อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 12
ทางด้านคิมหันต์คิดหนัก ท่าทางไม่สบายใจเอามากๆ
"คุณบุรินทร์หวังดี ไม่อยากให้พวกผมเดือดร้อน แต่..มันก็อาจจะไม่แฟร์กับกำนันถ้าพวกผมไม่เริ่มไว้ พวกเค้าก็คงทำเรื่องเลวๆนั่นไม่สำเร็จ"
"คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ พอเรื่องถึงกำนันแล้ว เค้าก็คงซัดทอดมาทางพวกคุณอยู่ดีเก็บแรงเอาไว้เตรียมรับมือตอนนั้นดีกว่า"
คิมหันต์อึ้งไปเพราะที่เมขลาพูดมันก็จริง
"กลัวรึเปล่าคะ" เมขลาค่อยๆแตะบ่าคิมหันต์ "คุณ..ยังมีเพื่อน มีคนที่เข้าใจคุณอยู่นะคะ"
"ครับ...”
คิมหันต์กุมมือเมขลาที่ปลอบใจเขาอยู่เอาไว้ แม้ในหนทางที่ดูอันตรายเขาก็ยังพบความอบอุ่นใจเมื่อเลือกทางเดินดีๆ
ฟองคำตรวจดูชั้นวางของฝากจากไร่ เธอชี้ให้เด็กเติมของให้เต็มชั้นวาง ในขณะที่สิน หนานปิง และสิงห์คุยกันอยู่
"แหม ตอนนังหนูพวกนั้นอยู่ ก็รู้สึกว่ามันวี๊ดว๊ายหนวกหู แต่พอไม่อยู่ก็ชักจะเหงาหูชอบกล" สินว่า
ฟองคำแซว "ถ้าพ่อคิดถึง โทรไปตามกลับมา น่าจะยังทัน"
"แหม..ล้อเล่นหน่อยเดียว พ่อจะคิดถึงใครล่ะจ๊ะ มีเมียที่แสนดีอยู่แล้วทั้งคน" สินบอก
"เสียดาย ผมอยู่ท้ายไร่ เลยไม่ได้เห็นตอนพวกเค้ากลับ" สิงห์นึกได้ "เอ๊ะ ถ้าสองคนนั่นไปแล้ว เท่ากับว่าเหลืออันยาลงแข่งอยู่คนเดียวน่ะสิ"
สินถามหนานปิง "นั่นสิ แล้วแบบนี้ จะให้หนูอันยาชนะไปเลยรึเปล่า"
สิงห์ สิน และฟองคำมองหนานปิงว่าจะเอายังไง หนานปิงนิ่งแต่ตาของเขาฉายแววว่ามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
หนานปิงบอกอันยา สิน สิงห์ และฟองคำที่อยู่กันพร้อมหน้า
"หมดคู่แข่งไปแล้ว ทีนี้เธอจะเอายังไงต่อ" หนานปิงถาม
ปุ๊กลุกชี้ตัวเองเพื่อบอกว่าฉันยังอยู่นะ แต่ก็ไม่มีใครสน
"เอายังงี้ดีมั้ยคะ ก็ให้ปลูกสตรอว์เบอร์รีต่อไปเหมือนเดิมนี่แหละ ถ้าหากว่าปลูกได้ผลผลิตดี พวกเราจะยอมรับ"
"ดีเลยจ้ะแม่" สินพูดเบาๆกับอันยา "จะได้ต่อเวลาง้อไอ้แสนอีกหน่อยด้วย"
อันยาดีใจที่สินเข้าข้าง
"ทุกคนคะ ใครว่าแม่นี่ เอ๊ย อันยาไม่มีคู่แข่ง หนูไงคะ ปุ๊กลุกยังอยู่ทั้งคน!” ปุ๊กลุ๊กบอก
"เธอไม่จำเป็นต้องแข่งนี่ ในเมื่อเธอบอกว่าลูกในท้องเป็นลูกของแสน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราก็คงไม่พรากลูกพรากพ่อจากกันหรอก" ฟองคำบอก
ปุ๊กลุกอึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
"งั้นตกลงว่าเอาตามนี้นะ พวกเราจะคอยดูผลงานของเธอ" หนานปิงสรุป
"ค่ะ ฉันจะดูแลแปลงสตอรว์เบอร์รีนี่ให้ดีที่สุด" อันยาบอก
อันยามองสตรอว์เบอร์รีอย่างมีหวัง ปุ๊กลุกซึ่งแอบดูอยู่เห็นอันยาได้หน้ากับครอบครัวของแสนแล้วก็ยิ่งจี๊ดใจจริงๆ !
อันยาหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นมิสคอลมาหลายครั้ง
"คิมบอมบ์โทรมา"
อันยากดมือถือจะโทรกลับแต่หน้าจอขึ้นว่าแบตอ่อนมาก
"อ้าว แบตหมด"
อันยาหันไปควานเอาที่ชาร์จขึ้นมาแล้วก็ชะงักเพราะที่ชาร์จบุบบี้ไปซะแล้ว
อันยานึกถึงตอนที่อิงค์กี้หยิบของของเธอมากระชาก ทึ้งดึง กระทืบ และเอาแท่นชาร์จมือถือมาขว้างไปโดนหิน
อันยาวางที่ชาร์จบุบๆ ที่ถือเอาไว้ลง เธอมองมือถืออย่างเซ็งๆ ที่ยังโทรกลับไม่ได้
สิงห์ทวนคำพูดของอันยา
"จะขอติดรถเข้าไปซื้อของในเมือง ?”
"ค่ะ ที่ชาร์จแบตมือถือของฉันพัง คิดว่าแถวนี้คงไม่มีขาย คุณสิงห์เข้าเมืองวันไหนคะ" อันยาถาม
"คุณว่างไปวันนี้มั้ยล่ะ"
"ได้วันนี้ก็ดีเลยค่ะ"
"โอเค" สิงห์หันไปแล้วตะโกนเรียก "แสน" แสนเดินมาเพราะเตรียมจะขึ้นรถออกไปธุระพอดี สิงห์พูด "คุณอันยาอยากขอติดรถไปซื้อของในเมืองหน่อย” อันยาเหวอเพราะทำตัวไม่ถูก
"เอ่อ คุณ คุณสิงห์ไม่ได้ไปเอง ?” อันยาถาม
"ช่วงนี้ผมไม่มีธุระต้องเข้าเมือง คุณไปกับนายแสนก็แล้วกัน" สิงห์พูดกับแสน "ฝากด้วยล่ะ"
สิงห์เนียนๆ ดันให้อันยาไปกับแสนหน้าตาเฉย แสนอึดอัดและทำหน้าไม่ถูก
อันยาเห็นสีหน้าแสนก็เกรงใจ "ถ้าคุณไม่สะดวก ฉัน...ฉันหาทางไปเองก็ได้"
"นั่งไปสองคน คุ้มค่าน้ำมันกว่าคนเดียวนะ" สิงห์พูดกับแสน "แสนน่ะ เค้าเน้นเรื่องประหยัดพลังงาน ใช่มั้ย ?”
แสนข่มอารมณ์อึดอัดของตัวเอง “..พูดซะขนาดนี้ ผมจะไปขัดอะไรได้"
แสนเดินนำไปที่รถ อันยาหันมามองหน้าสิงห์อย่างไม่มั่นใจ สิงห์พยักเพยิดให้เธอไป
อันยาเห็นสิงห์เชียร์ก็ค่อยยิ้มออกหน่อย
แสนขับรถมาโดยมีอันยานั่งอยู่ที่เบาะข้างๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด
อันยาพยายามชวนคุย "เอ่อ ทางชันจังเลยนะคะ"
แสนนั่งเงียบไม่พูดอะไรมาตลอดทาง
"เพิ่งรู้ ว่าคุณขับโฟร์วิลล์เป็นด้วย ?” อันยาชวนคุย
แสนยังเงียบ
"รถสองเกียร์แบบนี้ ขับยากมั้ย" อันยาจับเกียร์ดู "เราจะรู้ได้ยังไงว่าตอนไหนต้องใช้เกียร์อันที่สอง อย่างตอนลงเขาเนี่ย คงไม่ค่อยต้องใช้ ไม่เหมือนตอนขึ้น"
แสนจะเอามือไปเปลี่ยนเกียร์ แต่อันยายุ่มย่ามกับเกียร์อยู่
"ผมจะเปลี่ยนเกียร์" แสนบอก
"ขอโทษค่ะ"
แสนปรายสายตากลับมาที่เบื้องหน้าก็เห็นท่อนไม้บนพื้นถนนจึงรีบหักหลบ รถเอียงวูบไปด้านหนึ่งอย่างแรง
อันยาร้องลั่น "กรี๊ด !”
เบรคทำงานได้ทันท่วงที รถของแสนหวิดจะชนขอบทางโดยเหลืออีกนิดเดียว ข้างล่างสูงและเวิ้งว้างน่าหวาดเสียวมาก
อันยาเกาะบ่าแสนไว้แน่นโดยไม่กล้าลืมตามอง แสนโล่งอกที่ไม่เกิดอันตรายขึ้น เขามองอันยา
"คุณ ไม่มีอะไรแล้ว เงยหน้าขึ้นมาได้แล้ว" แสนบอก อันยายังไม่ยอมเงยหน้า "คุณ...”
แสนก้มหน้าลงมาในจังหวะตรงกับที่อันยาเงยหน้าขึ้นทำให้จมูกของทั้งสองเกือบจะชนกัน สองคนอึ้งๆ ก่อนจะรู้ตัวจึงหันหน้าหลบเพราะไม่อยากที่จะหวั่นไหวมากไปกว่านี้
ฟองคำถามอย่างไม่อยากเชื่อ
"หนูอันยาน่ะนะ นั่งรถไปกับพ่อแสน"
"ครับ นั่งรถเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยกัน ยาวหลายชั่วโมงเลย" สิงห์บอก
"หลังจากมีเรื่องกันที่น้ำตกแล้ว หนูอันยาคงจะอึดอัดแย่นะ" ฟองคำว่า
สินหัวเราะ "ฉันว่าไอ้แสนมากกว่าที่ต้องอึดอัด"
สิงห์กับฟองคำแปลกใจ
"ก็ตัวเองไปเก็กใส่เค้าไว้ซะเยอะแยะ ว่าไม่แคร์ แล้วต้องอยู่กันสองต่อสองตั้งครึ่งค่อนวัน คงจะเก็กกันเมื่อยล่ะ"
สินพลิกหนังสือพิมพ์ในมือไปพลางๆ เขายิ้มๆเมื่อนึกถึงลูกชายของตัวเอง
แสนทำหน้าตาเก็กอยู่ อันยาบอกแสนก่อนจะลงจากรถ
"ส่งแค่นี้ก็พอค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"
แสนลังเลแต่ก็ถามมาจนได้ "แล้ว..ขากลับ คุณกลับยังไง"
อันยาอึกอักเพราะยังไม่ทันได้นึกเหมือนกัน
แสนเห็นสีหน้าอันยา "ผมจะแวะมารับก็แล้วกัน ตอนบ่ายสอง จะได้ถึงที่ไร่ก่อนค่ำ คุณทำธุระเสร็จรึยัง?”
"เสร็จ เสร็จค่ะ จะรีบให้เสร็จเลย" อันยาเผลอหน้าบานจนปิดไม่มิด ก่อนจะรู้ตัวจึงยิ้มแหยๆ
แสนพยักหน้าและเตรียมออกรถ อันยาลงจากรถ เธอมองรถแสนที่แล่นไป อันยาร้องเยสที่แสนดูมีน้ำใจแก่เธอ
โกมลในเครื่องแบบข้าราชการเต็มยศเพราะเพิ่งเลิกจากประชุมพูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับเพื่อนข้าราชการด้วยกัน
"ปีนี้ตำบลคุณได้งบมากเลยนะ" เพื่อนบอก
"ก็เอาไปทำโครงการช่วยชาวบ้านทั้งนั้นแหละ ส่วนกลางคงเห็นว่าโครงการดี ก็เลยให้งบมา" โกมลบอก
"มีกำนันทำงานเก่งแบบนี้ พวกชาวบ้านก็สบายกันเลยนะ"
เพื่อนข้าราชการพากันเยินยอและแสดงความชื่นชมโกมล โกมลยืดและยิ้มจนแก้มแทบปริ ทันใดนั้นตำรวจ 2 นายก็เดินเข้ามา
"ขออภัยครับ กำนัน" ตำรวจพูด ทุกคนบริเวณนั้นพากันหันมามอง "กำนันโกมล รอดสำราญใช่มั้ยครับ"
"ครับ"
"ขอเชิญกำนันไปที่โรงพักด้วยครับ" ตำรวจบอก ทุกคนต่างงงงัน "พอดี ทางเรามีหลักฐานว่ากำนัน
และคนของกำนันเกี่ยวข้องกับการขโมยเมล็ดพันธุ์ของบริษัทเพียงพอดี"
โกมลอึ้งจนหน้าถอดสี เพื่อนข้าราชการต่างมองอย่างประหลาดใจ สงสัย และสอดรู้กัน
โกมลหน้าชา "คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่าครับ"
"ยังไงก็ขอเชิญไปพูดคุยกันก่อน"
โกมลรู้สึกเสียหน้ามาก แต่ก็ต้องข่มอารมณ์เอาไว้
อันยาก้าวเข้าไปในห้างสุดหรู ความศิวิไลซ์มาปรากฎเบื้องหน้า อันยาอาบแอร์ห้างแล้วก็รู้สึกดีที่ได้อยู่ในจุดที่คุ้นเคย แต่แล้วก็จาม ฮัดชิ้ว
อันยาสลัดหัวเพราะรู้สึกป่วยแต่ก็พยายามไม่สนใจอาการที่เป็นอยู่ เธอเดินหาร้านที่เป็นจุดหมาย
ณ ป้ายร้านขายอุปกรณ์มือถือร้านใหญ่ อันยามาอยู่ที่เคาน์เตอร์เตรียมชำระเงินค่าที่ชาร์จ
พนักงานบอกราคา “ห้าร้อยบาทค่ะ"
อันยาจะควักเงินจ่ายแต่แล้วก็ชะงัก เธอควานหาไปทั่วบริเวณที่คิดว่าจะเก็บกระเป๋าสตางค์ไว้แต่ก็ไม่เจอ
อันยาหน้าเสีย "กระเป๋าสตางค์...อยู่ไหน?”
อันยาหน้าเสีย
รถแสนมาจอดอยู่หน้าธนาคาร แสนดับเครื่องแล้วก็เอื้อมไปเปิดลิ้นชักที่ใส่เอกสารด้านเบาะข้างคนขับ ก่อนจะหยิบสมุดบัญชีธนาคารออกมา ที่พื้นด้านล่างบริเวณใต้เบาะมีสิ่งของบางอย่างโผล่ออกมา แสนหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นกระเป๋าสตางค์ของผู้หญิง
อันยาเดินมาตามทางเดินในห้างด้วยอารมณ์ที่ไม่แจ่มใสเหมือนในตอนแรก
อันยาดูนาฬิกา "ต้องคอยถึงบ่ายสองแน่ะ"
อันยาเซ็งตัวเอง
อันยามานั่งคอยเบื่อๆ เธอเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายก่อนจะไอเบาๆ แล้วท้องก็เริ่มร้อง อันยาลูบท้องแล้วมองไปเบื้องหน้าที่เป็นโซนร้านอาหาร อันยาลองล้วงในกระเป๋าก็พบว่ามีแต่เศษสตางค์ อันยานั่งคอตกเหมือนเดิมและแล้วก็มีเด็กวัยรุ่นสองคนเดินคุยกันมา
"จะทิ้งเหรอ?”
"ขี้เกียจถือ"
วัยรุ่นคนหนึ่งจะทิ้งกล่องโฟมซึ่งใส่แซนวิสดีๆที่ยังเหลือเกินครึ่ง
อันยารีบบอก "เดี๋ยวค่ะ"
เด็กวัยรุ่นชะงัก
"นี่มันของดีๆทั้งนั้น น้องรู้มั้ยคะกว่าชาวไร่ชาวสวนชาวนา เค้าจะปลูกขึ้นมาให้เรากินได้ มันลำบากแค่ไหน อย่าทิ้งเลย"
วัยรุ่นมองอันยาเหมือนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ
"ถ้าอยากได้ ก็..ขอดีๆดิ" เด็กวัยรุ่นเอากล่องแซนวิสใส่มืออันยา แล้วรีบเดินไปเลย
วัยรุ่นเปิดไป แล้วซุบซิบกัน “สงสัยจะเพี้ยน”/ “หน้าก็แจ่มดี ไม่น่าเลยนะ”
อันยาเหวอ เธอมองขนมที่อยู่ในมือตัวเองแล้วคิดว่าไหงเป็นอย่างนี้
หมาจรจัดกินแซนวิชอย่างเอร็ดอร่อย
"กินซะให้หมด ของดีๆทั้งนั้น"
อันยาเอากล่องแซนวิสไปทิ้ง เธอรู้สึกมึนๆ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
"ใกล้ได้เวลาแล้วนี่"
อันยามองไปทางลานจอดรถที่กว้างใหญ่
พนักงานเลื่อนกล่องที่ชาร์จแบตมือถือให้ดูแล้วบอกแสนที่มาถามอยู่ตรงเคาน์เตอร์
"ค่ะ มีคุณผู้หญิงมาซื้อที่ชาร์จ แล้วลืมกระเป๋าสตางค์ เลยขอฝากของเอาไว้ก่อน บอกว่าจะมาจ่ายเงินทีหลัง"
"เค้ามากับผมน่ะครับ งั้นผมซื้ออันนี้ คิดเงินให้ด้วยครับ" แสนบอก
พนักงานจะเอาของไปจัดการ
"เอ่อ แล้ว ทราบมั้ยครับ ว่าเค้าไปไหนแล้ว" แสนถาม
อันยาเดินหาจุดที่นัดกับแสนท่ามกลางแดดเปรี้ยงด้วยอาการชักไม่ค่อยดี เธอมึนมากขึ้นและชักจะเดินเซ อันยาปวดหัว เธอหันซ้ายหันขวาแต่ก็ยังไม่เจอวี่แววรถแสน ปิ๊น !! ปิ๊น !! เสียงกดแตรไล่ อันยาได้ยินก็สะดุ้งโหยง เธอหันไปก็เห็นว่ามีรถกำลังจะถอย
"ขอโทษค่ะ..." อันยารีบเดินหนีไปอีกเลน
อันยาเดินพรวดไปที่เลนด้านหลังแล้วบ่นเบาๆ
"เกือบไปแล้ว"
อันยายังมองรถคันเมื่อกี้อยู่จึงไม่ทันระวัง บนถนนตรงหน้ามีรถกำลังเลี้ยวมา อันยาได้ยินเสียงแตรรถจึงหันขวับไป เธอเห็นรถพุ่งมาตรงหน้า อันยาเหวอทันที
คิมหันต์หยิบมือถือมาแนบฟัง
"หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้"
คิมหันต์วางหูลง
"เจ๊นะเจ๊ มัวทำอะไรอยู่"
แสนมาจอดรถคอยตรงจุดนัด เขาดูนาฬิกาเห็นว่าบ่ายสองเศษๆแล้ว แสนประหลาดใจว่าทำไมอันยายังไม่มา แล้วเขาก็หันไปเห็นว่าในบริเวณที่ไม่ห่างกันมากนัก
แสนพบว่ามีคนมามุงดูอะไรกันอยู่
แสนเดินมาดูก็เห็นว่ามีรถจอดอยู่ เจ้าของรถ และคนที่อยู่บริเวณนั้น 2-3 คนกำลังช่วยกันดูคนเจ็บ
แสนเดินเข้ามาใกล้ พอเขาเห็นก็ชะงักไป เพราะเห็นอันยาหมดสติอยู่บนพื้นถนน เจ้าของรถพยายามเรียก
"คุณ คุณ เป็นอะไรมั้ยครับ"
แสนรีบแหวกฝูงชนเข้าไป "อันยา !" แสนพูดกับเจ้าของรถ "ชนโดนเหรอครับ" แสนสำรวจดูบาดแผลแต่ก็ไม่พบ
เจ้าของรถส่ายหน้า "ไม่นะ ผมเบรคทัน แต่เค้าล้มลงไปเลย"
แสนที่จับตัวอันยาเอาไว้เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง
"ตัวร้อน...” แสนบอก
อันยาหลับอยู่บนเตียงคนป่วยและให้น้ำเกลืออยู่ แพทย์พูดกับแสน
"ผู้ป่วยอ่อนเพลีย และมีไข้สูง อาจจะเกิดจากสภาพอากาศเปลี่ยน แล้วก็ ร่างกายตรากตรำ"
แสนชะงักแล้วหันไปมองอันยาที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงแบบยิ่งเห็นก็ยิ่งตอกย้ำในความผิด
"หมอให้น้ำเกลือ แล้วก็ให้รอดูอาการอีกหน่อย ถ้าไข้ลด พรุ่งนี้ก็กลับได้ แต่อย่าเพิ่งให้ทำงานนะครับ ต้องพักผ่อนให้มากๆ"
"ครับ ขอบคุณครับ"
แพทย์เดินออกไป แสนเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย แล้วมองอันยาที่หลับอยู่ ความรู้สึกผิดขึ้นมารบกวนจิตใจของเขา
ปุ๊กลุกช่วยเรียงจานชามเพื่อตั้งโต๊ะ สิน หนานปิง และสิงห์ทยอยกันเดินมามองๆปุ๊กลุกอย่างแปลกใจว่ามาได้ไง
"นั่งเลยค่า มีอะไรให้รับใช้บอกว่าที่หลานสะใภ้ได้เลยนะคะ หนูอาสามาช่วยงานคุณแม่น่ะค่ะ เรียนรู้เอาไว้" ปุ๊กลุ๊กบอก
หนานปิงเลิกคิ้วสูงแล้วพูดประชด "เชิญหล่อนนั่งก่อนเถอะ ท้องโตขนาดนี้ ไม่ต้องมาดูแลฉันหรอก"
"พ่ออุ๊ย น่ารักอ่ะว์ เป็นห่วงปุ๊กลุกด้วย"
สินกับสิงห์กลั้นหัวเราะที่ปุ๊กลุกไม่รู้ว่าหนานปิงประชด หนานปิงแอบส่ายหน้า
ฟองคำเดินมาที่โต๊ะ "แสนเพิ่งโทรมาบอกว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาล"
ทุกคนที่เตรียมจะกินมื้อเย็นถึงกับชะงักกันไป
ปุ๊กลุกตกใจกว่าใครเพื่อน "พี่แสน! พี่แสนเป็นอะไรเหรอคะ หรือว่ามีอุบัติเหตุ"
ทุกคนอึ้งที่ปุ๊กลุกเป็นเอามาก
"หนูอันยาเป็นไข้ ต้องนอนโรงพยาบาลดูอาการ อาจจะกลับได้พรุ่งนี้เช้า"
หนานปิงประชดปุ๊กลุก "เฮ่อ เล่นเอาตกอกตกใจ"
"เราไม่น่าให้หนูอันยาดูแลสตรอว์เบอร์รีพวกนั้นเลย แค่ไร่เดียวมันก็พอแล้ว สงสัยจะทำงานหนักเกินตัว เดี๋ยวกลับมา คงต้องให้เลิก"
ปุ๊กลุกโพล่งขึ้น "นี่แปลว่าพี่แสน จะต้องอยู่กับยัยนั่นทั้งคืน"
"คุณอันยา เค้าเป็นคนป่วย อย่าคิดอกุศลจะดีกว่านะครับ" สิงห์ว่า
"ปุ๊กลุกไว้ใจพี่แสน แต่ไม่ไว้ใจยัยนั่น อาจจะเป็นแผนของมัน เอ๊ยเค้ารึเปล่า อย่ายอมให้ยัยนั่นอยู่กับพี่แสนสองต่อสองนะคะ"
หนานปิงส่ายหน้า "ท่าจะพูดไม่รู้เรื่องเว้ย"
"ยังไงพี่แสนก็เป็นผู้ชาย ข้าวเปลือกนะคะ ไม่ใช่ข้าวสารไปตกที่ไหนมันก็งอกได้"
หนานปิงตบโต๊ะ "เฮ่ย ! คนเดี๋ยวนี้มันยังไงกัน ไม่รู้จักกาละเทศะกันแล้วเรอะ"
"นี่เธอกำลังดูถูกแสน ลูกชายของฉันอยู่นะ"สินว่า
"ทุกคน..ไม่มีใครเห็นใจปุ๊กลุกเลยใช่มั้ย ทั้งๆที่ปุ๊กลุก ตั้งท้องลูกของพี่แสนอยู่แท้ๆ"
"ถ้าเธอแน่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูด ก็ไม่ต้องกลัวไปหรอก แสนเค้าไม่ใช่คนปัดความรับผิดชอบ เธอ ไม่จำเป็นจะต้องระแวงเกินเหตุ"
ปุ๊กลุกชะงักเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเห็นด้วยเลย เธอจึงหันหลังเดินอุ้ยอายออกไป
อ่านต่อหน้า 2
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ปุ๊กลุกเดินออกมาด้วยความน้อยใจและเจ็บใจ
"ยัยอันยา!! แกไม่มีทางแย่งพี่แสนไปจากฉัน"
ปุ๊กลุกแค้นสุดขีด
แสนที่นั่งอยู่ข้างเตียงมองอันยาที่หลับอยู่แล้วคำพูดของแพทย์ก็ดังก้องขึ้นมา
"ผู้ป่วยอ่อนเพลีย และมีไข้สูง อาจจะเกิดจากสภาพอากาศเปลี่ยน แล้วก็ ร่างกายตรากตรำ"
แสนเจ็บแปลบเมื่อนึกถึงความจริงข้อนั้น อันยาที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวเบาๆ แสนนึกว่าอันยาจะตื่นแต่ก็ไม่ตื่น แสนเลื่อนตัวเข้าไปมองดูอันยาใกล้ๆ
แสนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต...
อันยามองแสนอย่างจะวอนขอความเห็นใจ
"เมื่อก่อนฉันทำร้ายคุณ ฉันรู้ว่ามันผิด แต่..กับสิ่งที่ฉันกำลังทำตอนนี้ ที่ฉันพยายามชดใช้ความผิดนั้นอยู่ คุณช่วยตอบฉันหน่อยสิ ว่าฉันทำผิดตรงไหน"
แสนอึ้งไปเพราะพูดไม่ออก เขามองอันยาที่พูดทั้งน้ำตา
"ฉันพยายามขอโทษคุณ มันผิดตรงไหน? ใช่! คุณมีสิทธิ์จะโกรธจะเกลียดฉัน แต่ฉันก็มีสิทธิ์จะขอโทษ หนึ่งครั้ง สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง... ขอโทษ.. จนกว่าคุณจะเข้าใจว่าฉันเสียใจมากแค่ไหนกับเรื่องที่ผ่านมา ...ฉันขอโทษ..." อันยาเสียงแผ่วลง "ได้ยินมั้ยคะคุณแสน"
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น แสนก็กุมหน้าผากเพราะมันยากเหลือเกินที่ต้องมาอยู่ตรงจุดนี้ แสนมองอันยาที่หลับใหล มือของเขาเอื้อมออกไปใกล้กับวงหน้าของอันยาจนปลายนิ้วเกือบจะสัมผัสกับเรือนผมของเธอ แสนมองอันยา ทั้งๆที่ใกล้กันเท่านี้แต่แสนกลับดึงมือกลับแล้วกำมือเอาไว้อย่างหักห้ามใจ
โกมลเดินกระแทกเท้าเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าแววตาที่บ่งบอกว่าโกรธมาก ปรานีเห็นสามีกลับมา ก็รีบเข้าไปถาม
"พี่ ตกลงเรื่องมันยังไงกันแน่ ตอนนี้คนเค้าลือกันทั้งหมู่บ้าน เห็นเค้าว่าตำรวจมีหลักฐานด้วย ตกลง..พี่ทำจริงๆรึเปล่า"
โกมลมองหน้าปรานีแล้วก็ผลักเมียออกด้วยความโมโห
"นังนี่ !! ฉันไม่ผิด ไม่ผิดได้ยินมั้ย!”
"แต่หลักฐาน" ปราณีพูด
โกมลทนไม่ไหวจึงระเบิดอารมณ์ "มันรังควานเราก่อน เราอยู่ของเราดีๆ ไอ้ด็อกเตอร์ ไอ้บริษัทบ้านั่นมันมาหาเรื่องเราก่อน"
ปรานีอึ้งแต่ก็พอจะนึกไว้อยู่แล้ว "พี่.. สารภาพความจริงไปเถอะนะ ที่หนัก มันจะได้เป็นเบา"
"แก !! แกยังเป็นเมียฉันรึเปล่า ถึงพูดแบบนั้นออกมาได้ ยังไงฉันก็จะสู้คดี สู้ให้มันถึงที่สุดฉันไม่มีทางให้ใครมาตราหน้าว่าคนอย่างกำนันโกมลเป็นหัวขโมย ไม่มีทาง !!” โกมลว่า
โกมลประกาศกร้าวอย่างไม่ยอมแพ้และไม่ยอมจบ
"นังเลขานั่น มันแสบมาก กล้าส่งคนมาล้วงความลับฉัน อย่าให้ฉันเจอหน้าเชียวนะ !”
โกมลคิดแล้วก็แค้นอันยาอย่างสุดขีด
รถแสนมาจอดที่ด้านหน้าไร่แสนรัก อันยาและแสนลงมาจากรถ แล้วแสนก็นึกขึ้นได้จึงหยิบกล่องที่ชาร์จแบตส่งให้อันยา
"เกือบลืม.. นี่ของคุณ"
อันยาเซอร์ไพร์ส "คุณไปเอามาเมื่อไหร่คะ ฉันลืมไปเลย" อันยาจะหยิบกระเป๋าสตางค์
แสนยื่นกระเป๋าสตางค์ให้อันยาด้วย
"ฉันนี่..น่าจะชื่ออันโก๊ะ มากกว่าจริงๆ" อันยารับกระเป๋าตังค์คืนมา "เดี๋ยวฉันคืนเงินให้นะคะ”
"ไม่ต้องหรอก"
"ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก แค่นี้ก็รบกวนคุณจะแย่อยู่แล้ว" อันยายื่นเงินคืนให้
แสนมองตาอันยาอย่างจริงจัง "ผมบอกว่าไม่เป็นไรไง..." แสนจับมืออันยาให้เอาเงินคืนไป
อันยาอึ้ง เธอมองมือแสนที่จับมือเธอไว้อยู่
แสนปล่อยมือ "คุณเพิ่งฟื้นไข้ ไปพักผ่อนดีกว่า ส่วนเรื่องสตรอว์เบอร์รีเดี๋ยวจะมีคนงานมารดน้ำให้ ตอนนี้เรื่องสุขภาพต้องมาก่อน"
อันยาอึ้งๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อ "ค่ะ..ขอบคุณนะคะ"
อันยาซึ้งใจที่แสนดูเป็นห่วง เธอเดินไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองแสนไม่ได้ พอเห็นแสนมองกลับมาอันยาก็รีบหันหน้าหลบด้วยความเขินที่โดนจับได้ว่าแอบมอง แต่พอหันไปอีกทีเธอก็เห็นว่าแสนมีรอยยิ้มบางๆ ส่งมาให้
อันยายืนนิ่งเพราะไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง อาการดีใจซึมไปทั่วร่างของเธอ
ลดาที่อยู่ที่คอนโดของอันยาพูดอย่างโล่งอก
"ติดต่อกันได้ซะที ย่าเป็นห่วงรู้มั้ย"
อันยายืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่บนเนินสูงๆ ที่ไร่แสนรัก
"ขอโทษนะคะ มือถืออันมีปัญหาน่ะค่ะ ยังไงฝากบอกคิมบอมบ์ด้วย ว่าอันโทรกลับเค้าแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้"
ลดาถามหลาน
"มือถือเรามีปัญหา แล้วตัวเราล่ะ มีปัญหาอะไรมั้ย?”
อันยาชะงักไปกับคำถาม ก่อนจะตอบ
"ถึงจะมีปัญหาอะไร อันก็ทนได้ทั้งนั้น" อันยาบอกอย่างมีหวัง "คุณย่า ตอนนี้ อันรู้สึกว่าคุณแสน..เค้าดีกับอันมากขึ้น"
ลดาพูดจากโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น "จริงๆเหรอลูก"
"ค่ะ บางที เค้าอาจจะโกรธอันน้อยลงแล้วก็ได้"
ลดายิ้มอย่างดีใจ
อันยายิ้มอย่างมีหวัง
อันยาใส่ปุ๋ยและรดน้ำสตรอว์เบอร์รีอย่างอารมณ์ดี หนานปิงกับสินแอบดูอยู่
"ไม่เป็นไรแล้วจริงๆเหรอนั่นน่ะ จะให้คนงานมาช่วยก็บอกไม่เอา"
สินไม่สนใจฟัง "เออ ผู้หญิงสวยๆมาทำไร่นี่ ก็ดูน่ารักดีแฮะ"
"ไร้สาระนะแก"
"พ่อก็"
"แต่ มันก็น่ารักจริงๆนั่นแหละ" หนานปิยอมรับ
"เห็นมั้ยล่ะ"
อันยาวางที่รดน้ำลงแล้วก็หาวเพราะชักจะง่วงจากฤทธิ์ยา ในที่สุดเธอก็สับปะหงก หนานปิงกับสิน ที่แอบดูอยู่ยิ่งเอ็นดู
"อ้าว หลับแล้วนั่นน่ะ..”
สองหนุ่มต่างวัยแอบดูสาวรุ่นลูกด้วยความเอ็นดู ปุ๊กลุกที่แอบมองอยู่อีกมุมเจ็บใจมาก
เสียงอันยาถามขึ้น "จะย้ายไปนอนกระต๊อบหลังอื่น ?”
ภายในกระต๊อบ บริเวณที่เคยเป็นส่วนของปุ๊กลุกว่างโล่งเพราะปุ๊กลุ๊กเก็บข้าวของไปหมดแล้ว
"ก็เธอป่วยอยู่นี่ นอนคนเดียวให้สบายเถอะ" ปุ๊กลุ๊กบอก
อันยายิ่งงงเข้าไปใหญ่
"วันนี้ทำไมมีแต่คนมาดีด้วย" อันยาแอบหยิกตัวเอง "ไม่ได้ฝันใช่มั้ย แต่ก็ดีแล้วล่ะอย่าอยู่ใกล้ฉันมากเลย เดี๋ยวเธอกับลูกจะติดเชื้อไข้เอาเปล่าๆ"
ปุ๊กลุกประชด "ถ้าป่วยจริง ไม่ใช่ป่วยสำออยก็แล้วไป"
"อยากรู้ เอายาไปดูเลยมั้ย" อันยาส่งถุงยาให้ "ทำคนท้องเครียด ฉันกลัวบาป"
ปุ๊กลุกมองถุงยาแต่ไม่ตอบและก็ไม่หยิบไปดู เธอหันหลังจะเดินลงไป
"นี่..ท้องไส้อยู่ แล้วไปนอนคนเดียว ถ้ากลางคืนมีอะไร ก็มาเรียกฉันได้นะ"
ปุ๊กลุกหันมามองอันยาด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกว่าซึ้ง
"ช่างเถอะ ฉันมันนางมารไว้ใจไม่ได้ แต่ก็ไม่โหดขนาดจะทำร้ายคนท้องคนไส้หรอกนะ" อันยาเห็นปุ๊กลุกยังไม่ไว้ใจ "ถือว่าเมื่อกี๊นี้ฉันไม่ได้เสนอตัวจะช่วยก็แล้วกัน"
"ขอบใจ"
อันยาชะงักเพราะนึกว่าหูฝาด
"แต่ฉันคงไม่มีเรื่องกวนเธอหรอก" ปุ๊กลุ๊กบอก
ปุ๊กลุกพูดแล้วก็เดินออกไป อันยารู้สึกดีที่ปุ๊กลุกดูเหมือนจะรับฟังตัวเธอบ้าง ในขณะที่ปุ๊กลุกเดินออกมาจากห้องอันยาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
อันยาหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาโดยไม่ได้เอะใจสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ปุ๊กลุกนอนลืมตาโพลงเหมือนรอเวลาอยู่ในกระต๊อบที่อยู่ใกล้ๆ กัน เธอหยิบนาฬิกามาดูเวลา ปุ๊กลุกลุกขึ้นอย่างลำบาก
แสงไฟฉายริบหรี่ปรากฏที่หน้ากระต๊อบ ปุ๊กลุกพยายามลากแกลลอนออกมาแต่ก็อุ้ยอ้ายและไม่ถนัด ปุ๊กลุกเหลือบมองไปทางกระต๊อบของอันยาก็เห็นไฟยังมืดสนิท เธอรีบอุ้มแกลลอนไป ประตูห้องปุ๊กลุกแง้มไว้เพราะเธอลืมปิดให้สนิท
ปุ๊กลุกกึ่งลากกึ่งถือแกลลอนมาจนถึงแปลงสตรอว์เบอร์รีของอันยาด้วยท่าทางรีบร้อน ปุ๊กลุกตักน้ำใส่ถังแล้วก็ฉีกกระดาษที่หุ้มแกลลอนออกซึ่งเผยให้เห็นว่าเป็นแกลลอนยาฆ่าหญ้า ปุ๊กลุกสวมที่คาดหน้า และถุงมือยางแล้วจัดแจงรินยาลงในถังผสมน้ำ
อันยาที่ยังคงหลับใหลเริ่มพลิกตัว แต่ทว่าก็ยังไม่ตื่น
ปุ๊กลุกเอาน้ำผสมยาฆ่าหญ้าราดลงไปบนแปลงสตอรว์เบอร์รีด้วยสีหน้าแววตาเหี้ยม น้ำผสมสารพิษพรมลงบนใบสตรอว์เบอร์รีที่สดไสวแล้วก็ซึมลงบนดินอันอุดมอย่างรวดเร็ว
อันยาหลับต่อเนื่องได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังปึงปึง อันยาสะดุ้งตื่นมาขยี้ตา เธองัวเงียลุกขึ้นมามองหาที่มาของเสียง อันยาลุกขึ้นไปมองที่หน้าต่างก็เห็นว่าหน้าต่างโดนกระแทกจากแรงลม เนื่องจากลมพัดแรง อันยาจะลุกไปปิดหน้าต่าง แต่แล้วพอมองออกไปก็เห็นประตูกระต๊อบของปุ๊กลุกเปิดอ้า อันยาเพ่งมองด้วยความประหลาดใจ
อันยาถือไฟฉายเดินมาดูที่หน้ากระต๊อบของปุ๊กลุกก็เห็นประตูเปิดอ้ากว้าง
"ปุ๊กลุก อยู่รึเปล่า?”
อันยาเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบ เธอเข้าไปดูข้างในก็พบว่าในห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีใครอยู่
"ดึกป่านนี้ไปไหนของเค้า"
อันยาชักห่วงปุ๊กลุกขึ้นมา
ปุ๊กลุกเทยาฆ่าหญ้าจนหมดแกลลอนแล้วเอาไปรดต้นสตอรว์เบอร์รีของอันยาต่อ ปุ๊กลุกรดไปจนเกือบจะทั่วแปลงแล้ว น้ำยาฆ่าหญ้าที่รดลงไปแล้วเยอะจนซึมนองออกมาบนพื้นข้างๆแปลง
อันยาส่องไฟฉายดูตามห้องน้ำแต่ก็ไม่มีใคร
อันยาเดินย้อนกลับมาโดยในใจยังเป็นห่วง
"หายไปไหนของเค้า แล้วจะเป็นไรมั้ยเนี่ย ?”
อันยาเดินอยู่ก็ต้องชะงัก สายตาของเธอเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ไกลออกไปบริเวณแปลงปลูกมีเงาเคลื่อนไหวอยู่ลิบๆ อันยาเพ่งมองด้วยความแปลกใจ
ปุ๊กลุกเร่งรดน้ำยาให้เสร็จๆไปซึ่งก็จวนเสร็จเต็มทีแล้ว ข้างๆมีแกลลอนวางอยู่ ปุ๊กลุกทั้งรีบร้อน และระวังตัว
"ทำอะไรของเธอ !!" อันยาเข้าไปหยิบแกลลอนขึ้นมาดูแล้วก็แทบช็อค "ย่าฆ่าหญ้า"
อันยาถือยาฆ่าหญ้าในมือ
อันยากระชากถังในมือปุ๊กลุกมา "หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะปุ๊กลุก!! เธอทำแบบนี้ไม่ได้นะ"
ปุ๊กลุกยื้อถังไว้จนผ้าคาดหน้าหลุด "ทำไมฉันจะทำไม่ได้ !! เธอมันดื้อ ตื๊อไม่เลิก!! พี่แสนเค้าไล่แล้วก็ยังไม่ไป ถ้าต้นไม้พวกนี้ตายหมด ดูซิจะมีข้ออ้างอะไรอยู่ต่ออีก"
อันยาช็อคจนไม่อยากจะเชื่อ "นี่เธออยากให้ฉันกลับไป ถึงกับต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ"
ปุ๊กลุกอัดอั้นมาก "ถ้าไม่มีเธอสักคน ฉันกับลูกต้องก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้ พี่แสนเค้าคงยอมรับเราแม่ลูกไปตั้งนานแล้ว"
อันยาอึ้ง
"เพราะเธอ ! เพราะเธอคนเดียว !”
ปุ๊กลุกเอาถังดันอันยาให้เซไปแล้วระดมสาดน้ำยาใส่แปลงสตรอว์เบอร์รีไม่หยุด
อันยาตะโกน "ไม่ หยุด หยุด หยุดนะ!”
อันยาเข้าไปยื้อแย่งถังน้ำจากปุ๊กลุกแต่ก็ไม่เป็นผล น้ำผสมยาฆ่าหญ้าเจิ่งนองไปทั่วทั้งแปลงสตรอว์เบอร์รี
"แล้วก็อย่าคิดว่าจะฟ้องใคร ไม่มีใครสงสาร เวลาที่คนชั่วโดนรังแกหรอก"
อันยาปรี่เข้าไปหาปุ๊กลุกอย่างสุดทน "นี่ !!”
"จะทำอะไร ถึงฉันท้องอยู่ ก็จะตบให้กลิ้งเลย"
อันยาเสียใจ "ทำไม ต้องทำกันถึงขนาดนี้ เธอรู้มั้ย กว่าจะปลูกมันขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่ดิน แค่น้ำที่รดลงไป แต่ฉันใช้ทั้งใจของฉัน แล้วเธอก็มาทำลายมัน" อันยาเจ็บใจมาก "เธอ ! เธอทำได้ยังไง"
อันยาโกรธและเสียใจจนแทบจะกระอัก และแล้วบางสิ่งบางอย่างที่เคยได้ยินในอดีตก็กลับซ้อนขึ้นมาในหัว
อันยานึกถึงตอนที่แสนพูดกับเธอ
"คุณแค่อยากได้ผลประโยชน์!! ถึงกับต้องหลอกลวงคนอื่น ทำลายเกียรติ์ ศักดิ์ศรี และความภาคภูมิใจของคนๆนึง ทำให้เพื่อนไม่มองหน้าเค้า แล้วยังทำลายโอกาสของเกษตรกรที่เค้าดูแลอยู่! ทุกๆคนที่หวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แล้วมันต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่" แสนผิดหวังที่สุดในชีวิต
"อันยา คุณ...คุณทำได้ยังไง"
อันยาอึ้งงันไปเหมือนถูกฟาดกลางแสกหน้า แต่ทว่าก็มีความสว่างโพลงเกิดขึ้นต่อจากนั้น
"ที่แท้...เค้าก็รู้สึกแบบนี้" อันยาแทบรับไม่ไหว "แต่มันเจ็บ..เจ็บมากกว่าฉันหลายเท่า"
ปุ๊กลุกงงที่อันยาพูดคนเดียว "บ้าไปแล้วรึไงยะ หรือว่ายาว่าฆ่าหญ้ากระเด็นใส่จนเป็นบ้า"
อันยาหันมาพูดนิ่งๆ "ถ้าเราเข้าใจอะไรบางอย่าง มันเรียกว่าบ้า ฉันน่าจะบ้าไปตั้งนานแล้ว"
ปุ๊กลุกยิ่งไม่เข้าใจ
"ไม่ว่าจะพูดยังไง อ้างเหตุผลกี่ร้อยกี่พันข้อ ว่าทำไมเราถึงต้องทำเรื่องเลวๆกับคนอื่น ไม่ว่าเหตุผลนั้นมันจะดีแค่ไหน มันก็ปิดความเห็นแก่ตัวไม่มิด"
"เธอ..เธอนั่นแหละที่เห็นแก่ตัว"
อันยายอมรับ "ใช่ ฉันเห็นแก่ตัว ก็เหมือนกับเธอไง เธอแทงข้างหลังฉัน เหมือนที่ฉันทำกับคุณแสนเค้า"
ปุ๊กลุกไม่ยอมรับ "ไม่ ฉันไม่เหมือนเธอ เธอมันเลวก่อน"
"นี่แหละ!! ที่ใครๆก็ชอบอ้างว่าฉันเจอเรื่องเลวร้ายมา ฉันก็เลยต้องทำเพื่อความอยู่รอด" อันยาว่า ปุ๊กลุกอึ้งและยิ่งไม่เข้าใจอันยา "ฉันเข้าใจแล้ว ว่าตัวฉัน เคยเป็นยังไงมาก่อน เพิ่งจะเห็นตัวเองชัดก็วันนี้"
"แก แกมันบ้าไปแล้ว !”
"ปุ๊กลุก เธออยากไล่ฉันด้วยวิธีไหนก็ได้ แต่ อย่าทำร้ายสตรอว์เบอร์รีพวกนี้อีกจะให้ฉันไหว้เธอก็ได้นะ" อันยาจะเข้ามา
"แก แกมันปลูกต้นไม้จนบ้า!! ออกไปนะ" ปุ๊กลุ๊กถอยหนี "ไม่ต้องเปื้อนมืออีกหรอกแค่นี้พวกมันก็ตายอยู่แล้ว" ปุ๊กลุ๊กรีบหอบอุปกรณ์ทั้งหลายหนีไป
อันยาอึ้งก่อนจะก้มลงมองต้นไม้ที่มียาฆ่าหญ้าซึมอยู่ทั่ว
สิงห์มองสภาพแปลงสตรอว์เบอร์รีของอันยาที่ต้นไม้ใบตกเฉาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ยาฆ่าหญ้า !”
อันยาพยักหน้า สิงห์โกรธจนจะเดินไป"คุณสิงห์" อันยาจับสิงห์ไว้ "เค้าไม่ทำอะไรเสียหายกว่านี้แน่ เค้าแค่จะเล่นงานฉันคนเดียว"
"ท้องไส้อยู่แท้ๆ ไม่น่าทำบาปทำกรรม" สิงห์พูดกับอันยา "ทำแบบนี้มันเกินไป"
"ใช่ ปุ๊กลุกทำไม่ถูก แต่..มันก็ไม่เกินไปหรอก" อันยาว่า สิงห์ไม่เข้าใจ "คุณสิงห์ ฉันคงโดนกรรมตามสนอง"
"อันยา กรรมเกิมอะไรกัน"
"มันจะจริงหรือไม่จริง แต่มันทำให้ฉันเข้าใจ.. ความรู้สึกของคุณแสน ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเค้ารู้สึกยังไง"
สิงห์อึ้งไป แต่ยังไม่ยอม "ถึงคุณจะไม่เอาเรื่อง แต่ที่นี่เป็นไร่สตรอว์เบอร์รีปลอดสารพิษ อย่าว่าแต่ยาฆ่าหญ้าเลย ปุ๋ยเคมีเราก็ไม่เอาเข้ามา ผมคงปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆไม่ได้"
"เรื่องนั้น..ก็แล้วแต่คุณ แต่คุณบอกฉันหน่อยได้มั้ย ว่าฉันจะช่วยต้นสตรอว์เบอร์รีพวกนี้ได้ยังไง"
สิงห์ชะงักไป "ยาฆ่าหญ้า มันแรงมากนะอันยา"
"แล้วเราจะทำอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ ถ้า.. ถ้าเราย้ายแปลงล่ะ จะช่วยได้มั้ย"
"ถึงจะย้ายดินที่ปลูก แต่สารพิษก็อยู่ในต้นแล้ว" สิงห์เห็นใจ แต่ก็ต้องบอก "อันยา ต่อให้คุณกู้ชีพมันขึ้นมาได้ ไร่เรา ก็ให้ใครกินสตรอว์เบอร์รีที่มีสารพิษตกค้างพวกนี้ไม่ได้อยู่ดี"
อันยาก้มมองแปลงสตรอว์เบอร์รีแล้วคิดในใจว่าสิ้นหวังแล้วจริงๆหรือเนี่ย
ปุ๊กลุกจัดฝากบนชั้นอยู่ พอหันมาเธอก็แปลกใจที่ครอบครัวแสนมากันครบ
"อุ๊ย เสร็จพอดีเลยค่ะ ปุ๊กลุกไปพักก่อนนะคะ รู้สึกมึนๆ"
"ไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมืองดีมั้ย แล้วก็โทรบอกญาติเราด้วย ใกล้จะคลอดแล้วนี่" สินเสนอ
ปุ๊กลุกเหวอ "ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ จู่ๆก็ดีขึ้นเลย เมื่อกี๊คงจะหันเร็วไป ไม่เป็นไรแล้วค่ะ"
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่แข็งแรง คงเอายาฆ่าหญ้าไปรดต้นไม้ไม่ได้หรอก"
ปุ๊กลุกแทบผงะที่เรื่องนี้มาถึงตัวจนได้
"คุณแม่ คุณพ่อ พ่ออุ๊ย ปุ๊กลุกขอโทษ อย่าโกรธเลยนะคะ ถือว่าเมตตาผู้หญิงบ้านนอกตาดำๆ" ปุ๊กลุ๊กมองฟองคำ "หัวอกเมีย ใครจะทนเห็นผู้หญิงอื่นมาตื๊อผัวตัวเองไหว"
สิงห์เหลืออด "แสนเค้าเคยพูดเมื่อไหร่ว่าเค้าเป็นสามีเธอ"
ปุ๊กลุกชะงัก "ถึง..ถึงทุกคนไม่เชื่อ แต่ปุ๊กลุกก็รักพี่แสนจริงๆ และทำลงไปเพราะหวังดี" ปุ๊กลุ๊กเห็นทุกคนนิ่ง "อย่างน้อย ถ้าไม่เห็นแก่ลูกสะใภ้คนนี้ ก็เห็นแก่..เด็กตาดำๆ" ปุ๊กลุ๊กลูบท้อง
"พอที ! อย่าเอาเด็กมาเป็นเกราะกำบังให้ตัวเองพ้นผิดเลย ทำผิดเองก็ต้องรู้จักรับเอง" สินว่า
"แค่..แค่หนูอยากจะให้นังอันยามันออกไป ทำไมทุกคนต้องเข้าข้างมันด้วย"
"เธอเข้าใจผิดแล้ว อันยาเค้าไม่เอาเรื่องเธอ แต่ที่พวกเรามา เพราะไม่พอใจเรื่องที่เธอเอายาพิษเข้ามาในนี้" ฟองคำว่า
"ยาพิษ? ยาฆ่าหญ้าเนี่ยนะ ใครๆเค้าก็ใช้กัน แถวบ้านหนู ซื้อกันทีเป็นคันรถ"
หนานปิงทนไม่ไหว "ก็เพราะอย่างงี้ไง คนเดี๋ยวนี้มันถึงได้ป่วยได้ตายกันเป็นเบือ !! ที่อื่นเค้าทำได้รดยาฆ่าหญ้าลงไปบนแปลงอาหารสัตว์ อาหารคน แล้วคนก็กินมันเข้าไป แต่ไม่ใช่ที่นี่"
ปุ๊กลุกอึ้งเพราะไม่เข้าใจคนพวกนี้
หนานปิงพูดต่อ "ที่นี่เราเคารพในผืนดิน ป่าเขา สายน้ำที่บริสุทธิ์ เราไม่ทำลายมันเพราะความมักง่ายรีบ! อยากจะได้ผลประโยชน์เร็วๆ จนยอมฆ่าคนทางอ้อมด้วยสารพิษ"
ปุ๊กลุกไม่เข้าใจ "นี่..พูดเรื่องอะไรกัน ทุกคนคงเกลียดหนูมากใช่มั้ย เพราะว่าหนูมันเป็นคนบ้านนอก ไม่ได้จบเมืองนอกมาอย่างนังนั่นใช่มั้ย"
"เธอรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรผิด แต่ไม่ยอมรับ!" ฟองคำว่า ปุ๊กลุกอึ้ง "นี่ถ้าไม่เห็นแก่เด็กที่ไม่ได้มีความผิดนะ"
ฟองคำอึดอัดใจ ปุ๊กลุกรีบขอร้อง
"คุณแม่ จะไม่ไล่หนูไปใช่มั้ย ให้หนูกับลูก อยู่กับคุณแม่ อยู่กับพี่แสนเถอะนะคะ"
ฟองคำข่มใจ "เธอเอาเด็กมาอ้างให้พ้นผิดไม่ได้ แต่.." ฟองคำถอนใจ "เด็กก็ไม่ผิด และเค้าไม่ควรจะมาเสี่ยง เพราะเธอถูกไล่ไปตอนนี้"
"แต่คงรู้นะ ว่าห้ามลบหลู่ธรรมชาติอีก ไม่อย่างนั้น เราคงอยู่ร่วมกันไม่ได้"
ครอบครัวของแสนอบรมปุ๊กลุกแล้วก็พากันเดินออกไป
ปุ๊กลุกอึ้งและจ๋อยสนิท
อ่านต่อหน้า 3
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 12 (ต่อ)
สินไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้รู้เรื่องจากสิงห์
"นี่หนูอันยาจะปลูกสตรอว์เบอร์รีโดนยาฆ่าหญ้าต่องั้นเหรอ แล้วมันจะขึ้นมั้ย" สินถาม
หนานปิงกับฟองคำต่างนิ่งกันไปเพราะไม่เห็นทางรอด
“...ปลูกต้นไม้กับมือตัวเองเป็นครั้งแรก คงทำใจไม่ได้ ที่จะปล่อยให้ตาย"
แสนที่เดินผ่านมาได้ยินเข้าในใจลึกๆ ของเขาก็อดสงสารไม่ได้
อันยาพยายามกู้ชีพสตรอว์เบอร์รีด้วยการย้ายแปลงปลูกขนานใหญ่ เวลาผ่านไป อันยาขมีขมันในการขุดแปลงปลูกขึ้นใหม่อีกมุมหนึ่ง อันยาย้ายต้นอ่อนสตรอว์เบอร์รีที่ดูอ่อนแอมาก อันยาแซะดินรอบๆโคนต้นแล้วเอาต้นไม้ออกมาอย่างเบามือ
ต้นที่ย้ายได้มีจำนวนไม่มากเพราะที่เหลือโดนยาเต็มๆ จนเฉาเกินเยียวยา อันยาเข้ามาบริเวณต้นที่ใกล้ตายแล้วกลั้นใจก่อนจะถอนต้นที่หมดสภาพออก ต้นที่ตายแล้วถูกเอามากองรวมกันเพื่อเอาไปทิ้ง อันยาดึงถุงมือออกมาแล้วป้ายน้ำตาที่ซึมออกมาจากขอบตาของตัวเอง
แสนซึ่งผ่านมาหยุดยืนมองอันยาอยู่ห่างๆ แล้วก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง แสนเลยจะผละไป สิงห์เห็นท่าทีของแสนแล้วก็ชิงพูดก่อน
"รู้มั้ย ทำไมอันยาถึงไม่ยอมปล่อยให้สตรอว์เบอร์รีตาย" สิงห์ถาม
แสนนิ่ง
"เพราะเค้าอยากให้นายเห็นความตั้งใจของเค้า สตรอว์เบอร์รีนั่นน่ะมันคือ “ความเชื่อใจ” ที่เค้าอยากจะปลูกมันขึ้นมาใหม่ในใจของนาย แสน ในเมื่อนายช่วยเค้าได้ ทำไมถึงไม่ทำ"
"ผมไม่รู้วิธีกู้ชีพสตอรว์เบอร์รีจากยาฆ่าหญ้าหรอกนะครับ" แสนบอก
"ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น หมายถึง ช่วยให้อภัยน่ะ แค่นายยอมให้อภัย อันยาก็ไม่ต้องมาฝืนตัวเองอยู่แบบนี้!”
"ผมบอกเค้าแต่แรกแล้ว ว่าไม่ต้องทำ ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ให้กลับไปซะ!!แต่เค้าก็ไม่ฟัง" แสนตัดบท "เค้าทำตัวของเค้าเอง"
แสนพูดอย่างใจแข็ง แต่ทว่ากลับมีแวววูบไหวในดวงตา เขาพยายามฝืนนิ่งไว้ก่อนจะเดินไป ทำเหมือนกับว่าไม่สน สิงห์มองตามแสนแล้วถอนใจในความใจแข็งของแสน
แสนพยายามจะนั่งอ่านตำราแต่กลับไม่มีสมาธิ
เขานึกถึงตอนที่อันยาพยายามกู้ชีพสตรอว์เบอร์รีอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ยอมแพ้ และนึกถึงที่สิงห์พูด
"ช่วยให้อภัยน่ะ แค่นายยอมให้อภัย อันยาก็ไม่ต้องมาฝืนตัวเองอยู่แบบนี้"
แสนปิดหนังสือเพราะสมาธิกระเจิง ฟองคำถือถาดใส่เครื่องดื่มมาวางลง อาการของแสนบ่งบอกว่าเขาเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายใจ
"ดื่มชาสมุนไพรซะหน่อยนะ ทำให้จิตใจสงบดี" ฟองคำบอก
"ขอบคุณครับ"
แสนประคองถ้วยชาอุ่นๆขึ้นจิบ ฟองคำนั่งลงใกล้ๆลูกแล้วทำเป็นมองทิวทัศน์รอบข้างก่อนเอ่ยขึ้น
"แสนรู้มั้ย ว่าทำไมบ้านเราถึงไม่เลี้ยงนก"
"ไม่จำเป็นต้องเอานกมาขังกรง ก็มีนกเยอะแยะอยู่แล้วนี่ครับ"
"ใช่ เราไม่อยากขัง ขังนกไว้ในกรง หรือว่าขังคนให้ต้องอยู่กับความรู้สึกผิด มันก็ไม่ต่างกันหรอกนะ"
แสนชะงัก
"ถ้าแสนไม่ให้อภัย แล้วแสนมีความสุข แม่ก็จะไม่พูด เพราะสำหรับแม่ความสุขของลูกสำคัญที่สุด แต่แม่กลับเห็นว่าแสน..ไม่มีความสุข"
แสนวางถ้วยชาลง เมื่อถ้อยคำของฟองคำมากระทบใจเขา
"เราขังเค้าให้จมอยู่กับความรู้สึกผิด ก็เท่ากับเราขังตัวเราเองด้วย เหมือนเรายอมให้อดีตมันตามหลอกหลอนเราอยู่นะลูก"
"แล้วแม่ว่าผม ควรเสี่ยง งั้นเหรอครับ ?” แสนถาม
ฟองคำชะงักไปกับคำถามของแสน
"เวลาที่คนเราทำพลาด ครั้งแรก เราอ้างได้ว่า เราไม่รู้ ครั้งที่สอง เราอาจจะบอกได้ว่าเราเผลอ แต่ที่เค้าหลอกผมมามันนับครั้งไม่ถ้วน โกหกตลอดเวลาที่มาเป็นเลขาให้ผม"
ฟองคำรับรู้ได้ถึงความปวดร้าวของแสน
"ผมเสียงาน เสียความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือในสายตาของทุกคน และที่ยิ่งกว่านั้นไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเดือดร้อน ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการก็ต้องมาลำบากไปด้วย"แสนเจ็บปวดใจ "แล้วอย่างนี้ ผมควรจะเสี่ยงให้ตัวเองพลาดอีกงั้นเหรอครับ"
ฟองคำฟังแสนแล้วก็อึ้งจนพูดไม่ออก
ต้นสตอรว์เบอร์รีที่ย้ายมาปลูกใหม่บนแปลงเล็กๆ ยังคงซบเซาและไม่ยอมฟื้นตัว อันยาบรรจงรดน้ำลงไปอย่างเบามือ สิงห์เดินมาเห็นอันยายังหมกมุ่นอยู่ก็ไม่สบายใจ
อันยาหันมาเห็นสิงห์ "คุณสิงห์ ฉันใส่น้ำหมักชีวภาพไป แต่แค่นิดเดียวนะ เพราะกลัวต้นไม้จะรับไม่ไหว คุณว่า ฉันจะใส่เพิ่มดีมั้ย"
"อันยา ผมรู้ ว่าสตรอว์เบอร์รีพวกนี้ มันมีความหมายกับคุณ แต่..มันโดนยาฆ่าหญ้า แล้วสตอรว์เบอร์รีมันก็บอบบางกว่าหญ้าตั้งไม่รู้ว่ากี่เท่า"
อันยาชิงพูด "พวกมันเหมือนฉัน"
สิงห์ชะงัก
"สตรอว์เบอร์รีพวกนี้มีพิษตกค้าง.. มันแปดเปื้อนเหมือนฉัน ฉันไม่อยากให้มันตาย" อันยาบอก
"อันยา คุณก็เห็น ว่าสภาพมันตอนนี้เป็นยังไง"
"แต่มันก็ยังไม่ตาย.. บางที มันอาจจะฟื้น พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็ได้"
อันยาพูดแล้วก็หันกลับไปพรมน้ำให้สตรอว์เบอร์รีต่ออย่างขมักเขม้น
สิงห์ถอนใจเพราะนี่ก็ดื้ออีกคน
อันยาคุยมือถือกับลดา
"ขอโทษนะคะ ที่อันยังกลับไปหาคุณย่าไม่ได้"
ลดาชักเป็นห่วงหลานสาว
"หนูอัน หนูไม่เป็นไรจริงๆนะ"
อันยาเลี่ยงไม่ตอบแต่เห็นมืออันยาที่จับมือถือเอาไว้แตกและแดงไปหมด
"คุณย่า ขอหนูพยายามอีกนิด นะคะ.. ขอเวลา..ขอโอกาสให้หนูอีกหน่อย"
อันยาพูดกับย่าแต่คล้ายๆ กำลังพูดกับตัวเอง
สินคุมคนงานที่ตัดแต่งใบต้นสตอรว์เบอร์รีอยู่ หนานปิงมองไปบนท้องฟ้าแล้วดมกลิ่นในอากาศ เขาสัมผัสสายลมแล้วนิ่วหน้า
"อากาศ มันแปลกๆนะ ต้องมีอะไรสักอย่าง" หนานปิงบอก
สินและคนงานฟังหนานปิงด้วยความแปลกใจ
ในทีวีมีภาพการรายงานข่าวจากผู้สื่อข่าว
"ขณะนี้ไฟป่าได้ลุกลามไปกว่าหลายพันไร่ คาดว่าสาเหตุเกิดจากการเผาป่าเพื่อบุกรุกพื้นที่ป่าของนายทุน..ทำให้เกิดกลุ่มหมอกควันกระจายไปทั่วบริเวณ"
สิน ฟองคำ และสิงห์ดูทีวีกันอยู่
"พ่ออุ๊ยนี่แม่นจริงๆ เมื่อเที่ยงแกบอกฉันว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ที่แท้ประเทศเพื่อนบ้านเรามีไฟป่า"
"แล้วหมอกควันมันมาถึงนี่เลยเหรอ" สิงห์ถาม
"ไม่หรอก แต่...คนที่อยู่กับธรรมชาติ สัมผัสกับมันมานาน พอดิน น้ำ อากาศเปลี่ยนแปลงไปแค่นิดหน่อย ก็ดูออก"
ฟองคำมองภาพไฟป่าในทีวี "ไม่น่าเลย เพราะความโลภของคนแค่ไม่กี่คนแท้ๆ"
"น้าสิน แล้วแบบนี้ มันจะมีผลอะไรกับไร่ของเรารึเปล่า?”
สินนิ่งไปกับคำถามของสิงห์
สิงห์บอกกับอันยาซึ่งยังปักหลักอยู่ที่แปลงปลูก
"ถึงหมอกควันจากไฟป่าจะมาไม่ถึงนี่ แต่มันก็มีผลกระทบในวงกว้าง ทำให้อากาศร้อนขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งอากาศที่นี่ด้วย"
อันยามองต้นสตรอว์เบอร์รีที่ยังคงไม่ฟื้นตัวแล้วก็รู้สึกเหมือนจะเห็นลางร้าย
"กับต้นที่แข็งแรง ก็อาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้า.." สิงห์มองสตอรว์เบอร์รีของอันยา "ต้นไม้อ่อนแออยู่แล้วล่ะก็"
"คุณจะบอกฉัน ว่ามันไม่มีประโยชน์ใช่มั้ย ยังไงพวกมันก็จะตาย"
สิงห์นิ่งไม่ตอบอะไรแต่สีหน้านั้นแทนคำตอบแล้ว
"ทำไม ทำไมต้องเป็นตอนนี้! เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ"
"เมื่อก่อนคุณอยู่ในเมือง คงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่กับที่นี่ ทุกอย่างมันตรงไปตรงมา ถ้าธรรมชาติแย่ เราที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็จะได้รับผลนั้นทันที"
อันยาอึ้ง
"ธรรมชาติให้ทุกอย่างกับเรา แล้วก็เอาทุกอย่างคืนไปได้ตลอดเวลา" สิงห์บอก
"แต่ไฟป่าครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือธรรมชาติ มันเป็นเพราะคนบุกรุกป่า" อันยาบอก
"การกระทำของคน ส่งผลต่อธรรมชาติยังไงล่ะ"
อันยาอึ้ง ก่อนจะต้องยอมรับ "แล้วมันก็ทำให้ความพยายามของฉัน..ไม่ส่งผล" อันยามองสตรอว์เบอร์รีด้วยความเศร้ามาก "ไม่ส่งผลต่ออะไรเลย"
อันยาทรุดลงข้างแปลงปลูกอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วจู่ๆ แววตาของเธอก็เกิดเป็นประกายขึ้นมา
"ไม่สิ ฉันยังไม่ได้ถามคนคนนึง คุณแสน เค้าเก่งจะตาย เค้าต้องรู้ เค้าต้องช่วยสตรอว์เบอร์รีพวกนี้ได้!”
อันยาว่าแล้วก็วิ่งพรวดพราดไปทันที
แสนขนกระเป๋าเดินทางขนาดปานกลางออกมา สินไม่อยากจะเชื่อ หนานปิงก็หน้าตื่นไม่แพ้กัน
"จะไปช่วยงานวิจัยของเพื่อนที่เชียงรายสักพัก?” สินว่า
"ครับ"
"แล้วสักพักนี่มันนานแค่ไหน" หนานปิงถาม
"ผมก็ไม่แน่ใจ อาจจะ สัก 2-3 เดือน" แสนตอบ
สินกับหนานปิงฟังแสนตอบแล้วก็อึ้งไปทันที
ฟองคำปลอบพ่อสามีและสามี "เชียงราย ก็ใกล้ๆแค่นี้เอง"
"มันไม่ใช่ใกล้หรือไกล ก็ไหนว่าจะอยู่ช่วยกันปลูกสตรอว์เบอร์รี"
"ผมเตรียมปุ๋ยชีวภาพ ไหลล็อตใหม่ที่จะเอามาลง แล้วก็น้ำยาสมุนไพรไล่แมลงเอาไว้ให้หมดแล้ว"
"ฉันถามจริงๆ ที่แกจะไปเนี่ย เพราะหนูอันยาใช่มั้ย"
แสนชะงักไป
สินมองหน้าแสนอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ฟองคำ และหนานปิงต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ ปุ๊กลุกที่ช่วยงานบ้านอยู่ใกล้ๆ เดินมาดูเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าแสนจะไม่อยู่แล้ว
"แค่หนูอันยาอยู่ที่นี่ แกถึงกับจะต้องหนีไปที่อื่นเลยเหรอ งั้นแกจะให้พวกฉันทำยังไง ห๊ะ แกบอกมาซิ" สินว่า
"ทุกคนไม่เห็นต้องทำอะไร ผมก็แค่จะไปช่วยงานวิจัยของเพื่อน" แสนบอก
"พ่อ ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องใส่อารมณ์ด้วย" ฟองคำว่า
"ก็ไม่ใส่ได้ยังไง มันทำแบบนี้ เท่ากับว่าพวกเราทำผิดสิใช่มั้ย ที่ให้หนูอันยาเข้ามาอยู่ที่นี่"
"พ่อไม่ผิดหรอกครับ แล้วก็ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ไว้ผม..จะกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ" แสนบอก
แสนจะขนกระเป๋าออกไป
สินไม่ยอม "ไอ้แสน แกเป็นลูกฉัน ต่อให้จบด็อกเตอร์มาจากไหน แค่อ้าปากฉันก็รู้นิสัยแกอยู่ดี เวลาที่แกไม่พอใจ แต่ไม่อยากทำร้ายจิตใจใคร แกก็จะเป็นฝ่ายไปซะเอง"
แสนรู้สึกกระทบใจกับคำพูดของสินอย่างแรงแต่ก็ยังข่มใจเอาไว้
"ทำไมห๊ะ กะอีแค่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นี่ มันจะเป็นอะไรนักหนา"
อันยาเดินเข้ามาพร้อมสิงห์
แสนทนไม่ไหว "ก็แล้วก่อนหน้านั้น ทำไมถึงไม่มีใครถามผมบ้าง" แสนพยายามสะกดอารมณ์ "เรื่องที่จะให้เค้ามาอยู่ที่นี่"
ทุกคนชะงัก ในที่สุดแสนก็พูดออกมา
"ผม..ก็พยายามจะอดทน..มากที่สุดแล้ว"
อันยาได้ยินสิ่งที่แสนพูดแล้วก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง
"หนูอันเค้าก็พยายามจะชดใช้ ไถ่โทษให้ทุกอย่าง แสน..ลูกให้อภัยเค้าไม่ได้จริงๆเหรอ"
อันยาบีบมือแน่น
"ผมอาจจะอภัยให้เค้าก็ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้ ตอนนี้ และต่อให้ผมอภัยให้เค้าได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผม ไม่มีทางจะเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ไม่มีวัน" แสนบอก
ทุกคนชะงัก เมื่อแสนเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจตัวเองออกมา
เสียงอันยาดังขึ้น "อย่างนี้เอง!”
แสนและทุกคนหันไปเห็นอันยาก็อึ้ง
อ่านต่อหน้า 4
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 12 (ต่อ)
แสนและครอบครัวไม่นึกว่าอันยาจะมาได้ยินเองกับสองหู
"เข้าใจแล้ว...ฉันเข้าใจแล้ว ว่าคุณไม่มีวันเลิกเกลียดฉัน!”
"หนูอันยา" ฟองคำตกใจ
อันยาปวดร้าวใจจะขาด แสนอึ้ง แม้ไม่ตั้งใจจะทำให้เจ็บกว่านี้แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้
"ที่ผ่านมา บางคนเรียกฉันว่าคนทรยศ บางคนก็เรียกว่านังมาร บางคนว่าฉันชั่ว ว่าฉันเลว! แต่คุณรู้มั้ย ไม่มีคำไหนที่มันฆ่าฉันได้ ทำกับคำพูดเมื่อกี๊นี้ของคุณ" อันยาบอก
อันยาน้ำตาแตก เพราะหลงคิดไปเองว่าจริงๆแล้วแสนจะใจอ่อนลง
"ฉันมันบ้า โง่ เพ้อไปเอง! หลงคิดว่าที่คุณดีกับฉัน คงเพราะคุณเริ่มจะให้อภัย คุณคงมองเห็น..ความตั้งใจของฉันบ้าง แต่จริงๆแล้ว" อันยาทั้งเจ็บ ทั้งอาย "คุณก็แค่..สมเพชฉัน"
แสนยังคงนิ่งไม่พูดอะไรออกมา
"ทำไม คนที่เคยทำผิด สำนึกผิดไม่ได้หรือยังไง คุณมีหัวใจ โดนทำร้าย เจ็บปวดกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ว่าฉันสบายดีใช่มั้ย คุณมองฉันสิคุณแสน คุณว่าฉันสบายดีรึเปล่า ?”
แสนมองอันยาอย่างปวดร้าว แต่ก็กัดฟันพูดออกไป
"คุณก็ยังสบายดี กว่าอีกหลายคนที่เค้าต้องลำบากเพราะการกระทำของคุณ"
อันยาช็อคจนแทบทรุดเพราะไม่นึกว่าแสนจะย้อนมาแบบนี้
"แสน..." ฟองคำปรามลูก "ทำไมถึงพูดแบบนี้"
"นี่คุณฉันเกลียดฉัน เกลียดฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ" อันยาถาม
"ผมก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายความรู้สึกคุณ ถ้าหากว่าคุณไม่มายุ่งกับผมก่อน ถ้าคุณยอมรับในสิ่งที่ผมบอก ว่าเราอย่าพบอย่าเจอกันอีก มันก็หมดปัญหาไปนานแล้ว!”
"ใช่ ปัญหามันหมดสำหรับคุณ แต่สิ่งที่คุณพูด ว่าอย่าพบอย่าเจอกัน พูดไม่ให้ฉันเจอคุณ.. นั่นแหละปัญหาใหญ่ของฉัน มันเป็นเรื่องที่ฉันยอมไม่ได้"
อันยาสะอื้นจนใจจะขาด
"ไอ้แสน นี่แกต้องให้เค้าทำยังไง มันถึงจะสาแก่ใจแก ห๊ะ" สิงห์ว่า
อันยาส่ายหน้า "อย่าว่าเค้าเลยค่ะ อย่าให้ฉันต้องเป็นคนเลวกว่านี้" อันยากลั้นใจบอกแสน "คุณแสน ตกลงค่ะ ฉันยอมแล้ว.. เรา..อย่าพบ..อย่าเจอกัน...อีก"
อันยากลั้นความปวดร้าวที่สุดในหัวใจ น้ำตาของเธอพร่าเต็มทั้งสองตา ก่อนที่เธอจะเดินจากไป
สิน ฟองคำ สิงห์ และหนานปิงใจหายเพราะความสงสาร แสนมีอาการสะเทือนแต่ก็พยายามคุมตัวเองให้นิ่งไว้
แม้แต่ปุ๊กลุกก็ไม่อาจจะรู้สึกสะใจกับความเจ็บปวดของอันยาในครั้งนี้ได้
อันยาวิ่งสะเปสะปาจนมาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง ด้วยความรู้สึกทรมานกับแผลใจที่เธอเพิ่งได้รับมา
อันยานึกถึงคำพูดของแสน"ต่อให้ผมอภัยให้เค้าได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผม ไม่มีทางจะเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ไม่มีวัน"
อันยาทรุดลงกับพื้นด้วยความร้าวรานใจ
สิงห์ทนไม่ได้กับความเย็นชาของแสน
"แสน แกพูดเกินไปแล้วนะ แกอยากให้เค้ารู้สึกผิดไปจนวันตายรึไง บ้านเราไม่เคยมีคนใจดำแบบนี้”
แสนยังนิ่งไม่ตอบโต้
"เฮ่ย..ยังจะมาเถียงกันต่ออีกเหรอ" สินพูดกับแสน "แสน ไอ้สิงห์มันก็พูดถูก พ่อว่าแกพูดแรงไปว่ะ ไปขอโทษหนูอันเค้าหน่อยดีมั้ย เดี๋ยวเกิดคิดสั้นขึ้นมาล่ะแย่เลย"
"แต่ถ้าผมยังทำดีกับเค้า เค้าก็จะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปอีก" แสนว่า
ฟองคำชะงักไปเพราะเข้าใจแสนขึ้นมาทันที
"ทำเพื่อไล่เค้าไป แต่เราต้องเป็นคนใจร้ายสำหรับเค้าตลอดไป มันดีแล้วเหรอแสน" ฟองคำพูดกับหนานปิง "พ่ออุ๊ย ช่วยกล่อมหลานชายหน่อยเถอะ"
สิน สิงห์ และฟองคำต่างมองมาที่ความหวังสุดท้ายเป็นตาเดียว
หนานปิงนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนบอก "ไม่ต้องไปกล่อมมันหร๊อก"
สิน สิงห์ และฟองคำอึ้งกันไป เมื่อหนานปิงดูท่าจะเข้าข้างแสน
"ถ้ามันโง่ ปฏิเสธความรู้สึกของตัวมันเอง เดี๋ยววันนึงมันก็จะรู้สึก" แล้วหนานปิงก็อ่อนลง "เหมือนกับ ที่ฉันเองก็เคยเป็น"
หนานปิงช้อนสายตามองแสนอย่างรู้ทัน
"ฉันน่ะไม่ห่วงหนูอันยาเลย เพราะว่าเค้าได้ทำทุกอย่างแล้ว ไอ้แสนต่างหาก ที่น่าเป็นห่วง แกจำคำของพ่ออุ๊ยไว้ ไม่มีเกราะ รั้ว หรือกำแพงอันไหน กั้นคนเราออกจากหัวใจของตัวเองได้.. ถ้าแกหนีไปครั้งนี้ แกเองนั่นแหละ ที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ"
หนานปิงทำนายอย่างมั่นใจ แสนข่มใจนิ่งอยู่ท่ามกลางความรู้สึกที่ปั่นป่วนมากมายที่อยู่ภายใน
อันยาหน้าตาบวมช้ำ แก้มเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตา เธอโทรศัพท์หาลดาแต่ไม่มีคนรับสาย จนโทรศัพท์ตัดเข้ารับฝากข้อความ
"นี่เป็นบริการรับฝากข้อความ กรุณาฝากเบอร์โทร หรือหมายเลขโทรกลับ...”
"คุณย่าคะ.." อันยาพยายามคุมเสียงที่สั่นให้ปกติที่สุด "อันจะกลับไปหาคุณย่า" อันยากลั้นสะอื้น "อันจะกลับบ้านเราแล้วนะคะ"
สิ้นสุดการฝากข้อความ อันยากดวางสาย อันยาแทบหมดเรี่ยวแรงเพราะรู้สึกตัวเองล้มเหลวไม่เป็นท่า
ฟองคำมายืนส่งแสนที่เตรียมจะเดินทาง ทั้งสองคนยืนอยู่ใกล้รถกระบะที่แสนเป็นคนขับเอง
ฟองคำส่งห่อใส่อาหารแห้งต่างๆให้ "นี่ให้แสนเอาไปฝากเพื่อน แล้วนี่ก็เก็บเอาไว้กินนะลูก"
"ขอบคุณนะครับ" แสนบีบมือแม่ "ไม่โกรธผมใช่มั้ย ?”
ฟองคำกอดแสนเพราะทั้งเห็นใจและอาลัย
"แสนโตแล้ว มีสิทธิ์คิด ตัดสินใจเอง" ฟองคำนิ่งไป เธอเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้ไปที่เบาะหลังซึ่งมีลังอยู่ 2 ใบ "เออ แม่ฝากเอาน้ำสตอรว์เบอร์รีพวกนี้ไปให้เด็กๆที่โรงเรียนด้วยนะ ไหนๆก็เป็นทางผ่านของเราอยู่แล้ว"
"ไม่มีปัญหาครับ" แสนบอก
แสนไหว้ลาฟองคำ ฟองคำลูบหัวลูกชาย แสนเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป พอรถแสนแล่นไปแล้ว สิงห์ก็เดินออกมา
"ใจแข็งจนหยดสุดท้ายจริงๆ" สิงห์ว่า
"ถ้าอยู่แถวนี้ ทำไมไม่ออกมาส่งกันดีๆ"
"ไม่ล่ะครับ หมั่นไส้คนปากแข็ง เดี๋ยวผม พ่ออุ๊ย กับน้าสินจะเข้าหมู่บ้านไปประชุมเรื่องพัฒนาทางน้ำ" สิงห์เป็นห่วง "ยังไง ฝากคุณน้าดูอันยาเค้าหน่อยนะครับ"
"จ้ะ ทุกคนไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง" ฟองคำบอก
ฟองคำรับคำโดยที่ไม่นึกเลยว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
อันยาเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางโดยเก็บของไปก็ปาดน้ำตาที่ซึมออกมาเป็นระยะไป อันยาข่มใจที่แหลกสลายแล้วพยายามจัดกระเป๋าต่อไป
อันยาซึ่งแต่งตัวพร้อมเดินทางแล้วมาดูแปลงสตรอว์เบอร์รีซึ่งต้นไม้เหี่ยวเฉารอวันตาย อันยาคุกเข่าก้มลงมองแปลงต้นไม้ที่ปลูกมากับมือใกล้ๆ เธอแตะใบที่สลดนั้นเบาๆ ด้วยความเศร้าใจที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้
อันยาลากกระเป๋ามาตามทางพลางคุยมือถือไปด้วย
"ไม่มีรถว่างเข้ามาแม่อายเลยเหรอคะ ถ้ามีรถเมื่อไหร่ ช่วยขึ้นมารับฉันให้เร็วที่สุดนะคะ"
อันยาวางสายแล้วครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี พอเห็นปุ๊กลุกที่เดินตัวเกร็งๆเข้ามาหาเธอก็แปลกใจ
"มีอะไรอีก ฉันไม่ว่างทะเลาะด้วยหรอกนะ" อันยาบอก
ปุ๊กลุกส่ายหน้าด้วยท่าทางที่อัดอั้นมาก
"จะบอกให้นะ สตรอว์เบอร์รีพวกนั้นตายหมดแล้ว แล้วฉันก็จะกลับแล้วด้วย พอใจรึยัง"
ปุ๊กลุกส่ายหน้าอีก
"ถ้าขนาดนี้ยังไม่พอใจ ฉันก็ช่วยไม่ได้แล้ว !" อันยาจะเดินไป
ปุ๊กลุกจับแขนอันยาไว้ทันที
"ช่วย..ด้วย... ฉันปวดท้อง แล้ว แล้วมันก็มีน้ำๆอะไรไม่รู้..” ปุ๊กลุ๊กบอก
อันยามองที่เท้าปุ๊กลุกก็เห็นน้ำนองลงมาที่เท้า อันยาตกใจมาก
ฟองคำกระวนกระวายไปด้วย
"พอแสนไปแล้ว ทุกคนก็ออกไปธุระที่หมู่บ้านกันหมด พวกคนงานก็ไปช่วยงานที่นั่นด้วย" ฟองคำบอก
"งั้น..งั้นเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ" อันยาถาม
อันยาหันไปมองปุ๊กลุกที่เบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดแต่มือของเธอก็พยายามกดมือถือไปด้วย พอเห็นอันยามองปุ๊กลุ๊กก็รีบแหกปากร้อง
ปุ๊กลุกเก็บมือถือ "พี่แสน ทำไมทิ้งเมียกับลูกไปแบบนี้ ฮือ...โอ๊ย...อย่าปวดนักได้มั้ย"
"มีโรงพยาบาลในตัวอำเภอ อยู่ห่างไปจากนี่สามสิบกิโล" ฟองคำบอก
"สามสิบโล !!” อันยาตกใจ
ฟองคำพยักหน้า "ต้องลงเขาไป"
อันยาตกใจ "ลงเขา !!”
"โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว"
"แล้วมีใคร พอจะขับรถเป็นมั้ยคะ" อันยาถาม
"มีฉันอยู่คนเดียว ฉันขับไม่เป็น" ฟองคำมองปุ๊กลุก "กรรมเวรอะไรยังงี้ ต้องมาคลอดเอาวันนี้ด้วย
แม่หนูเอ๊ย"
"แล้ว.." อันยาตัดสินใจถาม "ที่นี่มีรถ ใช่มั้ยคะ?”
ฟองคำมองหน้าอันยาแล้วก็ตกตะลึงไป แต่ว่าปุ๊กลุกก็ร้องโอดโอยขึ้นมาอย่างหนัก
อันยาสตาร์ทรถ ฟองคำประคองปุ๊กลุกจะให้เข้าไปนั่งในรถ แต่ปุ๊กลุกส่ายหน้า
"คุณแม่ขา...นังนี่มันจะฆ่าหนูรึเปล่า ไม่เอา!! หนูไม่ไปกับมันนะ"
ฟองคำมองหน้าอันยาเหมือนจะถามความแน่ใจ
"ฉันเคยขับรถเกียร์กระปุก แค่..ไม่ได้ขับ ไม่กี่ปี" อันยาบอก
"ไม่กี่ปี น่ะมันกี่ปี !” ปุ๊กลุ๊กถาม
"ก็.. สัก10 ปี แค่นั้นล่ะ"
"สิบปี !" ปุ๊กลุ๊กช็อค "ไม่อ๊าว..หนูจะรอพ่อสินกลับมา" ปุ๊กลุ๊กกลัว "หนูไม่ไป ไม่ไป !!”
ฟองคำประคองปุ๊กลุกที่ออกฤทธิ์ออกเดชไว้แล้วมองหน้ากันกับอันยาว่าจะเอายังไงดี ปุ๊กลุกฟาดหัวฟาดหาง แต่แล้วจู่ๆปุ๊กลุกก็หยุด
"เป็น.. เป็นอะไรหนู" ฟองคำถาม
"ปวด โอ๊ยย...ไม่ไหวแล้ว"
ฟองคำกับอันยามองหน้ากันเพราะไม่มีทางเลือกแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 13