พอหรือขอรับคุณท่านคนใหญ่ ยังทุกข์ทรมานไม่พอหรือ”
“ยัง....กรรมของท่านยังดำเนินไปไม่จบ”
ปู่กลับตะโกนก้อง “แล้วกรรมที่คุณท่านทำกับท่านเจ้าคุณล่ะขอรับ”
“ข้ารับกรรมอยู่นี่ไง ไอ้กลับ” คุณประยงค์เสียงดังบ้าง “เอ็งไม่เห็นรึว่าข้ากำลังรับกรรมนั้นอยู่...กี่สิบปีแล้ว”
ปู่กลับบอก “ก็พอสิขอรับ...พอ พอได้แล้ว ทำอีกทำไม”
คุณประยงค์โกรธเงื้อมือ “ขึ้นเสียงกับข้ารึไอ้กลับ ไอ้กำเริบ”
ปู่กลับยืนนิ่งเฉย สีหน้าอึดอัด เจ็บใจอยู่ลึกๆ มองหน้าคุณประยงค์แน่วนิ่ง คุณประยงค์ ลดมือลง
ปู่กลับหันหลังกลับบ่นบ้าตามประสา “อยากตาย....ก็ไม่ตายเสียทีอีทิ้งเอ็งอยู่ที่ไหนมารับข้าไปด้วยเถิด”
คุณประยงค์ตะโกนตามหลัง “มึงเห็นหรือไม่ไอ้กลับว่ากูโดนกระทำอย่างไร...”
เสียงของคุณประยงค์ก้องกังวานสะท้อนไปมา

ด้านอนงค์วดียืนจ้องหน้าห้องรูปคุณประยงค์ จ้องใบหน้าดุของคุณชวดแน่วนิ่ง
“คุณชวดประยงค์คะ หนูทราบนะคะว่าคุณชวดได้ยินหนู หนูอยากให้คุณชวดทราบว่าสิ่งใดก็ตามที่หนูทำให้คุณชวดไม่พอใจ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน หนู....หนูกราบขออโหสิกรรม เพื่อที่คุณชวดจะได้ไปเกิดในโลกมนุษย์อีก หนูขอให้คุณชวดพบความรักที่แท้จริง พบคู่ที่เป็นคู่แท้คุณชวดจะได้ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนขณะนี้
อนงค์วดีพนมมือ ทรุดตัวนั่ง แล้วไหว้ คุณประยงค์จ้องที่อนงค์วดี...ความรู้สึกปั่นป่วนรวนเร อนงค์วดีเงยหน้ามองคุณชวด เห็นคุณประยงค์จ้องตอบอยู่สักครู่จึงเมินไปหน้านิ่งเฉยสนิท
อนงค์วดีอ้าปากค้าง ร่างกายดูเหมือนจะแข็ง...ช็อคไปทั้งตัว
“คุ....คุณ....ชวด อยู่ตรงนี้ตลอดเวลาหรือคะ”
คุณประยงค์กลายเป็นภาพวาดไปแล้ว
“หนูจะทำบุญให้คุณชวดนะคะ หนูจะทำบุญให้มากๆ”

อนงค์วดีเดินมาหานวลกับสม ยืนคอยอยู่ใกล้ๆ
“นวล สม...ไม่เจอ...ไม่ต้องเสียงดังนะ ไม่อยากให้รู้กันทั่ว”
“ค่ะ คุณอนงค์คะ หาทุกแห่งเหมือนครั้งที่แล้ว” นวลบอก
“หนูชวนคนสวนไปหาห้องที่เคยไปหาค่ะ...ไม่พบ” สมว่า
อนงค์วดีอึ้งไป “ไม่พบเหรอ...”
“ผีมาเอาไปหรือคะ” นวลท่าทางกลัวๆ
“นวล สม ถ้าที่นี่มีผีจริงๆ นะ ทั้งสองคนเชื่อเถอะว่าท่านไม่ทำอะไรทั้งนวล ทั้งสมสบายใจได้”
“ก็ยังกลัวค่ะ” สมบอก
“ฉันเห็นใจ ก็แล้วแต่นะฉันบอกได้แค่นี้”
สองคนยืนหน้าเสีย
“ไม่เป็นไร เลิกหาได้แล้ว ถ้าคุณเชษฐากลับมาก็จะกลับมาเอง”

ตึกทั้งหลัง ตกอยู่ในความมืดสลัวยามค่ำคืน เชษฐายังนอนสลบอยู่ภายในห้องอันมืดสนิท
คุณประยงค์นั่งจ้องเชษฐา “ทำไมมันถึงท้องกับเจ้าคุณได้ ทำไมฉันถึงไม่ท้อง....ฉันรู้ใจเจ้าคุณทุกอย่าง รู้ไหมฉันเสียใจหนักแค่ไหน แทบไม่เป็นผู้เป็นคน เจ้าคุณพ่อท่านเสียใจจนล้มเจ็บ....เจ็บหนัก”

ในเวลาเดียวกัน อนงค์วดี และปิ่นสุดาคุยกันอยู่ในห้องนอนอนงค์วดี
“ยายหนู ทำไมหนูถึงนิ่งดูดาย ไม่ตามคุณเชษฐาหรือ”
“คุณชวดไม่ทำอะไรคุณเชษฐาหรอกค่ะ” อนงค์วดีมั่นใจ
ฟากคุณประยงค์ตบหน้าเชษฐาฉาดใหญ่ ด้วยกิริยาธรรมดาๆ ไม่ดุร้ายหรือเหี้ยมโหด
“คุณไม่สงสารท่านเลยหรือ ท่านมีบุญคุณกับคุณมากนะ จำได้มั้ยคุณแม่พูดคุณก็ยังยืนยันไม่ยอม”

เหตุการณ์ในตึกสิงหมตรี เมื่อครั้งอดีตผุดขึ้นมา ท่านผู้หญิง และเจ้าคุณคุยกันอยู่ในห้องโถง
“เจ้าคุณอักษร ฉันพูดตรงๆ นะว่าฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ฉันจะพูดต่อไปนี้เลย”
“ขอรับท่านผู้หญิง กระผมคอยฟัง”
“ท่านเจ้าคุณพ่อของแม่ประยงค์ ฝากให้บอกเจ้าคุณว่า ตำแหน่งคุณหญิงของเสนาบดีต้องเป็นคนที่มีบารมี ปกครอบบ่าวไพร่ได้รอบรู้เรื่องเข้าสังคม และต้องอายุไล่เลี่ยกับเจ้าคุณเด็กขนาดแม่อรท่านเกรงว่าจะทำหน้าที่ไม่ได้ดี”
เจ้าคุณนิ่งฟัง
“ท่านว่า ท่านเมตตาเจ้าคุณมาตั้งแต่เจ้าคุณเข้ามาอยู่บ้านนี้ ท่านอยากให้เจ้าคุณมีหน้ามีตาไม่อายใคร”
เจ้าคุณยังนิ่ง แต่สีหน้ากังวลใจลึกๆ
“ท่านขอให้เจ้าคุณคิดดูให้ดีๆ สำหรับแม่อรท่านจะดูแลไม่ให้แม่ประยงค์เกะกะระราน แม่อรจะอยู่ในตำแหน่ง “นายอร” ของคนทั้งบ้านทุกคนต้องเคารพยำเกรง”
เจ้าคุณนิ่ง
ท่านผู้หญิงรู้ท่าทีว่าคงโน้มน้าวให้เจ้าคุณคล้อยตามยาก “เอาล่ะ ฉันยังไม่เร่งรัดคำตอบเจ้าคุณไปคิดดู”
เจ้าคุณไหว้ “เป็นพระคุณของท่านผู้หญิงขอรับ กระผมจะตรึกตรองอย่างรอบคอบ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายกระผมนับถือทั้งคู่”
“ดีแล้ว ฉันเองค่อนจะเข้าข้างเมียหลวง”
เจ้าคุณยิ้มออกนิดๆ ท่านผู้หญิงบอกอีกคำ

“แต่เจ้าคุณอย่าเอาเป็นอารมณ์ ตัดสินใจด้วยตัวเอง”

คิดขึ้นมาแล้วคุณประยงค์ก็โมโห ซัดเข้าไปอีกเปรี้ยง นิ่มๆ ตรงๆ
“ตรึกตรองอย่างรอบคอบ เชอะ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบของเจ้าคุณน่ะ...ฉันรู้...รู้เต็มอกว่าเจ้าคุณทำอะไร”

อีกเหตุการณ์ผุดซ้อนขึ้นมาต่อเนื่อง เป็นตอนที่เจ้าคุณประคองแม่อรซึ่งท้องอยู่ ทันทีที่ห้องประตูปิดลง อีย้อยยอดนักสืบปราดออกมาจากมุมหนึ่ง ไปแนบหูแอบฟังทันที

สองคนคุยกันอยู่ในห้อง แม่อรเอ่ยขึ้น

“คุณพี่คะ น้องไม่รับนะคะ ตราคุณหญิง”
“ทำไมหรือ”
“น้องกลัวค่ะ”
“กลัวอะไรหรือแม่อร”
“กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี น้องเป็นชาวบ้านไม่คุ้นเคยพิธีการของชาวเมือง”
“จะให้พี่ทำยังไง แม่อรจะมีลูกให้พี่นี่จ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อยคุณประยงค์เธอก็ต้องมีลูกให้คุณพี่เหมือนกัน ให้เธอรับตราไปนะคะ”
เจ้าคุณยิ้มน้อยๆ
“คุณพี่คะ น้องกราบ” แม่อรกราบลงที่เข่า “น้องไม่อยากเป็นคุณหญิง ถ้าคุณพี่ให้น้องเป็นคุณหญิง ถ้าคุณพี่ให้น้องเป็นคุณหญิงน้องขอกราบลาไปเลี้ยงลูกที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
เจ้าคุณหัวเราะ “เอาอย่างนั้นเชียวหรือ”
“ค่ะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” เจ้าคุณเชยคางแม่อรขึ้น “ทำไมถึงจะหนีพี่ไปเสียล่ะ ไม่รักพี่แล้วหรือแม่อร”

คุณประยงค์ ตวัดมืดไปอีกฉาด โดยเชษฐานั้นไม่รู้ตัว หลับสนิทตลอดเวลา
“สันดานผู้ชาย เหมือนไม้เลื้อย อยู่ที่ไหนพันที่นั่น ไม่หยุด ไม่อิ่ม ฉันอยากจะรู้ว่าใครสร้างผู้ชายให้กดขี่ข่มเหงผู้หญิงอย่างนี้” คุณประยงค์พูดไปด้วยความคั่งแค้น น้ำตาคลอ “แล้วใคร...ใครสร้างผู้หญิงให้ต้องตกเป็นทาสของผู้ชาย ไม่เป็นทาสด้วยกำลังแรงกาย ก็เป็นทาสด้วยร่างกาย นี่...ร่างกายนี้ ผู้ชายจะกระทำย่ำยีร่างกายผู้หญิงยังไงก็ได้จะเมื่อไหร่ก็ได้ จะกี่คนก็ได้”
คุณประยงค์พูดไปก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจใหญ่หลวง
“เพราะอะไร เพราะพวกผู้หญิงยอม อย่างที่ฉันยอมเจ้าคุณ....ยอมทุกอย่าง” พูดถึงตอนนี้ร่างกายคุณประยงค์ดูเหมือนอ่อนปวกเปียก เซซวนลงกับพื้น “ยอมให้เจ้าคุณย่ำยีทุกอย่างฉันเป็นทาสของเจ้าคุณ เพราะฉันรักเจ้าคุณ ฉันรักเจ้าคุณ”
น้ำคำประโยคสุดท้ายอ่อนละโหย พร้อมๆ ร่างกายที่ทรุดลงเหมือนกองอยู่กับพื้น

ย่าน้อยรับรู้ความเป็นไป เอ่ยออกมาด้วยความสงสาร
“โธ่เอ๋ย...คุณอาเจ้าขา นี่คือกรรมของผู้หญิงสิงหมนตรีหรือคะ”
ภาพอดีตแห่งความทุกข์ขมของตัวเองผุดขึ้นมา
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่กลางบึงบัว หลวงขจรพายเรืออยู่ คุณน้อยกางร่ม อีช้อยบ่าวคุณน้อยนั่งคอยที่ริมฝั่ง
หลวงขจรมองสบตาอย่างซาบซึ้ง
“แม่จรินชอบนั่งเรืออย่างนี้มั้ยคะ” คุณน้อยถาม
“ผมไม่เคยพาหล่อนมานั่งเรือเล่นเลย”

อีช้อยดูต้นทาง คุณน้อยตาม แต่เดินๆ มาสองคนต้องตะลึง เมื่อพบว่า พ่อ กับ แม่ คุณปั้นและแม่มณี ยืนคอยอยู่

ครู่ต่อมาประตูห้องเปิดออก คุณปั้นส่งคุณน้อยเข้าห้อง เสียงดังเด็ดขาด
“กักแม่น้อยอยู่ในห้อง ไม่ให้ออกมาจากห้องเป็นอันขาด 10 วันนับจากนี้ไป”
คุณน้อยครวญ “คุณพ่อเจ้าขา”
“ไม่มีการอ้อนวอน ทำผิดต้องยอมรับผิด”
แม่มณีท้วง “คุณพี่คะแค่สั่งสอนซัก....เอ้อ 3 วัน...”
คุณปั้นขัดเสียงเข้ม “10 วัน” แล้วเดินไปทันที
“แม่น้อย อดทนแล้วกัน” แม่มณีปลอบ
“พ้นจาก 10 วัน แล้วลูกจะหนีไปพบเขาอีก” คุณน้อยบอกเสียงแข็ง
แม่มณีทนฟังไม่ได้ ปิดประตูอย่างแรง
“โธ่ คุณน้อย ทำไมพูดอย่างนั้นเจ้าคะ” อีช้อยท้วง
“ข้าขอให้เขามาหาที่บ้านก็ไม่ยอม ข้าก็ต้องออกไปหาเขา แค่พายเรือเล่นเอ็งก็เห็นนังช้อย ใช่ว่าข้าไปทำการอะไรที่น่าอับอาย ขังข้าตั้ง 10 วัน....เกินไป”
“จะไปรับอาหารจากเรือนครัวนะเจ้าคะ”
“เอามาสิ....แต่ไม่กิน”
“โธ่เอ๋ย”
“วอนรึ....เดี๋ยวกูปา” คุณน้อยเงื้อกระปุก “หัวแตกล่ะมึง”
อีช้อยรีบไปอย่างรวดเร็ว ปิดประตูเสียงดังก้องกังวาน คุณน้อยคับแค้นใจมาก

เล่าเรื่องราวให้วิญญาณหลานฟังมาถึงตอนนี้ ย่าน้อยเอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ
“แต่คุณอาประยงค์มาช่วยอานะ ลูกสวาสดิ์”
“จริงหรือคะ หนูไม่เชื่อหรอก” ผีผมจุกว่า
“เธอมาช่วย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธอกำลังโศกเศร้าเรื่องของเธออย่างหนัก”
“หาพวกมั้งคะ คุณอา...”
คุณสวาสดิ์พูดได้เท่านั้นก็ต้องร้อง “โอ๊ย” ออกมา เพราะโดนมือคุณประยงค์ดึงหัวจุกจนเกือบคะมำ แล้วแรงลมก็วูบไปที่ห้องรูป คุณประยงค์ปรากฏอยู่ในท่าเดิม
“มาพอดี๊...พอดี” คุณสวาสดิ์ว่า
“เป็นยังไงลูกสวาสดิ์” ย่าน้อยถาม
“โดนดึงจุกค่ะ...คุณย่าประยงค์ช่วยยังไงหรือคะคุณอา” คุณสวาสดิ์ซักต่อ

ย่าน้อยเล่าเรื่องราวในอดีตต่อ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ห้องคุณน้อย
อีช้อยเคาะประตู สักครู่คุณน้อยเปิดให้
“ไปไหนมาฮะ อีช้อย เป็นนานสองนาน”
“มีคนมาช่วยคุณน้อยแล้วค่ะ”
“ข้าไม่เชื่อ ใครจะมาช่วยข้า”
คุณประยงค์เดินเข้า
คุณน้อยแปลกใจระคนดีใจ “อุ๊ย คุณอา...คุณอาจริงๆ ด้วย คุณอามาช่วยหลานหรือคะ”
“ฉันจะมาทำไมถ้าไม่ช่วยหล่อน”
“คุณอาทำยังไงคะ” สีหน้าคุณน้อยตื่นเต้นมากๆ

คุณประยงค์อยู่ตรงมุมหนึ่งในตึก พร้อมด้วยคุณปั้น และแม่มณี คุณประยงค์มองพี่ชายกับพี่สะใภ้
“พี่ปั้น เคยมีความรักมั้ย” น้ำเสียงคุณประยงค์ฟังดูอ่อนโยน
คุณปั้นฉุนเฉียว “แม่ประยงค์ ถามอะไรอย่างนั้น”
“ถามให้รู้...อยากรู้ คุณพี่มณีล่ะคะ”
แม่มณีตัวสั่นด้วยเกรงกลัวคุณประยงค์เป็นทุน “ค่ะ คุณประยงค์”
คุณประยงค์ย้อนถาม “ค่ะ...คืออะไรคะ”
แม่มณีอึกอัก “คือ....เอ้ย....มี”
“มี...ใช่มั้ยคะ? ทั้งพี่ปั้นทั้งคุณพี่มณี อย่าลงโทษแม่น้อยอย่างนั้นเลยนะคะ เพราะพอพ้นโทษแม่น้อยก็ทำใหม่ คุณพี่ทั้งสองมิต้องทำโทษไปจนตาย” คุณประยงค์ทอดเสียงพร้อมกับยิ้มนิดๆ “หรือคะ”
คุณปั้นไม่พอใจ “แม่ประยงค์ หลานสาวหล่อนทำผิดหนักหนา ผู้หญิงดีๆ ใครเขาทำ”
“แม่น้อยไม่ได้ไปคนเดียว อีช้อยก็ไปด้วย คุณพี่จะกลัวอะไรคะ”

คุณประยงค์ฟังอยู่ด้วย จดจำได้ดี หันมาทางย่าน้อย
“นั่นแหละ ฉันพูดให้หล่อนแค่นั้นแหละ ไม่ใช่อะไรใหญ่โตหล่อนไม่ต้องกระแดะทำโอดแบบนั้น”
“น้อยขอบพระเดชพระคุณ ไม่อย่างนั้น 10 วันคือ นรก”
“ฉันเห็นใจคนกำลังรัก พิษมันแรงกล้านัก หักยังไงก็ไม่หลุด”
“โถ คุณอาเจ้าขา คุณอาเองก็กำลังผิดหวังโศกเศร้า”
“ก็เอาเถอะ...จะผิดหวังโศกเศร้ายังไง ฉันก็ยังไม่ตาย ยังอยู่ช่วยหล่อนได้”
“เรื่องของคุณอาล่ะคะ ใครช่วย”
“จะมีใคร ฉันก็ช่วยตัวเอง น่ะสิ” คุณประยงค์บอก

อยู่มาวันหนึ่ง อีทิ้ง อีอุ่น หอบข้าวของมาที่เรือนแม่อรอีกแล้ว สองบ่าวนักสืบวางของให้แม่อรเป็นผ้าแพร สีสวย
“คุณท่านคนใหญ่ให้เอา ส้มสูกหยูกยา มาให้แม่อร ไม่งั้นลูกในท้องอาจจะผอมแห้งเป็นที่ระคายเคืองกับนัยน์ตาคุณพ่อ คุณปู่ คุณย่าค่ะ” อีทิ้งบอก
“เรียนคุณประยงค์ว่าฉันขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่เธอเมตตา”
“เฮอะ จะหวังอะไรก็ไม่รู้” เกดลอยๆ แล้วลุกเดินหายเข้าห้องไป

อีกมุมหนึ่งที่เรือนแม่อร เกดถูกเจ้าคุณดุเอา
“เอ็งมันหาเรื่อง ถ้าเธอโกรธขึ้นมาเธอทำได้ทุกอย่างนะนังเกด เอ็งอย่าหาญท้าทายบารมีเธอ”
“เอาเถอะถ้าไม่เชื่ออิฉันก็คอยดูกันต่อไป”
“เอ็งมันฟุ้งซ่านนะเกด คนเขาดีมีน้ำใจต่อกันเอ็งอิจฉาเขาล่ะสิ ไปให้พ้นเลยข้าไม่ฟังเอ็งหรอก”
เกดรู้สึกกดดันพูดเร็วรัว “ท่านคิดว่าเมียคนหนึ่งจะดีกับเมียอีกคนที่ท้องได้หรือเจ้าคะ ในเมื่อตัวเองก็อยากท้องเหมือนกัน”
“มี...คุณประยงค์ไง”
เกดแดกดันทันที “ฮึ...เจ้าคุณมีนัยน์ตาหามีแววไม่”
“เอ๊ะ นังเกด กำเริบใหญ่นะเอ็ง”
“อิฉันพูดจริง ถ้าจะมีล่ะก็มีคนเดียวเจ้าค่ะ”
“ใคร...เอ็งล่ะสิ”
“ใช่....อิฉันนี่แหละเจ้าค่ะไม่ใช่คุณประยงค์”
เจ้าคุณหัวเราะขำเกด
“หัวเราะอะไรเจ้าคะ”
“ข้าหัวเราะเอ็งนั่นแหละ ถามจริงๆ เอ็งรักข้าหรือไม่เกด”
เกดมองหน้าเจ้าคุณช้าๆ ความรักที่อัดแน่นมานานวันอยู่ในอก
เจ้าคุณรับรู้ครางเบาๆ ด้วยความเวทนา “เกด เอ็งรัก แล้วเอ็งไม่เสียใจเลยรึ”
“อิฉันรักท่านไม่เคยรักใครมาก่อนรักท่านเป็นคนแรกแล้วก้อจะไม่รักผู้ใดอีกในชาตินี้ ตั้งแต่วันที่ท่านไปรับราชการที่พิษณุโลก คุณหลวงบิดาคุณอรมอบหมายให้อิฉันเป็นบ่าวท่านดูแลปรนนิบัติท่าน ทั้งๆที่รู้ว่าคุณหลวงหมายมั่นให้ท่านเป็นลูกเขย อิฉันก็ยังภักดีต่อท่านไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่เคยคิดใฝ่สูงแทนที่ใคร” เกดบอกหนักแน่น
เจ้าคุณใจอ่อน มองเกดอย่างสงสาร
“วันหนึ่ง ท่านก็ลดตัวรับบ่าวอย่างอีเกดเป็นเมีย สำหรับอิฉันเหมือนยาจกได้ไปเยี่ยมวิมานชั่วครั้งชั่วคราวก็ต้องลงมาอยู่พื้นดินตามเดิม”
เจ้าคุณเหน็บ “เอ็งมันเจ้าคารี้สีคารมจริงๆ”
“ก็แค่จดจำพวกท่านๆ คุยกัน อิฉันไม่กำเริบเสิบสานที่จะอยู่บนวิมานตลอดไปหรอกเจ้าค่ะ เพราะอิฉันจงรักภักดีเจ้าของวิมานตัวจริงเพราะเธอเป็นคนซื่อ เธอน่าสงสารเธอรักเจ้าคุณจริงใจ เธอจึงยอมทุกอย่างๆที่เธอมีสิทธิ์ เพราะเธออยากให้เจ้าคุณมีสุข ตัวเธอจะระกำช้ำใจแค่ไหนเธอก็ยอมทน”
“ข้าไม่โง่นะข้ารู้”
“เจ้าคุณไม่โง่เจ้าค่ะ เจ้าคุณแค่ตาบอด” เกดย้ำ
“เออ...เอ็งคอยดูไปแล้วกัน”

อีกมุมหนึ่งในอีกวันหนึ่งเมื่อครั้งอดีต
เจ้าคุณยืนยันความคิดที่จะให้แม่อรรับตราตั้ง และมาบอกการตัดสินใจกับคุณประยงค์
“เจ้าคุณคะ อิฉันขอให้เจ้าคุณคิดอีกครั้ง”
“คุณประยงค์ครับ ผมรักคุณประยงค์เป็นที่สุด ขออย่าเอาของนอกกายมาเป็นเครื่องกีดขวางความรักของเราเลยนะครับ”
“เจ้าคุณต้องก้าวหน้าได้ดีมีวาสนายิ่งๆ ขึ้นไป ขอให้อิฉันเป็นพรมที่ปูลาดให้เจ้าคุณเดินไปอย่างราบรื่น ด้วยบารมีเจ้าคุณพ่อด้วยตัวของอิฉันเอง อิฉันตั้งใจแล้วจะทำทุกอย่างให้เจ้าคุณก้าวไปไกลที่สุดเหมือนที่อิฉันทำมาแล้ว...”
เจ้าคุณจ้องหน้านิ่ง “คุณประยงค์ไม่ได้ลำเลิกใช่มั้ยครับ”
“อิฉันจะเสียใจมากถ้าเจ้าคุณคิดอย่างนั้น เป็นความสัตย์จริงอิฉันคิดแต่เพียงจะทำอย่างที่ตั้งใจตั้งแต่วันแรกที่พ่อปราชญ์ก้าวเข้ามาในบ้านนี้”
“แม่อรไม่ได้ปรารถนาตำแหน่งใดๆ เป็นผมเองที่จำเป็นต้องยุติธรรม ผมลั่นวาจาแล้วไม่อาจกลับคำหาไม่ต่อไปแม้แต่คุณประยงค์ก็ไม่เชื่อถือผม”

คุณประยงค์อยู่ในห้องนอน สีหน้าหมองเศร้าแววตาเจ็บช้ำเสียใจล้ำลึก ปาดน้ำตาเต็มแรง แล้วสายตาก็เริ่มวาววาบ แค้นขึ้น...แค้นขึ้น อีทิ้ง เตะประตูเข้ามา
“อีทิ้ง ไปไหนมาข้าคอย” เสียงคุณประยงค์ละห้องโหย เหมือนคนไร้ที่พึ่ง
อีทิ้งมองคุณท่านคนใหญ่ของมัน ด้วยความสงสาร “โถ ทูนหัวของบ่าว อย่าเสียใจมากเลยนะเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณรักคุณท่านคนใหญ่มากกว่าใคร รักแรกนะเจ้าคะลืมไม่ง่ายหรอกเจ้าค่ะ”
คุณประยงค์หัวเราะได้นิดหน่อย จิ้มหน้าผากอีทิ้ง “เอ็งมันโชคดี ไอ้กลับมันเคยมองใครล่ะ...ไม่เคยเห็นเลย”
“แหมก็ทิ้งเป็นรักแรกของพี่กลับเค้านี้เจ้าคะ” อีทิ้งฉอเลาะ
“มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่มีรักแรก รักแรกที่เป็นรักสุดท้าย” คุณประยงค์ถอนใจด้วยความสะเทือนใจจนน้ำตาออกมาคลอๆ
“ผู้ชายไม่มีหรือเจ้าคะ”
“เอ็งคิดว่ามีมั้ยล่ะ” คุณประยงค์เสียงแตกพร่า
“เจ้าค่ะ” อีทิ้งหน้าเสียใจหาย เมื่อเห็นน้ำตาคุณประยงค์
คุณประยงค์ลุกไปหยิบตะกร้า มีห่อยาสมุนไพรหลายห่อสำหรับคนท้องที่เตรียมจะให้อีทิ้งนำไปให้แม่อร
“ให้ต้มกินเรื่อยๆ จะคลอดง่าย” คุณประยงค์กำชับ
“เจ้าค่ะ” รับจะออกไป เหลียวมามองเห็นจากด้านหลังคุณประยงค์ตัวโอนเอนไปมา
อีทิ้งเหวี่ยงตะกร้ากระเด็นไป เข้ารับตัวคุณประยงค์ที่เอนซวนเซ
“คุณท่านคนใหญ่”

ครู่ต่อมาอีทิ้งจ่อยาลมที่จมูกคุณประยงค์ สักพักคุณประยงค์ลืมตามองมา อีทิ้งมองตอบด้วยนัยน์ตาซื่อสัตย์ เป็นห่วงนายสุดหัวใจ

คุณประยงค์ร้องไห้เงียบๆ น้ำตาไหลมาเรื่อยๆ อีทิ้งนั่งจับเจ่าชันเข่ามองจ้อง สงสารทูนหัวของมันเหลือเกิน

 
อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น