อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 9
รถอันยาแล่นเข้ามาในลานจอดรถ คิมหันต์ที่นั่งมาด้วยมีท่าทางหวาดๆ ทั้งสองคนตระเตรียมจะมาทำเรื่องบางอย่าง โดยที่อันยาในตอนนี้สีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย เพราะภายในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ที่อัดแน่น
"แน่ใจแล้วเหรอเจ๊...มันเสี่ยงนะ" คิมหันต์ถาม
"ถ้าทำเลวขึ้น แต่ทำดีไม่ขึ้นก็ให้มันรู้ไป" อันยาถอนใจ "ผ่านมาตั้งนานแล้ว ก็ยังติดต่อด็อกเตอร์ไม่ได้ ฉันคงไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้ทำเรื่องนี้"
คิมหันต์ฮึด "เอ๊า เป็นไงเป็นกัน"
คิมหันต์เตรียมจะลุก แต่อันยากลับยังนั่งอยู่ท่าเดิม คิมหันต์มอง
"ฉัน.. ชักกลัวๆแล้ว" อันยาบอก
"โถ่เอ๊ย จริงๆก็ป๊อดเหมือนกัน" คิมหันต์ถอนใจ "แล้วตกลง จะไปมั้ย?”
อันยาและคิมหันต์กำลังแลกบัตรกับร.ป.ภ. พนักงานที่เดินผ่านไปมามองอันยาด้วยสายตาสงสัย ไม่สนิทใจ และไม่ทักทาย คิมหันต์พยักหน้าให้กำลังใจ อันยาฮึดแล้วยืนหยัดอยู่ต่อ แต่แล้วเพียงดาวก็เดินเข้ามา
"ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเธอยังกล้ากลับมาที่นี่อีก" เพียงดาวว่า
"ฉัน...ฉันมีธุระกับด็อกเตอร์แพม" อันยาบอก
"แต่ฉันว่าด็อกเตอร์ เค้าคงไม่มีธุระกับคนอย่างเธอหรอก กับอดีตเจ้านายเธอ เค้ายังไม่คุยเลย" เพียงดาวบอกร.ป.ภ. "คืนบัตรให้เค้าไป"
อันยาชะงักว่าจะทำยังไงดี พอดีเมขลาและเอกชัยออกมาซะก่อน
"อันโกะ อันโกะจริงๆด้วย"
"คุณอัน" เอกชัยเบียดเพียงดาวเข้ามาหาอันยาเลย "ดีใจจัง คิดถึงอยู่พอดี"
"คุณคิมหันต์ นี่มาด้วยเหรอคะเนี่ย" เมขลาแปลกใจที่คิมหันต์มาด้วย
"เมื่อกี๊นี้ มีคนจะไม่ให้เราเข้าบริษัทน่ะครับ"
เพียงดาวหน้าตึง
เอกชัยเอาบัตรคืนอันยาและคิมหันต์แล้วบอกร.ป.ภ. "ไม่ต้องแลกหรอกครับ คนกันเอง ไปครับพี่เอกเซอร์วิสเอง"
เอกชัย และเมขลาพาอันยากับคิมหันต์เข้าไป เพียงดาวเหวอและทำอะไรไม่ถูก
"ถ้าคุณแพมไม่พอใจ รับผิดชอบกันเองนะยะ ! ฮึ่ย"
เพียงดาวหัวเสีย
อันยาสารภาพต่อหน้าพิลาสินี
"เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ไม่ใช่ความผิดของด็อกเตอร์แสน ฉันเอง..เป็นคนอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพราะงั้น.. คุณอย่าโกรธเค้าเลยนะคะ"
พิลาสินีนิ่งไป อันยาลุ้นว่าจะโดนเอาเรื่องหนักมากไหม
"เดี๋ยวนี้แสน..เค้าเป็นคนอย่างนี้แล้วเหรอ" พิลาสินีว่า อันยาไม่เข้าใจ "ให้เลขามาออกหน้ารับความผิดแทน"
"ไม่ใช่นะคะ ฉันบอกคุณแล้วไง ว่าเป็นฝีมือฉัน" อันยาย้ำ
"เธอ.. " พิลาสินีมองอย่างไม่เชื่อ "ผู้หญิงอย่างเธอเนี่ยนะ ?”
อันยารู้ว่าโดนตัดสิน "ในสายตาคุณ ฉันอาจจะดูไม่ฉลาด พอที่จะทำเรื่องหลอกใครๆได้ทั้งบริษัทแต่ ถ้าฉลาดตัดสินเกินไป คุณก็อาจจะพลาดความจริงตรงหน้าได้นะคะ"
"นี่ !” พิลาสินีไม่พอใจ
"คุณแสนเป็นคนยังไง คุณเองก็น่าจะรู้ ทำไมคะ กลัวว่าถ้าเชื่อในความดีของเพื่อนแล้วจะกลายเป็นคนโง่ ความฉลาด สำคัญยิ่งกว่าเพื่อนแท้อีกเหรอคะ" อันยาว่า
"อย่ามาพูดเหมือนรู้ดี ! ถ้าแสนบริสุทธิ์จริง ทำไมเค้าไม่มาพูดกับฉันด้วยตัวเอง ให้เค้าเอาหลักฐานมายืนยันกับฉันสิ"
อันยาอึ้ง
"ไม่มีใช่มั้ยล่ะ ถ้าไม่มีหลักฐาน ฉันจะไม่เชื่ออะไรอีกเด็ดขาด กับเรื่องที่ผ่านมา มันก็เจ็บมากพอแล้ว ! เชิญกลับไปได้"
อันยารู้ว่าไม่มีทางพูดปากเปล่าให้พิลาสินีเชื่อได้จริงๆ
ที่ร้านกาแฟ อันยาไม่อยากจะเชื่อ
"จะช่วยให้คนๆนึง..หลุดจากความผิดที่เราก่อขึ้น...มันยากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมขลาและเอกชัยรู้เรื่องที่อันยาทำทั้งหมดแล้ว เมขลาทนนั่งอึดอัดต่อไม่ไหวจึงลุกขึ้นเดินไปทันที
"น้องเม" เอกชัยมองตาม
คิมหันต์เดินตามเมขลามา "คุณเป็นอะไร....”
อันยาเดินตามมาและได้ยินที่เมขลาพูด
"ถ้าฉันนั่งอยู่ต่อ ฉันอาจจะต่อว่าอันโกะ เค้าหักหลังด็อกเตอร์ ทั้งที่ด็อกเตอร์ดีกับเค้ามากหักหลังพวกเรา" เมขลาสะกดกลั้นอารมณ์ "แต่เค้าก็เสียใจมากอยู่แล้ว ฉันไม่รู้จะทำยังไง"
"ที่เมโกรธฉันมันก็ถูกแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่ฉันทำ มันแย่มากจริงๆ"
เมขลายังไม่หันหน้าไปมองเพราะรู้สึกโมโหอันยาจริงๆ
"เมจะว่าอะไรฉัน ก็ว่ามาได้เลย" อันยาบอก
"มันไม่มีประโยชน์ !”
"เมจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ คนที่โง่ที่สุด ไม่ใช่เม ไม่ใช่ด็อกเตอร์แสน แต่คือตัวฉันเอง ฉันโง่ที่ไม่เห็นค่าสิ่งดีๆที่ฉันได้รับ..จากที่นี่ จากคุณเอก จากเม ทั้งสองคนเห็นฉันเป็นเพื่อน แต่ฉันยังติดอยู่กับความฝันบ้าๆ ที่สุดท้ายมันก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง ฉันคือคนที่โง่ที่สุด"
อันยาทั้งเสียใจและเสียดายที่ตัวเองย้อนเวลากลับไปไม่ได้
"ผมเชื่อ...ว่าคุณอัน ไม่ได้หลอกพวกเราแล้ว" เอกชัยบอก
"คุณเอก...”
"ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว คุณยังโชคดีที่คิดได้ อีกอย่าง ผมน่ะ ชอบผู้หญิงร้ายๆ" เอกชัยบอก
"เฮ้อ..มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย" คิมหันต์ถอนใจ
"เม ฉันขอโทษ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยให้ฉันได้คุยกับด็อกเตอร์แพม ถึงเค้าจะไม่เชื่อฉันสำหรับฉัน...ฉันจะจำเพื่อนดีๆอย่างเม.. ไปตลอด"
เมขลาทนไม่ไหวจึงหันกลับมา เพราะจริงๆก็แคร์อันยามาก
"อันโกะ รับปากกากับเมนะ ห้ามกลับไปทำแบบนั้นอีก" เมขลาว่า อันยาพยักหน้า "แล้วก็เรื่องด็อกเตอร์ มีแต่เธอคนเดียว ที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้"
"แต่ด็อกเตอร์ไม่ยอมฟังฉันเลย แล้วฉันก็ติดต่อเค้าไม่ได้" อันยาบอก
"อย่ายอมแพ้ จะทำให้ด็อกเตอร์ยอมรับอีกครั้ง อาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าเดิม แต่เธอก็ต้องทำนะ เธอไม่ควรเสียคนดีๆอย่างด็อกเตอร์แสน..ไปจากชีวิตเธอนะ" เมขลาบอก
อันยาไม่แน่ใจ "ถึงฉันไม่รู้ ว่าจะทำได้มั้ย แต่ขอบใจเธอมากนะเม ขอบใจนะ"
เมขลารับรู้ได้ถึงความจริงใจของอันยาจึงเข้าไปกอดปลอบใจ คิมหันต์และเอกชัยมองภาพสองสาวคืนดีกันแล้วก็โล่งอก
อันยาสารภาพความจริงทั้งหมดกับลดา
"หนูเป็นเลวใช่มั้ยคะคุณย่า...”
ลดานิ่งอึ้งไป
"ทีแรกหนูไม่กล้าเล่าให้คุณย่าฟัง หนูกลัวว่าคุณย่าจะโกรธ แล้วก็..อาการโรคหัวใจจะกำเริบ"
"หนูอัน..ย่ารู้แล้ว พ่อคิมบอกย่า" ลดาบอก อันยาอึ้ง
"แต่อย่าโทษพ่อคิมเค้าเลยนะ ย่าถามเค้าเอง"
หลายเดือนก่อน ลดาอยู่กับหลานสาวในอิริยาบถต่างๆ ทั้งตอนกินข้าว ลดาเห็นอันยาไม่ค่อยกิน ตอนกลางวันนั่งดูทีวีด้วยกันอันยาก็นั่งเหม่อ ตอนกลางคืน ลดาก็เห็นอันยาพลิกตัวไปมาอย่างคนนอนไม่หลับ
ลดาอธิบายเหตุการณ์ในตอนนั้น "ย่าเห็นหนูอันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ วันๆเอาแต่นั่งเหม่อ แต่พอถามก็บอกว่าไม่มีอะไร"
ลดาบอกอันยา
"แต่ย่าต้องหาสาเหตุให้ได้ พอรู้แล้ว..ยอมรับว่าทีแรก ย่า..ไม่รู้จะพูดยังไงกับหนูดี"
อันยารู้ว่าย่าคงโกรธมากแน่ๆ
"ย่าก็เลยรอ.. ให้หนูพูดกับย่าเอง พอวันนี้ ย่าได้ฟังหนู ได้เห็นสายตาของหนู ย่าบอกได้ทันที ว่าหนูอัน ไม่ใช่คนเลว"
อันยาซึ้งที่ย่าเข้าใจ "คุณย่า...”
"ถ้าหนูผิด ย่าก็ผิดด้วย เพราะย่าติดชีวิตที่บ้านสวนมากเกินไป ทำให้รู้เรื่องของหลานสาวตัวเองน้อยเกินไป จนหนูมาเลือกทางเดินผิดแบบนี้"
"คุณย่าไม่ผิด อันโตแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จักคิด"
"เราอย่ามาโทษกันเลย ย่าอยากให้หนูรู้ ว่าย่า อยู่ข้างหนู...คนเรามีทั้งด้านที่มืดและสว่างอยู่ในตัวเองกันทุกคน ถ้าชีวิตให้หนูมองเห็นสิ่งที่มืดมนในตัวเองได้ มันก็คือช่วงที่ดีที่สุด นะ รู้มั้ย?”
"ดีเหรอคะ?” อันยาถาม
"ใช่ คนแก่อย่างย่า รู้เรื่องแบบนี้ดี เมื่อหนูรู้ว่าอะไรไม่ดี และไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นอีก มันคือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หนูจะไม่ตกเป็นทาสความต้องการผิดๆอีก"
"หนูจะไม่ทำพลาดอีกแล้วใช่มั้ยคะ" อันยาถาม
"อันยา หนูพร้อมแล้วนะ ที่จะไปขอโทษคุณแสน...คนที่ หนูรัก"
"คุณย่า"
"หนูกับคุณแสน รักกัน ใช่มั้ยลูก"
"หลังจากเกิดเรื่อง" อันยาขมขื่น "เค้าคงเกลียดหนูมากกว่า"
"แล้วตัวหนูเองล่ะ"
อันยามีแต่น้ำตาออกมาแทนคำตอบ
"เข้าใจล่ะ.... ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ หนูไม่สามารถลืมความเจ็บปวดเรื่องนี้ได้เลยใช่มั้ย"
อันยาพยักหน้าเพราะรอยแผลที่ทำร้ายคนอื่นยังไม่เลือนหายไปจริงๆ
"ถ้างั้น หนูก็ไปเถอะ อย่าปล่อยให้ตัวเองทรมานอยู่อย่างนี้เลย"
อันยางง "ไป?”
"ไปเก็บหัวใจที่ตกหายกลับคืนมา...ไม่งั้นหนูก็จะอยู่ด้วยความสงสัย และไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอด และไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ขอให้จำเอาไว้ ว่าย่ารักหนู หลานของย่าเสมอ"
ลดากอดอันยาโดยความอบอุ่นที่ได้รับจากย่ากลายเป็นกำลังใจครั้งใหญ่ให้กับเธอ
คิมหันต์ไม่อยากจะเชื่อสายตา อันยาอยู่ในมาดที่สดใสขึ้นพร้อมกระเป๋าเดินทางวางอยู่ข้างตัว
"ว๊าว เจ๊คนเดิมกลับมาแล้ว" คิมหันต์มอง "ประมาณ 80 %”
"ฉันจะไปเอาอีก 20% ที่เหลือกลับมา" อันยาบอก
ลดาลูบหลังหลานสาวเพื่อให้กำลังใจ
"หนูอันทำได้ ย่าเชื่อ"
"คุณย่านี่ยอดจริงๆ ผมน่ะ ลุ้นอยู่ตั้งนานว่าจะดีขึ้นเมื่อไหร่"
"ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง..ตลอดเลย"
คิมหันต์และลดายิ้มให้กันเพราะนี่คือคนสองคนที่รักและหวังดีกับอันยาจริงๆ
"เอ่อ คิมบอมบ์ มีอีกเรื่องนึง ที่ฉันคงต้องรบกวนแก" อันยาว่า
"รู้แล้วล่ะ" คิมหันต์บอก อันยางงว่ารู้ได้ไง "ผมเป็นมือขวาของเจ๊นะ เรื่องแค่นี้ไม่รู้ได้ไง ให้ช่วยหาหลักฐานล้างความผิดของด็อกเตอร์ ใช่มั้ย?”
"ฉลาดล้ำเกินไปแล้ว"
"ก็จะได้ล้างความผิดให้ตัวผมเองด้วย ที่ทำเรื่องไม่ดีกับคนดีๆอย่างนั้น"
"มันเป็นเพราะแกต้องช่วยฉัน"
"มันเป็นเพราะผมไม่หนักแน่นเองต่างหาก ถ้าผมไม่โลภ..ไม่กลัวตัวเองเสียผลประโยชน์ คงไม่ร่วมมือกับเจ๊หรอก ผมอาจจะเตือนเจ๊ไม่ให้ทำเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ"
อันยาอึ้งไป "ขอบใจนะ ที่แกไม่โทษฉัน"
"คนเรา โตแล้วมันต้องคิดเองได้ มาโทษคนอื่นอยู่ได้ไง เจ๊ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการเรื่องนั้นให้เอง แล้วระหว่างที่เจ๊ไม่อยู่ ผมจะดูแลคุณย่าให้"
"ไม่ต้องเป็นห่วงย่านะ เดินทางดีๆ ดูแลตัวเองดีๆนะลูก" ลดาบอก
อันยากอดลดาแล้วมายืนตรงหน้าคิมหันต์
"ขอกอดด้วย" อันยาบอก คิมหันต์เลิกคิ้ว อันยาไม่สน เธอเข้ามากอดทันที "แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ขอบใจมากนะ"
ลดามองอันยากอดคิมหันต์ด้วยความปลื้มใจ
คิมหันต์ตบหลังอันยาให้กำลังใจ "สู้ๆนะเจ๊"
อันยาคลายออกจากอ้อมกอดของคิมหันต์ แล้วมองย่าและคิมหันต์ ทั้งสองคนส่งกำลังใจมาทางสายตาให้เต็มที่
อันยาพยักหน้าอย่างพร้อมแล้วสำหรับภารกิจของหัวใจในครั้งนี้
เวลานั้นนักสืบยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ หญิงเหมือน
"นี่ครับ สิ่งที่คุณหญิงต้องการ"
ม.ร.ว.เหมือน รับมาดูแล้วส่งซองคืนให้
"ขอบคุณครับ" นักสืบหยิบเช็คออกมาดู "เอ๊ะ นี่มัน...”
"ทิปพิเศษอีก 30% ค่ะ"
นักสืบพอใจ "ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เราจะเก็บเรื่องที่คุณมาใช้บริการเป็นความลับสุดยอด"
"ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ วงการนี้ใครๆก็ใช้คุณ ฉันอยากให้คุณเก็บข้อมูล" ม.ร.ว. เหมือนชูกระดาษในมือ "นี้ไว้เป็นความลับด้วย เพราะอาจจะมีบางคนที่สอดจมูกเข้ามา ทั้งที่ตัวเองไม่สมควร"
อิงค์กี้เดินอยู่กับอุ๊บอิ๊บ ผู้จัดการส่วนตัว แล้วจู่ๆ เธอก็จาม อิงค์กี้หันไปมองอุ๊บอิ๊บ
"สะอาดค่ะ เพิ่งทำสปามาเมื่อกี๊นี้เอง"
"น้ำหอมใหม่ ?” อิงค์กี้ถาม
"ใช่ค่ะ ! เพิ่งฝากเพื่อนที่เป็นแอร์สอยมาให้สดๆร้อนๆ"
"เลิกใช้ซะ" อิงค์กี้สั่ง อุ๊บอิ๊บเหวอ
อิงค์กี้เดินเชิดไปแล้วหันมามองจิกอุ๊บอิ๊บด้วยสายตาให้รีบตามมา อุ๊บอิ๊บเดินตามอย่างนอยๆ
นักสืบเดินมาส่งม.ร.ว.เหมือนที่หน้าประตู
"รับรองครับ ว่าข้อมูลที่คุณหญิงได้ไป จะเป็นความลับ"
ม.ร.ว.เหมือนพยักหน้าพอใจแล้วเดินออกไป
ม.ร.ว.เหมือนขับรถออกไปจากลานจอด เพียงอึดใจรถของอิงค์กี้ก็แล่นสวนเข้ามาจอด
อิงค์กี้ดูกระดาษที่ได้มาจากนักสืบแล้วก็พอใจ
"คุณอิงค์กี้กรุณาเก็บเรื่องที่ได้ที่อยู่ของด็อกเตอร์แสนจากผม ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ" นักสืบบอก
"โอ๊ย น้องอิงค์กี้จะบอกใครได้ไงคะ ว่าให้นักสืบตามหาที่อยู่ผู้ชาย อายเค้าแย่ ฮะๆ"
อิงค์กี้เหล่ อุ๊บอิ๊บรูดซิปปาก
"พอดีว่าข้อมูลเนี๊ยะ เอ็กซ์คลูซีฟมาก มีคนขอให้ปกปิดเอาไว้ครับ" นักสืบบอก
อุ๊บอิ๊บหูผึ่งทันที "ใครเหรอคะ?”
นักสืบทำท่าลำบากใจ อิงค์กี้หยิบเงินวางลงไปปึกนึง นักสืบเห็นเงินก็ค่อยๆยิ้มออก
อิงค์กี้บ่นอย่างไม่อยากแพ้!!
"หนอย ยัยป้าหญิง !! ต่อหน้าเราทำเป็นแอ็คท่าว่าติดต่อด็อกเตอร์ได้ ไม่เคยขาดหายจากชีวิต ที่แท้ก็ต้องจ้างนักสืบเหมือนกัน"
"รู้อย่างงี้แล้ว ก็.อย่าไปเสียเวลาทะเลาะกับเค้าที่นู่นเลยนะคะ" อุ๊บอิ๊บจะดึงกระดาษจดที่อยู่มา
อิงค์กี้ไม่ให้ "ไม่มีทางที่อิงค์กี้จะให้ยัยป้านั่นลักลอบไปหาแสนคนเดียว! เคลียร์คิวให้อิงค์กี้ด่วนที่สุด"
"ไม่ได้หรอกค่ะ อีเวนท์ตั้งสามงานรวมกัน ครึ่งล้านเลยนะคะ"
"เอ...เมื่อวานนี้พี่แอ้มบอกว่าถ้าอิงค์กี้สนใจเปลี่ยนผู้จัดการ จะหาคนที่คิวไม่ฟิตมาก แต่รายได้เท่าเดิมให้"
"เครๆค่ะ" อุ๊บอิ๊บจำใจยอม "ตกลงงดเงิน เพื่อผู้ชาย !”
อุ๊บอิ๊บโดนขู่ก็เซ็งสุดๆ เพราะขัดใจไม่ได้
เครื่องบินโดยสารภายในประเทศแลนด์ดิ้งลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่
อันยาเซ็นเอกสารเช่ารถเสร็จก็ยื่นให้พนักงาน พนักงานส่งกุญแจรถให้ อันยารับมาด้วยอาการตื่นเต้น
อันยาปลอบใจตัวเอง "ต้องทำได้สิ ต้องได้" อันยาพูดกับพนักงาน "ใช่มั้ยคะน้อง"
"ขับ.. ขับเป็นป่ะเนี่ย ?” พนักงานถาม
"เรื่องอื่นไม่สำคัญ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจ" อันยาบอก
"เฮ้ย..ขับรถ เค้าใช้มือกับเท้า ใครเค้าใช้ใจ"
อันยาไม่สน เธอมองแผนที่ในไอแพดแล้วก็นึกถึงแสน "ถ้าไม่เจอ ไม่กลับ ! รอฉันก่อนนะคะคุณแสน"
"เฮ่ย กลับดิ ต้องเอารถมาคืน"
อันยาไม่สน เธอมโนเสร็จสรรพก็ก้าวเข้ารถไป พนักงานตะโกนไล่หลัง
"ถ้าไม่คืนตามเวลา ต้องจ่ายค่าปรับนะ"
อันยาเหยียบคันเร่งออกไป พนักงานมองตามอย่างไม่เชื่อใจ
ป้ายข้างทางเขียนว่า “อ.แม่ริม” อันยาขับรถมาแล้วก็ใช้สายตาสอดส่ายมองหาจุดตามแผนที่ เธอเห็นสองข้างทางเป็นพื้นที่เกษตรในอำเภอแม่ริม เห็นไร่สตรอว์เบอร์รี อันยาเลี้ยวรถตรงนั้นตรงนี้ตามแผนที่และแวะจอดถามชาวบ้านบ้าง
อันยาขับรถมาแล้วก็เห็นป้ายตรงหน้าเขียนว่า “ไร่แสนรัก” อันยาดีใจแล้วเอารถเข้าไปจอดด้านหน้าไร่ อันยาลงจากรถแล้วจะเดินเข้าไป แล้วเธอก็ชะงักเพราะลังเล อันยาหยุดขอกำลังใจ
"คุณย่า เป็นกำลังใจให้อันด้วยนะ"
อันยาเงยหน้าขึ้นและเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองกลับมาจนได้
อันยาหน้าเหวอไปอย่างแรง
"ย้ายออกไปแล้ว ?”
ชาวบ้านชายพยักหน้า
"ฮื่อ ตั้งแต่ปีที่แล้วนู้น แต่เค้ายังไม่ขายไร่นี้ ก็เลยยังมีป้ายอยู่"
"แล้ว...แล้วครอบครัวของด็อกเตอร์แสนเค้าย้ายไปไหน? ลุงรู้มั้ยคะ"
สินเลือกกล่องใส่สตรอว์เบอร์รีอยู่ซึ่งมีทั้งกล่องพลาสติกใส กล่องที่ทำจากมันสำปะหลัง และซังข้าวโพดที่ย่อยสลายได้
ฟองคำเดินมาถาม "พ่อว่าแสนจะถึงไร่ที่แม่ริมรึยัง?”
"กล่องใสๆมันก็สวยดี แต่แสนต้องชอบแบบย่อยสลายได้แน่ๆ" สินรู้ตัวก็หันไปบอก "คงถึงแล้วล่ะแม่ สิงห์มันบอกว่านัดเพื่อนบ้านไว้เที่ยง แม่มีอะไรรึเปล่า"
"อยากจะให้เอาต้นไม้ในกระถางหน้าบ้านเดิมมาให้หน่อยน่ะ แต่เพิ่งนึกได้" ฟองคำบอก
สินคิดแล้วก็หยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
"ไอ้สิงห์ บอกให้พกไปๆ ลืมตลอด"
"แล้วมือถือแสนล่ะ" ฟองคำถาม
"เห็นว่าเลิกใช้แล้วนะ ตั้งแต่ออกจากงานในเมืองมานั่นแหละ"
ฟองคำพยักหน้าด้วยความเสียดายนิดๆ
รถสิงห์แล่นมาบนถนน อ. แม่ริม สิงห์ขับรถมาโดยมีแสนนั่งข้างๆ สิงห์ถามให้แน่ใจ
"แน่ใจนะ จะให้พี่ปล่อยลงที่นี่ ไม่ให้ไปส่งในเมือง ?”
"จากแม่ริมเข้าตัวเมืองใกล้แค่นิดเดียว พี่สิงห์ไปทำธุระเถอะ" แสนบอก
สิงห์ไม่เซ้าซี้ "แล้วพรุ่งนี้ จะกลับพร้อมกันมั้ย"
"เพื่อนผมขอให้อยู่ช่วยงานวิจัยจนถึงบ่าย กว่าจะถึงบ้านเราคงเย็น พี่กลับไร่ไปช่วยพ่อก่อนเถอะ"
"ไม่คิดเอารถที่ไร่มาใช้สักคันเหรอ" สิงห์ถาม
"ก็มันยังไม่จำเป็น แบบนี้…"
สิงห์พูดต่อให้ "ประหยัดพลังงานดี"
แสนชะงักที่สิงห์รู้ทัน สิงห์ยิ้มๆ
รถสิงห์แล่นมาจอดที่ศาลาริมทาง แสนลงจากรถพร้อมเป้ใบย่อมสะพายหลังทะมัดทะแมง
"ถ้าเปลี่ยนใจ จะให้พี่แวะรับก็บอกล่ะ" สิงห์บอก
สิงห์ปิดกระจกรถขึ้นแล้วขับออกไป แสนยืนคอยรถโดยสารอยู่ที่ศาลาซึ่งมีชาวบ้านรอรถอยู่ก่อนแล้ว 2 -3 คน
รถเช่าของอันยาแล่นมาบนถนนอีกมุมหนึ่ง อันยาขับรถวนหาเป้าหมาย
อันยานึกถึงตอนที่คุยกับชาวบ้านเมื่อสักครู่
"ถ้าเป็นพี่อินนะ แกรู้แน่ๆว่าบ้านด็อกเตอร์ที่แม่อายไปยังไง" ชาวบ้านกดมือถือหา "สงสัยจะงีบหลับกลางวัน เอางี้ ไปถามแกที่บ้านดีกว่า อยู่แถวๆนี้แหละ"
อันยากดเปิดโปรแกรมอัดเสียงในสมาร์ทโฟนเพื่อฟังข้อมูลซ้ำ
เสียงชาวบ้านดังจากมือถือ "ทางไปนะ พอเจอแยกตรงไปเรื่อยๆก่อน จนแยกที่สอง แล้วค่อยเลี้ยวขวา….”
อันยาขับรถไปตามเสียงที่ชาวบ้านบอก
แสนนั่งลงคอยรถอยู่ในศาลาริมทาง
อันยาขับรถมา เธอเห็นหลังคาศาลาริมทางอยู่ลิบๆ
จากที่นั่งรออยู่ แสนเปลี่ยนมายืนรอที่ด้านหน้าศาลาทำให้เห็นหน้าแสนชัดขึ้น
รถอันยาแล่นเข้าใกล้ศาลามาเรื่อยๆ อันยากวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาจุดสังเกตที่จะเลี้ยว
แสนยืนเด่นอยู่หน้าศาลา สายตาของเขามองไปยังทางที่รถจะแล่นเข้ามาจอด
รถอันยาขับเข้ามาจวนจะถึงศาลาแล้ว สายตาช่างสังเกตของอันยาก็เหลือบไปที่ศาลา ศาลาว่างเปล่าปราศจากผู้คน เลยไปเล็กน้อยมีรถสองแถวที่เพิ่งจะผ่านไปหมาดๆ และรับคนที่รอรถที่ศาลาไปหมดแล้ว อันยามองผ่านไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ
แสนนั่งอยู่ด้านในรถสองแถวพร้อมกับชาวบ้าน 2 คนที่ขึ้นมาพร้อมกัน แสนเหลือบมองรถเก๋งที่แล่นสวนเลนผ่านไป
แสนเห็นเพียงด้านหลังของคนขับแวบๆ ก่อนที่รถสองคันจะแล่นห่างกันออกไป
มีเสียงชาวบ้านดังขึ้น "โอ๊ย! รถแบบนี้ไปไม่ได้"
อันยาฟังแล้วใจหาย ชาวบ้านออกมาคุยกับอันยาที่หน้าบ้าน ชาวบ้านมองรถที่อันยาเช่ามาแล้วส่ายหัวดิก
"แต่จากกูเกิล เอ่อ แผนที่บอกว่าอำเภอแม่ริมนี่ไปแม่อาย 170 กว่ากิโล ทำไมฉันถึงเอาคันนี้ไปไม่ได้ล่ะคะ" อันยาสงสัย
"ร้อยกว่าโล แต่ขับเกือบสี่ชั่วโมงนะ เพราะว่าขึ้นเขา แล้วตรงทางขึ้นไร่ ต้องใช้รถโฟล์วิลล์ถึงจะขึ้นไปได้" ชาวบ้านตัดรอนความหวังสุดๆ "ไปเปลี่ยนรถก่อนเถอะนังหนูเอ๊ย"
อันยาอึ้งและเฟลไปไม่น้อย
รถเช่าของอันยาบึ่งออกมา ฝุ่นจากด้านท้ายรถปลิวฟุ้ง อันยานอยด์และผิดหวัง เธอขับรถไปอย่างอารมณ์ไม่ดี อันยาหักเลี้ยวไปตามเรื่องตามราวแล้วก็ชะงัก
"เอ๊ะ ! เมื่อกี๊ เราต้องเลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวา ?”
อันยาควักมือถือออกมากดที่อัดเสียงเอาไว้ เธอฟอร์เวิร์ดไปตรงที่ต้องการฟังข้อมูล
“…แยกที่สอง แล้วค่อยเลี้ยวขวา เจออีกแยกนึงแล้วเลี้ยวซ้าย พอเจอซอยที่สอง"
อันยาฟังด้วยความร้อนใจ แล้วจู่ๆเสียงจากลำโพงมือถือก็เบาลง
"อ้าว ทำไมเบาแล้วล่ะ!!" อันยากดเร่งเสียง
อันยาเร่งกดอย่างใจร้อน แล้วมือก็พลาดไปโดนปุ่ม Delete คลิปอัดเสียงหายไปทันที
"ห๊ะ !" อันยาเหวอ "ไม่น๊ะ อย่าหาย อย่า!”
รถเช่าของอันยาจอดอยู่ริมถนน เสียงร้องหลงๆของอันยาก้องออกมา
"แบบนี้ฉันก็หลงทางน่ะซี่ !โนว์ !"
ลดาเปรยอย่างเป็นห่วงอันยา
"โทรไปก็ขึ้นว่าไม่มีสัญญาณ ไม่รู้ว่าป่านนี้หนูอันจะเจอพ่อแสนรึยัง"
คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าว ขณะที่กำลังเพลินกับน้ำพริกปลาทู จานเด็ดฝีมือลดา
คิมหันต์รีบกลืนข้าว "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณย่า เจ๊เค้าอดีตตัวแม่ล่าหัวนัมเบอร์วัน" คิมหันต์เห็นลดาชะงัก "คือหมายถึง..เค้าเก่งเรื่องเสาะหา ตามหาอะไรแบบนี้น่ะครับ"
ลดาพยักหน้าเพราะค่อยฟังได้หน่อย
"ถึงบ้านด็อกเตอร์จะอยู่ตั้งเชียงใหม่ แต่ก็หาไม่ยากหรอกครับ"
"ขอบใจนะ ที่ปลอบย่า แล้วก็อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน" ลดาบอก
"ผมสิครับต้องขอบคุณคุณย่า อุตส่าห์ทำกับข้าวอร่อยๆให้กิน ไม่ต้องห่วงเจ๊เค้าหรอกครับเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ"
คิมหันต์มั่นใจว่าอันยาจะไปได้ดี
อันยาทั้งเหนื่อยกาย ทั้งเพลียใจเพราะขับรถวนไปวนมาอยู่หลายรอบ เธอดูแผนที่แล้วก็ส่ายหน้าว่ามันไม่ช่วยอะไร อันยามองไปเบื้องหน้าก็ไม่เห็นมีใคร
"แมวสักตัวก็ไม่มี จะถามใครเนี่ย ?”
ขณะที่อันยาประสาทแตก เธอขับไปก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง อันยาทำจมูกฟุตฟิต
"กลิ่น กลิ่นอะไร ?" อันยามองหน้ารถชัดๆ แล้วก็อึ้ง
ควันพวยพุ่งออกมาจากกระโปรงรถ อันยาเหวอมาก
ฝากระโปรงรถเปิดออกจนเห็นไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ อันยาเก้ๆกังๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก
"ตายแล้ว ทำ..ทำไงดี !”
อันยาคิดอยากจะหยุดความเสียหายให้เร็วที่สุด แล้วเธอก็นึกอะไรออก อันยาเปิดประตูรถด้านหลังแล้วมองหา จนเจอน้ำดื่มขวดลิตร อันยารีบหยิบมา อันยากลับมาที่ด้านหน้ารถ เธอเปิดฝาขวดน้ำแล้วจะเทน้ำลงไป
เสียงสิงห์ดังขึ้น "คุณ !! ทำอะไร !! ออกมาเดี๋ยวนี้ !”
อันยาผงะเพราะไม่ทันตั้งตัว มือที่จับขวดไว้ยังไม่ทันได้ทำตามคำเตือน น้ำจะหกลงที่หม้อน้ำอยู่รอมร่อ สิงห์ปราดมาดึงขวดน้ำออกจากมืออันยาทันที
"หม้อน้ำร้อนจัด ถ้าคุณยืนตรงนั้น แล้วเทน้ำลงไป น้ำร้อนได้พุ่งเข้าหน้า เสียโฉมแน่ๆ" สิงห์บอก
อันยาผงะแล้วกระโดดเหยงออกมาแทบไม่ทัน เธอเอามือจับหน้าเอาไว้อย่างกลัวๆ
สิงห์มองอันยาแล้วส่ายหน้าว่าเกือบไปแล้ว
อ่านต่อหน้า 2
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ฝากระโปรงรถถูกปิดลง พร้อมกับที่สิงห์หันมาบอกอันยา
"ทีนี้ก็ขับกลับไปที่ศูนย์เช่าได้แล้ว ดีที่เติมน้ำทัน หม้อน้ำยังไม่พัง"
"เอ่อ" อันยาควักแบงค์พันออกมาส่งให้สิงห์ "นี่ค่ะ ค่าเสียเวลาที่มาซ่อมรถให้"
สิงห์มองอันยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
"น้อยไปเหรอคะ?" อันยาจะควักเพิ่ม
"มันน้อยไป! ที่จะเอากระดาษนี่มาแลกกับน้ำใจคน" สิงห์ว่า อันยาอึ้งๆ "คุณคงจะมาจากในเมือง
ที่ทุกอย่างต้องใช้แบงค์แลกเอาหมด ถึงได้ไม่รู้ ว่าคนที่นี่เค้าช่วยเหลือกันโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน"
อันยาหน้าม้านไป "ฉันขอโทษ ฉัน...มาจากในเมืองจริงๆ อย่างคุณว่า" อันยารีบเก็บเงินแล้วยกมือไหว้ "ขอบคุณจริงๆ นะคะ..คุณ?”
"สิงห์" สิงห์แนะนำตัว
"คุณสิงห์ อย่าถือสาฉันเลยนะคะ"
สิงห์เห็นสีหน้าอันยาแล้วก็ใจอ่อน "ผมแค่บอกให้คุณรู้ไว้ ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เห็นบอกว่ามาจากในเมือง มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ"
อันยาถอนใจ "พูดแล้วมันเศร้าค่ะ ฉันมาตามหาคน เค้า...น่าจะอยู่ที่ไร่แสนรัก"
สิงห์ชะงักไปทันที
"แต่ชาวบ้านแถวนี้บอกว่า ครอบครัวนั้นย้ายไปอยู่ที่อำเภอแม่อายกันหมดแล้ว ฉันมีแต่ที่อยู่เก่าของเค้า ก็เลยมาเก้อ"
"คุณ… มาหาใครที่ไร่นั้นเหรอ" สิงห์ถาม
"ฉันมาหาด็อกเตอร์แสน เผื่อนนาดีน่ะค่ะ" อันยานึกได้ "ถ้าคุณเป็นคนแถวนี้" อันยาชักตื่นเต้น "คุณรู้จักเค้ารึเปล่าคะ?”
สิงห์ชะงักไป เขามองตาอันยา
อันยาดีใจมาก
"คุณเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณแสน" อันยาคิดในใจ "เยส !! เธอทำได้ สวรรค์ไม่ทอดทิ้งคนสวยๆอย่างเรา"
สิงห์เหล่ๆว่าอันยาเป็นอะไรรึเปล่า
"ขอโทษ..ฉันดีใจน่ะ ทีแรกคิดว่าจะต้องติดแหง่กอยู่ข้างทาง ไม่ได้ไปไหนซะแล้วคุณสิงห์คะ" อันยาละล่ำละลัก "คุณ..คุณพา..ฉันไปพบคุณแสน ลูกพี่ลูกน้องคุณได้มั้ยคะ"
สิงห์ไม่ตอบ เขาถามอันยากลับ "ขอโทษนะที่ผมต้องถาม ไม่ทราบว่าคุณ.. เป็นอะไรกับแสนเค้าคือ..ถ้าพวกคุณสนิทกัน ผมก็ไม่มีปัญหาที่จะพาคุณไปพบเค้าหรอกนะ"
อันยาอึดอัดขึ้นมาทันทีว่าจะพูดยังไงดี
"ฉัน…ฉันเป็นเพื่อนของคุณแสนน่ะค่ะ" อันยาบอก
"เพื่อน ? ถ้างั้นทำไมถึงไม่ติดต่อให้เค้ามารับ ไร่เราอยู่ตั้งไกล ทำไมถึงได้เสี่ยงมาตามหาเค้าตัวคนเดียวแบบนี้"
อันยาอึดอัด ความรู้สึกผิดพอกพูนขึ้นจนเก็บไม่มิด ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้นบอกสิงห์
"คุณสิงห์ ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณ…แต่คุณฟังดีๆ อย่าเพิ่งโกรธฉันนะคะ"
สิงห์เดินออกมาด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดี อันยาวิ่งตามมาด้วยอาการหน้าเสียมากๆ
"คุณสิงห์ นี่ นี่คุณโกรธฉันเหรอคะ ฉันขอร้องล่ะ ช่วยคุยกับฉันก่อน"
สิงห์หันมา "ผมไม่อยากจะเชื่อ!!ว่าคนดีๆอย่างแสน ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ คุณ ! เรื่องที่คุณทำไม่ใช่เล็กๆเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า"
"ฉันรู้ ถ้าฉันไม่รู้ ฉันก็คงไม่มา เพื่อจะขอโทษน้องของคุณ ขอโอกาสให้ฉันได้ไถ่โทษชดเชยความผิดที่ทำไปบ้าง ได้รึเปล่า ?”
"คนที่ถูกหักหลัง ไม่ใช่จะลืมความเจ็บปวดกันได้ง่ายๆหรอกนะ มิน่านายแสนกลับมาคราวนี้เค้าถึงไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เพราะยังงี้เอง"
อันยาฟังสิ่งที่สิงห์พูดมาแล้วยิ่งเหมือนใจจะสลาย
"ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก ถ้าแสนไม่อยากเจอคุณ คุณก็อย่าเจอเค้าเลยดีกว่า"
สิงห์พูดแล้วจะเดินไปเลย อันยาใจหาย เมื่อความหวังจะหลุดลอย เธอวิ่งไปขวางหน้าสิงห์ แล้วคุกเข่าลงทันที
สิงห์ตกใจ "ทำอะไรของคุณ !”
"ฉันขอร้อง ฉันรู้ว่าฉันทำผิดมาก ฉันรู้! ว่าแค่คำขอโทษของฉันมันไม่พอ แต่คนที่สำนึกแล้วทำอะไรไม่ได้!ต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิด เหมือนโดนปิดประตูใส่หน้าตลอดเวลา มันเจ็บมากนะคะ!! ถ้า.. ถ้าฉันไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ถ้าด็อกเตอร์" อันยาจะทนไม่ไหว "ไม่ให้อภัย…ฉันคง..ไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้"
อันยาสะอื้น
"หลังจากที่ฉันทำร้ายด็อกเตอร์ ฉัน..มองหน้าตัวเองในกระจก..ได้ไม่เต็มตาด้วยซ้ำ ! คุณรู้มั้ย.. ว่าทุกวันนี้.. ฉันกลียด..เกลียดตัวฉันเองมากแค่ไหน" อันยาทรุดลง
สิงห์มองอันยา แล้วสีหน้าเคืองแค้นของเขาก็เบาบางลง สิงห์นิ่งอยู่อึดใจก่อนที่จะผละไป อันยาปล่อยให้น้ำตาไหล เธอรู้สึกว่าไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว
ถนนและความวุ่นวายในกรุงเทพ ภายในร้านอาหารธรรมดาร้านหนึ่ง ปุ๊กลุกกำลังคุยสายอย่างใส่อารมณ์ ขณะที่เพื่อนก็กินข้าวอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกัน
"แม่จะให้หนูกลับบ้านได้ยังไง ให้กลับได้ยังไง !”
ปุ๊กลุกอยู่ในสภาพท้องโต 5 เดือน
ปรานีโดนลูกแว๊ดใส่ก็หงอเหมือนที่เคยเป็นมา
ปุ๊กลุกพูดจากโทรศัพท์ "ก็บอกพ่อไปสิ ว่าหนูงานยุ่ง !”
"บอกแล้ว แต่ลูกก็รู้ว่าพ่อเค้าเป็นยังไง เค้าไม่เชื่อ ว่าลูกไปทำงาน"
ปุ๊กลุกฟังแม่แล้วอยากจะดิ้นตาย
ปรานีพูดจากโทรศัพท์ "บอกว่าถ้าลูกไม่ยอมกลับมาเยี่ยมบ้าน" ปราณีอึกอัก "จะขึ้นไปดูถึงที่กรุงเทพ ให้เห็นกับตาว่าลูก...อยู่กับผู้ชายรึเปล่า"
"หึย หนูเกลียดพ่อ !! ถ้าได้อยู่กับผู้ชายจริงๆจะไม่กลับบ้านชาตินี้ทั้งชาติ"
ปรานีตกใจ เธอรีบปลอบ
"ปุ๊กลุก พ่อเค้าเป็นห่วงลูกนะ ที่บอกว่าตามหาตัวด็อกเตอร์อยู่ รีบๆหน่อยสิ แม่ช่วยปิดพ่อเค้าได้อีกไม่นานแน่ๆ"
ปุ๊กลุกวางสายจากแม่แล้วก็เครียดทันที
คิมหันต์ลาลดา
"วันนี้ผมกลับก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้จะมาใหม่"
"จ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ ย่าอยู่ได้ ไปเถอะจ้ะ"
คิมหันต์ไหว้ลาลดาแล้วเดินออกจากห้องไป
คิมหันต์กำลังจะเดินออกจากคอนโด แล้วเขาก็ต้องชะงักเพราะเจอกับทวยเทพ ทวยเทพปรากฎกายด้วยหน้าตาไม่พอใจและเอาเรื่อง
"อันนี่ไปไหน" ทวยเทพถาม
คิมหันต์อึ้ง
"มีคนที่นี่บอกฉัน ว่าเค้าไปต่างจังหวัด"
คิมหันต์มองไปทางพนักงานต้อนรับซึ่งหลบตากันวุ่น "ถ้างั้นพี่ทำไมไม่ถามพวกเค้าให้เคลียร์ๆไปเลยล่ะ"
"อย่ามากวนฉันนะ ฉันมีสิทธิ์รู้ว่าอันไปไหน"
คิมหันต์มองท่าทางทวยเทพแล้วแล้วครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี
เพื่อนพยายามผลักดันปุ๊กลุก
"มาถึงแล้ว ก็เข้าไปสิแก แกบอกว่าเค้าเป็นผัวเป็นเมียกัน นังนั่นมันก็อาจจะรู้ว่าด็อกเตอร์อยู่ไหน"
ปุ๊กลุกยังมีท่าทางอึดอัด
"แกยังฝังใจเรื่องไอ้หื่นนั่นอีกเหรอ ปกติแกเคยกลัวใครซะที่ไหน"
"ฉันไม่ได้กลัว แค่ไม่อยากเห็นหน้ามัน"
"แล้วแกอยากเห็นหน้าพี่แสนของแกรึเปล่า" เพื่อนถาม ปุ๊กลุกชะงักไป "ไม่เจอมันหรอกน่า เชื่อฉัน"
ปุ๊กลุกฮึด เธอก้าวเข้ามาใกล้กับล็อบบี้คอนโดแล้วก็ผงะ รีบหันหลังกลับ
"มัน มันอยู่นั่น !” ปุ๊กลุ๊กบอก
เพื่อนเหวอ แล้วก็มองไปทางทวยเทพที่กำลังคุยกับคิมหันต์อยู่ด้านในแบบไม่นึกเลยว่าจะเจอจริงๆ
"ไม่ ไม่เอาแล้ว เอาไว้ก่อน" ปุ๊กลุ๊กจะชิ่งไป
เสียงทวยเทพดังขึ้น "อันนี่ตามไปขอโทษไอ้ด็อกเตอร์นั่น เรื่องที่หลอกลวงมันงั้นเหรอ"
ปุ๊กลุกที่กำลังจะก้าวไปชะงักแล้วค่อยๆ หันมา
คิมหันต์ตัดสินใจบอกความจริงกับทวยเทพ
"ใช่ เจ๊เค้าไม่สบายใจกับเรื่องนี้มาก ที่เป็นคนวางแผนทำให้ด็อกเตอร์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถึงกับต้องออกจากงาน ก็เลยตามไปขอโทษ"
ปุ๊กลุกเหวอไปเพราะไม่อยากจะเชื่อ จากที่เกร็งๆ อยู่เธอก็หันมาแอบตั้งใจฟังกันกับเพื่อน
"ฉันไม่เชื่อ !! แกเอาเรื่องอะไรมาหลอกฉัน อันไม่เคยแคร์ไอ้ทึ่มนั่นสักหน่อย"
"ผมพูดเพราะหวังดีกับพี่นะ เจ๊เค้าไปหาด็อกเตอร์แสนจริงๆ แค่นี้ก็คงบอกได้แล้วว่าเค้าแคร์หรือไม่แคร์ด็อกเตอร์กันแน่"
ทวยเทพแค้นและไม่พอใจ เขาผลักคิมหันต์
"ไอ้ด็อกเตอร์มันให้อะไรแก ! แกถึงได้มาหลอกฉัน ฉันไม่เชื่อ ถ้าอันไปหามันจริง ก็ต้องเพราะโดนมันหลอก หรือไม่ อันก็คิดจะหลอกอะไรมันอยู่" ทวยเทพคิด "ต้องเป็นเรื่องงานอีกแน่ๆ เพราะอันน่ะเค้าบ้างาน"
คิมหันต์ไม่อยากเชื่อที่ทวยเทพไม่ฟังจริงๆ "ผมพยายามช่วยพี่มากที่สุดแล้ว ไม่เชื่อก็ตามใจ"
คิมหันต์จะเดินหนี ทวยเทพนึกได้ก็ลนลานไปขวางไว้อีก
"แล้วบ้านไอ้ด็อกเตอร์นั่นอยู่ที่ไหน"
"พี่ไม่เชื่อไม่ใช่เหรอ" คิมหันต์ถาม ทวยเทพทำหน้าเข้ม "ผมไม่ให้เจ๊เค้าเดือดร้อนเพราะพี่แน่"
คิมหันต์เบียดไหล่ทวยเทพแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทวยเทพหัวเสียมาก
ทวยเทพต่อสายหาใครบางคน
"ครับพี่ ผมที่เคยให้พี่สืบเรื่องที่ทำงานของแฟนน่ะครับ คือผมมีเรื่องอยากให้ช่วย" ทวยเทพพูด
เวลาผ่านไป ทวยเทพคุยเสร็จแล้วกำลังจะวางสาย แล้วเขาจะเดินกลับไปที่รถ แต่ทวยเทพก็ต้องผงะเมื่อปุ๊กลุกมายืนอยู่
"เธอ !" ทวยเทพมองต่ำลงพอเห็นว่าท้องเขาก็ต้องผงะกว่าเดิม "เฮ้ย !" ทวยเทพพูดไม่ออก "นี่...นี่"
ปุ๊กลุกรีบชิงบอก "มันไม่เกี่ยวกับแก นี่เป็นลูกของพี่แสน"
ทวยเทพชะงัก "อะไรนะ ลูกของไอ้ด็อกเตอร์?”
ทวยเทพมองปุ๊กลุกอย่างไม่แน่ใจ แต่ปุ๊กลุกทำสีหน้าหนักแน่นที่จะเชื่ออย่างนั้น ทวยเทพเองก็มีใจอยากเชื่อตามอยู่แล้ว
"ก็..น่าจะเป็นอย่างนั้น แค่คืนเดียว ก็ไม่น่าอยู่แล้ว"
ปุ๊กลุกฟังทวยเทพแล้วก็จี๊ด เธอรีบพูดแทรก
"ฉันอยากได้ที่อยู่พี่แสน ถ้าให้ฉัน จะไม่มีการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับแก"
"นี่แบล็คเมล์ฉันเหรอ ! ถึงเธอพูดไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว ว่าคนระดับฉันน่ะเหรอจะยุ่งกับผู้หญิงอย่าง..”
ทวยเทพจะด่าปุ๊กลุก แต่เมื่อมองปุ๊กลุกที่ยืนท้องโตอยู่แล้วกลับมีบางอย่างให้เกรงใจอย่างบอกไม่ถูก
"เฮ่ย..ช่างมันเถอะ จะว่าไป ก็ไม่เสียหายที่จะให้เธอโผล่หน้าไปประจานไอ้ด็อกเตอร์ แต่เธอจะต้องไม่บอกใครเรื่อง...เรื่องคืนนั้น"
"มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ! แล้วเราก็ไม่รู้จักกัน" ปุ๊กลุ๊กบอก ทวยเทพพอใจ
ปุ๊กลุกดึงมือถือในมือของทวยเทพมาแล้วกดเบอร์
"เฮ้ย! ทำอะไร"
"ได้ที่อยู่แล้วก็โทรบอกฉันด้วย" เอามือถือวางคืนไว้ที่กระโปรงรถทวยเทพ
ปุ๊กลุกเดินออกไป ทวยเทพคิดเรื่องแสน
"ชักจะสนุกซะแล้ว"
ทวยเทพชักอยากเห็นช็อตอับอายขายหน้าของแสนขึ้นมา
อันยาเดินมาที่รถด้วยความรู้สึกเหนื่อย เพลียและเสียใจ เธอกำลังจะเปิดประตูรถ ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้
"เช็ดหน้าซะ" สิงห์บอก อันยายังไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้า "คุณอยากหน้าบวมไปพบแสนมันเหรอ"
อันยาชะงัก เธอเงยมองหน้าสิงห์อย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ผมไม่ได้ยกโทษให้คุณ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าแสนจะยกโทษให้คุณมั้ย แต่.." สิงห์ถอนใจ "บางที ถ้าน้องผมเค้าให้อภัยคุณได้ มันอาจจะทำให้เค้า รู้สึกดีขึ้นได้เหมือนกัน"
"คุณสิงห์ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณ....ขอบคุณมาก"
อันยารีบคว้าผ้าเช็ดหน้าจากสิงห์มาซับหน้าซับตา ด้วยความหวังที่กลับมาเรืองรองอีกครั้ง
ลดาคุยโทรศัพท์สีหน้าโล่งใจ
"ได้ยินแบบนี้ย่าค่อยโล่งใจหน่อย"
อันยาบอกลดาผ่านโทรศัพท์
อันยาซับน้ำตาที่ยังเหลือ "ไม่ต้องห่วงอันนะคะ เดี๋ยวอันจะเอารถเช่าเข้าไปคืนในเมือง นอนโรงแรมในเชียงใหม่คืนนึง แล้วพรุ่งนี้เช้าก็จะขึ้นแม่อายพร้อมพี่ชายคุณแสนค่ะ"
ลดาให้กำลังใจ
"พอขึ้นไปถึงไร่ ได้เจอพ่อแสนแล้ว" ลดาเตือน "ไม่ว่าเค้าจะพูดยังไง หนูก็ต้องเข้มแข็งจำไว้ว่าย่า..รักหนู เอาใจช่วยหนูอยู่นะลูก"
อันยาซึ้งใจ
"ขอบคุณค่ะคุณย่า อันคอนเฟิร์มค่ะ ว่าจะเข้มแข็ง ไม่ให้คุณย่าต้องเป็นห่วง!”
วิวริมทางสวยงาม แต่เสียงอาเจียนของอันยากลับดังออกมา อันยาโซเซออกมาจากพงไม้ข้างทาง ด้วยหน้าตาที่มึนมาก สิงห์เดินมาส่งน้ำให้อันยา
"เมารถก็ไม่บอก เป็นไงบ้างคุณ"
"ฉันก็ไม่นึกเหมือนกัน ว่าฉันจะเมา"
สิงห์ยื่นยาให้ "ยาแก้เมารถ กินยาแล้วงีบหลับสักตื่นสองตื่น เดี๋ยวก็ถึง"
"ขอบคุณค่ะ แต่ข้างทางที่ผ่านมา วิวสวยๆทั้งนั้น ฉันขอชมวิว ไม่นอนดีกว่า" อันยาบอก
อันยานอนสลบไสลในสภาพน้ำลายเกือบยืดที่เบาะข้างคนขับ
"คุณ คุณ" สิงห์เรียก อันยายังหลับอยู่ "ตื่นได้แล้ว!”
อันยาสะดุ้งโหยง
อันยาขยี้ตาแล้วทำหน้าตื่นในสภาพโก๊ะมาก "ถึง..ถึงแล้วเหรอคะ"
สิงห์ไม่ตอบแต่หันไปทางไร่ที่อยู่เบื้องหน้า อันยาเปิดประตูลงมาจากรถพอเห็นภาพเบื้องหน้าเธอก็ตะลึงไปเมื่อเห็นทิวทัศน์ไร่สตรอว์เบอร์รีเบื้องหน้ากว้างขวางและงามจับตา อันยายิ้มออกมากับภาพความงามตรงหน้า
ที่บ้านแสน เสียงสินดังขึ้น
"โอ๊ย ไม่รบกวนอะไรหรอก"
สินและฟองคำพูดคุยพร้อมเอาน้ำท่ามาต้อนรับอันยา
"เพื่อนแสนก็เหมือนลูกเหมือนหลานพวกเราน่ะแหละ" สินบอก
อันยายกมือไหว้ แต่ในใจรู้สึกผิด "ขอบคุณนะคะ คุณลุง คุณป้า"
"แสนนี่ยังไงกัน ทำไมให้เพื่อนผู้หญิงอย่างหนูเดินทางมาคนเดียว ไม่รู้จักไปรับ" ฟองคำว่า
อันยาชะงักไปก่อนจะรีบบอกฟองคำ
"อย่าโทษด็อกเตอร์ เอ่อ คุณแสนเลยค่ะ เป็นเพราะฉันมากะทันหันเอง"
สิงห์รีบเปลี่ยนเรื่อง "แขกมาเหนื่อยๆ เมารถมาด้วย ให้เค้าพักก่อนดีมั้ยครับ"
สินกับฟองคำไม่ทันได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ อันยามองสิงห์ด้วยแววตาขอบคุณที่เขาช่วย
ฟองคำบอกอันยาด้วยความเอ็นดู
"ถ้าขาดเหลืออะไร ก็บอกฉันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ"
"ไม่ขาดเลยค่ะ ดีทุกอย่าง บ้าน..น่าอยู่มากเลยค่ะ" อันยาชม
"พักให้หายเพลียแล้วกินมื้อเย็นด้วยกันนะจ๊ะ บ้านเนี๊ยะมีน้าเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียว" ฟองคำพูดยิ้มๆ "ก็แก่แล้ว มีสาวๆแบบหนูมา บ้านจะได้สดใสขึ้น"
อันยารู้สึกได้ถึงความเอ็นดูของฟองคำแล้วก็ยิ่งบีบหัวใจ ฟองคำจะเดินออกไป
อันยาเรียกไว้ "คุณป้าคะ"
ฟองคำหันมา อันยาดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูด
อันยานึกถึงตอนที่เธอถามสิงห์อย่างไม่แน่ใจ
"คุณสิงห์ คุณว่าฉันควรบอก..คุณพ่อ คุณแม่คุณแสนรึเปล่า เรื่องที่ฉัน..ทำร้ายลูกชายของพวกเค้า"
สิงห์นิ่งไปก่อนจะตอบ
"ไม่ใช่พวกเค้า จะไม่รู้จักให้อภัยคนนะอันยา แต่..แค่ต้องรับมือนายแสน มันก็ยากอยู่แล้ว ผมไม่แน่ใจ ว่าพวกคุณน้าต้องรู้ตอนนี้มั้ย" สิงห์บอก
ฟองคำถามอันยา
"ว่ายังไงจ๊ะหนู"
อันยาตื่นจากความคิดก่อนจะพูด "เอ่อ..ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่จะบอกว่า..ขอบคุณมาก..น่ะค่ะ"
"โถ่เอ๊ย แค่นี้เอง พักให้สบายเนื้อสบายตัวนะจ๊ะ.." ฟองคำเดินออกไป
อันยาทิ้งตัวนั่งบนที่นอนแล้วก็รู้สึกถึงน้ำหนักความผิดที่แบกเอาไว้เต็มสองบ่า
"ขอโทษนะคะ..คุณป้า คุณลุง"
อันยาจ๋อยเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับครอบครัวของคนที่ตัวเองเคยทำร้าย
สินพูดติดจะภาคภูมิใจ
"พ่ออุ๊ยบอกว่าไอ้แสนอกหักมา ชะช๊า นี่ไง !มีสาวสวยบ้องแบ๊วมาหาถึงบ้าน ให้รู้ซะบ้างไอ้แสนมันเนื้อหอมเหมือนใคร"
"พ่อก็อย่าเพิ่งตู่ เค้าอาจจะเป็นแค่เพื่อนกันก็ได้" ฟองคำว่า
"เพื่อนกาย หรือว่าเพื่อนใจล่ะจ๊ะแม่"
ฟองคำตีสินเบาๆในความทะเล้น
"พ่อว่ามั้ย ว่าหนูอันยา ดูเศร้าๆยังไงไม่รู้นะ"
"ก็คงเศร้าเพราะคิดถึงไอ้แสนนั่นแหละ เดี๋ยวพอได้เจอหน้าก็หาย นี่! อย่าบอกนะว่าแม่ชักจะหวงลูกชายเราขึ้นมา"
ฟองคำส่ายหน้าที่สินคิดไปในทางที่สนุกอยู่ตลอด
แสงของวันที่ส่องผ่านหน้าต่างเปลี่ยนเป็นยามเย็น อันยาลืมตาขึ้น พอรู้สึกตัวเธอก็รีบลุก
"ตายแล้ว...”
อันยาหันไปมองรอบๆ โดยยังมึนอยู่เล็กน้อย เธอไม่รู้ตัวเองหลับไปนานแค่ไหน
อันยาเดินออกมาที่ห้องกลางซึ่งมีโต๊ะอาหารอยู่แต่ไม่เห็นใครสักคน เธอมองหาไปรอบๆบ้านก็ไม่เห็นมีวี่แววใคร อันยามองเลยไปที่หน้าต่างซึ่งก็คือไร่สตรอว์เบอร์รีที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ไร่สตรอว์เบอร์รียามเย็น คนงานกลับกันไปหมดแล้ว อันยาเดินดูวิวทิวทัศน์ด้วยความผ่อนคลายอันยาเห็นกลุ่มดอกไม้ป่าอยู่ลิบๆ เธอมองไปอย่างสนใจ
อันยาย่ำมาจนถึงพงไม้ป่า เธอเห็นดอกไม้ป่า อันยาล้วงกระเป๋าหามือถือเพราะอยากถ่ายรูปไว้ แต่ก็หาไม่เจอ อันยาจึงตัดใจแล้วก้มลงชมและดมดอกไม้เล่น เธอเห็นดอกไม้หล่นอยู่บนพื้นก็เก็บดอกที่หล่นมาถือไว้ อันยาถือดอกไม้มาแล้วหันหลังจะกลับ แต่พอมองทิวทัศน์ขากลับเธอก็ชะงักไป อันยามองไปรอบๆ ด้วยหน้าตาเหรอหรา
ฟองคำมาบอกสินกับสิงห์
"เค้าไม่ได้อยู่ที่ห้อง แต่เห็นข้าวของอะไรก็ยังอยู่นะ"
"คนกรุงเทพ ไม่เคยเห็นไร่สตรอว์เบอร์รี บางทีเค้าอาจจะไปเดินเล่นนะ" สิงห์บอก
"แต่ตรงแปลงด้านหน้าที่พ่อคุมคนงานอยู่ ไม่มีนะ" สินว่า
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังสงสัยกันอยู่ หนานปิงกับแสนก็เดินมา แสนยกมือไหว้พ่อกับแม่
"แสน มาพอดีเลย" ฟองคำบอก
"ฉันกลับมาจากคุยธุระกับผู้ใหญ่บ้าน เจอไอ้แสนตรงทางเข้าไร่พอดี" หนานปิงว่า
ฟองคำ สิน และสิงห์ชะเง้อมองว่ายังมีใครตามมาอีกรึเปล่า
"นี่เข้ามากันแค่สองคนเหรอครับ" สินถาม
หนานปิงตอบ "ก็สองคนสิวะ ยังจะมีใครอีก ?”
"ถ้าคิดว่าไม่มี แล้วผมจะถามเหรอครับ" สินว่า
หนานปิงไม่พอใจ "เอ๊ะ นี่แกย้อนฉันเหรอ"
สินจะอ้าปากเถียงแต่ฟองคำกระแอมใส่ สินรู้ตัว
สินไม่อยากยอม "ก็พ่ออุ๊ยกวนฉันก่อน" ฟองคำเหล่สำทับ สินจึงเงียบลงได้
"ตกลงว่ามีอะไรกันเหรอครับ ?” แสนถาม
อันยาเดินหน้ามึนเพราะไม่รู้ทิศไหนเป็นทิศไหน
"ไม่น่าจะย้ายบ้านไปไวขนาดนี้นะ" อันยารู้ตัว "เยอะไปและ ยอมรับมาซะเถอะว่าจำทางกลับไม่ได้"
อันยาใจเสียไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี เสียงท้องของเธอร้องออกมาอย่างไม่เกรงใจ
"อ้าว แล้วมาร้องอะไรกันตอนนี้ หยุด"
ท้องอันยายังไม่หยุดร้อง
"ฉันบอกให้หยุด !”
ท้องอันยายังร้องไม่หยุด โคร่ก คราก
"จะหยุดไม่หยุด !”
โคร่ก โคร่กก
"โอ๊ย ไม่หยุดก็เรื่องของแก"
อันยาจะสะบัดบ็อบหนีอาการหิว แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นลูกสตรอว์เบอร์รีแดงฉ่ำนอนอยู่ใต้กอสตรอว์เบอร์รีเป็นทิว ท้องของเธอยิ่งร้องหนักขึ้น
"ไม่!! เราจะมาขอโทษเค้านะ ไม่ใช่มากินของเค้า"
อันยากลั้นใจจ้ำหนี แต่เดินจ้ำหนีไปได้แค่ 2-3 ก้าว เธอก็ชะงักแล้วเหลียวหลังไปมองสตรอว์เบอร์รีอีกที พร้อมกับคิดว่าจะเอายังไงดี
เวลานั้น ขั้วสตรอว์เบอร์รีที่โดนปลิดชีพกองรวมกันอยู่ อันยาเคี้ยวสตรอว์เบอร์รี่ตุ้ยๆ
"หื้มม" อันยากินเอาๆ "ไม่เสียที ที่เป็นสตรอว์เบอร์รีไร่ด็อกเตอร์แสน หย่อยมาก"
เงาด้านหลังของใครบางคนกำลังสังเกตอันยาอยู่
"ที่แท้ก็มากินสตรอว์เบอร์รีมีความสุขอยู่นี่เอง"
อันยาที่เคี้ยวสตรอว์เบอร์รีเต็มปากถึงกับชะงักและเงยหน้าขึ้น แสนนั่นเองที่ยืนอยู่ อันยาอ้าปากเหวอแล้วรีบทิ้งสตรอว์เบอร์รีที่อยู่ในมือ เธอลูบหน้าลูบตารักษาฟอร์ม
"คือ ฉัน..ฉันหิวจริงๆนะคุณ ไม่ได้ขโมยนะ ไว้เดี๋ยวฉันจ่ายตังค์ให้"
"ช่างมันเถอะ" แสนทำเย็นชา "ถ้าแค่นี้ ผมถือว่าทำทาน"
อันยาอึ้งไป เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่เย็นชาแถมเห็นสีหน้าที่เย็นชาไม่แพ้กันของแสน
"ตอนนี้ทุกคนที่บ้านวุ่นวายหาคุณกันใหญ่ เชิญกลับได้แล้ว" แสนหันหลังให้แล้วจะเดินนำไป
"ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้ที่บ้านคุณเป็นห่วง แต่ฉันหาทางกลับไม่เจอจริงๆ ความจริงเมื่อวานก็เกือบหลงทางไปทีนึงแล้ว ฉันคงไม่คุ้นกับทางในชนบท"
แสนหันมาเพราะทนไม่ไหว "ถ้างั้นคุณก็ไม่ควรมา! จำที่ผมบอกคุณครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันไม่ได้
แล้วเหรอ"
อันยาชะงักกึ้ก
เธอนึกถึงคำพูดของแสนในอดีต
"สิ่งเดียวที่ผมต้องการ...จากคุณ คือไปให้ไกล...คนไร้หัวใจอย่างคุณ ! เราอย่าพบอย่าเจอกันอีก"
แสนตัดรอนอย่างผิดหวังที่สุดในชีวิตที่เคยเป็นแล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอันยาอีกเลย
อันยาอึ้งไป เมื่อความทรงจำที่แสนตัดรอนกระแทกใส่เธออย่างแรง
"ทำไม..ฉันจะจำไม่ได้...เพราะว่าฉันจำได้ ฉันถึงมา เพราะฉันรู้ว่าทำกับคุณเอาไว้มาก ฉันถึงต้องมาตามหาคุณ ! ฉันอยากให้คุณรู้" อันยาน้ำตาซึม "ว่าฉัน..ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ตอนนี้ ฉัน.. ฉันก็ไม่ได้ทำงานที่ไรท์เพอร์เซิลแล้ว"
แสนชะงักไป อันยาหวังว่าจะเห็นแววใจอ่อนจากแสน
"แล้วคุณมาบอกผมทำไม คุณจะทำ หรือว่าจะออกจากที่ไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับผม!” แสนว่า
อันยาเจ็บ แต่ยังพยายามอธิบายต่อ "ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะคะ ฉันลาออก เพราะฉันรู้แล้ว ว่าสิ่งที่ฉันทำกับคุณมันผิด สิ่งที่บริษัทนั้นหลอกให้ฉันทำมันเลวร้าย!! สุดท้ายฉันเอง ก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของพวกนายทุนโลภมาก"
"พอกันที!! คุณจะมาพูดเรื่องนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมาอีก"
"คุณแสน หลังจากวันนั้น ที่คุณบอกว่า..อย่าพบอย่าเจอกันอีก ฉัน..ฉันไม่เคยสบายใจเลย ฉันไม่เคย..ยิ้มออกจริงๆเลยสักครั้ง"
แสนสายหน้าเพราะไม่อยากเชื่อ และไม่อยากจะฟังอีก
"คุณเชื่อฉันอีกสักครั้งได้มั้ย ต่อไปนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่พูดโกหกอีก คุณเชื่อฉันนะคะ..คุณแสน" อันยาอ้อนวอน
แสนที่ต่อสู้กับจิตใจตัวเองอย่างมากหันมาบอกกับอันยา
"ผมถามจริงๆ! หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ คุณยังจะต้องการอะไรจากผมอีก! คุณหลอกผมซะขนาดนั้น มันยังไม่พออีกรึไง ห๊ะ อันยา"
อันยาอึ้ง เมื่อแสนพูดออกมาแบบนั้น เพราะมันกระแทกใจเธอเข้าอย่างจัง
"กลับกันสักที พรุ่งนี้เช้า ผมจะให้พี่สิงห์ไปส่งคุณในเมือง"
แสนบึ้งตึงแล้วหันหลังไปทันที เขาคิดว่าอันยาจะเดินตามมา
อันยาฟังคำตัดรอนของแสนก็จุกจนพูดไม่ออก แทนที่จะเดินตามแสนเธอหันหลังขวับแล้วเดินไปอีกทางนึงทันที
แสนหันมาเห็นก็ตะโกนเรียก "นั่นคุณจะไปไหน !”
อันยาเดินท่อมๆ น้ำตานอง
แสนวิ่งตามมา "ผมถามว่าคุณจะไปไหน !" แสนเข้ามาจับตัวอันยาไว้ "กลับเดี๋ยวนี้ !”
อันยาผละออกจากแสนแล้วพูดอย่างสะเทือนใจ "ไม่.. ฉันไม่ไปกับคุณ"
"อันยา !!”
อันยาเศร้ามาก "คุณอยากให้ฉันไปไกลๆ.. คุณเห็นฉันเป็นคนหลอกลวง ฉันทำสิ่งที่คุณ..ให้อภัยไม่ได้ ฉัน..ฉันมันเป็นคนไม่ดี"
"หยุดพูดเพ้อเจ้อซะที" แสนว่า
อันยาปวดร้าว "แต่คุณก็คิดอย่างที่ฉันพูด... ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา" อันยาใจจะขาด "สำหรับฉัน.. ฉันลืมมันไม่ได้" อันยามองตาแสนด้วยความน้อยใจสุดชีวิต "แต่สำหรับคุณ มันเหลืออยู่แค่ประโยคเดียว คือฉันหลอกคุณ.. แค่นั้น ?”
แสนอึ้งกับคำตัดพ้อของอันยา อันยาผละออกมาจากแสน แล้ววิ่งไปทันที
แสนเรียก "อันยา!”
แสนเครียดเมื่อความเจ็บปวดนั้นถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
อันยาวิ่งไปในราวป่าที่ติดกับไร่
"อันยา! ออกมาเถอะ นี่คุณจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปถึงไหน !” แสนเรียก
อันยาไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้เพื่อไม่ให้แสนเห็น
แสนเที่ยวหาอันยาที่อยู่บริเวณนั้น แต่แล้วแสนก็เดินผ่านไปหาตรงมุมอี่น
"อันยา คุณอยู่ไหน อันยา"
อันยาที่เจ็บปวดกับคำพูดของแสนซุกตัวกอดเข่าแล้วร้องไห้จะขาดใจ
สินชะโงกมองสำรับกับข้าวที่ฟองคำจัดอยู่อย่างเปรี้ยวปาก ขณะที่หนานปิงดูเป็นกังวล
"ถ้าเป็นฉันนะ เจอแฟน เอ๊ยเพื่อนสวยๆ ก็ต้องคุยกันส่วนตัวนานๆแบบนี้แหละไม่ต้องเป็นห่วงไอ้แสนมันหรอกน่า" สินพูดกับหนานปิง "กินข้าวเถอะครับพ่อ"
"แต่ฉันได้ยินคนท้ายหมู่บ้านคุยกันว่า พวกนั้นใช้เส้นทางแถวนี้อยู่" หนานปิงว่า
สินกับสิงห์ชะงักไป
สิงห์ถาม "พ่ออุ๊ยไปได้ยินมาเมื่อไหร่"
"เรื่องเมื่อเดือนที่แล้วรึเปล่า แต่คนมันยังลือกันไม่เลิก" สินบอก
"วันนี้ ฉันเพิ่งได้ยินมา เห็นฉันแก่อย่านึกว่าหูอื้อตาลายแบบแกสิ หูตาฉันยังว่องไวอยู่"
"ไปกันใหญ่ ถึงจะมีโจรจริง นั่นมันหน้าที่ของทหาร ตำรวจเค้าปราบปราม ถ้าแสนกับหนูอันอยู่ในไร่ ก็ไม่เป็นอะไรหรอก"
สินตัดบทเพราะมั่นใจว่าแสนกับอันยาอยู่ในไร่แน่ๆ ขณะที่ฟองคำมีสายตากังวล
อันยาโผล่หน้าออกมาจากดงไม้ในสภาพตาบวมช้ำและไม่โอเคมากๆ พลางคิดในใจ
"ทำไมมันมีป่าอยู่ตรงนี้ล่ะ...ฮือ.. ไม่สิ ทำไมเราถึงได้มาอยู่ในป่า !! แล้วคุณแสน ?เค้าไม่ตามหาฉันแล้วเหรอ?”
อันยาหันซ้ายหันขวา เธอมองทางมืดๆตรงหน้าแล้วชักใจเสีย คิดในใจอีก
"ห๊ะ หรือว่าเค้าโกรธ แล้วทิ้งเราไว้ในป่า ไม่น๊ะ !" อันยาตะโกน "ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !! คุณแสน ฉันอยู่นี่ ช่วยฉันด้วย"
ที่สุดอันยาส่งเสียงบ่นออกไปในความมืด
"โถ่เอ๊ย เงียบยังกับป่าช้า ใครจะมาได้ยิน!”
แต่แล้วมีเสียงผิวปากดังมาจากด้านหนึ่ง อันยาชะงัก
"มีคนได้ยิน ?" อันยาเดินย่ำไปหา "ฉันอยู่ตรงนี้ค่ะ วู๊ !!! อยู่นี่ค่ะ"
อันยาแหวกกิ่งไม้เกะกะตรงหน้าออกแล้วก็เห็นแสงไฟตรงหน้า อันยาปรากฎร่างออกไปทักทายเสียงนั้นทันที
"ฉันอยู่นี่ค่ะ คุณ...แส..”
กลุ่มคนที่ล้อมรอบกองไฟอยู่ทั้ง 3 คนคือชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยม สะพายปืน สวมชุดชาวเขากำลังจัดเตรียมที่พักรอบๆกองไฟ อันยาอึ้ง
ลูกน้องคนหนึ่งผิวปาก แล้วบอก จ่อเล ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรกลุ่มนี้
"โอ้โห มีเนื้อสดเดินมาหาถึงที่เลยว่ะลูกพี่"
อ่านต่อหน้า 3
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 9 (ต่อ)
เนื้อสดย่างอยู่บนเตา สินเดินเข้าครัวมาเห็นว่าฟองคำเหม่ออยู่
"แม่ ทำไมไม่ออกมากินข้าวด้วยกัน" สินเห็นเนื้อย่าง "กับข้าวเยอะแยะแล้ว ไม่ต้องย่างแล้ว"
สินกลับเนื้อให้
"พ่อ แม่ว่า..ที่พ่ออุ๊ยพูด ก็น่าคิดนะ พ่อก็รู้ว่าท้ายไร่เราติดกับชายป่า หรือว่าหนูอันยาแกจะหลง..แล้วอาจจะไปเจอ..อะไรไม่ดีเข้าก็ได้"
"พ่ออุ๊ยเนี่ยน๊า ดูซิ พูดจนทำแม่กังวลไปอีกคนแล้ว" สินว่า
"ไม่ใช่คำพูดพ่ออุ๊ยอย่างเดียวหรอก พ่อก็รู้ ว่าแสนไม่ใช่คนเหลวไหล ไอ้เรื่องจะพาผู้หญิงไปคุยกันไกลมืดๆค่ำๆ แม่ว่ามันไม่น่าใช่"
"พ่อรู้ว่าไอ้แสนของเราเป็นยังไง แต่หนูอันยา อุตส่าห์มาจากกรุงเทพ สองคนอาจจะมีอะไรต้องคุยกันมากก็ได้"
สีหน้าฟองคำยังไม่ค่อยเห็นด้วย
"โถ่แม่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยิ่งเรื่องโจร ยิ่งไม่ต้องคิดเลยเราอยู่มาเป็นปีแล้ว ยังไม่เคยเจอโจรเลยสักคน นึกเหรอว่าโจรมันเจอกันง่ายๆ ยาก พ่อบอกได้เลยว่ายาก"
จ่อเลพูดกับลูกน้อง
"ตาข้าไม่ฝาดใช่มั้ยวะ นังนี่มันแต่งตัวยังก๊ะพวกนางแบบ"
"ใช่คนจริงๆรึเปล่าจ๊ะ หรือว่าเป็นนางฟ้า" ลูกน้องคนหนึ่งแซว
อันยาเหวอ เมื่อเจอกลุ่มโจรแซว เธอหันขวับเตรียมจะชิ่ง ทั้งสามโจรมีปฏิกิริยาทันที
"เอ้า จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ มานั่งผิงไฟตรงนี้ด้วยกันก่อน" จ่อเลบอก
"เอ่อ...ขอบ ขอบคุณ แต่ว่า..ไม่ดีกว่าค่ะ" อันยาจะเปิดแน่บ
จ่อเลพรวดมาขวางหน้าไว้อย่างคล่องแคล่ว
"พี่ชวน ไม่มาไม่ได้!” จ่อเลเสียงแข็ง
"คือ ฉัน ฉันไม่ว่าง ต้องรีบไป ให้..ให้ฉันไปเถอะนะ"
จ่อเลกระชากตัวอันยามา "รู้มั้ยถ้าขัดใจพี่จะเป็นยังไง" จ่อเลยกมีดที่ใช้ปาดกิ่งไม้ขึ้นมาขู่
อันยาตาเหลือก
เสียงแสนดังขึ้น "อันยา !!”
แสนโผล่พรวดออกมาได้ทันเวลา ก่อนที่อันยาจะหัวใจวายไปซะก่อน ชายทั้งสามหยิบอาวุธขึ้นมาทันที
อันยารีบเข้าไปเกาะแสนด้วยความกลัวมากๆ
"คุณแสน ..ช่วยฉันด้วย"
แสนมองพวกจ่อเล เมื่อประเมินจากสายตาก็พอรู้แล้วว่ากำลังเจอกับกลุ่มโจรป่าเข้าให้
"นี่เมียแกเหรอ" จ่อเลถาม
แสนเครียด ในหัวของเขาคิดหาทาง "ครับพี่"
อันยาชะงักแล้วหันไปมองแสน แสนไม่เพียงพูดอย่างเดียว เขาโอบอันยาเอาไว้ด้วย
"บอกแล้วว่าอย่ามาทางนี้ !" แสนพูดกับจ่อเล "ขอโทษที่เมียผมมาเกะกะ พวกเราไม่พูดมากหรอกครับ ผมแค่มาตามเมียกลับบ้าน ไป อันยา" แสนจะพาอันยาไปเลย
จ่อเลกับลูกน้องเข้ามาล้อมหน้าแสน และอันยาไว้
"เป็นคนแถวนี้ แน่เหรอ ? หน้าตาท่าทางดูไม่ใช่" จ่อเลระแวง
"จริงครับพี่ ผมทำไร่สตอรว์เบอร์รีอยู่ตรงโน้น" แสนบอก
"งั้นขอดูมือซิ" จ่อเลบอก
อันยาเป็นห่วงแสนจึงสายหน้าบอกว่าอย่า แต่แสนยื่นมือออกไปให้จ่อเลดูโดยง่าย
"มือด้าน เลอะดิน มันทำไร่จริงๆ" ลูกน้องบอก
"ไม่ใช่ตำรวจปลอมตัวมาก็แล้วไป" จ่อเลว่า
"ผมพาเมียกลับนะพี่ ป่านนี้ที่บ้านคงเป็นห่วงแล้ว"
"แกจะกลับก็ได้" จ่อเลบอก แสนกับอันยาโล่งอก "แต่ปล่อยเมียไว้ที่นี่ ขอยืมให้ความอบอุ่นพวกข้าสักคืน"
อันยาตกใจ "ไม่ ไม่เอาน๊ะ !!”
แสนนิ่งคิด ก่อนบอก "ก็ตามใจพี่"
อันยาเหวอไปเลย
"ว่าง่ายๆอย่างงี้ ค่อยฉลาดหน่อย"
อันยาพูดกับแสน "คุณแสน นี่.. นี่คุณแค้นฉันขนาดนี้เลยเหรอ"
แสนนิ่งไม่ตอบ อันยาช็อค
"แล้วอย่าคิดเรียกตำรวจล่ะ ถ้าอยากให้เมียแกรอด"
ลูกน้องคนนึงดึงตัวอันยาไปเลย พวกโจรหัวเราะชอบใจกัน แสนหันหลังทำเป็นจะเดินไป แต่พอโจรเผลอ แสนก็หยิบท่อนไม้บนพื้นพรวดเข้าไปฟาดที่แขนลูกน้องจ่อเลแล้วดึงตัวอันยามา ลูกน้องอีกคนหยิบมีดมาจะสู้ แสนเหวี่ยงท่อนไม้ขู่ แต่พอท่อนไม้จะฟาดถูกแสกหน้า แสนก็ชะงักแล้วเปลี่ยนเป็นถีบลูกน้องจ่อเลออกไปแล้วรีบพาอันยาหนี
จ่อเลที่กำลังเล็งปืนมาที่แสนสังเกตเห็นที่แสนไม่ฟาดลูกน้องตัวเองก็ชะงักแล้วลดปืนลง ลูกน้องทั้งสองลุกขึ้นมาได้ก็จะตาม
จ่อเลห้ามไว้ "เดี๋ยว"
"ไม่มันตามเหรอลูกพี่!”
จ่อเลนิ่งแล้วมีแววตาครุ่นคิด
ลดาโทร.หาอันยา ติดแต่ไม่มีคนรับสาย ในขณะที่คิมหันต์เล่นมือถือของตัวเองอยู่
“ทำไมหนูอันไม่รับสายนะ” ลดาบ่น
คิมหันต์หันมา “คงจะเจอด็อกเตอร์แล้ว คุยกันเพลินจนลืมโทรหาผู้ปกครอง”
ลดาเหล่ที่คิมหันต์กวน
คิมหัรต์พูดต่อ “แหม คุณย่าครับ เจ๊เค้าไม่ได้เจอด็อกเตอร์มาตั้งนาน ให้เค้าได้พูดคุย เคลียร์ใจ ใช้เวลาสองเราให้เต็มที่ไปเลยเถอะครับ”
“ย่าก็ไม่ได้จะไปขัดขวางอะไรเค้าสองคนสักหน่อย แค่เป็นห่วง ไม่น่าปล่อยให้หนูอันไปคนเดียวเลย”
“คุณย่าเชื่อผมเถอะครับ ว่าเค้าปรับความเข้าใจกันอยู่ สวีทๆ”
ลดานิ่วหน้าสงสัยว่าจะจริงเหรอ
แสนจูงอันยาวิ่งหนีกันมาอย่างสุดแรงเกิด
“เร็วหน่อยสิคุณ !”
อันยาหอบมาก “นี่..นี่ยังไม่เร็วอีกเหรอ ?”
“พวกนั้นเป็นโจรป่า ไวยังกับม้า ถ้าเแค่นี้มันตามทันแน่ๆ” แสนว่า
อันยาแข็งใจและพยายามวิ่งต่อ แล้วก็มาเจอทางขรุขระ แสนดึงอันยาให้กระโดดข้ามก้อนหิน อันยาเซไปปะทะกับตัวแสนแล้วก็ชะงักไป
“เป็นไรมั้ย” แสนถาม อันยาส่ายหน้า “อีกนิดจะเจอทางไปไร่แล้ว” แสนจูงมือให้อันยาไปต่อ
แกร๊ก เสียงสับไกปืนดังขึ้นจากเบื้องหลัง จ่อเลมายืนอยู่ด้านหลังของทั้งสอง
“เอ็งพูดถูกแล้ว ที่ว่าพวกข้าไวเหมือนม้า แล้วคิดว่าจะหนีพ้นงั้นเรอะ”
แสนกับอันยาอึ้งและคิดว่างานนี้เสร็จแน่ๆ พวกโจรเดินมาตรงหน้า
ลูกน้องคนหนึ่งแค้น “มึงกล้าลองดีกับพวกกูเหรอว๊ะ!” ลูกน้องกระชากคอเสื้อแสนแล้วจะอัด
จ่อเลห้าม “เดี๋ยว !”
“ห้ามทำไมอีกลูกพี่ !! มันชิงหญิงต่อหน้าเรานะ”
“ทำไมเมื่อกี๊ แกไม่ฟาดไอ้นี่” จ่อเลชี้ที่ลูกน้องอีกคน
“ถ้าฟาดตรงแสกหน้า กระโหลกร้าว เค้าอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต” แสนบอก
ลูกน้องฉุน “เป็นคนดีนักเหรอมึง !”
แสนพูดกับจ่อเล “คุณเอง ก็ไม่ได้กะจะทำร้ายพวกเราแต่แรก คุณให้ผมกลับไป แต่.. ใครจะทนให้คนอื่นย่ำยีเมียเราได้ล่ะ”
ลูกน้องโวย “ปากดีนักนะ!!”
จ่อเลปราม “เดี๋ยว !”
“จะเดี๋ยวอะไรอีกล่ะลูกพี่”
“ฉันจัดการเอง”จ่อเลบอก
ลูกน้องทั้งสองถอยออกมาแล้วยิ้มเหี้ยมเพราะคิดว่าแสนเสร็จแน่ๆ จ่อเลขยับปืนแล้วทำท่าจะเล็ง พวกลูกน้องยิ่งหัวเราะชอบใจ อันยาตัวสั่น แสนดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น
จ่อเลลดปืนลง “แกพูดถูกว่ะ !” ลูกน้องชะงัก “แกไม่ใช่พวกขี้ขลาด กล้าปกป้องเมีย พูดกันตรงๆแบบนี้ ข้าชอบว่ะ”
ลูกน้องจ่อเลงงกันไป
“ให้ข้าเลี้ยงข้าวป่าพวกเอ็งสักมื้อก็แล้วกัน !” จ่อเลบีบบ่าแสน
แสนอึ้ง อันยาหน้าเหวอ
สิน ฟองคำ หนานปิง และสิงห์รับประทานอาหารจนอิ่ม ฟองคำเอาชาสมุนไพรและของว่างมาเสิร์ฟ ส่วนตาก็เหลือบมองนาฬิกา
“ป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่กลับมากันอีก” ฟองคำว่า
ฟองคำเผลอทำแก้วน้ำหล่นแตก ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
สินรีบเข้ามาดูฟองคำ “แม่” สินเห็นฟองคำยังอึ้งอยู่ “โดนบาดรึเปล่า”
สิงห์รีบกุลีกุจอช่วยเก็บแก้วที่แตก
“พ่อ แม่ใจไม่ดีเลย มันเหมือนเป็นลางยังไงไม่รู้” ฟองคำบอก
“ฉันว่าไม่ใช่หรอก แม่เหม่อนึกถึงสองคนนั่นมากกว่า เลยทำแก้วตก” สินบอก
ฟองคำมองสินด้วยตาเขียวเบาๆ สินชักเกรง ไม่ทันขาดคำ หนานปิงก็ร้องขึ้นมาอีกคน
“เฮ่ย...ตา ตา ตาข้า”
สิงห์ตกใจ “เศษแก้ว เข้าตาเหรอครับ ? ไม่น่านะ อยู่ตั้งไกล”
“ตาขวากระตุกเว้ย โบราณเค้าว่าขวาร้าย ซ้ายดี เนี่ย” หนานปิงมองฟองคำ “มันเป็นลางยังไงไม่รู้”
“โอ๊ย..อุปาทานหมู่” สินว่า
“พ่อไม่ห่วงแสน ก็เรื่องของพ่อ แต่แม่ว่าสองคนนั่นหายตัวไปนานเกินไปแล้ว แม่จะออกไปตาม” ฟองคำเดินไปเลย
สินร้องเรียก “แม่ แม่”
หนานปิงจะเดินไปด้วย
“ดีแล้วพ่อ ช่วยเรียกสติลูกสะใภ้หน่อย” สินบอก
“ฉันก็จะไปตามหลานฉันเหมือนกัน” หนานปิงบอก
สิงห์ที่เก็บเศษแก้วเสร็จก็เดินไปด้วยอีกคน สินยืนเหวอๆอยู่คนเดียว
สิงห์ คนงาน และสินช่วยกันตามหาแสนและอันยาที่ไร่
“ไอ้แสน !! ได้ยินพ่อรึเปล่า แสน หนูอันยา”สินตะโกนเรียก
สิงห์ตะโกน “แสน คุณอัน อยู่รึเปล่า ได้ยินเรามั้ย !”
คนงานต่างส่องไฟช่วยกันตามหา หนานปิงและฟองคำยืนมองสถานการณ์ด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่น่าเชื่อไอ้สินมันเล๊ย ดูซิ ถ้าออกตามแต่แรก คงไม่เป็นแบบนี้” หนานปิงว่า
“อ้าว พ่อ ผมแค่อยากเปิดโอกาสให้ลูก เห็นมีสาวๆมาหา กลายเป็นผมผิดซะแล้ว” สินบอก
หนานปิงว่า “ผิดก็ยอมรับว่าผิดสิวะ”
“ผิดตรงไหน ไอ้แสนมันก็โตไม่รู้จะโตยังไงแล้ว ใครจะไปคิด ว่าจะหายตัวไป”
“นี่ ไม่ยอมรับผิดแล้วยังโทษหลานข้า ว่าเซ่อหายไปเองอีกงั้นเหรอ”
“โอ๊ย ไม่ได้โทษ”
ทั้งสองคนทำท่าจะเถียงกันไปกว่านี้ ฟองคำจึงเดินมาแล้วพูด
“พ่อ ตรงโน้นยังไม่มีคนไปดูเลย ไปช่วยกันหาหน่อย”
“จ้ะแม่ ไม่ต้องห่วงยังไงเราต้องเจอลูกเแน่ ไปหาลูกเหนื่อยน้อยกว่าเถียงกับพ่อตัวเอง” สินบอก
หนานปิงได้ยินก็อยากจะด่ากลับแต่สินรีบชิ่งไปซะแล้ว
“ไอ้นี่ ! ถ้าไม่เจอหลานข้านะ น่าดู”
หนานปิงหงุดหงิดสินมากๆ
อันยาเกาะแขนแสนไว้แน่น จ่อเลเดินนำหน้า แล้วลูกน้องทั้ง 2 ก็เดินประกบตามหลังขบวน
อันยากระซิบถามแสน “ทำไมเราต้องมากับพวกนี้ด้วย!! อย่าบอกนะว่าอยากกินดินเนอร์กับโจร”
“แล้วคุณคิดว่าพวกนี้ อยากกินข้าวกับเราจริงๆงั้นเหรอ”
อันยาชะงัก
“มันกลัวว่าถ้าเรากลับไปตอนนี้ จะไปเรียกตำรวจ แล้วมันจะไม่ได้หยุดพักแรม ต้องหนีหัวซุกหัวซุน”
“แต่เราก็บอกแล้วนี่ ว่าจะไม่บอกใคร”
“พวกนี้เป็นโจรนะ จะเชื่อใจใครเต็มร้อยล่ะ”
อันยาชะงักเพราะคิดว่าจริงด้วย
“ขนาดคนธรรมดาๆ ไม่ใช่โจร ก็ยังเชื่อไม่ค่อยได้”
อันยาเจ็บแปลบ เมื่อรู้ว่าแสนแขวะ ยังไม่ทันที่เธอจะเถียง แสนก็พูดขึ้น
“เราไม่มีทางเลือก ถ้ามันเชื่อใจเราอยู่บ้าง บางทีพรุ่งนี้ ก็อาจจะปล่อยเรากลับ”
“อาจเหรอ !”
แสนนิ่งเพราะไม่มั่นใจ
“แล้ว.. แล้วถ้ามันไม่เกิดเชื่อใจเราล่ะ เราจะเป็นยังไง”
จ่อเลฟันกิ่งไม้ที่เกะกะขวางทางลงเสียงดังลั่น อันยาเห็นความเฉียบขาดของจ่อเลก็สะดุ้งโหยง
แสนและอันยาหน้าซีดเพราะตกที่นั่งลำบากซะแล้ว
ด้านคิมหันต์กดเล่นเกมบนมือถือ ลดาเดินมาชะโงกดู พอเห็นว่าคิมหันต์เล่มเกมก็ตีเข้าให้
“ย่า ทำอะไรครับเนี่ย ผมเกือบได้แสนคะแนน จะชนะคู่แข่งอยู่แล้ว”
“ไหนบอกจะช่วยโทรหาหนูอันให้ย่าอีกแรง แล้วทำไมมานั่งเล่นเกม” ลดาว่า
“โทรแล้วครับ แต่มันติดต่อไม่ได้นี่นา อีกอย่างนะครับคุณย่า เดี๋ยวเจ๊เค้าเห็นมิสคอลเยอะๆ ก็ตกใจ นึกว่าใครเป็นอะไรกันพอดี”
“ก็ดี ให้เค้ารู้ว่าย่าอกจะแตกตายเพราะเป็นห่วงเค้า”
“คุณย่าก็..”
คิมหันต์ไม่รู้จะกล่อมลดายังไง เขาเหลือบมองมือถือพอเห็นแบตเตอร์รีโลว์ก็นึกได้
“แบตหมด !! ต้องเพราะยังงี้แน่ๆ”
ลดาเหลือบตามามอง
“พวกสมาร์ทโฟนเนี่ย แบตหมดเร็ว บางทีเจ๊เค้าอาจจะหาที่ชาร์จแบตไม่ได้ โทรไปครั้งหลังๆ ถึงมีแต่เสียงสัญญาณตอบรับว่าติดต่อไม่ได้”
ลดานิ่งคิดเพราะก็มีเหตุผลอยู่
“อย่าเครียดเลยนะครับ เดี๋ยวหน้าไม่เด็กน๊า คงเป็นปัญหาทางเทคนิคมากกว่า ไม่มีเรื่องร้ายอะไรหรอกครับ”
คิมหันต์หาวิธีปลอบลดาจนได้
กิ่งไม้ถูกใส่เพิ่มเข้าไปในกองฟืน จ่อเลเห็นแสนและอันยายังยืนเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูกก็บอก
“ยืนอยู่อย่างนั้น ไม่เมื่อยรึยังไง” จ่อเลถาม
อันยายังกลัวๆ เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นมีแต่ดินเปล่าๆ จึงพูดตรงๆ
“แล้ว…จะให้นั่งตรงไหน เก้าอี้ หรือเบาะอะไรก็ไม่มี”
ลูกน้องโจรทั้งสองที่กำลังตระเตรียมวัตถุดิบป่าๆเพื่อทำอาหารหันมา
“ถ้าต้องการเบาะหนังชั้นดี มานั่งนี่” ลูกน้องตบหลังตัวเอง “มั้ยล่ะจ๊ะน้องสาว”
อันยาเหวอ ลูกน้องโจรหัวเราะครื้นเครง
“เฮ้ย ! เกรงใจ ผัวเค้าหน่อย ยืนหัวโด่อยู่นี่ เมียเอ็งเนี่ย เรื่องเยอะจริงๆนะ”
“เค้ามาจากในเมืองน่ะพี่ คนไม่เคยลำบากก็แบบนี้แหละ” แสนบอก
“นี่ ใครว่าฉันไม่เคยลำบาก แล้วไอ้ที่ฉันไปลุยโคลน ลุยนากับคุณนี่ ไม่ลำบากรึไง” อันยาว่า
พวกโจรจ้องอย่างสนใจที่เห็นอันยาเถียงแสน
“ถ้าทนได้ ก็นั่งสิ มัวเถียงผมอยู่ทำไม” แสนบอก
อันยาชะงักและเหวอไปทันที
“ข้ารู้แล้ว ว่าทำไมพวกเอ็งถึงทะเลาะกัน นังนี่มันไม่ยอมใครซะเลย แม้แต่ผัวตัวเองตกลงเอ็งจะนั่งหรือไม่นั่ง” จ่อเลว่า
อันยาเห็นจ่อเลเสียงเข้มเลยค่อยๆ นั่งยองๆ แต่ยังไม่กล้านั่งเต็มที่ แสนดึงอันยาให้นั่งลงมาเต็มที่ ด้านหลังมีอันยากิ่งไม้อยู่ไม่ไกล
“โอ๊ย คุณแสน... ไม่รู้มันมีมด มีแมลงอะไรรึเปล่า” อันยาชะงัก “ว๊าย ตัวอะไรก็ไม่รู้” อันยาลุกขึ้นมาเต้นทันที “กรี๊ด มันเข้าไปในเสื้อ ออกไป ออกไป”
อันยาพยายามสลัด สบัด จะให้สิ่งแปลกปลอมออก
“พี่ช่วยเอาออกให้มั้ยจ๊ะ” ลูกน้องจ่อเลถาม
อันยาตกใจแล้ววิ่งหนีไปหาแสน
“เอ้า รีบๆช่วยเมียเอ็งเข้า เดี๋ยวมันกรี๊ดจนสัตว์ตื่นหมดทั้งป่า” จ่อเลว่า
อันยามองแสนแล้วก็ชะงักว่าจะทำยังไงดี แสนเห็นสามโจรมองมาเลยเล่นละคร
“เดี๋ยวเอาออกให้” แสนส่งสายตาขอโทษแล้วจะเอื้อมมือไปที่เสื้อด้านหลังของอันยา
อันยาผละออกมา “ฉัน..ฉันเอาออกเองได้”
อันยาเห็นเต๊นท์ที่กางอยู่ไม่ไกลก็พรวดเข้าไปในเต๊นท์ทันที แสนโล่งอกนิดๆ เพราะนึกว่าจะต้องล้วงให้ซะแล้ว จ่อเลและลูกสมุนมองอาการของแสนกับอันยา จ่อเลมีสายตาครุ่นคิด
กิ่งไม้เล็กๆถูกหยิบออกมาจากข้างในเสื้อ อันยาโล่งอก
“โถ่เอ๊ย นึกว่าสัตว์ประหลาดที่ไหน”
อันยาเขวี้ยงใบไม้ทิ้งอย่างหัวเสีย
แสนยืนรออยู่ห่างๆ ที่นอกเต๊นท์ ส่วนจ่อเลและลูกสมุนซุบซิบกัน
“แหม น่าเสียดาย นี่ถ้าผัวมันไม่อยู่นะ” ลูกน้องถูมือด้วยความเสียดายมาก
“หึ..แต่ข้าสงสัยมากกว่า ว่ามันใช่ผัวใช่เมียกันจริงรึเปล่า” จ่อเลบอก
ลูกสมุนทั้งสองชะงัก
“พี่ว่าไอ้หน้าหล่อนี่มันโกหกเราเหรอ”
“แกเคยเห็นผัวเมีย มันเขินกันแบบนี้มั้ยล่ะ เมียข้าเวลามันเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้าไม่เห็นอายสายตาข้าสักนิด”
ลูกสมุนทั้งสองคิดตาม
“ข้าวใหม่ปลามันรึเปล่า ถ้าไม่ใช่ผัวเมียจะลำบากลำบนมาตาม มาช่วยนังนี่ทำไม”
“ถ้ายังงั้นมันก็ต้องพิสูจน์” จ่อเลตาคมวาว
“ถ้าพิสูจน์ แล้วมันเกิดไม่ใช่ผัวเมียกัน ลูกพี่จะทำไง?” ลูกน้องถาม
จ่อเลเอามีดมาเหลาไม้ด้วยท่าทางอำมหิต ลูกน้องทั้งสองช่วยกันบิลด์
“ไม่มีใครรอดมือลูกพี่ ถ้าเกิดจับได้ว่าโกหก”
แสนและอันยาที่นั่งอยู่ด้วยชะงักนิดๆ
“ถ้าลูกพี่จับได้ว่าใครหน้าไหนมันหลอกเราล่ะก็..” ลูกน้องคว้าดินขึ้นมาบี้ให้แหลก
“จะ จะให้กินดินเหรอ?” อันยาถาม
“กินดิน?”
ลูกน้องโจรทั้ง 2 หัวเราะกับคำพูดของอันยาเสียงดัง จ่อเลหัวเราะหึ หึ อย่างมีฟอร์ม
จ่อเลปักมีดลงดิน “เอาดินกลบหน้า ทำปุ๋ยต่างหากล่ะ!”
แสนกับอันยาผงะแล้วคิดว่าแรงอ่ะ
“ข้าเกลียดคนโกหก!! พวกเอ็งสองคน เป็นผัวเป็นเมียกัน ก็ไม่ชอบให้อีกฝ่ายโกหกเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”
อันยาสะเทือน เธอแอบเหลือบมองแสนก็เห็นแสนข่มอารมณ์นิ่งแต่ดูเครียดลึกๆ
“แต่ผัวเมียนี่แหละ ชอบโกหกกันนัก จ้างให้พวกเอ็งก็ต้องเคยโกหกกัน” จ่อเลว่า
แสนโพล่ง “ผมไม่เคยโกหกเค้า!”
อันยาก้มหน้าเพราะรู้สึกว่าโดนจี้ใจดำ
“แล้วน้องสาวล่ะจ๊ะ ริมฝีปากสวยๆแบบนี้ พูดโกหกบ้างรึเปล่า” ลูกน้องถาม
แสนข่มอารมณ์หลังจากที่จี๊ดขึ้นมา อันยาอึดอัดมากๆ
“ไม่ตอบ แบบนี้จะหมายความว่ายังไงลูกพี่ เอ เคยโกหกหรือว่าไม่เคย...”
อันยาทนไม่ไหว “เคยแล้วยังไง ไม่เคยแล้วยังไง!! ทำไมต้องคิดว่าคนโกหกไม่รู้สึกอะไรเค้าอาจจะเสียใจมากๆก็ได้”
“แต่ก็ไม่เท่ากับคนที่โดนหลอก” แสนบอก
อันยามองหน้าแสนด้วยความน้อยใจ แสนเลี่ยงไม่สบตาอันยา
“อ้าวเฮ้ย มาทะเลาะกันเองซะแล้ว พวกเอ็งจะโกหกกันเองก็ไม่เป็นไร” จ่อเลพูดกับแสน “แต่หวังว่า
น้องชายคงไม่หลอกพวกเราหรอกนะ”
จ่อเลพูดเหมือนเล่นแต่สายตาเอาจริง แล้วเขาก็หยิบปลาที่ลูกน้องจับมาเสียบลงไปในไม้แหลม แสนเห็นสายตาจ่อเลและลูกน้องก็รู้สึกได้ว่าพวกนั้นกำลังสงสัยเขากับอันยาอยู่
ขณะที่ ฟองคำ สิน และหนานปิงกำลังเครียดกันอยู่ สิงห์ก็เดินมาบอกข่าว
“โทรหาตำรวจแล้วครับ”
“เค้าว่ายังไงบ้าง” สินถาม
สิงห์เครียด “เค้ายังไม่มีกำลัง ที่จะออกช่วยเราค้นหาในตอนนี้ ต้องรอถึงเช้าน่ะครับ”
ทุกคนได้ยินก็หน้าเสีย
“แต่ว่า ทางตำรวจเค้าก็ส่งกำลังติดตามพวกโจรอยู่แล้วนะครับ เห็นบอกว่าพวกเนี๊ยะมาดมันดี ดูภายนอกเหมือนพวกตั้งแค้มป์ในป่า แต่จริงๆ มันฆ่าคนที่ขวางทางมาหลายรายแล้ว” สิงห์บอก
ฟองคำ สิน และหนานปิงได้ยินก็ยิ่งสยอง
“จะบอกให้ยิ่งเครียดไปทำไมเนี่ย” สินว่า
“ก็..รู้อะไรมาก็บอกน่ะ” สิงห์แก้ตัว
“ตายแล้ว นี่ถ้าแสนกับหนูอันเจอพวกมันเข้าจริงๆ...” ฟองคำกังวล
“แต่ตำรวจบอกว่าตามรอยอยู่นะครับ ถ้าแสนกับคุณอันเผชิญหน้ากับโจร ตำรวจก็อาจจะเข้าช่วยเหลือได้”
“ก็แค่อาจ เค้าก็ยังตามโจรไม่เจอไม่ใช่เรอะ” หนานปิงว่า
ทุกคนฟังแล้วก็ชะงักก่อนจะอึ้งกันไป
“ยังไง ก็ขออย่าให้หลานฉันเจอโจรโหดพวกนั้นเลยนะ เจ้าประคู๊ณ”
หนานปิงภาวนาด้วยความห่วงหลาน
ปลาที่เสียบไม้ถูกย่างจนสุกดีแล้ว จ่อเลสั่งลูกน้อง
“ให้แขกเราซิ ดึกป่านนี้คงจะหิวแย่”
“ขอบคุณพี่” แสนรับมาแล้วจะส่งปลาให้อันยา
จ่อเลพูดขึ้นก่อน “จะว่าไปเมียแกนี่ ไม่เหมือนคนอยู่ไร่อยู่ดอยเลยจริงๆ”
“ก็อย่างที่ผมบอก เค้ามาจากในเมืองน่ะพี่”
“ฉันเคยเห็นผู้หญิงในเมือง ก็ไม่แต่งตัวประหลาดแบบนี้” ลูกน้องว่า
อันยาไม่พอใจ “ประหลาดเหรอ ?? เค้าเรียกว่ามีสไตล์ต่างหาก”
แสนกลัวอันยาพูดมากแล้วความแตกจึงยัดปลาใส่มือเธอ “กินซะ !” แสนพูดกับพวกโจร “หิวทีไรพูดจาเพ้อเจ้อทุกที”
อันยาไม่พอใจ “คุณแสน !”
“เฮ่ย ท่าทางผัวเมียจะทะเลาะกันอีกแล้ว นี่น้องสาว เป็นผู้หญิงโกรธผัวมันไม่ดีหรอกนะป้อนข้าวป้อนปลาผัวเอ็งหน่อยสิ” จ่อเลบอก
อันยาตกใจ “ห๊ะ!”
“หรือว่าทำไม่เป็น?”
“หรือว่าไม่เคยทำ เป็นผัวเมียกันจริงๆ รึเปล่า”
แสนกับอันยาชะงักเพราะรู้สึกเหมือนโดนจับผิด
อันยารีบเนียน “แหม จะไม่ใช่ได้ยังไง” อันยาบิปลามาแล้วก็ร้อนมือแต่ก็จะป้อนแสน “กิน กินปลานะจ๊ะพี่”
แสนนิ่งมองแต่ยังไม่ยอมกิน
อันยาเห็นโจรมองอยู่ “ช่วยกันหน่อยสิคุณ !”
แสนทำหน้าแบบไม่รับ “มันมีก้าง”
อันยาเหวอที่แสนเยอะขึ้นมา !!
“ก็...ก็แกะเองไม่ได้รึไง” อันยาบอก
“ใครป้อน ก็แกะให้สิ”
“นี่..ข่มได้ข่มเอาเลยเหรอ” อันยาว่า
แสนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อันยาเหลือบมองโจรแบบไม่มีทางเลือก เธอต้องเอาก้างปลาออกแล้วป้อนให้แสน แสนยอมกินแต่โดยดี อันยาโล่งอก
“ไม่เอาเนื้อตรงท้องแล้วนะ เอาตรงหาง” แสนบอก
อันยาเหวอที่แสนสั่ง เธออยากจะขึ้นแต่หันไปเห็นโจรมองอยู่ก็ต้องยอม เธออุตสาหะแกะปลาป้อนแสนต่อไป แสนฟอร์มกินปลาหน้านิ่งๆ แต่แววตาสนุกที่ได้แกล้งอันยา โจรทั้งสามนิ่วหน้าอย่างอิจฉาที่ยังจับไม่ได้
ฟองคำ สิน สิงห์ และหนานปิงนั่งเครียด สินยืนกอดอกอยู่
ฟองคำลุกพรวด “ฉันจะให้คนช่วยนำทาง ไปตามหาในป่า”
สินมารั้งฟองคำเอาไว้
“แม่ คืนเดือนมืดแบบเนี๊ยะ ถ้าไม่ชำนาญจะหลงกันไปใหญ่นะ”
“แล้วจะให้รออยู่เฉยๆอย่างเงี๊ยะเหรอ แล้วแสนกับหนูอันยาจะเป็นยังไงกันบ้าง” ฟองคำบอก
ทุกคนต่างก็เครียดเพราะเป็นห่วงแสน
“ผมว่าที่น้าสินพูดก็ถูก ถ้าจะไปป่า ควรรอให้สว่างก่อน ไม่งั้นอาจจะมีคนเดือดร้อนกันมากกว่านี้ ทั้งสัตว์มีพิษ ทั้งอะไรต่อมิอะไร” สิงห์บอก
“แกยิ่งพูด ข้าก็ยิ่งเป็นห่วง ! แล้วอย่างนี้หลานข้าจะปลอดภัยมั้ย” หนานปิงเป็นห่วง
สินกับสิงห์มองหน้ากัน
“ฉันรู้ว่าทุกคนห่วงแสน ฉันก็ห่วง ! แต่ ฉันก็อยากให้พวกเราทำใจดีๆกันไว้ไอ้แสน มันไม่ใช่คนโง่ มันต้องเอาตัวรอดได้ ถ้าพรุ่งนี้เช้ายังไม่มีวี่แวว ต่อให้ต้องพลิกทั้งป่าทั้งเขาค้นหา ฉันก็จะทำ”
สินยืนยันหนักแน่นทำให้ฟองคำและหนานปิงต้องยอมสงบลง
“หวังว่าแสนจะดูแลตัวเอง และดูแลหนูอันยาได้นะพ่อ” ฟองคำบอก
สินบีบมือฟองคำเพื่ให้ความเชื่อมั่น แม้ว่าในแววตาของเขาจะกังวลไม่น้อย
ลูกน้องของโจรทั้งสองจ้องอันยาอย่างยากจะห้ามสายตาได้ อันยากลัวจึงเขยิบมานั่งใกล้แสน และเบียดจนชิดอย่างไม่รู้ตัว แสนหันมามอง อันยารู้ตัว
“ขอโทษ” อันยาจะขยับออก
แสนเห็นโจรมองอยู่จึงรีบดึงตัวอันยามาโอบไหล่ไว้แน่น
“ไม่ต้องอายหรอกน่า พี่เค้าไม่ถือสาเราหรอก”
โจรทั้งสามเซ็งเพราะทั้งคู่แนบชิดกันอีกแล้ว
จ่อเลยื่นกระบอกไม้ไผ่ใส่เหล้าให้ “เอ้า ดื่มดับหนาวกันหน่อย”
แสนชะงัก อันยาใจเสีย เธอรีบกระซิบแสน
“เค้าคิดจะมอมคุณรึเปล่า ?”
“ไม่เป็นไรน่าที่รัก แค่นิดหน่อย” แสนพูดกับโจร “เมียผมไม่ค่อยชอบให้กินเหล้า”
“กลัวเมียแบบนี้ ใช้ไม่ได้นะ” จ่อเลบอก
แสนยื่นมือไปรับกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่เหล้าขาวแล้วกรึ๊บเข้าไปแต่เหล้าแรงมาก แสนเห็นโจรมองอยู่ ก็กรึ๊บต่อ
จ่อเลพอใจ “ดี มันต้องยังงี้ !!”
แสนแสบคอไปหมดแต่ก็ฝืนยิ้มให้พวกโจร อันยามองแสนแบบทั้งเป็นห่วงแสนและห่วงตัวเอง
“ยังไง..ก็อย่าให้เมามากนะพี่..นะ”
อันยาปรามๆ เพราะไม่อยากให้สถานการณ์อันตรายไปกว่านี้
สมุนโจรทั้งสองเมากันไปแล้ว ทั้งสองร้องเพลงแนวป่าดงดอยโดยเอาภาชนะต่างๆมาเคาะเป็นดนตรีกันครึกครื้น
“มีแขกมาร่วมวงด้วยแบบนี้ สนุกกว่าทุกทีจริงๆ เอ้า ดื่มอีก”
จ่อเลรินเหล้าให้แสนอีก แสนยื่นถ้วยไม้ไผ่มารับ
แสนกรึ๊บเข้าไปหนึ่งอึก พอจ่อเลหันไปมองลูกน้องที่ร้องรำทำเพลง แสนก็แอบเทเหล้าทิ้งทางด้านหลัง จ่อเลหันกลับมา แสนรีบเอาถ้วยไม้ไผ่มาจ่อริมฝีปากไว้เหมือนกับว่าดื่มไปจนหมด
“เออ เอ็งสองคน มีลูกกันรึยัง” จ่อเลถาม
แสนกับอันยาชะงักไปกับคำถาม อันยาหน้าตาเหรอหรามาก
“นี่หุ่นฉันดูเหมือนคนมีลูกแล้วตรงไหน!” อันยาโวย
แสนรีบหยิกแก้มอันยาเพื่อเบรก “ที่รัก.. ก็คุณขี้อายแบบนี้น่ะสิ” แสนพูดกับจ่อเล “เมียผม มันขี้อายน่ะพี่ เราเลยไม่มีลูกกันซะที”
“เออเว้ย ทำยังกับเป็นสาวๆ ไม่มีผัวยังงั้นแหละ”
แสนเหล่อันยาประมาณจะบอกว่า เห็นมั้ยว่ามีพิรุธ
อันยารีบแก้ “แหม พี่ คนจะอาย มันก็อายอ่ะนะ มี..” อันยากระดากปาก “ผัวแล้ว ก็อายได้”
“ไม่น่าเชื่อ เอ็งนี่แต่งตัวคนละเรื่องกับนิสัยเลย ดูไม่น่าจะขี้อาย” จ่อเลว่า
อันยาหน้าม้านที่โดนโจรวิจารณ์ แสนแอบขำ จ่อเลวางถ้วยไม้ไผ่ของตัวเองลง
“เอายังงี้ดีกว่า เดี๋ยวข้าจะสอนวิธีผลิตลูกที่มันได้ผลให้”
จ่อเลว่าพลางลุกขึ้นทันที สมุนโจรทั้งสองมองลูกพี่ด้วยตาที่มีแววเจ้าเล่ห์ แสนกับอันยาเหวอ เพราะไม่รู้ว่าหมายความว่าไง
“พี่ พี่จะสอนยังไง?” อันยาถาม
“ของอย่างนี้สอนด้วยปากเปล่าไม่ได้ มันต้องปฏิบัติให้ดู !” จ่อเลบอก
“ปฏิบัติ !! ไม่ ไม่เอานะ คุณแสน คุณ...คุณช่วยฉันด้วย”
แสนท้วง “พี่ ก็ไหนพี่บอกว่า”
“ก็บอกว่าจะช่วยยังไงเล่า” จ่อเลบอก
“ไม่ ไม่” อันยากอดแสนแน่น “ฉันรักคุณแสนคนเดียว รักเค้าคนเดียว อย่าทำฉันเลยนะ ขอร้อง”
อันยาพร่ำพูดว่ารักแสนและกอดแสนแน่น แสนอึ้งแม้จะนึกว่ากำลังเล่นละครก็ตาม
อันยากลัวและไม่กล้ามอง “ถ้า..ถ้าใครฝืนใจฉัน ฉันตายไปจะเป็นผีมาหลอกเลยคอยดู !”
ลดากราบพระแล้วเงยหน้าขึ้นมาอธิษฐานกับพระพุทธรูป
“ขอให้หลานสาวของฉัน อันยาปลอดภัยจากการเดินทางในครั้งนี้ด้วยเถอะนะคะ”
คิมหันต์ที่นั่งข้างๆ ลดาเป็นเหน็บ ลดาหันไปมองเห็นคิมหันต์ที่คุกเข่าอยู่แล้วกำลังจะลุก
ลดาบอก “สวดต่อ”
“ก็..ก็เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“เธอดูไม่มีสมาธิเลย เดี๋ยวบุญไม่ถึงหนูอัน สวดจนกว่าจิตใจจะสงบ”
คิมหันต์เหวอ ลดาพยักหน้าเชิงบังคับกลายๆ คิมหันต์เถียงไม่ได้จึงกลับมานั่งพับเท้าสวดมนต์ต่อไป
“ขอให้เจ๊อันปลอดภัยด้วยเถิ๊ด แล้วรีบโทรกลับมาไวไว เมื่อยจะแย่แล้ว”
คิมหันต์ต้องรีบกลับไปตั้งใจสวด ทั้งที่เมื่อยมาก
อ่านต่อหน้า 4
อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 9 (ต่อ)
จ่อเลกำลังนวดกดจุดบริเวณฝ่าเท้าให้ลูกสมุนคนหนึ่ง
“ข้ารู้จักพ่อค้าจีนอยู่คน มันใช้วิธีนวดกดจุดที่เท้า กระตุ้นต่อมไตอะไรต่างๆให้มันทำงานดีแล้วทีนี้อยากจะมีลูกซักกี่คน ก็สบายบรื๋อ เออ นวดเข้า นั่นแหละๆ” จ่อเลว่า
แสนกับอันยาต่างก็เหวอกันไปเพราะไม่นึกว่าโจรจะมามุกนี้
“อ้าว มัวแต่ดูอยู่ทำไม ไม่นวดให้ผัวเอ็งล่ะ” จ่อเลว่า
อันยาหน้าเหรอหรา
“ไม่อยากมีลูกแล้วรึไง” จ่อเลถาม
“อยาก อยากจ้ะ...” อันยาบอก
อันยาไม่มีทางเลือกจึงต้องถอดรองเท้าของแสนออกแล้วลงมือนวดอย่างเก้ๆกังๆเป็นที่สุด
“กดจุดตามลูกน้องข้านี่”
อันยาเขินๆ จึงทำผิดๆถูกๆ
แสนคอมเม้นท์ “นวดนะคุณ ไม่ใช่ให้จิ้มเท้าเล่น”
อันยาเหวอ “นี่ !!”
แสนกระซิบ “พวกนั้นมองอยู่นะ”
อันยาเจ็บใจแต่ก็ต้องยอม เธอออกแรงกดจิกลงไปที่นิ้วโป้งเท้าของแสนเต็มแรง
แสนร้อง “โอ๊ย !!”
“ขอโทษค่ะ พอดีอยากให้หายเร็วๆ เลยจัดเต็มไปหน่อย”
อันยาแอบสะใจเบาๆ แต่แล้วก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นสีหน้าแสนเหมือนไม่หายเจ็บ
“คุณแสน... มือฉันเล็กแค่นี้เอง จะเจ็บอะไรขนาดนั้น” อันยาถาม
จ่อเลเหลือบมองข้อเท้าของแสน
“ข้อเท้าเอ็งเป็นอะไร ดูบวมๆนะ” จ่อเลถาม
“ตอนที่..ตามหาเค้า..เท้ามันพลิก เลยเคล็ดนิดหน่อย” แสนบอก
อันยาหน้าเสีย “แล้วทำไมไม่บอก ขอโทษนะคุณ..” อันยาเกือบจะเรียกแสน “เอ่อ พี่..ฉันไม่รู้ว่าพี่เจ็บอยู่”
อันยาหันซ้ายหันขวาเห็นหม้อทหารที่คนเดินป่าใช้หุงหาอาหาร มีน้ำอยู่ในนั้นก็เอื้อมไปหยิบมา
“ขอหน่อยนะ”
อันยาเอาน้ำมาบรรจงล้างเท้าให้แสน
“อันยา ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง” แสนบอก
“ใครมียา มีอะไรทาแก้ระบมบ้างมั้ย”
พวกโจรนิ่งกันไป จ่อเลพยักหน้าให้ลูกน้องไปหยิบเหง้าไพลแก่จัดมา
“เหง้าไพล ทุบแล้วเอาไปพอก ลดเคล็ดลดบวมได้”
อันยาเอาก้อนหินมาทุบเหง้าไพลอย่างเก้ๆกังๆ แล้วศอกของเธอก็พลาดไปชนน้ำที่วางอยู่จนหกใส่เสื้อ
“เสื้อเปียกแล้ว” แสนบอก
อันยาไม่สนใจเพราะจดจ่อแต่จะช่วยแสน เธอพอกยาบริเวณข้อเท้าของแสนอย่างทะนุถนอม แสนมองอันยาแล้วก็ใจอ่อนลงไปเป็นกอง
“เป็นไงคะ ดีขึ้นมั้ย ?” อันยาเงยหน้ามาถามแสนแล้วก็จาม
“เสื้อเปียกแบบนั้น ไม่ต้องใส่แล้ว” แสนบอก
แสนถอดเสื้อตัวเองออกส่งให้อันยา
แสนบอก “ไปเปลี่ยนซะ”
อันยายังห่วงแสน “แล้วคุณล่ะ” แสนชะงัก “ถ้าคุณไม่มีเสื้อใส่ ฉันไม่เปลี่ยนนะ”
อันยาพูดพลางหันไปมองทางโจรทั้งสามด้วยแววตาเว้าวอน สามโจรเหวอๆ
จ่อเลยื่นเสื้อให้แสน
“ขอบคุณนะพี่” แสนบอก
“ไม่เป็นไร พวกข้าทนอากาศแบบนี้ได้สบาย” จ่อเลหันไป “ใช่มั้ย?”
จ่อเลหันไป ปรากฎว่าคนที่สละเสื้อคือสมุนคนหนึ่งหาใช่จอเลไม่
“ลูกพี่ว่าใช่ ก็ต้องใช่” ลูกน้องหนาวจึงหยิบผ้าขาวม้ามาห่มแทน
จ่อเลมองแสนและอันยาซึ่งสวมเสื้อของแสนอยู่ แล้วสายตาที่จับผิดก็เริ่มคลายลง
“รักกันขนาดเนี๊ยะ ทีหลังก็อย่าทะเลาะกันอีกล่ะ อยู่กันดีๆ”
ลูกน้องโจรทั้งสองยังเขม่นและไม่อยากจะยอม
“ดึกมากแล้ว พวกเอ็งไปนอนเถอะ” จ่อเลชี้ไป “ข้ายกเต๊นท์ให้”
“ไม่ต้องหรอกพี่ พวกผมนอนข้างนอกได้” แสนบอก
“เฮ้ย บอกแล้ว ว่าคืนนี้เอ็งเป็นแขกของข้า” จ่อเลบีบไหล่แสนแล้วบอกแมนๆ “บรรยากาศในป่าในเขาแบบเนี๊ยะ เหมาะจะผลิตลูกนักล่ะเอ็ง”
แสนและอันยาอายกัน
“ทำให้สำเร็จล่ะ” จ่อเลหัวเราะ “พวกข้าจะไปนอนทางโน้น”
ทั้งสามโจรเดินไปเตรียมที่ทางนอนใกล้ๆกองไฟ
“พูดอะไรของเค้าเนี่ย” อันยาว่า
อันยาหันไปมองแสน แต่เห็นว่าแสนสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่และไม่ยักค้านอะไรออกมา
แสนและอันยาที่อยู่ในเต้นท์แคบๆ ต่างทำตัวไม่ถูก แล้วอันยาก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวคุณนอนริมนั้นก็แล้วกัน ฉันนอนริมนี้เอง”
อันยาขยับเข้าไปจนชิดริมอีกด้าน แต่ปรากฎว่าช่องว่างที่เหลือก็ห่างกันไม่ถึงคืบอยู่ดี
“ที่..” อันยาประชด “กว้างเนอะ”
อันยาถอนใจเพราะหนักใจ ทันใดนั้นแสนก็คว้าข้อมืออันยาไว้ พอหันมาปรากฎว่าเธอโดนดึงไปปะทะกับอกกว้างของแสน
“คุณแสน..มี มีอะไรเหรอ”
แสนสบตาอันยาเหมือนมีความกดดันปั่นป่วนอะไรบางอย่างอยู่ในใจเขา
“อย่า อย่าบอกนะว่าฉันนวดกดจุดให้คุณได้ผล นี่..อย่าล้อเล่น”
แสนจูบอันยาอย่างไม่ทันตั้งตัว อันยาอึ้งแล้วผลักแสนออกโดยอัตโนมัติ
“คุณ..ฉัน ฉันมาง้อคุณก็จริง แต่ แต่คุณยังไม่ยกโทษให้ฉันเลยนี่ แล้ว แล้วทำไม”
แสนไม่ตอบ เขากลับโน้มลงมาจูบอันยาอย่างนุ่มนวลอีกครั้งจนอันยาไม่อาจจะต้านความรู้สึกนั้นได้ เธอเคลิบเคลิ้มไป เมื่อแสนถอนจุมพิตออก อันยาก็เผลอถามออกไป
“คุณ....นี่คุณ ไม่โกรธฉันแล้วใช่มั้ย..คะ”
พอเจอกับคำถามนี้ แสนก็ถึงกับชะงัก ทิฐิที่วางไว้ชั่วคราวตีกลับขึ้นมาอีก แสนทำเป็นมองออกไปข้างนอก
“พวกนั้นอยู่ข้างนอก แอบดูเราอยู่” แสนบอก
อันยาชะงักแล้วเหลือบมองที่ช่องเปิดของเต๊นท์ ลูกน้องโจรทั้งสองแอบมองอยู่นอกเต้นท์ พอเห็นเต๊นท์เปิดออกมาดูสองโจรก็ทำเป็นแกล้งดูดาวกัน อันยาหันกลับมาแล้วก็หน้าเจื่อนไป
“รู้แล้วใช่มั้ย ว่าจะต้องทำยังไง ถ้าคุณไม่อยากเป็นเมียโจร” แสนบอก
“ฉัน ..” อันยาใจเสีย “นี่หมายความว่า เราสองคนจะต้อง”
แสนพยักหน้า
“ไม่..ไม่นะ ฉันยังไม่..พร้อม..”
แสนใกล้เข้ามา
“ถึง ถึงจะเป็นคุณ แต่ แต่ที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้..มันไม่ใช่แบบนี้ !!คุณ..คุณแสน..”
อันยาหลับตาปี๋ ขณะที่แสนดันร่างอันยาลงไป
ลูกน้องโจรทั้ง 2 ชะโงกมองไปที่เต๊นท์อย่างระทึกใจ ทั้งคู่เห็นเงาร่างของชายหญิงข้างในเต้นท์ล้มนอนลงไป
“เห็นมั้ยล่ะ ก็บอกแล้ว ว่าเค้าข้าวใหม่ปลามัน”
ลูกน้องอีกคนส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
อันยากลัวจนตัวเกร็ง แต่ปรากฎว่าแสนเพียงแต่โอบอันยาไว้หลวมๆ แม้ใบหน้าอยู่ใกล้กันแค่คืบแต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น
อันยาที่หลับตาปี๋อยู่ค่อยๆหรี่ตาขึ้นมองแล้วเห็นว่าหน้าแสนอยู่ใกล้มาก อันยาใจเต้นตึ้กตั้ก แสนอยู่ในสภาวะแทบจะเกินห้ามใจแต่ก็ค่อยๆ ถอยใบหน้าห่างออกมา
“แค่นี้..พวกนั้นก็คงจะเชื่อแล้ว” แสนบอก
“นี่...ที่ว่าจะหลอกพวกนั้น คือ..” อันยามองแขนแสนที่โอบตัวเองไว้ “เนี่ยนะ !”
แสนพยักหน้า “แล้วคุณคิดว่าผมจะทำอะไร มากกว่านี้งั้นเหรอ ?”
อันยาอึ้งเลย
“โทษทีนะ ที่ทำให้ผิดหวัง” แสนแขวะเบาๆ “ไม่เป็นอย่างที่คุณ...จินตนาการ”
อันยาทุบแสน “บ้า ฉันต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น”
“ก็คุณบอกเอง ว่าเคยจินตนาการไว้ แต่ว่าผม ไม่เคยคิดนะ”
อันยาไม่ยอมแพ้ “ฉันไม่เชื่อหรอก เมื่อกี๊นี้..คุณจูบฉันจริงๆ”
แสนอึ้งเพราะไม่ยอมรับ เขาหันหน้าหนีไป
“ใช่มั้ยคะ? คุณแสน” อันยาถามย้ำ
อันยาจะลุกขึ้นมาเพื่อมองตาแสนให้ชัดๆ แต่แสนรวบอันยาให้ล้มลงไปอีก
“อย่าลุก” แสนแกล้งมองไปข้างนอก “เดี๋ยวพวกนั้นสงสัย”
หน้าเต๊นท์ว่างเปล่าเพราะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่อันยาเชื่อแสนสนิทเลยลืมประเด็นตัวเองไป
“พวกนั้นยังไม่ไปกันอีกเหรอ ?” อันยาถาม
แสนพยักหน้า อันยากลับมากลัวโจรอีกจึงมีสีหน้าไม่สู้ดี แสนนอนลงข้างๆแล้วโอบอันยาเอาไว้
“เรานอนอยู่ยังงี้กันไปก่อน” แสนอ้าง “เพื่อความปลอดภัย”
แสนนอนกอดอันยาไว้ อันยาไม่กล้าขัด เมื่ออยู่ในอ้อมกอดแสนเธอก็ชักจะหวั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ ใจอันยาเต้นระทึกมาก
แสนได้ยินเสียงหัวใจอันยา “คุณกลัวเหรอ?”
อันยาคิดในใจ “กลัวใจน่ะสิ ไม่ได้กลัวโจร!”
“ไม่ต้องกลัว...ผมจะไม่ให้ใครรังแกคุณ” แสนบอก
แสนลูบหัวอันยาเพื่อปลอบราวกับได้ลืมความบาดหมางทั้งมวลไปในชั่วขณะ อันยารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้สึกอบอุ่นเสียจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้
พระอาทิตย์ดวงโตเพิ่งลอยโผล่พ้นทิวเขามาเล็กน้อย แสนมองอันยาที่หลับอยู่กับอกกว้างของเขาเหมือนเด็กๆ แล้วก็แทบไม่อยากขยับตัวเพราะไม่อยากให้อันยาตื่น แต่แล้วก็มีแรงสะเทือนมาจากด้านนอก แสนหันไปมองทางช่องเปิดของเต๊นท์
เต๊นท์เปิดพรึ่บขึ้น ลูกน้องคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามา อันยาขยับตัว แสนที่ตื่นอยู่แล้วรีบลุกขึ้นมาอย่างระวังตัว
“พวกเราต้องรีบไปกันแล้ว !” ลูกน้องบอก
จ่อเลเก็บข้าวเก็บของอย่างว่องไวและชำนาญ
“เมื่อคืน เป็นยังไง ได้ผลดีมั้ย”
แสนพยักหน้ารับสมอ้าง ส่วนอันยาอายมากๆ ส่วนพวกโจรถามเองก็อิจฉาเอง
จ่อเลพูดกับอันยา “ถ้าทะเลาะกับผัวอีก ก็อย่ามาเดินเพ่นพ่านในป่าล่ะ ถ้าไม่ใช่พวกข้าล่ะก็ ไม่รับประกันความปลอดภัยหรอกนะ”
“จ้ะ ไม่เดินอีกแน่ๆ” อันยาแอบบ่น “เข็ดจนตาย”
พวกโจรเก็บของกันเสร็จก็พยักหน้าให้กัน
ลูกน้องหยิบผ้าขึ้นมา 2 ผืน “มา !!ผูกตาได้แล้ว”
“ห๊ะ !! ก็ไหนว่าปล่อยพวกฉันแล้วไง” อันยาตกใจ
แสนรีบจับอันยาเพื่อปรามไว้ อันยายังหน้าเหรอเพราะไม่เก็ท
อันยาเดินเพลียๆ และบ่นกับแสน
“ปิดตาชั่วคราวให้เราจำที่พักในป่านั้นไม่ได้ ก็ไม่บอก เล่นเอาตกใจหมด”
แสนจับมืออันยาเอาไว้
อันยามองมือแสนแล้วก็หวิวๆ “คุณนี่..บทจำเป็น ก็เล่นละครเก่งเหมือนกันนะ”
“ถ้าพวกนั้นไม่เชื่อว่าเราเป็นผัวเมีย จะไม่ปลอดภัย”
อันยาหยุดเดิน “ขอบคุณมากนะคะคุณแสน ที่คุณช่วยฉันไว้”
อันยามองแสนอย่างซาบซึ้ง แสนเห็นสายตาอันยาก็ไหววูบ สองคนสบตากันท่ามกลางทิวทัศน์ขุนเขายามเช้าที่หมอกโรยตัวจางๆปกคลุม
“แล้วขาคุณ เป็นยังไงบ้างคะ หายรึยัง”
“ไม่เจ็บแล้ว..ช่างมันเถอะ”
อันยามองมือของแสนที่ยังคงจูงมือตัวเองเอาไว้
แสนแก้ตัว “เดี๋ยวเกิดคุณหายตัวไปอีก ผมขี้เกียจไปตามหา”
แสนบอกฟอร์มๆ แล้วทำเป็นหันไปทางอื่น เขาไม่กล้าสบตาเพราะกลัวอันยาจะเห็นว่าหวั่นไหว อันยาอบอุ่นที่แสนกุมมือเธอไว้ แสนจูงอันยาเดินออกจากป่า หัวใจทั้งสองดวงต่างเต้นระรัวอ่อนๆ และรู้สึกอุ่นอวลอยู่ข้างใน
สินกำลังคุยโทรศัพท์กับตำรวจ
“ลูกชายผมกับเพื่อนยังไม่กลับมาเลยครับ รบกวนผู้กองส่งเจ้าหน้าที่มาด่วนเลยนะครับ”
ฟองคำมองไปไกลแล้วก็ต้องชะงัก สีหน้าที่ซีดสลดเปลี่ยนเป็นแช่มชื่นขึ้นทันที
ฟองคำดีใจที่เห็นแสน “แสน!”
สินชะงัก เขาหันไปมองเห็นแสนกับอันยาเดินกลับมาด้วยกันแต่ไกลๆ
“เอ่อ ไม่ต้องแล้วครับ กลับมากันแล้วครับ ขอบคุณนะครับ ถ้ามีอะไรผมจะติดต่อไป” สินพูดโทรศัพท์
แสนเดินจูงมืออันยากลับมาด้วยอารมณ์ห่วงใยและอยากปกป้อง อันยารู้สึกเหมือนฝันไป พอแสนเห็นทางบ้านพากันมาหาก็ปล่อยมือจากอันยา ฟองคำ สิน หนานปิง สิงห์ รีบมาหาแสนอย่างดีใจ ทุกคนโล่งอก
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะต้องให้ตำรวจมาช่วยค้นหาซะแล้ว” หนานปิงว่า
“ขอโทษครับ ที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” แสนบอก
“กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว” สินพูดกับฟองคำ “บอกแล้ว ...ว่าลูกเราน่ะเก่ง ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอกแม่”
“ลูกทั้งคน เก่งไม่เก่งก็ห่วงทั้งนั้น”
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเพิ่งกลับกันมา?” หนานปิงถาม
สินมองอันยาแล้วก็แปลกใจ “แล้วทำไมหนูอันยาถึงได้ ใส่เสื้อของเรา แล้วเรา ไปเอาเสื้อใครมาใส่”
“พอดี..พวกเราเจอเรื่องไม่คาดคิดน่ะครับ” แสนบอก
“ทางนี้ก็เหมือนกัน มีคนที่ไม่คาดคิด มากันเต็มบ้านไปหมด!” สิงห์ว่า
“คนไม่คาดคิด...ใคร?”
ทันใดนั้น หญิงเหมือน อิงค์กี้และปุ๊กลุกก็วิ่งออกมาต้อนรับ
“คุณแสน” / “ด็อกเตอร์” / “พี่แสน!”
แสนและอันยาเหวอเมื่อเห็นว่าใครมา
หญิงเหมือน อิงค์กี้ และปุ๊กลุกต่างก็ชะงักกึกตามๆ กันเมื่อเห็นอันยา
“ยัยเลขาจอมหักหลัง นี่หล่อนยังมีหน้ามาหาแสนเค้าอีกเหรอ”
อิงค์กี้มองอันยาแล้วก็ช็อค “นั่นมันเสื้อของพี่แสนไม่ใช่เหรอ แกหายไปกับเค้าทั้งคืน แล้ว แล้วยังใส่เสื้อเค้ากลับมาด้วย แกใช้มารยาหลอกล่อพี่แสนจนได้ใช่มั้ย”
ม.ร.ว.เหมือน อิงค์กี้ และปุ๊กลุกต่างก็ช็อค
แสนและอันยาอึ้งเพราะชักจะไปกันใหญ่แล้ว ไม่ทันได้แก้ตัวทวยเทพก็โผล่มาอีกคน
“ไอ้แสน !! แกกล้าล่วงเกินผู้หญิงของฉันงั้นเหรอ อย่าอยู่เลย”
ทวยเทพพรวดเข้ามาจะอัดแสนแต่แสนหลบได้หวุดหวิด ทวยเทพไม่ยอมจึงกระชากคอแสน สิงห์กับสินเข้ามากันและผลักทวยเทพออกไป
“อย่ามาทำนักเลงแถวนี้ ฉันอุตส่าห์เปิดบ้านให้คุณมารอเจอหนูอันยา คุณยังกล้ามาทำร้ายลูกชายเจ้าของบ้าน มีความคิดบ้างรึเปล่า” สินว่า
“ก็ลูกคุณมันทำตัวเลวๆก่อน มันย่ำยีผู้หญิงของคนอื่น” ทวยเทพบอก
หญิงเหมือน อิงค์กี้ และปุ๊กลุกกรีดร้อง ด้วยความเจ็บใจ
อันยาทนไม่ไหว “หยุดกันซะที !! คิดกันไปเองทั้งนั้น คุณแสนเค้าแค่ช่วยฉันออกมาจากป่าเพราะว่าฉันหลงทาง แล้วเสื้อฉันเปื้อนน้ำ เค้าเลยเอาเสื้อเค้าให้ฉันเปลี่ยน ก็แค่นั้น”
“แล้วแสน เอาเสื้อใครมาใส่” ฟองคำถาม
แสนมองตาอันยาก่อนจะบอก “พวกเราเจอโจรป่า”
ทุกคนแทบช็อค ฟองคำถึงกับเข่าอ่อนจนสินต้องประคองไว้
“เจอโจร แล้ว แล้วทำไมถึง..กลับกันมาได้”
“เรื่องมันยาว อย่าเพิ่งพูดกันตอนนี้เลย ที่ต้องเล่าก็เพื่อให้คนที่กำลังคิดอะไรอกุศล รู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรอย่างที่คิด”
ทวยเทพอึ้งไป เขามองแสนอย่างโกรธแค้นเพราะยังอยากเข้ามาเอาเรื่อง แต่สินกับสิงห์มองข่ม
“พวกเราไม่ได้ทำเรื่องเสียหายจริงๆ ฉันยืนยันได้ค่ะ แต่ถ้าไม่เชื่อ..ก็ช่วยไม่ได้” อันยาบอก
ทวยเทพอึ้งงันเพราะยังไม่อยากเชื่อ เขาเบือนหน้าไปเพราะพูดไม่ออก ปุ๊กลุกซึ่งต้องการตัวแสนให้ได้คิดและเข้าไปยืนข้างแสน
“ปุ๊กลุกเชื่อค่ะ ว่าคนที่ทำให้ชีวิตพี่แสนล่มจมวิบัติวอดวายอย่างยัยนี่ พี่แสนจะไม่มีวันแตะต้องมันอีก”
ครอบครัวของแสนชะงักไปเมื่อได้ยินแบบนั้น
“หนูพูดว่าอะไรนะ” ฟองคำถาม
อิงค์กี้พูด “อ๋อ นี่ยังไม่ได้บอกทางบ้านของแสนเค้าเหรอยะ ว่าหล่อน พ่นพิษอะไรใส่แสนเค้าไว้บ้าง”
อันยาหน้าเสียเพราะพูดไม่ออก
“อย่ามาว่าอันนะเว้ย” ทวยเทพพูดกับแสน “แกอยากหน้าโง่เอง โดนหลอกก็สมน้ำหน้าแล้ว”
“เฮ้ย !! อยากลองเท้าไม่ติดพื้น ลอยไปนอกไร่จริงๆใช่มั้ย” สินโกรธ
“ถ้าแกกล้าใช้กำลังกับฉัน ฉันจะฟ้องทนาย” ทวยเทพขู่
สินกับสิงห์บีบหมัดแบบหากลัวไม่
ทวยเทพปอด เขาพูดกับอันยา “อัน ถ้าเจ้านายคุณใช้ให้คุณมาหลอกอะไรมันอีก ก็พอซะที !! ตอนนี้ ด็อกเตอร์ ไม่สิ ไอ้แสน มันไม่เหลืออะไรสักอย่าง คุณจะเสียเวลากับมันทำไมอีก”
“ทวยเทพหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ !” อันยาว่า
ทวยเทพพูดกับแสน “อ้อ หรือว่าแกยังโง่ไม่พอ โดนหลอกเป็นสิบๆครั้งก็ยังไม่พอ ยังไม่จุใจ”
แสนบีบหมัดแน่น แผลจากความเจ็บช้ำที่โดนหลอกเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ปริแตกขึ้นมาอีก
“คุณแสน มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะมาหลอกคุณ” อันยาบอก
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคนระดับด็อกเตอร์ เวลาโง่เนี่ย มันจะโง่ดักดานได้สักแค่ไหนถ้ายังโดนผู้หญิงคนเดิมหลอกปั่นหัวได้อีก ฉันต้องยกตำแหน่งที่สุดแห่งความโง่ให้เลย” ทวยเทพว่า
“คุณแสน อย่าไปฟังเค้านะคะ ฉันเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เสียใจจริงๆ”
แต่คำพูดของอันยาช่วยอะไรแสนไม่ได้อีกแล้ว ใบหน้าปวดร้าวขึ้นมาแทนที่ความรู้สึกดีๆทั้งหมดไปเสียแล้ว
ม.ร.ว.เหมือนพูด “หยุดว่าแสนนะ คนที่เลวคือแฟนแกต่างหาก! ที่ผ่านมายังทำร้ายเค้าไม่พอใช่มั้ย ออกไปให้พ้นจากชีวิตของแสนเค้าซะที”
“พวกเธอ !! พูดเรื่องอะไรกันอยู่ แล้วทำไมมาไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ จะมีใครบอกอะไรพวกฉันมั้ย”
สิน ฟองคำ หนานปิงอึ้งไปและมองอันยาด้วยสายตาตั้งคำถาม อันยาหน้าหมองและสลดลงอย่างมาก
ฟองคำ สิน หนานปิงมองจ้องอันยาเป็นตาเดียว
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่!” หนานปิงถาม
อันยาพูดไม่ออกแต่หน้าเสียมาก แสนลอบมองอันยานิดนึงก่อนจะตอบแทน
“ไม่มีอะไรต้องพูดถึงหรอกครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
อันยาสวนขึ้นทันที “เรื่องนี้เป็นความผิดฉันเองค่ะ”
“ไม่จำเป็น มันสายเกินกว่าที่คุณจะมาสำนึกผิดตอนนี้ มันไม่มีประโยชน์”
อันยามองตาแสนด้วยแววตาปวดร้าวและอยากขอความเห็นใจ แสนมีเพียงแววตาที่เย็นชาก่อนจะเดินออกไป ครอบครัวแสนมองตามงง ๆ
“มันยังไงกันแน่เนี่ย” สินงง
หนานปิง สิน ฟองคำ หันกลับมามองอันยาที่ตอนนี้มีสายตาที่ตัดสินใจเด็ดขาดพร้อมยอมรับผิด
อิงค์กี้เดินไปเดินมา ในขณะที่ม.ร.ว.เหมือนกับปุ๊กลุกมองเข้าไปในบ้านด้วยอาการอยากรู้สุด ๆ ทวยเทพจะมองเข้าไปในบ้านแต่อิงค์กี้เดินไปเดินมาขวางเอาไว้ ทวยเทพหงุดหงิด
“นี่คุณหยุดเดินมั่งได้มั้ย? เวียนหัว” ทวยเทพว่า
“ก็ฉันไม่เข้าใจ ทำไมนังนั่นมันเข้าไปได้คนเดียว” อิงค์กี้ว่า
ม.ร.ว.เหมือนยิ้มเย็น “จะมีอะไร๊ ก็คงจะเข้าไปชำระความน่ะสิยะ เดี๋ยวก็คงถูกตะเพิดกระเด็นออกไปจากบ้านเร็ว ๆ นี้แหละ”
“แน่ใจเหรอ?” ปุ๊กลุ๊กถาม
“นั่นสิ!! นังนั่นมันสารพัดพิษ มันอาจจะใช้มารยาทำให้ทุกคนเห็นใจก็ได้” อิงค์กี้ว่า
“อันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นกับครอบครัวไอ้ด็อกเตอร์กระจอกนั่นหรอก” ทวยเทพบอก
อิงค์กี้ ม.ร.ว.เหมือน ปุ๊กลุกได้ยินก็ลุกพรวดก่อนจะถลาไปรุมล้อมทวยเทพทันที
“พูดแบบนี้อยากมีเรื่องรึไง!”
“อย่ามาว่าพี่แสนของฉันนะ”
“พี่แสนของฉัน ..เยอะไปนะนังชะนีภูธร” อิงค์กี้ว่า
“ว่าใครชะนีภูธรยะ?”
“พูดเต็ม ๆ หน้าหล่อนแบบนี้ คงด่าชะนีหน้าหมู่บ้านมั้ง”
“ฉันจะฟ้องพี่แสน”
ทั้งสามสาวหันหน้ามาหาเรื่องกันเอง
ทวยเทพส่ายหน้าด้วยความรำคาญสุด ๆ “โอ๊ย!!! หุบปากกันบ้างได้มั้ย!”
สามสาวหันมาพูดใส่ทวยเทพพร้อมกัน
“ไม่หุบ!”
“มีอะไรมั้ย!”
ทวยเทพรำคาญแต่ก็ได้แต่หันหน้าหนีแล้วบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง
“อันนะอัน จะเสียเวลาคุยกับพวกนั้นทำไม? ไม่เข้าใจจริงๆ”
ในเวลาต่อมา อันยากราบ หนานปิง ฟองคำ และสิน โดยมีสิงห์ดูอยู่ห่างๆ
“เรื่องที่ผ่านมาฉันผิดเอง ฉันขอโทษค่ะ ขอโทษจริง ๆ”
หนานปิง สิน และฟองคำมีสีหน้าที่ไม่สู้ดี
“ไอ้สิงห์ แกรู้ทั้งรู้ แล้วทำไมยังพาเค้ามาอีก? ห๊ะ!” หนานปิงถาม
อันยามีสีหน้าไม่ดีเมื่อเห็นอารมณ์ของหนานปิง สิงห์มองอันยาก่อนจะพูดอย่างสุขุม
“ตอนแรกพอผมรู้ว่าเค้าทำอะไรมา ก็ไม่ไว้ใจเค้าเหมือนกัน ...แต่...คุยไปคุยมา ก็รู้สึกได้ ว่าเค้าเสียใจ สำนึกผิดจริงๆ...แต่ถ้าความรู้สึกมันหลอกกันได้ ก็ต้องโทษผมที่ดูคนไม่ออก”
“ใช่ สงสัยต้องโทษแกแล้วล่ะ” หนานปิงว่า
“พ่ออุ๊ยก็” สิงห์เซ็ง
“นังหนู หน้าใสๆ ไม่น่าทำกับลูกชายฉันได้เลย ! ทำแบบนี้มันเกินไป” สินบอก
ฟองคำปราม “ใจเย็น ๆ พ่อ” ฟองคำพูดกับอันยา “ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
สินฟึดฟัด ฟองคำมองอันยาที่หน้าเศร้าสุด ๆ
ฟองคำเรียกอันยามาคุยด้วยเพียงลำพังสองคน อันยารู้สึกผิดสุด ๆ
“อยากจะต่อว่าอะไรก็ว่ามาได้เลยค่ะ ฉันทำร้ายลูกชายคุณป้า ฉันสมควรโดนตำหนิ” อันยาบอก
ฟองคำนิ่งไปก่อนถามขึ้น “เธอรักแสนใช่มั้ย?”
อันยาชะงักแล้วแทบไปไม่เป็น “คุณ.. คุณป้า!”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้หญิงคนนึงจะต้องตามมาขอโทษผู้ชายคนนึงมากขนาดนี้ ถ้าหากว่าเธอ..ไม่ได้รักเค้า” ฟองคำบอก
อันยานิ่งไปก่อนจะพูดออกมา
“ฉัน..ยังไม่กล้าพูดคำนั้นหรอกค่ะ ...คนที่.. ทำลายอนาคตของเค้าอย่างฉัน”
“ถ้าอย่างนั้น เธอบากบั่นมาตามแสนถึงนี่ทำไม?” ฟองคำถาม
“ฉัน..อยากมาขอโทษ ถึงคำขอโทษของฉัน..มันจะไม่มีค่าอะไร...ฉันก็หวังว่า เค้าจะเกลียดฉันน้อยลงบ้าง..สักนิดนึงก็ยังดี”
ฟองคำมองอันยาอย่างสังเกตมากแล้วชั่งใจว่าเชื่อได้หรือไม่ได้
“แล้วสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด ฉันจะเชื่อได้ยังไง”
อันยาแทบทรุด แต่ก็เตรียมใจไว้แล้ว “ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำ จะทำให้ไม่มีใครเชื่อฉันอีก คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ฉัน” อันยาฮึด “ก็ต้องมา ..” อันยาใจจะขาด “เพราะฉันอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองไม่ได้ มันเหมือน..กำลังจะจมน้ำ ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง ต้องการใครสักคนฉุดมือฉันขึ้นมา” อันยาร้องไห้ “ถ้าคุณน้าจะไม่เชื่อฉัน ฉันเข้าใจ! เพราะสิ่งที่ฉันทำ ก็ไม่น่าให้อภัย แม้แต่ฉันก็ยังอภัยให้ตัวเองไม่ได้” อันยาสะอื้น “ฉันเลยอยาก...อยากให้คุณแสนเค้าให้อภัยฉัน.ให้เค้า..ฉุดฉันขึ้น..จากน้ำ”
อันยาปาดน้ำตาร้องไห้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรได้เลย ฟองคำมองอันยาแล้วรับรู้ได้ว่าคนๆนี้กำลังทุกข์ใจอย่างสาหัส หนานปิงซึ่งเดินมาแอบฟังอยู่โดยตลอดครุ่นคิด
แสนบอกอิงค์กี้ ม.ร.ว.เหมือน ปุ๊กลุก ในขณะที่ทวยเทพฟอร์มนั่งฟังอยู่ห่าง ๆ
“พวกคุณควรจะกลับกันได้แล้ว”
ม.ร.ว.เหมือนพูด “ก็ได้ค่ะ ถ้าแสน..กลับไปกับหญิงนะคะ”
“ด็อกเตอร์เค้าพูดตรงไหนว่าอยากไปกับป้า ถ้าแสนจะกลับ ก็ต้องกลับกับอิงค์กี้” อิงค์กี้บอก
“เลิกวุ่นวายกับพี่แสนได้แล้ว... ฉันกับพี่แสน” ปุ๊กลุ๊กลูบท้อง “และลูกของเรา จะอยู่ด้วยกันที่นี่”
“ไม่มีทาง ..ฉันว่าเป็นลูกกุ๊ยบ้านนอกแถวบ้านเธอมากกว่า” อิงค์กี้ว่า
ทวยเทพสะอึกและแอบหน้าเสีย หนานปิงที่เดินออกมาพร้อมสินและสิงห์ต่อว่า
“โวยวายอะไรนักหนา หัดเกรงใจเจ้าของบ้านกันบ้าง”
ปุ๊กลุกรีบเข้าไปหาหนานปิง “คุณปู่คะ พวกนี้จะกีดกันพ่อแม่” ปุ๊กลุ๊กชี้ท้อง “ลูก ไม่ให้อยู่ด้วยกันค่ะ”
ม.ร.ว.เหมือนขัดขึ้น “บอกไปสิคะ ว่าไม่ใช่...ท้องกับใครก็ไม่รู้ หน้าด้านมาตู่ว่าเป็นลูกแสน”
“ใช่ ...ตอกให้หน้าหงายไปเลยค่ะ ว่านังนี่มันท้องกับคนอื่น ล้านเปอร์เซ็น!” อิงค์กี้ว่า
แสนนิ่งไม่พูดอะไร
ปุ๊กลุกรีบบอก “ไม่พูด ก็แสดงว่ายอมรับ ...พี่แสนเป็นพ่อของลูกฉัน”
“ผู้ชายบางคน เค้าเป็นลูกผู้ชายพอ ที่จะไม่พูดให้ผู้หญิงเสียหาย” หนานปิงบอก
“จะพูดหรือไม่พูด พี่แสนก็เป็นพ่อของลูกหนูอยู่ดี ..ยังไงหนูก็ไม่กลับ!” ปุ๊กลุ๊กยืนกราน
“เฮ้ย !! ได้ยังไงนังหนู ครอบครัวเราไม่ว่าเอาเรอะ กลับไปก่อน ถ้าเป็นลูกพ่อแสนจริง ก็เอาหลักฐานมายืนยันได้เลย จะตรวจดีเอ็นเอ ดูฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งอะไรก็มา จริงไม่กลัว กลัวไม่จริงมากกว่า” สินบอก
ปุ๊กลุกอึ้งมาก แต่ไม่ยอมแพ้ “ไม่รู้ล่ะ ท้องแก่ขนาดนี้ ให้เดินทางกลับ เกิดลูกไหลออกระหว่างทางจะทำยังไง ยังไงหนูก็จะอยู่ที่นี่ !” ปุ๊กลุ๊กพูดกับสิน “ให้ปุ๊กลุกอยู่เถอะนะคะ”
ครอบครัวแสนลำบากใจ
อิงค์กี้พูด “อย่ายอมนะคะ ยัยนี่ท้องกับใครก็ไม่รู้ จู่ ๆ จะมาให้แสนรับผิดชอบ...หน้าด้าน!”
“แล้วตัวเองหน้าบางนักเหรอยะ แล่นมาหาพ่อของลูกฉันเนี่ย” ปุ๊กลุ๊กว่า
“นังชะนีบ้านนา นี่ถ้าไม่ติดว่าท้อง จะตบให้เปิดกลับนาแทบไม่ทัน!”
ปุ๊กลุกถกกระโปรงสู้ “แน่จริงก็มาสิ!”
หนานปิงทนไม่ไหว
“พอที! ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ พวกเธอนึกจะทำอะไรกันก็ทำ!! กลับ!! กลับไปให้หมด” สินไล่
อิงค์กี้ชี้ปุ๊กลุก “ถ้านังนี่อยู่ ฉันไม่กลับ”
ม.ร.ว.เหมือนว่า “หล่อนไม่กลับได้ยังไง ฉันไม่ยอมให้หล่อนมาวอแวกับแสนหรอกนะ”
“หนูท้องกับพี่แสน ...หนูไม่กลับอยู่แล้ว” ปุ๊กลุ๊กยืนยัน
แสนส่ายหน้ากับพวกสาว ๆ อย่างสุดระอาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“พวกคุณ..ผมขอร้องล่ะ” แสนยังพูดไม่จบ
หนานปิงแทรกขึ้นมา “เออ ไม่กลับก็ไม่กลับ !! งั้นก็อยู่นี่กันให้หมด”
ทุกคนอึ้งไปหมดเพราะไม่รู้ว่าหนานปิงจะมาไม้ไหน
หนานปิงพูดอย่างมีเล่ห์และแววตาพราว
“เอายังงี้...ใครปลูกสตรอว์เบอร์รีได้ดีที่สุด ฉันจะรับเป็นหลานสะใภ้!”
แสน สิน และสิงห์เหวอมาก
“พ่ออุ๊ย!” แสนไม่เห็นด้วย
หญิงเหมือน อิงค์กี้ และปุ๊กลุกตาโตเท่าไข่ห่านเหมือนถูกล่อด้วยของถูกใจสุดๆ
“โอมายก็อด” / “จริงน่ะ” / “นี่เราจะได้เป็นมอสระเอียเมียที่ถูกต้องของพี่แสน?”
“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมรับวิธีนี้ นี่มัน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันนะครับพ่ออุ๊ย” แสนบอก
อันยาเดินเข้ามากับฟองคำ หนานปิงหันไปถามอันยาแบบหาได้แคร์แสนไม่
“แล้วเราล่ะ จะแข่งด้วยมั้ย?”
สิงห์รีบตอบแทนอันยา “แข่งสิ!”
อันยาเหวอ
ทวยเทพพูดกับสิงห์ “พูดบ้าอะไร อันไม่มีทางแข่งหรอก อัน เสียเวลามากแล้วนะ กลับกันซักที”
“ให้ฝ่ายหญิงเค้าตอบเองไม่ดีกว่าเหรอ” สิงห์พูดกับหนานปิง “อันยามาถึงคนแรก เป็นผู้เข้าแข่งขันอันดับหนึ่งไปเลยครับ”
“เฮ่ย ว่าแต่ฉัน แกก็ตอบแทนเค้าเหมือนกันแหละ อัน อย่าไปฟังพวกนี้นะ” ทวยเทพว่า
แสนทนไม่ไหวเหมือนกัน “ขอบอกไว้ก่อน.. ว่าผมไม่รับรู้ ผมไม่เกี่ยวกับเรื่องบ้าๆนี่”
สาวๆมองแสนด้วยท่าทีเหมือนว่าจะเชื่อแสน
“ถ้าเชื่อนายแสน ก็กลับไป แต่ถ้ายอมทำไร่ ก็จะได้อยู่ต่อ” หนานปิงบอก
พวกสาวๆรีบยกมือบอกว่าอยู่ต่อค่ะ
แสนอึ้งมาก เขาเดินหนีไปทันที อิงค์กี้กับหญิงเหมือนจะตามแต่ได้ยินเสียงปุ๊กลุกประจบหนานปิง
“ยังไงหนูก็จะทำตามที่คุณปู่ เอ่อ..พ่ออุ๊ยบอก หนูเชื่อว่าพ่ออุ๊ยจะจัดการพี่แสนได้”
“ฉลาดนะเอ็ง” หนานปิงมองท้องปุ๊กลุก “ฉันจะให้สิทธิ์พิเศษสำหรับคนท้อง ไม่ต้องทำไร่หรอก แค่
คอยช่วยงานเล็ก ๆน้อย ๆ ละกัน”
“ให้ยัยท้องสวมรอยนี่อยู่ก็ได้...พอชีคลอด ความจริงมันก็แดงออกมาเอง” อิงค์กี้จิกอันยา “แต่ยัยสารพัดพิษนั่น ให้อยู่ไม่ได้นะคะ”
ม.ร.ว.เหมือนรีบสนับสนุน “ใช่ แทงข้างหลังแสนขนาดนั้น ไม่สมควรให้เหยียบผืนดินที่นี่เลยด้วยซ้ำ”
“ควรไม่ควรฉันเป็นคนตัดสินเอง!! เอาเป็นว่าที่ผ่านมา ไม่นับ ทุกคนเริ่มใหม่อย่างเท่าเทียมกัน...ถ้ารับได้ก็แข่ง รับไม่ได้ก็กลับไป”
อิงค์กี้ หญิงหมือน และปุ๊กลุก หน้าหงิก ต่างคนต่างอึ้ง เพราะไม่พอใจสุดขีด
อ่านต่อตอนที่ 10