xs
xsm
sm
md
lg

โดมทอง ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เนื่องจากละครเรื่อง "โดมทอง" มีการปรับ และเพิ่มบทใหม่  ทีมละครออนไลน์ จะแก้ไขเนื้อหาตั้งแต่ตอนที่ 11 -12 ใหม่เพื่อให้ตรงตามบทโทรทัศน์ของ "ภาวิต" มากที่สุด จึงขออภัยมา ณ ที่นี้

โดมทอง ตอนที่ 12

เย็นวันนั้น ปรางอยู่ในห้องรับแขก กำลังมองมายังอนิรุทธิ์ที่หอบของฝากจากทางเหนือเข้ามาให้ พลางส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี

“ซื้อมาทำไมเยอะแยะ...คราวก่อนน้ายังทานไม่หมดเลย”
“ทานไม่หมดเก็บใส่ตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้นี่ครับ” อนิรุทธิ์เยื้อนยิ้มอย่างสุภาพ
“แม่หนูของน้าเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“อ๋อ...ผมไม่ได้ไปหาวิหรอกครับ เพราะคราวนี้ไปเช้าเย็นกลับ”
สาวใช้เอาน้ำ และผลไม้มาวางให้แล้วออกไป
ปรางงง “อ้าว”
“แต่วิเขาก็คงสบายดีนั่นแหละครับ...ถ้าไม่สบายคงโวยวายกับผมแล้ว...” อนิรุทธิ์กระแอมเล็กๆ “คุณน้าครับ...คุณน้าพอจะมีรูปคุณย่าหรือไม่ก็คุณยายของวิไหมครับ...ผมอยากจะขอดูหน่อย”
“ทำไม มีอะไรหรือ” ปรางแปลกใจ
“คือ...ผมทราบมาว่า...วิหน้าตาเหมือนภรรยาน้อยของคุณปู่คุณอดิศวร์มาก...”
“มีจ้ะ” ปรางนิ่งคิด “วิรงรองหน้าตาเหมือนคุณพ่อ ซึ่งคุณพ่อเขาก็หน้าตาเหมือนคุณย่านั่นแหละ...รอเดี๋ยวนะ...น้าจะขึ้นไปเอารูปมาให้ดู...แต่ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้คนที่ “โดมทอง” นะ เพราะเท่าที่จำได้ ... ไม่เห็นคุณพ่อแม่หนูเล่าให้ฟังเลย”
ปรางเดินออกไป อนิรุทธิ์เอนตัวพิงพนัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ไม่นานต่อมาโทรศัพท์สายในบ้านที่วางบนโต๊ะรับแขกดังขึ้น ภูไทซึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ เอื้อมมือมาหยิบแล้วรับ
“ฮัลโหล”
อนิรุทธิ์กำลังขับรถมาตามทาง
“ผมเห็นรูปคุณย่ากับยายของวิแล้วละครับ”
ภูไทตื่นเต้น “เป็นไง...เหมือนน้องวิหรือเปล่า”
“วิเหมือนคุณย่าครับเจ้า...แต่ก็ไม่ใช่เหมือนราวกับคนๆ เดียวกัน”
“แล้วถามหรือเปล่าว่าท่านชื่ออะไร”
“ถามซิครับ...ท่านชื่อคุณย่ารสสุคนธ์! เป็นชื่อดอกไม้เหมือนกันเลยแต่คิดไปคิดมาผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าใช่วิคงจำได้แล้วตอนที่เห็นรูปคุณพลับพลึง”
“อาจจะไม่ใช่คุณย่าแท้ๆ แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็ได้”
“ผมถามหมดแล้ว…คุณแม่วิก็ไม่ค่อยทราบอะไรมากนัก เพราะไม่ค่อยสนิทกับทางญาติของคุณพ่อ...เห็นมั้ยครับเจ้าว่าชักจะมีอะไรลึกลับเหมือนกัน” อนิรุทธิ์บอก
“ก็น่าคิด...แต่ยัยน้องเขาบอกว่า...ท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึงอาจจะอธิษฐานมาเกิดใหม่เพื่อให้ได้สมหวังในชาตินี้”
อนิรุทธิ์ท้วง “ผมว่าดราม่าเกินไป”
“อ้าว! เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ”
อนิรุทธิ์หัวเราะ “มันอาจเป็นไปได้ทั้งสองทาง แต่ผมเชื่อทางวิทยาศาสตร์มากกว่า...คนเราถ้าหากเหมือนกันขนาดที่วิเล่าให้คุณพันธุ์สูรย์ฟังแล้วละก็ ... ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นพี่น้องกันชัวร์! เดี๋ยวให้วิสบายใจก่อนแล้วผมจะลองคุยเรื่องนี้ดูอีกที! ขอบคุณที่ฟังนะครับเจ้า”
“ขอบคุณเหมือนกันที่เล่าให้ฟัง! เราต้องร่วมมือกันพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้”
“โอเค ครับ”

อนิรุทธิ์ปิดมือถือ ภูไทวางสาย เอนตัวพิงพนักด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ดวงจันทร์วันแรม 1 ค่ำ ยังคงสว่างนวลเหนือยอด “โดมทอง” หมอกจางๆซึ่งลอยอ้อยอิ่งกระจายโดยรอบ ทำให้ทั้งคฤหาสน์มองเหมือนภาพแห่งความฝัน

ประตูบ้านเปิดออก สองคนก้าวออกมาโดยทั้งสองต่างมีไฟฉายกันคนละดวง ต่างปิดไฟเพราะแสงจาก
ดวงจันทร์สว่างพอ
ทั้งสองรีบเดินมาซ่อนตัวใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นเดิม
อดิศวร์ชะงักมองไปที่บริเวณตรงกับใต้หน้าต่างโดมเหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
วิรงรองมองท่าทีนั้นครู่หนึ่ง “คุณทำอย่างนี้ทำไมคะ”
“ทำอะไร” 2 คนเปิดฉากทะเลาะกันอีกจนได้
“ก็ที่ชวนฉันออกมาแอบมองคนขับรถม้าที่ไม่มีวันมา เพราะคนๆ นั้นก็คือคุณ”
“ที่คนๆ นั้นไม่ได้มา ก็เพราะเธอสร้างเรื่องขึ้นเองต่างหาก”
“ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม”
“ฉันพยายามหาคำตอบเรื่องนี้มานาน แล้วก็สรุปเป็นคำตอบเดียว”
วิรงรองมองเขม็ง รอฟัง
“เธอต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน”
วิรงรองมองอดิศวร์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

บริเวณหน้าโรงเก็บรถม้ามีหมอกจางๆ ม้วนตัวกระจายโดยรอบ ประตูค่อยๆ เปิดออก ท่านเจ้าคุณขับรถม้าออกมา แล้วตรงไปยังตัวบ้าน รถม้าลับไปในสายหมอก
อดิศวร์กำลังยื้อยุดฉุดมือวิรงรองไว้
“จะไปไหน”
“จะกลับเข้าบ้าน”
“อ้าว! แล้วไม่อยากดู คนขับรถม้าหน้าเหมือนฉันอีกเรอะ”
“ปล่อย”
วิรงรองสะบัดเต็มที่จนหลุด แล้วขยับจะวิ่งออกไป แต่ทั้งสองชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถม้าแล่นมาทางนี้
ทั้ง 2 คนหันกลับไปมอง เห็นท่านเจ้าคุณสรรักษ์ใต้เงาหมวกขับรถม้าตรงมา
วิรงรองและอดิศวร์ เหลียวมองตาม แล้วอดิศวร์ตัดสินใจวิ่งออกไปช้า เรียกไว้
“คุณ”
อดิศวร์ไม่ทันเห็นหน้าท่านเจ้าคุณด้วยหมวกบัง ท่านเจ้าคุณบังคับม้าแล่นเลยหายไปในสายหมอกที่ลงจัดขึ้น
อดิศวร์ยืนงง ในขณะที่วิรงรองวิ่งออกมาสบทบ
“เลยไม่รู้ว่า เป็นใครกัน”
“ฉันรู้”
อดิศวร์หันมามอง
“เขาเป็นคนที่คุณจ้างมาเพื่อให้ฉันเห็นว่าเป็นคนละคนกับคุณไงล่ะ”
อดิศวร์ฉุนจัด
“จะบ้าเรอะ ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม”
“คุณมันโรคจิต”
วิรงรองเดินไป อดิศวร์เดินตาม
วิรงรองเดินไปพูดบ่นบ้าไป “พอกันที! ฉันจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ฉันจะโทร. ให้ลานนามารับ”
“ฉันไปส่งให้ถึงที่เลยก็ได้”
วิรงรองหันขวับมามอง “จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”
“เธออยากไปบ้านเจ้าภูไทไม่ใช่เรอะ ในเมื่อไม่อยากอยู่ที่นี่ ฉันก็จะไม่บังคับ แต่ต้องให้ฉันไปตามสมให้ ปลุกพวกคนงานช่วยกันตามหา คนขับรถม้าเมื่อกี้ก่อน”
อดิศวร์เดินไป วิรงรองมองตามอย่างลังเล แล้วตัดสินใจตามไป

อดิศวร์และวิรงรองอยู่หน้าบ้านพักนายสม มองตามคนงานที่แยกกันออกไปตามหา
“เดี๋ยวก็จับได้ครับ ...ถ้าไม่หนีไปทางป่าละเมาะ”
“ไม่ได้ไปทางนั้นแน่! …ฝากดูด้วยนะสม...เดี๋ยวฉันกลับมา”
“ครับ...คุณลบ”
อดิศวร์หันมา แล้วเดินไปโดยไม่มองหน้าวิรงรอง “ไป”

วิรงรองเดินแกมวิ่งตาม

บริเวณ 2 ข้างทางเป็นแนวไม้ตะคุ่ม หมอกโรยตัวอยู่ทั่วไป รถแล่นมาเรื่อยๆ

ส่วนภายในรถ วิรงรองชะเง้อมองไปข้างหน้าพลางถอนใจเฮือกใหญ่
อดิศวร์ชำเลืองมองแวบหนึ่ง “ถอนใจทำไม”
“เมื่อไหร่จะถึงเสียที”
“หมอกลงอย่างนี้ ขับรถเร็วไม่ได้”
“ปกติบ้านลานนาไม่ได้อยู่ไกลขนาดนี้นี่คะ”
“ก็ตอนนี้มันไม่ปกตินี่! ใจเย็นๆ น่า...เดี๋ยวก็ได้เจอหน้าเจ้าภูไทแล้ว”
วิรงรองเม้มปากอย่างขัดเคืองใจ แต่ไม่ได้โต้ตอบ
อดิศวร์ขับรถไปเรื่อยๆ แล้วเลี้ยว วิรงรองหันขวับมามอง
“บ้านลานนาไม่ได้เลี้ยวไปเลี้ยวมาแบบนี้นี่”
อดิศวร์ตีหน้าตาย “งั้นฉันคงหลงทาง”
วิรงรองไม่พอใจหันขวับมามอง “เอ๊ะ”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา ฉันไม่ค่อยได้ขับรถกลางคืนมานานแล้ว”
อดิศวร์เลี้ยวรถกลับ
“คุณจะกลับไปไหน”
“ก็เรามาจากไหนล่ะ”
วิรงรองกัดปากด้วยความโกรธสุดๆ “คุณบอกว่าจะไปส่งฉันที่บ้านเจ้าภูไท”
“เอ๊ะ! ฉันบอกอย่างนั้นเรอะ!...สงสัยจะเริ่มแก่แล้ว...ลืมโน่น ลืมนี่เรื่อย” อดิศวร์ตีรวน
วิรงรองสุดจะทน “คุณแกล้งทำเป็นลืมต่างหาก! คุณเจตนา”
อดิศวร์เบรครถจอดทันที หันมาหาสองมือจับไหล่วิรงรองบีบแน่น
“ฉันแกล้งลืม! ฉันเจตนา”
วิรงรองนิ่งงันไป ด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวจริงจังของอดิศวร์นั้น
“มีใครที่ไหนบ้างจะยอมให้ตัวเองโดนหัวเราะเยาะ! คิดว่าการกระทำของตัวเองน่ะดีแล้วเรอะ! เป็นสาวเป็นนางไม่พอใจอะไรก็เที่ยวได้โทรศัพท์ให้คนอื่นมารับดึกๆ ดื่นๆ ต้องเดือดร้อนมาถึงฉัน”
“เท่าที่จำได้! ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าให้คุณมาส่ง” วิรงรองโต้มีอารมณ์เช่นกัน
อดิศวร์กระแทกเสียงใส่ “รู้ละว่าเก่ง! เก่งเสียจนไม่คิดว่าชื่อเสียงตัวเองจะเสียหายยังไง”
“เสียหายยังไงไม่ทราบ” วิรงรองย้อน ไม่ยอมแพ้
“อ้อ! นี่ยังไม่รู้ตัวอีกเรอะ”
“เจ้าภูไทเป็นเหมือนพี่ชายของฉัน! เขาไม่มีวันเข้าใจฉันไปในทางไม่ดีเด็ดขาด...ไม่เหมือนคุณที่สมองเต็มไปด้วยแผนการณ์ที่น่ารังเกียจและเห็นแก่ตัวสารพัด”
มือของอดิศวร์ที่บีบต้นแขนวิรงรองแน่นค่อยๆ คลายลง มือข้างที่ข้อศอกพาดกับพนักยกขึ้นเสยผมรุ่ยร่าย
ของวิรงรองให้เข้าที่ แล้วก้มหน้าลงมา
“เหลวไหล”
ขาดคำอดิศวร์ก้มลงจูบวิรงรองด้วยความรู้สึกหวงแหน

ไม่นานต่อมาประตูเปิดออก วิรงรองเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงเบาๆ ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง แล้วล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ นึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้

อดิศวร์เงยหน้าจากวิรงรอง แล้วเรียกด้วยเสียงอ่อนโยน
“วิรงรอง”
วิรงรองผละตัวจากอดิศวร์ไปเบียดชิดประตู
“กลัวฉันหรือ”
“เปล่าค่ะ...แต่...”
“ถ้าไม่กลัวก็ไม่ต้องหนีซิ! ฉันทนปล่อยให้เธอไปหาเจ้าภูไทไม่ได้หรอก”
“แล้วทำไมคุณอดิศวร์ถึงต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องประกาศหมั้นทั้งๆ ที่คุณเกลียดฉัน”
“ไม่มีผู้ชายคนไหนที่เกลียดผู้หญิง แล้วประกาศหมั้นด้วยหรอก”
“งั้นก็เพื่อแผนการที่แยกฉันจากพิชญ์”
“ฉันกลัวว่า ผู้ชายทุกคนจะแย่งเธอไปจากฉันต่างหาก” อดิศวร์บอกความในใจ

ภาพเหล่านั้นเลือนหายไปวิรงรองฟุบหน้าลงกับหมอน แล้วพลิกกลับด้วยสีหน้าแววตาเป็นประกายสดใส นึกถึงเหตุการณ์ต่อมา
อดิศวร์ขับรถมาจอดหน้าบ้าน วิรงรองขยับจะเปิดประตู มืออดิศวร์วางทาบมือข้างนั้นของวิรงรองไว้อย่างอ่อนโยน
สมและคนงานซึ่งขยับจะเข้ามารายงาน แต่พอเห็นอดิศวร์ยังไม่ลงจากรถ ก็เลยขยับถอยออกไปตามเดิม
“ฉันรู้ว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของฉัน... แต่ถ้าเธอลองนึกดูดีๆ คงจำได้ว่า ฉันเคยขอแต่งงานกับเธอ”
“คุณอดิศวร์พูดเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ” วิรงรองท้วง
“สำหรับผู้ชาย คำว่า “แต่งงาน” เป็นสิ่งที่พูดได้ยากที่สุด...เมื่อฉันขอเธอแต่งงาน ก็หมายความว่าฉันต้องการอย่างนั้นจริงๆ มันอาจจะฟังดูหยาบคาย...ไม่อ่อนหวานน่าฟังเหมือนที่คนอื่นพูด แต่ก็อย่างที่บอก...ฉันหมายความว่าพร้อมแล้วสำหรับคำนั้น”
สีหน้าแววตาของอดิศวร์ขณะบอกดูอ่อนหวาน แต่แน่วแน่

วิรงรองลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แล้วเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า ดวงจันทร์ดวงเดิมดูจะสว่างนวล และสวยงามเป็นพิเศษ สีหน้าแววตาวิรงรองเต็มตื้นไปด้วยความสุข

ด้านอดิศวร์ยังอยู่กับสม และคนงาน
“แน่ใจแล้วนะว่าค้นดูจนทั่วแล้ว”
“ครับ...ไม่มีร่องรอยของรถม้าคันที่คุณลบบอกเลย”

อดิศวร์นิ่งคิด แล้วรีบเดินไป สม และคนงานเดินตาม

ประตูโรงเก็บรถม้าเปิดออก อดิศวร์ก้าวเข้ามา แล้วดึงไฟฉายจากสมมาฉายกราดดูทั่วๆ

สมหันไปขอไฟฉายจากคนงานอีกคน แล้วทั้งหมดช่วยกันค้นหาไปทั่ว
อดิศวร์ฉายไฟมาหยุดที่รถม้าโดยบังเอิญ ยืนมองครู่หนึ่ง แล้วเดินมาใกล้ๆ สมตามมาสมทบ
อดิศวร์ฉายไปที่แต่ละส่วนอย่างพิจารณา
“คุณลบคิดว่าเป็นคันนี้หรือครับ”
อดิศวร์ไม่ตอบคำถามของสม ทรุดลงสำรวจที่ล้อ แล้วชะงัก เมื่อใช้มือไปหยิบใบไม้ใบหนึ่งยังสดอยู่เหมือนเพิ่งไปเกี่ยวติดมา
สมมีสีหน้าตกใจและประหลาดใจ
อดิศวร์ลุกขึ้น สมลุกตาม
อดิศวร์ยังคงมองใบไม้ในมือด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ภายในห้องอาหาร โอบอ้อมยกอาหารเช้าเข้ามาเสิร์ฟให้แสง และอุษาก่อน
“นี่ยังไม่มีใครลงมาเลยหรือ”
“คุณอุษากำลังคั้นน้ำส้มค่ะ ส่วนคุณลบกับแม่นั่น”
โอบอ้อมชะงัก เบิกตากว้างมอง แสงแขหันไปมองตาม แล้วกัดปากแน่น
อดิศวร์เดินเข้ามาคู่กับวิรงรอง โดยวิรงรองนั้นก้มหน้าก้มตาเหมือนขัดเขินเมื่ออดิศวร์เอื้อมมือมาแตะที่
เอวด้านหลัง ส่วนอดิศวร์มีสีหน้าแววตาดูมีความสุขแบบคนอินเลิฟ
อุษาถือถาดวางน้ำส้มเข้ามา 3 แก้ว ถึงกับชะงักไปเช่นกันเมื่อเห็นภาพนั้น
อดิศวร์เลื่อนเก้าอี้ให้วิรงรองนั่ง ขณะที่อุษาเดินเข้ามาวางแก้วน้ำส้มลงบนโต๊ะ ตรงหน้าวิรงรอง แสงแข และตัวเอง
อดิศวร์หันมองโอบอ้อมซึ่งยังยืนตาโตอยู่ “โอบ”
“ขา”
“มองอะไร”
โอบอ้อมยิ้มแห้งๆ แล้วเข้าไปในครัวเพื่อยกอาหารอีก 2 ชามออกมา
แสงแขก้มหน้าลง น้ำตาหยดแล้วลุกขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
แสงแขลุกเดินเช็ดน้ำตาออกไป อุษามองตามอย่างเห็นใจ ขณะที่วิรงรองมีสีหน้ากังวลเหมือนรู้สึกผิด
โอบอ้อมยกชามข้าวต้มมาวางให้อดิศวร์ และวิรงรอง แล้วเดินออกไปเงียบๆ
อดิศวร์มองอุษาและวิรงรอง “เป็นอะไรไปล่ะ”
สองสาวลงมือทานอาหารเงียบๆ อดิศวร์ทานเช่นกัน

แสงแขเดินแกมวิ่งเปิดประตูห้องเข้ามา เอนหลังพิงประตู น้ำตาไหลพรากๆ ค่อยๆ เลื่อนตัวลงมากองตัวงอกับพื้น สะอึกสะอื้นเหมือนใจจะขาด

ขณะเดียวกันอุไรกำลังเลื่อนโต๊ะที่ท่านผู้หญิงทานซุปกับขนมปังเสร็จ มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วประตูเปิดออก อุษาเดินเข้ามาพร้อมถาดวางน้ำผลไม้ปั่น
“แสงแขล่ะ”
“แสงแขไม่ค่อยสบายค่ะ...อุษาเลยปั่นแอปเปิ้ลปั่นมาให้แทน”
“สำออยละซี”
อุษาไม่ตอบ แล้วหันไปพยักหน้ากับอุไร อุไรยกถาดอาหารออกไป
“เจ้าลบมันตาต่ำ...ใจดำเหมือนปู่มัน”
อุษาก้มหน้าฟังท่านผู้หญิงด่าเงียบๆ
“ต่อให้กำจัดนังผู้หญิงสารเลวนั่นไปได้...คนอย่างนั้นก็ไม่มีวันที่จะกลับมาเห็นอกเห็นใจเรา”

ที่ทุ่งดอกพลับพลึง แลเห็นดอกพลับพลึงไหวตามลม เหมือนหญิงสาวกำลังร่าเริง อดิศวร์จูงวิรงรองเดินเข้ามาตรงนั้นช้าๆ สีหน้าทั้งสองดูรื่นรมย์กับภาพตรงหน้า
วิรงรองพูดขึ้นในที่สุด “น่าสงสารคุณแสงแขนะคะ”
“แสงแขต้องยอมรับความจริง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะหลอกตัวเองอยู่เรื่อยไป”
วิรงรองทอดถอนใจ
“แล้วเธอล่ะ ลืมพิชญ์ได้สนิทหรือยัง”
วิรงรองมีสีหน้าครุ่นคิด ตริตรอง ขณะพูด “เขาเป็นของคุณพิณทองค่ะ” หญิงสาวเว้นไปอีกนิดหนึ่ง “เราผูกพันกันมานาน...แต่ดิฉันคิดว่า สักวันหนึ่งคงจะลืมเขาได้สนิท”
สีหน้าอดิศวร์ขรึมลง
“ฉันจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น”
จากนั้นอดิศวร์ก็จูงมือวิเดินเข้าไปในทุ่งพลับพลึงนั้น

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง อดิศวร์กับวิรงรองเดินกลับเข้ามาในบ้าน โดยวิรงรองหอบช่อพลับพลึงมาหอบใหญ่
แสงแขเดินตรงเข้ามาหา หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้ ถึงแม้จะล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว
“ฉันจะเอาไปจัดแจกันให้ค่ะ”
วิรงรองแปลกใจแว่บหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ”
แสงแขรับช่อดอกพลับพลึงเดินไป
“เขาคงพยายามทำใจ” อดิศวร์ว่า
“นั่นยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกไม่ดีขึ้นไปใหญ่”
“ไม่เอาล่ะ...มาพูดเรื่องของเราดีกว่า”

อดิศวร์พาวิรงรองเดินไปช้าๆ

อ่านต่อหน้า 2

โดมทอง ตอนที่ 12 (ต่อ)

ประตูห้องโถงบรรพบุรุษ เปิดออก อดิศวร์พาวิรงรองเดินเข้ามา แล้วพาไปยืนหน้ารูปท่านเจ้าคุณ

“ฉันจะให้ช่างวาดรูปคุณย่าน้อยขึ้นมาใหม่ โดยให้เธอเป็นแบบ...แล้วเอามาวางไว้คู่กับคุณปู่...ท่านจะได้ไม่เหงา”
วิรงรองกอดอกเหมือนหนาวยะเยือกกับสายตาท่านเจ้าคุณในภาพที่มองมา “ในนี้เย็นจัง”
อดิศวร์หันมามองอย่างเป็นห่วง “จะไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ...อยู่ดีๆ ก็เย็นขึ้นมาเฉยๆ คุณอดิศวร์ไม่รู้สึกอะไรหรือคะ”
“ก็ปกติดีนี่”
วิรงรองลูบแขนตัวเอง
“ถ้าเย็นก็ออกไปข้างนอกกัน”
“ค่ะ”
อดิศวร์พาวิรงรองเดินออกไป โดยไม่เห็นว่า รูปท่านเจ้าคุณจ้องมองตามสองคนราวกับมีชีวิต

เวลานั้น พิณทองอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ เวลานี้อยู่ในห้องกำลังคุยสายกับอดิศวร์ ซึ่งโทร.มาหาจากห้องทำงาน
“พิณดีใจจริงๆ ค่ะ ที่น้าลบเข้าใจกับคุณวิรงรองได้เสียที...แล้วนี่จะแต่งงานเมื่อไหร่คะ” แววตาพิณทองเป็นประกาย
“คงต้องรออีกสักพัก…น้าคิดว่าวิรงรองยังไม่พร้อม...กว่าจะเข้าใจกันได้ก็แทบแย่”
“แต่ก็คุ้มนะคะ”
“แล้วคุณพิณล่ะ”
พิณทองฝืนทำเสียงแจ่มใส “ก็เรื่อยๆ ค่ะ น้าลบไม่ต้องเป็นห่วง ว่าแต่น้าลบกับคุณวิจะมาให้พิณเลี้ยงแสดงความยินดีเมื่อไหร่คะ”
“ทีแรกก็คิดว่าเร็วๆ นี้ พอดีคุณย่ายังเพิ่งค่อยยังชั่ว น้าลบเลยรอดูอาการอีกหน่อย น้าลบโทร.มาบอกแค่นี้แหละ ... น้าลบเอาใจช่วยคุณพิณกับสามีนะคะ”
สองคนวางสายไป

ภายในห้องอาหาร 3 คนกำลังทานข้าวเย็นด้วยกัน มีสาวใช้คอยบริการ
“อ้อ! เกือบลืมไปเลย” พิณทองเอ่ยขึ้น
“อะไรหรือลูก” พจน์ถาม
“วันนี้น้าลบโทร.มาค่ะ”
แก้ววางช้อนลง “โทร.มาว่าไง! เลิกกับนังวิรงรองแล้วเรอะ”
“คุณแก้ว...” พจน์ลากเสียงนิดหนึ่งเป็นเชิงตำหนิ “...เขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่...อย่าไปเรียกจิกเขา”
“แหม...เดือดร้อนแทนกันเชียวนะคะ”
พจน์ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย แก้วอ้าปากจะเอาเรื่องต่อ พิณทองรีบขัดขึ้นก่อน
“น้าลบคงจะมีข่าวดีกับคุณวิรงรองในเร็วๆ นี้แหละค่ะ”
สองคนหันมามองพิณทองเป็นตาเดียว พจน์ดูจะยินดี ในขณะที่แก้วไม่พอใจมาก
 
โดมทอง ตอนที่ 12 (ต่อ)
 
คุณหญิงแก้วรีบแจ้นมารายงานคุณหญิงวัชรีถึงที่บ้านแทบจะทันที
“อุ๊ยต๊ายตาย! นี่มันต้องทำเสน่ห์เล่ห์กลแน่ๆ คุณลบถึงได้เห็นผิดเป็นชอบ” วัชรีแดกดัน
“นั่นน่ะซีคะ! ทีแรกไอ้เราก็นึกว่า คุณลบหมั้นกับมันเพื่อจะกันตาพิชญ์ออกมา! ที่ไหนได้!... เฮ้อ”
“แล้วคุณแก้วจะปล่อยให้มันยึดน้องชายไปง่ายๆ อย่างนี้หรือคะ”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ! แก้วหาทางออกไว้แล้ว”
สาวใช้ยกเครื่องดื่ม และขนมมาบริการแล้วออกไป แก้วเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“จะโทร.ไปแสดงความยินดีกับมันหรือคะ...แล้วได้เบอร์มันมาจากไหน” วัชรีถาม
“ฮื้อ...คุณพี่ก็ แก้วอุตส่าห์แอบเอาเบอร์มันมาจากโทรศัพท์คุณพจน์”
แก้วจัดการกดโทรศัพท์หาวิรงรองทันที

โทรศัพท์มือถือของวิรงรองวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งดังขึ้น และดังอยู่พักหนึ่ง วิรงรองเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าแจ่มใส สูดลมหายใจสดชื่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ วิรงรองเดินไปเปิดแล้วชะงัก เมื่อเห็นแสงแขยืนอยู่ ส่งแจกันปักดอกพลับพลึงให้
แสงแขยิ้มให้ “ต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่แขถือวิสาสะเข้ามาเอาแจกันคุณวิรงรองไปปักดอกพลับพลึงให้ คือ...แขเห็นว่าของเมื่อวานชักจะเหี่ยวแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”
แสงแขยิ้มแล้วเดินไป วิรงรองปิดประตู แล้วเอาแจกันมาวางบนโต๊ะข้างหน้าต่าง แปลกใจนิดๆ
“แปลก...ยังไม่เห็นจะเหี่ยวเลย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก วิรงรองเดินมาหยิบขึ้นดู พึมพำออกมา
“เบอร์ใคร...สวัสดีค่ะ”
“นี่ฉัน...คุณแม่ของพิณทอง”
วิรงรองงงเล็กๆ “ค่ะ”
“ไม่ต้องสงสัยหรอกว่า ฉันได้เบอร์เธอมาได้ยังไง เพราะความลับไม่มีในโลก”
“คุณป้ามีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ”
แก้วโวยเสียงดังลั่น “ใครเป็นป้าแกยะ! อย่าสะเออะมานับญาติกับฉัน!...ที่โทร.มานี่ก็เพราะหนูพิณเล่าให้ฉันฟังว่า คุณลบหลอกแกสำเร็จ”
วัชรีพยักพเยิดเชียร์เต็มที่
“หนูพิณน่ะสุดแสนจะดีงาม...เขาเป็นห่วงแก ที่ถูกน้าชายลงทุนเสียสละบอกรักเพื่อจะได้ให้หนูพิณกับพิชญ์อยู่กันอย่างมีความสุขโดยปราศจากมารมาผจญ นี่แกกำลังฟังอยู่หรือเปล่า”
วิรงรองปิดสาย แล้วเม้มปากแน่น แก้ววางโทรศัพท์ลง
“มันปิดโทรศัพท์แล้วค่ะ สงสัยจะทนฟังไม่ได้”
“ไม่นึกเลยว่ามันจะเชื่อแผนลับ ... ลวง พรางของเราง่ายๆ พี่ยังคิดว่า มันอาจจะสงสัยบ้าง”
“แหม ก็มันระแวงอยู่แล้วไงคะ แค่มีอะไรไปสะกิด มันก็เชื่อเต็มที่เลย”
สองคุณหญิงต่างพออกพอใจกับแผนของตน

ภูไทและพันธุ์สูรย์กำลังนั่งประชุมกับหัวหน้าคนงานฝ่ายต่างๆ 4-5 คน ในออฟฟิศ

“คุณชูศักดิ์...คุณคิดว่ายังไง”
แต่ยังไม่ทันที่ชูศักดิ์จะตอบ ลานนาเปิดประตูเข้ามาหน้าตาตื่น
“พี่ชายคะ! ไปรับวิรงรองกันเถอะค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
ลานนารีบเดินออกไป ภูไทและพันธุ์สูรย์ลุกขึ้นพร้อมกัน
“พันธุ์สูรย์ ! ช่วยต่อให้ด้วยนะ”
“ครับ”
ภูไทรีบเดินออกไป ทุกคนมองตามงงๆ
“เอาละ ว่าไปเลย... คุณชูศักดิ์” พันธุ์สูรย์ดำเนินการประชุมต่อ

ภูไทขับรถออกจากบ้านพร้อมกับลานนา
“มันเรื่องอะไรกัน”
“น้องก็ไม่ทราบค่ะ...อยู่ดีๆ วิเขาก็โทร.ให้รีบไปรับเขา”
“แล้วคุณอดิศวร์ไม่ว่าอะไรหรือ”
“ก็ไม่ทราบอีกนั่นแหละค่ะ! แต่เดี๋ยวก็คงทราบ!”

วิรงรองลากกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเผชิญหน้ากับอดิศวร์ อุษาและแสงแข โดยที่แสงแขทำเป็น
เดือดเนื้อร้อนใจโดยแอบซ่อนความลิงโลดไว้
“นี่มันอะไรกัน” อดิศวร์ถาม
“ดิฉันจะกลับบ้านค่ะ! กรุณาอย่าขวางทาง”
อุษาตกใจ “น้องวิ”
“เธอจะไปฉันก็ไม่ว่า เพียงแต่ควรจะบอกเหตุผลกันก่อน”
“เหตุผลก็ทราบอยู่แก่ใจแล้ว”
แสงแขพูดเสียงอ่อนโยน “ถ้าทราบ คุณลบคงไม่ถามคุณวิรงรองหรอกค่ะ...ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันดีกว่านะคะ”
วิรงรองจ้องมองอดิศวร์เขม็ง “เหตุผลก็คือ ดิฉันเกลียดคนหลอกลวง...เกลียดคนตีสองหน้า”
วิรงรองลากกระเป๋าไปได้ 2-3 ก้าวแล้วหยุด
อดิศวร์ขบกรามแน่น แล้วยื่นมือออกมารับอย่างมีทิฐิ
วิรงรองมองอดิศวร์มองอย่างตัดพ้อ แล้วเดินมาลากกระเป๋าไป
อดิศวร์ยังคงยืนอยู่ในอิริยาบถเดิม อุษามองอย่างเห็นใจ
ขณะที่แสงแขลอบยิ้มเยาะขณะมองตามวิรงรองไป
อดิศวร์ยังยืนอยู่ที่เดิม ส่วนวิรงรองเดินลับตัวไปแล้ว

สมเปิดประตูให้ ขณะที่วิรงรองเดินออกไป ชนิดที่กลั้นน้ำตาเต็มที่
ภูไทลงมาเปิดประตูด้านหลังให้ วิรงรองพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วก้าวเข้าไปนั่งช้าๆ
สมเปิดประตูรอ ภูไทขับรถออกไป ลานนาหันไปมองเพื่อนแล้วหันกลับมา

อดิศวร์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองตามรถภูไทที่แล่นออกไป สีหน้าขรึมเศร้า รถแล่นห่างออกไปทุกทีๆ จนรถแล่นไปพ้นสายตา อดิศวร์ยังคงยืนนิ่งอย่างเดิม

แสงแขรีบคลานมาที่เตียงท่านผู้หญิงสรรักษ์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“คุณย่าขา! นังวิรองรองมันไปแล้วค่ะ”
อุไรสะดุ้งตกใจ
“นังพลับพลึงมันไปแล้ว” ท่านผู้หญิงถามย้ำ
“ค่ะ”
“ตาลบเฉดหัวมันไปยังงั้นเรอะ”
“แขก็ไม่ทราบหรอกค่ะ! แต่อยู่ดีๆ มันก็เก็บข้าวเก็บของ...คืนแหวนคุณลบ แล้วก็ไป”
“ดี! ไปเสียก็ดี! นังแสงแข!”
“ขา...”
“ต่อไปนี้ก็เป็นหน้าที่ของแกแล้วที่จะเอาชนะใจตาลบให้ได้ ตาลบกำลังเหงา...กำลังเสียใจ...ถ้าแกทำไม่สำเร็จก็อยู่เป็นสาวทึนทึกเป็นเพื่อนนังอุษาไปจนตายเถอะ”
แสงแขก้มหน้าครู่หนึ่ง แล้วเงยขึ้นด้วยดวงตาแน่วแน่
“แขจะทำให้ได้ค่ะ”

ด้านวิรงรองมาถึงคุ้มภูไท กำลังนอนขดตัว หน้าซึมเศร้าอยู่ในห้องพัก สีหน้าโศกเศร้าลึกซึ้ง น้ำตาไหลรินอาบแก้ม
จนสักพักหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วลานเปิดประตูเดินเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
“พี่ชายจองตั๋วให้ได้แล้วนะ ไฟล้ท์แรกวันพรุ่งนี้”
วิรงรองจับมือลานนาบีบ “ขอบใจมากนะลานนา”
“ไม่เป็นไร...เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่แล้ว”
ทั้งสองคนนั่งกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง
ลานนาลูบผม แล้วพูดขึ้นในที่สุด “อยากเล่าไหม”
วิรงรองส่ายหน้า น้ำตาซึมออกมาอีก
ลานนาบอกอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร...ยังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร”
น้ำเสียงวิรงรองปนสะอื้น “ขอบใจ”
ลานนาลูบผมวิรงรองอย่างปลอบโยน

ด้านอดิศวร์นั่งพิงพนักเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน มองแหวนหมั้นที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สักพักหนึ่ง จึงมีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“ใคร”
“แขเองค่ะ...แขจะมาดูว่า คุณลบต้องการอะไรหรือเปล่า”
“ไม่! ขอบใจ”
“แขจะอยู่แถวๆนี้นะคะ ถ้าคุณลบต้องการอะไร ก็เรียกใช้ได้เลย”
“ไม่ต้อง! ไปอยู่กับคุณย่าเถอะ”
“พี่อุษาอยู่กับคุณย่าแล้วค่ะ”
“บอกว่าไม่ต้อง”
แสงแขเม้มปากด้วยความน้อยใจ แล้วฮึดขึ้นมาใหม่

“ต้องให้เวลาคุณลบหน่อย! ฉันจะต้องทำให้ได้! คุณลบจะต้องเป็นของฉัน”

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบดึกสงัดของบริเวณคุ้มภูไท คืนนี้แลดูลึกลับมากกว่าทุกคืน และเหมือนมีใครคนหนึ่ง กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายนอกอย่างช้าๆ

วิรงรองนอนหลับสนิทอยู่ภายในห้องพัก...แสงจันทร์คืนข้างแรมอ่อนๆ สาดส่องเข้ามา
“พลับพลึง...พลับพลึง...พลับพลึง...” เสียงของเจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ร้องเรียกดังขึ้น เสียงนั้นแผ่วโหยเหมือนดังมาจากไกลๆ
วิรงรองขยับตัว เสียงนั้นเรียกกระชั้นขึ้น
“พลับพลึง ...พลับพลึง”
วิรงรองอยู่ในอาการกระสับกระส่าย พึมพำออกมา..ทั้งที่ตายังหลับ เหมือนคนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ใคร ..ใครเรียก”
ภาพรางๆ ของรถม้าท่านเจ้าคุณคันเดิมมาจอดที่หน้าต่างใต้โดมท่ามกลางเมฆหมอกผุดขึ้นในห้วงคิด
วิรงรองกระสับกระส่ายหนัด “ใคร...นั่นใคร”
“พลับพลึง...พลับพลึง” เสียงท่านเจ้าคุณเรียกอีก
วิรงรองค่อยๆ ลุกขึ้นเหมือนคนนอนละเมอ แล้วเดินไปที่หน้าต่าง โดยยังเห็นภาพรางๆ ของท่านเจ้าคุณรออยู่ใต้หน้าต่างโดม
“พลับพลึง”
วิรงรองเดินมาถึงหน้าต่าง แล้วชะโงกลงไปเบื้องล่าง เป็นจังหวะที่ลานนาเปิดประตูเข้ามา แล้วร้องลั่น
“วิ! วิรงรอง!”
ลานนาถลามาคว้าตัวไว้ท่าทางตกอกตกใจ
วิรงรองมองหน้าลานงงๆ “ลานนา”

ขณะเดียวกันอดิศวร์นอนหลับไม่สนิทนัก เสียงเพลง “นางครวญ” ดังขึ้นจากห้องข้างๆ เสียงดังเบาๆ
อดิศวร์ลืมตาตื่น เงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง แล้วลุกเดินออกไป

อดิศวร์ก้าวออกมาจากห้อง ปิดประตูลงเบาๆ ค่อยๆ เดินเงียบกริบมาที่ห้องวิรงรอง คล้ายมีเสียงเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้องราวกับมีคนอยู่
อดิศวร์เดินมาถึงหน้าประตู แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิด ด้วยสีหน้าตัดสินใจ
อดิศวร์เปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว มองเข้าไป… ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ นอกจากม่านที่ถูกลมพัด
“ใครมาเปิดหน้าต่าง”
อดิศวร์เดินมาปิดหน้าต่างแล้วรูดม่าน เหลียวงมองโดยรอบอีกครั้ง แล้วเดินออกไปก่อนจะปิดประตูตาม

ทางด้านลานนากำลังซักถามวิรงรองด้วยความประหลาดใจ
“ไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ”
“ไม่...แปลกจัง...ปกติวิก็ไม่ใช่คนนอนละเมอ...หรือว่า...”
วิรงรองคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เฉลียงบ้าน “โดมทอง” คืนวันนั้น
“อะไรหรือวิ”
“เปล่า...ไม่มีอะไร...ลานนาไปนอนเถอะจ้ะ”
“เรานอนเป็นเพื่อนไหม” ลานนาเป็นห่วง
“ขอบใจ ... แต่ไม่เป็นไร” วิรงรองยิ้มให้ พูดเย้าเพื่อนรัก “วิคงไม่กระโดดหน้าต่างลงไปหรอกน่า”
“บ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้ ไอ้เรายิ่งใจคอไม่ดีด้วย!”
วิรงรองลุกขึ้นจูงลานนาไปที่ประตู
“อย่าหาว่าไล่เจ้าของบ้านนะ! ไปนอนได้แล้ว!”
ลานนาเปิดประตูไม่วายกำชับ “มีอะไรก็เรียกนะ”
“ขอบใจจ้ะ”
ลานนาออกไป วิรงรองปิดประตู แล้วเดินไปที่หน้าต่างมองลงไป พบว่าทุกสิ่งอย่างเป็นปกติจึงปิดหน้าต่าง แล้วเดินกลับมานั่งบนเตียง ครุ่นคิดอยู่อีกพักหนึ่ง

บรรยากาศเช้านี้รอบอาณาบริเวณคุ้มภูไทสดชื่นสวยงาม ดอกกล้วยไม้และดอกไม้หลากพันธุ์ อวดตัวรับแสงแดด
ทุกคนเดินออกมาที่หน้าบ้าน โดยมีบัวคำลากกระเป๋าเดินทางของวิรงรองตามมา พลางร้องไห้กระซิกๆ
เจ้าภูไทกดรีโมทท้ายรถ บัวคำลากกระเป๋าสะดุดไปมา แล้วเอาไปวางในนั้น สะอึกสะอื้นไปเรื่อยๆ ราวกับตัวเองจะต้องเป็นคนจากไปเสียเอง !
ภูไทเรียกขึ้น “บัว”
“ขา”
“แกจะร้องไห้ไปทำไมฮึ”
“ใจหายค่ะ...คิดถึงคุณวิ...เห็นกันหลัดๆ” บัวคำพูดราวกับมีใครตาย
ภูไทกะลานนาร้องพร้อมกัน “เฮ้ย”
ลานนาฉุน “กลับเข้าไปข้างในเลยไป”
“บัว” ภูไทเสียงดุ
เจ้าพี่เจ้าน้องบอกพร้อมกัน “ไป”
บัวคำเดินคอตกกลับเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก
พันธุ์สูรย์เดินเข้ามาใกล้วิรงรอง “ขอให้คุณวิรงรองโชคดี...คุณตัดสินใจถูกแล้ว ที่ออกมาจากบ้านถูกสาปหลังนั้น”
“ขอบคุณค่ะ!...ขอให้คุณพันธุ์สูรย์โชคดีเช่นกัน” วิรงรองบอก
ภูไทเปิดประตูรถให้ วิรงรองขึ้นไปนั่ง ลานนาเปิดประตูไปนั่งตอนหลัง ภูไทสตาร์ทรถขับออกไป

พันธุ์สูรย์ยืนมองตามอย่างโล่งใจ

ขณะเดียวกันแสงแขกำลังช่วยประคองท่านผู้หญิงสรรักษ์ ซึ่งเช้าวันนี้ดูแจ่มใสสดชื่นมากกว่าทุกวัน

สักครู่หนึ่งอุษาเดินเข้ามาพร้อมกับถาดซุป ชะงักนิดหนึ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ โดยที่ประตูยังไม่ปิด
“คุณย่าจะไปไหนหรือคะ”
“จะไปกินข้าวเช้ากับตาลบ!...ยกกลับไป”
“ค่ะ”
“คุณย่ามีความสุขมากกว่าทุกวันเลยค่ะ...พี่อุษา” แสงแขว่า
แสงแขเข็นรถออกไป อุษายกอาหารตามไปเงียบๆ
ฟากอดิศวร์อยู่ในห้องทำงาน มีสีหน้าค่อนข้างอิดโรย กำลังขมักเขม้นทำงาน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ฉันยังไม่กิน” อดิศวร์ร้องบอกออกไป
“แต่คุณย่าจะรับประทานอาหารเช้ากับคุณลบค่ะ” เสียงแสงแขดังลอดเข้ามา
อดิศวร์นิ่วหน้า แล้วลุกเดินไปที่ประตู เปิดออก แสงแขยิ้มหวานขณะบอก
“คุณย่ารออยู่ที่ห้องทานข้าวแล้วค่ะ”
อดิศวร์พึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “คุณย่านึกยังไงขึ้นมา”
“เชิญคุณลบเลยค่ะ”
อดิศวร์ปิดประตูแล้วเดินไปทางห้องอาหาร แสงแขกระหยิ่มยิ้มย่องเดินตาม

สักครู่หนึ่งอดิศวร์เดินเข้ามาในห้องอาหาร ติดตามด้วยแสงแข
“มาเร็ว...ตาลบ...ย่าหิวเต็มทีแล้ว!…อุไร ! เอาซุปไป วันนี้ฉันจะกินข้าวต้มเหมือนหลานฉัน”
อุไรเข้ามายกถ้วยซุปออกไป อดิศวร์เข้ามานั่งทางด้านขวาของย่า
“แสงแขไปนั่งข้างๆ ตาลบ...อุษามานั่งทางนี้” หญิงชราจัดแจง
ทุกคนทำตาม โอบอ้อมยิ้มปลาบปลื้มแล้วหันไปยักคิ้วกับอุไร ซึ่งกำลังเสิร์ฟข้าวต้มให้กับทุกคน
“ฉันไม่เคยมีความสุขเท่ากับเช้าวันนี้เลย”
“ถ้าอย่างนั้น คุณย่าต้องรับประทานข้าวต้มให้หมดชามนะคะ” แสงแขฉอเลาะ
“สาระแนขึ้นมาทีเดียว”
แสงแขหน้าเสียด้วยความอับอาย
ทุกคนทานข้าวกันเงียบๆ กันไปครู่หนึ่ง
ท่านผู้หญิงจึงเอ่ยขึ้น “ลบ”
“ครับ...คุณย่า”
“ถ้าคิดจะมีเมียละก็...หาคนที่มันคู่ควรเหมาะสมกับเราให้มากที่สุดหรือถ้าหาไม่ได้ก็อย่ามีมันเสียเลย! อยู่เป็นโสดอย่างนี้สบายดีออก”
อดิศวร์ยิ้มรับนิดๆ ขณะที่แสงแขสะดุ้งเบิกตากว้างมองท่านผู้หญิง เช่นเดียวกับโอบอ้อม ซึ่งโดนอุไรเป็นฝ่ายยักคิ้วให้บ้าง
แสงแขขยับจะพูด แต่อุษารีบสะกิดเอาไว้
“ย่าอยากให้โดมทองเป็นอย่างที่เคยเป็น...ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงได้”
แววตาท่านผู้หญิงสรรักษ์ในขณะที่พูด เป็นประกายเจิดกล้า

เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง อุษาเข็นรถพาท่านผู้หญิงเข้ามาใน แล้วช่วยจัดให้นั่งบนเตียง
“เมื่อเช้าดอกมณฑาบานหลายดอก...คุณย่าจะให้เอามาปักแจกันไหมคะ”
“ไม่ต้อง! เอาไว้กับต้นนั่นแหละ... แล้วให้ใครไปตามเจ้าสมมาหาฉันหน่อย”
“ค่ะ”
อุษาเดินไปที่ประตู ขณะเดียวกับที่แสงแขเดินเข้ามา
อุษาชะงักเล็กน้อย “มีอะไร...แสงแข”
“ให้มันเข้ามาเถอะ” ท่านผู้หญิงบอก
อุษาเบี่ยงตัวให้แสงแขเข้าไป แล้วตัวเองหันมามองท่าทีลังเล
ท่านผู้หญิงดุ “ยังจะมองหาสวรรค์วิมานอะไรอีก! ออกไป!”
อุษารีบเดินออกไป แล้วปิดประตูลง
ท่านผู้หญิงมองแสงแขเยาะๆ “มีอะไรก็ว่ามา นังแสงแข”
แสงแขทรุดตัวลงคุกเข่า “ทำไมเมื่อกี้นี้ คุณย่า...”
“ถึงไม่บอกตาลบให้แต่งงานกับแกใช่ไหม”
“ค่ะ”
“เพราะตาลบ! ไม่ได้รักแก! เขายืนยันว่าแกเป็นน้อง และเขาไม่สามารถแต่งงานกับน้องได้...ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
สีหน้าท่านผู้หญิงขณะพูด ดูเจ้าเล่ห์แสนกล
“ซึ่งความจริงมันก็ถูกของเขา”
“แต่ตอนนั้น...ตอนที่วิรงรองอยู่...คุณย่าไม่ได้พูดอย่างนี้นี่คะ”
“ตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันเสียที่ไหน! แกยังพูดเองเลยว่า ตอนที่นังพลับพลึงมันยังอยู่...” หญิงชราเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว”
“หมายความว่า…”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์พูดสวนออกมาทันที “แกออกไปได้แล้ว! ฉันก็ไม่ได้อยากให้แกเป็นเมียตาลบนักหรอก!…แต่ถ้าเทียบกับนังพลับพลึง...แกยังมีภาษีกว่ามัน ... ฉันพอจะกล้อมแกล้มฝืนใจยอมรับได้”
“แล้วถ้านังวิรงรองกลับมาใหม่ล่ะคะ”
“นังหน้าโง่! มันไม่กลับมาหรอก! มันไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว! ไสหัวออกไป! ไป๊!”

แสงแขลุกขึ้นเดินออกไป กัดปากแน่น แค้นแทบกระอัก สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
 
อ่านต่อหน้า 3

โดมทอง ตอนที่ 12 (ต่อ)

ไม่นานนัก 2 บ่าวนายอยู่มุมเงียบๆ มุมหนึ่งในบ้าน

“เอ๊ะ! ท่านผู้หญิงไม่น่ากลับกลอกแบบนี้นะคะ” โอบอ้อมเอ่ยขึ้น
“นังแม่มดเฒ่าเจ้าเล่ห์! ฉันเกลียดมันนัก! อยากให้มันตายไปวันนี้...เดี๋ยวนี้”
“แล้วนี่คุณแขมิต้องหาทางให้แม่วิรงรองกลับมาใหม่หรือคะ เฮ้อ...กลุ้ม”
“ไม่ต้อง! ถ้ามันกลับมา ก็หมายความว่า คุณลบกับมันดีกันแล้ว...ซึ่งไม่เป็นผลดีกับฉันอีกเหมือนกัน! แล้วนังแม่มดนั่นก็ไม่ได้มีปัญญาจะขัดขวางเสียด้วย”
“แล้วงั้นจะทำยังไงล่ะคะ”
แสงแขมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ฝ่ายวิรงรองเดินทางมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ วางกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วโผเข้ากอดแม่น้ำตาไหล ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ประดังประเดขึ้นมา
สาวใช้รวบรวมกระเป๋าของวิรงรองขึ้นไปเก็บข้างบน
“แม่หนู...เกิดอะไรขึ้น จะกลับมาทำไมไม่บอกคุณล่วงหน้า”
“หนู...หนูคิดถึงคุณค่ะ”
“คิดถึงคุณแล้วทำไมร้องไห้” ปรางแปลกใจ
วิรงรองไม่ตอบ สะอื้นอยู่อย่างนั้น
“เอาเถอะ...ไม่สบายใจก็ยังไม่ต้องเล่า นี่คุณกำลังจะออกไปข้างนอก ไปด้วยกันไหมลูก...เดินดูอะไรต่อมิอะไรให้มันสบายใจ”
“หนูเหนื่อยค่ะ...คุณไปคนเดียวได้ไหมคะ”
“ทำไมจะไม่ได้...แม่หนูขึ้นไปพักเถอะ...เดี๋ยวคุณจะซื้อขนมมาให้”
วิรงรองกราบที่อกผู้เป็นแม่ “ขอบคุณมากค่ะ”
ปรางจูบหน้าผากลูกอย่างปราณี วิรงรองหอมแก้มแม่แล้วเดินขึ้นห้องไป
ปรางมองตามลูกสาวด้วยสีหน้ากังวล

ครู่ต่อมา วิรงรองเดินมาที่ประตู ขณะสาวใช้เดินออกมาพร้อมด้วยเสื้อผ้าเตรียมซักในอ้อมแขน
“พวกนี้ซักหมดใช่ไหมคะ”
“จ้ะ”
วิรงรองเดินเข้าประตูไป
สาวใช้มองตามแปลกใจ แล้วเดินลงไปชั้นล่าง

วิรงรองเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง น้ำตาซึมออกมาอีก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น วิรงรองเปิดกระเป๋า หยิบมาดู เป็นลานนาที่โทร.มา
“ลานนา...วิมาถึงบ้านแล้วจ้ะ”
ลานนา ภูไท และพันธุ์สูรย์ ในออฟฟิศคุ้มภูไท
“พักผ่อนให้สบายนะจ๊ะ...เย็นๆจะโทร.ไปหาใหม่...อ้อ! พี่ชายเป็นห่วงวิมากนะ”
ลานนาหยอดทิ้งท้าย ภูไทสะดุ้ง ขณะพันธุ์สูรย์มองยิ้มๆ
“แล้วเย็นๆ คุยกันจ้ะ” ลานนาปิดสาย
ภูไทดุทันที “ทำไมไปบอกวิรงรองเขาอย่างนั้น”
“แหม ... ก็จริงไม่ใช่หรือคะ”
“มันไม่ดี”
“ไม่ดียังไง”
“นั่นซิ! ไม่ดียังไง” พันธุ์สูรย์ถามขึ้น
ภูไทโดนรุมจนอึกอัก
“วิรงรองเป็นอิสระแล้ว...เจ้าก็เดินหน้าได้เต็มที่เลย” พันธุ์สูรย์ว่า
“จะบ้าเรอะ”
“งั้นก็เต็มใจ...ระวังอีตาอนิรุทธิ์เอาไว้ก็แล้วกัน”
ลานนาเดินออกไป ภูไทก้มหน้าก้มตาทำงานแก้เขิน พูดเฉไฉ
“เมื่อวาน...มี Order กล้วยไม้จากโรงแรมศศิธารา...นายเห็นหรือยัง”
“เห็นแล้วครับ...” พันธุ์สูรย์เว้นอีกนิด วกเข้าเรื่องวิรงรอง “...ผมเห็นด้วยกับเจ้าน้อง”
ภูไทพูดเรื่องงาน “เขาเน้นสีม่วง...”
“ผมอ่านหมดแล้วครับ...อ่านก่อนเจ้าอีก...งานนี้เราต้องเอาไปส่งที่กรุงเทพฯ...เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะได้ไปเยี่ยมคุณวิรงรองเสียเลย”
ภูไทนิ่งเงียบ
“อย่าปล่อยให้คุณอดิศวร์พาเธอกลับ “โดมทอง” ได้อีกเด็ดขาด” พันธุ์สูรย์บอกอีก

แต่เจ้าภูไทยังคงทำหูทวนลมอยู่อย่างนั้น

ขณะที่ลานนากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถง ภูไทเดินเข้ามาทำท่าจะเดินเลี่ยงน้องขึ้นไปข้างบน

“จะไปไหนคะ พี่ชาย” ลานนาละหน้าจากหนังสือ มองมา
“ทุกทีพี่จะไปไหนมาไหน ไม่เคยเห็นถามสักที”
“ก็น้องอยากคุยด้วยนี่คะ”
ภูไทเดินมายืนตรงหน้าลานนาด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ฟังให้ดีนะ ยัยน้อง! พี่รู้ว่าวิรงรองไม่ได้รักพี่”
ลานนาสวนทันที “วันนี้ยังไม่รัก แต่วันหน้ายังมี”
“ไม่มีทาง! ไม่รักก็คือไม่รัก” ภูไทบอกจริงจัง
“น้องเชื่อว่าวันเวลาจะช่วยให้วิลืมอีตาอดิศวร์ได้สนิท” ลานนาไม่ยอมแพ้
“แล้วน้องล่ะ ลืมพันธุ์สูรย์ได้หรือยัง”
ลานนาเจอย้อนด้วยไม้นี้ ถึงกับหน้าซีด
ภูไทตกใจ “พี่ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...น้องแค่หวังดีกับพี่ชายแล้วก็วิรงรอง”
“พี่เข้าใจ”
ลานนาพยักหน้ารับ แล้วหันกลับไป ทำท่าเหมือนจดจ่อกับหนังสือต่อ
ภูไทมองน้องสาวด้วยความรู้สึกผิดครู่หนึ่ง แล้วเดินมานั่งข้างๆ โอบไหล่ให้ลานนาพิง
“น้องอยากให้พี่ชายมีความสุขค่ะ...แล้วก็วิด้วย”
ภูไทลูบผมน้องอย่างอ่อนโยน “พี่ก็เหมือนกัน”
สองพี่น้องอยู่ในอิริยาบถปลอบใจซึ่งกันและกันอย่างนั้นเงียบๆ

วิรงรองนอนหลับสนิทไปด้วยความอ่อนเพลีย ทว่าสีหน้าเธอเริ่มขมวดคิ้ว ในอาการกระสับกระส่าย หลับฝันไปในที่สุด

ในความฝัน วิรงรองเห็นภาพคฤหาสน์ “โดมทอง” เด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างกลางดึก ทั่วอาณาบริเวณตกอยู่ในความเงียบสงัดวังเวง
สักครู่หนึ่งเสียงเพลง “นางครวญ” ดังขึ้นอย่างเยือกเย็น ...โหยหวน
บริเวณยอดโดม .... มีแสงเทียนสว่างวอมแวมลอดออกมา
เสียงเพลง “นางครวญ” ยังคงดังแว่วหวาน เยือกเย็น โดยมีเงาคนวูบวาบอยู่ภายใน
“วิรงรอง...วิรงรอง” พลับพลึงร้องเรียกออกมาอีก

วิรงรองนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงส่งเสียงพึมพำทั้งที่ตายังหลับ
“ใคร...ใครเรียกฉัน”
เสียงพลับพลึงเรียกดังแผ่วเบาแหบโหย มาจากที่แสนไกล “วิรงรอง...วิรงรอง”
“ใครคะ...ใครเรียก”

กลางดึกประตูโรงรถม้าเปิดออก ท่ามกลางหมอกควัน วิรงรองเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังมาช้าๆ จนในที่สุดก็เดินเข้ามาภายในโรงเก็บรถม้านั้น
วิรงรองเดินเข้ามา แล้วหยุดมองโดยรอบ เห็นร่างทะมึนกลืนไปกับความมืดของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมห้อง
“ใครคะนั่น”
ร่างสูงใหญ่นั้นยังคงยืนหันหลังนิ่งโดยไม่ไหวติงท่ามกลางหมอกควัน
วิรงรองเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ สีหน้าใครคนนั้นดูผ่อนคลายลอบมองวิรงรองเป็นระยะๆ วิรงรองเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก
“คุณคะ...คุณ”
วิรงรองเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเรียกเสียงแผ่วๆ “คุณคะ”
ท่านเจ้าคุณค่อยๆ หันมาช้าๆ นัยน์ตานิ่งสนิทมองมา
วิรงรองตกใจมาก “คุณอดิศวร์”

วิรงรองรู้สึกตัว ตกใจตื่นขึ้นมา แล้วผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อแตกพราวไปทั้งหน้า หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อก ก้มลงล้างหน้า แล้วเงยขึ้นมองเงาตัวเองเพ่งพิศ
“นี่ฉันจะไม่มีวันหนีพ้น “โดมทอง” เลยหรือ”

วิรงรองลงมาข้างล่าง กำลังเดินอยู่ในสวนสวยคุยมือถือกับเพื่อนนายทหารเรือด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้น
“จริ๊ง...ตอนนี้วิอยู่บ้าน...ได้จ้ะ...เย็นนี้มารับนะ...จะได้ชวนคุณออกไปด้วย”

วิรงรองเม้าท์มอยกะอนิรุทธิ์ต่ออีก ขณะเดินไปช้าๆ สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้น

 
อ่านต่อตอนต่อไป

ตกตอนค่ำ ร้านอาหารที่วิรงรองนัดกับอนิรุทธิ์ไว้ บรรยากาศดูคึกคักด้วยผู้คนในร้าน และรถราที่สัญจรไปมาด้านหน้า

ภายในร้านโต๊ะเกือบจะเต็มหมดแล้ว เหลือที่ว่างเพียง 2 โต๊ะ บริกรยกอาหารเสิร์ฟตามโต๊ะต่างๆ จนเรื่อยมาถึงโต๊ะพิณทองซึ่งมากับเพื่อนอีก 4 คน พิณทองและเพื่อนๆ กินกันไป คุยกันไปอย่างสนุกสนาน จนสักพักหนึ่ง พิณทองก็ยิ้มค้าง
เมื่อเห็นวิรงรอง และปรางเดินเข้าหา โดยมีอนิรุทธิ์ เทคแคร์อย่างใกล้ชิด บริกรเดินพาทั้ง 3 คน มาที่โต๊ะว่าง พิณทองเพ่งมองอย่างแปลกใจ ด้วยท่าทีของอนิรุทธิ์และวิรงรองยามนี้ ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
“ใครน่ะ! พิณ!” เพื่อนคนหนึ่งมองตามพลางถามขึ้น
“อ๋อ ! คนรู้จักน่ะ”
เพื่อนอีกคนชม “สวยน่ารักจัง...ท่าทางแฟนคงรักน่าดู”
พิณทองได้แต่ยิ้ม
เพื่อนคนที่ 3 เอ่ยขึ้น “จะไปทักเขาก็ได้นะ...ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เป็นไร...ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่”
เพื่อนคนที่ 4 ถามขึ้น “ตกลงทริปหน้าไปเกาหลีด้วยกันมั้ย...พิณ! ชวนคุณพิชญ์ไปด้วย”
“พิชญ์เขาไม่ค่อยว่างหรอก...ถ้าจะไป...พิณก็ไปคนเดียว”
ทั้งหมดคุยกันไปสนุกสนาน โดยพิณทองคอยลอบมองวิรงรองเป็นระยะๆ

ขณะเดียวกันอดิศวร์อยู่ในห้องทำงานที่โดมทอง มีสมยืนประสานมืออยู่ตรงหน้า ด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างชัดเจน
“ผมไม่ทราบจะทำอย่างไรเลยต้องมาถามคุณลบ”
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวฉันจัดการเอง...สมไปเถอะ”
“ครับ...แต่คุณลบอย่าเรียนท่านว่า ผมมาเล่าให้คุณลบฟังนะครับ”
“เออน่า...”
“ขอบคุณมากครับ”
สมเดินออกไป ขณะที่เสียงมือถือดังขึ้น อดิศวร์หยิบขึ้นมาดู สีหน้าอ่อนโยนลงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“มีอะไรจะใช้น้าลบหรือ...คุณพิณ”
พิณทองกลับมาถึงบ้านแล้ว กำลังวางกระเป๋าลงเดินมานั่งลงในห้อง
“มีอะไรจะบอกคะ ไม่ได้จะใช้” พิณทองเว้นจังหวะไปอีกนิด “พิณไปทานข้าวกับเพื่อนๆ มา...น้าลบทายซิคะว่าพิณไปเจอใคร”
“น้าลบทายไม่ถูกหรอกค่ะ”
“คุณวิรงรองคู่หมั้นของน้าลบค่ะ...ไปทานข้าวกับคุณแม่แล้วก็เพื่อนผู้ชายที่เคยไป “โดมทอง” พิณยังนึกว่าน้าลบจะมาด้วยเลย”
อดิศวร์นิ่ง นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความไม่พอใจวูบหนึ่ง
“น้าลบขา...ทำไมเงียบไปล่ะคะ”
อดิศวร์รู้สึกตัว “เขากลับไปเยี่ยมคุณแม่”
“แล้วทำไมนายคนนั้นต้องไปด้วยล่ะคะ”
“เขาเป็นเพื่อนกัน”
“หื้อ...” พิณทองพูดเสียงสูง “...เพื่อน! อย่าหาว่าพิณยุเลยนะคะ...เอาอกเอาใจคุณวิรงวิรองจนออกนอกหน้า! น้าลบต้องระวังให้ดีเลย”
อดิศวร์รีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วเรื่องของคุณพิณล่ะว่ายังไง”
“ก็เรื่อยๆ ค่ะ น้าลบไม่ต้องเป็นห่วง...พิณโทร.มาเตือนแค่นี้แหละค่ะ...สวัสดีนะคะ”
“ครับ”

อดิศวร์วางสาย ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

ด้านท่านผู้หญิงกำลังขัดเครื่องเพชรอยู่ในห้อง โดยมีอุษาคอยช่วย

“อย่างุบงิบเอาไปเด็ดขาดทีเดียวนะ! นังอุษา! ฉันจำของฉันได้”
อุษารับด้วยสีหน้าปกติ เคยชิน “ค่ะ”
“แล้วชุดมรกตที่ฉันให้นังแสงแขยืมใส่คืนวันงานก็เหมือนกัน...บอกให้มันเอามาคืนด้วย! อย่าทำเป็นลืม!”
“ค่ะ”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นอดิศวร์เปิดเข้ามา
“ลบ...มานั่งใกล้ย่าซิลูก”
อดิศวร์พยักหน้ากับอุษาให้ออกไป อุษาลุกออกไปเงียบๆ
ท่านผู้หญิงยิ้มแย้มสัพยอก “แสดงว่ามีความลับละซี”
“คุณย่าให้สมไปเผาทุ่งพลับพลึงหรือครับ”
“หน็อย! มันสาระแนมาฟ้องแกเรอะ! ท่าจะให้อยู่ที่นี่ไม่ได้เสียแล้ว” ท่านผู้หญิงพูดอย่างมีโทสะ
“สมไม่ได้บอกหรอกครับ...แต่ผมเห็นเอง”
“แล้วลบจะเก็บไว้ทำไมให้แสลงใจย่า”
อดิศวร์จับมือท่านผู้หญิงสรรักษ์ขึ้นมา “มาถึงวันนี้แล้ว....ผมอยากให้คุณย่าปล่อยวางและให้อภัย...คุณปู่ก็เสียไปนานมากแล้ว...คุณย่าน้อยก็หายสาบสูญทุกคนที่ทำให้คุณย่าเจ็บช้ำน้ำใจ ต่างก็ล้มหายตายจากไปหมด...ไม่มีใครรู้หรอกว่า คุณย่าจงเกลียดจงชังพวกเขาขนาดไหน...มีแต่คุณย่าคนเดียวที่ต้องทุกข์ทรมานด้วยความรู้สึกเหล่านั้น”

ท่านผู้หญิงโกรธมือเกร็งขึ้นมาทันที “รู้! ทำไมพวกมันจะไม่รู้! วิญญาณของพวกมันก็อยู่อย่างทุกข์ทรมานเหมือนกัน! ย่าขังพวกมันด้วยความแค้นของย่า”
“แล้วคุณย่ามีความสุขดีหรือครับ”
“ไม่ต้องมายอกย้อนย่านะ” ผู้เป็นย่าเสียงแข็ง เว้นวรรคไปอีกนิด “ย่ามีความสะใจ! และความสะใจนี่เองที่หล่อเลี้ยงชีวิตย่าให้ยืนยาวเพื่อที่จะได้หัวเราะเยาะมัน”
“แต่การให้อภัยจะทำให้คุณย่าเป็นสุขสงบ...โดมทองก็จะกลับมาร่มเย็น”
ท่านผู้หญิงไล่ทันที “จะไปไหนก็ไปเถอะลบ”
“คุณย่าครับ”
“แล้วก็ไม่ต้องให้ใครเข้ามาด้วย ...ย่าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
อดิศวร์บีบมือย่าเบาๆ แล้วเดินออกไป ท่านผู้หญิงเอนตัวลงนอน นัยน์ตามองเพดาน โดยไม่สนใจเครื่องเพชรพลอยอีกเลย

กลับจากร้านอาหารถึงบ้านตอนค่ำมากแล้ว วิรงรองเดินเล่นเรื่อยๆ อยู่ในบริเวณบ้าน ปรางเดินตรงมา ทอดสายตามองครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินตรงมาหา
“อนิรุทธิ์กลับไปแล้วหรือ”
“ค่ะ เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง”
“ดูๆ เขาจะชอบแม่หนูมากนะจ๊ะ” ปรางเอ่ยขึ้น
“รุทธิ์เป็นเพื่อนที่ดีของหนูคนหนึ่งค่ะ”
“แล้วคุณอดิศวร์ล่ะ”
วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตัดบท “อย่าไปพูดถึงเขาเลยค่ะ...หนูชักจะง่วงแล้ว...เมื่อกี้ทานเยอะมากไปหน่อย”

วิรงรองพูดพลาง คล้องแขนแม่เดินเข้าบ้านด้วยกัน

โดมทอง ตอนที่ 12 (ต่อ)

ดวงจันทร์ข้างขึ้นครึ่งดวงลอยผ่านเข้าไปในก้อนเมฆสีเทา ซึ่งเริ่มกระจายไปทั่วท้องฟ้า แสงฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วร้องครืนครัน...เหมือนฝนกำลังจะตก

วิรงรองครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง ทอดสายตามองมือถือตรงหน้าเหมือนรอคอยสายจาก ใครบางคน ทว่าไม่มีใครโทร.เข้ามา
วิรงรองทอดถอนใจพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาปิดเครื่อง เสียงฝนตกกราวใหญ่กระทบหน้าต่าง วิรงรองผินหน้าไปมอง แล้วลุกไปจะปิดม่าน
วิรงรองมองฝ่าสายฝนออกไปครู่หนึ่ง แล้วจึงดึงม่านปิด เดินกลับมาที่เตียง ปิดไฟโคมตรงโต๊ะหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอน

กลางดึกคืนนั้นมือคู่หนึ่งกำลังเล่นซอสามสายเพลง “นางครวญ” ใบหน้าเจ้าของมือคู่นั้น สีหน้าเหมือนกำลังดื่มด่ำเศร้าสร้อยตามเนื้อและท่วงทำนองเพลง
เจ้าพระยาสรรักษ์ในชุดลำลองอยู่กับบ้านสบายๆ ยืนมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนรักใคร่ ทันใด เสียงท่านผู้หญิง
ตวาดลั่น
“อีพลับพลึง”
ทันทีทันควัน พลับพลึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายอย่างรุนแรง เสียงหวายที่กระทบเนื้ออย่างน่าสยดสยอง พลับพลึงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

วิรงรองผุดลุกขึ้นแล้วร้องลั่น มืดปัดตามเนื้อตัวที่ถูกเฆี่ยนในฝัน
“โอ๊ย”
แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อตามเนื้อตัวไม่ได้ปรากฏร่องรอยจากการถูกเฆี่ยนเหมือนในฝัน วิรงรองทอดถอนใจยาว สีหน้าครุ่นคิดหนัก

เช้าวันต่อมา ปรางกำลังเตรียมอาหารเช้าในครัว วิรงรองเดินเข้ามา แล้วโอบกอดแม่
“หอมจัง คุณทำอะไรคะ”
“ข้าวต้มกุ้งจ้ะ”
“ขอกุ้งหนูเยอะๆ นะคะ” วิรงรองถอยออกมาทรุดตัวลงนั่งตัดสินใจถาม “คุณเคยได้ยินทำนองเพลงนี้ไหมคะ”
วิรงรองฮัมทำนองเพลง “นางครวญ” ด้วยสีหน้าทบทวนความทรงจำ
“เพลงนั้นชื่อเพลง...นางครวญ”
วิรงรองพึมพำ “เพลงนางครวญ ชื่อเศร้าจัง”
“แม่หนูบอกว่า ได้ยินเพลงนี้ในความฝันหรือ”
“ค่ะ”
ปรางทำท่าจะพูด แต่แจ๋วสาวใช้เข้ามาก่อน
“มีแขกมาพบคุณวิค่ะ”
“ใคร” วิรงรองแปลกใจ!

วิรงรองเดินเข้ามาในห้องรับแขกแล้วสะดุ้งกับร่างสูงโปร่งของอดิศวร์ซึ่งยืนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างหันกลับมา
“คุณอดิศวร์”
“ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจทิ้ง “โดมทอง” มา”
“ดิฉัน...”
“ถ้าเธอมีเหตุผลพอ...ฉันจะไม่รบกวนอีกเลย...ฉันไม่ชอบอะไรที่มันค้างคาใจ”
ทิฐิในใจวิรงรองผุดขึ้นมาเป็นริ้วๆ ขณะพูดประชดออกไป “ทุกอย่างคุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ”
อดิศวร์ขยับจะพูด ปรางเดินออกมาจากครัว อดิศวร์ยกมือไหว้
ปรางรับไหว้ทักอย่างแปลกใจ “อ้าว คุณอดิศวร์”
“หนูไม่ค่อยสบาย...คุณช่วยคุยกับคุณอดิศวร์แทนหนูด้วยนะคะ”
วิรงรองพูดแล้วรีบเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไปข้างบนเร็วรี่
“ตายจริง แม่หนูนี่! ทำไมเสียมารยาทอย่างนี้!” ปรางร้องตามแล้วหันมาทางอดิศวร์ “ดิฉันต้องขอโทษแทนลูกด้วยนะคะ”
แจ๋วยกน้ำมาวางให้
“แจ๋ว เตรียมข้าวต้มให้คุณอดิศวร์ด้วยนะ”
“ค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผม”
“ไม่ได้ค่ะ...แม่หนูไปอยู่ที่โดมทองตั้งนาน แล้วคุณอดิศวร์ก็ช่วยดูแลอย่างดี”
สีหน้าอดิศวร์ขรึมลงขณะบอก “ผมคงดูแลไม่ค่อยดีนัก...เขาถึงได้หนีกลับมา”
“มีเรื่องอะไรกันหรือคะ! ดิฉันถามแม่หนูไม่ยอมเล่าสักคำ” ปรางตัดสินใจถาม เรื่องคาใจ
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน...อยู่ดีๆ เขาก็ตัดสินใจกลับบ้าน”
“ถ้าอยู่ดีๆ แกคงไม่กลับหรอกค่ะ...ดิฉันว่า น่าจะอยู่ไม่ค่อยดีเสียมากกว่า” ปรางบอกด้วยรู้นิสัยผู้เป็นลูกสาวดี

อดิศวร์นิ่งคิด

ฝ่ายวิรงรองนั่งนิ่งอยู่ที่เตียง และนั่งอยู่อย่างพักใหญ่ จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ใครคะ”
“แม่เอง”
วิรงรองเดินไปเปิดประตู ปรางยังไม่ทันอ้าปาก ลูกสาวชิงพูดขึ้นก่อน
“คุณช่วยบอกเขาด้วยว่า หนูไม่อยากเห็นหน้าเขา”
“มีเรื่องอะไร ทำไมไม่พูดกันให้รู้เรื่อง”
“หนูไม่มีอะไรจะพูดกับเขาอีกแล้วค่ะ” วิรงรองคิดแค้นระคนน้อยใจขึ้นมาจนน้ำตาปริ่ม “หนูเกลียดคนตี 2 หน้า”
“พูดกันคนละทีแบบนี้ มันก็ไม่มีทางรู้เรื่องได้หรอก”
วิรงรองน้ำตาร่วง “หนูยังไม่อยากพบกับเขาจริงๆ ค่ะ คุณ”
ปรางมองลูกสาวพลางทอดถอนใจ วิรงรองมีสีหน้าแน่วแน่ เต็มไปด้วยทิฐิ

ครั้นพอปรางลงมาบอก อดิศวร์จึงเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อเขาไม่อยากพบ...ผมก็จะกลับ”
“งั้นทานข้าวด้วยกันก่อนเถอะค่ะ...เด็กน่าจะเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
อดิศวร์อึ้งไปครู่หนึ่งจึงบอก “ครับ”
ปรางยิ้ม แล้วเดินนำอดิศวร์ไปยังห้องอาหาร

เวลาเดียวกันนั้น ที่ห้องอาหารโดมทอง ท่านผู้หญิง อุษา และแสงแขนั่งทานอาหารอยู่ มีอุไร กับโอบอ้อมคอยดูแล
ท่านผู้หญิงมองกราด “ตาลบไม่อยู่”
แต่ละคนก้มหน้านิ่ง สีหน้าแสงแขมีแววเยาะๆ
“หลานฉันไปไหน”
อุษาตอบเสียงเบา “ไม่ทราบค่ะ”
“คุณลบคงจะไปธุระที่กรุงเทพฯน่ะค่ะ” แสงแขจงใจเน้นตรงคำว่า “กรุงเทพฯ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์เหลียวขวับมามองทันทีแสงแข “กรุงเทพฯ”
“ค่ะ”
ท่านผู้หญิงนัยน์ตาวาวโรจน์
“คงไปหาอีนังนั่นละซี! เหมือนกันไม่มีผิด”
แสงแขลอบยิ้มเยาะอย่างสะใจ

อุษาและแสงแขเดินเข้ามาในห้องทำงานอดิศวร์
แสงแขเดินมาหยิบโทรศัพท์ “แขโทร.เอง”
พูดพลางแสงแขมองเบอร์โทร. สำคัญ ที่วางอยู่ แล้วจัดการกดอย่างคล่องแคล่ว
จังหวะเดียวกันสาวใช้บ้านรัฐมนตรีพจน์ หยิบโทรศัพท์สายในตรงห้องรับแขกขึ้นมารับ
“สวัสดีค่ะ”
“บ้านรัฐมนตรีพจน์ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“ขอเรียนสายกับคุณน้าแก้วหน่อย”
“ค่ะ”
สาวใช้เข้ามาคุกเข่าส่งโทรศัพท์ให้แก้วซึ่งนั่งอยู่ตรงโซฟาอย่างเรียบร้อย
“เขาขอเรียนสายกับคุณผู้หญิงค่ะ”
แก้วพูดมา “ฮัลโหล”
“คุณน้าขา...แขเองค่ะ”
“อ้าว...หนูแข เป็นไงบ้างจ๊ะ ...โทร.มาหาน้ามีธุระอะไร”
“คุณย่าท่านให้โทร.มาถามว่า คุณลบแวะไปที่บ้านหรือเปล่าคะ”
“คุณลบเรอะ! เอ๊ะ! น้าไม่ยักรู้ว่าเขามากรุงเทพฯ ถ้ายังไงต้องลองถามหนูพิณดู นั่นเขาสนิทกันมาก มีเบอร์เขาหรือเปล่าล่ะจ๊ะ! หรือว่าจะให้น้าโทร.ให้”
“แขขอรบกวนคุณน้าให้ช่วยถามด้วยก็แล้วกัน เพราะคุณย่าเป็นห่วง...กลัวว่าจะไปตามง้อ แม่วิรงรองน่ะค่ะ”
แก้วเบิกตากว้าง “วิรงรองกลับมากรุงเทพฯแล้วหรือจ๊ะ”
“ค่ะ อยู่ดีๆ เขาก็เลิกกับคุณลบ”

แก้วนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความพอใจ

ด้านปรางเดินออกมาส่งอดิศวร์ที่รถ โดยมีสาวใช้เดินไปเปิดประตูรอ

“ผมลาละครับ...ขอบคุณมาก” อดิศวร์ไหว้ลา
“ไม่เป็นไรค่ะ...แล้วดิฉันจะถามแม่หนูให้ว่ามันเรื่องอะไรกัน”
อดิศวร์เปิดประตูรถเข้าไป แล้วขับออกไป อดิศวร์อดเหลียวมองขึ้นไปชั้นบนตรงห้องวรงรองไม่ได้
และเห็นชัดว่าวิรงรองยืนมองลงมาอยู่
อดิศวร์ขับรถออกไป วิรงรองยังคงยืนอยู่ที่เดิม

อดิศวร์ขับรถออกมากลางซอยแล้ว กดโทรศัพท์หาวิรงรอง
“น้าลบเอง...คุณพิณ”
“สวัสดีค่ะ...น้าลบ! น้าลบอยู่ที่ไหนคะ”
“อยู่ในรถครับ...กำลังจะไปหาคุณพิณ”
อดิศวร์ปิดสาย แล้วขับรถเลี้ยวออกไป

ขณะเดียวกันปรางกำลังมองลูกสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอาเรื่อง
“มันเรื่องอะไรกันฮึ ถึงได้ทำตัวเป็นเด็กๆ หนีมาโดยไม่มีเหตุผล คุณเคยสอนเสมอให้รู้จักไปลามาไหว้”
“หนูก็ลาก็ไหว้เขาแล้วนี่คะ”
“ยังจะมาเถียงข้างๆ คูๆ อีก”
วิรงรองนิ่งไป
“ไหนลองบอกมาซิว่าเรื่องอะไรกัน”
วิรงรองขยับจะพูด
ปรางสวนออกมาเสียงขุ่น “ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ ! เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้”
วิรงรองเม้มปาก น้ำตาปริ่มด้วยความน้อยใจ

ขณะเดียวกัน แก้วเดินนำวัชรีเข้ามาในห้องรับแขก วัชรีเดินไปคุยไป
“ไอ้ดีใจพี่ก็ดีใจหรอกนะที่คุณลบเลิกกับมัน แต่ก็กลัวว่าตาพิชญ์ของพี่จะกลับไปหามันอีก ตอนนี้ยิ่งระหองระแหงกับหนูพิณอยู่ด้วย”
ทั้ง 2 คุณหญิงทรุดตัวลงนั่ง สาวใช้ยกน้ำท่า ขนมนมเนยมาเสิร์ฟแล้วออกไป
“ขอบอกก่อนว่าพี่ไม่รับมันเป็นสะใภ้แน่”
“เข้าทำนอง คุณแม่ไม่ปลื้ม” แก้วสัพยอก
“ฮึ! ยิ่งกว่านั้นอีก มันเข้าขั้นคุณแม่รังเกียจเลยละ! ให้มันได้กับคุณลบไปก็ยังดีกว่ามาได้กับตาพิชญ์”
“แหม...คุณพี่ขา...ก็เราตกลงกันแล้วไงคะว่าจะตามผจญจนมันทนไม่ได้! ถ้าถึงที่สุดแล้วก็ไปลงพวกข่าวสังคมเลย ! น้องมีพรรคพวกเยอะแยะ! ว่าแต่ตอนนี้ตาพิชญ์ยังไม่รู้ใช่ไหมคะ”
“อ๋อ! ยังหรอกค่ะ...พี่น่ะคอยระวังอย่างที่สุดเลยค่ะ”
ทั้งสองคุณหญิงปรึกษากันไป

ส่วนปรางมองวิรงรองอย่างเพ่งพิศ หลังฟังจบ
“ถามจริงๆ แม่หนูคิดว่าคุณลบเป็นคนอย่างนั้นหรือ”
“หนูเชื่อเลยละค่ะ เพราะถ้าเขาไม่พูด ...พวกญาติของเขาจะรู้ได้ยังไง” วิรงรองพูดอย่างถือดี
“ถมไป” ปรางว่า
“คุณเข้าข้างเขา” วิรงรองหน้าคว่ำ
“เปล่า...แต่คุณดูคนไม่พลาด...คุณอดิศวร์ไม่ใช่คนเหลาะแหละ”
วิรงรองนิ่ง
“แม่หนูลองคิดดูให้ดีๆ”
“หนูเชื่อว่าเขาทำได้ค่ะ...เขารักหลานสาวของเขามาก จนถึงขนาดวางแผนดึงหนูไปอยู่ “โดมทอง” ได้อย่างแนบเนียนมาแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นไปได้แน่นอน”
“คุณจะลองถามเขาดู”
วิรงรองเยาะ “เขาก็ต้องปฏิเสธ คนอย่างเขาไม่มียอมรับให้เสียหน้าหรอกค่ะ”
“แปลว่า แม่หนูปักใจเชื่อแน่นอนแล้ว”
“ค่ะ”

วิรงรองบอกมารดาด้วยสีหน้าแน่วนิ่ง

สองน้าหลานนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง บริกรนำขนม และกาแฟมาเสิร์ฟให้คนทั้งสอง

“น้าลบหน้าตาไม่ดีเลย...พิณจะช่วยอธิบายให้คุณวิรงรอง” พิณทองรู้เรื่องข้อบาดหมางแล้ว
อดิศวร์ขัดขึ้นทันที “ไม่ต้อง”
“แต่พิณรู้สึกผิด...พิณไม่น่าพูดกับคุณแม่เลย”
“คนเราถ้าจะอยู่ด้วยกันต้องมีความหนักแน่น” อดิศวร์ทอดคำ เว้นนิด “แต่ก็นั่นละ...เขาไม่ได้อยากอยู่กับน้า เขาหาเรื่องที่จะออกจากโดมทองอยู่ตลอดเวลา”
น้ำเสียงและสีหน้าของอดิศวร์ขณะพูด เจือความน้อยใจเล็กๆ
“แล้วเรื่องของคุณพิณล่ะ”
“ก็ทรงๆอยู่ค่ะ ไม่ได้ถึงกับทรุด แต่ก็ไม่ดีขึ้น” พิณทองยักไหล่นิดๆ “พิณเฉยๆ แล้วค่ะ... ไม่อยากใช้ทะเบียนสมรสดึงเขาไว้กับตัวเอง”
พิณทองพูดพลางเสยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อปกปิดความเศร้า อดิศวร์มองหลานรักอย่างเพ่งพิศ

จากบ่าย เวลาผ่านไปจนถึงยามเย็น พิณทองเดินเข้ามาในห้องรับแขก ตามด้วยสาวใช้ช่วยถือของเลยขึ้นไปเก็บข้างบน แก้วซึ่งนอนให้สาวใช้อีกคนบีบนวด ลุกขึ้นนั่ง
“พอแล้ว...ไปเอาของว่างมาให้คุณพิณไป”
“ไม่ต้อง” พิณทองเสียงเขียว
สาวใช้เดินออกไป
“วันนี้กลับเร็วนี่ ...คุณป้าวัชเพิ่งกลับไปสักพักนี่เอง”
พิณทองมองแม่ด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณแม่เอาเรื่องที่พิณพูดไปเล่าให้ใครฟังหรือเปล่าคะ”
“เรื่องอะไรล่ะจ๊ะ! พิณพูดกับแม่ตั้งหลายเรื่อง” แก้วว่า
พิณทองเน้นคำ “เรื่องน้าลบกับวิรงรองค่ะ”
“นี่...ยัยพิณ ฉันน่ะไม่ใช่คนปากยื่นปากยาวชอบนินทาชาวบ้านหรอกนะจ๊ะ” แก้วยืนกระต่ายขาเดียว
“แล้วทำไมวิรงรองถึงได้ถอนหมั้นกับน้าลบ แล้วกลับมาอยู่บ้านล่ะคะ”
“ฉันจะไปรู้มันเรอะ”
“น้าลบรักวิรงรอง” พิณทองบอก
“แล้วไง จะให้แม่ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไชโยโห่ร้องดีอกดีใจหรือไง ฉันไม่สาปแช่งให้ก็บุญแล้ว”

แก้วลุกเดินออกไป พิณทองมองตามแม่ไป สีหน้าเหมือนตัดสินใจบางอย่าง

อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น