กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 4
อันยายืนอยู่หน้ากระจก เธอมองสีหน้าตัวเองในกระจกด้วยความไม่มั่นใจ ขณะพูดซ้อมออกมา
“ด็อกเตอร์คะ...ฉันขอโทษจริง ๆที่โกหก” อันยาหยุดกึก “ไม่ดี ๆ คำนี้มันตรงเกินไป”
อันยาดื่มน้ำส้มเข้าไปหนึ่งอึกแล้วลองใหม่
“ฉันขอโทษที่..ต้องพูดไปแบบนั้น แต่ช่วงเช้า ฉันป่วยจริงๆนะคะ ตอนบ่ายถึงได้ค่อยยังชั่วขึ้น” อันยาชะงัก “แล้วก็เลยออกไปช็อปปิ้งงั้นเหรอ เฮ้อ...ใครจะเห็นใจเนี่ย”
อันยาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงและเครียดมาก
อันยาเดินออกมาแต่สีหน้ายังไม่ดี เธอเดินไปไขกุญแจรถ
อันยาเหนื่อยใจ “คนอย่างอีตาด็อกท่าทางง้อยากซะด้วย จะรอดมั้ยเนี่ยอันยา”
มีเสียงฝีเท้าคนเดินมา
เสียงแสนดังขึ้น “ขอไปด้วยคนได้มั้ยครับ”
อันยาแปลกใจ “นี่เรา เครียดเรื่องเค้าจนประสาทหูหลอนไปแล้วเหรอ”
“พูดคนเดียวก็ได้แฮะ นี่แหละอันยาตัวจริง” แสนว่า
อันยาเงยหน้าขึ้นแล้วก็ไม่อยากเชื่อสายตา “ด็อกเตอร์ !!”
เธอเห็นว่าแสนยืนอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ
อันยาละล่ำละลัก “เรื่องเมื่อวาน ฉัน.. ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
แสนสวนขึ้นมาก่อน “ผมสิต้องขอโทษ ที่ไม่ยอมฟังคุณอธิบายเลย”
อันยาอึ้งไปว่าทำไมแสนมาพูดแบบนี้
“ที่คุณโกหกว่าไม่สบาย ก็เพราะต้องไปช่วยเรื่องคอขาดบาดตายของเพื่อนรุ่นน้องคุณ”
อันยางง “ห๊ะ”
“คุณเมบอกผม พอดีเค้าได้คุยกับเพื่อนคุณ ชื่อคุณคิม เค้าบอกว่าคุณต้องหยุดงานเพื่อมาช่วยเรื่องยุ่งๆให้ทางบ้านเค้า”
อันยาเหวอไปอย่างนึกไม่ถึงเพราะไม่รู้มาก่อน
“ต่อไป ถ้ามีคุณเรื่องอะไรก็บอกผมตามตรงได้นะอันยา ผมพร้อมจะรับฟังคุณเสมอ”
อันยารีบรับลูก “คือเมื่อวานฉัน..ไม่แน่ใจว่าจะบอกเหตุผลกับคุณดีรึเปล่า มันเหมือนเอาคนอื่นมาอ้างน่ะค่ะ แล้วอีกอย่าง เรื่องถุงช็อปปิ้งพวกนั้น”
“ช่างมันเถอะครับ ผมไม่อยากรู้แล้ว ขออย่างเดียว” แสนจริงจัง “อย่าโกหกกันอีก ได้มั้ยครับ”
อันยาอึ้งไปก่อนจะตอบอย่างแผ่วเบา “ค่ะ..” อันยาดีใจที่รอดตัว เธอพูดเสียงดังขึ้น “ค่ะ! ฉัน..ฉันรับรองว่าฉันจะไม่โกหกอีกแน่ๆ”
อันยาโล่งอกว่ารอดแล้ว เธอคิดว่าโชคช่วยจริงๆ
อาโปมุ่ยหน้า เธอขยับหลอดกาแฟเพราะไม่อยากจะคิดไป
“คุณแมรีคิดว่าด็อกเตอร์ที่คุณทวยเทพพูดถึง อาจจะเกี่ยวกับเรื่องงานของยัยอันโกะไม่ใช่แค่มารหัวใจ” อาโปขมวดคิ้ว “คิดลึกไปรึเปล่าคะ”
อาโปชายตาไปเห็นชายหนุ่มดูน่าสนใจเดินผ่าน เธอมองตามอย่างเคลิบเคลิ้ม
“อะไรจะคิดกันแต่เรื่องงานๆๆๆ ไม่สนใจหนุ่มๆ” อาโปจะโบกมือทัก
เมรีปัดมืออาโปลง “ก็คิดแค่นี้น่ะสิ ป่านนี้ถึงยังสืบเรื่องยัยอันโก๊ะไม่ถึงไหน”
“แต่เมื่อวาน คนที่ทำพลาด”
เมรีถลึงตา เธอยื่นถ้วยกาแฟร้อนไปใกล้อาโป
“เครเครค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงเลยเนอะ แล้วทีนี้เราจะทำยังไงต่อดี” อาโปถาม
“เมื่อวานก็ไม่ใช่ไม่ได้อะไรซะทีเดียว”
เมรีหยิบมือถือขึ้นมาโชว์ให้อาโปดูว่ามีเบอร์โทรทวยเทพเมมไว้แล้ว
“อุ๊ย เบอร์คุณทวยเทพ ไวจังเลยเจ๊”
“เมื่อวานเค้าเมาหัวจะทิ่มแบบนั้น ทำไมจะเอามาไม่ได้” เมรีกดโทรออกทันที
อาโปมองลุ้นๆ
เมรีถอนมือถือออกแล้วหน้าเสีย “มันกล้าไม่รับสายฉัน !!”
เมรีแค้น อาโปหน้าเหวอไป
ป้ายหน้าห้องติดไว้ว่า “เอกสารงานวิจัย” อันยาหอบแฟ้มเอกสารต่างๆ ไว้ในอ้อมแขนแล้วย่องมาอย่างระแวดระวัง เธอผลุบเข้าไปในห้องนั้น ณ โต๊ะเล็กในห้องเก็บแฟ้มเอกสาร อันยาเปิดแฟ้มงานต่างๆของแสนดู
“รายงานการประชุมการถอดรหัสจีโนมข้าวในภาคกลางตอนล่างของไทย” อันยาเกาหัว “มีง่ายกว่า
นี้มั้ย”
อันยาสุดจะมึน เธอวางลงแล้วหยิบอันใหม่ขึ้นมา
“วิธีควบคุมระดับ mRNA ของยีนควบคุมความหอมในข้าว mRNA มันอะไร ?”
อันยาหยิบแฟ้มนู่นนี่นั่นมาดูโดยยิ่งดูก็ยิ่งมึน
อันยาหน้าเกยแฟ้มอย่างหมดแรง แล้วเธอก็พลิกดูแฟ้มอันนึงใกล้ๆมือ
“ยุทธศาสตร์การพัฒนาพืชผักเกษตรอินทรีย์” อันยาดีใจ “อันนี้ค่อยฟังเป็นภาษาคนหน่อย”
อันยารีบพลิกอ่านแฟ้มนั้นแต่แล้วก็อึ้งๆ
“โครงการยังไม่เริ่มตอนนี้ โอ๊ย เย็นนี้ต้องรายงานบอสแล้ว จะดิสเครดิตเค้าด้วยเรื่องอะไรเนี่ย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อันยาสะดุ้งโหยงแล้วรีบทำท่าเหมือนค้นหาแฟ้มในห้อง เมขลาปิดประตูเข้ามา
“อันโกะ อยู่นี่จริงๆด้วย”
“ว่าไงจ๊ะเม ฉันหาแฟ้มข้อมูลให้ด็อกเตอร์แสนอยู่น่ะจ้ะ”
“เมื่อกี๊นี้ พี่เพียงดาวฝากบอก ว่าด็อกเตอร์ให้มาตามพี่ไปพบคุณบุรินทร์ด้วยกันค่ะ” เมขลาบอก
อันยาชะงักไป
บุรินทร์คุยเรื่องสำคัญกับแสน อันยานั่งใกล้แสนแล้วทำหน้าที่จดบันทึก
“เรื่องแก้ไขดินเปรี้ยวของสมาชิกโครงการที่จังหวัดนครนายกไปถึงไหนแล้วล่ะ”
อันยาต้องทำหน้าที่จดแต่บนกระดาษกลับเป็นลายเส้นวนๆ เหมือนสิ่งที่คิดวนเวียนอยู่
“ยังไม่ไปถึงไหนเล๊ย แผนการของเรา” อันยาคิดในใจ
“จะเริ่มดำเนินการแล้วครับ ปริมาณน้ำที่ต้องใช้ก็มีพอแล้ว”
“งั้นก็ จะรออะไรล่ะ แกล้งเลยซี่” บุรินทร์บอก
อันยาใจลอยไปตามไดอะล็อกของบุรินทร์ “อย่ามาท้านะ ใครเค้าอยากจะรอ”
“ลงมือเลยแสน ผมเชื่อมือคุณ แกล้งเลย” บุรินทร์สนับสนุน
อันยาเผลอโพล่งออกมา “ก็อยากอยู่ แต่ไม่รู้จะแกล้งยังไง”
บุรินทร์กับแสนชะงักไป
“ห๊ะ ฉัน ฉันเปล่านะ เปล่าจะแกล้งใครนะ เปล่า”
“เปล่าได้ยังไงคุณ ต้องแกล้งนะ” แสนบอก
อันยาคิดในใจ “อีตานี่ สงสัยศึกษาจีโนมข้าวมากเกินไปจนหลุดโลกแล้ว” อันยาพูดตามปกติ “ไม่ ไม่ต้อง..ไม่ต้องแกล้งหรอกค่ะ”
“ต้องแกล้งสิ แกล้งหนักๆไปเลย! มันจะได้หมดปัญหา”
อันยาพูดปกติแต่งงมากๆ “ฉัน ฉัน..” อันยาคิดในใจ “หรือว่าเค้าได้ยินความคิดเรา ไม่นะ ที่นี่เค้าวิจัยด้านเกษตรไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ทดลองทางจิตนี่”
“ผมบอกคุณตั้งแต่ตอนไปลงพื้นที่ดินเปรี้ยวครั้งแรกแล้วไงล่ะ ว่าเราต้องแกล้งดิน” แสนบอก
อันยาทวนคำ “แกล้งดิน !!”
บุรินทร์กับแสนพยักหน้า
“ก็ใช่น่ะสิ เราหมายถึง แกล้งดิน เพื่อลดความเปรี้ยวของดิน คุณคิดว่าแกล้งอะไร”
“เอ่อ ฉัน..ฉัน ไม่ได้จำชื่อนี้น่ะค่ะ ฉันจำว่าวิธีลดดินเปรี้ยวเฉยๆ”
อันยายิ้มแหยๆ แก้ตัวไปได้
บุรินทร์ขำ โดยมีแสนอยู่ด้วย ในขณะที่อันยาออกไปแล้ว
“คุณหาเลขาได้ดีมาก หัวไวด้วย โก๊ะด้วย หาเจอได้ไงเนี่ย” บุรินทร์ถาม
“อย่าให้อันยาได้ยินนะครับบอส เรียกว่าอันโกะได้ แต่ถ้าเรียกอันโก๊ะล่ะก็ ต่อให้เป็นบอสผมก็ไม่กล้ารับรองความปลอดภัยให้” แสนว่า
บุรินทร์กับแสนหัวเราะชอบใจ
อันยาหน้างอ เธอกระแทกแฟ้มลงกับโต๊ะ
“ก่อนคุณจะแกล้งดิน ฉันนี่แหละจะแกล้งคุณ ฮึ่ย”
แสนเดินมา อันยารีบปรับอารมณ์
“ได้ยินพูดว่าแกล้งๆ อะไรเหรอคุณ” แสนถาม
อันยาเนียนไป “เอ่อฉันว่า จะอ่านเอกสารเรื่องแกล้งดิน เพิ่มอีกหน่อยน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวผมทบทวนให้ก็ได้ ระหว่างที่คุณ..ไปธุระกับผม”
อันยาประหลาดใจ
เสียงอันยาดังขึ้น “ไม่เห็นต้องไปเองเลยค่ะ”
รถแสนแล่นมาบนถนนก่อนถึงตัวจังหวัด
“เข้าใจล่ะ ว่าต้องใช้ปูนขาวปริมาณมากซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างมาผสมในดินที่เป็นกรด ให้ดินลดความเปรี้ยวลง แต่แค่ซื้อปูนขาวแค่นี้ ให้ฉันโทรสั่งให้ก็ได้” อันยาบอก
แสนยิ้มๆ แต่ไม่ตอบ แต่แล้วเขาก็เห็นเพิงเล็กๆริมทาง แสนชะลอรถแล้วจอด
“เปลี่ยนใจแล้วใช่มั้ย ดีค่ะ ฉันก็อยากจะกลับไปเคลียร์งานต่อ”
“ขอผมแวะซื้อของแป๊บนึง”
แสนลงไปจากรถ อันยามองอย่างขัดใจ
ณ เพิงขายผักเล็กๆ ที่คุณป้าเจ้าของปลูกเอง ขายเอง
“เอาผักอะไรดีคะ ตำลึงนี่เพิ่งเก็บมาใหม่ๆเลยนะ” ป้าถาม
แสนจับดูผักมาพลิกๆ
อันยามองแบบรู้สึกไม่ปลื้มร้านโทรมๆแบบนี้เท่าไหร่
“ปลูกเองนะคะ ไม่ได้ฉีดยา”
อันยามองๆใบคะน้าแล้วส่ายหน้า
อันยาพูดเบาๆ “มิน่า พรุนเชียว”
“ปลูกเก่งนะครับ อย่างคะน้านี่แมลงมารุมเยอะ คุณป้ายังปลูกรอดได้”
ป้ายิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่โดนชม
“ป้าปลูกกินเอง ใส่ยาแล้วตัวเองก็กินไม่ลง มีไม่เยอะหรอกจ้ะ เหลือค่อยเอามาขาย”
“งั้นผมเอาหมดนี่เลยครับ”
อันยาผงะ “ห๊ะ !!” อันยามองแสนงงๆ
“จ้า ขอบใจนะ” ป้าลูบแขนแสนด้วยความดีใจ “เจริญๆนะพ่อหนุ่ม”
แสนยิ้มให้อย่างกันเองโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นบุญคุณอะไร
แสนขนผักที่ซื้อมาใส่กล่องท้ายรถ อันยาหยิบผักคะน้าขึ้นมา
“คุณท่าจะไม่เคยเข้าซุปเปอร์ ผักออร์แกนิคในนั้นใบใหญ่กว่านี้ตั้งเยอะ”
แสนไม่พูดอะไร
“อ๋อ ที่แท้ก็ใจดี สงสารเค้า” อันยาว่า
แสนหันมา “ผมเปล่า” แสนพูดเสียงเบา “สงสารป้าเค้านะ” อันยาไม่เชื่อ “ชาวบ้านน่ะ เค้าเข็มแข็งและผ่านอะไรๆยากๆมามากกว่าผม กว่าคุณเยอะ ผมต้องนับถือเค้า มากกว่าที่จะสงสารที่ผมซื้อเพราะอยากสนับสนุนเค้าต่างหาก”
“สนับสนุน ?” อันยางง
“เห็นใครปลูกผักไม่ใส่ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ผมอยากให้เค้าทำต่อไป คุณเองก็น่าจะรู้ทุกวันนี้มีพวกสารเคมีตกค้างทั้งในดิน ในน้ำ และในอาหารของเราไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”
“ตามห้าง มีผักออร์แกนิค ผักอินทรีย์ให้ซื้อเยอะแยะไป”
“ใช่ ชนชั้นกลางที่มีสตางค์ก็พอจะมีทางเลือก แต่กับชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ เค้าซื้อผักพวกนั้นไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดเราต้องพยายามให้มีการปลูกผักอินทรีย์ในวงกว้างมากขึ้น”
“ค่ะคุณสอน !! น่าจะเปลี่ยนเป็นชื่อนี้แทนชื่อแสน”
แสนขำคำเปรียบเปรยของอันยาแล้วหยิบถุงผ้าที่อยู่หลังรถขึ้นมา เขาหยิบผักบางส่วนใส่ลงในถุง แล้วยื่นให้อันยา
“รับไว้สิ” แสนบอก อันยามอง “รางวัลเด็กดีที่อุตส่าห์ฟังผมสอน ลองกินดูนะ ผักที่ปลูกแบบไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ถึงจะไม่งามเท่าไหร่ แต่รสชาดน่ะ” แสนชูนิ้วโป้ง
อันยายังฟอร์มอยู่ “พอเป็นเลขานักวิทยาศาสตร์ ฉันก็เลยต้องเป็นหนูทดลองไปด้วย”
“ผลการทดลองเสร็จสิ้นนานแล้ว” แสนยื่นของให้อย่างจริงใจ “นี่แค่อยากหยิบยื่นสิ่งดีๆให้”
อันยารับไว้แล้วแอบอมยิ้ม แต่เธอหันไปพูดแบบวางฟอร์มๆ “ขอบคุณค่ะ แล้วที่เหลืออีกเยอะแยะนี่ล่ะค่ะ”
เจ๊กับเฮียปรามแสนด้วยรอยยิ้ม
“บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องซื้อของมาฝาก ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกค้า ใครเป็นพ่อค้ากันแน่” เฮียว่า
“ถ้ากินไม่หมด ก็แบ่งพวกเด็กๆนะครับ” แสนบอก
“พวกเนี๊ยะ หน้าบานทุกทีแหละพอด็อกเตอร์มา ได้ของฝากดีๆตลอด”
เจ๊เรียกลูกจ้างให้มารับผักส่วนใหญ่ไป
“ไป เอาผักไปแบ่งๆกัน”
เด็กในร้านยกมือไหว้แสนเพื่อขอบคุณก่อนจะพากันมาเลือกผัก แต่ละคนเลือกผักกันด้วยสีหน้ามีความสุขแล้วพากันขอบคุณแสน
อันยามองภาพตรงหน้าแล้วมองแสนอย่างครุ่นคิด เธอพยายามอ่านกลยุทธ์
แสนคุยกับเจ้าของร้านทั้งสองอย่างเป็นกันเองและไถ่ถามทุกข์สุขดิบกัน
ต่อมา เจ๊กับเฮียมาส่งแสนขึ้นรถที่หน้าร้าน
“ปูนขาวที่จะเอาไปแก้ดินเปรี้ยว เช็คแล้วมีของพอนะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เจ๊จะรอคอนเฟิร์มวันส่งของจากหนูอันยา เลขาด็อกเตอร์นะคะ”
“ค่ะ” อันยารับคำ
“ขอบคุณมากนะ เดินทางดีๆล่ะ แล้วของที่สั่งไว้ เราแถมให้อีกตันนึงเลย”
แสนเกรงใจ “ไม่ต้องหรอกครับเฮีย ผมแค่อยากมาเยี่ยมเฉยๆ”
“เอาไปเถอะ จะได้ทำบุญร่วมกับด็อกเตอร์ กับบริษัทด้วย ช่วยๆกันนะ”
“ขอบคุณครับ”
เฮียกับเจ๊ยิ้มอย่างมีความสุขในขณะยืนส่งแสนกับอันยาขึ้นรถ
อันยามองแสน แสนเห็นสายตาของอันยาก็ถามขึ้น
“ไง คุณอยากจะพูดอะไร”
“ฉันรู้แล้ว ว่าทำไมคุณต้องมาด้วยตัวเอง ไม่แค่โทรศัพท์มาสั่ง”
“คุณรู้ว่ายังไง” แสนถามกลับ
“ถ้าไม่ได้มาด้วยตัวเองก็จะไม่ได้แจกของ แล้วก็ไม่ได้ของแจก”
แสนแซว “คุณนี่คิดอะไรเป็นต้นทุนกำไรหมดเลยใช่มั้ย”
อันยาทำไม่รู้ไม่ชี้
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เรื่องนั้นผมไม่ได้หวังอะไร ที่ผมหวังคือได้เจอหน้าค่าตากันคุยกันผ่านโทรศัพท์ ผ่านอีเมลล์ ผ่านจดหมาย มันสัมผัสความจริงใจกันยากกว่า” แสนบอก
อันยาชะงักไป
“ขอโทษ ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องวันก่อนที่คุณ...” แสนไม่พูดต่อ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ผิดจริง..ที่โกหกคุณ” อันยาทำเป็นจ๋อยเบาๆ
แสนเห็นใจ “คุณอย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ เหตุมันไม่ได้มาจากคุณ”
อันยาฝืนยิ้มให้แสน แต่แอบหันหน้าให้กระจกแล้วทำหน้าวีนเบาๆ
อันยาคิดในใจ “ใครว่าฉันโทษตัวเองล่ะยะ ฉันโทษนายนั่นแหละ! เหตุมันมาจากนายล้วนๆ”
อันยาหันกลับมายิ้มให้แสนเหมือนไม่ได้คิดร้ายในหัวเลย
ทวยเทพมีสายตาประหลาดใจมากที่เมรีกับอาโปแท็กทีมมาหาถึงห้องทำงาน
“พวกคุณมานี่ได้ยังไง” ทวยเทพนึกได้จึงปรับคำพูด “ไม่ทราบว่าพวกคุณมีธุระอะไรกับผม”
“แหม พูดซะเหินห่าง เมื่อวานเราออกจะสนิท” อาโปว่า
ทวยเทพเหล่ๆ มองอาโปแบบสยอง
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกค่ะ เราไม่ใช่พวกสตอล์คเกอร์ที่ชอบแอบตามใคร แต่เมื่อวาน ตอนแยกกับที่ผับ เห็นอาการคุณไม่ค่อยดี พอดีผ่านมาแถวนี้ ก็เลยแวะมาดูหน่อย ว่าคุณโอเครึยัง”
“แล้วทำไมพวกคุณถึง..”
“รู้ที่อยู่คุณน่ะเหรอ แหม พวกเราเป็นใครล่ะคะ เจ้าหน้าที่จัดหางานอย่างเรา สะสมข้อมูลไว้เพียบ นามสกุลดังอย่างคุณ เซิร์ซแป๊บเดียวก็เจอ”
เมรีหยิกอาโปให้เงียบ “คุณคงลืมไป ว่าเมื่อคืนนี้ คุณบอกที่ตั้งบริษัทคุณให้เราเอง”
ทวยเทพไม่แน่ใจว่าจริงเหรอ
“ก็ ขอบใจนะ ที่..มีน้ำใจ”
เมรีกับอาโปยิ้ม ทวยเทพคิดถึงสิ่งที่อันยาเล่าให้ฟังเมื่อคืน
ภาพในอดีตย้อนกลับมา อันยาบอกกับทวยเทพ
“สองคนนั้น เมรีกับอาโป คือศัตรูหมายเลขหนึ่งของฉัน คุณต้องจำเอาไว้ว่าอย่าไว้ใจพวกนั้นเด็ดขาด”
ทวยเทพพูดกับเมรีและอาโป
“แต่ เดี๋ยวผมมีธุระต้องเคลียร์ คง..คุยกับพวกคุณนานไม่ได้”
อาโปอึ้งและสวน “นี่ยัยอันโก๊ะคงจะเป่าหู”
เมรีเหยียบเท้าอาโปให้หยุดพูด “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่อยากมาถามไถ่อาการคุณเฉยๆ” เมรีหยอด “เพราะเมื่อวานรู้สึกถูกชะตาด้วย”
ทวยเทพยังคงแอ็คนิ่งๆไว้
“พอเห็นผู้ชาย..ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างคุณ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ” เมรีบอก
ทวยเทพที่แอ็คท่านิ่งแอบยิ้มพอใจ
“แล้วเป็นอดห่วงไม่ได้...ถ้าคนอย่างคุณ ต้องโดนใครทำให้เสียใจ”
จากที่เคลิ้มอยู่ทวยเทพรีบแก้ข่าว “ผมกับอัน เรากลับมาดีกันแล้ว” เมรีกับอาโปชะงัก “ก็อย่างที่คุณบอก อันเค้าก็คงทำใจ.. ทิ้งคนที่.. มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไปไม่ได้หรอก”
อาโปหมั่นไส้มากจนอยากจะอ้วก เมรีปรามด้วยสายตาไว้ให้อาโปเก็บกิริยา
“ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะคะ ถ้าคุณสบายดีแล้วจริงๆ งั้นพวกฉันขอตัวกลับก่อน”
อาโปงงๆ เมรีจะเดินไปแต่แล้วเมรีก็หันกลับมาอีกครั้ง
“อ้อ ถึงอันยาจะไม่ได้มองว่าฉันเป็นเพื่อนเค้า แต่ฉันหวังว่าคุณคงเห็นฉันเป็นเพื่อนได้นะคะ” เมรีบอก
“ผม..ไม่อยากทำอะไรให้อันเค้า..ไม่สบายใจ”
“ฉันเข้าใจค่ะ มันไม่ง่ายที่เราจะเชื่อใจคนที่เพิ่งเจอกัน” เมรีหยอด “เพราะแม้แต่คนที่คบกันมานานเป็นปีๆบางทีพูดจริงหรือไม่จริง เราก็ยังไม่รู้ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะคะ บาย
“บายค่ะ” อาโปลุกตามเมรีไป
“เบื่อจริงจริ๊งเล๊ย ไปที่ไหนก็มีหญิงมาเฟิร์สท” ทวยเทพว่า
เสียงเมรีดังขึ้น “มันไม่ง่ายที่เราจะเชื่อใจคนที่เพิ่งเจอกัน เพราะแม้แต่คนที่คบกันมานานเป็นปีๆบางทีพูดจริงหรือไม่จริง เราก็ยังไม่รู้”
ทวยเทพเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
“ต่อไปนี้คือความจริง...” อันยาพูด
ทวยเทพพยายามจะเชื่ออันยาให้ได้เท่าเดิม
“เฮ่ย ไม่หรอกน่า เราต้องไว้ใจอันนี่สิ”
ทวยเทพพยายามหนักแน่น
อาโปบ่น
“มาเสียเที่ยวจุงเบยนะคะ ไม่เห็นได้อะไร”
“ถามหน่อย ตอนเธอติดต่อลูกค้า ต้องคอยจี้เค้ายิบๆรึเปล่า” เมรีถาม
“ได้ไงล่ะคะ เดี๋ยวเค้าก็หาว่าเราจะหลอกฟันค่าหัวบานเบอะ หรือไม่บริษัทนั้นก็ต้องมีปัญหาไม่เริ่ด ไม่เชิ่ด ถึงต้องคุกเข่าเว้าวอนกันขนาดนั้น”
“นี่มันก็เหมือนกัน ต้องทำเป็นมีไมตรี แต่ไม่เร่งเร้า ถ้าสองคนนั้นมีปัญหากันเมื่อไหร่ ปลาก็จะมาติดเบ็ดเราเอง ใจเย็นเอาไว้”
เมรีพูดอย่างนักตกปลาผู้ช่ำชอง
ณ คอนโดอันยาเวลานี้ มีเสียงอันยาดังขึ้น
“โอ๊ย เย็นไม่ไหวแล้ว”
อันยาเดินวนจนพื้นจะสึก
“นี่ครบกำหนด 3 วันที่รับปากบอสไว้แล้ว ยังไม่รู้จะเอาแผนอะไรไปรายงานเลย”
คิมหันต์ที่ผัดอะไรอยู่ในครัวปิดเตาแล้วถือจานมาวางตรงหน้าอันยา
“กินเติมพลังก่อน คะน้าน้ำมันหอย ของฝากจากคนที่เราจะทำร้ายเค้า !
“นึกเหรอ ว่าพูดงี้แล้วไม่กล้ากิน” อันยาตักกินไป พูดไป “ขั้นตอนการแกล้งดินก็อ่านทวนไปไม่รู้กี่
รอบต่อกี่รอบแล้ว ทำไมมันคิดไม่..” อันยาชะงักตาโตและตื่นเต้นมาก “ใช่แล้ว !”
คิมหันต์ดีใจ “คิดออกแล้วเหรอเจ๊”
อันยาตักคะน้าเพิ่ม “ใช่ รสชาดแบบนี้ล่ะ เห็นหน้าตาเบๆ ทำไมทั้งสดกรอบ หวานนิดมันหน่อย อร่อยได้ใจอย่างงี้”
“โถ่...นึกว่าคิดแผนการออก ให้มันได้งี้สิ”
มือถือของอันยาดัง อันยามองแล้วก็เห็นหน้าจอขึ้นชื่อว่า “ทวยเทพ”
“ทวยเทพ มีเรื่องอะไรของเค้า” อันยาไม่สน เธอจะตักผักคะน้ากินต่อ
“ได้ยังล่ะเจ๊” คิมหันต์ยกจานคะน้าหนี “ตอนนี้เค้ากำความลับเราอยู่นะ”
อันยาหัวเสีย แต่ก็ต้องยอม “เออๆ ฉันรู้แล้ว” อันยารับสาย “ค่ะทวยเทพ คุณมีอะไรคะ ?”
รางซูชิหมุน อาหารแต่ละจานยั่วยวนจนน้ำลายสอ อันยาเขี่ยต้นหอมญี่ปุ่นในถ้วยอาหารตรงหน้าออกส่วนปากก็บ่นไป
“รีบกินแล้วก็รีบกลับนะ ฉันยังสะสางงานสำคัญไม่เสร็จ”
“งานอีกแล้ว ตกลงเมื่อกี๊นี้คุณฟังผมพูดบ้างรึเปล่า” ทวยเทพถาม
อันยาชะงักเพราะรู้ว่าต้องเอาใจทวยเทพ “ทำไมจะไม่ฟังล่ะคะ ก็อันบอกแล้วว่าอย่างยัยเมรีกับยัย
อาโปไม่เป็นห่วงใครหรอก ชัดเลยว่าพวกนั้นมีแผนจะเจาะยางล้วงความลับอัน”
“แล้วคุณไม่คิดบ้างเหรอ ว่าบางที คุณเมรีอะไรนั่นจะ...คิดอะไรๆกับผม อะ..คุณว่าคุณเมรีเค้าเห็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาอย่างผม แล้วเค้าคิดยังไงล่ะ”
“แหวะ” อันยามองจานซูซิที่แล่นมาตรงหน้าแล้วบ่น “ไม่เห็นน่ากิน”
ทวยเทพงง “ห๊ะ”
อันยารู้ตัวก็รีบแก้ “ฉันหมายถึง” อันยาชี้ไป “จานนั้น”
“ตกใจหมด แต่ว่า เค้าชมผมหลายคำเลยนะ ทั้งเรื่องรูปร่าง” ทวยเทพขยับร่างอย่างภูมิใจ “หน้าตา” ทวยเทพจิกหน้าหล่อ “แล้วก็ฐานะ” ทวยเทพยืดอกอย่างภูมิใจ
“ก็นั่นแหละ พวกนั้นมีแผนถึงได้ชม คงดูออกว่าคุณบ้ายอ”
ทวยเทพสะอึก
“เอ่อ แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ดีนะ” อันยาพยายามเอาใจ “พวกเค้า.. รู้จักหาข้อดีของคุณมาชมคุณ….”
ทวยเทพพยักหน้าแล้วพูด “ไม่เป็นไร อารมณ์ขึ้น แสดงว่า หึง”
อันยาที่กำลังจะคีบซูชิขึ้นมากินทิ้งลงไปทันที
“เลี่ยน !” อันยาเห็นทวยเทพมอง “คือ ฉันกินปลานี่ไปหลายชิ้นแล้วน่ะ เลยเลี่ยน”
อันยาหยิบชาเขียวขึ้นมาดูด
รถหรูของทวยเทพแล่นมาจอดหน้าคอนโด ทวยเทพที่มาส่งอันยาหน้าคอนโดกำลังร่ำลาเธอ
“วันนี้ผมมีความสุขจริงๆ ที่มีคุณกลับมานั่งข้างๆผมอีกแบบนี้”
อันยายิ้มถนอมน้ำใจแต่ในใจอยากรีบเผ่นเต็มที
“ขอบคุณสำหรับมื้อค่ำนะคะ กู๊ดไนท์ค่ะ”
อันยาจะรีบเผ่น แต่ทวยเทพฉวยข้อมือเธอเอาไว้
“อันนี่ รางวัลล่ะครับ”
อันยาชะงัก
ทวยเทพยื่นริมฝีปากเข้ามาใกล้ “ทำให้ผมรู้ซิ ว่าคุณแคร์ผมแค่ไหน”
อันยาผลักทวยเทพออกด้วยความกลัว ทวยเทพตกใจ
“คุณ..คุณทำฉันตกใจเมื่อวันก่อน ฉัน..ฉันว่ามันยังไม่ถึงเวลา” อันยาบอก
ทวยเทพเซ็ง “แหม จะตกใจอะไรนักหนา” อันยาตาเขียวใส่ “โอเค ผมจะรอ แต่อย่าให้นานนักนะครับ อย่าลืม ว่ามีหลายคนรอต่อคิวคุณอยู่”
อันยาแอบเบ้หน้าด้วยสีหน้าเอียนมาก แต่ก็ต้องยิ้มแหยๆให้ทวยเทพไป
“เอ่อ อีกอย่างนึงนะ ผมว่าคุณไปบำรุงผม กับผิวหน่อยก็ดี” ทวยเทพบอก
อันยาชะงักว่าอะไร
“ตั้งแต่ไปทำงานที่เพียงพอดีอะไรเนี่ย ผมคุณดูกระด้างๆขึ้น ผิวก็ คล้ำๆกว่าเดิม แดดที่บ้านนอกมันคงจะแรงอ่ะนะ”
อันยายิ่งฟังก็ยิ่งอึ้ง เธออ้าปากเหวอเพราะตกตะลึงมาก
เครื่องสำอางบำรุงผิวประดามีบนโต๊ะอันยาถูกรื้อ ถูกหยิบวุ่นวายไปหมด
“ฉันก็ประโคมจัดหนักแล้วนะ ผิวเสียได้ยังไง”
อันยายังคงรื้อค้นกองเครื่องสำอางอย่างประสาทแตก
“อีตาทวยเทพ กล้าดียังไงมาวิจารณ์! พอเอาใจเข้าหน่อย ได้ใจไปแล้วนะยะ”
อันยาหยิบครีมกันแดดขึ้นมาขวดนึงแล้วส่องดูวันหมดอายุ
“ก็ยังไม่หมดอายุนี่”
อันยาวางเครื่องสำอางลง
“ถ้าหมดอายุแล้วก็ว่าไปอย่าง...”
ทันใดนั้นอันยาก็ค่อยๆนึกอะไรบางอย่างออก
“ขั้นตอนการแกล้งดินก็อ่านทวนไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ทำไมมันคิดไม่....”
อันยาร้องเยสแล้วตัวแทบลอย
“ออกแล้ว คิดออกแล้ว”
อันยาดีใจไม่แพ้อาการคนถูกหวย
“ทีนี้แหละ ด็อกเตอร์แสน! คุณได้ออกจากงานแน่”
อันยายิ้มกระหยิ่มเพราะได้ใจมากๆ แต่ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรออกกันแน่
อ่านต่อหน้า 2
กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 4 (ต่อ)
อันยาที่หลบอยู่มุมหนึ่งพยายามต่อมือถือหาคิมหันต์
“จะได้เวลาอยู่แล้วนะ รับสิ !!”
เสียงสัญญาณโทรติดแต่ไม่มีคนรับ อันยาจะกดโทรซ้ำอย่างใจร้อน !
ทันใดนั้นแสนก็เดินมาตาม “มาอยู่นี่เอง ไปกันได้แล้วครับ”
อันยาไม่สบายใจแต่ก็ต้องไป “ค่ะ ..”
อันยารีบเดินตามแสนไปแต่ไม่วายมองมือถือที่ยังคงไม่มีการติดต่อเข้ามาด้วยความกังวล
อันยากระสับกระส่าย ตาของเธอยังแอบเหลือบมองมือถือ แสนมองอาการอันยาแล้วก็อดถามไม่ได้
“ไม่สบายใจเหรอ...”
อันยาสะดุ้งแล้วรีบปฏิเสธ “เอ่อ..ไม่ ไม่มีอะไรนี่คะ”
“คุณคงกังวล เพราะเหตุร้ายเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ยังไงเรื่องก็ถึงตำรวจแล้ว ผมว่าพวกนั้นคงยังไม่ลงมือในเร็วๆนี้หรอก” แสนปลอบ “ไม่ต้องกลัวนะ”
“ค่ะ” อันยายังมีสีหน้ากังวล
แสนหาทางปลอบใจ “ผมอาจจะรับรองกับคุณไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ ว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆอีก แต่ผมรับรอง ว่าจะดูแลคุณให้ปลอดภัย..เหมือนทุกครั้ง”
อันยาชะงักแล้วนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน
อันยานึกถึงตอนที่ยางรถระเบิด ประตูรถตู้ที่อันยาพยายามเปิดอยู่เลื่อนออกกว้างจนอันยาร่วงลงไป แสนร่วงลงไปพร้อมกับอันยา แสนดึงตัวอันยาเข้ามากอดปกป้องแล้วเอาหลังตัวเองรับแรงกระแทก ทั้งสองล้มกลิ้งไปบนพื้นข้างทาง
อันยานึกถึงตอนที่แสนบู๊กับพวกแจ้งเพื่อปกป้องเธอ
อันยาหันไปมองแสแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ปกป้องและช่วยเธอไว้ได้ตลอด ก็ชะงัก มองแสนเหมือนกับว่าเพิ่งจะเคยเห็น
อันยาเผลอพึมพำ “คุณช่วยฉันมาตลอด”
“ว่าไงนะครับ” แสนงง
“เปล่าคะ คือฉัน.. ฉันน่าจะเป็นอย่างคุณบ้างนะคะ ที่ไม่กลัวอะไรเลย”
“ผมคนธรรมดานะคุณ ทำไมจะไม่กลัว แต่ว่าผมมีวิธีคิดเพื่อให้ตัวเองทำงานตรงนี้ได้”
“ยังไงเหรอคะ ?”
“ก็แทนที่เราจะมัวแต่กลัวกับอุปสรรค” แสนมีตาเป็นประกาย “ผมจะคิดถึงสิ่งดีๆที่จะเกิด ถ้าหากเราลงมือทำ อย่างวันนี้ เราไม่ได้แค่ไปลงพื้นที่ แต่กำลังมอบโอกาสในการทำมาหากินให้กับชาวบ้าน เพื่อให้พวกเค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
แสนพูดอย่างจริงใจและเต็มไปด้วยความหวัง อันยายิ้มฝืดๆ ให้แสนส่วนในใจอึมครึมกว่าเดิม
พุฒที่นั่งอยู่บนแคร่ยกขันน้ำขึ้นดื่ม ใกล้ ๆ ตัวเขามีมาลีและแตงกวาที่เตรียมตัวไปนา พุฒวางขันน้ำลงแล้วมองไปเบื้องหน้า
“ถ้าด็อกเตอร์ฟื้นฟูดินเปรี้ยวสำเร็จ พวกเราคงจะใช้หนี้หมด”
“ลืมตาอ้าปากได้เสียทีนะพ่อ” มาลีว่า
พุฒพยักหน้าแล้วหันไปบอกแตงกวา “ถึงตอนนั้น คงมีเงินเก็บ ส่งเอ็งไปเรียนในเมือง”
“ส่งหนูเรียนสูง ๆ เลยนะ จะได้เป็นด็อกเตอร์เหมือนน้าแสน”
“จ้าด็อกเตอร์แตงกวา ...เก่งแล้วอย่าลืมมาพัฒนาบ้านเราด้วยนะ”
“ไม่ลืมอยู่แล้วจ้าแม่”
“ไอ้ที่เรียนอยู่ให้มันผ่านก่อนเถอะ วัน ๆ เห็นเอาแต่วิ่งเล่น”
“วิ่งเล่น แต่ก็ไม่ลืมตั้งใจเรียนนะจ๊ะพ่อ ...หนูจะเป็นว่าที่ด็อกเตอร์คนใหม่ ของหมู่บ้านนกกระเต็นให้ได้”
พุฒยิ้มแล้วจับหัวลูกอย่างเอ็นดู พ่อ แม่ ลูกทั้งสามมีสีหน้ามีความหวัง
พวกชาวบ้านยืนจับกลุ่มคุยกัน โดยมีโกมลยืนอยู่ตรงกลางกับลูกน้อง
“ปลูกข้าวโดยไม่ใส่ปุ๋ยเคมี ไม่ฉีดยา..มันจะเอาอยู่ได้ยังไง!! เพลี้ยลงแค่นิดเดียว ข้าวก็ไปหมดแล้ว”
ชาวบ้านเริ่มลังเล
พุฒเดินเข้ามากับมาลีและแตงกวา
“ทำได้สิ มันต้องลองเปลี่ยนบ้าง ที่ผ่านมาเราก็ใช้ปุ๋ย ใช้ยา ..ปลูกแบบนี้กันมาตั้งกี่ปีแล้ว ไม่เห็นจะมีเงิน มีแต่หนี้”
ชาวบ้านเริ่มเขวไปทางพุฒ
ป้านิดเห็นด้วย “จริงของไอ้พุฒ”
“แกไม่รู้วิธีบริหารเอง ถ้าวางแผนดี ๆ มันก็มีกำไร.. แต่ที่แน่ ๆ ถ้าแกมัวรอแกล้งดินอยู่นี่ รับรองว่าขาดทุน” โกมลพูดกับชาวบ้าน “ทุกคนรู้รึเปล่า ว่าวิธีแกล้งดินขั้นตอนเยอะแยะแค่ไหน”
“แค่ไหนเหรอกำนัน?”
“ต้องใส่ปูนขาว กักน้ำ ระบายน้ำ แล้วพักดินอีก เสียเวลาตั้งมากตั้งมาย! สู้ใส่ปุ๋ยเคมีไม่ได้ ใส่ปุ๊บ ปลูกได้ปั๊บ ของมันดีกว่าเห็น ๆ พวกเอ็งจะรออะไร?”
ชาวบ้านเริ่มเห็นด้วยกับกำนัน พวกเขามองหน้าพุฒด้วยสายตาตั้งคำถาม
เสียงแสนดังขึ้น “อัดปุ๋ยลงไปได้ผลเร็ว แต่ว่าดินเสื่อมโทรม! วิธีแกล้งดิน ในหลวงท่านทำให้ที่เสื่อมโทรม กลายเป็นที่ทำกินของชาวนาชาวไร่มาเยอะแล้ว”
ชาวบ้านพากันสนใจฟังแสนบ้าง
“ดินที่นี่มันอาจจะไม่ได้เสื่อมขนาดนั้นก็ได้ ใส่ปุ๋ยก็ใช้ได้แล้ว ขืนมัวแต่รอ ผลาญเวลาไปเปล่าๆ” โกมลว่า
“ไม่เสียเวลาเปล่าหรอกครับ วิธีของเรา ใช้ธรรมชาติดูแลธรรมชาติ ระยะยาวแล้วจะประหยัดมาก ไม่ต้องเสียเงินซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลง ทุกคนคงรู้ดี ว่าค่าใช้จ่ายสองอย่างนี้ สูงแค่ไหน”
โกมลหันไปมองแสนอย่างไม่ชอบใจก่อนจะพูด
“วิธีเก่า เราก็ทำกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ! ทำไมรุ่นลูกอย่างพวกเราจะทำไม่ได้”
“ทำได้ครับ แต่จะไม่ถึงรุ่นหลาน เพราะดินกับน้ำจะเสื่อมหมด ทุกคนก็เห็น ว่าตอนนี้ขุดน้ำในนามากินไม่ได้แล้ว! ขืนยังใช้วีธีเดิม ๆ ปุ๋ยเคมีอีกกี่ตันก็ช่วยไมได้”
ทุกคนได้ยินแล้วโยกย้ายจากที่ยืนฟังโกมลไปหาแสนเกินครึ่ง
“รอสักครู่นะครับ ปูนขาวกำลังมา” แสนบอก
โกมลมองแสนและมองชาวบ้านอย่างหงุดหงิดและเจ็บใจ
อันยามองชาวบ้านด้วยความเกรงใจก่อนจะยกมือไหว้
“ฉันขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ที่ครั้งที่แล้วพูดจาไม่ดี”
ชาวบ้านนิ่งไปนิดนึงแล้วมองหน้ากัน อันยาหวาดกลัวจะถูกต่อว่า ทว่ามาลียิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ย
“พวกเราไม่มีใครถือโทษหรอกจ้ะ”
“ใช่ ...ใครเจอแบบนั้นก็ต้องตกใจ.. วันนี้หนูอันอุตส่าห์กลับมาช่วยด็อกเตอร์ทำสิ่งดีๆให้เรา อย่าไปคิดมากกับเรื่องที่ผ่านมาแล้วเลยนะ”
อันยายิ้มรับฝืดๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้มาช่วย
ฟากคิมหันต์ยืนมองจ้องที่ถนนอย่างใจจดใจจ่อ รถขนปูนแล่นเข้ามา คิมหันต์รีบโบกให้รถจอด
“มีอะไรเหรอน้อง?” คนขับถาม
“รถผมสตาร์ทไม่ติด พวกพี่ช่วยเข็นหน่อยได้มั๊ยครับ” คิมหันต์บอก
คนขับลังเล
“น้องโบกคันอื่นให้ช่วยแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปส่งของสาย”
คิมหันต์รีบปั้นหน้าเศร้า เขายกมือไหว้อ้อนวอน
“โธ่พี่ช่วยผมเถอะนะ ผมต้องรีบเอารถไปรับเมีย ..เมียผมเจ็บท้อง จะคลอด”
คนขับฟังแล้วก็รีบลงจากรถก่อนจะหันไปบอกคนงาน
“เฮ้ย!! ไปช่วยเค้าเข็นรถหน่อยโว๊ย”
คิมหันต์ยกมือไหว้ “ขอบคุณครับพี่ ....ขอบคุณมาก”
คิมหันต์พาคนขับรถกับคนงานเดินไปที่รถตัวเองที่ห่างออกไปจากรถปูนพอสมควร คนขับและคนงานเข้าไปเข็นท้ายรถให้ คิมหันต์เข้าไปนั่งที่คนขับแล้วแกล้งสตาร์ทไม่ติด
คนของคิมหันต์ย่องออกมาจากข้างทางแล้วขนปูนออกไป ก่อนจะเอาปูนจากรถอีกคันที่จอดแอบไว้สลับไปไว้ที่ท้ายรถขนปูนที่แสนสั่งมา
ชาวบ้านเริ่มกระวนกระวาย
“ด็อกเตอร์ครับ ทำไมช้าจัง?” พุฒถาม
“ใจเย็น ๆครับ เดี๋ยวก็คงมา” แสนบอก
“นึกว่าจะช้า แค่ตอนแกล้งดิน ที่ไหนได้ ก่อนแกล้งก็ยังช้า คิดกันให้ดี ๆ นะ ดอกเบี้ยเงินกู้มันจะช้าอย่างงี้มั๊ย?”
“ไม่มีช้าหรอกครับกำนัน แต่ถ้าคนกู้ช้า มีหวังดอกเบี้ยทับตัวตาย”
โกมลยิ้มร้าย ชาวบ้านเริ่มทำหน้าไม่ดี
แสนกังวลจึงบอกอันยา “คุณช่วยโทรตามรถปูนอีกครั้งได้มั๊ย”
“ค่ะ..”
อันยากำลังจะกดโทรออกแต่แล้วแตงกวาก็ร้องขึ้น
“มาโน่นแล้วจ้า!”
ทุกคนหันไปมองก็เห็นรถขนปูนแล่นเข้ามา แสนโล่งอก โกมลหงุดหงิด รถขนปูนแล่นมาจอด คนงานรีบขนกระสอบปูนลงมา
คนขับรถพูดกับแสน “ขอโทษครับที่มาช้า พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ” แสนบอก
อันยามองปูนขาวที่ทยอยขนมาด้วยใจลุ้นระทึก โกมลกับลูกน้องเห็นปูนมาส่งก็หัวเสียจึงบอกคนของตัวเอง
“กลับกันดีกว่า เสียเวลาเปล่า ..ที่นี่ไม่มีใครเห็นความหวังดีของเรา”
โกมลเดินออกไป แสนโล่งใจที่ปูนมาและโกมลก็ไปได้เสียที
โกมลเดินผ่านท้ายรถปูนแล้วก็เห็นปูนขาวกระสอบหนึ่งรั่ว โกมลเห็นสภาพของปูนสีอมเหลือง ก็เข้าไปบี้และดมดูก่อนจะยิ้มร้ายแล้วประจานออกมาเสียงดัง
“เฮ้ย!!! ปูนเสีย!”
ทุกคนหันไปมองอย่างตกใจ โดยเฉพาะแสน ตรงกันข้ามกับอันยาที่แอบโล่งใจ ว่าแล้วโกมลกับลูกน้องก็ช่วยกันเช็คแต่ละกระสอบ ชาวบ้านรีบเข้าไปดูอย่างสนใจ
โกมลไล่ดูแต่ละกระสอบ “เสีย!! นี่ก็เสีย!! ...นั่นก็เสีย”
“พวกนี้ก็เสียครับกำนัน” ลูกน้องโกมลบอก
“มีปูนดีอยู่ไม่กี่ถุง นอกนั้นเสียหมด ทำแบบนี้หมายความว่ายังไงเนี่ย”
พุฒกับชาวบ้านอึ้งไปตาม ๆกัน ทุกคนหันมองแสนด้วยสายตาเป็นคำถาม
“ใจเย็น ๆนะครับทุกคน ก่อนมาส่งได้เช็คของรึเปล่าครับ” แสนถาม
คนขับรถดูใบส่งของ “เอ เช็คแล้วนะครับ..นี่เจ๊เป็นคนจัดให้เองกับมือ”
“เลิกแก้ตัวได้แล้ว” โกมลว่า “คงเห็นว่าเป็นงานกำไรน้อย เลยเอาของไม่ดีมานี่ถ้าฉันไม่เห็น จะทำยังไงกัน”
“สงสัยจะเห็นพวกเราไม่ฉลาด เลยกล้ามาหลอกกันหน้าด้านๆ”
ชาวบ้านฟังแรงยุก็เริ่มเอียงไปทางโกมลกับลูกน้อง
ป้าสำลีบอกทุกคน “ฉันว่า..ฉันกลับกันดีกว่า”
ชาวบ้านส่วนหนึ่งพากันทยอยกลับ แสนมองตามไปอย่างเคร่งเครียด
อันยามองแสนแล้วต่อมความรู้สึกผิดก็เริ่มทำงาน
อันยาข่มใจ บอกตัวเอง “แค่ครั้งนี้ อันยา มันก็จะจบแล้ว”
แสนพูดกับพุฒ “ขอโทษจริงๆนะครับลุง .. เดี๋ยวผมจะรีบตามของให้”
แสนรีบกดโทรศัพท์หาร้านค้าวัสดุ
ณ ร้านเกษตรภัณฑ์ เจ๊เจ้าของร้านคุยโทรศัพท์ด้วยอาการตกใจ
“ห๊ะ! ปูนเสีย!! มันจะเสียได้ยังไง เจ๊เช็คของแล้วนะ”
แสนยืนคุยอยู่อีกมุมของที่นาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แล้วผมจะส่งตัวอย่างไปให้ดูนะครับ เหลือดีอยู่ไม่กี่ถุงจริงๆ”
เจ๊งงมากๆ
“เป็นไปได้ยังไง... เอายังงี้ ถ้าปูนเสียจริง เดี๋ยวเจ๊จะรับผิดชอบเอง”
แสนค่อยโล่งอกขึ้น
“ถ้างั้น เจ๊จะช่วยส่งปูนขาวมาให้ใหม่ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ครับ”
แสนพยายามรับรองกับพุฒ
“ที่ร้านยังไม่มีของตอนนี้ แต่ลุงไว้ใจผมนะครับ ผมจะหาปูนมาให้เร็วที่สุด”
พุฒเครียด โกมลรีบแทรก
“พุฒ ...ถ้าแกไม่รอปูน ฉันจะลดราคาปุ๋ยให้แก 30% เลย”
“ถึงวันนี้จะไม่ได้ แต่เร็ว ๆ นี้ผมหาได้แน่นอนครับ” แสนบอก
พุฒยังนิ่ง โกมลหันไปพูดกับแสน
“ถ้าเกิดมีปัญหาอีก แกจะทำยังไง! เอางี้” โกมลบลั๊ฟ “แกเอาปุ๋ยไปก่อนเลย แล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง”
พุฒเริ่มลังเล แสนรีบบอก
“ขอเวลาผมอีกแค่สองวัน รับรอง ว่าผมจัดการเรื่องปูนได้เรียบร้อยแน่”
โกมลพูดต่อ “คิดดี ๆ นะพุฒ แค่ปูนขาวแกยังต้องรอ ต่อไปจะต้องรออะไรอีก!! ดอกเบี้ยมันบานขึ้นทุกวัน!”
แสนเครียดที่โกมลยุเหลือเกิน เขามองว่าพุฒจะเอายังไง
“ก็ได้ครับ” พุฒตอบ
“มันต้องอย่างนี้ คิดอะไรให้มันเด็ดขาด! รีบไปเอาปุ๋ย เอายาที่ร้านข้ามาได้เลย” โกมลบอก
พุฒพูดกับแสน “นาอินทรีย์ปีที่แล้ว ถ้าไม่ได้พันธุ์ข้าวของด็อกเตอร์ ผมคงแย่ ผมจะรอครับ”
แสนโล่งอกที่พุฒให้โอกาส โกมลเหวอและอึ้งไป
“แต่ ผมอาจจะรอได้ไม่นานนะครับ เพราะถ้าเลยไปกว่านี้ จะทำนาไม่ทัน” พุฒบอก
“ผมสัญญาครับ ภายในสองวัน ผมจะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” แสนว่า
แสนโล่งอก อันยาที่ฟังอยู่ตลอดหันมาด้วยสีหน้าเครียด
โกมลเดินบ่นมากับลูกน้องที่เดินตาม
“โง่จริงๆ ยังจะเชื่อไอ้ด็อกเตอร์นั่นอีก!! ก็เห็น ๆ อยู่ ว่ามันเอาปูนเสียมาให้”
คิมหันต์ยืนกระสับกระส่ายอยู่ที่มุมทึบซึ่งเป็นกอไม้ใหญ่ อันยาย่องมาหาอย่างระมัดระวัง
“เจ๊ เป็นไงบ้าง”
อันยามีสีหน้าไม่ค่อยปลอดโปร่งนัก
โกมลที่กำลังเดินมาเรื่อยกับลูกน้องยังคุยกันต่อเนื่อง
ลูกน้องชักไม่มั่นใจ “แต่ถ้าด็อกเตอร์หาปูนมาได้ ปูนนั่นก็ถูกกว่าค่าปุ๋ยค่ายานะ แล้วถ้านานี้แกล้ง
ดินได้ผล คนอื่นๆทำตามแล้วกำนันจะไปขายปุ๋ย ขายยาให้ใคร”
โกมลเหล่ ลูกน้องเงียบเพราะรู้แล้วว่าพูดมากไป โกมลคิดแล้วก็หงุดหงิดมาก แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรถปูนขาวของคิมหันต์
“รถอะไรมาจอดอยู่ตรงนี้วะ?”
ความสงสัยทำให้โกมลกับลูกน้องเดินไปที่รถปูนขาว
“กำนันครับ ..นี่มันปูนขาว!”
โกมลอึ้งเอามากๆ
โกมลเดินเข้ามาใกล้ๆ รถขนปูนแล้วสำรวจอย่างพินิจพิเคราะห์
“ปูนขาวใหม่ ๆ ใครเอามาจอดไว้นี่วะ?”
แล้วเสียงอันยาก็ลอยมา
“แกทำดีมาก เรื่องเปลี่ยนเอาปูนเสียไปส่งให้ลุงนั่น”
โกมลกับลูกน้องมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปแอบฟัง
“แต่..ด็อกเตอร์ดันต่อรองกับลุงพุฒได้นี่สิ”
“ถ้าด็อกเตอร์หาปูนใหม่มาได้ทัน งานเราก็เหลวเลยนะเจ๊” คิมหันต์บอก
“เฮ้อ...จะทำยังไงดี”
โกมลยิ้มร้ายเพราะได้ยินทั้งหมด เขาโผล่พรวดไปทันที อันยากับคิมหันต์ตกใจจนแทบช็อค
“ที่แท้ก็เป็นแผนของเธอนี่เอง!! ไอ้ด็อกเตอร์มันคงช็อกถ้ารู้ว่าเลขาคนสนิททำพิษแบบนี้”
“ไม่ได้นะ พวกคุณ ห้ามบอกด็อกเตอร์นะ” อันยาว่า
“คงสะใจดีพิลึก ถ้าได้เห็นหน้าไอ้ด็อกเตอร์นั่นตอนที่รู้ว่าโดนหลอก”
อันยากับคิมหันต์เครียดว่าจะทำยังไงดี
อันยาคิดหาทางออก “สะใจ แล้วมันจะได้อะไร ถ้าคุณอยากจะขายปุ๋ย ขายยาฆ่าแมลงได้เหมือนเดิม” อันยายื่นข้อเสนอ “เราก็ควรจะร่วมมือกัน!”
คิมหันต์ชะงักเพราะไม่นึกมาก่อน เขาหันขวับมามองอันยา
อันยากระซิบ “ไม่มีทางเลือกแล้ว”
“แล้วทำไมพวกฉันต้องเชื่อเธอ เธอหักหลังได้แม้แต่เจ้านายของตัวเอง” โกมลว่า
“ด็อกเตอร์แสน ไม่ใช่เจ้านายจริงๆของฉัน ฉันถูกจ้างมาให้มาทำลายหน้าที่การงานของเค้า”
โกมลชะงักไป
“ฮ่ะๆ สนุกจริงๆ นึกแล้วว่าคนอย่างไอ้ด็อกเตอร์!! ต้องขวางหูขวางตาเค้าไปทั่ว อยากเห็นวันที่มันย่อยยับซะจริงๆ”
“คุณ..จะได้เห็น เร็วขึ้น! ถ้าหากว่าร่วมมือกับฉัน ....ว่ายังไงล่ะ”
“เราจะเชื่อใจมันได้เหรอครับกำนัน”
โกมลชะงักมองอันยากับคิมหันต์อย่างชั่งใจ อันยากับคิมหันต์ลุ้น
คิมหันต์ดูดกาแฟลงคอก่อนจะคุยกับอันยา
“เจ๊นี่ลื่นยิ่งกว่าปลาไหลอีก!! สุดยอด!” คิมหันต์ว่า
“นี่ชมใช่มั๊ย?” อันยาถาม
“ก็ชมน่ะสิ...แหมใครจะไปคิดว่าเจ๊จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ดึงศัตรูมาอยู่ข้างเดียวกันได้แบบนี้”
“เคยได้ยินมั๊ย? ศัตรูของศัตรู คือ มิตร!”
“โห...คมคาย!”
“เอามิตรไว้ใกล้ตัว แต่ต้องเอาศัตรูไว้ใกล้ตัวกว่า!”
“สวดยอด !”
“ไม่ต้องอวยแล้ว ! งานเรายังไม่เสร็จ ความลับที่ฉันปลอมตัวมา เริ่มมีคนรู้มากขึ้นเราก็ต้องรอบคอบให้มากกว่าเดิม!”
คิมหันต์ไม่แน่ใจ “ผมชักสงสัย นายกำนันโกมลนั่น จะช่วยอะไรเราได้จริงเหรอ?”
“มีแนวร่วมก็ยังดีกว่าไม่มี ส่วนที่เหลือ ฉันจัดการเอง อย่าลืมสิ ว่าฉันอยู่ในฐานะเลขาของด็อกเตอร์”
คิมหันต์ฟังอันยาแล้วก็เก็ทขึ้นมา อันยามีสีหน้ามุ่งมั่นว่าจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จ
ทวยเทพพูดเสียงดัง “เอาอีก ฆ่ามันเลย!”
ทวยเทพกำลังมันส์สะใจกับหนังแอคชั่น ในขณะที่อันยากึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะเหนื่อยมาก
จากฉากบู๊แอ๊คชั่นหนังเปลี่ยนเป็นฉากเลิฟซีน
ทวยเทพเหลือบมองอันยา เมื่อเห็นว่าอันยาม่อยหลับเขาก็ค่อย ๆ เอื้อมมือไปกุมมืออันยา
ทวยเทพขยับไปใกล้ๆ แล้วกระซิบ “อันนี่จ๊ะ”
อันยาหลับไปแล้ว ทวยเทพยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เวลาหลับก็น่ารัก ...แหมมันน่า...” ทวยเทพยื่นหน้าไปใกล้ๆ “น่า...”
ทวยเทพจะจูบอันยาปากของเขาใกล้จะถึงหน้าอันยาอยู่แล้ว
ทันใดนั้นเสียงระเบิดจากในหนังก็ดังลั่น อันยาตกใจตื่นสะดุ้งพรวดมาเห็นหน้าทวยเทพใกล้มากก็ตกใจ
อันยาถามเสียงดุ “จะทำอะไร!”
ทวยเทพจ๋อย เขาหดคอกลับที่เดิม “ไม่มีอะไร ...แค่จะดูว่ายุงกัดอันนี่รึเปล่า?”
อันยารีบดึงมือกลับจากมือทวยเทพที่เซ็งมาก
ทวยเทพคุยฟุ้งเรื่องหนังอย่างออกรส ในขณะที่อันยาหาวงัวเงีย
“เสียดาย ตอนที่ไอ้นั่นมันระเบิดบ้าน น่าจะระเบิดภูเขาหลังบ้านไปด้วย” ทวยเทพว่า
อันยาหาว “เฮ้อออ.. น่าจะไปหลับไปนอนกันมากกว่า” อันยาส่ายหน้า
ทวยเทพอึ้งไป “อันนี่ คุณไม่สนุก ไม่มีความสุขที่เราอยู่ด้วยกันเลยเหรอ?”
อันยานึกได้ก็รีบแก้ตัว “คือ ฉันเหนื่อยไปหน่อย ทั้งทำงาน ทั้งเดินทางไปกลับตั้งเยอะ”
“นี่ไง ผมถึงได้บอกให้เลิกไปทำงานบ้าๆนั่น”
อันยาของขึ้นแต่ก็ยังข่มใจไว้ “เราอย่ามาเถียงกันเรื่องนี้อีกเลย” อันยาคิดหาวิธีพูด “คุณน่าจะดีใจนะ ถึงฉันจะทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ฉันก็ยังอยากจะมาดูหนังกับคุณ”
ทวยเทพยิ้มหน้าบาน “อันนี่ คุณน่ารักจัง”
อันยาปั้นยิ้มแล้วก็เดินนำไปก่อนจะเบ้หน้าเพราะเหนื่อยจริงๆ ทวยเทพมองตามอันยา แล้วเพ้อคนเดียว
“หวานกับเราขนาดนี้” ทวยเทพคิดลึก “มันคงถึง... จังหวะนั้นของเราสองคนแล้วแน่ ๆ”
ทวยเทพยิ้มกริ่มแล้วมองตามอันยาด้วยความหวัง
ณ ออฟฟิศเพียงพอดี แสนเครียดและไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่มีปูนขาวเลยสักร้าน?”
“คุณไม่อยากให้ขนส่งไกล จะได้ประหยัดเชื้อเพลิง ฉันก็ลองหาร้านละแวกเดียวกับหมู่บ้านแต่ไม่มีของเลยค่ะ”
แสนฟังอันยาแต่สีหน้ายังประหลาดใจ อันยาแอบยิ้มแล้วนึกในใจ
“ผลงานดีกว่าที่คิดแฮะ อีตากำนัน”
โกมลและพวกพ้องกับเจ้าของร้านนั่งสังสรรค์กัน
“ต้องขอบคุณทุกคนมากนะ ที่ช่วยกัน ไม่ขายให้คนของเพียงพอดี”
“แหม ...พวกเราก็รู้จัก คบค้ากันมานาน จะเห็นคนอื่นดีกว่าได้ยังไง” เฮียตือบอก
“ใช่เฮีย ...ไอ้บริษัทนี้ ทำให้พวกเรามีปัญหา ขายปุ๋ย ขายยาได้ยากขึ้น!! เพราะฉะนั้น เราต้องจัดการมัน อย่าให้มันได้เผยอหน้าที่นี่!” โกมลบอก
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ...ที่นี่ รวมกันเราใหญ่อยู่แล้ว ฮ่า ๆๆ” เฮียตือหัวเราะ
โกมลยิ้มร้าย “อยากรู้นัก ไม่มีใครขายของให้ มันจะเข้าหน้าชาวบ้านได้ยังไง !!”
อันยารายงานแสนด้วยสีหน้าจ๋อยๆ
“โรงงานที่ไกลออกไป ก็ไม่มีของค่ะ เค้าบอกว่า..ต้องส่งให้ที่อื่น”
“ไม่น่าเชื่อ ปกติปูนขาวไม่ใช่ของหายากขนาดนั้น” แสนคิด “รู้สึกในลิสต์ของบริษัท จะมีรายชื่อ
ร้านค้าวัสดุอยู่อีกนะ” แสนตัดสินใจ “ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมจะลองติดต่อดูเอง”
แสนว่าแล้วหันไปค้นหาลิสต์รายชื่อที่ว่าในแฟ้มเอกสาร อันยาตระหนกแล้วรีบเข้าไปเสนอ
อันยาตกใจ “ไม่ต้องหรอกค่ะด็อกเตอร์ เดี๋ยวฉันจัดการให้!”
“ช่วย ๆ กันดีแล้วครับ มันจะได้เร็วขึ้น” แสนเจอเอกสาร “อยู่นี่เอง”
“เอ่อ งั้นเดี๋ยวฉันโทรให้เอง นะคะ” อันยาสบตาแสนแล้วหวานใส่ “ฉันอยากช่วยคุณ”
แสนชะงักไปกับลูกอ้อนของอันยา “เอ่อ.. เองั้นก็ได้ครับ” อันยาโล่งอก “งั้นช่วยกันโทรก็แล้วกัน
คุณลองโทรไปที่นี่ ส่วนผมจะโทรเบอร์นี้เอง”
อันยาเหวอแล้วคิดว่าไหงเป็นยังงั้น
แสนคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะโทร อันยามองแสนแล้วคิดว่าจะห้ามยังไงดี แสนกำลังจะกดเบอร์โทรออก
อันยาพึมพำ “ทำไงดี ?”
แสนเริ่มกดเบอร์โทรออก อันยากระวนกระวาย
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังมาพร้อมเสียงอิงค์กี้ที่ลอยตามมา
“ด็อกเตอร์คะ” อิงค์กี้ลากเสียง “อยู่รึเปล่าเอ่ย?”
แสนที่กำลังจะโทรศัพท์ถึงกับชะงัก อันยาหันขวับไปมองตามเสียง
อิงค์กี้ไม่รอคำตอบ เธอเปิดประตูพรวดเข้ามาทันที แสนส่งซิกด้วยสายตาให้อันยาช่วย อันยาทำเป็นขวางเอาไว้ทันที
“ถอยซิ เลขาอย่างเธอ มีหน้าที่แค่ไปเสิร์ฟกาแฟ” อิงค์กี้ว่า
อันยายังไม่หลบ “นั่นเฉพาะแขกที่นัดไว้เท่านั้นค่ะ”
อิงค์กี้กับอันยาประสานสายตามาคุใส่กัน
“สนิทระดับฉัน ไม่ต้องนัดก็ได้” อิงค์กี้บอก
“ด็อกเตอร์ไม่เคยบอก ว่าคุณเป็นกรณียกเว้น”
“เอ๊ะ!! พูดไม่รู้เรื่องรึไง”
“ฉันพูดรู้เรื่อง แต่คุณฟังรู้เรื่องรึเปล่า” อันยาว่า อิงค์กี้เหวอ “ด็อกเตอร์งานยุ่ง คุณต้องนัดก่อนถึงจะพบได้”
แสนมองอันยาที่รับหน้าอิงค์กี้ด้วยความเป็นห่วงว่าไหวไหม อันยาเหลือบมามองแสนแล้วทำสีหน้าว่ากำลังช่วยอยู่ มือข้างนึงของอันยาแอบกดมือถือเข้าเบอร์สำนักงาน เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะอันยาดังขึ้น
“โทรศัพท์ดัง ไปรับสิยะ!” อิงค์กี้บอก
แสนชะงักไป อันยาทำหน้าเครียดบอกแสน
“โรงงานปูนอาจจะโทรมา…ฉันไปรับสายนะคะ”
อันยาว่าแล้วก็รีบวิ่งไปรับโทรศัพท์ อิงค์กี้ยิ้มพรายก่อนจะรีบก้าวเข้าห้องไปแล้วบ่นกับแสน
“ไม่มีมารยาทเลยนะคะ แม่นี่!”
อิงค์กี้ก็ยิ้มหวานให้แสนซึ่งดูไม่มีอารมณ์เอนจอยนัก อันยาถอนหายใจ
“คงทำงานไม่ได้ไปพักนึงนะ ด็อกเตอร์”
อันยาบ่นอย่างโล่งอกเพราะหวุดหวิดซะจริงๆ
อ่านต่อหน้า 3
กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ด้านอิงค์กี้วางกล่องอาหารหรูเริดที่เตรียมมาตรงหน้าแสน
“ได้ยินว่าด็อกเตอร์กำลังเครียด อิงค์กี้เป็นห่วง ก็เลยเตรียมอาหารดีๆมาให้ค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ ...แต่ผมยังไม่หิว” แสนบอก
“ไม่หิว ก็ต้องทานค่ะ ร่างกายจะได้มีแรง พร้อมสู้งานไงคะ” อิงค์กี้จะตื๊อให้ได้
แสนเสียงเข้มขึ้น “ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่หิวจริงๆ”
อิงค์กี้จ๋อยไป “งั้นไม่เป็นไรค่ะ ถ้ายังกังวลเรื่องงาน เอาไว้ก่อนก็ได้ งั้น..ให้อิงค์กี้ช่วยคลายเครียดให้ดีมั้ยคะ” อิงค์กี้เดินไปด้านหลังแสน “เห็นอย่างเนี๊ยะ อิงค์กี้นวดเก่งนะคะ มันจะช่วยผ่อนคลายได้”
อิงค์กี้แตะบ่าแสนแล้วจะนวดเลย
“เอ่อ..ไม่เป็นไร อย่าดีกว่าครับ” แสนบอก
“อย่าปฏิเสธเลยค่ะ อิงค์กี้อยากทำอะไรให้ด็อกเตอร์บ้าง”
แสนจะขยับหนีแต่ยังไม่ทันพ้น ก็มีเสียงดังมาจากหน้าประตูอีก
เสียงม.ร.ว.เหมือนดังเข้ามา “ยัยนั่นอยู่ในนั้นเหรอ หนอย !!”
ม.ร.ว.เหมือนเปิดประตูเข้ามาเลย
“นี่ป้า!! ลืมพกมารยาทมารึไง ถึงได้ไม่รู้จักเคาะประตูก่อน” อิงค์กี้ว่า
“ถ้าฉันลืมพกมารยาท หล่อนก็คงจะลืมพก ยางอาย!! ถึงได้ตามเกาะแสนเป็นปลิงขนาดนี้”
“ถ้าป้าไม่ใช่ปลิง ป้าจะมาหาด็อกเตอร์ทำไม”
ม.ร.ว.เหมือนคุยกับแสนด้วยสีหน้าหวาน “ได้ข่าวว่าแสนมีปัญหาเรื่องงานอยู่” ม.ร.ว. เหมือนพูดกับแสน “หญิงอาจจะช่วยได้นะคะ หญิงรู้จักคนเยอะแยะ”
“ด็อกเตอร์เค้าไม่อยากพึ่งป้าหรอก ไม่รู้รึไงว่าผู้ชายเค้าชอบแก้ปัญหาด้วยตัวเองมิน่าป่านนี้ถึงยังอยู่บนคาน”
“แล้วพวกที่วิ่งไล่ล่าผู้ชายอย่างเธอ มันดีกว่าตรงไหน”
“ฉันมาดูแลและเป็นกำลังใจให้ด็อกเตอร์” อิงค์กี้บอก
“แน่ใจเหรอ ว่าไม่ได้รบกวนเค้าอยู่ แสนบอกเค้าไปสิคะ ว่าคุณไม่มีเวลาให้เรื่องไร้สาระ”
“ด็อกเตอร์รู้ว่าอิงค์กี้เป็นห่วง และทำเพราะหวังดีใช่มั้ยคะ”
“พวกคุณหยุดเถอะ ผมต้องการเวลาเคลียร์งานของผม”
แสนมองทั้งสองคนด้วยอาการเซ็งก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้อง สองสาวรีบเรียกทันที
“ด็อกเตอร์คะ” / “แสน จะไปไหนคะ?”
“ขอร้องนะครับ อย่าตาม!” แสนบอก
แสนเดินออกไป สองสาวเหวอ ม.ร.ว.เหมือนของขึ้นใส่อิงค์กี้
“ดูซิ เธอทำให้แสนเค้าเหลืออดแล้วนะ”
“ใครกันแน่ ตอนป้ายังไม่มา ฉันก็คุยกับด็อกเตอร์อยู่ดีๆ”
ทั้งสองยังคงทะเลาะ โยนความผิดใส่กันไปมา
แสนเดินมาคุยกับอันยาที่มุมหนึ่ง
“ติดต่อไปที่รายชื่อพวกนั้นแล้วใช่มั้ยครับ เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็มีของอยู่นะคะ” อันยาบอก แสนมีความหวัง “แต่..ต้องรอ ประมาณสองอาทิตย์ค่ะ”
“สองอาทิตย์ ? แต่ผมรับปากลุงพุฒไว้แล้ว ว่าต้องได้ของภายในสองวัน” แสนแปลกใจมาก “ร้านค้าใกล้ ๆ ก็ไม่ขาย ที่ไกลก็ยังไม่มีอีกเหรอ เป็นไปได้ยังไง!!”
อันยาร้อนตัว “หรือว่าคุณไม่เชื่อฉัน!”
แสนชะงักมองอันยา...
“ผมไม่เชื่อคุณ” แสนบอก อันยาเหวอ “ได้ยังไงกัน ถึงเราจะเพิ่งร่วมงานกัน แต่คุณทำหน้าที่เลขาให้ผมดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีเลขามา.. ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว แต่เรามีเวลาแค่สองวัน จะทำยังไงดี?”
อันยาแสร้งเป็นห่วง “ใจเย็น ๆค่ะ ด็อกเตอร์ ยังไงเราก็ต้องหาปูนขาวได้ นะคะ”
แสนหน้าเครียด แต่อันยาแอบโล่งอก...
แสนกับอันยาเดินกลับมาด้วยกันตามทางเดินในออฟฟิศ อันยาหันไปบอกแสน
“สองคนนั้นคงจะกลับไปแล้วค่ะ ฉันให้คนไปบอกว่าด็อกเตอร์ไปธุระข้างนอกแล้ว”
“ขอบคุณมากนะอันยา ที่ช่วย” แสนบอก
“ยินดีให้บริการค่ะ รับขนมจีบ ซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยคะ?”
แสนที่เครียดๆ ถึงกับอารมณ์เปลี่ยนกับมุกของอันยาจนต้องอมยิ้มออกมา
“ยิ้มแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” อันยาบอก
แสนยิ้ม เขามองอันยาเพลินๆ แต่แล้วรอยยิ้มของแสนก็ต้องเจื่อนลง เมื่อเห็นทวยเทพเดินเข้ามา อันยามองตามสายตาแสนไปเจอทวยเทพก็งง ทวยเทพยืนถือถุงจากห้างดังอยู่ด้วยสีหน้าตึง
อันยาอยู่ตรงกลางระหว่างทวยเทพกับแสน พนักงานที่เดินผ่านหันมามองอย่างสนใจ เพียงดาว เอกชัย และเมขลาเดินผ่านมาก็หยุดมองด้วยอาการอยากรู้อยากเห็น
อันยาพูดกับทวยเทพ “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ทวยเทพพูดเสียงดังเพราะจงใจให้คนเดินผ่านไปมาได้ยิน “ผมก็มาหาผู้หญิงที่ผมรัก” ทวยเทพจงใจให้แสนได้ยิน “ผมมีข่าวดีมาบอกด้วยนะอันนี่”
“ข่าวดีอะไรของคุณ?”
“ผมจองรีสอร์ทสุดหรู บนเกาะเสม็ดไว้แล้ว...ไปเสม็ดกันนะจ๊ะ อันของผม”
“ของผม?” อันยาทำตาดุใส่ทวยเทพ “เอาไว้เลิกงานค่อยคุยกัน ตอนนี้คุณกลับไปก่อน”
ทวยเทพหวาดกับสายตาดุของอันยา แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วเขาก็ต้องเอาให้ถึงที่สุด
“ผมมีของมาฝากคุณด้วย” ทวยเทพบอก
ว่าแล้วทวยเทพก็ควักบิกินี่สีแดงออกมาจากถุง อันยาตกใจมาก แสนเหลือเชื่อกับสิ่งที่ทวยเทพทำ
“ผมซื้อบิกินี่มาให้ สีเดียวกับกางเกงว่ายน้ำผมเลย แล้วเราไปเล่นน้ำด้วยกันนะจ๊ะ”
อันยาเสียงเข้ม “เก็บไปเดี๋ยวนี้” อันยาพยายามเก็บ
ทวยเทพพูดเสียงดัง “แหม แค่นี้ก็ต้องอาย คนเรารักกัน... ใส่ชุดว่ายน้ำสีเดียวกัน น่ารักจะตาย”
อันยาโกรธจนพูดไม่ออก ทวยเทพยังไม่เลิก เขาเอาชุดของตัวเองออกมาเทียบกันอีก
“ดูสิสีแมทซ์กันมาก”
แสนสุดจะทนกับกิริยาของทวยเทพจึงเข้าไปเตือนในที่สุด
“ขอโทษนะครับ นี่เป็นสถานที่ทำงาน ผมว่าคุณควรจะไปคุยเรื่องส่วนตัวที่อื่น”
“ฉันคุยกับอันนี่ ไม่ใช่แก” ทวยเทพสวน
“ถ้าคุณเห็นแก่คุณอันยา ก็ควรจะเคารพและให้เกียรติ์เค้ามากกว่านี้ คุณไม่เห็นเหรอ ว่าทำให้เค้าอึดอัด”
อันยาหันไปมองแสนอย่างรู้สึกดี แต่ทวยเทพโมโห
“แส่อีกแล้ว!”
เอกชัยกับเพียงดาวรีบเดินเข้ามา
“เอ...ร.ป.ภ.เราอยู่ไหนนะ” เพียงดาวว่า
“ฉันไม่อยากมีเรื่องกับคนกระจอกอย่างแก!” ทวยเทพพูดกับอันยา “อันนี่ กลับ ก่อนที่ผมจะโมโหกว่านี้”
“ฉันยังทำงานไม่เสร็จ คุณกลับไปก่อนเถอะ” อันยาบอก
“แต่นี่ผมอุตส่าห์มารับคุณนะ”
อันยาเข้ามาพูดกับทวยเทพใกล้ๆ “ถ้างานฉันไม่เสร็จ ฉันคงไปเที่ยวกับคุณไม่ได้ แล้วเราค่อยคุยกัน นะคะ ฉันขอร้อง”
ทวยเทพเจ็บใจ แต่กลัวเสียเรื่องจึงต้องยอม “ผมกลับก่อนก็ได้ เราค่อยเจอกัน ค่ำนี้”
ทวยเทพกระแทกส้นเท้าเดินออกไป ก่อนไปเขายังมองแสนอย่างหัวเสีย เพียงดาวมองตามทวยเทพไปด้วยสีหน้ารังเกียจ
เอกชัยและเมขลาก็มีสีหน้าไม่พอใจ
เพียงดาวหันไปตำหนิกับเอกชัย
“ดู๊ดู นอกจากตัวเองจะแต่งตัวไม่มีกาลเทศะแล้ว ยังมีแฟนทำตัวแย่กว่าซะอีกสมกันยังกับผีเน่า โลงผุ”
“คนเจ๋งๆอย่างคุณอัน มีแฟนแบบนี้เหรอเนี่ย ผิดหวังอ่ะ” เอกชัยว่า
“ใช้คำว่าสิ้นหวังดีกว่าย่ะ นี่ถึงขนาดซื้อบิกินี่ให้กัน ไม่รู้ขั้นไหนกันแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้ทำไมไม่รักตัวสงวนตัวกันบ้าง” เพียงดาวพูดกับเมขลา “เธอก็อย่าไปคุยกับเค้ามากเดี๋ยวพลอยเป็นไปด้วย”
“โหว.. เพราะเจ๊คิดงี้นี่เอง ถึงได้รักษาความโสด...บริซู๊ด บริสุทธิ์ไว้ได้” เอกชัยบอก
เพียงดาวยืดอกอย่างภูมิใจ
เอกชัยพูดต่อ “สมเป็นเจ้าแม่คานทองของบริษัทเรา”
“นี่ !! กล้าหลอกด่าฉันเหรอ” เพียงดาวฉุน
“คนเค้าชม หรือไม่จริง”
เมขลาดูสองคนทะเลาะกันแต่ใจคิดไปเรื่องอันยา
“ทำไมถึงคบคนแบบนี้นะ อันโกะ”
เมขลาเป็นห่วง
อันยาสรุปเรื่องงานให้แสน
“เดี๋ยวฉันจะลองถามคนรู้จักให้นะคะ อาจจะมีร้านที่มีของให้เราไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
แสนในตอนนี้ไม่ได้คิดเรื่องงานเลยเพราะมีแต่เรื่องทวยเทพค้างคาอยู่ในหัว อันยาสรุปงานเสร็จก็จะเดินออกไป แสนมองตามอันยาด้วยความรู้สึกอึดอัดมากว่าจะพูดหรือไม่พูดดี อันยาจะก้าวออกไปอยู่แล้ว แสนเดินมา
“เดี๋ยวก่อนครับ คือ..ผมก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่นายทวยเทพนั่นเค้าเคยจะข่มเหงคุณมาแล้ว ทั้งที่เค้าอันตราย ทำไมคุณถึงยัง...” แสนพูดไม่ออก
“ฉันรู้ค่ะ แต่...ความจริง” อันยาแก้ตัว “เค้าก็..ไม่ได้ทำตัวแย่แบบนั้นทุกวันนะคะ”
“คุณไว้ใจคนเกินไป คนบางคน พูดดีทำดีกับเรา เพราะมีจุดประสงค์อื่น”
อันยาสะอึกเพราะรู้สึกเหมือนคำพูดของแสนเข้าตัว
“ผมคงจะพูดมากไป ผมแค่..ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับคุณอีก”
แสนสบตาอันยาแบบมีกระแสความห่วงใยอย่างแท้จริงอยู่ข้างใน แล้วแสนก็หันกลับไป
อันยาทนไม่ไหวจึงเดินมาอธิบาย “ด็อกเตอร์คะ ฉันกับเค้าเป็นแค่เพื่อนกันนะคะ แต่ทวยเทพเค้าเป็นคนที่โดนปฏิเสธแรงๆไม่ได้ ฉันเลยว่า..จะค่อยๆหาทางห่างเค้า”
แสนตัดบท “ช่างมันเถอะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ ไม่ต้องมาอธิบายกับผมก็ได้”
แสนนั่งลงทำงานโดยไม่พูดอะไรอีก อันยาอึ้งๆ ว่าทำไมต้องรู้สึกเหมือนเด็กทำความผิดและร้อนรนในใจแบบนี้
บุรินทร์หัวเราะลั่นในขณะที่แสนหน้าตึงหน่อยๆ
“ฮอททั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง...เรื่องหัวใจนี่อลหม่านกันจริง ๆ”
“น่าขำนักเหรอครับ” แสนถาม
“นายท่าจะเป็นห่วงเลขาคนนี้มาก ?”
“ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆที่รู้ว่าคนๆนั้นไว้ใจไม่ได้ ทำไมเค้ายังเอาตัวเองไปเสี่ยงอีก”
“เรื่องหัวใจมันก็แบบนี้แหละ ใช้เหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ไม่เคยเห็นเหรอ พวกที่ปากบอกว่าไม่ แต่ตัวไม่เคยห่างออกมาได้ เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกจนนับครั้งไม่ถ้วน”
แสนส่ายหน้าเพราะไม่อยากจะยอมรับอะไรแบบนั้น
“สงสัยต้องลองมีความรักแล้วมั๊ง จะได้เก็ท” บุรินทร์บอก
“ผมคงรักคนที่ทำร้ายกันแบบนั้นไม่ได้”
“เออ มัวแต่คุยเรื่องนี้ ตกลงเรื่องปูนขาว ยังหาไม่ได้เลยใช่มั้ย”
แสนถอนหายใจ “มันแปลกเกินไป.. ผมชักสงสัย ว่าเราอาจจะเจอแบล็คลิสต์”
“เออ หรือว่ามันแปลก ที่เราเพิ่งมาโดนเอาตอนนี้?” บุรินทร์ขำแบบเย้ยหยันตัวเอง “จริง ๆ เราน่าจะโดนนานแล้ว รึเปล่า?”
แสนนิ่งไปและมีสีหน้าเครียด
“มันเป็นธรรมดา เราทำงานเพื่อส่วนรวม แต่ขัดผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางกลุ่ม ยังไงเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด!”
“ครับ ผมรับปากลุงพุฒแล้ว ว่าจะแก้ไขให้เร็วที่สุด แต่..มันเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวนี่สิ”
บุรินทร์ฟังแสนแล้วนิ่งคิด
ทวยเทพเร่งรัดอีกครั้ง
“ผมยอมกลับมาก่อนตามที่คุณขอแล้ว ตกลง ว่าวีคเอนด์นี้คุณไปเสม็ดกับผมใช่มั้ย?”
อันยาไม่อยากไปแต่ต้องปั้นหน้าโกหกอ้อนทวยเทพ
“ฉันก็อยากไปเที่ยวทะเลกับคุณนะทวยเทพ แต่...”
“อย่า..อย่าพูดคำว่าแต่ ผมไม่ชอบคำนี้”
อันยาอ้อนทวยเทพ “เอาไว้ให้ภารกิจนี้เรียบร้อย แล้วเราค่อยไปกัน นะคะ”
ทวยเทพงอแง “ไม่เอาอ่ะ ..อยากไปตอนนี้ ไปวีคเอนด์นี้เถอะ ผมจองไว้ทุกอย่างแล้ว”
“ขืนไปตอนนี้ก็ไม่สนุก เพราะฉันห่วงงาน ฉันไม่อยากทำให้คุณหมดสนุกไปด้วย”
ทวยเทพกรุ้มกริ่ม “สนุกสิ เชื่อผม ผมจะทำให้เรามีความสุขที่สุดเลยนะ”
อันยาอยากจะแหวะ แต่ก็ฝืนอ้อนต่อ “รอให้ภารกิจเสร็จก่อนเถอะ ... ทริปแบบนี้ ฉันอยากให้มันเพอร์เฟ็คจริง ๆ ถ้าคุณรอถึงตอนนั้นได้” อันยาหลอกล่อ “ฉันจะมีรางวัลพิเศษให้”
ทวยเทพชะงักและหูผึ่ง
“นอกจาก เริงร่า..” อันยาแตะหลังมือทวยเทพเบาๆ “รับลมทะเล ว่ายน้ำคลอเคลียกัน....แล้วฉันจะ”
“จะอะไร” ทวยเทพอยากรู้มาก
“บอกตอนนี้ก็ไม่เซอร์ไพร์สสิคะ บางอย่างรีบร้อนแล้วไม่ดีน๊า..รออีกนิด ฉันรับรอง ว่าคุณจะไม่ผิดหวังเลย..”
อันยาส่งสายตาหยาดเยิ้มหลอกให้ทวยเทพเคลิ้ม
“ก็..ก็ได้ ผมจะรอดูซิ ว่ารางวัลของคุณมันจะพิเศษแค่ไหน”
ทวยเทพมองอันยากรุ้มกริ่ม อันยาแกล้งเอียงอายเบาๆ
ทวยเทพมาส่งอันยา อันยาลงจากรถแล้วโบกมือลาทวยเทพ แล้วบ่นบ้านเมื่อทวยเทพเดินลับตัวไป
“ฮึ่ย! นับวันก็ยิ่งเยอะ ภารกิจนี้เสร็จเมื่อไหร่ เจอเซอร์ไพร์สปิดฉากแน่”
อันยาบ่นอย่างหัวเสียแล้วจะเดินเข้าคอนโด แล้วภาพความคิดก็แว่บเข้ามาในหัวของเธอ
อันยานึกถึงตอนที่แสนพูด “ถ้าคุณเห็นแก่คุณอันยา ก็ควรจะเคารพและให้เกียรติ์เค้ามากกว่านี้ คุณไม่เห็นเหรอว่าทำให้เค้าอึดอัด”
อันยามีแววตาอ่อนลงก่อนจะรีบส่ายหัว สลัดความคิดออกไป
“เค้าดีกับเรา เพราะเรามีประโยชน์ พอ ๆ หยุดคิด”
วันต่อมา แสนกำลังขับรถ อันยาที่นั่งอยู่ข้างๆ หน้าเหวอมาก
“ร้านนี้บอสแนะนำมา อยู่ไกลออกนอกเมืองไปหน่อย แต่มีเปอร์เซ็นต์สูงว่าเค้าจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ขึ้นแบล็คลิสต์เรา”
“แล้วทำไม เราไม่โทรศัพท์ไปล่ะคะ? ทำไมถึงต้องไปเองด้วย”
“โทรไปที่ไหนก็มีปัญหา ผมว่าไปเองเลยดีกว่า ไปดูให้แน่ใจว่ามีของด้วย ...พอไปถึงร้าน แล้ว ผมรบกวนคุณทำทีเป็นลูกค้าทั่วไป พอซื้อได้ ค่อยบอกว่าเราเป็นใคร ขืนบอกชื่อบริษัทไปก่อน เดี๋ยวเจอปัญหาอีก”
อันยาอึ้งไป แสนคิดว่าอันยาคงหนักใจที่จะทำ
“ที่จริง ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ไม่มีทางอื่นแล้ว” แสนบอก
อันยาพยักหน้าด้วยความเครียดมาก
อันยาคิดในใจ “ทำยังไงดี!! นึกเร็ว ๆ เข้าอันยา ...เกิดด็อกเตอร์ซื้อปูนได้ แย่แน่”
พุฒใช้จอบปรับที่นาอยู่
“เป็นยังไงบ้างล่ะ” โกมลถาม
“ก็..ปรับๆที่รอไปก่อนครับ” พุฒบอก
“เห็นนายขยันอย่างนี้แล้ว ฉันเสียดายจริงๆ กลัวจะลงแรงเหนื่อยฟรี”
พุฒนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไร
โกมลพูดต่อ “เอา ก็ต้องดูกันไป ว่าใครของจริง ของเก๊ แต่ฉันยังให้โอกาสนายพุฒเสมอนะ ถ้า..เกิดทางนั้นผิดพลาดอะไร ก็ไปที่ร้านฉันได้ ยังลดให้พิเศษเหมือนที่บอกไว้”
โกมลว่าแล้วก็เดินไป พุฒครุ่นคิด
พุฒกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ที่โอ่ง มาลีกำลังนั่งปะเสื้อที่ขาดอยู่ที่แคร่ แตงกวาเล่นกับบักจอร์จอยู่ใกล้ ๆ
“ดีแล้ว ที่พ่อไม่ตกปากรับคำกำนัน เรารับปากด็อกเตอร์แล้ว ก็ต้องรอเค้า” มาลีบอก
พุฒล้างหน้าเสร็จก็เอาผ้าขาวม้าเช็ดหน้า แล้วเดินมานั่งใกล้ๆ มาลี
“แม่ไม่กลัวไม่มีเงินจ่ายหนี้” พุฒมองไปทางลูก แต่พูดเบาๆ ไม่ให้ลูกได้ยิน “ไม่มีเงินส่งลูกเราเรียน
หนังสือเหรอ”
“ด็อกเตอร์เค้ารับปากเราแล้ว เค้าก็คงทำตามที่พูดได้น่ะพ่อ” มาลีบอก
พุฒพยักหน้าเพราะหวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
แสนขับรถไปอย่างตั้งใจ อันยาครุ่นคิด เธอเหลือบไปเห็นแผนที่แล้วก็ได้ไอเดีย
“เดี๋ยวฉันช่วยดูแผนที่ให้ดีกว่าค่ะ ด็อกเตอร์ขับรถอยู่ คงจะดูไม่ถนัด” อันยาคิดในใจ “แบบนี้ต้องทำให้หลงทางถ่วงเวลา!! ไหนดูซิ เลี้ยวขวางั้นเหรอ”
พอถึงทางแยก อันยารีบบอกแสน
“เลี้ยวซ้ายค่ะ”
แต่แสนเลี้ยวขวาทันที อันยางง
“เอ๊ะ ฉันบอกให้เลี้ยวซ้าย ทำไมถึงเลี้ยวขวาล่ะคะ?”
“ท่าทางคุณจะดูแผนที่ไม่เป็นนะ ...ผมจำแผนที่นั่นได้หมดแล้ว แค่พกติดมาเฉย ๆ”
อันยาอึ้ง แสนอธิบายต่อ
“ตามแผนที่เราต้องเลี้ยวขวา ตรงไปอีกประมาณ 500 เมตรเลี้ยวซ้าย แล้วตรงไปอีก 1 กิโล เจอตลาดเล็ก ให้ขับผ่านไป วิ่งตรงไปเรื่อย ๆ อีก20 กิโลเมตร ก็จะถึง”
อันยาเหวอแล้วก็แอบเซ็ง
อันยาบ่นกับตัวเอง “ลืมไปว่าไอคิวสูง เป็นจีเนียส”
แสนยังขับไปเรื่อยๆ อันยากลุ้ม เธอมองซ้ายมองขวาว่าจะเอายังไงดี แสนขับผ่านป้ายโฆษณายาแก้ปวดท้อง อันยามองแล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจ
“โอ๊ย!” อันยาจับท้องด้วยท่าทางเจ็บมาก
“เป็นอะไร”
“ไม่รู้ค่ะ จู่ๆ ก็ปวดท้อง”
“เอ แถวนี้มีห้องน้ำรึเปล่านะ”
“ไม่ได้ปวดท้องเข้าห้องน้ำค่ะ ..มันปวดแบบ ..ปวดเหมือนท้องโดนบิด ...โอ๊ย”
“ทนไว้ก่อนนะ หายใจลึกๆ”
แสนคิดว่าจะทำยังไงดี
รถจอดลงหน้าอนามัย แสนเดินมาเปิดประตูฝั่งอันยา อันยาที่เห็นอนามัยอยู่ตรงหน้าก็มองอย่างงงๆ
“ผมเคยมาแถวนี้กับคุณบุรินทร์ จำได้ว่ามีอนามัยอยู่” แสนบอก
อันยากลัวโดนจับได้ “เอ่อ..ฉัน..ฉันว่านั่งสักพัก ก็อาจจะหายนะคะ”
“แต่เมื่อกี๊คุณดูปวดมากนะ รีบเข้าไปตรวจดูดีกว่า”
“ไม่..ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขออยู่นิ่ง ๆ คุณบอกว่าหายใจเข้าออกลึกๆ จะช่วยลดอาการปวดใช่มั้ย” อันยาพยายามถ่วงเวลา เธอสูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ
“แต่ผมว่า รีบเข้าไปตรวจดีกว่านะ”
“อุ๊ย ดีขึ้นจริงๆด้วยค่ะ แต่.....แต่ฉันยังเดินไม่ไหวอยู่ดี”
แสนไม่ฟังอะไรแล้ว เขาเข้าไปใกล้อันยา อันยางงๆ ทันใดนั้นแสนก็ช้อนอุ้มอันยาขึ้นมาทันที
“ด็อกเตอร์! คุณจะทำอะไร”
แสนเสียงเข้ม “คุณบอกว่าเดินไม่ไหว งั้นผมพาไปเอง”
“ฉัน..ฉันไม่...”
“อย่าดื้อ แล้วก็อย่าดิ้น! อยู่เฉยๆ รับรองว่าผมไม่ทำคุณหลุดมือแน่”
แสนสบตาอันยานิ่ง อันยาเมื่อเห็นแววตานั้นก็มือเท้าอ่อนขึ้นมาซะเฉยๆ เธอปล่อยให้แสนอุ้มเข้าไปซะอย่างนั้น
หมอกำลังคลำท้องของอันยา อันยาร้องทุกที่ที่หมอกดคลำ แสนดูอาการอยู่ใกล้ ๆ อย่างเป็นห่วง
“ตรงนี้เจ็บมั้ยคะ?”
“เจ็บค่ะเจ็บ”
หมอเลื่อนไปกดที่อื่น “ตรงนี้ล่ะคะ?”
“เจ็บ ..ตรงนั้นก็เจ็บค่ะ!”
“ส่วนใหญ่เจ็บบริเวณด้านบน หรือด้านล่างแถวท้องน้อยคะ?”
“เจ็บ!! เจ็บไปทั่วเลยค่ะ!!”
หมอนิ่งฟัง ก่อนจะหันไปบอกแสน
“ปวดไปหมดเลยเหรอ” หมอคิด “เอ หรือจะส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอำเภอดี เครื่องมือจะพร้อมกว่านี้”
แสนมองอันยาอย่างเป็นห่วง
“ได้ครับ ผมจะพาเค้าไปเอง” แสนบอก
“จะดีเหรอคะ ด็อกเตอร์ต้องรีบไปที่ร้านนั้น”
แสนข่มใจ “สุขภาพคุณสำคัญกว่านะ”
“งั้นก่อนไป..หมอจะฉีดยาระงับปวดให้คนไข้ก่อนนะคะ” หมอบอก
อันยาหันมาด้วยความตกใจ “ห๊ะ!!! ฉีดยา!”
“ใช่ค่ะ คุณปวดมากขนาดนี้ ถ้าไม่ฉีดยา คงไปโรงพยาบาลไม่ไหว!”
อันยาอึ้งเพราะเถียงไม่ออกและคิดไม่ทัน
พยาบาลเตรียมเข็มแล้ว อันยามองที่เข็มแล้วกลืนน้ำลายอย่างสยดสยอง เธอสินใจลุกพรวดทันที
“ฉัน ฉันดีขึ้นแล้วค่ะ ...ไม่ต้องฉีดยาหรอกค่ะ ดีขึ้นมากๆ”
แสนกับหมอมองอันยาอย่างงง ๆ
“กลัวเข็มใช่มั้ย? ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ เจ็บนิดเดียว อาการปวดของคุณจะได้ดีขึ้น”
อันยาส่ายหน้าท่าเดียว “ไม่เอา ไม่ต้อง ไม่ฉีดค่ะ!! ฉันหายแล้วจริง ๆ” อันยานึกออก “นี่ต้องเป็นโรคกระเพาะกำเริบแน่ ๆ”
“แค่นั้นจริงเหรอ ท่าทางคุณดูปวดท้องมากนะ” แสนมองหน้าหมอเป็นเชิงถาม
อันยาใจสั่นพลางคิดว่าจะรอดมั้ยเนี่ย
“ก็เป็นไปได้ค่ะ ถ้ากรดกัดกระเพาะ บางรายก็จะปวดมากแบบนี้แหละ” หมอบอก
แสนพยักหน้าเชื่อหมอ อันยาโล่งสุดชีวิต เธอหันมองเข็มอย่างหวาด ๆ เพราะเกือบไปแล้ว
แสนประคองอันยาให้นั่งบนเก้าอี้ บริเวณรอบๆ มีคนไข้รอรับยาอยู่หลายคน
“คุณแน่ใจนะ ว่าดีขึ้นแล้ว?” แสนถาม
“ค่ะ...ยังปวด แต่ปวดนิดหน่อย” อันยาบอก
“ถ้างั้นคุณรอผมอยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมไปที่ร้านวัสดุก่อน แล้วจะรีบกลับมารับ”
อันยาชะงัก พอเห็นแสนจะไปก็รีบดึงเสื้อแสนเอาไว้
“อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนได้มั้ยคะ แล้วเราค่อยไปด้วยกัน ฉันจะได้ช่วยคุณซื้อไงคะ”
แสนหันมอง เขาเห็นคนไข้รอรับยาอีกเพียบก็ส่ายหน้า
“ขอโทษนะ แต่เดี๋ยวร้านจะปิดซะก่อน คุณรอผมอยู่ที่นี่ดีกว่า เสร็จธุระแล้ว ผมจะรีบกลับมา”
แม้จะห่วงอันยาแต่แสนก็ต้องรีบไปแล้ว เขาเดินไปทันที อันยาอยากจะตาม แต่พยาบาลเดินมาพูด
“คุณหมอให้คุณพักอยู่เฉยๆก่อนนะคะ อยู่นิ่งๆค่ะ”
อันยาไปหาแสนไม่ได้ พยาบาลเข้มงวดมาก อันยาได้แต่มองตามด้วยตาละห้อย
แสนขับรถเข้ามาจอด เขาเปิดประตูแล้วรีบวิ่งไปที่ร้านด้วยใจที่เต้นระทึก ประตูหน้าร้านปิดสนิทแล้ว แถมมีป้าย “ปิดสามวัน" และระบุวันที่พร้อม
“ให้มันได้ยังงี้สิ!!”
แสนกดกริ่ง แต่กดเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตอบ แสนเครียด
อ่านต่อหน้า 4
กลรักสตรอว์เบอร์รี่ ตอนที่ 4 (ต่อ)
บุรินทร์เซ็นเอกสารของบริษัทแล้วยื่นให้เพียงดาว
เพียงดาวถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง "บอสคะ ถ้าด็อกเตอร์แสนหาปูนขาวมาได้ไม่ทันเวลา มันจะเป็นอะไรมั้ยคะ เราก็เพิ่งจะมีปัญหาแค่ครั้งนี้เอง"
"นั่นน่ะสิ มันคงไม่เป็นไรหรอก"
เพียงดาวยิ้ม บุรินทร์พูดต่อ
"ถ้าหากไม่มีฝ่ายตรงข้ามคอยจ้องซ้ำเติมความผิดพลาดของเราอยู่"
เพียงดาวหุบยิ้ม "จริงด้วย กลุ่มอิทธิพลของกำนันโกมลคงไม่อยู่เฉยแน่ๆ!”
"นี่แหละที่ผมห่วง ผิดแค่หนึ่ง แต่จะเสียความไว้วางใจของชาวบ้านไปอีกนับสิบ หรือบางที อาจจะทั้งหมู่บ้าน เพราะน้ำมือคนที่เค้าอยากให้เราย่อยยับ"
"ไม่ไหวนะคะ ตั้งใจทำงานกันมาตลอด จะมาพังหมดเพราะแบบนี้ เจ้าประคุ๊ณ ขอให้ด็อกเตอร์ได้ปูนขาวมาด้วยเถ๊อะ"
เพียงดาวลุ้นเอาใจช่วย
อันยาออกมานั่งรอที่มุมหนึ่งซึ่งอยู่ด้านนอกอนามัยด้วยความกระวนกระวาย
"ยังไม่มาอีก!”
อันยาเห็นรถแสนแล่นเข้ามา เธอรีบลุกขึ้นทำให้ศอกไปโดนแขนเก้าอี้ที่มีฝุ่นผงเกาะอยู่
"อะไรเนี่ย!”
อันยาปัดฝุ่นก่อนจะรีบเดินออกไป โดยเสื้อด้านหลังของอันยาก็มีฝุ่นติดไปด้วย
แสนเปิดประตูลงมาจากรถด้วยท่าทางเครียดๆ อันยาเดินมาหา ทำทีเป็นถามอย่างเป็นห่วง
"เป็นยังไงบ้างคะ ตกลงว่าได้เรื่องมั้ยคะ"
"ผมไปไม่ทัน...”
อันยาแกล้งตกใจ แต่จริงๆ กลับโล่งอกมาก
"ขอโทษนะคะ เป็นเพราะฉันคนเดียว ทำไมต้องมาปวดท้อง เอาวันนี้ แย่ๆๆ แย่มากอันยา"
แสนแตะไหล่อันยาเพื่อปราม "อย่าโทษตัวเอง เพราะผมไม่รอบคอบเอง ไม่เผื่อเวลาให้มากกว่านี้"
อันยายังตีสีหน้าเสียใจอย่างต่อเนื่อง
แสนห่วงความรู้สึกของอันยาจึงตัดบท "เรื่องงานช่างมันก่อนเถอะ อาการคุณดีขึ้นแล้วเหรอ ถึง
ออกมาข้างนอก"
อันยานึกได้ "เอ่อ..ฉัน..พอดีฉันเป็นห่วงเรื่องคุณน่ะค่ะ"
แสนฟังคำว่า “เป็นห่วง” ของอันยาแล้วก็ยิ่งมีสีหน้ายิ่งอ่อนโยนลงไปอีก
"ดูสิ ผมไม่ได้เรื่องเลย ยังต้องให้คนป่วยมาเป็นห่วง" แสนว่า
"ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณไม่รีบพาฉันมาที่นี่ ไม่รู้ป่านนี้ฉันจะเป็นยังไงบ้าง"
"ครับ คุณดีขึ้นก็ดีแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะ"
แสนที่ภาระหนักอึ้งกลับพยายามปลอบอันยาอย่างใจดี อันยามองแสนพอรู้สึกได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจเธอก็ชักรู้สึกผิดขึ้นมาลึกๆ
รถแสนมาจอดหน้าคอนโดของอันยา อันยาถือถุงใส่ยาที่ได้มาจากอนามัยแล้วก้าวลงจากรถ
"ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์มาส่ง ความจริงให้ฉันกลับเองก็ได้ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว"
"ไม่ได้หรอก สองวันมาเนี๊ยะ คุณเหนื่อยช่วยงานผมซะจนโรคกระเพาะกำเริบ ที่ผมทำให้คุณแค่นี้ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ" แสนบอก
อันยาสะอึกเพราะแสนยิ่งพูดก็ยิ่งจี้ต่อมความรู้สึกผิดของเธอ
"แล้ว.. เรื่องพรุ่งนี้คุณจะทำยังไงคะ ?”
แสนถอนใจ "ผมยังไม่เคยผิดคำพูดกับชาวบ้านมาก่อนเลย ครั้งนี้มันสำคัญซะด้วย"
อันยามองแสน พอเห็นสีหน้าหนักใจก็ยิ่งบีบหัวใจตัวเองให้รู้สึกผิดมากขึ้น
แสนเห็นสีหน้าอันยา "แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอก คิดมากเดี๋ยวโรคกระเพาะจะไม่หาย"
แสนเห็นสีหน้าอันยายังไม่ปลอดโปร่ง เขาก็อยากให้เธอสบายใจขึ้นจึงทำเสียงขึงขัง
"อันยา ผมขอสั่งคุณ" แสนพูด อันยางงไปนิดๆ "คุณต้องดูแลตัวเองให้หายป่วยในเร็วๆนี้เพราะผมไม่อยากเสียเลขาดีๆอย่างคุณไป..นะครับ"
อันยาขำกับมุกของแสน "รับทราบค่ะ เจ้านาย วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ"
"คุณก็เหมือนกันนะ" แสนบอก
แสนจะเดินไปแต่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่เสื้อด้านหลังของอันยา
"โทษนะครับ เสื้อคุณเลอะน่ะ มีฝุ่นเต็มเลย"
อันยาตกใจเบาๆ "ต้องมาจากที่อนามัยนั่นแน่ๆเลยค่ะ พยาบาลบอกว่าแถวนั้นมีเหมืองหินที่ปิดไปแล้ว แต่ฝุ่นมันยังปลิวออกมาอยู่" อันยาปัดเสื้อเป็นการใหญ่
แสนฟังอันยา แล้วก็ครุ่นคิด
"มีอะไรรึเปล่าคะ"
"คุณขึ้นไปพักผ่อนเถอะ มันดึกแล้ว" แสนบอก
อันยาพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในคอนโด ขณะที่แสนยังครุ่นคิดต่อ
แสนที่นั่งอยู่ในรถต่อสายถึงใครบางคน
"ขอโทษนะครับบอส ที่ผมโทรมากวนตอนนี้ พอดีมีเรื่องสำคัญ ขอถามอะไรหน่อยนะครับ"
แสนคุยมือถืออยู่ในรถด้วยท่าทางจริงจัง
ณ ผับที่เต็มไปด้วยคู่รัก ทวยเทพที่นั่งอยู่คนเดียวบ่นอย่างอารมณ์เสียใส่หน้าจอมือถือ
"โทรไปก็เหนื่อย ก็ไม่ว่าง เสม็ดก็ยังไม่ไป เฮ้อ ! อันนะอัน"
เสียงเมรีดังขึ้น "ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ"
ทวยเทพหันมาเห็นเมรีก็ชะงักไปเล็กน้อย
"ได้มั้ย? พอดีฉันเบื่อๆ อยากหาเพื่อนคุย" เมรีบอก
ทวยเทพแปลกใจ "คุณ..ปกติคุณก็ชอบมาที่นี่งั้นเหรอ ?”
"ทำไม หรือคุณคิดว่า..ฉันตั้งใจมาเจอคุณ?”
ทวยเทพชะงักไปอีก "ก็ไม่แน่"
ทวยเทพตอบแล้วก็ดูว่าเมรีจะว่ายังไง ปรากฎว่าเมรีหัวเราะชอบใจ
"คุณนี่ไม่เหมือนใครจริงๆ ฉันชอบคุณก็ตรงนี้แหละ" เมรีบอก ทวยเทพเหวอ "ไม่ต้องคิดลึกค่ะ คำว่าชอบ มันมีหลายแบบ หลายระดับ คุณมั่นใจดี แล้วก็กล้ายอมรับด้วย น่ารักจัง"
ทวยเทพแอบมั่นใจ "ก็..ทำไมผมจะต้องถ่อมตัวไม่เข้าเรื่องด้วย พูดอ้อมค้อมกันไปมา เมื่อไหร่ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง"
"ผู้ชายสมัยเนี๊ยะ หาแมนๆใจๆแบบคุณ ไม่ค่อยได้แล้ว ฉันคิดไม่ผิดจริงๆที่มานี่"
ทวยเทพเคลิ้มแต่แล้วก็ได้สติ "อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่คุยกับคุณแบบคนรู้จักเฉยๆ"
"ก็ได้ค่ะ แค่นั้นก็ได้" เมรีเข้ามานั่งใกล้ๆ "แค่คุยกันเฉยๆ ต่อให้อันยาเค้ารู้ ก็คงไม่ว่าอะไร"
และแล้วทวยเทพก็เข้ามาใกล้ เมรียิ้มได้ใจ
"คุณไปหาเพื่อนคุยคนอื่นเถอะ อย่ายุ่งกับคนที่เค้ามีแฟนแล้วเลย" ทวยเทพบอก เมรีเหวอ "ขอโทษนะเห็นคุณบอก..ว่าชอบที่ผมพูดตรงๆ"
ทวยเทพว่าแล้วก็ผละออกห่างก่อนจะลุกไปเลย เมรีหน้าแตกจนแทบจะดิ้นตาย
เมรีคิดในใจ "คิดว่าฉันพูดจริงๆรึไง !”
เมรีโมโหมากจนหน้าร้อนผ่าวไปหมด อาโปปลุกปลอบใจ
"ฉันก็แค่หาทางตีสนิท เพื่อจะล้วงความลับแกเท่านั้นหรอก หนอย โง่ๆๆ" เมรีว่า
"ไม่น่าเชื่อนะคะ หน้าตาดูไม่ฉลาดสักนิดเดียว แต่กลับไม่หลงกล เอ..แบบนี้ใครโง่ ใครฉลาดนะ?”
เมรีหันขวับมาตาเขียวใส่อาโป
อาโปรีบพูด "คุณแมรีทำดีแล้วค่ะ นายนั่นน่ะโง่!!!! ไม่รู้จักไขว่คว้าของดีๆ"
"ยัยอันยาแสบจริงๆ นี่คงใช้คาถามัดใจแฟนจนไม่กล้ากระดุกกระดิก ! แล้วไม่รู้ว่าป่านนี้ซุ่มทำเรื่องร้ายอะไรอยู่ ฮึ่ย !”
เมรีแค้นและร้อนใจ
ธกฤตใช้บลูทูธคุยกับอันยาในขณะที่กำลังออกกำลังกายอยู่ในฟิตเนส
"ยอด..ยอดมาก!! ผมคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกคุณ"
อันยากลับไม่ค่อยสบายใจ
"บอสคะ ถ้าแผนนี้สำเร็จจริงๆ แล้วด็อกเตอร์แสนต้องออกจากเพียงพอดี วิชชั่นออฟฟิวเจอร์ จะให้ตำแหน่งใหญ่กับเค้าจริงๆใช่มั้ยคะ"
"ก็ต้องอย่างนั้นสิอันยา ถ้าแค่ตำแหน่งจิ๊บจ้อย จะต้องให้คุณลงทุนปลอมตัวขนาดนี้เหรอ" ธกฤตสงสัย "เอ ทำไมคราวนี้ถึงถามล่ะ ทุกที ไม่เห็นคุณจะสนใจเลยนี่"
อันยาอึกอักไม่รู้จะตอบยังไง
"ก็..เอ่อ...”
ธกฤตดูออก
"คุณคงไม่ค่อยสบายใจสินะ เพราะเคสนี้ไม่ตรงๆอย่างเคสอื่น แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่ามันจำเป็น และที่สำคัญ" ธกฤตกล่อม "คนที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ที่สุด ก็คือตัวด็อกเตอร์แสนเอง"
อันยาฟังธกฤตแล้วก็พยายามจะเชื่อตาม
ธกฤตพูดจากมือถือ "ถ้าได้อยู่กับวิชชั่นออฟฟิวเจอร์ ชีวิตเค้าจะดีกว่านี้ไม่รู้ว่ากี่เท่าอันยา คุณกำลังช่วยเค้าอยู่นะ"
"ค่ะบอส"
อันยาวางสายแล้วพยายามกล่อมตัวเองให้เชื่อตามนั้น
อันยารีบร้อนเดินเข้ามาในบริษัทเพียงพอดี เธอเดินผ่านประชาสัมพันธ์พอเห็นเมขลาก็รีบถาม
"เม วันนี้ฉันเลท จะเป็นไรมั้ยเนี่ย แล้วนี่ด็อกเตอร์มารึยัง"
"มาแล้ว" เมขลาตอบ
"กะแล้ว.. งั้นฉันรีบไปก่อนนะ" อันยาจะรีบไป
"อันโกะ ไม่ใช่ทางนั้น ทุกคนอยู่ในห้องประชุม"
"ห๊ะ ประชุม ประชุมอะไร ?”
"เมก็ไม่รู้ แต่ท่าทางทุกคนดูซีเรียสๆยังไงก็ไม่รู้"
อันยาชะงักไปทันที
"หรือว่า..." อันยาคิดในใจ "แผนเรา สำเร็จแล้ว"
อันยาคิดอย่างใจระทึก
อันยายืนตระเตรียมเล่นละครอยู่หน้าห้องประชุม
"เสียใจด้วยนะคะ เพราะฉันคนเดียว แต่..คนเก่งๆอย่างด็อกเตอร์ต้องหางานใหม่ได้ดีกว่าแน่ๆค่ะ" เมื่อซ้อมจนพอใจแล้วอันยาก็สงบลง
อันยาพร้อม เธอเปิดประตูเข้าไปอย่างลุ้นๆ
ภายในห้อง บรรยากาศไม่เหมือนมีการประชุม เพราะทุกคนสีหน้าแช่มชื่น จิบชากาแฟ กินขนม พูดคุยกันเบิกบาน อันยาที่เพิ่งโผล่เข้ามาเลยเหวอๆ
"อ้าว คุณอันยา พูดถึงอยู่พอดี เชิญเลยครับ งานนี้จะขาดคนสำคัญไปได้ไง" เอกชัยบอก
"คนสำคัญ?”
อันยางงๆ เธอหันไปถามแสนซึ่งมีหน้าตาสดชื่นแต่สารรูปดูโทรม เพราะอดนอนมาทั้งคืน
"เอ่อ นี่ประชุมกันเรื่องอะไรเหรอคะ"
เอกชัยตอบแทน "ประชงประชุมอะไรกัน ไม่ซีเรียสยังงั้นหรอกครับ"
อันยาเหวออีก แล้วผิดหวังจนของขึ้น "แล้วเรื่องที่ต้องส่งปูนไปแก้ดินเปรี้ยววันนี้ล่ะคะ ไม่สนใจกันแล้วเหรอ?”
ทุกคนที่กำลังจิบชากาแฟ กินขนมกันอยู่ชะงักไป
อันยาพูดต่อ "ชาวบ้านเค้าเดือดร้อน รอแก้ดินเปรี้ยวอยู่นะคะ เรายังมาสนุกสนานกันแบบนี้ได้ยังไง"
ทุกคนมองหน้ากัน อันยาอารมณ์ขึ้นมากๆ และแล้วบุรินทร์ก็ปรบมือ คนอื่นๆ ปรบมือตาม แสนมองอันยาแล้วอมยิ้มอย่างรู้สึกทึ่ง
บุรินทร์พูดกับแสน "เค้าเป็นอย่างที่นายบอกจริงๆ สู้สุดตัวเพื่อชาวบ้าน" บุรินทร์พูดกับอันยา "ผมดีใจนะที่บริษัทเรามีคนอย่างคุณเพิ่มขึ้นมาอีกคนนึง"
จริงๆผิดหวังเรื่องอื่น แต่อันยาจำต้องยอมรับ "ขอบ..ขอบคุณในคำชมค่ะ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร เราทำงานพลาด! ชาวบ้านเดือดร้อน ชื่อเสียงบริษัทกำลังจะเสียหาย ฉันว่าแทนที่จะจิบชาสนุกสนาน มันต้องมีคนรับผิดชอบเรื่องนี้ !" อันยาค่อยๆหันไปทางแสน
แต่แล้วเอกชัยก็ปรบมือขึ้นอีก อันยาก็ยิ่งงง
"พอแล้ว คุณปรบมือทำไมเนี่ย นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ"
"อันยา ใจเย็นๆ ขอโทษด้วยนะ ที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ" แสนบอก
อันยามองแสนอย่างไม่เข้าใจ
แสนพูดต่อ "พอดีเห็นว่าเมื่อวานคุณไม่สบาย ผมก็เลยไม่อยากรบกวน เรื่องปูนขาวน่ะ มันคืออย่างงี้"
อันยามองแสนอย่างพิศวงว่ากำลังจะบอกอะไร
"หลังจากไปส่งคุณแล้ว ผมมาคิดถึงเรื่องที่คุณพูด เรื่องฝุ่นจากเหมืองนั่น ก็นึกอะไรบางอย่างได้ เลยโทรหาบอส" แสนเล่า
เหตุการณ์ในอดีต หลังจากแสนเห็นฝุ่นผงสีขาวที่เสื้ออันยา แสนคุยมือถืออยู่ในรถ
บุรินทร์ซึ่งอยู่ในชุดนอนเพราะกำลังเตรียมจะเข้านอนตอบคำถามแสน
"ใช่ เหมืองหินตรงนั้น เจ้าของเป็นเพื่อนฉันเอง ที่ฉันเคยพานายไปไงเจอเค้าด้วยกันไง" บุรินทร์บอก
"ครับ ผมถึงได้โทรมาเช็คกับบอส ในเหมืองนั้นมีการผลิตหินบดด้วยใช่มั้ยครับ"
"อืม ตอนเลิกทำ เห็นว่าทิ้งไว้อย่างนั้นนะ ยังเหลืออีกเยอะเลย แต่มันคุ้มทุนแล้วและชาวบ้านแถวนั้นก็ป่วยกันมาก เค้าเลยเลิก" แสนบอก
แสนพยักหน้าเมื่อคิดว่าได้การล่ะ
แสนขับรถไปบนถนนยามดึกที่โล่งว่าง
แสนเล่า "ผมก็เลยขอเข้าไปเก็บตัวอย่างหินบดที่เหมือง เมื่อคืนนี้"
แสนขับรถด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
แสนเอาตัวอย่างหินที่ได้มาทำการทดสอบคุณสมบัติที่อยู่ในห้องแล็ป
"แล้วก็เอามาทดสอบค่าความเป็นกรดด่าง และคุณสมบัติต่างๆดู"
แสนตรวจดูผลที่ได้แล้วยิ้มอย่างพอใจ
แสนสรุป
"คุณสมบัติของหินบดที่เหมืองนั่น มีสภาพเป็นด่างใช้แทนปูนขาวได้ดีเลย"
พนักงานทุกคนยิ้มแย้มอย่างทั้งโล่งอกและดีใจกันกับเรื่องที่เกิดขึ้น
บุรินทร์พูดต่อ "พวกเราก็มัวแต่ตกใจเรื่องที่เจอแบล็คลิสต์จนซื้อของไม่ได้ จนลืมไปว่าวัสดุแก้ดินเปรี้ยว ไม่ได้มีแค่ปูนขาว ปูนมาร์ล ยังมีพวกยิปซั่มป่น และหินบดต่างๆก็ใช้ได้"
"ฉันน่ะโล่งอก! เหมือนยกเขาพระสุเมรุออกจากอกเลยล่ะค่ะ เดี๋ยวคงต้องเอาของไปเซ่นเจ้าที่ซะหน่อยแล้ว" เพียงดาวบอก
"แต่ผมอยากขอบคุณอันยามากกว่านะ" แสนพูดกับอันยา "ครั้งนี้คุณมีส่วนช่วยมากเลยนะ"
อันยาซึ่งไหล่ลู่เพราะผิดหวังที่ความพยายามพังทลายหันมามองแสนอย่างไม่เข้าใจ
"เพราะฉัน? ยังไงเหรอคะ ?” อันยาถาม
"ถ้าคุณไม่ไปที่อนามัย ผมคงลืมเรื่องเหมืองนั่น วัตถุดิบที่ได้มาเนี่ย ดีกว่าปูนขาวที่เราจะไปหาซื้อซะอีก" แสนบอก
"แบบนี้ ต้องเรียกว่าเลขานำโชคใช่มั้ยครับด็อกเตอร์" เอกชัยถาม
ทุกคนหัวเราะกันอย่างเฮฮาเพราะต่างก็ดีใจที่ปัญหาผ่านพ้นไปด้วยดี อันยาต้องปั้นหน้า พยายามฝืนยิ้มพร้อมคิดในใจว่าทำไมมันเป็นแบบนี้
แสนบอกชาวบ้านกลุ่มใหญ่ซึ่งในนั้นมีทั้งพุฒ มาลี และแตงกวาที่หน้าตาเบิกบาน
"อย่างที่บอกไปนะครับ หินบดนี้ทางบริษัทเราได้มาฟรี เสียแต่ค่าขนส่ง ซึ่งทางบริษัทจะออกให้ เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราคนไหน อยากร่วมโครงการแก้ไขดินเปรี้ยวด้วยวิธีแกล้งดิน ขอให้มาลงชื่อไว้ได้เลยครับ"
ชาวบ้านซุบซิบกันอย่างพึงพอใจและพากันเข้าไปลงชื่อกับอันยาที่ถือเอกสารมาโดยที่สีหน้าอันยาไม่เบิกบานเหมือนแสนและพวกชาวบ้าน แต่เธอก็ต้องฝืนยิ้มไปตามหน้าที่
พุฒ มาลี และแตงกวามองคนที่มาลงชื่อกันอย่างดีใจ แล้วพุฒก็บอกแสน
"ขอบคุณนะครับด็อกเตอร์ แบบนี้ดีกว่าไปซื้อปุ๋ยเคมีเยอะเลย แค่ต้องรอดินเซ็ทตัวหน่อย แต่มันแก้ปัญหาได้ระยะยาว ค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าตั้งเยอะ"
"ดีแล้วล่ะครับ แล้วเป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ที่ลุงยังให้โอกาสผม" แสนบอก
"ตอนแรกก็เกือบเปลี่ยนใจแล้วล่ะค่ะ กลัวรอนานหนี้สินจะทับตัว" มาลีบอก
"แม่นี่ก็ ไว้หน้าพ่อบ้างสิ" พุฒว่า
มาลีไม่โกรธแต่ขำสามี แสนก็ไม่โกรธเช่นกัน
"ผมเข้าใจครับ" แสนลูบหัวแตงกวา "ดีใจมั้ยแตงกวา อีกหน่อยที่นาทั้งหมดของพ่อเราจะปลูกข้าวปลอดสารพิษได้เต็มนาแล้วนะ"
แตงกวากอดแสน "แตงกวาดีใจที่สุดเลยจ้ะ"
แตงกวาปลื้มแสน ครอบครัวของพุฒหน้าบานอย่างมีความสุข แสนก็เบิกบานไปด้วยที่ได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น โกมลและลูกน้องที่มองอยู่ไกลๆ มีสีหน้าไม่พอใจ
โกมลเดินดุ่มๆ เพื่อหนีภาพบาดตาที่พวกชาวบ้านไปทางแสนกันหมด
"จะทำยังไงกันดีครับ กำนัน พอเห็นว่าค่าใช้จ่ายถูก คนก็ไปทางนั้นกันหมด" ลูกน้องถาม
"เพราะฉันมีลูกน้องคิดไม่เป็นอย่างแกน่ะสิ !!เราถึงเสียท่าให้มัน" โกมลว่า
ลูกน้องชะงักแล้วก้มหน้างุด
"กำนันว่า นังเลขามันหักหลังเจ้านายมันจริงๆรึเปล่า ทำไมด็อกเตอร์แสนถึงยังหาปูนมาได้"
"ข้าก็ยืนอยู่กับเอ็งเนี่ย จะไปรู้เหรอ!”
โกมลเจ็บใจที่ต้องแพ้ให้แสนอีกครั้ง
คิมหันต์ไม่อยากจะเชื่อ
"นี่เราทั้งลงทุนเปลี่ยนปูน เจ๊ก็กีดกันด็อกเตอร์สารพัด ทุ่มสุดตัวกันขนาดนี้ยังจะแก้เกมได้อีกเหรอ"
อันยาถอนหายใจเพราะอยากจะบ้า
"ฉัน...ฉันก็ไม่รู้ ด็อกเตอร์ทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ย ยังไปได้วัสดุที่ดีกว่ามาอีก นอกจากไม่เสียเครดิต ยังได้หน้า โอ๊ย ฉันอยากจะบ้า!”
คิมหันต์ก็อยากจะบ้าไปด้วย
"ทั้งเฮงทั้งเก่ง นี่เค้าเป็นญาติกับไอน์สไตน์หรือเปล่า!”
อันยาปรี๊ดกว่าเดิม
"ถ้าเค้าโง่ จะเป็นด็อกเตอร์ได้ยังไงล่ะแก เฮ้อออ นี่ฉันจะทำยังไงดี จะบอกบอสยังไงดีบอสต้องไม่แฮปปี้แน่ๆถ้ารู้ว่างานนี้เราพลาด..แล้วจะให้โอกาสเราอีกรึเปล่า?”
คิมหันต์ฟังอันยาแล้วก็หนักใจไปด้วย
เอกชัยถือไมค์พูดอยู่ด้านหน้า พนักงานทุกคนมีหน้าตาสดชื่น บรรยากาศครึกครื้นและชื่นมื่นสุด ๆ
"ทุกคนวันนี้บอสสั่งลุย ฉลองความสำเร็จของทีมงานเพียงพอดีของเรา เอ้าพวกเรา ปรบมือให้คุณบุรินทร์กันหน่อย!!งานนี้ท่านฝากบอกผมมาว่า เชิญทุกคนกินให้เต็มคราบไปเลย"
พนักงานปรบมือแล้วเฮลั่นด้วยเสียงที่ดังมาก บุรินทร์ยิ้ม
"อะแฮ่ม แต่ก่อนจะอิ่มอร่อยกัน คงจะไม่เอ่ยถึงคนสำคัญไม่ได้ ด็อกเตอร์แสนกับคุณอัน เลขานำโชค ทั้งสองคนช่วยกันลุยโปรเจ็คท์แก้ดินเปรี้ยวได้อย่างสวยงาม แล้วทำให้มีชาวบ้านมาร่วมโครงการเพิ่มอีกเพียบ เอ้าพวกเรา ปรบมือ"
พนักงานปรบมือแล้วเฮลั่น
"ณ บัดนาว ได้เวลาสนุกสนานกันแล้ว และสำหรับผู้ที่มีความต้องการทาง....เพลง ผมขอเสนอผลงานเพลงมันส์ ๆ ให้พวกท่าน ได้แด๊นซ์กันเต็มที่ เอ้าจัดไป"
ว่าแล้วเอกชัยก็ทั้งร้องทั้งเต้นแบบมันเต็มที่ เพียงดาว เมขลา และลูกน้องคนอื่น ๆก็พากันสนุกไปด้วย บุรินทร์ยิ้มแล้วหันไปบอกแสนกับอันยา
"เต็มที่เลยนะ ผมอยากตอบแทนพวกคุณสองคน ที่เหนื่อยกับงานนี้มามาก"
แสนยิ้มบาง ๆ ส่วนอันยาปั้นหน้ายิ้มแต่แอบเซ็ง
เพียงดาว เอกชัย และเมขลานั่งใกล้กัน เอกชัยหันมามองแสนและอันยาก่อนจะหันมาพูดกับเมขลา
"ยิ่งดู ผมก็ยิ่งรู้สึกว่า ด็อกเตอร์กับคุณอัน เหมาะสมกันสุด ๆเลย ว่ามั้ย"
เมขลาหันไปมองอันยากับแสนตามเอกชัยก่อนจะพยักหน้า
"ว่าง ๆ ไปเช็คสายตาบ้างนะเอกชัย ดูยังไง ด็อกเตอร์ก็ไม่เหมาะกับแม่เลขานั่นสักนิด" เพียงดาวพูดกับเมขลา "เธอว่ามั้ย?”
เมขลายิ้มแหยๆ แต่ไม่กล้าตอบ เอกชัยไม่ยอมแพ้
"ตรงไหนที่เจ๊ว่าไม่เหมาะ?”
เพียงดาวตอบทันที "ทุกตรง!! ด็อกเตอร์ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งดี เพอร์เฟ็ค! ส่วนแม่นั่นไม่เห็นจะดีสักอย่างรสนิยมการแต่งตัวก็ประหลาด รสนิยมการคบผู้ชายยิ่งแย่" เพียงดาวพูดกับเมขลา "เนอะ!”
เมขลาทำหน้าไม่ถูกจึงได้แต่ยิ้มแหย ๆ ต่อไป
"แต่ผมว่า ผู้ชายสีพื้น ๆ อย่างด็อกเตอร์ เหมาะกับผู้หญิงสีลูกกวาดอย่างคุณอันที่สุด!ใช่มั้ยจ๊ะน้องเม?”
เมขลายิ้มๆให้เอกชัยอีก เพียงดาวเห็นแล้วหงุดหงิด
"นี่ตกลงเธออยู่ข้างไหนกันแน่ยะ?”
เมขลามองเพียงดาวที มองเอกชัยทีแล้วก็ตอบไม่ถูก จึงได้แต่ยิ้มแหย ๆ อีก
"เมไม่เลือกข้างได้มั้ยคะ?”
เพียงดาวมองค้อนเมขลาวงใหญ่ ส่วนเอกชัยยิ้มขำ ๆ
"ผมไปร้องเพลงดีกว่า"
อันยากระดกค้อกเทลหมดจนแสนมองอย่างเป็นห่วง เอกชัยร้องเพลงจบพอดี พนักงานปรบมือให้ เอกชัยโค้งรับก่อนจะประกาศผ่านไมโครโฟน
"ขอเชิญคุณอันยามาร้องเพลงให้พวกเราสักเพลงนะครับ"
อันยากำแก้วค้อกเทลในมือแบบไม่มีอารมณ์จึงโบกมือปฏิเสธ
"เอ้า ใครอยากฟังคุณอันยาร้องเพลง ปรบมือ!” เอกชัยประกาศ
พนักงานเฮลั่นและปรบมือกันยกใหญ่ อันยางงที่ปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ บุรินทร์เองก็หันมาขอ
"ร้องสิอันยา ผมก็อยากฟังเหมือนกัน"
บรรดาพนักงานตะโกนเชียร์กันใหญ่
"ร้องเลย!! ร้องเลย!”
อันยาโดนกดดันจนไม่มีทางเลือก เธอจำต้องลุกขึ้นไปรับไมโครโฟนจากเอกชัย
"ในเมื่อทุกคนขอมา ได้ ฉันจัดให้!”
อันยาเลือกเพลง ทุกคนตั้งใจฟัง แสนยิ้ม ๆ และมองตาม อันยาเริ่มร้องเพลงแสงสุดท้าย ของบอดี้สแลมด้วยอาการอินมาก
"รอนแรมมาเนิ่นนานเพียงหนึ่งใจ กับทางที่โรยเอาไว้ด้วยขวากหนามสุดแหลมคม ทิ่มแทง จนมันแทบจะทนไม่ไหว ชีวิต ถ้าไม่ยากเย็นขนาดนั้น สองมือจะมีเรี่ยวแรงขนาดไหน
แต่หัวใจของคน ยังยืนยันจะไม่ถอดใจ"
พนักงานเฮกัน
"ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาว อยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป ยังคงมีรักแท้ เป็นแสงนำไปในคืนที่หลงทาง วัน เวลาไม่เคยจะหยุดเดิน ไม่ว่าอะไรเราคงต้องเดินไปกับมัน เก็บทุกความผิด พลั้งเป็นคำเตือนให้เราเข้าใจ"
เอกชัยแปลกใจ
"เจ๋งอ่ะ นึกว่าจะร้องเพลงรักใสๆ เล่นร็อคเลย หญิงเหล็กจริงๆ"
"แปลกนะคะ มาฉลองความสำเร็จ ทำไมอันโกะกลับร้องเพลงเหมือนปลอบใจตัวเอง ยังไงไม่รู้" เมขลาว่า
"เฮ้อ เพลงอะไรฮิต แม่นั่นก็ร้อง ไม่มีอะไรหรอกน่ะ" เพียงดาวบอก
อันยายังคงอินน์กับเพลงอย่างต่อเนื่อง
"คืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไปยังคงมีรักแท้ เป็นแสงนำไปในคืนที่หลงทาง...กับที่ๆความฝันนั้นพร้อมเป็นเพื่อนตาย เส้นทางนี้ ฉันยังมีจุดหมาย ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไร จะไปจนถึงแสงสุดท้าย"
อันยาทุ่มร้องสุดตัวกับเนื้อเพลงที่จี๊ดสุดใจ
อันยาร้องจนจบเพลง พนักงานปรบมือให้กำลังใจเสียงดัง อันยาวางไมโครโฟนแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะก่อนจะยกคอกเทลขึ้นดื่มต่อแบบกรึ๊บเอา ๆ แสนมองอย่างเป็นห่วง
"พอเถอะ ผมว่าคุณเริ่มเมาแล้ว"
"ไม่เมาๆ แค่นี้สบายมาก" อันยาบอก
อันยาว่าแล้วก็ดื่มต่ออย่างไม่สนใจคำเตือน
ทวยเทพนั่งกินอาหารคนเดียวด้วยสีหน้าเซ็งมาก ในที่สุดทวยเทพก็วางช้อน กดโทรศัพท์หาอันยา แต่ไม่มีคนรับสาย
"จะไม่รับสายไปถึงไหนเนี่ย อันนะอัน” ทวยเทพว่า
ส่วนอันยากอดชักโครก อาเจียนอยู่ในห้องน้ำ โดยมีเมขลาลูบหลังอยู่ใกล้ ๆ
"ไหวมั้ยอันโกะ?”
"หวาย สบายมาก!”
พูดจบอันยาก็ก้มลงอาเจียนต่อ เมขลาส่ายหน้า
บุรินทร์รับไหว้ พนักงานที่ยกมือไหว้ก่อนกลับ ทุกคนทยอยเดินกันออกไป บุรินทร์หันไปถามเพียงดาวกับเอกชัยที่ยืนรอ
"อันยาเป็นยังไงบ้าง?”
"เมาเละอยู่ในห้องน้ำน่ะค่ะ เฮ้อ ผู้หญิงสมัยนี้ ไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย ! นี่ด็อกเตอร์กับยัยเมช่วยดูแลอยู่ค่ะ" เพียงดาวบอก
บุรินทร์พยักหน้า "เค้าคงดูแลกันได้ ถ้างั้นผมกลับล่ะ ขับรถกลับบ้านกันดี ๆ นะ"
เพียงดาว เอกชัย และเมขลายกมือไหว้ บุรินทร์เดินออกไป แสนประคองอันยาเดินออกมา เมขลาเดินตามมาติด ๆ
"ทุกคนกลับเถอะครับ ผมไปส่งอันยาที่บ้านเอง" แสนบอก
แสนประคองอันยาเดินออกไป ทุกคนมองตาม
"ทำไมต้องดื่มจนเมาไม่ได้สติขนาดนั้น ดูสิเป็นภาระของด็อกเตอร์เลย แม่นี่ไม่ไหวจะเคลียร์จริง ๆ"
"ด็อกเตอร์คงไม่ได้มองคุณอันเป็นภาระหรอกเจ๊ ดูท่าทางเต็มใจดูแลออก บอกแล้วว่าคู่นี้เหมาะกัน" เอกชัยบอก
"ยิ่งเห็นสภาพแม่อันยาแบบนี้ ฉันก็ยิ่งยืนยันคำเดิมว่าไม่เหมาะ!! ที่ด็อกเตอร์ดูแล เป็นเพราะสมเพชแม่นั่นต่างหากล่ะ"
เอกชัยส่ายหน้าในความอคติของเพียงดาว
แสนขับรถแต่คอยเหลียวมองอันยาที่กำลังร้องเพลงทั้งเมา ทั้งมันส์ในอารมณ์อยู่คนเดียว
"จะไปให้ถึงแสงสุดท้าย"
อันยาร้องจบก็หลับลงไปอีก แสนหันมามองอันยาแล้วอมยิ้ม อันยาหลับคอค่อย ๆ พับงอในท่าทางที่ดูไม่ค่อยสบาย
แสนค่อย ๆ เบี่ยงรถจอดข้างทางแล้วขยับเข้าไปกดเบาะเอนให้อันยา เขาค่อย ๆ ประคองคอของเธอให้หลับดี ๆ ในขณะที่อันยายังหลับไม่รู้เรื่อง แสนเผลอมองเธอจนเพลิน อันยายังหลับในขณะยกมือขึ้นกอดอก
"หนาว...” อันยาเปรยออกมา
แสนได้ยินก็หันไปหรี่แอร์ แล้วเอื้อมมือไปหยิบเสื้อแจ็คเก๊ตที่เบาะหลังมาห่มให้อันยา อันยามีสีหน้าดีขึ้นและหลับสบายขึ้น แสนอมยิ้ม แล้วอันยาก็เผลอพึมพำละเมอออกมา
"ทำไมมันยากแบบนี้..จะทำยังไงดี...”
แสนค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้เพื่อตั้งใจฟังว่าอันยาจะพูดอะไร
ทวยเทพนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ เขายกนาฬิกาขึ้นดูอย่างหงุดหงิด
"ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่กลับอีก! โทรศัพท์ก็ไม่รับ! โอ๊ย! จะเอายังไงของเค้าเนี่ย"
ทวยเทพไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
แสนพยายามเงี่ยหูฟังว่าอันยาพึมพำอะไร
"อันยา คุณว่าอะไรนะ?”
อันยาเพ้ออกมา "พัง...พังหมดแล้ว"
แสนตั้งใจฟัง
"ทำไงดี? ด็อกเตอร์แสนทำไมคุณถึง..”
แสนชะงัก เมื่อได้ยินอันยาพูดถึงชื่อตัวเอง
"ถึง...”
แสนลุ้นรอฟังอย่างสนใจมากๆ
"โชคดีแบบนี้...” อันยาโพล่งออกมา
"โชคดี ?”
"โชคดีเกินไป...โชคดีเกินไปแล้ว"
"หมายความว่ายังไง ?”
แสนถอยออกมามองอันยาที่เพ้ออย่างครุ่นคิดเพราะยังไม่เข้าใจความหมาย
ทวยเทพเดินวนไปวนมาแล้วก็นั่งลงอย่างหงุดหงิด แสนกำลังประคองอันยาเข้ามาที่หน้าคอนโด ทวยเทพดูนาฬิกาแล้วหงุดหงิด เขาตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปจากล็อบบี้ก่อนจะชะงักทันที
"อัน!!”
อันยาที่มีแสนประคองอยู่ค่อย ๆ เงยหน้ามองอย่างสะลึมสะลือก่อนจะหลับไปอีก
ทวยเทพมีสีหน้าสงสัยก่อนจะรีบจ้ำเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แสนประคองอันยาเข้ามาในล็อบบี้ทางด้านหน้า ในขณะที่ทวยเทพเดินออกจากฝั่งด้านข้างของล็อบบี้ ทั้งสองฝ่ายเดินสวนกันแบบฉิวเฉียดมากแต่มองไม่เห็นกัน แสนประคองอันยาเข้าลิฟต์ไป
ผู้หญิงที่แต่งตัวคล้ายอันยากำลังเดินไปที่รถ แต่ยังไม่ถึงรถก็โดนทวยเทพวิ่งไปคว้าแขนเอาไว้
"อัน !!”
ผู้หญิงคนดังกล่าวหันมา ทวยเทพตกใจจึงรีบปล่อยมือ
"ขอโทษครับ ผมทักคนผิด"
ผู้หญิงคนนั้นมองทวยเทพนิดนึงก่อนจะเดินไป ทวยเทพเซ็งมาก
"คงง่วงจนเบลอ อันต้องแต่งตัวจัดกว่านี้สิ"
ทวยเทพพูดจบก็หาวง่วง
"ไม่ไหวแล้ว กลับก่อนดีกว่า" ทวยเทพหันไปมองคอนโดอย่างฝากแค้น "งานนี้มีเคลียร์แน่อันนี่"
อันยาตื่นขึ้นมา มองซ้ายมองขวาพอเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ที่โซฟาก็แปลกใจ
"เรามานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
แสนเดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูชุบน้ำ เขาเอามายื่นให้อันยา
"เช็ดหน้าเช็ดตาสิครับ จะได้ดีขึ้น"
อันยารับผ้าขนหนูมามองแสนอย่างงงๆ แสนเลยอธิบาย
"คุณเมามาก ผมก็เลยขับรถมาส่ง"
อันยาพยักหน้าด้วยท่าทางที่ยังมึน ๆ
"ผ้าน่ะ ผมให้เอามาเช็ดหน้านะครับ ไม่ใช่เอามาถือไว้"
อันยาพยักหน้าหงึก ๆ แบบมึน ๆ แสนเลยเข้าไปดูอาการใกล้ ๆ
"คุณโอเครึเปล่า? อยากอาเจียนอีกมั้ย?”
อันยาส่ายหน้าแล้วก็พยายามคลี่ผ้าออกพับแต่ผ้าหลุดมือ แสนก้มลงเก็บให้พอดีกับที่อันยาก็ก้มลงเก็บเหมือนกัน สองคนเงยหน้าขึ้นมาในลักษณะที่หน้าใกล้กันมาก ด้วยความเมาอันยาจึงมองแสนอย่างไม่สะเทิ้น แต่แล้วแสนกลับหลบสายตาจากอันยาและถอยห่างออกมา
"เช็ดหน้าซะสิ" แสนบอก
มือแสนที่ส่งผ้าให้อันยาแตะโดนมืออันยา โดยที่มือนั้นมีอาการสั่นไหวเบาๆ อันยาสังเกตได้ถึงปฏิกิริยานั้นแล้วก็ชะงักไป
แสนทำทีลุกขึ้นไปรินน้ำกิน เขาขยับมือตัวเองที่สั่นให้คลายด้วยท่าทางที่ดูไม่ปกติเท่าไหร่
อันยามองแสนอย่างจับสังเกต แม้จะเมาแต่ก็รู้สึกว่ามีต้องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ
อ่านต่อตอนที่ 5