xs
xsm
sm
md
lg

โดมทอง ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดมทองตอนที่ 11

สีหน้าทั้งพันธุ์สูรย์ เจ้าลานนา และเจ้าภูไท รวมถึงวิรงรอง แต่ละคนต่างนิ่งอึ้ง บรรยากาศเงียบงันอยู่อย่างนั้น จนอดิศวร์ถามย้ำขึ้นมาอีก

“ว่าไงครับ”
วิรงรองตัดสินใจตอบแทน “ดิฉันเป็นคนนัดให้เจ้าภูไทกับเจ้าลานนามารับเองค่ะ”
“อ้อ” อดิศวร์พยักหน้าหงึกหงัก แล้วมองเขม็งไปที่พันธุ์สูรย์ “แล้วแกล่ะ อุตส่าห์ติดสอยห้อยตามเขามาทำไม”
ภูไทตอบแทน “ผมเป็นคนชวนเขามาเอง”
น้ำเสียงอดิศวร์เยาะนิดๆ “เรียกว่าขนกันมาหมดทั้งบ้าน”
ลานนาฉุนกึก “ไม่หมดค่ะ คนงานเป็นร้อยยังไม่ได้มาด้วย”
อดิศวร์มองไปยังลานนาด้วยนัยน์ตาคมปลาบแว่บหนึ่ง แล้วหันมาทางวิรงรอง ซึ่งพยายามจะแกะมือตนออกจากเอว
“ว่าไงจ๊ะ...วิรงรอง...จะไปกับเขาหรือเปล่า”
วิรงรองตอบทันทีทันควัน “ไปค่ะ”
สีหน้าทั้ง 3 คน ต่างสะใจยิ้มนิดๆ ราวกับจะเยาะอดิศวร์
อดิศวร์ยักไหล่นิดๆ “บังเอิญฉันไม่ได้เอากุญแจมาเสียด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ! ฉันปีนออกไปได้! ไหนๆ ทุกคนก็อุตส่าห์มารับ...ฉันไม่อยากให้ทุกคนเสียเวลา”
อดิศวร์มองหน้าวิรงรองเขม็งขณะเรียก “สม”
สมเดินออกมาจากเงามืด
ทุกคนสะดุ้งด้วยความแปลกใจและตกใจ
“ไขกุญแจให้คุณวิซิ”
สมไขกุญแจให้ วิรงรองรีบเดินออกไปหาลานนาจับมือไว้
“มะรืนนี้ ฉันจะไปรับแต่เช้า”
วิรงรองเชิดหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ! เจ้าภูไทมาส่งได้”
อดิศวร์เน้นเสียงหนักแน่น “ฉันจะไปรับ”
ภูไทเอ่ยตัดบทขึ้นเบาๆ “ไปกันเถอะครับ”
ทุกคนขึ้นรถ แล้วพันธุ์สูรย์ซึ่งนั่งคู่กับภูไทขับรถออกไป
สมปิดประตู ขณะอดิศวร์มองตามด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม

รถแล่นฝ่าความมืดระหว่างทางมา แลเห็นทิวไม้ตะคุ่มๆ 2 ข้างทาง
“เฮ้อ! ใจหายใจคว่ำหมดเลย…ว่าแต่ท่านเคาน์รู้ได้ยังไง ว่าวิจะหนีออกมา” ลานนาเอ่ยขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าบังเอิญมากกว่า! เขาอาจจะทำงานดึก แล้วก็จะขึ้นนอนพอดี”
“คนรถนั่นก็น่ากลัวพิลึก! อยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมา” ภูไทว่า
“คนบ้านนั้นน่ากลัวกันหมดทุกคนนั่นแหละครับ” พันธุ์สูรย์ว่า
“รวมทั้งคุณอุษาด้วยหรือเปล่า” ภูไทสัพยอก
พันธุ์สูรย์อึ้งไปครู่หนึ่ง “คงไม่ใช่ความผิดของเธอ ที่เลือกผู้มีพระคุณมากกว่าความรัก”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบกันไปด้วยความเห็นใจพันธุ์สูรย์
รถแล่นหายไปในความมืด

อดิศวร์ยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องนอน มองฝ่าความมืดออกไปด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ด้านลานนาหอบชุดนอน และชุดลำลองอย่างละชุดเข้ามาวางบนที่นอนในห้องนอนแขกของคุ้มภูไท
“เอ้า! คงพอจะใส่ได้หรอก...ยังไงพรุ่งนี้จะให้พี่ชายขับรถไปเอาเสื้อผ้าของวิมาให้”
“โอ๊ย! ไม่ต้อง...ไม่ต้อง ใส่ของลานนานี่แหละ! อย่าให้พี่ชายต้องลำบากเลย!”
“พี่ชายของลานนาเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อวิ”
วิรงรองเสหัวเราะ “เว่อร์”
ลานนาบอกเสียงจริงจัง “อ้าว! นี่พูดจริงๆ นะ...พี่ชายน่ะซึมไปเลยตั้งแต่คืนที่คุณอดิศวร์ประกาศหมั้นกับวิ”
วิรงรองทอดถอนใจ แล้วทรุดตัวลงนั่ง
“ขอโทษที่ทำให้วิไม่สบายใจ ! นอนเถอะ… ดึกแล้ว”
ลานนาเดินไปที่ประตู
วิรงรองรีบลุกขึ้น เรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน”
ลานนาหยุด หันมามอง
“ขอยืนยันคำเดิมว่า วิไม่ได้รู้เรื่องหมั้นบ้าบอนั่นมาก่อนเลย!...วิเองก็ตกใจเหมือนกัน”
“แล้ววิจะทำยังไงต่อไป”
วิรงรองนิ่งอึ้ง สีหน้าแววตาบอกความสับสน
“เรื่องตกบันไดพลอยโจนไม่ใช่นิสัยของวิ...นอกจากว่า...วิจะเต็มใจรับหมั้น”
วิรงรองก้มลง แล้วรีบหมุนแหวนในมือ ลานนามองตาม
“เราคิดว่าเราพอจะเข้าใจวิแล้ว...ก็ดีเหมือนกัน จะได้บอกพี่ชายให้ตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้...ยอมเจ็บปวดเสียตอนนี้ดีกว่าถลำลงไปอีก”
ลานนาเดินออกไป
วิรงรองทิ้งตัวลงนั่งเหมือนเจ็บใจตัวเอง “โธ่เอ๊ย! วิรงรอง! ทำไมไม่ปฏิเสธออกไป...ทั้งเจ้าภูไทกับลานนาดีด้วยขนาดนี้ แล้วยังจะไปทำร้ายความรู้สึกเขาอีก”

เช้าวันต่อมาอุษาเดินมาจะไปห้องท่านผู้หญิง
“อุษา” อดิศวร์เรียกไว้
อุษาหันกลับมา “คุณลบ”
“เธอช่วยไปเอาเสื้อผ้าของวิรงรองจัดใส่กระเป๋าสัก 3-4 ชุดซิ ...อย่าลืมชุดนอนด้วย... แล้วเอาไปให้สม”
อุษาแปลกใจแต่ไม่กล้าแสดงออก “ค่ะ”
อุษาเดินไปทำตามคำสั่ง ส่วนอดิศวร์แยกไปอีกทาง

อุษาเดินเข้ามาที่ห้องวิรงรอง แล้วตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า เลือกหยิบชุดลำลองออกมา 3 - 4 ชุด สักครู่หนึ่งอุษาเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมๆ ของวิรงรอง แล้วเดินตรงไปที่บันได

อุษาเดินลงบันไดมา แสงแขที่กำลังเดินผ่าน หยุดมองกระเป๋าด้วยสีหน้าแปลกใจ
“นั่นกระเป๋าอะไรน่ะ”
“กระเป๋าเสื้อผ้าวิรงรอง”
แสงแขมองตาขวาง “อ้อ! เดี๋ยวนี้ทำหน้าที่เป็นต้นห้องนังนั่นไปแล้วเรอะ! ทุเรศ!”
อุษากำลังเดินแล้วหยุดทันที “คุณลบเป็นคนสั่งให้ฉันทำ”
“ทำอะไร”
อุษาไม่ตอบเดินหนีไป แสงแขรีบตาม

อุษาเดินออกมา แล้วส่งกระเป๋านั้นให้สม
“จะเอาไปไหนน่ะสม” แสงแขถาม
“บ้านเจ้าภูไทครับ” สมบอก
แสงแขพยักหน้ารับรู้ สมขึ้นรถแล้วขับออกไป
แสงแขกอดอก “นึกว่าอะไร! ที่แท้ก็ถูกอัปเหหิออกไปนั่นเอง”
“ถ้าถูกอัปเปหิ...ก็ต้องขนเสื้อผ้าออกไปให้หมดน่ะซี นี่เอาไปแค่ 3- 4 ชุดเอง” อุษาบอก
แสงแขหมั่นไส้ “แม่ทนายใหญ่ ! แก้แทนนังวิรงรองเป็นฉากๆ เชียวนะ”
อุษาเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดด้วย ส่วนแสงแขสะบัดหน้าแล้วเดินตามไป

ท่านผู้หญิงสรรักษ์อยู่บนเตียงในห้อง ลืมตาขึ้นมอง ขณะที่แสงแขเดินเข้ามา แสงแขกำลังจะพูด แต่ท่านชิงพูดขึ้นก่อน
“ฉันกำลังอยากพบอยู่ทีเดียว”
แสงแขเสียงอ่อนเสียงหวาน “คุณย่าจะใช้แขทำอะไรหรือคะ”
“เอากุญแจนี่ไปไขหีบเหล็ก แล้วล้วงเข้าไปข้างใต้สุด หยิบแผ่นยันต์ออกมา”
แสงแขรับกุญแจไปเปิดหีบเหล็ก ทำตามคำสั่งล้วงเข้าไปหยิบยันต์ซึ่งเขียนบนผ้าสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เก่าแก่ด้วยกาลเวลา
“นี่ใช่ไหมคะ”
“เอามานี่”
แสงแขคลานมาส่งให้
ท่านผู้หญิงรับมาดู “ใช่แล้ว...แกเอายันต์นี่ไปปิดที่เหนือประตูโรงเก็บรถม้า”
“อุ๊ย! ปิดกันผีหรือคะ”
ท่านผู้หญิงกระแทกเสียงใส่ “เออ!”
แสงแขสะดุ้ง
“รีบไป...แล้วก็ไม่ต้องบอกใคร”
แสงแขมีอาการลังเล “เอ้อ...ที่ “โดมทอง” นี่มีผีด้วยหรือคะ”
“ไม่ต้องมาถาม ! รีบไปเร็ว!”
“ค่ะ”
แสงแขรับยันต์แล้วเดินออกไป

สักครู่หนึ่ง แสงแขเดินตรงเข้ามาในบริเวณหน้าโรงเก็บรถม้าเก่าหลังนั้น แล้วเหลียวซ้ายแลขวาดูความปลอดภัย
ทุกอย่างว่างเปล่า มั่นใจว่าไม่มีคนอื่นแน่ แสงแขมองหาเก้าอี้ที่จะใช้ปีน พบม้านั่งยาวตัวหนึ่งอยู่ในบริเวณนั้น รีบลากมาที่หน้าประตู ขยับจะปีน
จังหวะนี้มีเสียงดังโครมภายในโรงรถม้า แสงแขสะดุ้งเฮือกผงะออกไป
แสงแขยืนยกมือทาบอกพยายามสงบสติอารมณ์ ทุกอย่างกลับเงียบสงัดดังเดิม เงียบชนิดไม่มีใบไม้ไหวแม้แต่ใบเดียว
แสงแขค่อยๆ ล้วงยันต์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วพนมมือหลับตาพึมพำราวกับพยายามจะขอความคุ้มครอง
สักครู่หนึ่ง จึงสูดลมหายใจยาวเพื่อเรียกความกล้า แล้วเดินไปที่โรงเก็บม้า ปีนม้านั่งยาวส่องดู
มีเสียงดังเหมือนเสียงม้าพ่นจมูกฟืดฟาด และมีความเคลื่อนไหวบางอย่างภายใน
แสงแขค่อยๆ แนบหน้ากับรอยแตกเล็กๆ ดูสภาพภายใน พบว่าทุกอย่างเป็นปกติ จึงยกมือไหว้อีกครั้ง แล้วจัดการแปะยันต์ลงกับพื้นเหนือประตูขึ้นไป
แสงแขรีบก้าวลงมา แล้วลากม้านั่งยาวไปไว้ที่เดิม พลางตรวจดูความเรียบร้อยในบริเวณนั้นแล้วรีบออกไป
คล้อยหลังแสงแข มีเสียงโครมครามตึงตังออกมาจากในนั้น เหมือนใครคนหนึ่งกำลังไม่พอใจ

ดอกไม้ชูช่ออวดความสวยแข่งกันทั่วบริเวณในไร่ดอกไม้ของภูไท
วิรงรองอยู่ในชุดเสื้อผ้าลานนา เดินมาเรื่อยๆ ดวงตาจับจ้องมองไปที่พันธุ์สูรย์
เห็นพันธุ์สูรย์กำลังคุยกับหัวหน้าคนงาน
“คุณพันธุ์สูรย์” วิรงรองร้องทัก
พันธุ์สูรย์หันมามอง แล้วหันกลับไปพยักหน้ากับหัวหน้าคนงาน ก่อนจะเดินตรงมาที่วิรงรอง
“เป็นยังไงบ้าง...เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมครับ”
“ค่ะ...สบายจนตื่นสายนิดหน่อย”
พันธุ์สูรย์ออกเดินและวิรงรองเดินตาม ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่น
พันธุ์สูรย์พูดขึ้นในที่สุด “คุณอุษาเป็นยังไงบ้าง”
วิรงรองถอนใจยาว พันธุ์สูรย์หันมามอง
“ทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่คืนวันงาน”
พันธุ์สูรย์พยักหน้าช้าๆ
วิรงรองหน้าเศร้า “แต่อะไรก็ไม่เท่ากับที่คุณอุษาเข้าใจดิฉันผิด มันทำให้ดิฉันไม่มีเพื่อนในโดมทองเลย”
“แล้วคุณจะอยู่ไปทำไม”
วิรงรองหยุดเดิน สีหน้าอัดอั้นตันใจ
พันธุ์สูรย์หยุดเดิน หันมามอง “คุณเต็มใจหมั้นกับเขาหรือเปล่า”
วิรงรองส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกมาเสียจากที่นั่น”
“มีบางอย่างที่เรียกร้องให้ดิฉันอยู่...ทำให้ดิฉันยังไปไหนไม่ได้”
พันธุ์สูรย์ถาม “คงไม่ใช่คุณลบนะครับ”
วิรงรองส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ค่ะ...แต่เป็นใครอีกคนที่เหมือนเขาเหลือเกิน...เหมือนราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน”
พันธุ์สูรย์พึมพำ “ท่านเจ้าคุณ”
“ยังมีอีกคนที่...ที่เหมือนดิฉันมาก” วิรงรองบอก
“ใคร” พันธ์สูรย์ฉงน
“คุณพลับพลึงค่ะ...ดิฉันเห็นรูปของท่านแล้ว”
“จะเป็นไปได้ยังไง! คุณลบเหมือนท่านเจ้าคุณก็เพราะว่าเป็นปู่เป็นหลานกัน แต่คุณไม่ได้เป็นอะไรกับคุณพลับพลึงสักหน่อย”
“แต่ดิฉันก็เหมือนท่านซึ่งแม้แต่พี่น้องก็ยังไม่เหมือนกันเท่านี้” วิรงรองย้ำ
“ผมอยากเห็นรูป”
“ท่านผู้หญิงฉีกทิ้งหมดแล้วค่ะ”
พันธุ์สูรย์แปลกใจมาก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ภูไทกำลังนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ ขณะที่พันธุ์สูรย์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง
“ขอถามอีกครั้ง เจ้ารักคุณวิรงรองใช่ไหม”
“เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ พันธุ์สูรย์”
“เมื่อวันก่อน ผมฝากเจ้าลานนาไปบอกเจ้าว่า ถ้ารักคุณวิรงรองจริงละก็...ให้รีบแต่งงานกับเธอเสีย”
ภูไทยักไหล่ “นายพูดง่าย แต่ทำยาก! ข้อแรก.. วิรงรองหมั้นกับอดิศวร์แล้ว ข้อสอง...ข้อนี้สำคัญที่สุดวิรงรองไม่ได้รักฉัน”
“ผมพูดจริงๆ นะเจ้า...คุณวิรงรองเป็นคนที่คุณลบรัก มันก็อันตรายอยู่แล้ว แต่นี่เธอหน้าตาเหมือนคุณพลับพลึงอีก”
ภูไทชะงัก “ใครบอกนาย”
“คุณวิรงรองบอกผมเองเมื่อกี้นี้”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้”
“แต่มันก็เป็นไปแล้ว”
ภูไทนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ถ้านายกลัวว่าท่านผู้หญิงจะทำอะไรวิรงรองละก็...”
พันธุ์สูรย์ขัดขึ้นทันที “เจ้าจะบอกว่าท่านแก่มากแล้วใช่ไหม!...เจ้าอย่าได้ประมาทเด็ดขาด”
“พันธุ์สูรย์...นายรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านโดมทอง”
“เชื่อผมเถอะ! อย่าได้ปล่อยวิรงรองกลับไปบ้านนั้นอีกเลย”
ภูไทมองพันธุ์สูรย์ด้วยประหลาดใจในท่าทีร้อนรนนั้น

ส่วนวิรงรองเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องพัก อย่างใช้ความคิด ในที่สุดวิรงรองเดินไปอยู่ที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นไม้ดอกสวยงามบานสะพรั่งเบื้องล่าง วิรงรองมีสีหน้าเหมือนกำลังคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น วิรงรองเดินไปเปิด บัวคำยิ้มแป้นส่งกระเป๋าให้
“คนขับรถที่ “โดมทอง” เอามาส่งให้ค่ะ”
วิรงรองแปลกใจ “ขอบใจนะบัว”
“คุณวิจะไม่ถามอะไรบ้างเลยหรือคะ” บัวถามแทน
“จะให้ถามอะไรล่ะ”
“นั่นน่ะซีคะ”
วิรงรองยิ้มแล้วปิดประตู ถือกระเป๋ามาวางแล้วเปิดออก ในกระเป๋ามีเสื้อผ้าของใช้ของเธอที่จัดมาอย่างเป็นระเบียบ
“พี่อุษาเป็นคนจัดแน่ๆ...ว่าแต่จัดเองหรือใครใช้ให้จัด”

ยามนี้ในใจวิรงรองประหวัดไปถึงท่านเค้าน์ครามครัน

ขณะที่แสงแขกำลังแปรงผมให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์ ซึ่งหน้าตาแจ่มใสผิดปกติ
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นอดิศวร์เปิดประตูเข้ามา แล้วมีสีหน้าแปลกใจที่เห็นย่าในลักษณะนั้น
ท่านผู้หญิงตบข้างๆ เตียง “ลบ...มานั่งข้างๆ ย่าซิลูก”
“ผมดีใจที่เห็นคุณย่าแจ่มใสขึ้นมาก”
“เพราะนังนั่นมันไปแล้วน่ะซิ”
อดิศวร์มองแสงแขแว่บหนึ่ง อีกฝ่ายหลบตามีพิรุธทันที
“ลบอย่าให้มันกลับมาอีกนะลูก”
อดิศวร์นิ่งไป
“แสงแขมันจงรักภักดีกับลบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร...ย่าจะจัดการให้”
“ผมหมั้นกับวิรงรองแล้วครับ”
ท่านผู้หญิงฉุนจัด “ลบ”
แสงแขเงยหน้ามองอดิศวร์อย่างผิดหวังเสียใจ
“มะรืนนี้ ผมจะไปรับวิรงรองกลับ” อดิศวร์บอก
“อย่านะ! ถ้ารักย่าอย่าให้มันมาเหยียบที่โดมนี่เด็ดขาด” ท่านผู้หญิงเสียงแข็ง
“ผมรักคุณย่ามากครับ...แต่ผมก็มีชีวิตส่วนตัวของผมด้วย...ผมอยากให้คุณย่าเปิดใจรับวิรงรอง”
“ทั้งๆ ที่มันทำลายหัวใจย่าอย่างนั้นรึ”
“วิรงรองกับคุณย่าน้อยเป็นคนละคนกัน...ผมอยากให้คุณย่ายอมรับ”
“ไม่! ย่าไม่มีวันยอมรับมันเด็ดขาด ย่าจะจองล้างจองผลาญมันไปทุกชาติ จำเอาไว้! พอแล้ว! นังแสงแข! ไม่ต้องหวีต้องเหวอมันแล้ว”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์กระชากแปรงมาเขวี้ยงทิ้ง อดิศวร์มองนิ่งๆ ขณะที่แสงแขสะดุ้ง ท่าทีหวาดกลัว

ความมืดโรยตัวครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณโดมทอง แสงไฟในห้องวิรงรองสว่างขึ้น ทั้งที่เจ้าตัวไม่อยู่ในห้อง
ภายในห้อง เป็นแสงแขที่เดินสำรวจไปทั่ว แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า แสงแขรูดมือไปตามเสื้อผ้าแล้วหยิบออกมา 1 ชุด
แสงแขหยิบชุดนั้นมาทาบทับตัวเองส่องกระจกมองอย่างพอใจ

อดิศวร์มาที่ห้องทำงาน ทำท่าจะเปิดเข้าไป แต่เกิดเปลี่ยนใจเดินมาหน้าห้องวิรงรองเปิดประตูเข้าไป
อดิศวร์มองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าแสงแขซึ่งอยู่ในชุดนอนของวิรงรอง และเบิกตากว้างมองอดิศวร์อย่างตกใจ
“คุณลบ”
“ทำอะไรน่ะแสงแข”
“แข...เอ้อ...”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกลับไปที่ห้องเธอเดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ”
แสงแขผวาตัวเข้ากอดอดิศวร์แน่น
“แขรักคุณลบ รักมานานก่อนที่นังวิรงรองมันจะรู้จักกับคุณลบเสียอีก”
“แสงแข”
อดิศวร์จับแขนแสงแขออกจากตัว
แสงแขไม่ยอม ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ทำไมคุณลบไม่รัก...ไม่เห็นใจแขบ้าง นังวิรงรองไม่ได้รักคุณลบ...มันหวังสมบัติต่างหาก”
อดิศวร์จับแขนญาติผู้น้องแล้วลากตัวไปที่ประตู
แสงแขร้องไห้คร่ำครวญ “คุณลบใจร้าย! คุณลบใจดำ”
อดิศวร์ดึงตัวแสงแขออกจากห้องวิรงรองจนได้

ออกมาหน้าห้องแสงแขยังคงร้องไห้คร่ำครวญไม่เลิก
“หยุดเดี๋ยวนี้! แสงแข! พี่บอกให้หยุด” อดิศวร์เสียงดังมาก
แสงแขพยายามกลั้นสะอื้น
“หยุด”
“หยุดแล้วค่ะ คุณลบขา...แขหยุดแล้ว”
“กลับไปที่ห้องเธอ แล้วทบทวนทุกอย่างให้ดี...” อดิศวร์เว้นอีกนิด “เราเป็นพี่น้องกัน...ไม่ใช่อย่างอื่นที่คุณย่าต้องการให้เป็น”
แสงแขพยักหน้า แล้วเดินจากไป แรงสะอื้นทำให้ตัวของเธอสั่นเทา
อดิศวร์มองตามด้วยความเวทนา

แสงแขเดินโผเผเข้ามาในห้อง แล้วยืนพิงประตู น้ำตาไหลอาบแก้ม คำพูดเสียดแทงใจของอดิศวร์ก้องอยู่ในหู
“เธอเป็นน้องพี่...พี่รักเธอกับอุษาอย่างน้อง...ไม่มีวันเป็นอื่นไปได้”
“กลับไปที่ห้อง แล้วทบทวนทุกอย่างให้ดี...เราเป็นพี่น้องกัน ... ไม่ใช่อย่างอื่นที่คุณย่าต้องการให้เป็น”
แสงแขแค้นจัด “แขไม่ได้อยากเป็นน้อง แขอยากเป็นคู่ชีวิตของคุณลบ อยากเป็นก่อนที่คุณย่าจะสนับสนุนเสียอีก”
นัยน์ตาแสงแขเป็นประกายวาววับ คำรามในคออย่างคั่งแค้น
“เพราะแกคนเดียว! นังวิรงรอง”

ท้องฟ้าคืนนี้ เห็นดวงจันทร์ยังไม่เต็มดวง แต่ก็ใกล้วันเพ็ญเต็มที ส่วนภายในห้อง อดิศวร์นอนหลับอยู่บนเตียง ฝันไป
มีเสียงเพลง “นางครวญ” ดังขึ้นอย่างโหยหวน อดิศวร์ขยับตัวเริ่มกระสับกระส่ายยิ่งขึ้น
ท่านเจ้าคุณเดินมาหยุดยืนฟัง สีหน้าเจ้าคุณเต็มไปด้วยความรัก พลับพลึงยังคงอยู่ในอารมณ์เศร้าตามเพลง
สักพักหนึ่ง มีมือใครคนหนึ่งมากระชากตัวพลับพลึงไปอย่างแรง พลับพลึงกรีดร้องก่อนจะถูกมือนั้นกระชากหายลับไป
“พลับพลึง” ท่านเจ้าคุณอุทาน
อดิศวร์ตกใจตื่น แล้วผุดลุกขึ้นนั่ง อุทานแบบเดียวกัน คำเดียวกัน
“พลับพลึง”
อดิศวร์ยกมือลูบหน้าที่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“คงจะฟังแต่เรื่องพวกนี้มากเกินไปแล้ว”

อดิศวร์ลุกเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองฝ่าความสลัวออกไป
 

โดมทองตอนที่ 11 (ต่อ)

รุ่งเช้าวิรงรองกำลังให้อาหารสัตว์อย่างเพลิดเพลิน เบิกบานใจ ภูไทเดินเข้ามาช้าๆ หยุดมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด
เสียงพันธุ์สูรย์ดังก้องในหู
“เมื่อวันก่อน ผมฝากเจ้าลานนาไปบอกเจ้าว่า ถ้ารักคุณวิรงรองจริงละก็ ให้รีบแต่งงาน”
“เชื่อผมเถอะ! อย่าปล่อยคุณวิรงรองกลับไปบ้านอีกเลย”
ภูไทตัดสินใจเด็ดขาด เดินมายืนในระยะพอสมควร”
“ตื่นเช้าจังนะครับ”
“ค่ะ...ความจริงอยากจะนอนต่ออีก...แต่เกรงใจเจ้าของบ้าน”
ภูไทยิ้ม “พูดยังกับเป็นคนอื่น”
วิรงรองเดินไปอย่างรื่นรมย์กับธรรมชาติรอบข้าง
“ที่นี่สวยจังเลย! อากาศก็บริสุทธิ์”
วิรงรองหลับตาเงยหน้าสูดอากาศด้วยท่าทีสดชื่น เหมือนจะให้เข้าไปเต็มปอด
“ถ้าน้องวิชอบที่นี่ละก็...ทำไมไม่อยู่เสียตลอดไปล่ะครับ”
วิรงรองสะดุ้ง “พี่ชาย!”
ภูไทบอกด้วยสีหน้าจริงจังและจริงใจเป็นอย่างยิ่ง “พี่พูดจริงๆ นะ ถึงเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่พี่ก็รู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับน้องวิอย่างบอกไม่ถูก”
วิรงรองอึกอัก ด้วยอึดอัด “... เอ้อ ...”
“พี่รู้ว่าน้องวิยังมีพันธะอยู่กับอิศวร์...พี่จะรอจนกว่าน้องวิจะถอนหมั้นจากเขา”
วิรงรองมีสีหน้าท่าทางอึดอัด ไม่สบายใจอย่างยิ่ง

ด้านพันธุ์สูรย์ยืนกอดอกพิงประตูออฟฟิศ มองดูภูไทเดินเข้ามาด้วยสีหน้าค่อนข้างหนักใจ
“หน้าตาไม่ค่อยดีเลยนี่ครับ”
“ไม่รู้ว่าฉันจริงจังไปหรือเปล่า”
“จริงจังน่ะดี แต่อย่าให้มันจริงจนเครียดกันไปหมด”
ภูไทประชดนิดๆ “ลืมไปว่านายเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
ภูไทพูดพลาง ทรุดตัวลงนั่ง
“ของผมมันคนละกรณีกับของเจ้า...” เว้นนิด และยักไหล่ “แต่ลงท้ายอาจจะแห้วเหมือนกัน”
ภูไทฉุน “ไอ้บ้า”
พันธุ์สูรย์หัวเราะชอบใจ

ขณะเดียวกันลานนากำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก อบรมจอมซุ่มซ่าม
“จะทำอะไรก็อย่ารีบร้อน...ต้องมีสติ...เข้าใจมั้ย! เพราะถ้าไม่มีสติ...ก็จะพลอยไม่มีสตางค์ไปด้วย”
บัวคำตบเข่าฉาด “ถูกเพ็งเลยค่ะ บัวถูกหักสตางค์ทุกเดือนเลยก็เพราะทำไอ้โน่นแตก ไอ้นี่หักอยู่เรื่อย” พลางเบิกตากว้าง “ว้าว”
“ดีใจเรอะ! ที่ถูกหักเงิน”
“เปล่าค่ะ” บัวคำพยักพเยิดไปข้างหลังลานนา
ลานนามองตาม แล้วรีบลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นอดิศวร์ยืนอยู่
ลานนาไหว้ “มาพบพี่ชายหรือคะ” แกล้งถามไปอีกอย่าง
อดิศวร์รับไหว้พร้อมกับบอก

“ผมมารับวิรงรอง”

โดมทองตอนที่ 11 (ต่อ)

พอลานนามาบอกถึงในห้อง วิรงรองก็โวยวายทันที

“อะไรกัน! มารับตั้งแต่ตอนนี้เลยเรอะ”
“รับตอนไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าวิจะยอมกลับไปกับเขาหรือเปล่า”
วิรงรองนิ่งไป
“คิดให้ดีนะวิ ถ้ากลับไปก็เท่ากลับตัวเองยอมรับว่าเป็นคู่หมั้นเขา”
วิรงรองเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามา
“วิ”
วิรงรองนั่งลง “อย่าโกรธวิเลยนะ...ลานนา วิมีบางสิ่งบางอย่างรอการคลี่คลายอยู่ที่นั่น...ถึงวิไม่กลับไป...สิ่งนั้นก็จะตามมาคอยรบกวนให้วิหาความสุขไม่ได้อยู่ดี”
ลานนามาทรุดตัวลงนั่งฟัง
“วิยังไม่ได้เล่าให้ฟังใช่ไหมว่า วิเคยฝันถึง “โดมทอง” ตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วภาพในฝันก็เหมือนจริงไม่มีผิดเพี้ยน ... ต่างกันแต่ว่า “โดมทอง” ในความฝันนั่นเป็นคฤหาสน์ร้าง”
ลานนายิ่งกังวลจับมือไว้ “อย่ากลับไปเลยวิ”
วิรงรองขยับจะปฏิเสธ
“เราไม่ได้ห้ามเพราะไม่เชื่อ...แต่ห้ามเพราะเราเชื่อ...เชื่อว่ามีสิ่งชั่วร้ายอยู่ที่นั่น”
วิรงรองบีบมือลานนาปลอบกลับ แล้วลุกขึ้นเก็บข้าวของลงกระเป๋า
ลานนามองวิรงรองด้วยความเป็นห่วงปนกังวล

รถอดิศวร์แล่นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางกลับโดมทอง บรรยากาศเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ 2 ข้างทาง มีรถแล่นตาม และสวนบ้างเป็นระยะ ภายในรถ ต่างฝ่ายต่างนิ่ง
อดิศวร์พูดขึ้นในที่สุด “คืนนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ”
วิรงรองหันมามองด้วยความประหลาดใจ
“เธอเคยบอกว่า เห็นคนหน้าตาเหมือนฉันขับรถม้ามาหยุดใต้หน้าต่างโดม”
อดิศวร์ชำเลืองมองวิรงรองขณะพูด อีกฝ่ายกำลังมองอยู่อย่างตั้งใจฟัง
“คืนนี้! เราจะพิสูจน์กันว่า ฉันไม่ใช่คนๆ นั้น”
วิรงรองตื่นเต้นสุดๆ แต่พยายามระงับอารมณ์ “ขอบคุณมากค่ะ”
“ห้าทุ่มฉันจะรออยู่หน้าห้องเธอ”
“ค่ะ”
วิรงรองเอนตัวพิงพนัก ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งใจ

กลางดึกคืนนั้น ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลกระจ่างตาอยู่เหนือยอดโดม แสงจันทร์นวลยังสาดส่องไปทั่วบริเวณอาณาเขตโดมทองให้ดูสวยงาม และลึกลับ
ประตูห้องค่อยๆ แง้มออก แล้ววิรงรองก้าวออกมาในชุดรัดกุมพร้อมไฟฉายในมือ มือใครคนหนึ่งคว้าข้อมือวิรงรองไว้
วิรงรองอ้าปากเกือบร้องออกมา พอดีอดิศวร์พูดขึ้นก่อน
“ฉันเอง” อดิศวร์เว้นนิด “เธอคิดว่าเป็นใครหรือ”
“จะไปทราบหรือคะ”
อดิศวร์เปิดไฟฉายชองตัวเอง “เอาไฟฉายของเธอไว้นี่แหละ”
อดิศวร์ดึงไฟฉายจากมือวิรงรอง วางไว้บนโต๊ะบริเวณนั้น แล้วพาเดินไป
แต่วิรงรองพยายามดึงมือออก “ดิฉันเดินเองก็ได้”
อดิศวร์ยังจับไว้แน่น “อย่าดื้อ” และจูงวิรงรองไปจนได้

บริเวณใกล้ประตูซึ่งปิดไฟมืด แสงไฟฉาย ส่องกราดนำมาก่อน อดิศวร์จูงมือวิรงรองเดินมา จังหวะนั้นวิรงรองมองผ่านมุมหนึ่ง แล้วสะดุ้ง เมื่อเห็นพิศยืนมองมาจากมุมนั้น ใบหน้าน่ากลัว
วิรงรองพูดแทบไม่มีเสียง “คุณอดิศวร์” หยุดเดินกระตุกมืออดิศวร์
“อะไร”
“ดูตรงมุมนั้นซิคะ” วิรงรองชี้มือโดยที่ตัวเองไม่หันไปมอง
อดิศวร์มองตามมือไป แต่บริเวณนั้นว่างเปล่า!
“ไม่เห็นมีอะไรนี่” อดิศวร์พูดพลางใช้ไฟฉายส่องกราด
วิรงรองหันมาดู “หายไปไหนแล้ว”
“เธอเห็นใคร”
“ผู้หญิงแก่ๆ แต่งตัวโบราณ...ยืนจ้องดิฉันเขม็งเลยค่ะ”
อดิศวร์ปล่อยมือวิรงรอง แล้วเดินไปเปิดไฟ
ภายในบริเวณนั้นไม่ปรากฏแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต
“เธอคงตาฝาด”
วิรงรองบอกอย่างหนักแน่น “ไม่ฝาดแน่นอนค่ะ ดิฉันเห็นแกมาตั้งหลายครั้งแล้ว”
อดิศวร์ดึงแขนวิรงรองไป “อย่ามัวเสียเวลากับผีกระจิบกระจอกนี่เลย เดี๋ยวจะพลาดผีสำคัญ”
วรงรองค้อนอดิศวร์โดยไม่ตั้งใจ แล้วเดินตามออกไป
ผีนางพิศปรากฏตัวขึ้นอีก มองตามสองคน

สองคนอยู่นอกบ้านแล้ว อดิศวร์ปิดประตูบ้านแล้วจูงวิรงรองมาหลบในบริเวณใต้ร่มไม้ใบบัง ทั้งสองมองออกไป... แต่บริเวณนั้นสว่างนวลด้วยแสงจันทร์ มีหมอกควันจางๆ ลอยอยู่
“ปกติ...เขาจะมากี่โมง”
“ประมาณ 2 ยาม ถึงตีหนึ่งค่ะ”
อดิศวร์ดูนาฬิกา “ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง...ถ้าง่วงก็นอนหลับไปก่อน...เขามาเมื่อไหร่ฉันจะปลุก”
“ดิฉันไม่ง่วงค่ะ”
ทั้ง 2 นั่งกันเงียบๆ มองออกไป
อดิศวร์ถามขึ้นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “เธอคบกับพิชญ์มากี่ปี”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ”
“สองปีถึงมั้ย”
วิรงรองนิ่งไม่ตอบอดิศวร์นิ่งไป
ทั่วบริเวณโดมทอง ที่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ หมอกจางยังลอยอ้อยอิ่ง เวลาล่วงผ่านไป วิรงรองง่วงจัดหลับคอพับคออ่อน แต่พยายามจะฝืนไว้
อดิศวร์ทอดสายตามองไปยังจุดเดิม ในที่สุดศีรษะวิรงรองพิงซบไหล่อดิศวร์จนได้
อดิศวร์หันมามอง สีหน้าแววตาปรากฏความเอ็นดูอยู่เต็มๆ
อดิศวร์ยกข้อมือดู ที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นตีหนึ่ง อดิศวร์ขยับตัวด้วยความเมื่อย
วิรงรองตื่นและรีบนั่งตัวตรง “ขอโทษค่ะ ... เอ้อ ... กี่โมงแล้วคะ”
“ตีหนึ่ง”
“ตายจริง! ทำไมยังไม่มาอีก”
วิรงรองลุกขึ้นชะเง้อมองไป อดิศวร์มองท่าทีของวิรงรองพลางครุ่นคิด

ส่วนที่หน้าโรงเก็บรถม้า ยันต์ที่แสงแขนำมาติดยังแปะอยู่เหนือประตู และเวลานี้มีเสียงตึงตังโครมครามคล้ายๆ ใครคนหนึ่งพยายามจะขับรถออกมา แต่ก็ออกมาไม่ได้ ประตูสั่นสะเทือน แต่ก็เปิดออกไม่ได้

อดิศวร์มองสำรวจไปทั่วบริเวณอาณาเขตโดมทอง ก่อนจะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
“ตีสองแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเลย”
วิรงรองหันขวับมามอง “คุณหาว่าดิฉันโกหก”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”
“ก็คุณบอกว่าตีสองแล้ว...ยังไม่เห็นมีวี่แววเลย”
“ก็ใช่”
“นั่นไง! คุณยอมรับแล้ว”
“ฉันยอมรับว่า ฉันพูดอย่างนั้น ....แต่ไม่ได้ว่าเธอโกหก”
วิรงรองเม้มปากเดินออกไป
“นั่นจะไปไหน”
วิรงรองไม่ฟัง รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
อดิศวร์ตามไปจับแขนไว้ “จะไปไหน”
“ไปดูที่โรงเก็บรถม้าเก่าค่ะ”
“จะเอาให้ได้เลยนะ”
“ใช่ ! คุณจะได้ไม่หาว่าฉันโกหกไง”
วิรงรองดึงแขนออก รีบเดินออกไป อดิศวร์ส่ายหน้าขณะตาม

ประตูโรงเก็บรถม้ายังสั่นโครมๆ ขณะที่มีเสียงทั้ง 2 คนเถียงกันดังแว่วเข้ามา
“เดินช้าๆ ก็ได้” เสียงอดิศวร์ใกล้เข้ามา
ประตูหยุดสั่นทันที จังหวะที่วิรงรองเดินเข้ามา ติดตามด้วยอดิศวร์
ทั้ง 2 มาหยุดอยู่หน้าโรงรถม้า เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังมองมายังคนทั้งสอง
อดิศวร์และวิรงรองมองโรงรถม้านั่นด้วยความรู้สึกต่างกัน
“เธอจะบอกว่า ผีรถม้าอยู่ในนั้นหรือ”
วิรงรองค่อยๆ หันกลับมาสบตาลบช้าๆ แน่วแน่
“ดิฉันกำลังจะบอกว่า คุณคือผู้ชายคนที่ดิฉันเห็น”
“อ้าว”
“ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนี้ แต่ต่อมา มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ดิฉันเริ่มเชื่อว่า เป็นวิญญาณคุณปู่ของคุณ...แต่ตอนนี้ ฉันกลับมาได้คิดใหม่ว่าเป็นคุณแน่ๆ”
“แล้วรูปที่เหมือนฉันนั่นล่ะ”
“ก็คุณนั่นแหละที่เป็นแบบให้วาด แล้วท่านผู้หญิงก็เชื่อว่า นั่นเป็นรูปของคุณ”
“เอาล่ะ...แล้วฉันจะทำแบบนี้ทำไม”
“คุณก็บอกมาซิคะว่า ทำแบบนี้ทำไม”
อดิศวร์ส่ายหน้า แล้วออกเดินย้อนกลับไป
วิรงรองตาม “คุณอดิศวร์”
ระหว่างนี้เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังมองตามสองคนไป

วิรงรองวิ่งตามมาขวางหน้าอดิศวร์ซึ่งเดินก้าวยาวๆ ไม่รีบร้อนมาตามทาง
“คุณทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร”
“คุณต้องใส่อะไรบางอย่างลงในน้ำกับอาหารให้ฉันกินเพื่อให้ฉันเกิดภาพหลอนทั้งหมด...ฉันจะได้เหมือนคนบ้า... พิชญ์จะได้เกลียดฉัน”
“อ่านหนังสือพวกฆาตกรรมอำพรางหนักไปหรือเปล่า” อดิศวร์เหน็บ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ คนอย่างฉันไม่มีวันแย่งสามีใครแน่”
“ตีสามแล้ว กลับไปนอนสงบสติอารมณ์ น่าจะมีประโยชน์กว่า”
อดิศวร์เดินตรงไปที่ตัวบ้าน
วิรงรองมองซ้ายมองขวาด้วยความขัดอกขัดใจ แล้วตัดสินใจเดินตามอย่างหงุดหงิด

วิรงรองเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด ว้าวุ่นและสับสน
ภาพเหตุการณ์ที่มีท่านเจ้าคุณ พลับพลึง ตลอดจนท่านผู้หญิงตะเพิดไล่ และเสียงเพลง นางครวญ ของพลับพลึงผุดเข้ามา ในห้วงความคิด
เมื่อภาพเหล่านั้นเลือนหายไป วิรงรองเดินมานั่ง “ถ้าหากเป็นคนละคนจริง...แล้วทำไมคืนนี้...คืนที่คุณอดิศวร์อยู่ด้วย ... เขาคนนั้นถึงไม่มาปรากฏตัว”
วิรงรองยกมือสองข้างกุมขมับ

ด้านอดิศวร์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองผ่านแสงจันทร์ไปเบื้องหน้าอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ภาพท่านผู้หญิงไล่อดิศวร์ และเรียกวิรงรองว่าพลับพลึง ผุดเข้ามาในห้วงความคิดชายหนุ่ม
ตามมาด้วยภาพเหตุการณ์ที่อดิศวร์พบรูปเจ้าคุณปู่ และรูปพลับพลึง ในห้องเก็บของ เหตุการณ์ต่อมา อดิศวร์นึกภาพเศษกระจกกรอบรูปพลับพลึงแตกละเอียด และรูปพลับพลึงที่ถูกท่านผู้หญิงฉีกกระจาย
ภาพเหล่านั้นหายไป สีหน้าอดิศวร์เหมือนตัดสินใจเด็ดขาด

อดิศวร์เดินเข้ามาในบริเวณทางขึ้นห้องใต้โดม พร้อมเครื่องมืองัดกุญแจและไฟฉาย อดิศวร์เดินเข้ามาหยุดตรงประตู เอาคีมคล้องกุญแจเตรียมตัด
“ลบจะทำอะไรหรือลูก” เสียงท่านผู้หญิงดังขึ้น

อดิศวร์สะดุ้งเฮือก แล้วหันขวับไปมอง พร้อมฉายไฟตรงไป

โดมทองตอนที่ 11 (ต่อ)

อดิศวร์เห็นท่านผู้หญิงสรรักษ์นั่งบนเก้าอี้โยก ในเสื้อนอนตัวโคร่งสีขาว มองดูเหมือนภูตผีปีศาจมากกว่าคนจริงๆ

“คุณย่า...คุณย่ามานั่งตรงนี้ทำไม...มานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” อดิศวร์ประหลาดใจสุดๆ
“ย่าชอบมานั่งที่นี่”
“หมายความว่า...คุณย่ามานั่งที่นี่บ่อยๆ” อดิศวร์ฉงนหนัก
“ใช่...ลบพาย่ากลับห้องซิ”
อดิศวร์พยุงท่านผู้หญิงเดินกลับไปที่ห้อง

ประตูห้องนอนท่านผู้หญิงเปิดออก อดิศวร์พาย่าเข้ามา แล้วเอื้อมมือจะเปิดสวิชท์ไฟ
“อย่า! ไม่ต้องเปิด”
อดิศวร์ชะงัก แล้วพาท่านมาที่เตียง
“อุไรนอนยังไงถึงไม่รู้ว่าคุณย่าเดินออกไปข้างนอก”
อดิศวร์เดินไปที่อุไร
“อุไร”
“ไม่ต้องปลุกมัน ให้มันนอนเถอะ...พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า”
อดิศวร์หันมาทางท่านผู้หญิง ซึ่งดูจะมีเมตตาผิดปกติ
“ลบ! ไปนอนเถอะ...ย่าก็จะนอนเหมือนกัน...ง่วง”
ท่านผู้หญิงเอนตัวลงนอน อดิศวร์จัดการห่มผ้าห่มให้อย่างเรียบร้อยแล้วจะออกไป
“ลบ”
อดิศวร์หันมา “ครับ”
“ถ้าลบรักย่า...อะไรที่ย่าห้าม...ลบก็อย่าทำนะลูก”
“แต่ผม...” อดิศวร์ท้วง
“แล้วเอาไว้วันหนึ่ง ย่าจะเล่าให้ลบฟัง”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หลับตาลง อดิศวร์เปิดประตูเดินออกไป


เช้ามืด ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบน้ำที่เห็นเป็นเส้นเดียวกับขอบฟ้าขึ้นมา เกลียวคลื่นในทะเลวิ่งไล่กันซัดสู่ฝั่ง ชายหาดสวยสงบเงียบสงัด
ส่วนในโดมทอง อุษาเดินจะตรงไปที่ครัว
“อุษา” เสียงอดิศวร์เรียก
“คะ” อุษาหันมา
“ให้อุไรไปพบพี่ที่ห้องทำงานหน่อย”
“ได้ค่ะ”
อุษามีสีหน้าประหลาดใจขณะมองตามอดิศวร์ที่เดินลับตัวไป

ทุ่งพลับพลึงปลิวไหว ตามลมยามเช้า อดิศวร์อยู่ในห้องทำงาน วางโทรศัพท์ลง ขณะมีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก อุไรเดินเข้ามาประสานมือสงบเสงี่ยมตรงหน้าอดิศวร์
“ปกติคุณย่าลุกขึ้นเดินออกจากห้องกลางดึกบ่อยไหม”
“อ๋อ! ไม่เคยเลยค่ะ”
“แน่ใจหรือ”
อุไรชักลังเล “ความจริง อุไรแน่ใจนะคะ...แต่พอคุณลบถาม อุไรก็เลยไม่ค่อยแน่ใจค่ะ”
“เมื่อคืน ฉันพบคุณย่าที่ห้องบันไดเวียน”
“อ้าว! ท่านไปทำอะไรที่นั่นล่ะคะ”
“ฉันกำลังถามอยู่นี่ไง”
“คุณลบถามอุไรหรือคะ” อุไรยิ้มแห้งๆ
“ใช่”
“ตอบตามตรงเลยนะคะ...ไม่ทราบค่ะ”
“ฉันให้เราไปนอนเฝ้าคุณย่า...ไม่ใช่ให้คุณย่าคอยเฝ้าเรา”
“เป็นอย่างนั้นแน่นอนค่ะ” อุไรว่า
“แต่เมื่อคืนมันคนละอย่างกันเลย”
อุไรหน้าจ๋อยๆ
“อย่าให้ฉันเห็นอย่างนั้นอีก...ไปได้”
อุไรเดินไป 2-3 ก้าว แล้วหันกลับมา
“คุณลบคะ”
อดิศวร์เงยหน้าขึ้นมอง
“อุไรว่ามันแปลกนะคะ...ปกติอุไรเป็นคนนอนไว !...แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกตัวตอนที่ท่านผู้หญิงออกไปจากห้อง...แล้วก็แปลกด้วยที่ท่านเดินไปถึงที่นั่นได้ยังไงทั้งๆ ที่มืดตึ๊ดตื๋อขนาดนั้น”
“ไม่แปลกหรอก ! เพราะฉันสรุปได้ว่า ทั้งหมดนี่เป็นเพราะอุไรขี้เซา”

วิรงรองเดินออกมาจากห้อง พร้อมเสื้อผ้าแสงแข แต่ชะงักเมื่อเห็นอุษายืนอยู่
อุษามองเสื้อผ้าในอ้อมแขนวิรงรอง แล้วนิ่วหน้า
“นั่นเสื้อผ้าของแสงแข”
“หรือคะ...วิเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อกี้นี้เอง...เพราะซุกอยู่มุมห้อง...ยังแปลกใจเลยว่าของใคร”
อุษานิ่วหน้า “แล้วเสื้อผ้าแสงแขเข้าไปอยู่ในห้องน้องวิได้ยังไง”
อุษายื่นมือมารับ...วิรงรองส่งให้
อุษาชั่งใจนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจพูด “พี่ต้องขอโทษที่โกรธน้องวิโดยไม่มีเหตุผล”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ถ้าวิเป็นพี่อุษา วิก็ต้องรู้สึกอย่างเดียวกัน ...แต่ในความเป็นจริง วิไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย”
“แล้วน้องวิจะทำยังไงต่อไปคะ”
“วิอยากกลับบ้าน ... วิเหนื่อยเหลือเกิน”
“คุณลบรักน้องวิ”
วิรงรองยิ้มเยาะตัวเอง “เขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น แต่ความจริง ไม่ใช่แน่นอนค่ะ”
อุษายืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินไป
“แล้วเรื่องของพี่อุษากับคุณพันธุ์สูรย์ล่ะคะ” วิรงรองถามขึ้น
อุษายืนนิ่งอีกครั้ง แล้วเดินไป วิรงรองทอดถอนใจยาว

ขณะเดียวกันที่หน้าโรงเก็บรถม้า สมเดินผ่านบริเวณนั้น มีเสียงเอะอะโครมครามดังขึ้น สมหันไปดู ประตูเหมือนมีคนเขย่า สมเดินเข้าไปใกล้ แล้วหยิบกุญแจที่คล้องเอว ติดตัวไว้มาเปิด สมถึงกับเซถลาด้วยมีลมบริเวณนั้นปะทะตัวอย่างรุนแรง
“ลมอะไร”
สมเดินเข้าไปดูภายในอย่างสำรวจตรวจตรา ภายในนั้นทุกอย่างเป็นปกติ สมส่ายหน้างงๆ แล้วออกมาปิดประตูตามเดิม
สมล็อคกุญแจ แล้วมองสำรวจจนทั่ว สายตาไปหยุดที่แผ่นยันต์ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วจึงเปิดประตูใหม่ สมเข้าไป พร้อมบันไดพาด ปีนขึ้นไป แล้วดึงแผ่นยันต์มาดู
“ใครเอามาแปะ”
สมก้มลงมองยันต์นั้นเพ่งพิศ

ไม่นานต่อมาอดิศวร์รับยันต์แผ่นนั้นมาจากสม
“ไม่ทราบใครเอาไปแปะไว้ที่เหนือประตูโรงเก็บรถม้าครับ”
อดิศวร์พลิกดูแผ่นยันต์เพ่งพิศ “สมเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมเพิ่งสังเกตเมื่อกี้นี้เองครับ ตอนเดินผ่านอยู่ดีๆ ประตูดังโครมครามเหมือนมีคนเขย่าอยู่ข้างใน...ผมเข้าไปดู ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ แต่พอปิดประตูกลับเห็นยันต์นี่ติดอยู่...ไม่ทราบว่าใครเอามาติดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ขอบใจมาก...สมไม่ต้องเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ”
“ครับ...คุณลบ”
สมเดินออกไป
อดิศวร์มองยันต์ในมืออย่างใคร่ครวญครุ่นคิด

พันธุ์สูรย์ยืนจิบกาแฟอยู่ที่เทอเรซบ้านภูไท ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างใช้ความคิด แล้วเห็นรถยนต์คันหนึ่ง แล่นเข้ามาจอด
พันธุ์สูรย์มองด้วยความแปลกใจ จนกระทั่งอนิรุทธิ์เปิดประตูก้าวลงมาพันธุ์สูรย์เดินไปรับ
“คุณอนิรุทธิ์ !
อนิรุทธิ์ยื่นมือให้จับ “สวัสดีครับ”
พันธุ์สูรย์จับมือทักทาย “เจ้าภูไทกับเจ้าลานนาไม่อยู่ ออกไปธุระได้สักครู่ใหญ่ๆแล้ว...เดี๋ยวก็คงกลับ”
“ไม่เป็นไร ผมอยากคุยกับคุณพันธุ์สูรย์มากกว่าสองคนนั่น”
พันธุ์สูรย์นิ่วหน้า
อนิรุทธิ์รีบชิงพูดขึ้นก่อน “เจ้าภูไทน่ะโอเค ละครับ แต่ว่าเจ้าน้องนั่นคอยขัดคอผมอยู่เรื่อย” นายทหารเรือเว้นนิด “ ผมเป็นห่วงวิรงรอง” สีหน้าอนิรุทธิ์ดูจริงจังมาก

พันธุ์สูรย์พาอนิรุทธิ์เดินเข้ามาในออฟฟิศ
“เชิญนั่ง”
อนิรุทธิ์ทรุดตัวลงนั่ง พลางมองไปโดยรอบที่จัดเรียบๆ แต่สวยด้วยกล้วยไม้ประดับตามมุมต่างๆ พันธุ์สูรย์วางถ้วยกาแฟของตัวเอง พลางเดินไปชงกาแฟ แล้วกลับมาวางให้
“ขอบคุณ” นายทหารเรือยกขึ้นจิบ
“คุณรู้จักวิรงรองดีขนาดไหน”
“ก็ขนาดกลับไปนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงเธอ...นี่ถ้าหากผมไม่ต้องกลับกรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้น ผมคงซักเอาความจริงให้ได้ว่าเหตุการณ์เป็นยังไงกันแน่ บอกตรงๆ เลยว่า คนบ้านนั้นดูแปลกๆ...ขนาดจัดงานรื่นเริงผมก็ยังรู้สึกได้ว่า พวกเขาไม่ได้รื่นเริงกันจริงๆ...ทุกอย่างมันเหมือนการแสดงมากกว่า”
อนิรุทธิ์พูดจนเห็นภาพภายในงาน ที่เห็นอุษาเคร่งขรึม ส่วนแสงแขเหมือนซ่อนลับลมคมในตลอด ฟากท่านผู้หญิง นัยน์ตาวาว ราวกับจะรอประกาศชัยชนะบางอย่าง ขณะที่อดิศวร์เองก็ดูเย็นชามาก
พิชญ์และพิณทองดูหมางเมินต่อกัน ขณะที่วัชรีและแก้ว ซุบซิบนินทาตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับพจน์ ซึ่งเฮฮาอารมณ์ดีท่ามกลางคนที่มาทักทาย และทำความเคารพ
อนิรุทธิ์ยังคงเล่าความคลางแคลงใจออกมา
“วิเองก็ดูแปลกๆ”
ภาพวิรงรองกลับมาพร้อมภูไท ในสภาพที่ไม่รู้ตัวว่าถูกประกาศหมั้น
อนิรุทธิ์บอกอย่างมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง “ผมว่า วิรงรองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่านายอดิศวร์นั่นจะประกาศหมั้น”
พันธุ์สูรย์มองอนิรุทธิ์ทึ่งๆ “ผมไม่คิดเลยว่า คุณจะช่างสังเกตขนาดนี้...เห็นทะเลาะกับเจ้าลานนาตลอด!...ดีละ! ในเมื่อคุณเห็นความผิดปกติขนาดนี้ก็ควรจะรีบพาเพื่อนออกมาให้พ้นจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
อนิรุทธิ์มีสีหน้าหนักใจ

ฝ่ายภูไทและลานนา เดินเข้ามาในบ้านเหมือนกลับจากธุระข้างนอก บัวคำรีบถลาเข้ามารายงาน และด้วยความรีบร้อนเช่นเคย บัวคำลื่นไถลมาหยุดที่เท้าภูไทพอดี รีบยึดขาไว้ แล้วเงยหน้ารายงาน
“นายทหารเรือมาอีกแล้วค่ะคุณพันธุ์สูรย์พาไปคุยที่ออฟฟิศ ! ไม่ยอมคุยที่นี่ค่ะ”
“จะมาล้วงความลับอะไรพี่พันธุ์สูรย์ล่ะ” ลานนาหมั่นไส้
“บัวจะไปสืบมาให้นะคะ”
บัวคำขยับลุกขึ้นทันที
“ไม่ต้อง”
ภูเดินจะออกไป ลานนารีบตาม
ภูไทหันกลับมา “ถ้าจะตามมาต้องสัญญาก่อน”
“ได้ค่ะ”
“ห้ามแทรกแซงหรือขัดคอใครเด็ดขาด”
ลานนายกมือขึ้น “สัญญาค่ะ”
ภูไทเดินออกไป ลานนารีบตาม

ด้านอนิรุทธิ์ขณะกำลังพูดคุยกับพันธุ์สูรย์ ต้องอ้าปากค้าง แล้วกลืนน้ำลาย พันธุ์สูรย์หันมามองตาม เห็นภูไทและลานนายืนอยู่ ลานนาท้าวสะเอวมองหมิ่นๆ เดินเข้ามา
“คุณทหารเรือมาแล้วคนนี้นี่เอง! วันนี้มีอะไรมาโฆษณาชวนเชื่ออีกล่ะคะ”
“ยัยน้อง...ง....” เจ้าภูไทลากเสียงปราม
“ผมแค่แวะมาขอข้อมูลของ “โดมทอง” จากคุณพันธุ์สูรย์เท่านั้นเอง” อนิรุทธิ์บอก
“ขอโทษ ! แล้วคุณมารู้จักสนิทสนมกลมเกลียวกับพี่พันธุ์สูรย์เมื่อไหร่มิทราบ”
ภูไทชักฉุน “เอ๊ะ! ยัยน้องนี่! ผมต้องขอโทษคุณอนิรุทธิ์ด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ! ผมไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว”
ลานนาเม้ง “นี่”
“ขอผมพูดบ้างครับ”
ทุกคนหันมามองพันธุ์สูรย์
“ผมคุยกับคุณอนิรุทธิ์ ตั้งแต่เขามาที่บ้านครั้งแรก...”
อนิรุทธิ์พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้อง”
ลานนาถลึงตาใส่ อนิรุทธิ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พันธุ์สูรย์เล่าต่อ
“วันนั้นคุณอนิรุทธิ์ทะเลาะกับเจ้าลานนา...”
อนิรุทธิ์ยกมือขอพูด “ความจริง! ลานนาเป็นฝ่ายทะเลาะกับผมเองต่างหาก”
ลานนาแค้นจัดชี้หน้าอนิรุทธิ์ และอ้าปากจะใส่อนิรุทธิ์
ภูไทขัดขึ้นเสียงเข้ม “ลานนา ! พี่ขอร้อง”
“แล้วทำไมพี่ชายไม่ห้ามอีตานั่นบ้างล่ะคะ”
“ก็เพราะพี่อยากฟังเรื่องที่ พันธุ์สูรย์จะเล่าให้คุณอนิรุทธิ์ฟังน่ะซิ…พี่รู้ว่า เขายังไม่ได้เล่าให้เราฟังทั้งหมด” ภูไทหันมาทางพันธุ์สูรย์ “ใช่มั้ย...พันธุ์สูรย์”
“เพราะผมไม่ได้รู้ทั้งหมดน่ะซีครับ!... คนที่รู้ทั้งหมด คือ คุณพ่อของผม ซึ่งท่านแก่มากแล้ว อีกอย่างท่านคงไม่อยากจะรื้อฟื้นความหลังที่ไม่มีอะไรน่าจดจำสักเท่าไหร่หรอก...”
“งั้นก็เล่ามาให้หมด ตามที่นายรู้ก็แล้วกัน” ภูไทบอก
“มันก็ไม่มีอะไรมาก...นอกจากเป็นการคาดเดา ที่คุณพลับพลึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเท่านั้น” พันธ์สูรย์เว้นไปอีกนิด “ ซึ่งที่ผมไม่เล่ารายละเอียดตั้งแต่แรกก็เพราะเห็นว่า ทุกข้อสันนิษฐานมันก็มาจบตรงที่เดียวกันคือคุณพลับพลึงหายไป เพราะทนความบีบคั้นจากท่านผู้หญิงมณฑาไม่ไหว”
สีหน้าแต่ละคนตั้งใจฟัง

วิรงรองนั่งท้าวคางแจกันปักดอกพลับพลึงช่อใหญ่ อย่างใช้ความคิด
“คุณพลับพลึงพยายามจะบอกอะไรดิฉันคะ...ดิฉันถึงได้ฝันถึงคุณพลับพลึงอยู่บ่อยๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น วิรงรองลุกเดินไปที่ประตู ทำท่าจะเปิด แต่แล้วก็ตัดสินใจถามก่อน
“ใครคะ”
“ฉันเอง” เสียงอดิศวร์ดังขึ้น
วิรงรองปล่อยมือจากลูกบิดประตูทันที
“คืนนี้ 5 ทุ่มเราจะออกไปดูผู้ชายขับรถม้าด้วยกันใหม่”
วิรงรองได้ฟัง รีบเปิดประตูทันที
“เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน” อดิศวร์บอก
“ทำไมคะ” วิรงรองแปลกใจมาก
“ก็เธออยากจะพิสูจน์ให้ฉันเห็นนักหนาไม่ใช่เรอะ”
อดิศวร์เดินไปเงียบๆ วิรงรองมองตามงงๆ
“นึกอะไรขึ้นมา”

ด้านลานนาฟังพันธุ์สูรย์เล่าจบถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึงก็ผิดนะคะ....ผิดศีลข้อกามาฯ เสียด้วย ....แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณพลับพลึงหายไปไหน ... และทำไมวิรงรองถึงได้หน้าตาเหมือนคุณพลับพลึงเป๊ะ…แหม อยากเห็นตัวจริงคุณพลับพลึงจัง”
“คืนนี้จุดธูปอันเชิญวิญญาณท่านมาซิครับ” อนิรุทธิ์เย้า
ลานนาปรี๊ดแตก “บ้า! อีตาบ้า”
“นายคิดว่า ท่านผู้หญิงมีส่วนกับการหายตัวไปของคุณพลับพลึง” ภูไทถามความเห็น
“ไม่มากก็น้อย! เพราะท่านผู้หญิงเป็นคนไล่คุณพลับพลึงออกจากบ้าน” พันธุ์สูรย์มั่นใจ
“แล้วท่านไปอยู่กับใครคะ”
“ไม่มีใครทราบครับ ท่านหายไปนับตั้งแต่นั้น...บางคนก็บอกว่าท่านรู้สึกผิดเลยไปอยู่ต่างจังหวัด...บางคนบอกว่า ท่านหนีตามผู้ชายไป...ท่านเจ้าคุณตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่พบ” พันธุ์สูรย์ว่า
“เรื่องก็เลยจบแบบ Happy ending สำหรับท่านผู้หญิงที่ได้สามีกลับคืนมา” ภูไทบอก
พันธุ์สูรย์ส่ายหน้า “ถ้ามีความสุข ! แล้วจะคลุ้มคลั่งแบบนี้หรือ”
อนิรุทธิ์มีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดขณะพูด “เป็นไปไม่ได้ที่วิรงรองจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณพลับพลึง...ดีไม่ดี วิอาจจะเป็นหลานยายหรือไม่ก็หลานย่าของท่าน” อนิรุทธิ์ถามลานนา “คุณเป็นเพื่อนสนิทของวิ ...เคยเห็น คุณย่าหรือคุณยายของวิบ้างไหม”
ลานนาส่ายหน้า “ไม่เคย! รู้แต่ว่า ทั้งคุณย่ากับยายของวิเสียไปตั้งแต่วิยังเล็กๆ”
“ถ้าอย่างนั้น...คนที่พอจะตอบได้ก็คือ คุณแม่ของวินั่นเอง”

อนิรุทธิ์พูดอย่างหมายมาด

อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น