xs
xsm
sm
md
lg

โดมทอง ตอนที่ 18 จบบริบูรณ์**แก้ไข

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดมทอง ตอนที่ 18 อวสาน

แสงไฟที่ห้องอดิศวร์เปิดสว่างขึ้น ไฟห้องต่างๆ เปิดตามมา พร้อมเงาของผู้คนข้างในบ้านวิ่งกันวุ่นวาย ขณะที่สายฝนยังเทกระหน่ำ ไม่ลืมหูลืมตา

แสงแขลากแขนโอบอ้อมตามมาด้วย โดยที่โอบอ้อมพยายามขัดขืน
“ปล่อยค่ะ...คุณแข! โอบจะไปนอนกับพี่อุไร”
“แกต้องนอนกับฉัน”
แสงแขลากโอบอ้อมเข้าไปในห้องจนได้ หลังจากยื้อกันไปยื้อกันมาครู่หนึ่ง

พอเข้ามาในห้องได้ แสงแขรีบปิดประตูล็อคห้อง
โอบอ้อมลงคุกเข่า พนมมือ “ให้โอบไปนอนกับพี่อุไรเถอะค่ะ!”
“แล้วคิดเรอะว่านังอุไรมันจะยอมให้แกนอนด้วย! มันกลัวผีคุณย่าตามแกไป”
“ว้าย! ผีท่านผู้หญิงน่ะไม่ตามโอบหรอกค่ะ! แต่จะตามคุณแขนั่นแหละ!”
“นังโอบบ้า”
“ก็ไม่จริงหรือคะ! ยิ่งมีกรณีกันอยู่ด้วย! อีกอย่าง..คุณแขน่ะนิสัยใจคอเหมือนท่านจะตาย!”
“อีโอบ!”
“แบบนี้ยิ่งเหมือนเป๊ะเว่อร์”
“ฟังให้ดีนะ นังโอบ ไม่ว่าจะยังไง คืนนี้แกต้องนอนเป็นเพื่อนฉัน!”
“โอบต้องไปเอาที่นอนหมอนมุ้งมาก่อนค่ะ!”
“ไม่ต้อง! นอนกับกระดานนั่นแหละ เอ้า! เอาหมอนใบนี้ไป...ฉันยกให้”
แสงแขโยนหมอนอีกใบให้โอบอ้อม
“นอนได้แล้ว! ไฟเฟยเปิดไว้อย่างนี้แหละ! ไม่ต้องปิด”
แสงแขล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มคลุมตัว โอบอ้อมหน้างอขณะเอนตัวลงนอนเบียดติดเตียง


ท่านผู้หญิงนอนตาย สภาพเหมือนคนกำลังหลับสนิท ผ้าแพรเพลาะคลุมถึงอก
อดิศวร์ในชุดดำ นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ทอดสายตามองย่าด้วยสีหน้าแววตาเศร้าๆ พลางยื่นมือมากุมมือท่านไว้
“คุณย่าครับ...ผมขออโหสิทุกอย่าง แล้วก็ขอให้คุณย่าอโหสิให้ผมเช่นเดียวกัน!”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ยังแน่นิ่งไม่ไหวติง อดิศวร์มองหน้าท่านอย่างเพ่งพิศ
ภาพที่ท่านผู้หญิงนอนตายตาเหลือกโพลง ราวกับกลัวอะไรบางอย่างสุดชีวิตผุดขึ้นมาอีก
อดิศวร์ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบตาท่านให้ปิดลงอย่างสนิท
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วอุษาในอาภรณ์สีดำเปิดเดินเข้ามา โดยอุไรในชุดดำเช่นกันหยุดยืนอยู่ห่างๆ ตาเหลือบแลแว้บๆ ไปที่ท่านด้วยความกลัว
“คุณลบไปนอนเถอะค่ะ...อุษากับอุไรจะนอนเฝ้าคุณย่าเอง”
อุไรสะดุ้งเฮือก “อุ...อุไร...ยังไม่ได้พูดนะคะ”
“ฉันเฝ้าคนเดียวก็ได้!” อุษานิ่วหน้ามองอุไรแว่บหนึ่ง
“ไม่ต้อง คืนนี้คุณย่าจะอยู่ที่โดมทองของท่านเป็นวันสุดท้าย...พรุ่งนี้ก็ต้องย้ายท่านไปที่วัดแล้ว...พี่จะอยู่กับท่านเอง อุษาไปนอนเถอะ”
อุไรจะร้องไห้เสียให้ได้ “แล้ว...แล้วอุไรล่ะคะ”
อดิศวร์รำคาญเล็กๆ “จะไปไหนก็ไป”
อุไรรีบคว้าข้อมืออุษาหมับ “เราไปกันเถอะค่ะ...คุณอุษา”
อุษาดุเล็กๆ “เอ๊ะ! อุไรนี่! จะกลัวอะไรนักหนา..คุณย่าก็เหมือนคนนอนหลับธรรดา! ดูดีๆ ซิ”
“มะ...มะ...ไม่เป็นไรค่ะ!” อุไรบอก
“พี่จะไปเอางานมาทำในนี้...อุษาอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าก่อนนะ...เดี๋ยวพี่มา” อดิศวร์ลุกขึ้น
“ค่ะ”
ขณะที่ทั้ง 2 พูดกัน อุไรพยายามทำใจกล้าเหลือบมอง ท่านผู้หญิงลืมตาโพลงขึ้นทันที
อุไรร้องลั่น กระโดดเข้ามากอดอุษา “ว้าย! ช่วยด้วย! คุณอุษาช่วยด้วย”
อดิศวร์และอุษารำคาญ อดิศวร์เดินออกไป
อุษาแกะแขนอุไรออก “อะไรนะ อุไร”
อุไรหลับหูหลับตา “ท่านผู้หญิงค่ะ ท่านผู้หญิงเบิกตาโพลงมองอุไร”
“โธ่เอ๊ย นี่ ดูเสียให้เต็มตา”
อุษาดันตัวอุไรให้ไปใกล้ๆเตียงท่าน อุไรโวยวายลั่น
“ลืมตาซิ”
“ไม่ค่ะ อุไรกลัว”
“ก็มัวแต่หลับหูหลับตาอยู่นั่น จะไปเห็นอะไร”
“อุไรไม่อยากเห็นค่ะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ อิติปิโส ภควา”
อุไรสวดมั่วไปหมด อุษาส่ายหน้า

ดึกสงัด ท้องฟ้าร้องครืนครัน ฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนฝนจะตกใหญ่ ลมพัดแรง
ลมพัดเข้ามาภายในห้องแสงแขจนม่านปลิวไสว
“คุณแขขา ...หลับหรือยังคะ” โอบอ้อมพูดเบาๆ สีหน้าหวาดหวั่น
“ไปปิดหน้าต่างซิ” เสียงพลับพลึงดังขึ้น
โอบอ้อมคิดว่าเป็นแสงแข “ค่ะ...คุณแขเป็นหวัดหรือคะ...เสียงแปลกๆ”
แสงแขอยู่บนเตียงมองโอบอ้อมลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างพลางพูดบ่นด้วยสีหน้างงๆ
“ปิดให้หมดเลยหรือคะ”
“แกพูดกับใครน่ะ โอบ”
“ก็พูดกับคุณแขไงคะ”
โอบอ้อมหันมามองทางแสงแขและสะดุ้งโหยง เห็นพลับพลึงยืนอยู่ตรงหัวนอนแสงแข ทัดดอกพลับพลึงสีขาว
โอบอ้อมพยายามจะพูด แต่ไม่มีเสียงออกมา
แสงแขลุกนั่ง “นังโอบ แกเป็นอะไรของแกฮึ”
โอบอ้อมพยายามพยักเพยิดให้แสงแขมองข้างหลัง
“อะไร”
โอบอ้อมค่อยๆ ยกมือชี้ แสงแขหันไปมองตาม แล้วสะดุ้งเฮือก เบิกตากว้าง

พลับพลึงยืนมองมา แสงแขจะลุกหนีก็ลุกไม่ขึ้น จะร้องก็ร้องไม่ออก

เช้าวันต่อมา ทุกคนในโดมทองล้วนอยู่ในอาภรรณ์สีดำ ไว้ทุกข์ให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์ อุษากำลังชงกาแฟ และเตรียมแซนด์วิชให้อดิศวร์อยู่ภายในครัว สักครู่แสงแขเดินเข้ามา

“ทำอะไรน่ะ”
“ชงกาแฟแล้วก็ทำแซนด์วิชให้คุณลบ ของเธอมีโจ๊กร้อนๆ”
อุษาวางทุกอย่างลงบนถาด แล้วยกขึ้น
“จะเอาไปให้คุณลบเหรอ”
อุษาพยักหน้า “เดี๋ยวคุณลบต้องพาคุณย่าไปวัด...ได้ศาลาแล้ว”
“แขยกไปให้เอง”
แสงแขพูดพลางดึงเอาถาดแซนด์วิช และกาแฟไปจากมืออุษาแล้วเดินไป อุษามองตามอย่างกังวล

ที่กรุงเทพฯ เช้าวันเดียวกัน พิชญ์ พิณทอง และ วัชรี นั่งทานอาหารเช้ากัน บรรยากาศในห้องอาหารดูสดชื่น ระหว่างพิชญ์ และพิณทอง จนวัชรีอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ แต่พิณทองยังดูเง้างอนเล็กๆ ดูน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม เสียงมือถือพิณทองดังพิชญ์ทำเสียงดุเล็กๆ
“ใครโทร.มาแต่เช้า”
“น้าลบค่ะ... ฮัลโหล น้าลบ...” พิณทองตกใจมาก “อะไรนะคะ”
พิชญ์และวัชรีต่างชะงัก มองอย่างลุ้นว่าเรื่องอะไร ขณะพิณทองฟังโทรศัพท์
“ค่ะ...ค่ะ แล้วพิณจะเรียนคุณพ่อคุณแม่ให้...น้าลบ...พิณเสียใจด้วยจริงๆนะคะ... ค่ะ เย็นนี้หรืออาจจะเป็นพรุ่งนี้
ครอบครัวพิณจะไปโดมทอง...ค่ะ...สวัสดีค่ะ พิณเป็นกำลังใจให้นะคะ”
พิณทองค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง สีหน้าดูสลดหดหู่
“อะไรหรือ หนูพิณ” วัชรีถาม
“น้าลบโทร.มาบอกว่า คุณย่าเสียเมื่อคืนนี้ค่ะ”
“ตายจริง” วัชรีตกใจ
“คุณโทร.ไปเรียนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบเถอะ...ผมจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้”
“ค่ะ...”
พิชญ์หยิบมือถือ แล้วลุกออกไปโทร. ขณะที่พิณทองโทรศัพท์ถึงแม่
“ฮัลโหล...คุณแม่ขา”

อดิศว์คุยกับพิณทองเสร็จก็เดินออกมาจากห้อง ขณะที่แสงแขยกถาดเดินออกมาพอดี
“แซนด์วิชค่ะ...คุณลบ”
“ขอบใจ...แต่พี่กินไม่ทันแล้ว...รถกำลังมารับคุณย่า”
อดิศวร์ขยับเดิน
“ทานรองท้องสักหน่อยเถอะค่ะ...เดี๋ยวคุณลบต้องยุ่งทั้งวัน”
อดิศวร์ส่ายหน้า “พี่กินไม่ลง”
อดิศวร์เดินออกไป แสงแขมองตามหงุดหงิด
“ไม่รู้จะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักหนา”

แสงแขเดินถือถาดแซนด์วิชกลับเข้ามาในห้องตัวเอง วางถาดลง
“ไม่กินอย่ากิน ฉันกินเองก็ได้”
แสงแขนั่งกินแซนด์วิช แล้วจิบกาแฟไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดแกมกังวล สักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แต่เร่งร้อน
“ใคร”
“โอบเองค่ะ”
“เข้ามา”
โอบอ้อมรีบเปิดประตูเดินเข้าไปแล้วปิดลง
“เขาไปกันหมดแล้วเรอะ”
“ค่ะ...คุณแขขา...ถ้าแม่วิรงรองมันเปิดโปงเรา”
แสงแขเคียดแค้นสุดๆ “ทำไมมันไม่ตาย ไปให้พ้นๆ นะ”
“นั่นซีคะ แถมยังมีผีคุณพลับพลึง...”
แสงแขตวาดทันที “หยุด! นังโอบ! แกอย่าเที่ยวพูดไปนะ เดี๋ยวคนจะสงสัยว่าคุณย่าน้อยมาหลอกเราทำไม”
โอบอ้อมลดเสียงเบาลง แต่ยังทำหน้าทำตา “คุณแขขา...นี่แสดงว่าผีคุณพลับพลึง เป็นพวกเดียวกับแม่วิรงรองใช่มั้ยคะ ตายแล้ว เรามิถูกผีหักคอตายหรือคะ”
“จะบ้าเรอะ”
“ก็โอบกลัวนี่คะ! ท่านผู้หญิงที่ว่าแน่ๆ ยังไม่รอด แล้วอย่างคุณแข...อย่างโอบจะเหลือเรอะ โอ๊ย”
“เอ๊ะ บอกว่าอย่าโวยวายไง แกไปหยิบชุดดำในตู้ไปรีดทับหน่อย ฉันจะไปช่วยเขาที่วัด จะได้ไม่มีใครสงสัย”
“โอบไปด้วยค่ะ”
“แล้วอย่ามีพิรุธล่ะ ไม่งั้นฉันจะให้แกเฝ้าบ้าน ตอนสวดศพคุณย่าทุกคืน”
“ค่ะ โอบจะเงียบสนิทเลยค่ะ”
โอบอ้อมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดดำออกมา 2-3 ชุด

เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ชาวกรุงเทพฯ ที่มาร่วมงานศพท่านผู้หญิงเดินทางมาถึงกันแล้ว วิรงรองกำลังคุยกับปรางอยู่ในห้อง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ วิรงรองลุกขึ้นเดินมาเปิดประตูแล้วชะงัก เมื่อเห็นพิชญ์ยืนอยู่ วิรงรองหันไปทางแม่ซึ่งเดินตามมา พิชญ์รีบพูดขึ้นก่อน
“ผมขออนุญาตคุยกับวิไม่ถึง 10 นาทีครับ...รับรองว่าไม่มีเรื่องให้สบายใจเด็ดขาด”
ปรางมองหน้าตาบริสุทธิ์ใจของพิชญ์แล้วพยักหน้า วิรงรองเดินออกไป ขณะที่ปรางปิดประตู

วิรงรองเดินตามพิชญ์มาที่เฉลียง พิชญ์มองไปข้างหน้าครู่หนึ่งแล้วหันมา นัยน์ตาที่มองวิรงรองเศร้าแว่บหนึ่ง
“ขอแสดงความยินดีกับคุณที่จะแต่งงานกับน้าลบอีก 3 เดือนข้างหน้า”
วิรงรองยิ้ม “ขอบคุณค่ะ...พิชญ์มาให้ได้นะคะ”
“ผมต้องมากับพิณอยู่แล้ว”
“คุณโชคดี...คุณพิณเป็นคนน่ารักมาก”
“ตกลงเราก็โชคดีทั้งสองคน”
วิรงรองยิ้ม พิชญ์ถอนใจ
“ผมไปละ...ป่านนี้ทุกคนคงพร้อมแล้ว”
“ฉันจะลงไปส่งด้วย....คุณมาแล้ว”
พิชญ์หันไปมอง แล้วยิ้มรับปราง
“ลงไปกันได้แล้ว”

ทั้ง 3 เดินลงไปด้วยกัน

งานศพผ่านไปอย่างเรียบร้อย แขกกรุงเทพฯ เตรียมเดินทางไปสนามบิน เพื่อกลับกรุงเทพฯ แสงแขยืนทอดสายตามองลงไปข้างล่าง เห็นรถตู้พาคณะกรุงเทพฯ แล่นออกจากประตูโดมทองไป โดยมีอดิศวร์และวิรงรองยืนส่ง อดิศวร์นั้นโอบไหล่วิรงรองเข้ามาใกล้ตัวตลอด

แสงแขกัดปากแน่นด้วยความขมขื่นและเจ็บปวด
มองภาพอดิศวร์ที่โอบไหล่วิรงรองพากันเดินกลับเข้ามาในบ้าน
แสงแขน้ำตาไหล ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

ภายในห้องของท่านผู้หญิง บรรยากาศมืดสลัวด้วยหน้าต่างปิดหมดทุกบาน รวมทั้งผ้าม่านที่ปิด ยิ่งทำให้ดูทึมทึบ
และวังเวงยิ่งขึ้น เตียงถูกคลุมผ้า ทุกอย่างในห้องถูกเก็บเรียบร้อย เหมือนห้องที่ไม่มีคนอยู่
ประตูห้องค่อยๆ เปิดออก ก่อนจะเห็นแสงแขเดินเข้ามาด้วยอารมณ์แค้นใจ และเสียใจ แล้วปิดประตูเบาๆ เดินมายืนจังก้าข้างๆ เตียง
“คุณย่าไม่แน่จริง”
ทุกอย่างเงียบขึ้นไปอีก เต็มไปด้วยความวังเวง
“นังวิรงรองมันกำลังจะแต่งงานกับคุณลบ เท่ากับคุณย่าแพ้ซ้ำซาก...แพ้คุณย่าน้อยพลับพลึงแล้วก็มาแพ้นังวิรงรอง!...” แสงแขหัวเราะร่วน ดวงตาเป็นประกายกร้าว “สมน้ำหน้า ! อยากไม่มีน้ำยา...คนที่คุณย่ารักถึงได้ถูกแย่งไปหมด”
เหมือนมีใครคนหนึ่ง กำลังมองแสงแขอยู่
“แต่แขไม่ใช่พวกขี้แพ้ แขจะไม่มีวันยอมให้คนที่แขรักถูกแย่งไปเด็ดขาด”
มีเสียงเหมือนคนหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากซอกมุมหนึ่ง
“ใคร”
เสียงนั้นเงียบไป
“คิดว่าแขจะกลัวเรอะ ตอนคุณย่ามีชีวิตอยู่ แขยังไม่กลัวแล้วเรื่องอะไรจะกลัวซากของคุณย่า แล้วแขต้องแต่งงาน
กับคุณลบให้ได้ คอยดูไปก็แล้วกัน”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นอีก
แสงแขแสยะยิ้ม มองไปโดยรอบ พลางตะเบ็งเสียงหัวเราะเยาะแข่งเสียงท่าน จนสักครู่หนึ่งแสงแขจึงเดินออกไป
โดยไม่ทันเห็นว่าร่างรางๆ ของท่านผู้หญิงปรากฏขึ้นในมุมมืด

ฟากโอบอ้อมหน้าตาตื่นรีบเดินตรงมาที่แสงแขซึ่งเดินออกจากห้องท่านผู้หญิงมา
“คุณแขขา คุณแขเข้าไปในนั้นทำไมคะ ! ไม่กลัว ..ผ..สระ..อี หรือคะ”
“กลัวจนหายกลัวแล้ว ต่อให้ยกกันมาเป็นกองทัพด้วย เอ้า”
“มิน่า เลยเข้าไปปลุกระดมผีท่านผู้หญิง”
“นังโอบ! แกอย่ามาตีตัวเสมอฉัน”
“โอบเปล่าตีเสมอคุณแขค่ะ”
“เออ จำใส่กะลาหัวเอาไว้เลย แล้วก็ห้ามพูดจาเรื่อยเปื่อยด้วยเพราะถ้าใครเกิดสงสัยขึ้นมา...ทั้งแกทั้งฉันต้องเข้าไปนอนในคุก”
โอบอ้อมมองซ้ายมองขวา ลดเสียงลง “คุณแขคะ ! แล้วแม่วิรงรอง...”
แสงแขจ้องโอบอ้อมเขม็ง
“ทำไมไม่พูด”
“แกอยากให้มันพูดเรอะ”
“เปล่าค่ะ !...แต่ถ้าเขาเกิดพูดขึ้นมา”
แสงแขแสยะยิ้ม แล้วออกเดิน โอบรีบตาม

ส่วนวิรงรองกำลังเดินลงบันไดมา ขณะแสงแขและโอบอ้อมกำลังเดินขึ้นมา แสงแขและโอบอ้อมชะงัก
วิรงรองเดินมาช้าๆ นัยน์ตาจ้อง 2 สาวเขม็ง วิรงรองเดินจนขึ้นมาหยุดที่บันไดขั้นเดียวกัน แล้วยิ้มน้อยๆ
โอบอ้อมหลบตา มือไม้สั่นมีพิรุธ
“ระยะหลังๆ มานี่...เราไม่ค่อยได้พบกันเลยนะคะ”
แสงแขแหวใส่ “แกหาว่าฉันหลบหน้าแกเรอะ”
วิรงรองฉุนนิดๆ “จะทวนคำพูดเมื่อกี้ให้ฟังใหม่นะคะ...ดิฉันพูดว่า ระยะหลังๆ มานี่เราไม่ค่อยได้พบกันเลยนะคะ...มีคำว่า “หลบหน้า” ตรงไหน”
“ไม่มีจริงๆ ด้วยค่ะ” โอบอ้อมบอกแทน
“นังโอบ! นังจิ้งจกเปลี่ยนสี”
โอบอ้อมจ๋อย
“แกจะฟ้องคุณลบก็ฟ้องไป หรือจะบอกตำรวจก็ได้ ฉันไม่กลัวเพราะชีวิตฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
แสงแขน้ำตารื้นขึ้นมา แล้วรีบกล้ำกลืนลงไปด้วยทิฐิ และความถือดี
“อยากจะทำอะไรก็ทำ ! ฉันไม่กลัวแก ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
แสงแขเดินเลยขึ้นไป ด้วยสีหน้าท่าทางเหย่อหยิ่งตามเดิม
โอบอ้อมรีๆรอๆ “เอ้อ...”
“นังโอบ”
“คะ”
“มานี่”
“ค่ะ”

โอบอ้อมรีบตามแสงแขซึ่งเดินเชิดหยิ่งไป

แสงแขเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง ติดตามด้วยโอบอ้อม ที่ปิดประตูเสร็จหันกลับมา ยังไม่ทันตั้งตัว แสงแขตบเปรี้ยงจนโอบอ้อมเซหน้าหัน

“ว้าย”
“แกจะทรยศฉันใช่มั้ย...นังโอบ”
“เปล่าค่ะ”
แสงแขขยุ้มบีบคอโอบจนเซไปชนประตู
โอบอ้อมกลัวสุดๆ พยายามดิ้นหนี “โอบกลัวแล้วค่ะ คุณแขขา โอบกลัวแล้ว...โอบจะไม่ทรยศคุณแข อย่าทำอะไรโอบเลยค่ะ”
โอบอ้อมสำลักครู่หนึ่ง แล้วแสงแขจึงยอมปล่อยอย่างกระแทกกระทั้น

โอบอ้อมเดินแกมวิ่งมาแล้วยกมือปิดหน้าร้องไห้จะกลับห้อง อุไรเดินสวนมาชะงักมองด้วยความแปลกใจ
“โอบ เป็นอะไรน่ะ”
โอบอ้อมเหมือนไม่ได้ยิน เดินแกมวิ่งไป
อุไรรีบตามไปถึงตัวไว้ “เฮ้ย! เป็นอะไรไปฮึ ...โอบ”
โอบอ้อมสะดุ้งเฮือก พอเห็นว่าเป็นอุไรก็ถอนใจเฮือก
“พี่อุไรเรอะ”
“เออ! แกเป็นอะไรถึงได้ร้องไห้ร้องห่มยังกับโลกจะแตก”
“ให้มันแตกเสียก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องกลัว...” พูดแล้วหยุดชะงักด้วยนึกได้
“กลัวอะไร”
โอบอ้อมมีพิรุธ “เปล่า ฉันไปละ”
โอบอ้อมจะไป แต่อุไรรีบดึงเอาไว้
“เดี๋ยว! แกกลัวอะไร”
“บอกว่าเปล่า”
อุไรเหลียวซ้ายแลขวา “กลัวผีท่านผู้หญิงใช่ไหม”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
โอบอ้อมผลักอุไร แล้วเดินแกมวิ่งออกไป
อุไรตกใจ “สงสัยจะใช่จริงๆ”

กลางดึกดวงจันทร์เต็มดวงลอยผ่านกลุ่มเมฆสีดำเหนือโดมทอง ดวงจันทร์นั้นค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเหมือนสีเลือด
แสงแขพลิกตัวนอนตะแคงอยู่ภายในห้อง
“แสงแข...แสงแข...” เสียงท่านผู้หญิงแผ่วโหย แต่ยังคงทรงอำนาจ
แสงแขขยับตัวเหมือนจะได้ยิน แต่แล้วก็จะหลับต่อด้วยความง่วงงุน
“แสงแข” เสียงเรียกเข้มขึ้น
แสงแขลืมตาขึ้นในลักษณะยังงัวเงีย
“ใคร”
ท่านผู้หญิงปรากฏขึ้นในมุมมืด แต่ยังเห็นชัด
แสงแขตกใจ “คุณย่า”
“ฆ่ามัน อย่าปล่อยให้มันแย่งตาลบไปได้ ฆ่ามัน”
ใบหน้าท่านผู้หญิงขณะนั้นถมึงทึง น่ากลัวสุดขีด

แสงแขสะดุ้งตกใจตื่นกลางดึก เอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วลุกขึ้นนั่ง ค่อยๆ กวาดสายตามองไปโดยรอบอย่างหวาดผวา พบว่าบริเวณในห้องไม่มีอะไรผิดปกติ
แสงแขถอนใจโล่ง แล้วขยับตัวพิงพนักเตียง เสียงท่านผู้หญิงดังก้องขึ้นอีก
“ฆ่ามัน! อย่าปล่อยให้มันแย่งตาลบไปได้! ฆ่ามัน!”
สีหน้าแววตาแสงแขเป็นประกายโหดร้ายขึ้นมา ราวกับถูกสะกด

วันเวลาผ่านไปอีกสักระยะ โอบอ้อมกำลังจะเดินไปที่บันได
เสียงวิรงรองดังขึ้น “จะไปไหน...โอบ”
โอบอ้อมสะดุ้งเฮือก หันกลับมา
“คะ...คะ... คุณ...คุณวิ”
“จะไปไหน”
“เอ้อ...ไป...ไป...ดูคุณแขค่ะ ป่านนี้ยังไม่ออกจากห้องเลย”
วิรงรองยิ้มนิดๆ อย่างรู้ทัน “อย่าให้เกิดเรื่องอีกล่ะ” แล้วเดินเลยไป
โอบอ้อมมองตาม กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

แสงแขนั่งอยู่ในห้อง นัยน์ตาแห้งผากมองลงไปข้างล่าง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“ใคร”
“โอบเองค่ะ” เสียงโอบเหมือนจะร้องไห้
“เข้ามา”
โอบอ้อมเปิดประตูเดินเข้ามา...สีหน้าแววตาเดือดเนื้อร้อนอกร้อนใจไม่มีความสุข
แสงแขนิ่วหน้า “แกเป็นอะไร นังโอบ”
“ก็โอบกลัวนี่คะ จนป่านนี้แล้วคุณวิยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ....เวลาเขามองมาทีไรโอบเสียวทุกที”
แสงแขตาลุกวาว “อ๋อ...แกอยากให้มันพูดนักเรอะ...อยากเข้าคุกนักเรอะไง”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าก็อย่าทำเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้อีก”
“ค่ะ”
“ไสหัวไป แล้วถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกับฉัน”
โอบอ้อมเดินออกไปจ๋องๆ โดยแสงแขมองตามอย่างหงุดหงิด
สีหน้าแสงแขแน่วแน่มั่นใจ

กลางดึกของคืนวันเพ็ญ ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงกระจ่างกลางท้องฟ้า คฤหาสน์โดมทองสว่างนวลด้วยต้องแสงจันทร์ แต่ยังคงมีหมอกควันจางๆ อยู่ทั่วไป
อดิศวร์และวิรงรองหลบอยู่ในมุมหนึ่ง ทอดสายตามองไปบริเวณใต้หน้าต่างโดม
“ท่านคงไม่มาแล้วละ เพราะในที่สุด ท่านก็ได้อยู่ด้วยกัน...เหมือนเราที่กำลังจะแต่งงานกัน”
“วกเข้ามาจนได้ ไม่เห็นจะเหมือน”
“ก็เหมือนตรงที่เราได้อยู่ด้วยกันในที่สุดไง”
“ฮื้อ...”
ขณะนั้นเองมีเสียงเหมือนฝีเท้าม้าวิ่งตรงมา 2 คนมองไป อดิศวร์โอบไหล่วิรงรองไว้ใกล้ตัว
สองคนเห็นท่านเจ้าคุณขับรถเข้ามา โดยมีพลับพลึงนั่งอยู่เคียงข้าง วิรงรองเอนศรีษะพิงกับอกอดิศวร์
ท่านเจ้าคุณและพลับพลึงนั่งรถม้าผ่านหายไปท่ามกลางสายหมอก

ทั้งสองคนสูดลมหายใจยาว สีหน้าแววตามีความสุข และตื้นตันใจ

เช้ามืด วิรงรองเดินเข้ามาในครัว แล้วเรียกเสียงใส

“พี่อุษา”
วิรงรองชะงัก เมื่อพบว่าแสงแขค่อยๆ หันกลับมา
“พี่อุษายังไม่ลงมา...ฉันกลัวคุณย่าจะหิวเลยรีบมาทำซุปให้ก่อน”
วิรงรองอึ้ง นิ่งงันไป แสงแขหันกลับไปทำซุปต่อ
“คุณย่าบอกฉันว่า ท่านไม่ต้องการให้เธอแต่งงานกับคุณลบ”
วิรงรองหันหลังเดินออกไป แสงแขกระชากแขนไว้จนวิรงรองซวนเซ
“ปล่อยนะ คุณแสงแข”
แสงแขแสยะยิ้ม “อย่านึกว่า ฉันจะสำนึกบุญคุณ ที่แกไม่เล่าให้ใครฟังเรื่องที่ฉันร่วมมือกับคุณย่าหลอกแกขึ้นไปขังไว้บนยอดโดมนั่น”
วิรงรองสะบัดแขนออก “ฉันก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะมาสำนึกอะไรหรอก แต่ที่ตัดสินใจไม่พูด ก็เพราะเห็นว่าเกิดเรื่องร้ายๆ ในโดมทองมามากพอแล้ว อีกอย่าง...คุณเป็นน้องของพี่อุษา ฉันไม่อยากให้พี่อุษาเสียใจ! ส่วนคุณจะนึกยังไงก็ช่างคุณ”
วิรงรองเดินออกไปทันที
แสงแขคำราม “นังวิรงรอง ถ้าโลกนี้มีฉัน มันก็ต้องไม่มีแก”

ฉากที่ 79/1มุมหนึ่งในบ้าน (จะออกไปภายนอก) ตัวละครวิ อุษา
วิรงรองกำลังจะเดินออกไปภายนอก อุษาซึ่งกำลังเดินจากอีกทางหนึ่งเรียกไว้
“คุณวิ”
วิรงรองหันหน้ากลับมา
“คุณลบอยู่ข้างนอกแน่ะค่ะ”
“ค่ะ...พี่อุษาคะ...เมื่อกี้วิพบคุณแสงแขในครัว” วิรงรองมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “เอ้อ... เธอบอกว่ากำลังทำซุปให้คุณย่า...”
อุษาถอนใจยาว “เขาคงสะเทือนใจหลายๆเรื่อง...พี่ว่าจะลองพาไปพบจิตแพทย์เหมือนกัน”
“ดีค่ะ...พี่อุษาปรึกษาเรื่องนี้กับคุณอดิศวร์ แล้วหรือยังคะ”
“พี่ตั้งใจจะไม่รบกวนคุณลบ คุณวิอย่าบอกคุณลบนะคะ...แค่นี้ก็สร้างความเดือดร้อนให้พอแล้ว”
วิรงรองขยับจะค้าน
อุษารีบขัดก่อน “นึกว่าพี่ขอร้องละนะคะ...นึกว่าเห็นแก่พี่...” อุษาเว้นไปนิดท่าทางเขินเล็กๆ “อีกอย่าง...ที่ปรึกษากับพันธุ์สูรย์แล้ว”
วิรงรองยิ้มแฉ่ง “นั่นแน่! งั้นวิก็รับปากด้วยความเต็มใจเลยค่ะ...เดี๋ยววิจะขออนุญาตคุณลบให้คุณพันธุ์สูรย์ มาทานข้าวกลางวันกัน”
อุษาตกใจ “อุ๊ย”
“วิไปละนะคะ”
“เดี๋ยว! คุณวิ!”
วิรงรองออกไปอย่างแจ่มใส โดยหันมามองอุษาล้อเลียนแว่บหนึ่ง อุษาถอนใจเฮือก

วิรงรองเดินออกมาแล้วชะเง้อมองหา จนเห็นว่าอดิศวร์กำลังยืนสั่งงานสมและคนงาน วิรงรองยิ้มกับตัวเองแล้วเดินเข้าไปหา อดิศวร์สั่งงานเสร็จพอดี
“แค่นี้แหละ สม”
“ครับ”
สมและคนงานออกไป
อดิศวร์หันมามองวิรงรองที่ยิ้มอยู่อย่างอ่อนโยน “ยิ้มแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”
“วันนี้ วิชวนคุณพันธุ์สูรย์มาทานข้าวกลางวันด้วยกันล่ะ”
อดิศวร์ทำหน้านิ่งๆ “เมื่อไหร่จะเลิกเป็นแม่สื่อเสียที วันก่อนก็ชวนเจ้าลานนามาเจอกับคุณอนิรุทธิ์”
“โธ่! ก็สองคนนั่นสมกันออก” วิรงรองกอดแขนประจบ “นะคะ...คุณอดิศวร์ อนุญาตนะคะ”
“ตามใจ”
วิรงรองดีใจมาก กราบที่อก “ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ”
“ขอบคุณให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ”
อดิศวร์ก้มหน้าลงใกล้อีก

“อุ๊ย...เดี๋ยวใครเห็นค่ะ”

โดมทอง ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)

ที่หน้าต่างห้องนั่งเล่น แสงแขขบกรามแน่น นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความริษยา มือกำแน่น มองสองคนที่ดูสุขสดชื่นเช่นคนรักกัน
แสงแขหันหลังกลับเดินออกไป

ไม่นานนัก สองนายบ่าวอยู่ในห้องของแสงแข โอบอ้อมเบิกตากว้าง พอฟังจบ
“คุณแข นี่จะเอา...เอาอีกแล้วหรือคะ”
“แกมีหน้าที่ทำตามฉัน ไม่ใช่มาถาม”
โอบอ้อมกลืนน้ำลาย
“จัดการโทร.ให้พี่ชายแกไปพบฉันที่เดิม คราวนี้ฉันให้ 3 แสน ส่วนแก ฉันให้ค่าโทร. 5 หมื่น”
โอบอ้อมเบิกตากว้าง “5 หมื่น! คุณแขไปเอาเงินที่ไหนมาคะ”
“ชุดมรกตที่ฉันยึดมาจากคุณย่า! ฉันจะเอาไปขาย! รีบโทร. ตามเดี๋ยวนี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงเลยค่ะ”

โอบอ้อมเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจต่อเนื่อง
“ห้าหมื่น! ห้าหมื่น! ห้า...”
เสียงวิรงรองดังก้องในหู “อย่าให้เกิดเรื่องอีกล่ะ”
โอบอ้อมชะงัก ความลิงโลดค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นกังวล
ภาพวิรงรองผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“จะไปไหน”
“เอ้อ...ไป...ไปดูคุณแขค่ะ ป่านนี้ยังไม่ออกจากห้องเลย”
“อย่าให้เกิดเรื่องอีกล่ะ”
ภาพวิรงรองเลือนหายไป
“เอาไงดี เงินตั้งห้าหมื่น เอาวะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ห้าหมื่น...ท่องเอาไว้...ห้าหมื่น...ห้าหมื่น”
โอบอ้อมท่องพลางลงบันไดพลาง

เวลาผ่านไปอีกสักระยะ แสงแขและโอบอ้อมเดินลัดเลาะเข้ามาในป่าละเมาะตามนัด ขณะที่อ๊อดเดินออกมาจากที่ซ่อนเช่นกัน
“แหม! มาเร็วทันใจดีจัง” โอบอ้อมทักพี่ชาย
“เงินมากเท่าไหร่ ฉันก็มาเร็วมากเท่านั้น” อ๊อดว่า
“ฉันจะจ้างแกฆ่าอีนังนั่น” แสงแขบอก
“โห...มันดวงแข็งนะคุณ ขนาดเอาขึ้นไปขังบนยอดโดมนั่นยังอุตส่าห์รอดมาได้” อ๊อดบ่นอุบ
“ก็ยิงมันซิ เล็งที่หัวเลย คราวนี้จะได้ไม่รอด”
สีหน้าแสงแขยามนี้เต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
“ตอนเช้าๆ มันชอบสะเออะออกไปเก็บดอกพลับพลึงมาปักแจกันให้คุณลบ แกไปดักยิงมันตอนนั้นแหละ”
“ประมาณ 6 โมงนิดหน่อย พี่อ๊อดมาดักรอตั้งแต่ตี 5 ก็แล้วกัน” โอบเสริม
“ได้ คราวนี้ต่อให้ดวงแข็งยังไงก็ไม่รอดแน่” อ๊อดมั่นใจเต็มที่
“อย่าประมาท ยิงหัวมันเลย จะได้หมดปัญหา”

ไม่นานนัก ขณะที่แสงแขและโอบอ้อม เดินเข้ามาภายในบ้าน วิรงรองเดินถือแก้วน้ำผลไม้คั้นมา จะเลี้ยวไปทางห้องทำงานอดิศวร์ แสงแขและโอบอ้อมชะงัก ขณะที่วิรงรองทอดยิ้มส่งมาให้
“ไปไหนมาหรือคะ”
แสงแขสะบัดหน้าเดินหนีไป
โอบอ้อมรีบตอบแทน “ไปเดินเล่นมาค่ะ ขออนุญาตก่อนนะคะ”
วิรงรองพยักหน้า แล้วเดินไป โอบอ้อมรีบวิ่งตามแสงแขไปทันที

โอบอ้อมเดินเข้ามา แสงแขซึ่งยืนหน้าบึ้งรออยู่ จิกเนื้อบิดจนโอบอ้อมร้องแล้วทรุดลงไป
“โอ๊ย เจ็บค่ะ”
แสงแขตาขวาง เอาเรื่อง “ไปทำอี๋อ๋อกับมันทำไม”
“โอบก็ทำไปอย่างนั้นเอง อย่าลืมซิคะว่า คุณวิเขากำความลับของเราอยู่”
“ช่างหัวมันเป็นไร อย่านึกว่าทำเป็นคนดี แล้วฉันจะรู้สึกสำนึกบุญคุณ ไม่มีวันเสียละ มันแย่งคุณลบ ก็เท่ากับพรากเอาชีวิตจิตใจของฉันไป เพราะฉะนั้น ชาตินี้มันกับฉันจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ไม่มันตาย ฉันก็ต้องตาย ฉันเดิมพันคราวนี้ด้วยชีวิต”
สีหน้าแววตา ของแสงแขแข็งกร้าว
โอบอ้อมตื่นตระหนก “คุณแสงแขอย่าพูดน่ากลัวอย่างนั้นซิคะ โอบใจไม่ดีเลย”
แสงแขเลื่อนสายตามามองโอบอ้อม น้ำตารื้นขึ้นมาแว่บหนึ่ง “โอบ...แกได้เงินแล้วก็หลบไปอยู่ที่อื่นเสีย...เพราะฉัน
ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
โอบอ้อมกอดแสงแขไว้ทั้งน้ำตา “โอบไม่ไปค่ะ โอบจะอยู่กับคุณแขไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
แสงแขยืนนิ่งครู่หนึ่ง จับแขนโอบอ้อมออกจากตัว แล้วเดินขึ้นข้างบนไปเงียบๆ โอบอ้อมมองตามร้องไห้โฮๆ

ตกกลางดึกบรรยากาศแสนวังเวง หมอกควันกระจายเต็มไปทั่วอาณาเขตบริเวณโดมทอง วิรงรองเดินเคว้งคว้าง อยู่ในบริเวณนั้น มีเสียงรถม้าดังแว่วมาไกลๆ แล้วเข้าใกล้มาทุกที วิรงรองหันหน้าไปมองทางทิศที่มาของเสียง เห็นรถม้าเข้ามาใกล้ทุกที โดยมีท่านเจ้าคุณและพลับพลึงนั่งอยู่
วิรงรองมองภาพนั้นเหมือนถูกสะกด รถม้าเข้ามาใกล้ วิรงรองเบิกตากว้าง เพราะที่คิดว่าเป็นพลับพลึงนั้น ที่แท้กลับกลายเป็นตัววิรงรองเองนั่งอยู่บนรถม้าเลือดโชกชุ่ม สีหน้าแววตาเหมือนเลื่อนลอย
รถม้าค่อยๆ แล่นหายไปในท่ามกลางหมอกควัน
วิรงรองเหลียวมองตาม แล้วก้มลงมองตัวเอง เห็นบริเวณที่ถูกยิง เลือดโชก ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างสะใจของท่านผู้หญิงสรรักษ์ดังขึ้น และก้องกังวานไปทั่ว
ร่างวิรงรองทรุดฮวบลงไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือท่านผู้หญิงก้มลงมองอย่างสะใจ สีหน้าแลดูน่ากลัวมาก

ดึกสงัด วิรงรองสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ยกมือลูบตรงที่ถูกยิงในฝัน แล้วถอนใจยาว
“ฝันบ้าบออะไรก็ไม่รู้”

บรรยากาศยามเช้าแสนแจ่มใสที่บริเวณทุ่งพลับพลึง วิรงรองกำลังเลือกตัดช่อพลับพลึงไปปักแจกัน โดยไม่รู้ว่าที่มุมหนึ่งอ๊อดกำลังเล็งหามุมยิง เนื่องจากวิรงรองก้มๆ เงยๆ ตลอด

ฟากแสงแขอยู่ในห้อง กำลังจ้องโอบอ้อมที่โทรศัพท์เขม็ง
“ถึงไหนแล้ว...อ้าว! ใครจะไปรู้ล่ะ”
โอบอ้อมรีบปิดโทรศัพท์
“ว่าไง ไอ้อ๊อดมันเบี้ยวเรอะ”
“กำลังหามุมยิงอยู่ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” โอบอ้อมบอก
แสงแขมีสีหน้าตื่นเต้น “งั้นก็แปลว่า...นังวิรงรองกำลังจะตายฉันกำลังจะหมดเสี้ยนหนาม”
“รออีกเดี๋ยวเดียวค่ะ คุณแสงขา”

นัยน์ตาแสงแขเป็นประกายสาสมใจ

อดิศวร์เดินออกมาจากห้องทำงาน ในขณะที่อุไรเดินมาพอดี

“คุณลบคะ...คุณวิเธอบอกให้ไปช่วยหอบช่อพลับพลึงหน่อยค่ะเพราะวันนี้บานเต็มไปหมด เธอจะเก็บไปปักในห้องโถงใหญ่ด้วยค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้า แล้วเดินไป

วิรงรองยังเพลิดเพลินอยู่ในทุ่งดอกพลับพลึงไกลสุดลูกหูลูกตา อ๊อดกำลังเล็ง ทว่าวิรงรองเดินอ้อมไปตัดอีกกอ
“โธ่เว้ย” อ๊อดฉุน
อดิศวร์กำลังเดินตรงมาตามทางเดิน สีหน้าเต็มไปด้วยความสดชื่น ส่วนวิรงรองกำลังก้มๆเงยๆ ตัดช่อพลับพลึง
อ๊อดเล็งอยู่อย่างนั้น
อดิศวร์เดินใกล้เข้ามา
วิรงรองเห็นอดิศวร์ จึงยกมือโบกให้ โดยไม่รู้ว่าได้กลายเป็นเป้านิ่ง อ๊อดสบโอกาสยิงทันที แต่วิรงรองขยับตัว กระสุนผิดเป้าจากหัวมาที่ไหล่ วิรงรองกรีดร้องสุดเสียงแล้วทรุดลง หมดสติไปในทันที
อดิศวร์ตกใจ “วิรงรอง”
อ๊อดเองก็ตกใจ รีบหนีไปทางป่าละเมาะ ขณะอดิศวร์วิ่งมาที่วิรงรอง แล้วทรุดตัวลง ช้อนร่างวิรงรองขึ้นมา
“วิรงรอง”
ร่างหมดสติของวิรงรองมีเลือดไหลจนชุ่มโชก
อดิศวร์ลุกขึ้น “อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเป็นอะไรเด็ดขาด”
อดิศวร์รีบเร่งเดินออกไป

ขณะเดียวกันสมกำลังคุมคนงานอยู่มุมหนึ่ง เห็นอ๊อดวิ่งหนีมา
“เฮ้ย ! นั่นใคร”
อ๊อดยิงใส่ทันที และด้วยความตกใจยิงจนกระสุนหมด สมและคนงานหลบ
อ๊อดยิงไม่ออก ทิ้งปืนแล้วรีบวิ่งหนี อ๊อดถูกคนงานไล่ตามจับจนได้ อ๊อดพยายามดิ้น แต่ก็หนีไม่รอด

ส่วนแสงแขเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องรอฟังข่าวอย่างกระวนกระวายใจ มีโอบอ้อมรออยู่ด้วย
“ป่านนี้คงเรียบร้อยแล้วมั้งคะ”
“แกลองโทร.ไปถามซิ”
“จะดีหรือคะ”
“นังโอบ”
“โทร. ก็โทร.ค่ะ”
โอบอ้อมกดโทร.ออก ติดแต่ไม่มีใครรับ
แสงแขนิ่วหน้า “ไม่รับเหรอ”
“ค่ะ”
“ทำไมมันไม่รับ”
“เขาอาจจะกำลังหนีก็ได้ค่ะ...เลยไม่มีเวลารับโทรศัพท์”
แสงแขถอนใจเฮือก รู้สึกกังวลขึ้นมา แล้วเดินกลับไปกลับมาอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันขวับมามองโอบอ้อม
“แกออกไปดูซิ”
โอบอ้อมสะดุ้ง “จะ...จะดีหรือคะ”
“ฉันบอกให้ออกไป”
โอบอ้อมรีบออกไปทันที

โอบอ้อมเดินลงบันไดมา แล้วเหลียวซ้ายแลขวา เห็นอุไรนั่งหมดแรงร้องไห้อยู่มุมหนึ่ง โอบอ้อมเบิกตากว้าง แสยะยิ้มออกมาอย่างสาสมใจ พึมพำกับตัวเอง
“สงสัยจะเรียบร้อยแล้ว”
โอบอ้อมปรับสีหน้า แล้วเดินไปทรุดตัวลงหน้าอุไร
“พี่อุไร ร้องไห้ทำไม”
“แกไปอยู่ไหนมา คุณวิรงรองถูกยิง” อุไรสะอึกสะอื้น
โอบอ้อมลืมตัว “ตายมั้ย”
อุไรจ้องโอบอ้อมเขม็ง “จะบ้าเรอะ...คุณลบกับคุณอุษากำลังพาไปโรงบาล”
“งั้นก็เป็นตายเท่ากัน” โอบอ้อมหลุดปากอีก
อุไรผลักโอบอ้อมจนหงายหลัง “นังโอบ แกแช่งคุณวิเรอะ”
โอบอ้อมนึกได้ “บ้า ใครจะกล้าแช่ง”
“คุณวิต้องไม่เป็นอะไร คนดีผีคุ้ม”

อุไรบอก

แสงแขแทบกระอักเลือด โมโหมาก พอฟังโอบอ้อมเล่าจบ

“โอ๊ยตาย! ทำไมมันไม่ยิงให้ทะลุหัวใจให้หมดเรื่องหมดราวนะ”
“โอบก็ไม่ทราบค่ะ! แล้ว ... แล้ว...ถ้ามันไม่ตายล่ะคะ”
แสงแขกัดปากแน่น ใบหน้าทั้งกังวลทั้งเคียดแค้น
“คราวนี้คุณวิคงแฉแหลกแน่ โอ๊ย! แล้วจะทำยังไงดี!”
“เดี๋ยวก็คงรู้ว่ามันตายหรือรอด แกออกไปคอยฟังข่าวซิ”
“จะดีหรือคะ”
“ดี ถ้ารู้เรื่องอะไรแล้วรีบมาบอกฉัน”
โอบอ้อมเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก

อุไรกำลังลุกขึ้นขณะที่โอบอ้อมเดินกลับมา
“จะไปไหน...พี่อุไร”
“ไปรอฟังโทรศัพท์ในห้องทำงานคุณลบ”
“ไปด้วย”
โอบอ้อมรีบตามอุไรไป

เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งแล้ว
แสงแขนั่งลุ้น แช่งชักให้วิรงรองตายอยู่ในห้อง
“เพี้ยง ขอให้มันตาย ขอให้มันตาย”
ประตูห้องเปิดออก โอบอ้อมหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณแข คุณลบโทร.มาบอกคุณอุษาว่า คุณวิรงรองปลอดภัยแล้วค่ะ”
แสงแขผุดลุกขึ้น แล้วกรีดร้องอย่างผิดหวังและเจ็บปวด
“นังวิรงรองไม่ตาย! ทำไมมันถึงไม่ตาย! มันต้องตายซิ! มันต้องตาย!”
อุษาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แสงแข! พี่ไม่นึกเลย...เธอคิดฆ่าคนได้ยังไง”
“อย่ามามั่วนะ พี่อุษา! ฉันอยู่ของฉันดีๆ อย่ามาหาเรื่อง” แสงแขเถียง
“เธอคงไม่รู้ว่า นายสมกับคนงานช่วยกันจับนายอ๊อดพี่ชายของแม่โอบได้ตั้งแต่เกิดเรื่อง”
โอบอ้อมกลืนน้ำลายหน้าเสียขณะที่อุษาปรายตามามองแว่บหนึ่ง
“มันโกหก! แขไม่ได้จ้างมันฆ่าใคร” แสงแขโพล่งออกมา
“พี่ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่า เธอจ้างนายอ๊อด”
แสงแขอึ้ง
“นายอ๊อดสารภาพหมดแล้วว่า เธอเป็นคนล่อวิรงรองออกมาให้มันตีหัว แล้วพาขึ้นไปขังบนห้องยอดโดม”
โอบอ้อมค่อยๆ เลี่ยงออกไป
“ก็บอกแล้วไงว่ามันโกหก! แขไม่เคยรู้จักมันด้วยซ้ำ”
“แต่หลักฐานต่างๆ มันมัดตัวเธอหมด!” อุษาเสียใจจนน้ำตาคลอ “ทำไม!…ทำไม!”
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์ “เพราะมันแย่งของรักของฉันไป ฉันรักคุณลบสุดหัวใจ...แต่มันก็มาแย่งไปจนได้! พี่อุษาไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง...ฉันรู้สึกเหมือนมันมากระชากหัวใจของฉันไป! มันเจ็บปวด...เจ็บปวดปางตาย”
แสงแขร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนใจจะขาด อุษามองน้องอย่างเวทนา

ด้านโอบอ้อมถือกระเป๋าใส่ข้าวของสำคัญ รีบร้อนเดินจะออกจากบ้าน แต่ต้องชะงัก หน้าเสีย เมื่ออุไรและสม เข้ามาขวางไว้
“จะไปไหน...นังโอบอ้อม! นังฆาตกร!”
โอบอ้อมหน้าซีดขาว กลืนน้ำลายลงคอ

เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกหลายวัน เช้านี้ อดิศวร์เข็นรถวิเข้ามาในบ้าน ติดตามด้วยลานนา ภูไท อนิรุทธิ์ พันธุ์สูรย์ ปราง พิชญ์ และพิณทอง
อุษาและอุไร เดินหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสออกมาต้อนรับ
“คุณลบสั่งให้พี่จัดห้องข้างล่างทางปีกซ้ายไว้ให้แล้วค่ะ...มองออกไปจะเห็นทะเล”
วิรงรองเงยหน้ามองอดิศวร์ “ขอบคุณมากค่ะ...ขอบคุณพี่อุษาด้วยนะคะ”
“คนอื่นๆ ขอเชิญทานของว่างทางนี้ก่อนนะคะ” อุษาเชื้อชวน
“ไปเลยครับ” อนิรุทธิ์รีบตอบเป็นคนแรก
ลานนาค้อนขวับ ขวางหูขวางตา “ทำยังกับเป็นเจ้าของบ้านแน่ะ”
ทุกคนหัวเราะขำ เดินคุยกันไป
“ผมจะไปช่วยคุณอุษา” พันธุ์สูรย์อาสา
อุษารีบบอก “ไม่มีอะไรให้ช่วยแล้วคะ”
ลานนาร้องแซว “แป่ว”
วิรงรองยิ้ม ขณะปรางลูบผมลูก ไปดูห้องแล้วเดี๋ยวตามมานะลูก
“ค่ะ”
ปรางตามทุกคนไป อดิศวร์เข็นวิรงรองไปอีกทาง

ส่วนแสงแขยังคงยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก สีหน้าเครียดขรึม และยืนอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน

ฟากอดิศวร์เข็นรถวิรงรองเข้ามาในห้องพักใหม่ที่อุษากับอุไรจัดเตรียมไว้ให้ ม่านหน้าต่างสีสวยปลิวไสว มองผ่านไปเห็นทะเลและชายหาดสวยงาม แจกันทรงสูงปักช่อดอกพลับพลึงสีขาวตั้งอยู่มุมหนึ่งในห้อง

วิรงรองลุกขึ้น อดิศวร์จูงให้มานั่งตรงบริเวณนั้น แล้วหยิบกล่องแหวนขึ้นมาเปิด มืออดิศวร์หยิบแหวนน้ำงาม สวยกว่าเก่าขึ้นมาสวมให้
“ว่าจะสวมให้ตั้งนานแล้ว บังเอิญมีแต่เรื่องยุ่งๆ เลยกราบเรียนขอให้หลวงพ่อ ที่วัดเดียวกับพ่อพันธุ์สูรย์หาฤกษ์ให้ ซึ่งก็ตรงกับวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลพอดี แล้วฉันก็ขออนุญาตคุณแม่เธอแล้วด้วย”
“ใช้วงเก่าก็ได้”
“ไม่เอา...วงนั้นเธอถอนหมั้นฉันไปแล้วนี่”
วิรงรองมองออกไปภายนอก ทอดถอนใจยาวแล้วเอนศรีษะพิงไหล่อดิศวร์
“ถอนใจทำไม”
“คุณแสงแขเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ยังจะถามถึงเขาอีก! เวลานี้แทบจะไม่มีใครพูดกับเขาเลยแม้แต่อุษา”
“โถ! น่าสงสารนะคะ” วิรงรองว่า
“แต่เขาจะรู้สึกตัวหรือเปล่า ฉันไม่รับรอง! ...” อดิศวร์เว้นอีกนิด “นี่เพราะเห็นแก่เธอที่พยายามขอร้องไม่ให้เอาเรื่อง แล้วก็อุษา ฉันถึงได้ให้พันธุ์สูรย์วิ่งเต้นทุกทางเพื่อไม่ให้มีชื่อแสงแขเข้าไปพัวพันด้วย ทั้งๆที่มันไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะกับเธอ ...แสงแขทำผิดร้ายแรงถึงสองครั้งสองหน เขาสมควรจะได้รับโทษ”
“อย่าเลยค่ะ...คุณอดิศวร์...ความจริงวิต่างหากที่ไปแย่งของรักของเธอ”
“ถึงไม่มีเธอ...ฉันก็ไม่มีวันรักเขาได้...อย่าพูดถึงคนอื่นเลย...ตกลงว่างานแต่งของเราจะไม่เลื่อน”
“เอ๊ะ...ก็วิยังเจ็บอยู่”
“ยังมีเวลาเหลืออีกตั้ง 2 เดือน ฉันตกลงกับคุณแม่เธอแล้ว ท่านไม่มีอะไรขัดข้อง”
“อ้าว”
“เธอคงเตรียมตัวทันนะ”
“ไม่ทัน...”
อดิศวร์ก้มลงจูบ โดยที่วิรงรองยังไม่ทันพูดจบ

ฝ่ายอุษาและอุไรกำลังช่วยกันเตรียมกับข้าวเลี้ยงทุกคนอยู่ในครัว สักครู่หนึ่งแสงแขเดินเข้ามา อุไรหันมามองพอดี เลยชะงัก แสงแขยืนนิ่ง สีหน้าและแววตาเหมือนไร้ความรู้สึก
อุไรเรียกเบาๆ “คุณอุษาคะ”
อุษาหันมามองตามสายตาอุไร
“หิวแล้วหรือ แสงแข...พี่กำลังจะให้อุไร...”
แสงแขขัดขึ้น “เขากลับมากันแล้วหรือ”
อุษาพยักหน้า ทุกคนต่างนิ่งกันไปครู่หนึ่ง
“อุไร ... ยกถาดอาหารขึ้นไปให้คุณแสงแข”
“ไม่ต้อง...ฉันไม่หิว ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”
แสงแขเดินออกไปเงียบๆ อุษาและอุไรมองตาม
“ถ้าคุณแขทราบว่า คุณลบกำหนดวันแต่งงานกับคุณวิแล้ว...เธอคง...คงแย่นะคะ” อุไรรู้สึกสงสาร
“ถึงยังไง แสงแขก็ต้องรับรู้ และยอมรับ”

สีหน้าอุษาสลดลงด้วยอดเวทนาแสงแขไม่ได้

อ่านต่อหน้า 3

โดมทอง ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)

ขณะที่ ลานนา อนิรุทธิ์ พิชญ์ และพิณทอง เดินคุยกันมาจะเข้าไปในห้องนั่งเล่น แสงแขเดินสวนมาพอดี จะกลับไปห้อง

4 คนหยุดชะงักทันที ต่างคนต่างมองแสงแขด้วยสีหน้าแววตาแปลกๆ สีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนานเปลี่ยนไป ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง แล้วแสงแขหันหลังกลับจะเลี้ยวไป ลานนาแค้นจนทนไม่ไหว โพล่งขึ้น
“หยุดคิดทำร้ายวิรงรองได้แล้ว”
แสงแขหยุดชะงักยืนนิ่ง แต่ไม่ได้หันกลับมา อนิรุทธิ์จับแขนลานนาไว้เป็นเชิงเตือน
ลานนาดึงแขนออก “คุณวางแผนฆ่าวิตั้ง 2 ครั้ง หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้เอาเรื่องเพราะเห็นแก่คุณอดิศวร์..กลัวว่าตระกูล “ศิโรดม” จะเสียชื่ออื้อฉาว...คุณควรจะสำนึกในบุญคุณของเขาให้มากๆ”
แสงแขหน้าซีด นัยน์ตาแห้งสนิท
“ถ้าคุณคิดทำร้ายเขาอีก...คราวนี้ถึงคุณวิจะไม่เอาเรื่อง แต่น้าลบต้องไม่ปล่อยให้คุณลอยนวลอย่างทุกวันนี้แน่” พิณทองก็ทนไม่ได้เช่นกัน
พิชญ์กระตุกแขนพิณ พิณทองถลึงตาใส่แล้วสะบัดเบาๆ พิชญ์และอนิรุทธิ์สบตากัน อย่างเซ็ง
“น้าลบกับคุณวิเขาได้ฤกษ์แต่งงานแล้ว” พิณทองว่าต่อ
เท้าที่กำลังจะก้าวเดินของแสงแขหยุดชะงักทันที
ใบหน้าแสงแข ที่นัยน์ตาแห้งผาก มีความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นทันที
“เราทุกคนจะคอยจับตาคุณไม่ให้กระดิกตัวไปทำอะไรร้ายๆ ได้ง่ายๆ แน่นอน” ลานนาว่า
แสงแขน้ำตาหยดริน
อนิรุทธิ์กระซิบลานนา “พอแล้ว”
แสงแขเดินออกไปจากที่นั้นทันที
พิชญ์แซว “ช่วยกันใส่ไม่ยั้งเชียวนะ”
พิณทองหันมามองหน้าสามีอย่างเอาเรื่อง “พิชญ์สงสารเขาหรือคะ”
“เปล่า...า” พิชญ์ลากเสียงยาว “แต่ผมไม่อยากให้เขาเจ็บแค้นขึ้นมาอีก”
“คุณวิต่างหากคะที่ควรจะเป็นฝ่ายเจ็บแค้น โอ๊ย ถ้าเป็นพิณละก็...ป่านนี้รู้เรื่องกันไปแล้ว” พิณทองฮึดฮัด
“เห็นด้วยค่ะ แหม! พูดแล้วเราไปยุวิกันดีกว่า คุณพิณ” ลานนาผสมโรง
“ไปซิคะ”
2 หนุ่มร้องห้าม “เดี๋ยว” ต่างคนต่างจับแขนแฟนของตัวไว้
“วิเขาอยู่กับคุณอดิศวร์ ขืนไปก็ถูกไล่กลับมาซิครับ” นายทหารเรืออ้าง
“ไปว่ายน้ำกันดีไหม? จะได้ใจเย็นขึ้น” พิชญ์บอก
“เชิญไปว่ายกัน 2 คนกับคุณรุทธิ์เถอะค่ะ พิณกับเจ้าลานนาจะไปวางแผนป้องกันวิจากยัยแสงแข”
“ไปค่ะ”
2 สาวเดินไปด้วยกัน
“เดี๋ยว! รอด้วยซิครับ” / “รอด้วย...พิณ”
2 หนุ่มร้องเรียก แล้วรีบตามไป

อุษาและอุไรยังคงช่วยกันเตรียมอาหารอยู่ แสงแขเดินน้ำตาไหลพรากเข้ามา
“คุณลบเขาจะแต่งงานกับวิรงรองเมื่อไหร่”
อุษาสบตากับอุไร แล้วหันกลับมา
“อีก 2 เดือน...แต่ยังไม่แน่ใจว่าวันที่เท่าไหร่”
ร่างแสงแขผงะไป อุษาก้าวเข้ามาจะช่วยประคอง
“แสงแข...”
“ไม่ต้อง แขไม่เป็นอะไรหรอก”
“แสงแข...พี่ขอร้องนะ...อย่าให้มีเรื่องอีกเลย” อุษาว่า
“นั่นซิคะ...คุณวิเธอก็เพิ่ง...”
แสงแขขัดขึ้นอย่างเจ็บปวด “ทุกคนห่วงแต่วิรงรอง! ไม่มีใครคิดถึงใจแขเลย! ไม่มีจริงๆ”
แสงแขหันกลับเดินแกมวิ่งกลับออกไป อุษาขยับเดินตาม
“ปล่อยเธอเถอะค่ะ! ยิ่งไปพูดอะไรเดี๋ยวจะไปกันใหญ่” อุไรบอก
อุษาหยุดชะงัก
อุไรบอกต่อ “ให้อยู่คนเดียว...บางทีเธออาจจะคิดได้”

ส่วนวิรงรองพิงอกอดิศวร์ ทอดสายตามองออกไปที่ทะเลเบื้องหน้าอย่างมีความสุข อดิศวร์เองก็มีสีหน้าสุขสงบ
“ก่อนแต่งงาน...เราจะทำบุญบ้านใหญ่อีกครั้ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณบรรพบุรุษของเราทุกดวง”
วิรงรองเงยหน้าสบตาและยิ้มอย่างเห็นด้วย
“ระยะหลังๆ มานี่ไม่ได้ฝันถึงคุณปู่กับคุณย่าน้อยแล้วใช่ไหม”
“ก็ตั้งแต่คืนก่อนที่จะถูกยิงก็ไม่ฝันเลยค่ะ...คราวนั้นท่านคงจะมาเตือน แต่วิก็ไม่ได้เอะใจ คุณลบล่ะคะ...ฝันถึงท่านผู้หญิงบ้างหรือเปล่า”
อดิศวร์กำลังจะตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือวิรงรองดังขึ้น
อดิศวร์เอื้อมมือไปหยิบมาให้
“ขอบคุณค่ะ..สวัสดีค่ะ! คุณพันธุ์สูรย์”
อดิศวร์ชะงัก
“ได้ค่ะ...คุณอดิศวร์จะรออยู่ในห้องทำงานนะคะ..ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ” วิรงรองวางสาย แล้วยิ้มกริ่ม
อดิศวร์ทำเป็นดุ “เจ้ากี้เจ้าการอะไรอีกล่ะ”
วิรงรองยิ้มประจบ “แหม...ก็แค่คุณพันธุ์สูรย์เขามาขอพบเท่านั้นแหละค่ะ”
อดิศวร์นิ่งไป
“นะคะ...คุณบวก!”
อดิศวร์กลั้นหัวเราะ
“เปลี่ยนชื่อเป็นบวก จะได้มองโลกในแง่บวกบ้าง”

อดิศวร์โอบวิรงรองอย่างรักใคร่แกมเอ็นดู

แจกันปักดอกพลับพลึงตั้งอยู่มุมหนึ่งบนโต๊ะทำงาน อดิศวร์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก สักครู่หนึ่งมีเสียงเคาะประตูเบาๆ อดิศวร์พูดโดยไม่ได้หันมามอง

“เข้ามา!”
ประตูเปิดออก พันธุ์สูรย์เดินเข้ามา แล้วปิดประตูเบาๆ เดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงาน โดยที่เจ้าของห้องยังคงยืนอยู่ในอิริยาบถเดิม
พันธุ์สูรย์ตัดสินใจพูดในที่สุด “ขอบคุณครับ ที่ให้โอกาสเข้าพบ”
อดิศวร์หันตัวกลับมาช้าๆ ยังวางมาด “ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”
พันธุ์สูรย์เริ่มจะฉุนๆ ขึ้นมาบ้างกับท่าทีนั้น
“วิรงรองเขาชวนนายมากินข้าวด้วย ...ถ้าไม่ให้พบตอนนี้ จะพาลกินไม่ลงกันทั้งโต๊ะ”
อดิศวร์เดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“มีธุระอะไร”
พันธุ์พยายามกลืนความหงุดหงิดลงไป
“ผมมาสู่ขอคุณอุษา”
อดิศวร์ชะงัก

สองสาวอยู่ด้วยกัน ลุ้นรอผลทั้งคู่ วิรงรองเอื้อมมือมาวางบนมืออุษาที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก อุษายังคงนั่งเครียด
“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยค่ะ...เชื่อวิซิคะ”
อุษาส่ายหน้าอย่างกังวล “ทั้งคุณลบทั้งพันธุ์สูรย์ไม่ค่อยชอบหน้ากัน แถมยังใจร้อนกันทั้งคู่...พี่กลัวจะมีเรื่อง”
“แต่ทั้งคู่ก็รักพี่อุษา...ยังไงก็ต้องเห็นแก่พี่อุษาบ้างละค่ะ”

ด้านอดิศวร์ยังคงนั่งสีหน้าเรียบเฉย
พันธุ์สูรย์ชะโงกมาใกล้ “ผมมาสู่ขอคุณอุษา..ได้ยินหรือเปล่าครับ”
“ถ้าฉันไม่ยกให้ล่ะ”
“คุณลบกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่คุณลบรัก แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามขัดขวางความรักของน้องสาว แบบนี้ไม่เป็นการเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือครับ”
“แล้วนายจะรับรองได้หรือว่า อุษาแต่งงานกับนายแล้วจะมีความสุขเหมือนอยู่ที่นี่..น้องสาวฉันเคยชินกับการอยู่บ้านใหญ่ๆ ถ้าเขาอยากได้อะไร ฉันก็สามารถให้เขาได้ทุกอย่าง”
“ใช่! คุณลบรวยมาก แต่เงินของคุณก็ซื้อทุกอย่างไม่ได้เช่นเดียวกับบ้านใหญ่โตก็ไม่ได้รับประกันว่า คนที่อยู่จะมีความสุข แล้วถ้าจะพูดกันจริงๆ ดัชนีมวลรวมความสุขของบ้านโดมทองต่ำมาก ถ้าเทียบกับขนาดของบ้าน”
น่าแปลก อดิศวร์ใจเย็นผิดปกติ “นั่นคงเป็นความรู้สึกของนายคนเดียวมั้ง แล้วไอ้การที่อยู่ดีๆ นายก็พรวดพราดเข้ามาสู่ขออุษา ทำให้ฉันรู้สึกว่านายไม่ได้ให้เกียติฉัน”
“ที่ผมมาสู่ขอคุณอุษาเอง เพราะผมต้องการแสดงความจริงใจและให้คำมั่นว่า ผมจะดูแลเธอให้ดีไม่น้อยไปกว่าคุณ....ผมจะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจเด็ดขาด”
อดิศวร์แขวะ “หยิ่งยะโสตามเคย!”
“เป็นคำสัญญาต่างหากครับ”
ทั้งสองหนุ่มมองกันแน่วแน่เหมือนจะค้นหาความจริงใจในกันและกัน

ฟากวิรงรองและอุษามารออยู่ในห้องโถง สองสาวลุกขึ้นยืนช้าๆ มือยังจับกันแน่น มองเขม็งไปที่ประตูขณะที่อดิศวร์เดินนำพันธุ์สูรย์เข้ามา
วิรงรองมองอดิศวร์อย่างลุ้นเต็มที่ “คุณอดิศวร์คะ”
อดิศวร์เบือนหน้ามามองพันธุ์สูรย์แว่บหนึ่ง แล้วหันกลับมามองอุษา
“พันธุ์สูรย์เขามีอะไรจะถามเธอ...ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันว่าจะตอบยังไง”
วิรงรองมองอดิศวร์ ก่อนจะหันมามองอุษาแล้วบีบมือเบาๆ พูดล้อๆ
“ตอบดีๆ นะคะ อย่าให้คุณพันธุ์สูรย์เสียใจ”
วิรงรองเดินไปที่อดิศวร์ซึ่งยื่นมือออกมา วิรงรองวางมือบนมือของเขา แล้วทั้งคู่เดินออกไป
พันธุ์สูรย์เดินเข้ามา นัยน์ตามองอุษาเต็มไปด้วยควมรักและความสุข
อุษาพึมพำ “คุณพันธุ์สูรย์”
พันธุ์สูรย์จับมือทั้งสองของอุษาไว้ “คุณจะเต็มใจไปอยู่บ้านที่เล็กกว่าโดมทองสัก 2 เท่าไหน”
อุษายิ้มทั้งน้ำตา “เต็มใจค่ะ”
พันธุ์สูรย์รวบตัวอุษาเข้ามากอด สีหน้าแววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื้นตัน
สักพักหนึ่ง ลานนาเดินแกมวิ่งเข้ามา ด้วยสีหน้าแววตาแจ่มใส่ ลานนาชะงักเมื่อเห็นภาพหวานนั้น แล้วหันหลังกลับ
อนิรุทธิ์ยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ทั้ง 2 เดินกันมาเรื่อยๆ อนิรุทธิ์เป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด
“ผมนึกว่าคุณตัดใจจากเขาได้ตั้งนานแล้วเสียอีก”
“มันก็แค่อึ้งๆ ไปเท่านั้นแหล่ะค่ะ แหม...ลานนาไม่ทันตั้งตัวนี่คะ”
“แล้วตอนนี้หายอึ้งหรือยังล่ะ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ค่อยยังชั่ว! ผมไม่อยากอกหักซ้ำซาก”
“ความจริง...เรื่องพี่พันธุ์สูรย์เนี่ย ลานนาก็ไม่ถึงขนาดอกหักมากมายหรอกนะคะ...ลานนามีความรู้สึกดีๆ...”
อนิรุทธิ์ทั้งขวางทั้งหมั่นไส้ “พอแล้ว ไม่ต้องอธิบายมาก”

ลานนาหัวเราะอย่างแจ่มใส แล้วสองคนก็พากันเดินออกไปจากที่นั้น

อ่านต่อหน้า 4

ค่ำแล้วเทือกเขาหน้าคฤหาสน์ดำทะมึนท่ามกลางบรรยากาศดึกสงัด บ้านโดมทองดูตระหง่าน และลึกลับ ท่ามกลางสายหมอกสีขาวนั้น

ส่วนภายในบ้าน อดิศวร์กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง สักพักหนึ่ง มีเสียงฝีเท้าคนเดินเบาๆ อยู่ภายนอก อดิศวร์เงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า เสียงนั้นเหมือนคนกำลังเดินช้าๆ มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงาน
อดิศวร์ลุกขึ้นเดินมาเปิดประตูดู พอพบว่าบริเวณภายนอกว่างเปล่า จึงเดินออกมา แล้วกวาดตามองเพื่อให้แน่ใจ
ทุกอย่างดูปกติ อดิศวร์เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วเซผงะ ด้วยความตกใจ
เพื่อปรากฏร่างผีท่านผู้หญิงยืนสีหน้าบึ้งตึง ราวกับโกรธอย่างรุนแรง เพ่งมองมา
อดิศวร์ตกใจตื่น
“คุณย่า”
สีหน้าอดิศวร์ใคร่ครวญตริตรอง
บรรยากาศยามเช้าวันนี้ดูสดใส อุษาหอบดอกกุหลาบเดินมาจะเข้าบ้าน เพิ่งเดินมาจากประตูรั้ว อุษามีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นแสงแขยืนมองด้วยสีหน้าเรียบสนิท อุษาเดินเข้ามาใกล้ .. ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ดีใจจังที่เห็นเธอออกมาข้างนอกบ้าง”
แสงแขมองมาที่ดอกไม้ “พันธุ์สูรย์เอามาให้หรือ”
อุษาพยักหน้า นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความสุข “ใช่”
แสงแขถอนใจยาว “ทุกคนกำลังมีความสุข...ยกเว้นแขคนเดียว”
“ไม่เอาน่า” แสงแขเว้นไปอีกนิด...สีหน้ากระตือรือร้น “พี่คุยกับพันธุ์สูรย์แล้วนะ หลังแต่งงาน เราจะพาเธอไปอยู่ด้วย”
แสงแขพูดอย่างเลื่อนลอย “คุณลบกับวิรงรอง ก็จะอยู่ที่นี่กันสองคน”
อุษาปลอบโยน “แสงแข”
แสงแขนัยน์ตาค่อยๆ เลื่อนมาที่อุษา “แขไม่ไปไหนหรอก...แขจะอยู่ที่โดมทองตลอดไป...แขจะรอคนที่แขรัก”
สีหน้าแสงแขดุดันเหมือนอยู่ในภวังค์ ถึงแม้นัยน์ตาจะมองอุษา
อุษามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเยือกเย็นขึ้นมา
“คุณย่าก็ชวนให้แขอยู่...ท่านจะได้มีเพื่อน”
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“คุณย่าสิงอยู่โดมทอง...แขก็จะสิงอยู่ในโดมทอง”
อุษาจูงมือแสงแข “จุ๊...คุณย่าท่านไปสบายแล้ว...อย่าคิดมาก”
อุษาพาแสงแขเข้าไปจนได้ โดยแสงแขยังคงเหมือนอยู่ในภวังค์

อุษาเดินพาแสงแขมาถึงหน้าห้อง
“เดี๋ยวพี่จะให้อุไรมาอยู่เป็นเพื่อนนะ”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวคุณย่าจะด่าแข”
“แสงแข...คุณย่าท่านเสียไปแล้ว”
“เดี๋ยวแขจะฟ้องคุณย่าว่า พี่อุษาแช่งท่าน”
“ฟังพี่นะ แสงแข”
แสงแขชะงัก “คุณย่าเรียกแขแล้ว...แขต้องรีบเข้าไป”
แสงแขรีบเปิดประตูเดินเข้าไป แล้วปิดประตู
สักครู่...อุษาค่อยๆ แง้มประตูมองเข้าไป เห็นแสงแขนั่งพับเพียบเรียบร้อย ทำเหมือนพูดกับใครคนหนึ่งที่นั่งบนเตียงอย่างนอบน้อม

อุษาค่อยๆ ปิดประตูลงเบาๆ สีหน้าแววตาดูตระหนกตกใจ ยกมือลูบแขนตัวเองในลักษณะขนลุกชันขึ้นมา

วันเวลาผ่านไปอีก ค่ำนั้น วิรงรองเดินแกมวิ่งเข้ามาภายในครัว

“พี่อุษา...เอ๊ะ”
แสงแขค่อยๆ เบือนหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าขรึมสนิท
“ขอโทษค่ะ ดิฉันนึกว่า พี่อุษาอยู่ที่นี่”
วิรงรองหันหลังจะเดินไป
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป”
วิรงรองค่อยๆ หันกลับมา
“เธอจะแต่งงานกับคุณลบอาทิตย์หน้าแน่ใช่ไหม”
“ค่ะ” วิรงรองพูดเสียงเบา
แสงแขถอนใจยาว
“เธอโชคดีเสมอ...วิรงรอง...ฉันซิโชคร้ายตลอดเวลา...ไม่เคยสมหวังอะไรสักอย่าง”
แสงแขนัยน์ตาหม่นเศร้า ขณะที่วิรงรองเริ่มอึดอัด ด้วยไม่รู้ว่าแสงแขจะเอายังไง มาไม้ไหนแน่
“แต่งแล้ว เธอก็จะมาอยู่ที่นี่”
“ค่ะ”
แสงแขพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง “แล้วฉันจะอยู่ยังไง”
วิรงรองเสียงอ่อนลง “อย่าคิดมากซิคะ...เราก็อยู่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
แสงแขมองวิรงรองอย่างเพ่งพิศ “มีใครบ้างที่จะดีกับคนที่รู้แน่ๆ ว่าเป็นศัตรูของตัวเองเธอก็รู้นี่ว่าฉันจ้างคนฆ่าเธอ”
“ทราบค่ะ”
“แล้วก็ยังไม่โกรธฉัน?” แสงแขพูดเป็นเชิงถาม
“จะบอกว่าไม่โกรธเลยก็คงจะดูแสนดีเดินไป แต่ฉันเห็นแก่พี่อุษาเพราะเธอดีกับฉันมาก...ดีมาตั้งแต่แรก...แล้วก็เห็นกับคุณอดิศวร์ด้วย...เธอคงไม่สบายใจอย่างแน่นอน ถ้าหากน้องของเธอจะติดคุกในฐานะฆาตกร”
แสงแขจ้องมองครู่หนึ่งแล้วแสยะยิ้ม “พูดตรงดี ฉันก็เกลียดเธอ เกลียดตั้งแต่แรกเห็น เกลียดเพราะเธอทำให้คุณลบรักได้ ทั้งๆที่เขาไม่เคยสนใจใครมาก่อนเลย แต่ ..ช่างมันเถอะ เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว” พลางขยับจะเดินไป
“คุณแสงแขคะ”
แสงแขหยุด หันมามอง
“เราลืมเรื่องที่ผ่านมาดีกว่า...แล้วเริ่มต้นกันใหม่ เรื่องที่เกิดขึ้น ดิฉันเองก็มีส่วนผิด!”
แสงแขยิ้มบางๆ “ขอให้เธอกับคุณลบโชคดี” แล้วเดินออกไป
วิรงรองยิ้มอย่างโล่งใจ “ขอบคุณมากค่ะ”

แสงแขเดินออกมาจากตัวบ้าน แล้วหยุด เงยหน้าขึ้นหลับตา สูดลมหายใจยาว ลมพัดแรงขึ้น...ผมเผ้าเสื้อผ้าปลิวไสว แสงแขยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วหันมาเงยหน้ามองตัวบ้าน แสงแขน้ำตารื้นขึ้นมา
“ลาก่อน...คุณลบ...ลาก่อน...โดมทอง”
แสงแขตัดใจหันหลังเดินออกไปจากที่นั้น ท่ามกลางพายุลมที่โหมพัดแรงขึ้นทุกที

อุไรกำลังสอนสาวใช้คนใหม่ให้วางจานชาม ผ้าเช็ดปาก เครื่องใช้ต่างๆ บนโต๊ะ
อดิศวร์และวิรงรอง กับพันธุ์สูรย์และอุษาเดินคุยกันเข้ามา
“อ้าว! คุณแสงแขล่ะคะ” วิรงรองแปลกใจ
“คงอยู่ในห้องมั้งคะ”
ภายนอกลมพัดแรง จนหน้าต่างถูกลมพัดปิดอย่างรุนแรงดังโครมคราม
ท้องฟ้าครืนครันเหมือนฝนกำลังจะตก
“อยู่ดีๆ ก็มีพายุ” พันธุ์สูรย์พูดพลางเดินไปช่วยอุษาและวิปิดหน้าต่าง
“อุษาขึ้นไปตามแสงแขเถอะ...พี่ช่วยทางนี้เอง” อดิศวร์บอก
“ค่ะ”
“วิไปด้วยค่ะ! จะไปปิดหน้าต่างในห้องด้วย”
วิรงรองและอุษาไปด้วยกัน คนอื่นๆ ช่วยกันแยกย้ายไปปิดหน้าต่าง ฝนฟ้าคะนองภายนอก

ฟากแสงแขเดินมาถึงบริเวณชายหาด ท่ามกลางพายุและทะเลบ้า แสงแขหยุดยืนมองทะเล ด้วยสีหน้านิ่งสนิท ท่ามกลางพายุและทะเลคลั่ง เหมือนมีใครคนหนึ่ง กวักมือเรียกแสงแขมาจากทะเลนั้น
แสงแขเพ่งมองฝ่าความมืดออกไปที่เงานั้นซึ่งค่อยๆ จมหายไปในเกลียวคลื่น

ส่วนอุษาเดินมาเคาะประตูห้องแสงแข ขณะวิรงรองรีบปิดหน้าต่างบริเวณนั้น
“แสงแข ! แสงแข” อุษาตะโกนเสียงแข่งพายุ
ในที่สุดอุษาตัดสินใจเปิดประตู แล้วเดินเข้าไปเปิดไฟ
วิรงรองปิดหน้าต่างเสร็จ รีบเดินเข้ามา แล้วต่างรีบปิดหน้าต่าง ด้วยฝนสาดเข้ามา
“แสงแขไปไหน”
วิรงรองมองโดยรอบ “นั่นซีคะ”
ลมฝนเทกระหน่ำ ท้องทะเลเหมือนเป็นบ้าคลั่ง คลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวซัดอย่างน่ากลัว แลเห็นแสงแขในชุดนอนเดินมาตามหาดทราย แล้วก้าวลงไปในทะเล

ใบหน้าของแสงแขนิ่งสนิทแน่วแน่ ขณะก้าวลึกลงไปเรื่อยๆ

โดมทอง ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)

ด้านนอกโดมทองฝนยังตกหนักราวกับฟ้ารั่ว แสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ทั้งร้องทั้งผ่าดังครืนครัน ทุกคนเข้ามาในห้องนั่งเล่น ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ไม่มีวี่แววเลยหรือครับ” พันธุ์สูรย์บอก
ทุกคนต่างส่ายหน้ากันหมด
“หรือว่าจะออกไปข้างนอก” วิรงรองว่า
อุษาท้วง “ออกไปทั้งๆ ฝนตกหนักอย่างนี้น่ะหรือ”
อดิศวร์กลับเห็นด้วย “ไม่แน่ ไป พันธุ์สูรย์”
อุษาขยับ จะตาม “อุษาไปด้วยค่ะ”
“คุณรออยู่ที่นี่กับคุณวิรงรองดีกว่า” พันธุ์สูรย์บอก
อดิศวร์และพันธุ์สูรย์ออกไปแล้ว 4 สาวมองตามกังวล วิรงรอง และอุษาเลื่อนมือมาจับกันแน่น

ฝนยังคงตกหนักไม่มีท่าว่าจะหยุด ฟ้าแลบฟ้าร้อง และทะเลซัดคลื่นแรงอย่างบ้าคลั่ง แสงแขเดินโซซัดโซเซร่างถูกซัดไปตามคลื่นลมแรง แล้วในที่สุดก็ถูกทะเลบ้ากลืนกิน ร่างแสงแขจมหายลงไป

ส่วนที่บริเวณชายหาด ทุกคนฉายไฟตามหาแล้วร้องโหวกเหวก เรียกแสงแขดังขึ้นเป็นระยะๆ
“คุณแสงแข...คุณแสงแข”

ฝ่ายอุษาเดินจากชะเง้อมองที่หน้าต่างมารวมกลุ่ม
“พี่ใจไม่ดีเลย”
สาวใช้ยกถาดเครื่องดื่มร้อนๆ มาเสิร์ฟแล้วออกไป
“ถึงว่าเถอะค่ะ คุณอุษาจำได้ไหมคะ ที่ต้องมีคนจมน้ำทะเลตายทุกปี”
อุษาหน้าซีด วิรงรองกอดไว้ หันมาดุ
“ฮื้อ...ป้าอุไรคะ”
“อ้าว! ก็มันจริงนี่คะ...ปีนี้ยังไม่มีใครตายเลย” อุไรยังไม่หยุด เรื่อยเจื้อยต่อ
อุษาสะอื้นออกมา
“ป้าอุไร” วิรงรองเสียงดัง
“ป้าช่วยออกไปก่อนได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ ป้าว่าจะออกไปดูข้างนอกเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวจะมาส่งข่าว” อุไรบอก
“ไม่ต้องค่ะ ! ออกไปแล้วไม่ต้องกลับเข้ามาจนกว่าวิจะไปตาม”
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
อุไรลุกเดินไป แล้วหันกลับมาอีก สองสาวทำตาดุจ้อง อุไรยิ้มแห้งๆ แล้วเดินออกไป

ทุกคนที่ชายหาดเดินถือไฟฉาย เปียกมะล่อกมะแล่กเดินมาจากบริเวณหาดไกลๆ ทยอยตรงมา สมทบกับ อดิศวร์และพันธุ์สูรย์ที่ยืนอยู่
“คุณแสงแขคงจะไม่ได้มาที่นี่...บางทีเธออาจไปแถวป่าละเมาะ” พันธุ์สูรย์คาดการณ์
“จะไปทำไมแถวนั้น” อดิศวร์ค้าน
“ก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่เราสังหรณ์ใจว่า ทำไมเธอมาที่นี่นั่นแหละครับ”
“งั้นคนงานที่ไปหาแถวนั้น อาจจะเจอตัวแล้ว”
“ผมหวังว่าอย่างนั้น” พันธุ์สูรย์บอก
อดิศวร์พยักหน้ากับเหล่าคนงาน “กลับได้”
ทั้งหมดเดินย้อนกลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่

รถตู้คนงานแล่นเข้ามาจอด ทุกคนรีบลง ขณะที่กลุ่มคนงานอีกกลุ่มเดินมาหาอดิศวร์
“พบคุณแสงแขหรือเปล่า”
“ไม่พบครับ .... แถวๆนี้ ก็ไม่มี” คนงานบอก
สองหนุ่มหันมาสบตากันอย่างเป็นกังวล

อุไรรีบเข้ามารายงาน
“กลับกันมาแล้วค่ะ”
ทั้ง 3 สาวลุกขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าตื่นเต้น เต็มไปด้วยความหวัง
“เปล่าค่ะ คุณลบบอกว่าไม่พบคุณแสงแข” อุไรบอกต่อ
อุษาเข่าอ่อน วิรงรองและลานนา รีบรับไว้ พามานั่ง
“ลานนากับอุไรอยู่กับพี่อุษาก่อนนะ...วิจะไปถามคุณอดิศวร์”
อุไรรายงานข่าวอีก “คุณลบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะ! คุณพันธุ์สูรย์ก็ไปเปลี่ยนที่ห้องรับรองแขก...เปียกมะล่อกมะแล่กกันทั้งสองคน”
“มีอะไรที่ป้าไม่รู้มั้ย” ลานนาแซว
“ส่วนมากป้าจะรู้หมดทุกอย่างค่ะ”
“พี่อุษาทำใจดีๆ ก่อนนะคะ...วิจะไปถามคุณอดิศวร์”
“คุณลบไปอาบน้ำค่ะ...”
อุไรเสียงอ่อยลง ช่วงท้ายประโยคเพราะวิรงรองจ้องหน้าเขม็ง
สักครู่หนึ่งวิรงรองเดินออกไป ขณะลานนาปลอบโยนอุษาอยู่

วิรงรองเดินตรงมาที่หน้าห้องนอน ขณะที่ลบออกมาจากห้อง ผมเปียกฝนเพิ่งแห้งหมาดๆ
“คุณอดิศวร์คะ”
“แสงแขอาจจะหนีไปที่อื่น...”
“คงเป็นเพราะเธอสะเทือนใจเรื่องที่เราจะแต่งงาน...” วิรงรองทอดถอนใจ
“อย่าโทษตัวเองซิ...แสงแขรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า สักวันเราต้องแต่งงานกัน...”
วิรงรองถอนใจอีก “แล้วนี่เธอจะไปลำบากอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้...ทั้งพายุทั้งฝนอย่างนี้”
“อุษาล่ะ”
“อยู่ห้องนั่งเล่นค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้า แล้วเดินลงไปกับวิรงรอง

วิรงรอง และอดิศวร์ เดินลงมาตรงเชิงบันไดชั้นล่าง พบพันธุ์สูรย์พอดี พันธุ์สูรย์กำลังปิดโทรศัพท์
“ผมโทร.ไปบอกเจ้าภูไทให้ช่วยกันระดมค้นหาคุณแสงแข ตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้”
อดิศวร์พยักหน้า “ขอบใจ...ไปดูอุษากันเถอะ”
ทั้งหมดขยับออกเดิน พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้น
“คุณลบ”
อดิศวร์และวิรงรองหันมามอง
“ผม...ไม่ได้แช่ง...แต่...”
“อย่าพูดให้อุษาฟังเด็ดขาด” อดิศวร์ห้าม
“หมายความว่ายังไงคะ!”
“คุณแสงแขนิสัยเหมือนท่านผู้หญิงอย่างนึง...คือ...ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้” พันธุ์สูรย์บอก

วิรงรองยกมือทาบอก ตาเบิกกว้างนิดๆ ด้วยความตกใจ

ภายในห้องนั่งเล่นยามนั้น ลานนานั่งบีบมืออุษานิ่งๆ อุไรก็พลอยนิ่งไปด้วย แล้วสักครู่หนึ่งอดิศวร์และคณะเดินเข้ามา อุษาลุกขึ้นทันที

“คุณลบคะ...แสงแข” อุษาน้ำตาไหลอีก “แสงแขไม่มีเพื่อนสนิทเลย...แล้ว...แล้ว..จะไปอยู่ที่ไหน”
อดิศวร์โอบอุษาอย่างอ่อนโยน “เรายังไม่รู้อะไร...อย่าเพิ่งคิดมาก”
“พรุ่งนี้ ผมจะมาช่วยหาแต่เช้า” พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้น
“ลานนาก็จะมาด้วยค่ะ...แต่ตอนนี้ต้องกลับก่อน” ลานนาบอก
“ค่ะ...ขอบคุณมาก”
“วิจะเดินไปส่งค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ...เดินออกไปแค่นี้เอง...ผมฝากอุษาด้วย”
วิรงรองขยับจะรับปาก แต่อดิศวร์ชิงพูดขึ้นก่อน
“อุษาเป็นน้องฉัน ... นายไม่จำเป็นต้องฝาก”
ลานนา และวิรงรองสบตากันอย่างกังวล
พันธุ์สูรย์ไม่สนใจอดิศวร์ จับมืออุษาไว้อย่างอ่อนโยน “ผมกลับก่อนนะ...พรุ่งนี้จะรีบมาแต่เช้า”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้พบกันนะคะ คุณอุษา” ลานนาเอ่ยลา
อุษาฝืนยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ ลานนาไหว้ลาอดิศวร์ แล้วหันมาพยักหน้ากับวิรงรองแล้วเดินตามพันธุ์สูรย์ออกไป
วิรงรองจับมืออุษาไว้ “คืนนี้วิจะนอนเป็นเพื่อนนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
วิรงรองพาอุษาเดินออกไป อดิศวร์เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าหนักใจ

รุ่งเช้า ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ขึ้นมายังไม่พ้นขอบฟ้า บรรยากาศขมุกขมัว ที่ชายหาด อดิศวร์ พันธุ์สูรย์ ภูไท สม และบรรดาคนงาน ทุกคนแยกย้ายกันค้นหาแสงแข อย่างแข็งขัน

บรรดาสาวๆ รวมตัวกันอยู่หน้าบ้าน ในลักษณะรอคอย โดยมีวิรงรอง และลานนาคอยบีบมืออุษาปลอบโยน
ทุกคนต่างเงียบกันสนิท แม้กระทั่งอุไรซึ่งนั่งพนมมือสวดมนต์เงียบๆ

ส่วนที่ริมทะเล ทุกคนแยกย้ายกันค้นหา จนกระทั่งพันธุ์สูรย์ตะโกนมาจากมุมหนึ่ง

“วู้! คุณลบ! ทางนี้!”
อดิศวร์และคนงานส่วนหนึ่ง หันไปมอง
“ทางนี้” พันธุ์สูรย์ตะโกนมาอีก
อดิศวร์และคนที่แยกย้าย รีบวิ่งไปตามเสียงเรียก พันธุ์สูรย์และคนงานที่อยู่ก่อน กำลังยืนล้อมดูอะไรอย่างหนึ่ง
ขณะอดิศวร์และคนอื่นๆ เดินแกมวิ่งมาถึง ทุกคนหลีกทางให้
อดิศวร์ก้าวเข้ามาหยุด ชะงัก ถอนใจยาว ด้วยคาดไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังอดสลดใจและ ตกใจไม่ได้

ร่างของแสงแขถูกน้ำพัดมาเกยอยู่ชายหาดบริเวณนั้น สีหน้าอดิศวร์และทุกคนเต็มไปด้วยความสลดใจ

ฝนฟ้าซาลง บรรยากาศยามเช้าค่อนข้างขมุกขมัว ทุกคนนั่งกันนิ่งในห้องนั่งเล่น โดยวิรงรองและลานนาคอยบีบมือปลอบอุษาอยู่ สักพักหนึ่งอดิศวร์ พันธุ์สูรย์ และ ภูไทเดินกลับเข้ามา สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด สาวๆ เงยหน้ามองเขม็ง อย่างรอฟังคำตอบ
อดิศวร์เป็นคนพูดขึ้นในที่สุด “พบแสงแขแล้ว....” อดิศวร์เว้นไปอีกนิด
อุษาผุดลุกขึ้น ลานนาและวิรงรองลุกตาม อดิศวร์มองอุษาหน้าเศร้า
“พี่เสียใจด้วย”
อุษารู้ทันทีปิดหน้าร้องไห้เสียงโหยหวน พันธุ์สูรย์รีบเดินเข้ามา แล้วจับแขนไว้
“คุณอุษา”

อุษาสะอึกสะอื้นจนตัวโยน พันธุ์สูรย์โอบกอดไว้อย่างปลอบโยน สีหน้าแต่ละคนล้วนสลดหดหู่

เวลาผันผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง โดมทองยังดูสง่างามเคร่งขรึมตามวันเวลาที่ลวงเลย

ภายในห้องบรรพบุรุษ วิรงรองปักธูป แล้วก้มกราบบรรดาบรรพบุรุษ ซึ่งมีรูปพลับพลึงถูกเขียนขึ้นใหม่รวมอยู่ด้วย
อดิศวร์เดินเข้ามา
“มาอยู่นี่เอง”
อดิศวร์ก้มตัวลงก้มกราบเช่นกัน
“ไปกันเถอะ...เดี๋ยวจะไปรับคุณแม่ไม่ทัน”
“ค่ะ”
อดิศวร์ช่วยประคองวิรงรองขึ้น แล้วพาเดินไปที่ประตู จู่ๆ มีเสียงเหมือนถอนใจเบาๆ ดังขึ้น วิรงรองหยุดชะงัก หันไปมองแล้วสะดุ้งเฮือก เห็นท่านผู้หญิงสรรักษ์ในรูป แสยะยิ้มเยาะมองมาอย่างประสงค์ร้าย
อดิศวร์หันมามองตาม “อะไรหรือ”
วิรงรองกระพริบตามองอีกที เห็นรูปภาพเป็นปกติ จึงทอดถอนใจ
“ไม่มีอะไรค่ะ วิคงตาฝาดไป”
อดิศวร์โอบไหล่วิรงรองเดินเคียงกันออกไป

วิรงรองอดเหลียวหลังมามองอีกทีไม่ได้ วินาทีนั้นเหมือนกับว่า...รูปภาพท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์กำลังมองจ้องตอบเธอกลับมา ด้วยสีหน้าแววตามีเลศนัย!

จบบริบูรณ์
กำลังโหลดความคิดเห็น