xs
xsm
sm
md
lg

โดมทอง ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดมทอง ตอนที่ 2

ไม่นานนัก วิรงรองเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับเข้าไปวางช่อพลับพลึงในอ่างล้างหน้า แล้วออกมาหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคุยบนเตียง

“ว่าไงครับ” อนิรุทธิ์รับสายขณะขับรถอยู่ระหว่างทางไปทำงาน
“ช่วยหน่อยซิรุทธิ์ ช่วยเซิร์ชประวัติบ้านโดมทองให้หน่อย จะโทร.ไปถามคุณป้าสุรภี ท่านก็กลับไปอเมริกาแล้วซิ”
“ได้ครับ...แต่ต้องรอให้ผมกลับจากงานเย็นนี้..มีอะไรหรือเปล่า”
“โอ๊ย!..จาระไนยไม่หมด”
จังหวะนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
วิรงรองหันไปมอง “มีคนมา..แค่นี้ก่อนนะ..แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
วิรงรองปิดโทรศัพท์ แล้วเดินไปที่ประตู
“ใครคะ”
“อุษาค่ะ” เสียงตอบกลับมา
วิรงรองเปิดประตูออก เห็นอุษายืนอยู่
“ออกไปเดินเล่นกันไหมคะ”
วิรงรองมองอุษาอย่างแปลกใจ

ไม่นานต่อมา วิรงรองเดินตามอุษาจะออกไปข้างนอกคฤหาสน์ แสงแขเดินผ่านมาทางนั้นเหมือนกัน
แสงแขปรายตามองวิรงรอง ด้วยแววตาเกลียดชังแว่บหนึ่ง “จะไปไหนกัน”
“พาคุณวิรงรองไปเดินเล่น” อุษาบอก
“คุณลบรู้หรือเปล่า”
“คุณลบเป็นคนสั่งพี่เอง”
ทั้งแสงแขและวิรงรองชะงักไปพร้อมๆ กัน
แสงแขไม่เชื่อ “โกหก”
“งั้นเธอก็ไปถามคุณลบเอง” อุษาหันมาทางวิรงรอง “ไปค่ะ”
อุษาและวิรงรองเดินออกไป ปล่อยให้แสงแขมองตามอย่างไม่พอใจอยู่ตรงนั้น

ทั้ง 2 สาวขี่จักรยานเข้ามาในบริเวณชายหาดริมน้ำอันสวยงามแห่งนั้น วิรงรองลงจากจักรยานแล้วเดินลงไปบริเวณน้ำตื้น ใสจนเห็นก้อนกรวดขนาดต่างๆ
วิรงรองชะเง้อมองไปโดยรอบ “สวยจังเลยค่ะ”
อุษายิ้มนิดๆ
วิรงรองนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจถาม “คุณ...เอ่อ คุณอดิศวร์ให้คุณอุษาพาวิมาเดินเล่นจริงๆ หรือคะ”
“ค่ะ...เห็นเขาท่าทางเฉยๆ อย่างนั้น ที่จริงแล้วคุณลบใจดีนะคะ...คอยเป็นห่วงเป็นใยทุกคน”
“นั่นหนะหรือคะใจดี! ห่วงใยทุกคน” วิรงรองพูดเสียงสูงแบบอดรนทนไม่ได้
“ใช่”
วิรงรองพยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้นคงเว้นวิไว้คนนึง!”
“ไม่เว้นหรอกค่ะ..ไม่งั้นจะให้พี่พามาเที่ยวดูโน่นดูนี่ทำไม” อุษาบอก
วิรงรองไม่เชื่อ ตั้งท่าจะเถียง แต่แล้วก็นิ่งไป อุษาก็นิ่งไปเช่นกัน
วิรงรองพูดขึ้นในที่สุด “น้ำลึกไหมค่ะ”
“ลึกมาก...ยิ่งฤดูน้ำหลากยิ่งน่ากลัว”
วิรงรองชะเง้อไปยังอีกฝั่งเห็นไกลลิบๆ ตา ก่อนจะถามด้วยท่าทีเกรงใจ
“เคยมีคน เอ้อ…”
อุษาบอกทันที “มีค่ะ ต้องมีคนหายไปในช่วงน้ำหลากทุกปีเลย..เหมือนกับมีคำสาป”
วิรงรองกอดอกและห่อตัว “น่ากลัวจัง”

ท้องน้ำเบื้องหน้าวิรงรอง แลดูเวิ้งว้าง และแฝงความน่ากลัวอยู่ในนั้น

ที่กรุงเทพฯ ภายในห้องรับแขกบ้านพิณทองเวลานั้น บนโต๊ะมีของว่างและเครื่องดื่มวางอยู่เรียบร้อย โดยไม่มีใครแตะ พิชญ์จ้องมองดูการ์ดแต่งงานในมือด้วยท่าทางเหมือนตกอยู่ในภวังค์

“พิชญ์คะ..พิชญ์”
พิชญ์ยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม
เสียงพิณทองเรียกดังขึ้นอีก “พิชญ์”
คราวนี้พิชญ์สะดุ้งหันกลับมา แววตาว่างเปล่า
“อะไรหรือครับ”
พิณทองน้อยใจนิดๆ “พิณส่งตัวอย่างการ์ดแต่งงานให้คุณดู...แล้วคุณก็จ้องมันยังกับจะให้ทะลุออกไป”
“ขอโทษ..ผมไม่ค่อยสบาย” ชายหนุ่มส่งคืนอย่างสุภาพ “เอาแบบนี้แหละ สวยดี”
พิณทองรับมา สัมผัสได้ถึงความเฉยชาของเขา และก้มลงมองการ์ดครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างตัดสินใจ “เราเลื่อนการแต่งงานไปก่อนดีไหมค่ะ.. พิณรู้สึกเหมือนกันว่า ผู้ใหญ่ของเราออกจะเร่งรัดเกินไป เราอาจจะต้องการเวลาศึกษากันให้มากกว่านี้”
“อย่าเลย..ถ้าท่านคิดว่าเหมาะสมแล้ว ..ก็ทำตามท่าน ..เพราะไม่ว่าช้าหรือเร็ว เราก็ต้องแต่งกันอยู่ดี”
พิณทองน้ำตาคลอ “คุณไม่ได้อยากแต่งงานกับพิณ..คุณแค่ทำตามผู้ใหญ่ต้องการ”
พิชญ์อึดอัดมากขึ้น “ผม...”
“พิณสังเกตตั้งนานแล้ว จนมาเห็นชัดเอาวันนี้...เอาเถอะค่ะ พิณจะเรียนคุณพ่อคุณแม่เองว่า จะไม่มีการแต่งงาน”
พิชญ์ใจหายไปเหมือนกัน “พิณ”
“การ์ดยังไม่ได้สั่งพิมพ์ ชุดก็แค่เพิ่งเลือกผ้าได้...ยกเลิกตอนนี้ยังทัน...พิณจะอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเอง”

ไม่นานหลังจากนั้นสองแม่ลูกนั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ คุณหญิงวัชรีรู้เรื่องมองลูกทั้งโกรธทั้งน้อยใจเสียใจ
“ลูกคิดจะทำอะไรน่ะ ตาพิชญ์ ลูกทำอะไรของลูก แม่หาผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่างให้...ไหนบอกมาซิว่าหนูพิณทองไม่ดีตรงไหน”
“คุณพิณดีทุกอย่างครับ แต่ผมไม่ได้รักเขา! มันหมดสมัยคลุมถุงชนไปตั้งนานมากแล้วนะครับ”
“คลุมที่ไหน ! แกก็รู้จักพิณทองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย”
“ผมรู้สึกเหมือนเขาเป็นน้องสาว”
“หมายความว่า...แกยืนยันจะแต่งกับแม่พลับพลึงพลับพล่อยอะไรนั่น”
“ผมรักพลับพลึง...ผมพยายามจะลืมแต่ก็ลืมไม่ได้”
“งั้นเลือกเอา...ระหว่างแม่กับนังคนนั้น” คุณหญิงยื่นคำขาด
พิชญ์ตกใจ “คุณแม่”

ค่ำคืนนี้โดมทองเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางดวงจันทร์ขึ้นเต็มดวง
ภายในห้องทำงาน อดิศวร์กำลังพูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอ่อนโยน
“คุณพิณมีธุระอะไรกับน้าลบหรือเปล่า”
พิณทองอยู่ในห้องที่บ้านกรุงเทพฯ น้ำตาไหลพราก “น้าลบขา...พิณคงไม่แต่งงานแล้ว”
อดิศวร์ฉงนนิ่วหน้าทันที “ทำไม...เกิดอะไรขึ้น”
“พิชญ์...พิชญ์เขาไม่ได้รักพิณ...พิณได้ยินมาว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง แฟนเขาจะไม่มีวันเป็นอุปสรรคกับคุณพิณเด็ดขาด” อดิศวร์บอกเสียงแข็ง
พิณทองแปลกใจ “น้าลบทราบได้ยังไงคะ”
อดิศวร์ ศิโรดมนิ่ง อึ้งไป

ขณะเดียวกัน แลเห็นท้องทุ่งดอกพลับพลึงเอนไหวไปตามลม ท่ามกลางแสงสว่างนวลตาของดวงจันทร์
วิรงรองอยู่ในห้องกำลังคุยโทรศัพท์กับอนิรุทธิ์ ซึ่งนั่งอยู่หน้าคอมพ์ฯ
“โดมทอง ของวิน่ะเก่าแก่มากเลยนะ...สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5”
“มิน่า...ถึงได้ดูโบราณ แล้วก็...อึมครึม...ทึมๆ น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ยังกับอยู่อีกโลกนึงเลย อ้อ! แล้วโดมทองก็ไม่ใช่ของวิด้วย...อย่าพูดอย่างนั้นอีก”
“โอเค โอ๊...มีรูปเจ้าของด้วย”
อนิรุทธิ์เลื่อนเมาส์ไปเรื่อย จนเป็นรูปท่านผู้หญิงสรรักษ์ในวัยสาว

“ชื่อท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ หรือ นามเดิม คุณมณฑา ศิโรดม”

อ่้านต่อตอนต่อไป

เวลาเดียวกันนั้น อดิศวร์อยู่ห้องทำงานกำลังพยายามโทรศัพท์ถึงวิรงรอง แต่สายไม่ว่างจนแล้วจนรอดชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด
“คุยอะไรนักหนา”

อดิศวร์วางมือถือลงอย่างหงุดหงิด

ส่วนสองคนยังคุยกันต่อ
“แล้วมีรูปสามีไหม” วิรงรองถามขึ้น
“ไม่มี...ทำไมหรือ”
“แปลก...ที่โดมทองนี่ก็ไม่มีรูปท่านเจ้าคุณสรรักษ์ไกรณรงค์เหมือนกัน...วิเห็นแต่รูปท่านผู้หญิง แล้วก็ต้นตระกูลคนอื่นๆ เท่านั้น...เอาละ ขอบใจมาก”
“อยากรู้อะไรอีกก็ถามมาได้นะ”
“จ้ะ”
วิรงรองวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นบิดตัวไปมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก หญิงสาวหยิบขึ้นมากดรับ โดยไม่ทันดูว่าใคร
“เจออะไรอีกเหรอ รุทธิ์”
เป็นอดิศวร์พูดเสียงเย็นชา “ลงมาพบฉันที่ห้องทำงานหน่อย”
เสียงเหมือนตัดโทรศัพท์ไป วิรงรองทั้งตกใจและแปลกใจ
“ท่านเคาน์แดร็กคูล่ามีธุระอะไร”
วิรงรองวางมือถือ แล้วเดินออกไปจากห้อง

อดิศวร์ ศิโรดม ยืนทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอยู่พักหนึ่ง แล้วมีเสียงเคาะประตูเบาๆ
เขาพูดโดยไม่ได้หันไป “เชิญ”
ประตูค่อยๆ เปิดออก วิรงรองค่อยๆ โผล่มาแค่หน้า แล้วจึงก้าวมาทั้งตัว แล้วปิดประตูเบาๆ
อดิศวร์ยังคงยืนเฉยอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่กล่าว จนวิรงรองเริ่มอึดอัด กระแอมขึ้น แต่อดิศวร์ก็ยังเฉย
“คุณอดิศวร์มีธุระอะไรกับดิฉันคะ”
อดิศวร์เบือนกลับมาช้าๆ สีหน้าแววตาเย็นชามาก “เธอโกหกฉัน เธอยังติดต่อกับพิชญ์อยู่ตลอดเวลา”
“ดิฉันเปล่า”
“ยังจะโกหกอีก ถ้าเปล่าแล้วทำไมอยู่ดีๆ พิชญ์ถึงไม่ยอมแต่งงานกับพิณทอง”
“จะไปทราบได้ยังไงคะ ทำไมไม่ไปถามหลานคุณเองล่ะ” วิรงรองเริ่มฉุน
อดิศวร์เดินอ้อมเข้ามาหา ตาจ้องเขม็ง วิรงรองถอยหลังทันทีเช่นกัน
“เมื่อกี้เธอโทรศัพท์คุยกับใคร!”
วิรงรองเบิกตากว้าง มองอดิศวร์อย่างแปลกใจ
“หรือจะโกหกอีกว่าไม่ใช่พิชญ์”
วิรงรองถอนใจเฮือก “ดิฉันคงไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะไม่ว่าจะตอบยังไง คุณก็ไม่เชื่อ” หญิงสาวเว้นไปนิด “ดิฉันไปได้หรือยังคะ”
“ยัง”
“ดิฉันเลือกจะอยู่โดมทองต่อไป เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีของตัวเอง...เพราะฉะนั้น คุณไม่มีสิทธิ์จะมาสั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไร ดิฉันจะไปนอนละคะ”
พูดจบวิรงรองหันกลับเดินไปที่ประตู เปิดออกไปเลย
อดิศวร์มองตามอย่างหงุดหงิด

ตรงทางเดินหน้าห้อง แสงไฟสลัวๆ วิรงรองปิดประตูเบาๆ จังหวะนี้มีเสียงถอนหายใจดังมาจากทางด้านหลัง
วิรงรองกรีดร้องลั่น เมื่อหันไปเห็นนางพิศยืนอยู่ และมองมาอย่างน่ากลัว หญิงสาวไม่รู้ว่านั่นเป็นวิญญาณของพิศ บ่าวผู้ซื่อสัตย์ของท่านผู้หญิงสรรักษ์นั่นเอง
อดิศวร์เปิดประตูออกมาดูทันที
“อะไร”
วิรงรองหลับหูหลับตาผวาเข้าหาอดิศวร์ด้วยความหวาดกลัวจนลืมตัว โดยที่อีกฝ่ายอ้าแขนรับแล้วโอบกอดไว้
อดิศวร์ก้มลงถาม “เป็นอะไร”
วิรงรองยังหลับหูหลับตาอยู่อย่างนั้น “ผีค่ะ ผีอยู่ตรงนั้น” พร้อมกับชี้มือไปทั้งยังหลับตา
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” อดิศวร์ว่า
วิรงรองลืมตาขึ้นชะเง้อมองทันที พบว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า
วิรงรองมีสีหน้าประหลาดใจ “แต่เมื่อกี้” เงยหน้าขึ้นมองอดิศวร์เพื่ออธิบายแต่แล้วก็ชะงัก เมื่อสบตาที่มีแววแบบรู้เท่าทันของนายจ้าง
“ไม่เลวนี่”
“หมายความว่ายังไง”
“ฉันอยู่ “โดมทอง” มาตั้งนาน ยังไม่เคยเห็นสักครั้ง เธอมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นแล้ว”
“คุณหาว่า ฉันโกหก”
สีหน้าอดิศวร์มีแววเยาะ นิดๆ “ฉันยังไม่ได้พูด”
“แต่สายตาคุณบอกว่าอย่างนั้น”
“อ้อ…เพิ่งรู้ว่าอ่านสายตาฉันออกด้วย” สุ้มเสียงของเขายังฟังดูเยาะๆ ขณะกระชับอ้อมแขนขึ้นอีก
วิรงรองรู้สึกตัว ผลักอดิศวร์ออกห่างอย่างแรงทันทีอย่างโกรธจัด
“คุณ...ฉวยโอกาส”
“อ้าว! พูดให้ดีนะ...เธอเป็นคนเข้ามากอดฉันเอง”
วิรงรองทั้งโกรธทั้งอาย จนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง “ก็...”
อดิศวร์ต่อคำให้ “เธอเจอผี”
“ไม่ว่าคุณจะเข้าใจว่ายังไง...ฉันขอยืนยันว่าฉันเห็นจริงๆ”
วิรงรองผละเดินไปอย่างรวดเร็ว

อดิศวร์มองตาม นัยน์ตาที่เยาะๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

วิรงรองเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนอย่างหงุดหงิด ภาพผีนางพิศผุดขึ้นมาในห้วงความคิดแว่บหนึ่ง

“หรือว่าจะเป็นคนในบ้าน...บ้าจัง ทำเป็นกระต่ายตื่นตูม”
ภาพตอนที่ตัวเองโผเข้าหาอดิศวร์ แล้วกอดเขาไว้ ผุดซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด
วิรงรองปัดตัวเองอย่างหงุดหงิด “ไม่น่าเล้ย...อีตาลบยิ่งชอบมองในแง่ลบอยู่ด้วย”
วิรงรองเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

จริงดังที่วิรงรองกังวล อดิศวร์เดินเข้ามาในห้องนอน ด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม
“มารยาเก่งอย่างนี้เอง! นายพิชญ์ถึงได้หลงนักหนา”

ที่บ้านพิณทองในกรุงเทพฯ ท่ามกลางแสงจากโคมไฟสนามทำให้บ้านทั้งหลังไม่มืดสนิทนัก
พิณทองนั่งน้ำตาคลออยู่ภายในห้อง โดยมีคุณหญิงแก้วผู้เป็นมารดาคอยปลอบ
“ใจเย็นๆ ลูก...ลูกอาจเข้าใจผิด”
“คุณแม่อย่าปลอบพิณเลยค่ะ พิณรู้ว่าเขาไม่ได้รักพิณ”
“ถ้าไม่รัก เขาจะยอมหมั้น”
“เขาเกรงใจคุณป้าวัชรีต่างหากล่ะคะ...” พิณทองเว้นไปนิด “พิณคิดว่าเขาอาจจะมีแฟน”
“แต่คุณป้าวัชรีบอกว่าไม่มี” คุณหญิงแย้ง
“เพราะคุณป้าต้องการให้เราหมั้นกัน” พิณทองสะอื้นออกมาอีก
“พิณรักเขาใช่ไหมลูก ถ้าอย่างนั้นต้องใจเย็นๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วแม่จะพูดกับคุณป้าวัชรีเอง”
“พิณไม่อยากแย่งแฟนใคร...พิณมีปัญญา...”
คุณหญิงแก้วขัดขึ้นทันที “แม่บอกแล้วว่าแม่จะพูดกับคุณป้าวัชรีเอง”
พิณทองนิ่งไป แก้วลูบผมพิณอย่างปลอบโยน

พิชญ์นอนก่ายหน้าผากอยู่ในห้อง ดวงตาจับจ้องมองเพดานครุ่นคิด
“พลับพลึง...ทำไมคุณถึงใจร้ายนัก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พิชญ์ร้องถามออกไป
“ใคร”
“แม่เองจ้ะ” คุณหญิงทำเสียงอ่อนๆ เศร้าๆ
พิชญ์ถอนใจเฮือก แล้วเดินไปเปิดประตู วัชรียืนหน้าเศร้า น้ำตาซึมอยู่
“คุณแม่เป็นอะไรหรือครับ”
“แม่จะมาชวนพิชญ์ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อย...พรุ่งนี้ แม่ต้องไปกราบขอประทานโทษท่านรัฐมนตรี แล้วก็ผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ที่แม่ไปเชิญมาเป็นเกียรติในงานแต่งงานของพิชญ์...เพราะพิชญ์จะยกเลิกการแต่งงานแล้ว”
พิชญ์อึ้ง รู้สึกแย่
“แล้วก็ต้องไปขอโทษ ท่านรัฐมนตรีพจน์กับคุณหญิงแก้วด้วย แล้วยังจะหนูพิณทองอีก...ลูกคงไม่รู้ว่าหนูพิณน่ะไม่สบายมาก”
พิชญ์ชะงัก “อ้าว! พิณทองเป็นอะไรหรือครับ”
“ก็คงทั้งตรอมใจทั้งอับอายนั่นแหละลูก” คุณหญิงเหลือบมองพิชญ์แว่บหนึ่ง “แล้วลูกล่ะ ปรับความเข้าใจกับแม่...อะไรนะ...อ้อ แม่ดอกพลับพลึงนั่นหรือยัง”
“พลับพลึงเฉยๆ ครับ ไม่มีดอก...ผมยังติดต่อเขาไม่ได้”
วัชรีดีใจสุดๆ จนลืมตัว “จริงหรือลูก”
พิชญ์มองแม่ วัชรีรู้สึกตัว ตีหน้าเศร้าต่อ
“ตายจริง...มัน...เอ๊ย! เขาหายไปไหนล่ะโถ...แม่คุณ” คุณหญิงเริ่มตีโพยตีพาย “นี่เป็นเพราะแม่คนเดียวที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด ทำไมแม่ถึงได้เลวร้ายอย่างนี้ ...แม่เป็นมารขวางความสุขของลูก ของทุกๆคน"

วัชรีทำเป็นโงนเงน
“โอ๊ะ นี่แม่เป็นอะไรไป”
พิชญ์รีบรับตัวแม่ไว้ “คุณแม่ครับ...คุณแม่”

คุณหญิงวัชรีทำอ่อนปวกเปียก เหมือนคนจะเป็นลม

อ่้านต่อหน้า 2

โดมทอง ตอนที่ 2 (ต่อ)

พิชญ์ประคองแม่เข้ามานอนในห้องของคุณหญิง โดยมีสาวใช้ตามมาด้วย

“ไปชงยาหอมมาให้คุณแม่ซิ ...” พูดพลางหยิบยาดมหัวเตียงมาให้แม่ดม
“ค่ะ” สาวใช้เดินออกไป
วัชรีพูด ในสภาพน้ำตาซึม “พิชญ์จะไปทำอะไรก็ไปเถอะลูก...แม่คงไม่ถึงกับตายหรอก แต่ถ้าจะตาย...”
พิชญ์จับมือแม่ไว้พูดสวนออกมา “คุณแม่ยังไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“ใครจะไปรู้ หมู่นี้แม่ยิ่งฝันถึงคุณพ่อบ่อยๆ ด้วย”
พิชญ์ตัดสินใจแล้ว “ผมขอเวลาคุณแม่พรุ่งนี้อีกวัน...ถ้ารู้แน่ว่าพลับพลึงตัดขาดผมจริงๆ ผมจะแต่งงานกับพิณตามกำหนดเดิม”
คุณหญิงวัชรีดีใจ “ได้เลยลูก” แล้วรู้สึกตัว ทำปวกเปียกต่อ “ก็ดีเหมือนกัน ยุติธรรมดีกับทุกฝ่าย”
สาวใช้กลับเข้ามาพร้อมถ้วยยาหอม คุณหญิงลอบทำหน้าพะอืดพะอม

พิชญ์ร้อนใจเดินทางมาบ้านวิรงรองแต่เช้า ปรางเดินเข้ามาในห้องรับแขก ซึ่งพิชญ์เดินกลับไปกลับมารอด้วยความกระวนกระวายใจ
พิชญ์ไหว้ “สวัสดีครับ”
ปรางรับไหว้ “เชิญนั่งซิคะ”
พิชญ์พึมพำขอบคุณแล้วทรุดตัวลงนั่ง
ปรางลงนั่ง ฝั่งตรงกันข้าม “มีธุระอะไรแต่เช้า”
พิชญ์ก้มหน้าลงครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเงยขึ้น เห็นนัยน์ตาแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“ผมอยากพบพลับพลึง”
“แม่หนูไม่อยู่”
“คุณน้า...อย่ากีดกันผมกับพลับพลึงเลยครับ..เรารักกัน”
“คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว น้าไม่เคยกีดกันคุณกับแม่หนู...แม่ทุกคนย่อมต้องการให้ลูกสมหวังและมีความสุขในชีวิต..แต่แม่หนูต่างหากที่เป็นฝ่ายหลบหน้าคุณ..เป็นคนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์”
“ทำไม” พิชญ์งง
“นั่นซิ! น้าก็อยากรู้ว่าทำไมเหมือนกัน”
พิชญ์นิ่งอึ้งไป
ปรางเสียงอ่อนลง “เชื่อน้าเถอะ...ถ้าแม่หนูต้องการจะติดต่อกับคุณ แกก็จะโทร.หาเอง..คุณไม่ได้เปลี่ยนเบอร์ไม่ใช่หรือ”
“ครับ”
“น้ารับปากกับแกไว้แล้ว...น้าไม่อยากผิดคำพูด”
พิชญ์ถามด้วยเสียงอันขมขื่น “หมายความว่าพลับพลึงตัดขาดผมแล้ว”
ปรางทอดถอนใจ “ข้อนั้นน้าไม่รู้”
พิชญ์นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วขยับตัวลุกขึ้น “ถ้าพลับพลึงติดต่อมา ฝากคุณน้าบอกด้วยว่า ผมยังรักเขาอยู่เสมอ..แต่เขาทำให้ผมไม่มีทางเลือกเลย..ผมลาละครับ”
พิชญ์ไหว้ลา ปรางรับไหว้และพูดด้วยความจริงใจ “ขอให้คุณโชคดี”
“ขอบคุณครับ...คุณน้าไม่ต้องออกไปส่งผมหรอกครับ”
พิชญ์เดินคอตกออกไป ปรางมองตามอย่างเห็นใจ
“แม่หนูเองก็คงเจ็บปวดไม่แพ้คุณเหมือนกัน”

ด้านคุณหญิงวัชรีคอยชะแง้มองออกไปดูภายนอกหน้าต่าง ด้วยสีหน้าแววตากระวนกระวาย สักพักหนึ่ง จึงมีเสียงแตรรถดังขึ้น วัชรีรีบกลับมาทรุดตัวลงนั่ง เปิดนิตยสารอ่านราวกับสนใจนักหนา
พิชญ์เดินเข้ามาหน้าตาหม่นหมอง วัชรีทักทายทำหน้าตาบริสุทธิ์ใจ “กลับมาแล้วหรือลูก..แล้วทำไม...”
พิชญ์ต่อคำทันที “ผมจะแต่งงานกับพิณทองตามกำหนดเดิมครับ”
วัชรีทำหน้าตื่นเต้นดีใจสุดๆ แล้วนึกได้ รีบเปลี่ยนเป็นเศร้าทันที “พิชญ์เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
“เปล่าครับ”
พิชญ์เดินเลยขึ้นไปข้างบนไป วัชรีชะเง้อมองตามจนลูกจนลับตา แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มากดทันที
“ฮัลโหล...คุณแก้ว..ทุกอย่างเรียบร้อยโรงเรียนเรา 2 คนแล้วค่ะ”
คุณหญิงแก้วรับสายอยู่ที่บ้าน ดีใจสุดๆ เช่นกัน “จริงหรือคะ แหม..ดีใจจริงๆ เดี๋ยวน้องจะไปบอกลูกพิณทองก่อนนะคะ ขอบคุณมากค่ะ...คุณพี่”

ขณะที่พิณทองกำลังนั่งเหม่ออยู่ในสวนมองไปข้างหน้า โดยมีหนังสือกางอยู่บนตัก คุณหญิงแก้วรีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแจ่มใส
“ลูกพิณจ๋า...”
พิณทองขยับตัว พยายามฝืนทำสีหน้าให้แจ่มใส
“อะไรหรือคะ คุณแม่”
“การแต่งงานเป็นไปตามกำหนดเดิมจ้ะ”
ฟังที่ผู้เป็นมารดาบอก พิณทองถึงกับนิ่วหน้า ฉงน “คุณป้าวัชรีไปบังคับเขาใช่ใหมล่ะค่ะ...พิณรับไม่ได้หรอกค่ะ”
แก้วถอนใจเฮือก “เฮ้อ... ลูกพิณ”
“พิณก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ถ้าจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ถูกบังคับ”
“ไปกันใหญ่แล้ว!... พิชญ์เป็นคนบอกคุณป้าวัชรีเอง..ไม่ได้มีการบังคับอะไรทั้งนั้น”
พิณทองมีสีหน้ายังไม่เชื่อ “ไม่น่าเป็นไปได้”
“อย่าเรื่องมากเลยน่า”
“ไม่มากไม่ได้ค่ะ..การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่”
“งั้นก็คุยกับพิชญ์เขาเอง..เย็นนี้เขาจะมาทานข้าวด้วย”

พิณทองชะงัก สีหน้าแววตาสดใสขึ้น ถึงแม้จะพยายามทำหน้าทำตาเคร่งขรึมก็ตามที

ขณะเดียวกันอดิศวร์กำลังนั่งทำงานอยู่ ขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชายหนุ่มมองเบอร์แล้วยิ้มอย่างเอ็นดู

“ว่าไงครับ คุณพิณ..” นิ่งฟัง “น้าลบดีใจด้วย...แล้วต้องมาฮันนีมูนที่โดมทองนี่”
สีหน้าอดิศวร์มีแววมาดหมายขณะพูด

ส่วนวิรงรองเดินดูโน่นดูนี่มาเรื่อยๆ อย่างสนใจ จนเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ซึ่งมีรูปวาดบุคคลสำคัญในตระกูล
รวมทั้งรูปท่านผู้หญิงสรรักษ์ในวัยสาวด้วย
วิรงรองมองเลยเรื่อยมาจนหยุดที่รูปท่านผู้หญิงสรรักษ์ วิรงรองจ้องมองภาพนั้นอย่างเพ่งพิศ แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงกระแอมดังขึ้น
“อุ๊ย” วิรงรองหันขวับไปมอง
เป็นอุไรที่ยิ้มแห้งๆ ให้ “ขอประทานโทษค่ะ...คุณกล้านะคะที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้คนเดียว”
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ..ไม่เห็นมีอะไรเลย” แล้วนึกได้ “เออ!เจอป้าก็ดีแล้ว เมื่อคืนวานฉันเห็นผู้หญิงคนนึงแต่งตัวแปลกๆ..ห่มผ้าแถบเหมือนคนโบราณ”
อุไรเลิ่กลั่ก “หะ..หะ..เห็นที่ไหนค่ะ”
“ก็ในบ้านนี่แหละ”
อุไรสะดุ้ง
“เขาชื่ออะไรจ๊ะ” วิรงรองถาม
“คน…แบบที่คุณอธิบายมา...ไม่มีในบ้านนี้หรอกค่ะ”
“มีซิ! ก็ฉันเห็นกับตา”
“งั้นก็ไม่ใช่คน” อุไรทำหน้าจะร้องไห้เสียให้ได้
“อุไร” เสียงขุ่นเขียวของอดิศวร์ดังขัดขึ้น
อุไรและวิรงรองหันไปมอง เห็นอดิศวร์ ยืนมองมาสีหน้าเข้มงวด
“ทำไมไม่อยู่กับคุณย่า”
“ท่าน...ท่านหลับค่ะ”
“หลับก็ต้องอยู่เฝ้าท่าน”
“ค่ะ”
“ค่ะก็ไปซิ”
“ไปแล้วค่ะ” อุไรรีบเดินออกไป

อุไรลับตัวไปแล้ว อดิศวร์พูดขึ้นมาลอยๆ
“เข้ามาสำรวจดูต้นตระกูลของฉันหรือ”
“เปล่าค่ะ”
“พิชญ์กับพิณทองเขากำหนดวันแต่งงานแล้วนะ”
วิรงรองกัดปาก นัยน์ตามีแววสะเทือนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง อดิศวร์มองสีหน้านั้นด้วย ท่าทีขวางๆ พอวิรงรองขยับจะเดินออกไป และอดิศวร์ขยับขวางไว้
“อย่าลืมว่า เธอต้องอยู่ที่นี่ตามสัญญา”
ขณะที่ทั้งคู่พูดกัน แสงแขเดินผ่านมาและชะงักแอบมอง
“ดิฉันเป็นคนรักษาสัญญา”
“ขอให้มันจริงเถอะ”
“ดิฉันจะไปได้หรือยังค่ะ”
“เชิญ”
วิรงรองเดินผ่านอดิศวร์ออกไป...อดิศวร์มองตาม
แสงแขซึ่งแอบมองอยู่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความริษยา

สองคนอยู่ตรงมุมหนึ่งโอบอ้อมรู้เรื่องใส่ไฟวิรงรองกับแสงแขเต็มที่
“ฟ้องท่านผู้หญิงเลยค่ะ..ฟ้องเลย! ท่านผู้หญิงจะได้ไล่แม่นั่นออกไป! ไม่รู้คุณลบจะจ้างไว้ทำอะไร!..วันนึงๆ ไม่เห็นทำอะไรได้แต่เดินไปเดินมา”
แสงแขตวาดแว้ด “แกซิฟ้อง!”
โอบอ้อมยังไม่เก็ต “อุ๊ย! โอบก็ได้โดนไล่ออกซิค่ะ คำสั่งคุณลบใครจะกล้าขัด”
“อ้อ! แล้วฉันล่ะยะ แกจะให้ฉันขัดคำสั่งคุณลบเรอะ พูดอะไรไม่คิด”
“ขอประทานโทษค่ะ โอบมัวแต่เจ็บแค้นแทนคุณ”
แสงแขถอนใจเฮือก “ทำยังไงดี มันถึงจะออกไปจาก โดมทอง”
“ไม่ต้องทำอะไรอีกหน่อยมันก็ไปเองแหละค่ะ ผู้หญิงสาวๆ แถมยังเป็นชาวกรุง จะทนชีวิตเงียบเหงาไม่มีชีวิตชีวาใน “โดมทอง” ไปได้สักกี่น้ำ นอกจากจะมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่น”
แสงแขเบือนหน้ามามองโอบอ้อมซึ่งทำเสียงกระซิบกระซาบ
“จุดมุ่งหมายเดียวกับคุณแขเลย คุณลบไงล่ะคะ”
แสงแขนัยน์ตาวาวโรจน์ “ไม่มีวัน!”

วิรงรองเดินทอดอารมณ์มาเรื่อยๆ
บริเวณโดยรอบเป็นดงดอกไม้นานาพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมอบอวล วิรงรองหยุดยืนสูดกลิ่นหอมนั้นอย่างสดชื่น
“หอมจัง…”
“มีอะไรหรือจ๊ะป้า” เสียงอุษาดังขึ้น
วิรงรองค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้แล้วแอบมองลอดกิ่งไม้เข้าไป เห็นอุษากำลังคุยกับแม่ครัวซึ่งเพิ่งกลับจากตลาด มีตระกร้าข้าวของวางอยู่
“เมื่อกี้ป้าเจอคุณพันธุ์สูรย์ที่ตลาดค่ะ! เธอกลับมาแล้ว”
อุษาชะงัก สีหน้าแววตาดีใจอย่างยิ่ง
“แล้ว...แล้วเขาเห็นป้าหรือเปล่า”
“เห็นซีคะ...เธอฝากนี่มาให้คุณอุษา”
แม่ครัวมองซ้ายมองขวาตามสัญชาติญาณ แล้วควักกระเป๋าส่งกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับมาอย่างเรียบร้อยให้
“ขอบใจมากนะจ๊ะ” อุษาบอก
“ป้าไปละนะคะ เดี๋ยวนังคุณโอบมันจะสงสัย ..มันยิ่งคอยจับผิดป้าไปฟ้องคุณแสงแขอยู่ด้วย”

ขณะทั้ง 2 พูดกัน วิรงรองค่อยๆ หลบออกไป

บรรยากาศแสนสวยงามเยือกเย็น ของทิวเขาสลับซับซ้อน ซึ่งยามนี้ยังคงมีหมอกลอยอ้อยอิ่งปกคลุมไปทั่ว วิรงรองเดินเข้ามาในบริเวณนั้น มองไปโดยรอบๆ อย่างชื่นชม

“รู้งี้เอาจักรยานมาด้วยก็ดี จะได้ปั่นเที่ยวให้ทั่วๆ”
เหมือนมีใครคนหนึ่ง กำลังแอบมองวิรงรองอยู่ วิรงรองไม่รู้ตัว ยืนสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างชื่นอกชื่นใจ

บริเวณห้องครัวของโดมทอง แยกออกไปนอกตึกใหญ่ ส่วนห้องครัวในบ้านใช้เป็นที่จัดเตรียมอาหารร้อนๆ เท่านั้น
แม่ครัวเดินถือตระกร้าเข้ามาในห้องครัวนอกบ้าน
โอบอ้อมยืนท้าวสะเอวอย่างเอาเรื่อง “หายไปไหนนานนักล่ะ ป้า! รถมาตั้งนานแล้ว”
อุษาเดินตามเข้ามา โดยช่วยถือของ “ฉันเรียกคุยด้วย! มีอะไรไหม”
โอบอ้อมจ๋อยลงทันตา “ไม่มีค่ะ คุณอุษา”
“งานการมีทำไมไม่ไปทำ! มายืนจับผิดคนอื่นอยู่ได้”
“ไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ”
โอบอ้อมเดินออกไป
ป้าแม่ครัวเอ่ยขึ้น “เชื่อไหมค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องนี้ต้องถึงคุณแข”
“ช่างเขาเถอะจ๊ะ...ขอบใจมากนะจ๊ะป้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ! แต่คุณต้องระวังตัวด้วยนะคะ”
อุษาพยักหน้าและเดินออกไป แม่ครัวหยิบผักและเนื้อสัตว์ออกมาวางเตรียมทำความสะอาด

เวลานั้นท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ตื่นนอน และขยับตัวลุกขึ้น โดยอุไรรีบเข้ามาประคอง
“อุษาไปไหน”
อุไรอ้าปากยังไม่ทันพูด แสงแขเดินเข้ามา ค้อมตัวเรียบร้อย พอเข้ามาใกล้ก็ทรุดตัวลงคุกเข่าคลานมาอย่างประจบ
ท่านผู้หญิงเขม้นมอง “นี่มันนังแสงแขนี่! อุษาอยู่ที่ไหน..อุไร! ไปตามอุษามา”
อุไรรีบรับคำและออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว
ท่านผู้หญิงมองแสงแขเขม็ง “จะมาสอพลอฉันเรอะ! ฉันรู้ทันแกหรอก จะบอกอะไรให้ ถึงฉันไม่ขัดขวาง ตาลบเขาก็ไม่เอาแก”
แสงแขก้มหน้าลง สีหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง หล่อนมือกำแน่น
“เฮอะ! พยายามมาตั้งกี่ปีแล้วล่ะ! แกน่ะไม่อยู่ในสายตาของหลานฉันหรอก เจียมกะลาหัวเสียบ้าง”
แสงแขพยายามระงับอารมณ์เกลียด แล้วเงยหน้าขึ้น และทำหน้าตาเจียมตนน่าสงสาร
“แขไม่เคยมักใหญ่ไฝ่สูงเลยค่ะ..แขเจียมตัวเสมอ”
“โกหก! นึกว่าฉันรู้ไม่เท่าทันแกรึไง แกเกลียดฉัน”
แสงแขรีบพูด “แข...”
“อย่าปฏิเสธ! ไม่มีใครรักคนที่คอยจิกหัวกดด่าตัวเองอยู่ทุกวันหรอก!..แกทำมาประจบประแจงฉันเพราะจะให้ตาลบเห็นใจ แล้วก็ให้ฉันสนับสนุน! หน้าอย่างแกน่ะ อย่าเผยอมาตีเสมอหลานฉันแลย! ออกไป”
แสงแขกล้ำกลืนน้ำตาแห่งความโกรธแค้น แล้วก้มหน้าก้มตาคลานออกไป ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตามอย่างเกลียดชัง

แสงแขเปิดประตูก้าวออกมา ขณะที่อุษาเดินนำอุไรถือถาดโจ๊กร้อนๆ ตรงมา
“เป็นอะไรน่ะ” อุษาทัก
แสงแขระเบิดอารมณ์ “เมื่อไหร่อีแก่นั้นมันจะตายให้รู้แล้วรู้รอดซะที”
อุษาและอุไรอ้าปากค้าง ขณะแสงแขสะบัดหน้าเดินปึงปังไป

อุษาเปิดประตูและเบี่ยงตัวให้อุไรซึ่งถือถาดโจ๊กเข้ามา แล้วเปิดประตู
“หายหัวไปไหนมา!” ท่านผู้หญิงสรรักษ์ถามเสียงขุ่น
อุษาคุกเข่าลงจัดโต๊ะอาหารให้ “อุษาเห็นคุณย่าหลับ ไม่กล้าปลุก เลยให้อุไรนั่งเฝ้า..แล้วออกไปทำโจ๊กให้ค่ะ”
“นังแสงแขมันเลยถือโอกาสเข้ามา”
อุษาและอุไรนิ่ง
“ต่อไปอย่าให้มันเสนอหน้าเข้ามาอีก”
“ค่ะ...คุณย่ารับประทานโจ๊กนะค่ะ”
ขณะที่อุษาพูด อุไรรีบจัดยาเตรียมไว้ให้

ด้านวิรงรองเดินถือดอกกุหลาบดอกโตสวยงามกลับมาที่โดมทอง แสงแขนั่งไขว่ห้างมองมาอย่างไม่เป็นมิตร วิรงรองเดินผ่านไปจะเข้าบ้าน
“เดี๋ยว”
แสงแขเรียกไว้ วิรงรองหยุดเดินหันมา
“ดอกกุหลาบนั้น คุณย่าท่านหวงมาก”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ...ต่อไปจะไม่เก็บมาอีก”
“คุณลบจะว่ายังไงนะ ถ้ารู้ว่าเธอชอบเดินสำรวจไปทั่ว”
“ในบริเวณโดมทองนี่มีความลับอะไรหรือค่ะ คุณอดิศวร์ถึงจะไม่ชอบให้ใครเดินเที่ยวเล่น”
“ไม่มี”
“งั้นก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อีกอย่างคุณอดิศวร์เองก็เคยให้คุณอุษาพาดิฉันเดินเที่ยว”
แสงแขชะงัก “คุณลบน่ะเรอะ ทำอย่างนั้น”
“ค่ะ! ถ้าไม่เชื่อ คุณแสงแขลองถามคุณอุษาดูก็ได้...” วิรงรองเว้นไปนิด “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว..ดิฉันขอตัวค่ะ”
“ไม่จริง! คุณลบไม่มีทางจะใส่ใจมันขนาดนั้น” แสงแขบอกตัวเองอย่างขุ่นเคืองใจ

ท่านผู้หญิงสรรักษ์ ผลักชามโจ๊กออกไป หลังจากกินไปได้ไม่กี่ช้อน
“รับประทานอีกหน่อยน่ะค่ะ คุณย่าจะได้แข็งแรง” อุษาบอก
“ฉันอยากตาย” ท่านผ็หญิงโพล่งขึ้น
อุษาและอุไรอึ้งกันไป
“นังพลับพลึงมันจะได้เลิกทรมารฉันเสียที”
ทั้ง 2 ยังคงนิ่ง
“คืนนี้ข้างขึ้นหรือข้างแรม” ท่านผู้หญิงถาม
“ข้างขึ้นค่ะ” อุษาบอก
ท่านผู้หญิงสะดุ้ง “กี่ค่ำ”
อุษาอึกอัก “เอ้อ”
“กี่ค่ำ” หญิงชราเจ้าอารมณ์คาดคั้น
“สิบห้าค่ำค่ะ” อุษาบอก
“นังพลับพลึงมันจะมาหาฉันอีกแล้วละซี”
อุไรเหลือบมองอุษา
“คุณอุษาเข้ามานอนเป็นเพื่อนท่านด้วยกันดีไหมคะ ท่านจะได้อุ่นใจ”
“คุณย่าจะให้อุษามานอนด้วยไหมคะ”
“ดี! พวกแกจะได้ คอยช่วยกันไล่นังพลับพลึงให้ฉัน เอาพระมาด้วยเยอะๆ นะ นังพลับพลึงมันเป็นผี” ท่านผู้หญิงนึกในใจผีกลัวพระ! แล้วหัวเราะสะใจ

อุษาและอุไรมีสีหน้าหวาดๆ ในท่าทีของท่านผู้หญิง

ครู่ต่อมาอุษาเดินอย่างรีบร้อนตรงมาที่ห้อง เปิดประตูเข้าไปแล้วล็อคประตู รีบเดินมาที่เตียงหยิบจดหมายที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าออกมาคลี่ดู

บนกระดาษจดหมายมีตัวหนังสือ “พบกันที่เดิม วันพรุ่งนี้บ่าย 2 โมง…พันธุ์สูรย์”
อุษาเงยหน้าขึ้น ทั้งดีใจและกังวลใจ

ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์เต็มดวงทรงกลดส่องแสงกระจ่างตา ประตูโรงเก็บของเก่าๆ ค่อยๆ เปิดออก ความเก่าของประตูทำให้เกิดเสียงอ๊อดแอ๊ด ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีขาวลอยอ้อยอิ่ง กระจายจางๆ
ชายคนหนึ่ง ในชุดสากลสีดำ มีผ้าคลุมและสวมหมวก ขับรถม้าคันหนึ่งออกมาเทียมด้วยม้าสีดำ รถม้าคันนั้นยังดูใหม่เอี่ยม
ชายคนนั้นขับรถม้าเรื่อยๆ ตรงไปยังตัวบ้านโดมทอง ซึ่งอยู่ไกลออกไป

ห้องนอนวิรงรองปิดไฟ ผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังนอนหลับอยู่ ขณะที่เสียงเพลง นางครวญ ดังขึ้น พร้อมวงมโหรีแว่วๆ
“โอ้ว่าป่านนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้ารัญจวณหวนหา
ตั้งแต่ไปแก้สงสัยมา ไม่เห็นขนิษฐาในถ้ำทอง
...ฯลฯ”
วิรงรองลืมตาขึ้น แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา ทำให้ห้องนั้นค่อนข้างสว่าง รัหว่างนี้มีเสียงเหมือนพาหนะอย่างหนึ่งแล่นมาตามถนน วิรงรองเงี่ยหูฟัง พลางนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ
เสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที วิรงรองตัดสินใจ ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง แล้วต้องเบิกตากว้าง
เมื่อเห็นชายคนหนึ่งขับรถม้าตรงมาที่หน้าต่างห้อง ขณะที่เสียงเพลงยังคงแว่วหวานเศร้าสร้อยลอยมาตามลม
วิรงรองยังคงเบิกตากว้าง รถม้านั้นมาหยุดบริเวณหน้าต่างพอดี
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ วิรงรองรีบเอนตัวหลบพิงผนังด้วยความตกใจกลัว หญิงสาวสูดลมหายใจยาว แล้วค่อยๆ ยื่นหน้าไปมอง
ท่ามกลางสายหมอกจางๆ ชายผู้นั้นยังคงเงยหน้ามองขึ้นมาแต่หมวกที่สวมอยู่ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด ท่าทางราวกับรอให้ลงไปหา
วิรงรองยกมือทาบอกด้วยความหวาดกลัว ตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน

ฟากท่านผู้หญิงสรรักษ์ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยรู้สึกเหมือนใครมาปลุก เสียงเหมือนใครลากโซ่ดัง สะท้อนแว่วมาไกลจากข้างบนบ้าน
ท่านผู้หญิงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง พลางหันไปเรียกอุษาและอุไร
“อุษา อุไร”
2 สาวไม่มีท่าทีว่าจะได้ยิน
“อุษา อุไร”
2 สาวยังคงนอนนิ่งสนิท ขณะที่เสียงลากโซ่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ท่านผู้หญิงมองไปที่ประตูด้วย แววตาเบิกโพลง

ที่บริเวณบันไดขึ้นโดม แลเห็นท่อนขาคู่หนึ่งมีโซ่ล่ามอยู่กำลังเดินลงมาตามบันไดช้าๆ ท่ามกลางหมอกควันจางๆ ขาคู่นั้นก้าวลงมาเรื่อยๆ

ด้านวิรงรองค่อยๆ ยื่นหน้าไปดู พบว่าชายคนนั้น ซึ่งเธอยังไม่รู้ว่าที่แท้คือ เจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ ยังคงเงยหน้ามองมาอยู่อย่างเดิม
วิรงรองบ่นเบาๆ “โอ๊ย! ยังไม่ไปอีก” วิรงรองยืนตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน

ส่วนท่านผู้หญิงสรรักษ์กระเถิบไปจนสุดหัวเตียง นัยน์ตาเบิกโพลงมองไปที่ประตูเขม็ง เสียงลากโซ่ดังเข้ามาใกล้ทุกที จนถึงประตู
หญิงชราตะโกนสุดเสียง “อุษา! อุไร!”
2 คนยังคงหลับสนิท
จังหวะนี้ประตูเปิดออกช้าๆ กลุ่มหมอกควันพวยพุ่งเข้ามาก่อน ท่านผู้หญิงยกมือทาบอก กลัวสุดๆ กลุ่มหมอกควันค่อยๆ จางลง ก่อนจะปรากฏร่างพลับพลึงอยู่ท่ามกลาง
“นังพลับพลึง!..” ท่านผู้หญิงคว้าพระมากำไว้แน่น “เข้ามาซิ!..ฉันไม่กลัวแก”
ใบหน้าและรูปร่างสวยงามของพลับพลึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าศพเละเทะ จนกระทั่งเหลือแต่กระดูกต่อหน้าต่อตา และยกมือชี้มาที่ท่านอย่างอาฆาต
พลับพลึงพูดด้วยเสียงโหยหวนแหลมเล็ก เย็นยะเยือก “คุณ...ณ ...พี่”
ท่านผู้หญิงกรีดร้องสุดเสียง แล้วสะดุ้งตกใจตื่นจากความฝัน พร้อมๆ กับอุไรและอุษา
“คุณย่า! เป็นอะไรคะ...” / “ท่านผู้หญิงคะ…”
ดวงตาท่านผู้หญิงสรรักษ์เบิกโพลงตื่นตระหนก “นังพลับพลึงมันมาอีกแล้ว..มันมาอีกแล้ว” จากนั้เนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

ฝ่ายวิรงรองหันไปมองที่หน้าต่าง สีหน้ายังตกใจจากเสียงกรีดร้องของท่านผู้หญิงเมื่อครู่ จู่ๆ ภาพรถม้าและท่านเจ้าคุณก็หายไป วิรงรองรีบเดินออกไปข้างนอกห้อง

วิรงรองเดินแกมวิ่งตรงมาไล่ๆ กับอดิศวร์ แสงแข และโอบอ้อม ซึ่งต่างคนต่างวิ่ง ตรงมาเช่นกัน
อดิศวร์เห็นเข้าหันไปสั่งวิรงรองเสียงเข้ม “กลับไปที่ห้อง”
วิรงรองหยุดชะงัก มองอดิศวร์ที่เปิดประตูเข้าไปในห้องท่านผู้หญิง
แสงแขสบโอกาสเยาะเย้ย “ไม่ได้ยินที่คุณลบไล่เรอะ”
โอบอ้อมพลอยพยักตามนิสัยสอพลอ “คุณลบเธอไล่แบบผู้ดีค่ะ!..เขาเลยอาจไม่รู้สึก
แสง(จ้องวิเขม็ง เดินเข้ามาช้าๆ) ไสหัวไป! คราวนี้รู้สึกหรือยัง!
วิรงรองเม้มปากแน่น แล้วค่อยๆ คลายออก มองแสงแขยิ้มๆ
“ทำไมคุณแสงแขไม่เข้าไปล่ะคะ”
แสงแขเม้มปากแล้วพูดสะบัดๆ “มันเรื่องของฉัน”
“งั้นมันก็เรื่องของฉันเหมือนกัน…แปลกนะคะ คุณแสงอุตส่าห์ตกใจวิ่งมาถึงที่นี่ แต่แล้วก็ไม่เข้าไป”
โอบอ้อมฟ้องอีก “คุณแขขา...เขาเยาะเย้ยเพราะรู้ว่าท่านผู้หญิงไม่ชอบคุณค่ะ”
แสงแขตวาด “นังโอบ”
“ทำไมหรือคะ” โอบอ้อมเหวอ ยังไม่รู้ตัว
วิรงรองยิ้ม “นึกอยู่แล้วเหมือนกัน เพราะฉันไม่ค่อยเห็นคุณใกล้ชิดกับท่านผู้หญิง”
“ต๊าย! เดาแม่นนี่” โอบอ้อมเผลอปาก
“อีนังโอบ จะไปไหนก็ไป ไสหัวไป๊”
แสงแขตะเพิด โอบอ้อมรีบออกไป
“ที่แท้เราก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก! เจ้าของบ้านเกลียดขี้หน้าเราพอๆ กัน”
พูดจบวิรงรองก็เดินหนีไป
แสงแขคำราม “ฉันไม่เหมือนแก”
วิรงรองได้ยิน หยุดชะงัก
“เพราะคุณลบไม่ได้เกลียดฉัน อีกไม่นาน ฉันก็จะเป็นคุณหญิงของ “โดมทอง” แต่แกจะต้องออกไป” แสงแขบ่นบ้าด่าต่อ
วิรงรองหันกลับมา “คุณคิดว่า ฉันอยากจะอยู่ที่นี่นักเรอะ! ฉันอยากจะไปเดี๋ยวนี้เสียด้วยซ้ำ”
“ก็แล้วทำไมแกไม่ไป”
“อ้าว! ก็เคยบอกแล้วไงคะว่า คุณอดิศวร์ห้ามไม่ให้ไป ไอ้ฉันก็เกรงใจ จะให้ผู้ใหญ่พูดบ่อยๆ คงไม่ดี! คุณแสงแขว่างั้นมั้ยคะ”

วิรงรองเดินออกไป ท่ามกลางสายตาอาฆาตของแสงแข

อ่้านต่อหน้า 3

โดมทอง ตอนที่ 2 (ต่อ)

ครู่ต่อมาวิรงรองเดินเข้ามาในห้อง และปิดล็อคประตูแน่นหนา เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเซ็งๆ

“เฮ้อ!...มีแต่เรื่องบ้าๆ บอๆ”
วิรงรองนึกได้ รีบลุกเดินไปที่หน้าต่างมองออกไป เห็นทั่วทั้งบริเวณด้านล่างว่างเปล่า ดวงจันทร์ กระจ่างลอยเข้าไปในหมู่เมฆ
วิรงรองถอนใจยาว แล้วเดินกลับมาเอนตัวลงนอน จับจ้องมองเพดานครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง

บรรยากาศสวยงามกว้างใหญ่ของอาณาบริเวณโดมทองในตอนเช้าแสนสดชื่น วิรงรองเดินเหมือนหาอะไรมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นสมกำลังตัดแต่งกิ่งไม้อยู่ จึงร้องทัก
“สวัสดีค่ะ”
สมหันกลับมา วิรงรองยิ้มกว้าง จำได้ว่าเป็นคนไปรับเธอที่สถานีรถไฟ
“ลุงนั่นเอง ตั้งแต่มาอยู่ที่โดมทอง ...หนูยังไม่เห็นลุงเลย”
สมยังคงมีสีหน้าเรียบสนิท “ถ้าไม่มีใครออกไปไหน ผมก็จะอยู่แถวๆ นี้ ละครับ..ไม่ได้ออกไปข้างหน้าโน่น..คุณหนูมาเดินเล่นหรือครับ”
“ค่ะ” วิรงรองเว้นไปนิด “ที่จริง หนูมาหาโรงเก็บรถม้าน่ะ”
สมมีท่าทีแปลกใจ “ทำไมหรือครับ”
“แล้วมีมั้ยล่ะคะ”

สักครู่หนึ่ง สมเดินพาวิรงรองเดินมาที่โรงเก็บของ ซึ่งเป็นโรงไม้เก่า
“นี่ไงครับ”
“ลุงเปิดให้หนูเข้าไปดูหน่อยได้ไหมค่ะ”
“ทำไมคุณหนูถึงสนใจนักหนา”
“เพราะเมื่อคืนหนูเห็นคนขับรถม้าค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้”
“หนูเห็นจริงๆ ค่ะ” วิรงรองยืนยันหนักแน่น
สมมองวิรงรองอย่างชั่งใจ
“นะคะ ลุง”
สมหยิบกุญแจออกมาไขให้
ประตูเปิดออก สมเดินนำให้วิรงรองเข้ามา หญิงสาวมองอย่างสำรวจตรวจตรา เห็นรถม้าเก่ามากคันหนึ่งจอดอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างผุพังจนไม่น่าจะใช้การได้ ท่ามกลางฝุ่นและหยากไย่ระเกะระกะ
“มีคันเดียวนี่หรือคะ”
“ครับ..มีแต่รถ....ม้าไม่มี”
วิรงรองเดินไปใกล้ๆ มองแต่ละส่วนอย่างพิจารณา แล้วชะงัก ก่อนจะก้มลงเอามือแตะที่ล้อ ซึ่งมีดินติดอยู่เหมือนเพิ่งออกไปไหน แล้วเพิ่งกลับมาใหม่ๆ
“อะไรหรือครับ คุณหนู”
“ลุงมาดูนี่ซิคะ”
สมเดินมามองและอึ้งไปนิดหนึ่ง
“เห็นมั้ยคะ”
สมทำสีหน้าปกติมาก “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ”
วิรงรองมองสมเต็มตา
“หนูจำคนขับรถม้าได้ติดตา...แต่งตัวแบบโบราณหน่อย..มีทั้งหมวก..เสื้อคลุม”
สมรีบร้อนตัดบท “คุณหนูกลับไปดีกว่าครับ”
“เขาคนนั้นเป็นใครคะ”
“ไม่ทราบครับ”
สมสบตาวิรงรองไม่มีอะไรส่อพิรุธ หรือผิดปกติ

วิรงรองเดินเข้ามาในโดมทอง เจออุไรกำลังเดินสวนมาพอดี
“อุไร! ว่างหรือเปล่า”
“ก็..ไม่มีอะไรทำค่ะ” อุไรรีบพูดต่อ “เฉพาะตอนนี้นะคะ”
“งั้นตามมานี่หน่อยซิ”
วิรงรองออกเดินนำ อุไรมองซ้ายมองขวาแล้วรีบเดินตาม

ครู่ต่อมาวิรงรองเปิดประตูเข้าห้องของเธอมา โดยอุไรตามมาด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ
“คุณวิรงรองอย่าถามอะไรอุไรนะคะ...เพราะอุไรจะไม่ตอบ อุไรไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“เมื่อคืน ท่านผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง!”
“ท่านก็ฝันร้ายของท่านตามปกติค่ะ..ฝันซ้ำๆ ซากๆ ว่าคุณพลับพลึงมาหลอกหลอน!”
“คุณพลับพลึง” วิรงรองสนใจขึ้นมา
อุไรย้ำคำเดิม “อย่าถามนะคะ เพราะอุไรจะไม่ตอบ คุณพลับพลึงเป็นน้องสาวของท่านผู้หญิงค่ะ...เขาลือกันว่าสวยมาก แล้วไอ้ความสวยนี่แหละค่ะที่เป็นเหตุ!อย่าถามนะคะ อุไรไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!..ท่านเจ้าคุณค่ะ..ท่านเจ้าคุณสามีของท่านผู้หญิงเกิดมาติดเนื้อต้องใจคุณพลับพลึง”
วิรงรองนั่งฟังอย่างสนใจ
อุไรยกมือห้ามอีก “อย่าค่ะ! อย่าถาม! อีทีนี้พี่น้องก็มองหน้ากันไม่ได้น่ะซีค่ะ!ตอนหลังดูเหมือนคุณพลับพลึงจะตัดสินใจหนีออกไปจากโดมทองเพื่อตัดปัญหาทั้งหมด ส่วนเจ้าคุณก็ตรอมใจตาย”
วิรงรองขยับเปลี่ยนท่านั่ง อุไรเล่าต่อ
“เห็นมั้ยคะว่า อุไรน่ะไม่มีวัน ที่ใครจะง้างปากให้พูดอะไรได้ง่ายๆ”
“จบแล้วเหรอ”
“ก็ฟังเขามาได้เท่านี้แหละค่ะ อุ๊ยตาย! อุไรไปก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณอุษาจะตามหาตัว”
วิรงรองเดินไปเปิดประตูให้
“ขอบใจนะจ๊ะ”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจค่ะ เพราะอุไรไม่ได้พูดอะไรเลย!”
อุไรเดินออกไป วิรงรองส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วปิดประตูเดินมานั่งลง ท่าทางครุ่นคิดติดใจกับเรื่องที่ได้ฟังมา
“คุณพลับพลึง..ทำไมชื่อมาคล้ายกันได้ แปลกจัง!..เอ! แล้วเรื่องรถม้านั่น..หรือว่ารถผี! ฮื้อ !ผีไม่มีในโลกน่า”
สุ้มเสียงวิรอง เหมือนพยายามปลอบใจตัวเอง

อุไรกำลังเดินผ่านหน้าห้องทำงานอดิศวร์ ในขณะที่ประตูเปิดออก..อดิศวร์ก้าวออกมาตามด้วยสม อุไรตกใจมีพิรุธทันที
“อุไรไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ!...คุณวิรงรองถามแต่อุไรไม่ได้เล่าเรื่องท่านผู้หญิงกับคุณพลับพลึงเลย”

อดิศวร์ขบกราม สีหน้าโกรธจัด แม้จะเข้าใจดีว่าอุไรนั้นเป็นคนบ้าจี้ หากใครจี้จุดเข้า จะพรั่งพรูเรื่องไม่ควรพูดต่างๆ ออกมาหมดก็ตาม

ด้านวิรงรองโทรศัพท์คุยกับคุณปรางผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“แค่นี้ก่อนนะคะคุณ แล้วหนูจะโทรไปใหม่..หนูรักคุณมากค่ะ คิดถึงด้วยค่ะ...หนูทราบค่ะ”
วิรงรองวางโทรศัพท์ลงและสูดลมหายใจยาว มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นและหญิงสาวเดินไปเปิดแต่ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่คาดคิด
“คุณอดิศวร์!”
ผู้เป็นนายจ้าง ยืนหน้าบึ้งอยู่
“ทำไมเธอถึงจุ้นจ้านอย่างนี้!”
“อะไรกันคะ!” วิรงรองงง
“ไม่ต้องมาทำตาใสซื่อ มันเป็นอะไรถึงได้อยากรู้ความเป็นไปในบ้านฉันนัก หรือว่าอยากจะฝึกเป็นสายลับ”
วิรงรองตั้งสติได้แล้ว อารมณ์เริ่มขุ่น “อ้อ...บรรดาลูกสมุนมาฟ้องละซี! คนบ้านนี้ไว้ใจไม่ได้สักคน”
“แน่ละ...เขาเป็นคนของฉันนี่! เขาอยู่กันอย่างสงบอยู่ดีๆ เธอก็มาทำให้วุ่นวายไปหมด”
“ถ้าคิดอย่างนั้น...ก็ให้ฉันกลับบ้านซิ” วิรงรองว่า
“นึกแล้วว่าต้องพูดอย่างนี้! ไอ้ที่พยายามเข้ามาก่อกวนทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้ฉัน หมดความอดทนจนต้องปล่อยเธอกลับไปแย่งคู่หมั้นของหลานฉัน”
“โอ๊ย! วกเข้ามาเรื่องนี้อีกแล้ว! ถามจริงๆ เลย คุณคิดได้แค่นี้เรอะไง”
“ก็แล้วเธอมีอะไรให้ฉันคิดอีกล่ะ”
“พูดไปคุณก็ไม่เชื่อ”
“ก็ลองพูดมาซิ”
“เมื่อคืน...ก่อนหน้าที่จะได้ยินเสียงท่านผู้หญิงกรีดร้อง...มีผู้ชายคนนึงขับรถม้ามาที่ใต้หน้าต่าง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉัน”
“หน้าตาเป็นยังไง”
“เห็นไม่ชัด”
“แล้ว…”
“แล้วเขาก็หายไป”
“สรุปว่าเป็นผี” น้ำเสียงอดิศวร์เยาะอยู่ในที
วิรงรองกัดปาก มองนายจ้างอย่างแค้นใจ
“วันก่อนเห็นผีผู้หญิง ..พอเมื่อคืนเห็นผีผู้ชาย”
วิรงรองดึงประตูจะปิดด้วยความโกรธ แต่อดิศวร์กลับยกมือขึ้นดันเอาไว้ วิรงรองไม่ยอม รวบรวมกำลังยกขึ้นช่วยกันดึงทั้งสองมือ โดยอีกฝ่ายใช้มือเดียวสบายๆ
ทั้ง 2 ยื้อกันพักหนึ่ง แล้วอดิศวร์ก็ก้าวเข้ามาแล้วปิดประตูวิรงรองถึงกับเซไป
“เอ้า! อยากปิดก็ได้”
“ออกไป! ถึงจะเป็นบ้านคุณ แต่นี่เป็นห้องของฉัน”
“ไม่ต้องกลัวนายพิชญ์จะมาเห็นหรอกน่า” อดิศวร์เหน็บ
“คุณ!” วรงรองเจ็บใจ แค้นใจจนน้ำตาคลอ
อดิศวร์มองนิ่งๆ
“คุณมันใจร้าย”
“แล้วเธอไม่ร้ายหรือไง! อุตส่าห์สร้างเรื่องผีเรื่องสางขึ้นมาทั้งหมดนี่ ก็เพื่อจะกลับไปหานาย พิชญ์! ฉันไม่มีวันไว้ใจเธอเด็ดขาดจนกว่างานแต่งงานของหลานฉันจะผ่านไป”
“ถ้าคิดจะแย่งจริงๆ ต่อให้แต่งงานแล้วก็แย่งได้”
นัยน์ตาอดิศวร์เป็นประกายกร้าว
“แต่ถ้าลองคิดทบทวนดูให้ดี หลานสาวคุณต่างหากที่แย่ง พิชญ์ไปจากฉัน! ฉันกับ พิชญ์รักกันมา 2 ปี..เราสัญญาว่าจะแต่งงานกันเมื่อเรียนจบกลับมา แต่แล้วหลานคุณก็เข้ามาแทรก”
“พิณทองไม่ใช่คนอย่างนั้น” อดิศวร์เถียงแทน
“แล้วเป็นอย่างไหนล่ะ! คุณลองไปถามคนทั้งโลกดูก็ได้ว่า กรณีแบบนี้ใครถูก...ใครเป็นคนแย่งใครเป็นคนถูกแย่งกันแน่!”
“วิรงรอง!”
“คุณนั่นแหละตัวดีเลย เป็นคนวางแผนแยกฉันออกมาเพื่อให้พิณทองแทนที่ แล้วยังพยายามหน่วงเหนี่ยวกักขังฉันไว้โดยอ้างโน่นอ้างนี่ ถ้าฉันจะไปจริงๆก็ไปได้ แต่ก็อย่างที่บอก เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและเพื่อศักดิ์ศรีของฉัน ฉันจะอยู่ที่นี่ให้ครบตามสัญญา”
“แล้วฉันจะคอยดู”
อดิศวร์เปิดประตู เดินออกไปเงียบๆ วิรงรองรีบไปล็อคประตู แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“คนที่นี่ไว้ใจไม่ได้สักคน”

อดิศวร์เดินเข้ามาในบริเวณมุมหนึ่ง ตรงด้านนอกโดมทอง ถอนใจยาว ภาพวิรงรองผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“แต่ถ้าลองคิดทบทวนดูให้ดี หลานสาวคุณต่างหากที่แย่ง พิชญ์ไปจากฉัน ฉันกับพิชญ์รักกันมา 2 ปี เราสัญญาว่าจะแต่งงานกันเมื่อเรียนจบกลับมาแต่แล้วหลานคุณก็เข้ามาแทรก”
“คุณนั่นแหละตัวดีเลย เป็นคนวางแผนแยกฉันออกมาเพื่อให้พิณทองแทนที่ แล้วยังพยายามหน่วงเหนี่ยวกักขังฉันไว้โดยอ้างโน่นอ้างนี่”
ภาพวิรงรองเลือนหายไป อดิศวร์พึมพำกับตัวเอง

“ปากคอจัดจ้านนักนะ...แม่วิรงรอง”

นาฬิกาในห้องอุษาบอกเวลาบ่ายโมงตรง อุษาเบือนหน้ามาจากนาฬิกา ด้วยสีหน้าครุ่นคิดแกมลังเล

เธอเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย ตัดสินใจไม่ถูก
เวลาผ่านไปอีก นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว อุษาเดินไปที่หน้าต่าง แล้วมองออกไปยังป่าละเมาะไกลออกไป
ภาพจดหมายนัดพบของพันธุ์สูรย์ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด เวลายังคงเดินต่อไป นาฬิกาบอกเวลาเป็น บ่ายโมง 45 นาที สีหน้าอุษายังคงสับสนและลังเลอยู่อย่างนั้น

สักครู่ต่อมา ประตูห้องเปิดออก เห็นอุษาก้าวออกมาในชุดขี่ม้า สีหน้ายังมีความกังวลเช่นเดิม อุษาเดินมาตามระเบียง แล้วเดินลงบันได ตรงไปยังหน้าตึก
อุษาก้าวออกมาด้วยความโล่งใจ แสงแขก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง
“จะไปไหน...พี่อุษา”
อุษาสะดุ้งหน้าตามีพิรุธทันที แล้วพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันมา
“เธอก็เห็นแล้วนี่” พลางผายมือทั้ง 2 ข้างออก เป็นเชิงให้ดูชุดขี่ม้า
สีหน้าแววตาแสงแขรู้เท่าทันขณะมองชุดแว่บหนึ่ง “จะขี่ม้าไปแบบนี้ แสดงว่าต้องไปไกล อย่างน้อยที่สุดก็ป่าละเมาะโน่น”
อุษานิ่ง แต่สบตาแสงแขไม่หลบ
“ว่าแต่ขออนุญาตคุณลบแล้วหรือยัง”
“คุณลบอยู่ในห้องทำงาน พี่ไม่อยากรบกวน”
“ไม่อยากรบกวนหรือไม่อยากให้คุณลบรู้ว่า จะแอบไปหาพันธุ์สูรย์”
อุษาอึกอัก “ฉัน...”
แสงแขสวนคำทันที “อย่าปฏิเสธ ฉันจะฟ้องคุณลบ”
“เชิญเลย”
อุษาเดินอ้อมไปทางด้านข้าง
แสงแขมองตามตาวาววับ แล้วตะโกนไล่หลัง “ฉันจะฟ้องจริงๆ ด้วย”
อุษาไม่ได้หันมามอง แสงแขสะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปข้างใน

ขณะเดียวกันวิรงรองยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าแววตายังคงมีร่องรอยหงุดหงิด สักพักอุษาในชุดขี่ม้า กำลังขี่ม้าอย่างคล่องแคล่ว ตรงไปยังทุ่งพลับพลึง ซึ่งติดกับป่าละเมาะ
“ใครน่ะ” วิรงรองมองเห็นไกลๆ จากด้านหลัง “ที่นี่มีคอกม้าด้วยเหรอ”
วิรงรองยังคงมองตาม ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

อดิศวร์ ศิโรดม นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในห้องทำงาน สีหน้ายังคงหงุดหงิดกับเหตุการณ์ปะทะคารมกับวิรงรอง
เสียงเคาะประตูเบาๆ อดิศวร์ขยับตัวจากท่านั่งสบายๆ กลับกลายเป็นอดิศวร์ผู้เคร่งขรึมน่าเกรงขามตามเดิม
“ใคร”
“แขเองค่ะ”
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก แสงแขเดินอย่างสงบเสงี่ยมเข้ามา
“นั่งซิ”
“ขอบคุณค่ะ”
“มีอะไร”
“พี่อุษาขี่ม้าออกไปที่ป่าละเมาะค่ะ แขสงสัยว่า จะไปพบกับพันธุ์สูรย์”
“ฉันห้ามแล้ว อุษาคงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง อีกอย่าง...เท่าที่รู้ ตอนนี้พันธุ์สูรย์อยู่กรุงเทพฯ”
แสงแขหน้าเสียไปนิดหนึ่ง ก้มหน้าลงบ่นอุบอิบ
“แขขอประทานโทษค่ะ” พร้อมกับไหว้ด้วย
“จะต้องขอโทษทำไม ในเมื่อเธอคอยเป็นหูเป็นตาให้พี่”
นัยน์ตาแสงแขกลับเป็นประกายด้วยความดีใจ “ค่ะ แขรู้ว่าคุณลบชอบหรือไม่ชอบอะไร แขรู้ใจคุณลบ...”
อดิศวร์พูดขัดก่อนแสงจะจบประโยค “หมดธุระแล้วใช่ไหม”
แสงแขรับเสียงอ่อยๆ “ค่ะ เอ้อ...ถ้าคุณลบต้องการอะไรอีกก็ใช้แขได้นะคะ...”
“ขอบใจ”
แสงแขรีๆ รอๆ นิดหนึ่ง แล้วลุกเดินออกไป
สีหน้าแววตาอดิศวร์ในยามนี้ฉายแววใคร่ครวญครุ่นคิดเครียดเคร่ง

บริเวณป่าละเมาะ สถานที่พันธฺสูรย์นัดพบอุษา ด้านหลังมีน้ำตก ส่งให้บรรยากาศของป่าบริเวณนั้นยิ่งสวยงาม ต้นไม้รกครึ้ม มีกล้วยไม้ขึ้นแซมอยู่
อุษาควบม้าเหยาะย่างเข้ามา จนถึงบริเวณที่มีน้ำตก แล้วลงมา อุษาตบหลังม้าเบาๆ อย่างคุ้นเคยกันดี ปล่อยม้ากินหญ้าบริเวณนั้น
“คุณอุษา” เสียงพันธุ์สูรย์ดังขึ้น
อุษาหันไปมอง และนัยน์ตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความดีใจ และตื้นตันใจที่ได้พบกัน
ในที่สุดอุษาโผเข้าหาอ้อมกอดพันธุ์สูรย์
“คุณอุษา”
“นึกว่าจะไม่ได้พบกันแล้ว”
พันธ์สูรย์ปล่อยอุษา แล้วรวบมือขึ้นมาจูบ “ทีแรก ผมก็คิดจะตัดใจจากคุณเหมือนกัน แต่แล้วก็ทำไม่ได้”
พันธุ์สูรย์จูงอุษามาทรุดตัวลงนั่ง
“เราจะทำยังไงกันดี”
พันธุ์สูรย์พูดด้วยสีหน้าแน่วแน่มุ่งมั่น “ผมจะไปพูดกับคุณลบ”
อุษาตกใจมาก “ไม่ได้เด็ดขาด คุณลบคงไม่ยกโทษให้อุษาแน่ อุษาจะกลายเป็นคนเนรคุณ”
“ฟังนะ...คุณรับใช้พวกเขายังกับทาสมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเป็นอิสระเสียที ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมไปจนตลอดชีวิต”
อุษาออกอาการว้าวุ่นใจ “ขอเวลาให้อุษาหน่อยนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก อุษายังตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้”
พันธุ์สูรย์มีสีหน้าอ่อนลง “ขอโทษ...ผมไม่ควรเร่งรัดคุณเกินไป”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก”
พันธุ์สูรย์ปรับสีหน้าให้แจ่มใสขึ้น “ผมมีของมาฝากคุณ”
อุษามีสีหน้าดีขึ้นเช่นกัน “อะไรหรือคะ”
พันธุ์สูรย์เดินไปหยิบถุงใบหนึ่งขึ้นมา แล้วส่งให้อุษา
“เปิดดูซิครับ”
อุษาหยิบกล่องโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สีหน้ายิ้มแย้มขรึมลง
“เราจะได้ติดต่อกันสะดวกยิ่งขึ้น” ชายหนุ่มบอก
อุษาส่ายหน้า แล้วส่งคืนให้พันธุ์สูรย์ “อุษารับไว้ไม่ได้ค่ะ เป็นความประสงค์ของคุณย่าที่จะรักษาโดมทองไว้อย่างที่เคยเป็นมา โดมทองคือโลกอันสงบของคุณย่า”
“เหลวไหล ทีคุณลบล่ะ อย่าบอกนะว่า คุณลบไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีคอมพิวเตอร์”
“คุณลบต้องติดต่องาน” อุษาแย้ง
“เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว” พันธุ์สูรย์ว่า
อุษาลุกขึ้น วางกล่องโทรศัพท์ แล้วเดินไปที่ม้า
“คุณอุษา”
“อุษาต้องกลับละค่ะ...คุณย่าจะตื่นแล้ว”
พันธุ์สูรย์เดินตามมาจะช่วยอุษาขึ้นม้า แต่อุษาขึ้นก่อนโดยไม่รับความช่วยเหลือ
“คุณโกรธผมใช่ไหม” ชายหนุ่มตัดพ้อ
อุษาสบตาพันธุ์สูรย์ “เปล่าค่ะ อุษาโกรธตัวเองต่างหาก ลาก่อนค่ะ พันธุ์สูรย์”

อุษาบังคับม้าออกไป พันธุ์สูรย์มองตามหญิงคนรักหน้าเศร้าๆ

กลับถึงโดมทองอุษากำลังรีบจะเดินขึ้นไปที่ห้อง ขณะเสียงอดิศวร์ดังขึ้น

“ไปขี่ม้าเล่นมาหรือ”
อุษาหลบตา มีพิรุธ “ค่ะ”
จังหวะนี้วิรงรองกำลังจะเดินเข้ามาในบริเวณนั้นชะงัก หลบแอบฟัง
อดิศวร์มองอุษาเขม็ง “มีอะไรอีกหรือเปล่า”
อุษาหน้าเสีย “เอ้อ”
“ว่าไง”
อุษาขยับจะปฏิเสธ
“อย่าโกหก พี่ไม่ชอบคนโกหก”
อุษาฝืนสบตาพลางบอก “ไม่มีอะไรค่ะ อุษาขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ...คุณย่าจะตื่นแล้ว”
อุษารีบหันหลังกลับเดินออกไป อดิศวร์มองตามด้วยแววตาเย็นชา แล้วหันหลังกลับ
วิรงรองค่อยๆ ย่องตามอุษาไป

อุษารีบก้มหน้าก้มตาเดินตรงมาที่ห้อง ขณะที่วิรงรองเดินแกมวิ่งตามมา
“คุณอุษาคะ”
อุษาหยุด แล้วหันไปมอง
วิรงรองถามด้วยสีหน้าแจ่มใส “ที่นี่มีม้าด้วยหรือคะ”
“ค่ะ”
“ดิฉันขี่ม้าเป็น” วิรงรองพูดด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ทำนองอยากจะขี่ม้าด้วย
อุษาขัดขึ้น “คุณต้องไปขออนุญาตคุณลบเองค่ะ”
อุษาหันหลังกลับรีบเดินไป พร้อมบ่นพึมพำ
“มีหวังนรกแตกน่ะซิ ...เอ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้”
วิรงรองตัดสินใจเดินย้อนกลับไป

อดิศวร์ กำลังนั่งอ่านคำร้องที่พนักงานส่งมาให้ แล้วแก้ไขไป มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก เป็นวิเดินเข้ามาด้วยสีหน้ากระตือรือร้น แล้วหันไปปิดประตูเบาๆ วิรงรอง เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงาน
ขณะที่หน้าอดิศวร์เหลือบมอง โดยไม่เงยหน้า ท่าทางเหมือนอยู่คนเดียวในห้อง
วิรงรองขยับแขนขาหงุดหงิดครู่หนึ่ง แล้วกระแอมเบาๆ
อดิศวร์พูดขึ้นเหมือนรำคาญ “จะพูดอะไรก็พูด มายืนกระแอมกระไออยู่ได้”
วิรงรองพยายามระงับความหงุดหงิด “ดิฉันมาขออนุญาตขี่ม้า...”
อดิศวร์พูดสวนทันที “ไม่อนุญาต”
นัยน์ตาวิรงรองเป็นประกาย “ทำไมคะ”
อดิศวร์เงยหน้ามองสีหน้าเย็นชา “เพราะฉันไม่อนุญาต”
“ขอทราบเหตุผลค่ะ!”
“เหตุผลก็คือ ฉันไม่อนุญาต! เข้าใจแล้วก็ออกไปได้”
“นั่นไม่ใช่เหตุผลค่ะ”
อดิศวร์เอนหลังพิงพนัก กวาดสายตาไปทั่วตัววิรงรองแว่บหนึ่ง
“เธอต้องการอะไร แม่วิรงรอง”
วิรงรองเม้มปาก สะบัดหน้าหันหลังเดินไปที่ประตู อดิศวร์ลุกขึ้นก้าวยาวๆ ตามมาคว้าแขนไว้
“จะไปไหน!”
“จะกลับบ้าน! ดิฉันเคยบอกแล้วว่า ถ้าคุณเรียกดิฉันว่าแม่วิรงรองดิฉันจะกลับบ้าน”
“กลับไม่ได้”
“เอ๊ะ!”
“ไหนบอกว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อพิสูจน์ว่าเธอมีศักดิ์ศรีไงล่ะ!”
วิรงรองมองสบตาอดิศวร์แน่วนิ่ง “ดิฉันคงไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาหรือรักษาศักดิ์ศรีอยู่ฝ่ายเดียว”
“เอาเป็นว่า ฉันจะไม่เรียกเธอว่า แม่วิรงรองอีก!”
วิรงรองกระชากแขนออกจากมือนายจ้าง แล้วเดินไปที่ประตู
“แล้วก็อนุญาตให้เธอไปขี่ม้าเที่ยวเล่นได้” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
วิรงรองหยุดชะงัก หันขวับมา นัยน์ตาเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ
“ออกไปได้แล้ว”
อดิศวร์เดินกลับไปนั่งทำงานต่อโดยไม่สนใจวิอีก
“ขอบคุณค่ะ”

วิรงรองเดินออกไปด้วยสีหน้าแจ่มใส ขณะที่อดิศวร์ยังคงทำงานต่อไปเงียบๆ

อ่้านต่อหน้า 4

โดมทอง ตอนที่ 2 (ต่อ)

ไม่นานต่อมาวิรงรองเดินเข้ามาเลือกม้า บริเวณคอกม้า มีคนงานกำลังดูแลม้ากันไป วิรงรองมีสีหน้าแววตาแจ่มใสเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

สมพาวิรงรองตรงมาที่เจ้ารักเร่ “เอาเจ้ารักเร่นี่ก็แล้วกันนะครับ...เชื่องกว่าเพื่อน”
“ค่ะ”
สมสั่งคนงาน ใส่บังเหียนทุกอย่างเรียบร้อย
“เชิญครับ...คุณหนู”
“แหม...ตื่นเต้นจัง”
วิรงรองขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว โดยสมช่วยจับให้
“ขอบคุณมากนะคะ ลุง” หญิงสาวบังคับม้าออกเดินอย่างชำนาญ
“อย่าไปไกลนักนะครับ...เดี๋ยวจะหลง”
“ค่ะ”
วิรงรองบังคับม้าวิ่งเหยาะๆออกไป โดยสมมองตามอย่างโล่งใจที่เห็นท่าทางคล่องแคล่วนั้น

ที่ทุ่งพลับพลึงยาวสุดลูกหูลูกตา วิรงรองลงจากหลังม้า แล้วลูบแผงคอพร้อมกับกระซิบเบาๆ อย่างอ่อนโยน แล้วเดินไปเก็บช่อดอกพลับพลึงช่อใหญ่ กลับขึ้นม้าขี่ไปทางป่าละเมาะ บริเวณน้ำตก

ไม้ดอกสวยๆ อวดตัวอยู่ทั่วบริเวณในบริเวณป่าละเมาะ วิรงรองขี่ม้าเหยาะย่างเข้ามา ด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติอันสวยงามในบริเวณนั้น
มีเสียงน้ำตกดังแว่วมา วิรงรองบังคับม้าให้เดินไปตามเสียงนั้น จนกระทั่งเห็นน้ำตกอยู่ตรงนั้น เธอมองดูด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วลงจากหลังม้า
วิรงรองวางช่อพลับพลึงไว้บนโขดหิน แล้วเดินไปทรุดตัวลงวักน้ำขึ้นล้างหน้า แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นขาคู่หนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
วิรงรองเงยหน้ามองเจ้าของขาคู่นั้น แล้วนัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เป็นพันธุ์สูรย์ ชายหนุ่มที่เธอเจอบนรถไฟ ที่มองมา แล้วยิ้มให้อย่างจำได้เช่นกัน
“คุณนั่นเอง”

เวลาเดียวกันเสียงพิณทองซึ่งเวลานั้นอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ ดังลอดออกมาจากมือถืออดิศวร์ ที่อยู่ในห้องทำงาน
“น้าลบคะ...คุณแม่ได้ฤกษ์แต่งงานมาแล้วค่ะ”
อดิศวร์มีสีหน้าเอ็นดูหลานสาว ขณะถาม
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“กลางเดือนหน้าค่ะ...พิณว่าเร็วไปหน่อย แต่คุณแม่บอกว่า ถัดจากนี้ก็ไม่มีฤกษ์ดีแล้ว”
“แล้วคุณพิณจะเตรียมตัวทันหรือ”
“ทีแรกพิณก็กลัวค่ะ แต่งานนี้มีคนอาสาเต็มไปหมด คุณแม่บอกว่าให้พิณเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอย่างเดียวเท่านั้น”
“คุณพิณโชคดี”
สีหน้าพิณทองเริ่มมีริ้วรอยกังวล “พิณไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่หรอกค่ะ เพื่อนพิณเขาเล่าให้ฟังว่า พิชญ์เคยมีแฟนตอนเรียนอยู่ที่อเมริกา”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายครับ ถ้าไม่เคยมีซิแปลก คุณพิณทำใจให้สบาย แล้วเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดอย่างที่คุณแม่ว่าก็พอ ...เชื่อน้าลบนะครับ”

ทั้ง 2 คน เดินคุยกันไป ท่ามกลางธรรมชาติสวยงามของป่าบริเวณนั้น
“เป็นยังไงบ้างครับ โดมทอง เหมือนที่คุณคิดไว้หรือเปล่า” พันธุ์สูรย์ถาม
“ดิฉันไม่นินทาเจ้านาย”
พันธุ์สูรย์ยิ้ม “งั้นก็แปลว่า เจ้านายมีเรื่องให้นินทาเยอะ”
วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วหยุดเดินหันมามองพันธุ์แน่วแน่ “เมื่อกี้ คุณอุษาออกมาพบคุณใช่ใหม”
“ใช่”
“งั้นคุณก็คือ...”
“พันธุ์สูรย์...ผมชื่อพันธุ์สูรย์” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง
“ฉันได้ยิน แม่ครัวพูดถึงคุณกับคุณอุษา”
“ขอร้องอะไรอย่างนึงได้ไหม”
วิรงรองไม่ได้รับปาก แต่มองพันธุ์สูรย์เป็นเชิงกำลังรับฟัง
“กรุณาอย่าบอกคุณลบว่า คุณอุษาออกมาพบผม”
“ทำไมคะ”
พันธุ์สูรย์ไหวไหล่นิดๆ “เอาเป็นว่า ผมไม่อยากให้คุณอุษาเดือดร้อนก็แล้วกัน”
วิรงรองแปลกใจ “ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย นอกจากว่าคุณไปทำอะไรให้เขาเกลียด”
“ผมน่ะเรอะจะทำอะไรเขา ผมเป็นผู้ถูกกระทำต่างหาก” พันธุ์สูรย์ยกนาฬิกาขึ้นดู “ผมต้องกลับละ ยินดีที่ได้รู้จักคุณ...”
“วิรงรองค่ะ”
“ชื่อเพราะดี” พันธุ์สูรย์เป่าปากเรียกม้า
ม้าพันธุ์สูรย์เดินเข้ามาในบริเวณนั้นอย่างแสนรู้ ชายหนุ่มก้าวขึ้นหลังม้า
“เดี๋ยวซิคะ...อย่าเพิ่งกลับ คุณยังไม่ได้เล่าเลยว่าทำไม คุณอดิศวร์ถึงได้เกลียดคุณ”
“ไม่มีอะไรน่าฟังหรอกครับ หวังว่าเราคงได้พบกันอีก”
พันธุ์สูรย์บังคับม้าควบหายไปท่ามกลางหมู่ไม้ตรงหน้า วิรงรองชะเง้อมองตามแล้วส่ายหน้า
“แถวนี้มีแต่คนแปลกๆ”

เวลาต่อมา วิรงรองเดินหอบช่อพลับพลึงเข้ามา ขณะที่อุไรเดินผ่านมาพอดี อุไรชะงักมองช่อดอกพลับพลึงแปลกๆ
“คุณเก็บดอกพลับพลึงมาหรือคะ”
วิรงรองยิ้มใจดี “จ้ะ จะเอาไปปักแจกันในห้องท่านผู้หญิงบ้างไหมล่ะ”
อุไรสะดุ้งเฮือก
“ไม่ไหวละค่ะ เฮ้อ คุณรีบเอาไปเก็บในห้องเถอะค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
วิรงรองงวยงงปนแปลกใจ “เห็นแล้วเป็นยังไง!”
“ก็ซวยน่ะซีคะ” อุไรลดเสียงเบาลงแล้วทำหน้าทำตาจริงจัง “ท่านผู้หญิงท่านเกลียดดอกพลับพลึงค่ะ”
“เกลียดแล้วทำไมปลูกเป็นทุ่งเลยล่ะ” วิรงรองฉงน
“ปลูกที่ไหนล่ะคะ...ขึ้นเองโดยไม่มีใครเชื้อเชิญค่ะ!...อุปมาเหมือนมีมือผีมาปลูก..ขึ้นได้ขึ้นดี ดอกไม่มีขาด”
“อุไร” เสียงขุ่นเขียวของอุษาดังขึ้น
อุไรสะดุ้ง ปากอ้าเล่าค้าง อุษาเดินเข้ามา
“ไปดูซิว่า...คุณย่าท่านตื่นหรือยัง”
อุไรรับคำเสียงอ่อยๆ “ค่ะ” แล้วเดินไป
“คุณไม่ควรเก็บดอกพลับพลึงเข้ามาในบ้าน” อุษาบอก
“ทำไมล่ะค่ะ สวยดีออก หอมด้วย”
“ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ส่วนที่เก็บมาแล้วก็รีบเอาไปไว้ในห้องเสีย”
อุษาขยับเดินไป วิรงรองมองหยั่งท่าทีก่อนพูด
“เมื่อกี้ดิฉันเจอคุณพันธุ์สูรย์ด้วย”
อุษาหยุดเดินทันที แล้วค่อยๆ เบือนหน้ามามองบอกด้วยเสียงเยือกเย็น
“อย่าเอ่ยชื่อนั้นให้คนในโดมทองได้ยินเด็ดขาด”
อุษาหันหลังกลับ
“ทำไมล่ะคะ”
“ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน”
“ที่โดมทองนี่มีข้อห้ามแปลกๆ”
อุษามองวิรงรองเขม็ง “กรุณาทำตามที่ฉันบอกค่ะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”

แล้วอุษาก็เดินไป วิรงรองมองตามงงๆ แกมขัดอกขัดใจ

เวลาผ่านไป ขณะที่ท่านผู้หญิงสรรักษ์กำลังทานอาหารเช้าอยู่ในห้อง อดิศวร์เดินเข้ามา อุษา และอุไรขยับเปิดทางให้

“อ้าว ตาลบ กินข้าวหรือยังล่ะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ...ผมมาลาคุณย่า”
ท่านผู้หญิงชะงัก “จะไปไหน”
“ไปงานแต่งงานของพิณทอง ลูกสาวพี่แก้วไงครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์นิ่งคิดครู่หนึ่ง “แม่แก้ว..ไม่ได้พบกันนานเลยนะนั่น”
“ครับ...หลังแต่ง พี่แก้วจะพาพิณทองกับสามีมากราบเท้าคุณย่า”
ท่านผู้หญิงสะบัดน้ำเสียง “อยากจะได้ของขวัญน่ะซิ”
อุษา และอุไรก้มหน้าลง
อดิศวร์บอกเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”
“บอกเสียก่อนว่าฉันไม่มีอะไรจะให้” ประมุขแห่งโดมทองบอกเสียงแข็ง
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
“ลบจะไปกี่วันล่ะลูก”
“ก็สัก 2-3 วันครับ”
“ทำไมนานจัง...” ท่านผู้หญิงสรรักษ์เว้นระยะไปนิด นัยน์ตาเริ่มเหม่อลอย “นานเหลือเกิน”
“ไม่นานหรอกครับ แค่ 2-3 วันเท่านั้น” หลานย่าบอก
“รู้มั้ยว่าถ้าลบไม่อยู่ พวกนั้นมันจะยิ่งได้ใจ! ได้ใจทั้งคนทั้งผี!..นังพลับพลึงมันจะมาหลอกหลอนย่า นี่ดีนะที่ไอ้ผัวทรยศของย่าเข้ามาไม่ได้”
“คุณย่า..ทานข้าวต่อเถอะนะครับผมต้องรีบไปแล้ว...อุษา อุไร ดูแลคุณย่าดีๆ นะ”
2 คนรับคำ “ค่ะ”พร้อมกัน
อดิศวร์ก้มกราบ “ผมไปละนะครับ..คุณย่า”
“แล้วรีบกลับนะลบ รีบกลับก่อนที่นังพลับพลึงมันจะมาฆ่าย่า”
“ครับ..คุณย่า”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์กอดอดิศวร์ไว้แน่นราวกับจะยึดไว้เป็นที่พึ่ง

แสงแขยืนรออดิศวรอยู่หน้าห้อง โดยโอบอ้อมยืนค้อมตัวอยู่ห่างๆ แสงแขรอนานจนเริ่มกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอดิศวร์จึงเปิดประตูออกมา
“คุณลบจะไปแล้วหรือคะ”
อดิศวร์พยักหน้า แล้วพูดต่ออย่างใจดี “เธออยากได้อะไรบ้างล่ะ”
แสงแขยิ้มหวาน “น้ำหอมค่ะ..แขอยากได้น้ำหอม แล้วก็เสื้อผ้าสวยๆ”
โอบอ้อมชำเลืองมองตลอด คอยยิ้มปลื้มไปกับเจ้านาย
“พี่ซื้อไม่เป็นหรอก...เอาไว้พี่กลับมาแล้วเธอกับอุษาไปกันเองก็แล้วกัน…โอบ”
“ขา...”
“ไปตามคุณวิรงรองมาพบฉันที่ห้องทำงานหน่อย!”
สีหน้ายิ้มแย้มของแสงแขเปลี่ยนไปเป็นบูดบึ้งทันที
“อะไรนะคะ” โอบอ้อมแปลกใจ
อดิศวร์ซึ่งกำลังจะเดินไปแล้วชะงัก หันกลับมามองโอบอ้อมอย่างเยือกเย็น
โอบอ้อมหน้าเสีย “โอบจะไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ” รีบเดินออกไป
อดิศวร์เดินแยกไปห้องทำงาน โดยที่แสงแขยืนกำมือแน่น สีหน้าเคียดแค้น
“นังวิรงรอง”

ส่วนวิรงรองกำลังนั่งโทรศัพท์กับแม่ด้วยสีหน้าแจ่มใส
“วันนี้ หนูได้ขี่ม้าด้วยละค่ะ...คุณ...สนุกที่สุดในโลกเลย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครมาเรียก...แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วหนูจะโทร.ไปคุยด้วยใหม่”
วิรงรองวางโทรศัพท์แล้วเดินไปเปิดประตู
แสงแขใส่ทันที “มัวแต่ทำอะไรอยู่ย่ะ ฉันเคาะประตูจนมือเจ็บไปหมดแล้ว”
“อ้าว แล้วทำไมคุณไม่เรียกล่ะคะ”
“ขี้เกียจเรียก...เจ็บคอ”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
แสงแขถลึงตาใส่ “แก...นังวิรงรอง”
วิรงรองโกรธ นัยน์ตาเป็นประกายวาว “จะทำไม นังแสงแข”
แสงแขตบผัวะทันที แล้วถลาเข้าใส่ด้วยความโกรธจัด วิรงรองไม่ทันระวังตัว หงายหลังล้มลง
แสงแขขึ้นคร่อมร่างวิรองรอง พร้อมกับจิกหัว “แกตาย”
ขณะที่ทั้ง 2 กำลังต่อสู้กันชุลมุน อุษาเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ตายแล้ว”
อุษารีบเข้ามาแยกทั้ง 2 ออกจากกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้ พอที”
“ปล่อย ฉันจะฆ่ามัน”
“เอาเลย ฉันจะได้ไปตามคุณลบ”
แสงแขหยุดชะงักทันที
อุษาหันมาทางวิรงรอง “ไปหวีผมหวีเผ้าให้เรียบร้อย แล้วรีบไปพบคุณลบ เธอให้ขึ้นมาตามว่าทำไมช้านัก”
วิรงรองเดินเสยผมเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตู
“มันเรื่องอะไรกัน” อุษาถามน้องสาว
“มันจะแย่งคุณลบไปจากแข”
“พูดจาน่าเกลียด คุณวิรงรองเขาไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก”
“น้อยไปซิ แขดูนัยน์ตามันก็รู้ นังนั่นมันมารยาใส่คุณลบ...ขนาดคุณย่าขับไล่ไสส่งแล้ว คุณลบยังไม่ยอมให้มันไปเลย”
“นั่นเป็นเรื่องของคุณลบ คุณวิรงรองเขาไม่เกี่ยว”
ประตูเปิดออก วิรงรองเดินออกมา ผมเผ้าหวีใหม่เรียบร้อย แล้วเดินไปโดยไม่มองใคร

โดยมีแสงแขมองตามอย่างอาฆาตพยาบาท

วิรงรองเดินเข้ามาในห้องทำงานอดิศวร์ โดยประตูยังเปิดอยู่ อดิศวร์ส่งสายตามองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ปิดประตูด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่มีความลับ”
“ฉันบอกให้ปิดประตู”
“ดิฉันไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด”
“ดื้อ” อดิศวร์ตำหนิ ก้าวพรวดๆ ไปปิดประตู ขณะที่วิรงรองยังยืนอยู่ในอิริยาบถเดิม
“ฉันจะไปกรุงเทพฯ เธอมีอะไรจะฝากไปที่บ้านไหม”
“ไม่มีค่ะ ถึงจะมีก็คงเตรียมตัวไม่ทัน เพราะคุณเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้”
“ถามนิดเดียว ตอบเสียยาว”
วิรงรองเม้มปาก
“ไม่ถามหรือว่า ฉันจะไปทำไม”
“ดิฉันไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น”
“จะว่าเรื่องของคนอื่นก็ไม่ถูก เพราะมันเกี่ยวกับเธอโดยตรง”
วิรงรองยังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจ
“ฉันจะไปงานแต่งงานพิณทองกับพิชญ์” อดิศวร์มองลูกจ้างสาวเหมือนจับผิดขณะพูด
วิรงรองเหมือนจะสะดุ้งนิดหนึ่ง แล้วปรับสีหน้าให้ราบเรียบเช่นเดิม
“ไม่มีอะไรจะพูดหรือ” อดิศวร์เยาะอยู่ในที
วิรงรองปากสั่น ข่มความโกรธ
“อย่างน้อย ก็ฝากคำอวยพร”
ที่สุดวิรงรองก็ตบะแตก “ต้องการอะไร”
“ฉันน่ะไม่ได้ต้องการอะไร...แต่บางทีพิชญ์เขาอาจจะต้องการคำอวยพรจากเธอ”
“อ๋อ!ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันมีเบอร์โทรศัพท์ของพิชญ์ ถ้าอยากจะอวยพรเขาละก็...ฉันโทร.ไปเองได้ เรื่องอะไรจะต้องให้คนอื่นมารู้ความลับของเรา”
อดิศวรรวบตัววิรงรอง จนร่างเซถลาเข้ามาทันที
“ปล่อย”
“อวดดีนักนะ”
“ปล่อย คุณไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้ โน่น คุณแสงแขรอคุณอยู่”
อดิศวร์ฉงน “แสงแขมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ก็ลองไปถามกันเองซิคะ”
อดิศวร์ยอมปล่อย “ฉันไม่มีเวลาทะเลาะกับเธอ...ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ระวังอย่าเที่ยวออกมาเดินเพ่นพ่านล่ะ…” พอพูดจบแล้วก็เดินไปที่ประตู “ไม่มีอะไรฝากไปถึงพิชญ์แน่นะ”
วิรงรองยืนนิ่ง อดิศวร์เปิดประตูเดินออกไป วิรงรองรีรอครู่หนึ่ง แล้วเดินตามออกไป

ขณะเดินออกมาหน้าห้องวิรงรองชะงัก พบว่าแสงแขกำลังลาอดิศวร์ท่าทีอ้อยสร้อย โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเห็นวิรงรองเดินออกมา
“ขอให้คุณลบเดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
อดิศวร์ชายตามองวิรงรองทางปลายตาแว่บหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอบใจ...ฝากช่วยดูบ้านด้วยก็แล้วกัน”
“ค่ะ...วิรงรอง เดินออกไปส่งคุณลบกันไหมจ๊ะ”
“ไม่หรอกจ้ะ” วิรงรองแดกดันเน้นเสียงตรงคำว่าจ้ะ “เชิญตามสบาย”
วิรงรองเดินเลยเข้าไปข้างใน โดยทั้งอดิศวร์ และแสงแขมองตาม
“ท่าทางวิรงรองเขาไม่ชอบแขเลยค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แสงพยายามพูดดีๆ ด้วยก็แล้ว”
“ถ้ารู้อย่างนั้น ก็อย่าไปวุ่นวายกับเขาซิ จะได้ไม่มีเรื่อง”
แสงแขอึ้ง มองอดิศวร์ที่เดินออกไปอย่างน้อยใจ
“พอมันไป ก็อารมณ์เสียขึ้นมาทีเดียว”

ขณะนั้นโอบอ้อมอยู่ที่ห้องครัวฝรั่งในตึก กำลังล้างผักจะทำสลัดให้แสงแข ปากก็ร้องเพลง “วังบัวบาน” เพลงโปรด เสียงดัง แสงแขเดินเข้ามา
“เพลงอะไรของแกน่ะ”
โอบอ้อมสะดุ้งเฮือก ด้วยกำลังเพลินๆ “อุ๊ย! คุณแสงแข”
“ขวัญอ่อนจังนะยะ...เมื่อกี้ร้องเพลงอะไร”
“เพลง “วังบัวบาน” ค่ะ...โอบว่าเหมาะสมกับบรรยากาศของโดมทองดี...นางเอกอกหักกระโดดน้ำตายตอนจบ”
“คนบ้าน่ะซิ อกหักแล้วกระโดดน้ำตาย นี่ โอบ...แกช่วยฉันคิดหน่อยซิ”
แสงแขพูดพลางชะโงกออกไปข้างนอก ดูว่ามีใครอยู่ในบริเวณนั้นหรือเปล่า
โอบอ้อมทำเสียงกระซิบกระซาบ “คิดร้ายใช่มั้ยคะ”
แสงแขหันกลับมา แล้วตวาด “เออ...ระหว่างที่คุณลบไม่อยู่นี่ ทำยังไงจะให้คุณย่ารู้ว่า นังวิรงรองมันยังอยู่” แสงแขเว้นไปนิด “ต้องให้รู้เองนะ ไม่ใช่ให้ฉันไปบอก ยายแก่นั่นยิ่งเกลียดขี้หน้าฉันอยู่ด้วย กลัวจะไปแย่งหลานชาย เฮอะ ยังกับตัวเอง จะอยู่ค้ำฟ้านี่”
“เอายังงี้ซิคะ ล่อให้ออกมาเห็นเอง” โอบอ้อมแนะนำ

แสงแขนิ่งฟังด้วยสีหน้าแววตาพอใจ

งานเลี้ยงฉลองแต่งงานระหว่างพิชญ์กับพิณทองจัดขึ้นตอนค่ำ ที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรู มีรถยนต์แล่นเข้าไปในโรงแรมไม่ขาดระยะ บริเวณหน้าห้องจัดงาน พิชญ์และพิณทองยืนเคียงคู่กันคอยรับแขกและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

พิณทองนั้นมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสมีความสุข ในขณะที่พิชญ์ค่อนข้างเงียบ เปิดปากคุยบ้าง แต่เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกใส่โปรแกรมไว้
สักพักหนึ่ง อดิศวร์ ศิโรดมเดินเข้ามา พิณทองหันไปมองพอดี
“อุ๊ย น้าลบมาแล้ว”
พิณทองรีบจูงแกมลากแขนพิชญ์เดินไปที่น้าชายสุดที่รัก
“น้าลบขา...สวัสดีค่ะ”
ขณะที่อดิศวร์รับไหว้ทั้ง 2 คน นัยน์ตาของเขาลอบสังเกตท่าทีของพิชญ์แว่บหนึ่ง
“พิณนึกว่าน้าลบจะไม่มาเสียแล้ว”
“ต้องมาซิครับ...งานแต่งงานคุณพิณ...น้าลบไม่มีวันพลาดเด็ดขาด” พูดพลางอดิศวร์หันไปทางพิชญ์ แล้วยื่นมือออกไป “ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณพิชญ์”
พิชญ์ยื่นมือมาจับ “ขอบคุณมากครับ”
“คุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างใน...พิชญ์ต้อนรับแขกไปคนเดียวก่อนนะคะ พิณจะพาน้าลบไปหาคุณพ่อคุณแม่”
อดิศวร์ออกตัว “น้าลบเข้าไปเองดีกว่า คุณพิณอยู่รับแขกกับคุณพิชญ์เถอะ”
ผู้เป็นน้าชายโอบไหล่พิณทอง แล้วเดินเข้าไป ปล่อยให้บ่าวสาวรับแขกต่อ บรรยากาศในงานแสนชื่นมื่น ผู้คนพูดคุยยิ้มหัวให้กัน

แต่ที่ “โดมทอง” ในเวลาเดียวกันนี้ กลับดูเงียบเหงาวังเวงคฤหาสน์ทรงกอธิกเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ยืนต้น
ภายในห้องวิรงรองเวลานั้น เธอยืนอยู่ที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปข้างนอกเศร้าๆ สีหน้าเศร้านั้นฉาบทาใบหน้าวิรงรองอยู่นาน จนพักหนึ่ง ขณะนั้นมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วิรงรองเบือนหน้ามามองครู่หนึ่ง แล้วเดินมาหยิบขึ้นดู
เม้มปากแน่น ก่อนจะกดปิดเครื่อง
“นี่แน่ะ นึกว่าฉันจะมานั่งโง่ฟังคำเยาะเย้ยถากถางของคุณเรอะ”
พร้อมกันนั้นวิรงรองเอาโทรศัพท์ใส่ลิ้นชักอีกที แล้วยก 2 มือปัดกันไปมา
“สะใจ”

ที่แท้เป็นอดิศวร์ยืนโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในงาน เขากดโทรศัพท์ แต่มีเพียงสัญญาณให้ฝากข้อความอดิศวร์ปิดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าหงุดหงิด บ่นงึมงำ
“ทนฟังไม่ได้ละซี”

อดิศวร์เดินตรงมายังโต๊ะคุณหญิงแก้ว และท่านรัฐมนตรีกระทรวงไหนไม่ทราบ บิดามารดาของพิณทอง ซึ่งมีคุณหญิงวัชรีนั่งหน้าแฉล้มอยู่ด้วย รอบๆ โต๊ะ มีนักข่าวคอยเก็บภาพอยู่
“อ้าว คุณลบ เชิญ...เพิ่งมาเรอะ” รัฐมนตรีทักทายอย่างมักคุ้นกัน
“มาได้สักครู่แล้วครับ มัวแต่ทักทายกับหลาน”
“คุณลบ นี่คุณหญิงวัชรี คุณแม่ตาพิชญ์...คุณพี่คะ...นี่คุณลบ น้องชายของดิฉัน...เป็นเจ้าของบ้าน “โดมทอง” ไงคะ”
อดิศวร์ไหว้วัชรี
คุณหญิงรับไหว้ด้วยท่าทีตื่นเต้น “โอ้โฮ ได้ยินชื่อมาตั้งนานแล้วค่ะ เคยได้ยินเขาพูดกันว่า เหมือนประสาทแดร็กคูล่า!”
ทุกคนในที่นั้นพากันนิ่งอึ้งไปทันที
วัชรีชักจะรู้สึกตัว “ขอประทานโทษค่ะ...ดิฉันเคยได้ยินอย่างนั้นจริงๆ”
“ประสาทผีสิงที่ไหนกันคะ “โดมทอง” เป็นคฤหาสน์ที่สวยที่สุด สวยทุกฤดู...ไม่ว่าจะร้อนจะหนาวหรือจะหน้าฝน”
“คุณแก้วพูดซะพี่อยากเห็นเลย”
แก้วหันมามองทางอดิศวร์ “ว่าไง คุณลบ”
“ยินดีต้อนรับครับ”
“คุณพี่คงยังไม่ทราบว่า...ลูกพิณกับตาพิชญ์ เขาจะไปฮันนีมูนที่นั่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันเห็นจะต้องขอตามไปด้วยแล้ว...แต่คงต้องหลังจากที่ตาพิชญ์กับหนูพิณกลับมาก่อน” วัชรีจ๊ะจ๋า
“ไปพร้อมกันก็ได้นี่ครับ โดมทองกว้างมาก...สองคนนั่นก็ให้เขาแยกเป็นส่วนตัว ส่วนคุณหญิงกับพี่แก้วก็เที่ยวกันไปตามอัธยาศัย”
แก้วถาม “ว่าไงคะ คุณพี่”
“ขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน” วัชรีว่า
“นั่นเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้ามากันแล้ว” ท่านรัฐมนตรีบอก
ทุกคนรวมทั้งอดิศวร์หันไปมอง เห็นพิชญ์และพิณทองเดินจูงมือกันมาที่เวที ท่ามกลางแสงแฟลชวูบวาบกระหน่ำใส่สองคนเก็บทุกอิริยาบถ

อดิศวร์มองท่าทีโอบประคับประคองพิณทองของพิชญ์ แล้วยิ้มบางๆ เหมือนสะใจสมใจนิดๆ
 
อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น