ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 5
ที่ออฟฟิศเชษฐาในวันรุ่งขึ้น โสนประชุมอยู่กับเชษฐา มีมนัสวีร์ร่วมฟังด้วย และพนักงานอีก 2 คน คอยจดเชษฐาดูลิสต์รายการในมือ
“รวมแล้วเป็นคนทำงาน กี่คนครับพี่โน๋”
โสนมองดูรายการ “พนักงานต้อนรับ แม่ครัว ผู้ช่วยแม่ครัว คนเสิร์ฟพนังงานรับโทรศัพท์ พนักงานเซอร์วิสตามห้อง เมด 4 คน คนสวน เบ็ดเสร็จ 15-16 คน ไม่รวมคนทำงานในห้องคาสิโน”
“เราต้องมีผู้จัดการคนหนึ่ง ดูแลทั้งหมด รวมทั้งพวกโชว์หรือการจัดแสดงต่างๆ คนๆ นี้ต้องเก่ง คล่องตัว ที่สำคัญ ต้องเก่งเรื่องอาหาร”
มนัสวีร์รู้แกวตั้งแต่แรกว่าหมายถึงอนงค์วดี จึงเสริมให้ “และขนม”
“ถูกต้อง...เก่งมากไอ้นัส ถ้าเก่งเรื่องขนมจะเจ๋งที่สุด”
“ก็พูดชื่อออกมาเลยสิวะ”
“ได้ คนๆ นี้ชื่อ อนงค์วดี สิงหมนตรี ครับพี่โน๋”
มนัสวีร์ยิ้มกริ่ม
โสนรีบจดชื่อ “เอ๊ะ สิงหมนตรี”
“ใช่ เขาเป็นเจ้าของตึกนี้” เชษฐาบอก
มนัสวีร์แหย่ “ไหนว่าเขาไม่สน”
“เขาไม่สนฉัน....ไม่เป็นไร ฉันสนเขาคนเดียวก็พอ” เชษฐาว่า
“หา...ตกลงชอบเค้าเหรอคุณหนึ่ง” โสนถาม
“เปล๊า...ยังไม่ได้ชอบ สนเขาให้มาทำงานกับเรา” เชษฐาแก้ตัว
มนัสวีร์หัวเราะ ตัวโคลงไปโคลงมา
“หัวเราะอะไรวะ”
“เล่นกับใครไม่เล่น นี่จะบอกให้ว่าเขาไม่มาหรอกไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ”
“รู้จัก” เชษฐาลากเสียงสูง “แต่ฉันก็รู้จักตัวเองเหมือนกัน” พลางหยิบกุญแจรถ แกว่งใส่หน้ามนัสวีร์แล้วเดินออกไป
“เออ...จะคอยดูเว้ย”
“คุณนัส เรื่องจริงเหรอเนี่ย ชอบเขาแล้วมั้ง” โสนสงสัย
มนัสวีร์เสริม “ช๊อบ...เขาน่ารักดี”
“แล้วเขาจะมาทำงานกะเรามั้ย”
“เนี่ยสิ พี่โน๋ มันจะต้องรู้จักคำว่า “ผิดหวังอย่างรุนแรง” ก็คราวนี้ล่ะ” มนัสวีร์ว่า
คืนนี้ คฤหาสน์สิงหมนตรี ตกอยู่ใต้แสงจันทร์สลัวๆ บนท้องฟ้าเป็นเดือนรูปเคียวเกี่ยวกิ่งฟ้า เสียงนกร้องดังก้องน่ากลัว ขณะที่บินผ่าน หรีดหริ่งเรไรประสานเสียงดังระงม
ทั่วทั้งคฤหาสน์มืดสนิท จู่ๆ ไฟสว่างแวบขึ้นทีละจุด...ทีละจุด...ทีละจุด จนสว่างไสวไปทั้งตึก ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ อย่างหฤหรรษ์ดังขึ้น ดังขึ้น....แล้วดังขึ้นอีก
ภายในห้องโถงคฤหาสน์ เห็นเป็นวิญญาณคุณประยงค์ที่ยังคงหัวเราะมองจ้องอยู่ที่ดวงไฟดวงนั้น ดวงนี้ มือชี้ไปที่ดวงไฟ ไฟแชนเดอร์เลียร์ดวงสุดท้ายสว่างเรืองขึ้น สีหน้าคุณประยงค์พึงพอใจ พอจุดไฟให้สว่างเสร็จแล้ว หันมาทำท่ากางแขนร่าเริงอย่างมีชัยชนะ
“แม่น้อย แม่สวาสดิ์”
ย่าน้อยจูงคุณสวาสดิ์ออกมา
“เห็นมั้ย ฉันทำสำเร็จ ฉันทำให้บ้านเราเป็นเหมือนเดิม...เหมือนเดิมทุกอย่างเห็นมั้ย”
“ค่ะ คุณอาเหมือนเดิมทุกอย่างเลย เหมือนน้อยเคยวิ่งเล่นอยู่ตรงนี้เลย” ย่าน้อยเงี่ยหูฟัง ยินเสียงเด็กผู้หญิง หัวเราะร่าเริงดังแว่วๆ มา
“นั่นไง เสียงน้อยหัวเราะ”
คุณสวาสดิ์ขัดขึ้น “เสียงหนูต่างหากคุณอาน้อยเจ้าขา หนูก็วิ่งเล่นอยู่แถวนี้เหมือนกัน”
“ลูกสวาสดิ์ จะเป็นเสียงหนูได้ยังไง หนูน่ะยังไม่ทันจะอ้าปากหัวเราะก็ถูกคุณย่าฆ่าตายจำไม่ได้เหรอ”
คุณสวาสดิ์ทำหน้างง “จริงเหรอคะ หนูยังไม่ได้หัวเราะเหรอคะ ตายเลยเหรอคะ”
“จริงลองนึกดูให้ดีๆ”
คุณประยงค์ก้าวเข้ามาอย่างเอาเรื่อง “คนเราตายได้กี่หนนะ ฉันอยากจะรู้จริงๆ”
สองคนหงอย....ถอยออกไป คุณประยงค์มองด้วยนัยน์ตาดุดัน ผีสองตนย่องออก
“จะไปไหน”
ทั้งสองสะดุ้งเฮือก
“กลับมานี่”
ทั้งสองค่อยๆ เดินจ๋องๆ กลับมา
“ดูสิ...ทุกอย่างเหมือนเดิม แม้กระทั่งเก้าอี้ตัวนี้และตัวโน้น...ตัวโน้นด้วย” คุณประยงค์ชี้มือไป “เห็นหรือไม่แม่น้อย”
“เห็นค่ะคุณอา”
“แชนเดอร์เลียร์ ดวงนี้เจ้าคุณพ่อซื้อจากห้างบีกริมเขาสั่งมาจากยุโรป ดูสิ ช่างซ่อมจนเหมือนเดิมทุกอย่าง”
ทั้งสามจ้องไปที่แชนเดอเลียร์ หวนย้อนกลับไปยังเมื่อครั้งอดีต
ใต้แสงแชนเดอร์เลียร์ อันสว่างไสว ทั่วห้องกว้างมีงานเลี้ยง ผู้คนล้วนแต่งตัวสวยงาม ยืนคุย ทักทายกัน อยู่ตามมุมต่างๆ ในห้องโถงอันโอ่อ่า
บรรยากาศหรูหรา สวยงาม คุณประยงค์ เดินคุยกับแขก โดยมีท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง คุณปาน คุณปั้น และ ด.ญ.น้อยเดินตามทุกคนมา
สีหน้าคุณประยงค์ ผ่องใส สวยงาม เมื่อยามฝันถึงสิ่งสวยงาม ย่าน้อยมองด้วยสายตาเห็นใจ คุณประยงค์หันมายิ้มให้สีหน้าเหมือนเด็กได้ของเล่น
ย่าน้อยกระซิบคุณสวาสดิ์ “หนูกลับไปห้องหนูก่อนนะ”
คุณสวาสดิ์กระซิบกลับ “ทำไมคะ”
ย่าน้อยทำนัยน์ตาปรามๆ ดุๆ คุณสวาสดิ์รับคำ “ค่ะ” โดยไม่มีเสียง แล้วย่องกลับไป ย่าน้อยเข้าไปแล้วจูงมือคุณประยงค์มานั่ง
“แม่น้อย...เราไม่ต้องอยู่กันมืดๆ อีกแล้ว”
ย่าน้อยยิ้มอ่อนโยน “ค่ะ คุณอา สว่างไสวดีเหลือเกิน”
“ท่านเจ้าคุณกำลังจะมา...” คุณประยงค์ตื้นตันใจ จนน้ำตาคลอ
“คุณอาคะ...แต่ท่าน...ท่านไม่เห็นคุณอานี่คะ”
สีหน้าคุณประยงค์ ค่อยๆ สลดลง...สลดลง สบตาย่าน้อย ด้วยสายตาสิ้นหวัง
“ขอให้ท่านมาก่อน ให้ท่านมาอยู่ใกล้ๆ ก่อน”
“ถ้าคุณอาเห็นท่านกับ...” ย่าน้อยไม่ทันพูดจบ
คุณประยงค์สวนคำ “ไม่ได้” น้ำเสียงเฉียบขาดมาก
“ท่านมีนังเกดนะคะคุณอา แล้วยังแม่อรอีก…ท่านมีในชาตินี้ของท่าน คนละชาติกับเรา”
คุณประยงค์ลุกพรวดขึ้นอย่างแรง เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับโบกมือสะบัดๆ ไป ดวงไฟทั้งหมดดับพรึ่บลง ร่างคุณประยงค์ ลอยวืดเข้าห้องตัวเอง เห็นเป็นเงาวูบในความมืด
“ไม่ว่าจะเป็นใคร...มันไม่มีวันได้ท่านไป”
ตึกทั้งหลังมืดสนิท ยินแต่เพียงเสียงคุณประยงค์ดังกังวานสะท้อนไปมาอย่างน่ากลัว
ที่บ้านเชษฐา คืนเดียวกันนั้น เชษฐาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เปิดประตูห้องน้ำออกมาเป็นเวลาเดียวกับที่เหลือมเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
“กาแฟมั้ยครับคุณหนึ่ง”
“ทำไมแกต้องถามวะเหลือม”
สักครู่ ถ้วยกาแฟวางลงควันลอยฉุย เชษฐาสวมชุดนอนนั่งเก้าอี้สบายๆ
“ขอบใจ เออ...แกจะไปกับฉันมั้ย”
“ไป...ไปไหนครับคุณหนึ่ง”
“ไอ้บ้า ยังไม่รู้เลยจะไปไหน”
“อ้าว คุณหนึ่งชวนผมไป ผมก็ไปทุกที่แหละครับ”
“ไม่กลัวผีเหรอ”
“กลัวครับ แต่ไป”
“งั้นไป เราจะไปอยู่ที่ตึกโน้นซักเดือนหนึ่ง พออะไรๆ เข้าที่แล้วอาจจะไปๆมาๆ ได้”
“แต่ผมต้องนอนห้องเดียวกับคุณหนึ่งนะครับ…”
“จะบ้า แกเป็นเมียฉันเหรอ”
“ฮ้า คุณหนึ่งมีเมียไปด้วยเหรอครับ”
เชษฐาทำหน้าเบื่อหน่าย ขึ้นเตียง ห่มผ้า “ปิดไฟด้วย”
“ครับผม” เหลือมเดินออก ปิดไฟ
พอไฟดับวูบลง จึงพบว่าคุณประยงค์เดินออกมาจากมุมห้อง มองจ้องนิ่งที่เชษฐาอย่างรักใคร่ เชษฐายังไม่หลับ นอนลืมตาคิดเรื่องงานที่ตึก แล้วถอนหายใจแรงๆ เขาพลิกตัวนอนตะแคง แขนข้างหนึ่ง ทอดยาวไป คุณประยงค์วูบเข้าไปแนบชิด หมุนแขนข้างนั้น มีความสุขเหลือเกิน เชษฐายังไม่หลับ พลิกตัวนอนตะแคง คราวนี้คุณประยงค์หมุนแขน หน้าเกือบชนหน้า มองเชษฐาอย่างรักใคร่หลงใหล
สักครู่คุณประยงค์แนบหน้าตัวเองกับหน้าเชษฐา แก้มแนบแก้ม ความสะเทือนใจพลุ่งขึ้นมาในอารมณ์น้ำตาคลอแล้วค่อยๆ ไหลริน
“ฉันคอยพ่อปราชญ์นานเหลือเกิน กลับมาเร็วๆ เถิด”
ที่บ้านอนงค์วดี อีกวันหนึ่ง ปิ่นสุดา กำลังจัดข้าวของในลิ้นชัก เก็บของเรียงให้เรียบร้อยแล้วหยุดชะงัก
เจอสำรับไพ่ป๊อก จึงหยิบมาดู แล้วเหวี่ยงกลับ ปิดลิ้นชักอย่างแรง ผักบุ้งถือถาดใส่เครื่องดื่มมา สะดุ้งสุดตัว
“เป็นอะไรผักบุ้ง”
“โตะใจค่ะ”
“เออ....ช่วยจำด้วยนะว่าฉันจะไม่....” ปิ่นสุดาทอดเสียง สีหน้าเครียด คิดหนัก
“ไม่อะไรคะ”
ปิ่นสุดาบอก “ไม่ไป...” เสียงโทรศัพท์ดังทันที ปิ่นสุดารีบรับ “ฮัลโหล....อ๋อ สวัสดีค่ะคุณเชษฐา”
ใบหน้าปิ่นสุดา จากที่ยังยิ้มแย้ม แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าของคนที่ตัดใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยากตัดใจ ผักบุ้งรู้ทันมองเหล่ๆ
ส่วนที่ออฟฟิศเชษฐา โสน และพนักงาน 2-3 คน ประชุมอยู่กับเชษฐา ในห้องทำงานของเขา เวลานั้นภาพบนจอทีวี ฉายภาพห้องต่างๆ ในคฤหาสน์ แต่ยังเป็นห้องโล่งๆ ยังไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ทุกคนนั่งดูอยู่ โสนนวดแขนให้เชษฐาไปด้วย จังหวะนี้มนัสวีร์ เปิดประตูเข้ามาเร็วๆ
“หนึ่ง...ฉันนัดคนมาสัมภาษณ์นะวันนี้”
เชษฐาฉงน “สัมภาษณ์...เรื่องอะไร ตรงนี้พี่โน๋” เชษฐาบอกตรงจุดที่คุณประยงค์หนุนนอนเมื่อคืน
มนัสวีร์โวย “เฮ้ย...อย่าเยอะ...อย่าเยอะ...ผู้จัดการสโมสรที่แกว่าต้องมีไงล่ะ...แล้วเป็นอะไรนั่นน่ะ”
โสนตอบแทน “ปวดแขน”
มนัสวีร์แปลกใจ “ไปทำอะไรมา”
“ไม่รู้เหมือนกัน ปวดตั้งแต่เช้า” เชษฐาว่า
“แล้วคนนี้นวดหายเหรอ” มนัสวีร์เย้า
“ไม่หายหรอก นวดไปงั้นแหละอย่ามายุ่งเลย” โสนยิ้ม
มนัสวีร์ถามย้ำ “ว่าไงหนึ่ง”
“อ๋อ....ฉันมีแล้ว”
มนัสวีร์หน้าเหวอ ทวนคำ “มีแล้ว”
“ฮื่อ....มีแล้ว”
“มีแล้ว” น้ำเสียงมนัสวีร์แปลกใจมากขึ้น
“เออ”
“ไหนล่ะ...อย่าบอกนะว่าพี่โน๋”
“หมายความว่ายังไงพูดให้สวยนะเว้ย.....คิดว่าชั้นทำไม่ได้งั้นเรอะ” โสนโวย
“ผีดุนะพี่โน๋ ที่นั่นน่ะ”
“จริงดิ...?” โสนถาม
“จริ๊ง....”
โสนหัวเราะขำๆ ผลักอกมนัสวีร์แล้วเดินจะออก ก่อนเปิดประตู “ได้แล้วพามาดูตัวหน่อยนะคุณหนึ่ง เอาโปรไฟล์มาดูด้วย เงินเดือนด้วยเค้าเรียกเท่าไหร่จะได้จัดงบไว้ให้” เลขาสาวใหญ่เดินออกไป
“มีเธอคนหนึ่งเท่ากับมีเจ็ดคน” มนัสวีร์พึมพำ พลางมองตามโสน แล้วหันกลับมาเชษฐา “คุณอนงค์เค้าตอบรับแกเหรอฉันไม่เชื่อหรอก”
“ยังไม่ได้ตอบรับ”
“นั่นไง....ฉันว่าแล้ว”
“แต่เขาจะตอบรับเร็วๆ นี้แหละ”
มนัสวีร์มองเหล่
“เรื่องจริง...ชัวร์”
ที่บ้านอนงค์วดี อีกวันหนึ่ง อนงค์วดีนั่งจดสูตรขนมอยู่ ด้วยสีหน้ารื่นรมย์ใจ ตรงนั้นยังมีตำราขนมหลายเล่มวางบนโต๊ะ
เสียงผักบุ้งดังขึ้น “คุณผู้หญิง....ไปไหนอีก”
ตามด้วยเสียงปิ่นสุดาโวย “นังบุ้ง...ตะโกนทำไม”
“ให้คุณอนงค์ ได้ยิน”
“อุ๊ย ขอซักทีเหอะ” ปิ่นสุดาเงื้อมือ แล้วฟาดเต็มแรง
ผักบุ้งร้อง “โอ๊ย...”
ปิ่นสุดาเงื้ออีก “อีกที”
อนงค์วดีเดินเข้ามา “คุณแม่อย่าค่ะ”
ปิ่นสุดาหยุด อนงค์วดีเดินเข้ามาใกล้
“คุณแม่อย่าไปเลยนะคะ หนูขอร้อง”
ปิ่นสุดานิ่งอึ้ง แต่สีหน้าอึดอัด
“คุณแม่ว่าจะเลิกแล้วไงคะ”
“มันเลิกง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ”
อนงค์วดีฟังแล้วอ่อนใจ
“อย่าห้ามฉันเลยขอร้องเหมือนกัน”
“คุณแม่ หนูกราบล่ะค่ะ อย่าไปเลยนะคะ”
“อนงค์วดี....เข้าใจแม่หน่อย แม่รู้ว่ามันไม่ดีแต่มันเหมือน...เหมือนมีไฟเผาอยู่ในตัวแม่ ขอแม่ไปแค่สองชั่วโมงแม่จะรีบกลับ”
“คุณแม่” น้ำเสียงอนงค์วดีเหมือนหมดปัญญาห้าม “หนูไม่มีวันเชื่อคุณแม่อีก กี่ครั้งสัญญาของคุณแม่หนู ไม่ฟัง อย่ามาพูดกับหนูอีกเลยค่ะ”
อนงค์วดีพูดเร็วและแรง ก่อนเดินจะไปแล้วหันกลับมา ผักบุ้งหลบวูบ
“เอาอย่างนี้นะคะต่อไปนี้หนูจะไม่แก้ปัญหาให้คุณแม่อีก เงินที่เหลือจากขายตึกที่จะให้คุณแม่หนูไม่ให้แล้ว แล้วถ้าหนูทราบคุณแม่เกิดปัญหาเรื่องเงินเหมือนเดิมอีก หนูจะไม่อยู่บ้านนี้หนูจะไปจากที่นี่ คุณแม่ต้องแก้ปัญหาเองนะคะ เราตกลงกันอย่างนี้นะคะ”
สองแม่ลูกยืนจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ในที่สุดปิ่นสุดาก็พูดเสียงเข้ม
“ฉันเป็นแม่ของเธอ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำอย่างนั้นกับฉัน แต่ถ้าเธอจะทำ ฉันคงไม่มีปัญญาขัดขวางเธอ เพราะตอนนี้ฉันพึ่งบุญเธออยู่ ฉันเป็นเบี้ยล่างเธอ....ฉันต้องยอมเธอ” ปิ่นสุดาเสียงดังอย่างมีอารมณ์ ตัดพ้ออยู่ในที “ฉันรู้แล้ว... เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองคนไม่รู้จะพูดยังไงต่อ อัดอั้นทั้งคู่
“คุณแม่ขา...หนูขอโทษค่ะหนูไม่เจตนาพูดให้คุณแม่เสียใจ...หนูอยากให้คุณแม่รู้ว่าหนู...” อนงค์วดีถอนใจเสียงสั่นสะท้าน “ว่าหนูเป็นห่วง...หนูกลัว”
“กลัวอะไร”
“คุณแม่ยังถามหรือคะว่ากลัวอะไร คุณแม่ไม่ทราบหรือคะ” อนงค์วดีจ้องหน้าผู้เป็นมารดา
ปิ่นสุดายืนนิ่งอึดอยู่สักครู่...จึงหันไปหยิบกุญแจรถ แล้วเดินออกหน้าเรียบเฉย
อนงค์วดียืนอึดเหมือนกัน หันไปดูได้ยินเสียงสตาร์ทรถ
“คนชื่อเชษฐาโทรมาชวนค่ะคุณหนู”
ผักบุ้งเอ่ยขึ้นในที่สุด
อนงค์วดีเปิดประตูห้องนอนตัวเองก้าวพรวดๆ เข้ามา แล้วสะบัดประตูปิดเต็มแรง เสียงผักบุ้งดังย้ำให้อารมณ์ยิ่งขุ่น
“คนชื่อเชษฐาโทร.มาชวนค่ะคุณหนู”
อนงค์วดียืนคว้างอยู่กลางห้อง น้ำตานองฉ่ำนัยน์ตาหล่อนแล้วยามนี้ เดินไปนั่งบนเตียงท่าทางเป็นทุกข์สุดขีด ได้ยินเสียงผักบุ้งดังอีก
สักครู่หนึ่ง อนงค์วดียืนขึ้นมองออกไปทางหน้าต่าง ในใจครุ่นคิดหนัก สีหน้าดูออกว่าหล่อนวิตกมาก
อ่านต่อหน้า 2
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ดึกแล้ว ปิ่นสุดากลับบ้าน สภาพดูออกว่าเล่นเสียมาอย่างหนัก กำลังนับเงินในกระเป๋า มีอยู่นิดเดียว 200 บาท นั่งแหมะลงท่าทางหมดอาลัยตายอยาก อนงค์วดีโผล่หน้ามามองมารดา ในใจคิดแค้นเชษฐา
เสียงผักบุ้งดังตอกย้ำ “คนชื่อเชษฐาโทร.มาชวนค่ะ คุณหนู”
วันรุ่งขึ้น อนงค์วดีพาตัวเองมาอยู่ออฟฟิศเชษฐา แต่เช้า เจอโสนมารับหน้า
“คุณเชษฐาไม่เข้าออฟฟิศค่ะวันนี้ คุณอนงค์วดี”
“ดิฉันจะพบได้ที่ไหนคะ” น้ำเสียงอนงค์เรียบร้อยเป็นปกติ แต่สีหน้าบอกว่าความโกรธอัดแน่นอยู่ข้างใน
“ไปอยู่ที่สโมสรค่ะ”
อนงค์วดีทวนคำ “สโมสร”
“สโมสรที่คุณจะไปทำงานเป็นผู้จัดการไงคะ” โสนบอก
“ทำงานเป็นผู้จัดการ” อนงค์วดีทวนคำอีก สีหน้าเครียดขึ้นทันที “ทำงานกับคุณเชษฐาหรือคะ”
สีหน้าอนงค์วดีที่นั่งอยู่ในเรือ คิดในใจว่า ฉันไม่มีวันไปทำงานกับคุณ เรือแล่นมุ่งตรงไปที่บ้านสิงหมนตรี
ขณะเดียวกัน ที่ห้องโถงคฤหาสน์ เห็นเชษฐายืนดูการเตรียมสแตนด์เล็กๆ อยู่มุมห้อง สำหรับเล่นดนตรี 3 ชิ้น และนักร้องหนึ่งคน เกษลดายืนดูอยู่ด้วย
“ไม่เล็กไปหรือเนี่ย เหลือที่นักร้องยืนแค่เนี้ย” หล่อนทักท้วง
“ยืนร้องเฉยๆ ไม่ต้องขยับตัว”
เชษฐายักคิ้วให้ล้อๆ แล้วเดินจากไป เกษลดาเหนี่ยวไหล่ จับปลายคางสั่นเบาๆ
“อย่าทำตัวน่ารัก...เดี๋ยวโดน...”
เชษฐาหัวเราะเสียงดัง พวกช่างมองกันยิ้มๆ ทุกคน
คุณประยงค์ มองอย่างหมายมาด กูเกลียดอีเกดเหลือเกิน
เชษฐาเดินมาอีกทางหนึ่ง ซึ่งช่างกำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ แถวๆ เคาน์เตอร์ บริเวณที่เป็นแผนกต้อนรับและประชาสัมพันธ์ เหลือมช่วยอยู่ตรงนี้
เหลือมเอาดอกไม้มาวาง เป็นดอกไม้ฝรั่ง ลิลลี่ ช่อใหญ่เบิ้ม
“เอ....ดอกไม้ฝรั่งฉันว่ามันไม่เข้ากันนะกับตึกนี้” เชษฐาว่า
“เอาดอกอะไรดีล่ะคุณหนึ่ง” เหลือถาม
เชษฐายืนคิด
“ทำไมหรือหนึ่ง เกษว่าสวยดีแล้วนะหนึ่ง”
อนงค์วดีเดินตรงเข้าไปหา ผ่านรูปคุณประยงค์
คุณประยงค์มองตาม ด้วยสายตาเข่นเขี้ยว พลางขยับหน้านิดเดียวมองไปเห็นอนงค์วดีเข้า
“นังอร”
“ท่านเจ้าคุณเนื้อหอมทุกชาติเลย” เสียงย่าน้อยแหลมขึ้นมา
ประยงค์หยุด...แม่น้อย
เชษฐาเห็นอนงค์วดีที่เดินปรี่หน้าตั้งเข้ามา เกษลดาก็หันไปมอง สีหน้าเฉยขึ้น
เชษฐายิ้มในสีหน้าคิดในใจ...นึกแล้วคุณต้องมา “สวัสดีครับ คุณอนงค์วดี”
อนงค์วดีไหว้ แล้วหันไปไหว้เกษลดาด้วย “สวัสดีค่ะ”
เกษลดารับไหว้ครึ่งอกแบบผู้ใหญ่รับไหว้ผู้น้อย “สวัสดี”
“ขอรบกวนเวลาคุณเชษฐาสักสิบนาที”
“แค่นั้นเองหรือครับ ขับรถมาตั้งไกล เอ๊ะหรือนั่งเรือมาตั้งไกล”
“สิบนาทีค่ะ” อนงค์วดีย้ำหน้าเฉย
“สิบนาที count down เลยได้มั้ยเนี่ย” เกษลดาเย้าเล่นๆ
“ได้ค่ะ นับเลย”
เกษลดามองอนงค์วดีอย่างพินิจพิเคราะห์ อดใจไม่ไหวต้องพูดออกมา
“เดี๋ยวก่อนจะนับ ขอฉันพูดอะไรกับคุณหน่อย”
อนงค์วดีทำท่ารับฟัง
“คุณอนงค์วดี แปลกนะฉันรู้สึกถูกชะตากับคุณ เห็นคุณแล้วเหมือนเคยรู้จักเคยดีต่อกันมาก่อน” เกษลดาหันมาทางเชษฐา “เกษไม่รู้ว่าสมควรพูดอย่างนี้มั้ย แต่หนึ่งเชื่อมั้ยเกษรู้สึกอย่างนี้จริงๆ” แล้วกลับมาที่อนงค์วดี “แต่พอฟังคุณตอบฉันแบบ...อย่างเมื่อกี้...มันไม่น่ารักเลยฉันเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณมากนะ ความรู้สึกดีๆที่ฉันมีกับคุณ...ที่จริงมันก็ยังอยู่นะ แต่ฉันกำลังพยายามทำให้มันหมดไป” เกษลดาพูดไหลเรื่อยติดต่อกัน เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้พูด
อนงค์วดีนิ่งอึ้ง เชษฐาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน
เกษลดาพูดแล้วหยุด สีหน้าเหมือนสะเทือนใจนิดหน่อย
อนงค์วดีไหว้เกษลดา “ขอโทษนะคะที่พูดไม่ค่อยดี แต่กำลังใจร้อนมากเพราะมีเรื่องจะขอร้องคุณเชษฐา”
เกษลดามองจ้องอนงค์วดีนิ่งๆ สักครู่ “ฉันอยู่ฟังด้วยได้มั้ย ขอโทษที่ถามแบบเสียมารยาทแต่เพราะเป็นเรื่องของหนึ่ง เอ้อ คุณเชษฐาที่เป็นคนรักของฉัน”
เชษฐายิ้มขำๆ กับท่าทีซีเรียสของเกษลดา “เอางั้นเลยเหรอ เกษ”
เกษลดาเข้าประชิดตัวเชษฐา แขนกอดไปรอบเอวเอนตัวพิงเชษฐา “มันไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ”
เชษฐามองเกษลดาขำๆ “เอ้า ตามใจคุณเกษลดาครับ”
พอเชษฐาพูดจบหันมาทางอนงค์วดี เลิกคิ้วทำหน้าล้อนิดๆ ทว่าอนงค์วดีสีหน้าเฉยสนิท
คุณประยงค์มองเห็นทุกอย่าง บ่นพึมพำ อารมณ์เสีย
“ฉันจะต้องพบต้องเจอนังสองคนนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“อาจจะนานเท่าๆ กับที่มันสองคนเจอคุณอาในชาติที่แล้ว”
คุณประยงค์หน้าเข้มจัด จ้องไปที่สามคนเขม็ง
สามคนเดินมาที่เก้าอี้อีกมุมหนึ่ง เชษฐาเอ่ยขึ้น
“เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เชษฐานั่ง เกษลดาลงนั่งเบียด สองคนจ้องหน้าอนงค์วดีที่หน้าตาลำบากใจที่จะพูด
“ผมคอยฟังอยู่ พูดเถอะครับคุณอนงค์วดี ผมจะรับฟังอย่างเรียบร้อยที่สุด” ที่จริงเชษฐารู้แล้วว่าอนงค์วดีจะพูดเรื่องอะไร
อนงค์วดีตัดสินใจพูด “คุณเชษฐาอย่าชวนคุณแม่ฉันไปเล่นการพนันอีกเลยนะคะ” หล่อนยกมือไหว้ “ขอร้องค่ะได้โปรดเถิด”
เกษลดาหันมามองหน้าเชษฐา
เชษฐายื่นข้อเสนอทันที “ผมจะไม่ชวนถ้าคุณมาทำงานกับผม”
เกษลดาร้อง “อื๊อ...” น้ำเสียงเป็นคำถาม
“อย่าบังคับฉันเลยนะคะ ฉันไม่อยากทำงานที่นี่”
“ที่นี่เป็นบ้านเก่าของคุณ ทำไมคุณถึงไม่อยาก”
“ทำไมคุณถึงอยากให้ฉันมาทำงานที่นี่ ในเมื่อฉันบอกแล้วว่าฉันไม่อยากทำ”
“เพราะคุณมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมาก ที่จะมาดูแลสถานที่นี้”
เกษลดาขัด “หนึ่ง”
เชษฐายกมือ “เดี๋ยวเกษ...เดี๋ยวจะเกินสิบนาที ข้อแรกคุณมีความรู้เรื่องอาหาร เรื่องขนม เรื่องการจัดเลี้ยง เรื่องดอกไม้ เรื่องการจัดงาน ทั้งเป็นกิจกรรมหลักของที่นี่...ข้อสองคุณเป็นเจ้าของที่นี่ คุณรู้จักตึกนี้ทุกซอกทุกมุม และสุดท้ายสำคัญมากคุณรักที่นี่”
อนงค์วดีนิ่งอึ้ง
เชษฐามองนิดๆ แล้วพูดต่อ “อย่าปฏิเสธเลยคุณอนงค์วดี....ผมขอร้อง”
“คุณแม่ฉันล่ะ คุณจะทำตามที่ฉันขอร้องหรือไม่คะ”
เชษฐานิ่งคิด “คุณแม่คุณ...ต้องเรียกว่าติดการพนัน” เขาหรี่ตามองอยากรู้ว่าหล่อนจะเถียงมั้ย
อนงค์วดีกลืนกินความเสียใจลงไปในอก “ค่ะ...ท่านเป็นอย่างนั้น”
“ผมขอโทษนะ แต่ผมต้องบอกคุณว่าเราห้ามท่านยาก....ยากมาก ยิ่งห้ามท่านจะยิ่งไป”
“ท่านไม่ไปมานานแล้ว จนคุณไปชวน....คุณไม่น่าไปชวน”
“คุณปิ่นสุดาไม่ไปเล่นที่ผมเพราะกลัวคุณรู้...แต่ไปที่อื่น”
อนงค์วดีอึ้งไปทันที รู้ว่าเป็นความจริง
“ให้มาเล่นกับผมดีกว่าครับ ผมจะดูแลให้”
อนงค์วดีถามเสียงแผ่ว สีหน้านั้นสิ้นหวังแล้ว “ดูแลยังไงคะ”
หลายวันต่อมา คฤหาสน์สิงหมนตรีซึ่งบัดนี้กลายเป็นคลับหรู สโมสรไฮโซของนักเสี่ยงโชคตามไอเดียของเชษฐา และวันนี้เปิดให้บริการแล้ว ดวงไฟถูกจุดพราวพรายสว่างไสว
ในลอบบี้ผู้คนนั่งดื่มตามอัธยาศัย บางคนกำลังเช็คอิน อีกมากเดินเหิน ไปมา พนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่ม
ที่มุมห้องนักดนตรีบรรเลง โดยมีนักร้องคนหนึ่งกำลังร้องเพลงขับกล่อม
หน้าห้องเล่นไพ่ มีคนยืนเฝ้าระวังสองคน แต่ไม่ทำท่าเคร่งเครียด เฝ้าห้องสำคัญยืนสบายๆ
ส่วนภายในห้องเล่นไพ่ วงไพ่ป๊อก คนกำลังเล่นเฮฮา ปิ่นสุดาเล่นอยู่วงนี้ด้วย
เชษฐายืนมองด้านหลังเงียบๆ
เสียงเชษฐาที่รับปากอนงค์วดีดังขึ้น “ผมจะดูแลให้ท่านเล่นในเวลาที่พอเหมาะพอควรจะเล่นได้หรือเล่นเสียก็ไม่มากมายจนท่านติดใจหรือเสียใจจนเกินไป”
เชษฐามองปิ่นสุดาสักครู่ ก็ออกเดินไป
สักครู่ เชษฐาเดินออกมา ตรงไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ตรงไปเรื่อยๆ จนถึงอนงค์วดีที่ยืนหันหลังให้
“ผมมาแล้วครับ คุณว่าจะคุยกับผมเรื่องแผนการจัดงานลอยกระทงใช่มั้ย”
อนงค์วดีหันหน้ากลับมา หน้าเฉยตามปกติแต่ละมุนละไมขึ้น
“ค่ะ....ดิฉันวางแผนไว้แล้ว จะปรึกษาในรายละเอียด”
เชษฐามองนัยน์ตา เหมือนจะบอกเรื่องปิ่นสุดา
“คุณแม่จวนเลิกหรือยังคะ”
“จวนแล้ว...อีก 15 นาทีจะครบสองชั่วโมง”
อนงค์วดีนิ่งไปนิด “ท่านเป็นยังไงบ้าง”
“วันนี้ท่านเล่นเสีย แต่คุณจะเห็นว่าท่านควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดึงดันเล่นต่อเพราะอยากเอาชนะ”
“เพราะวันก่อนเล่นได้”
“ถ้าคุมได้ ก็จะเหมือนกีฬามีแพ้มีชนะ สนุกๆ ได้ก็เลิก เสียก็เลิก เมื่อถึงเวลา”
“คุณเชษฐาคะ คุณจะทำธุรกิจผิดกฎหมายอย่างนี้ทำไมคะ”
เชษฐานิ่งอึ้งไป “นั่นสิ”
“สโมสรนี้จะอยู่ได้อย่างดี ด้วยทำเล ที่ตั้ง กิจกรรมที่เราจะทำโดยไม่ต้องมีการพนัน”
“คุณพูดถูก”
“คุณมีเงินเยอะมาก จะอยากได้ไปถึงไหนคะมันผิดกฎหมายนะคะ”
เชษฐามีสีหน้าขรึมลง อนงค์มองจ้อง นัยน์ตาเป็นห่วง
เชษฐามองนัยน์ตาเคลิ้มนิดๆ อนงค์วดีจ้องตอบอย่างลืมตัว
เสียงเกษลดาขัดขึ้น “หนึ่ง”
เชษฐาหันไป เกษลดาเดินงามสง่าเข้ามา อนงค์วดีไหว้ แต่เกษลดาทำเป็นไม่เห็น ควงแขนเชษฐาเดินออกไปทางอื่น อนงค์วดี มองตาม สีหน้าเหมือนขำนิดๆ
คุณประยงค์ หันมาหาย่าน้อย พูดแบบไม่เปิดปากมาก
“นังเกด นังไพร่ ดูมันแต่งเนื้อแต่งตัว เปิดตรงโน้นเว้าตรงนี้....ทุเรศเสียจริงๆ”
ย่าน้อยกลับบอก “สวยค่ะ”
คุณประยงค์หันหน้าขวับ สีหน้าเข้มขึ้น อารมณ์เสีย!
“สวยตามสมัยค่ะคุณอา แต่มันร้องเพลงไพเราะนะคะคุณอา”
“นี่แม่น้อย หล่อนฟังรู้เรื่องเหรอยะ มันร้องเพลงฝรั่งไม่ใช่หรือนั่น”
อ่านต่อหน้า 3
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เกษลดาร้องเพลงอยู่บนเวทีเล็กๆ นั้น ลีลาน่าดูชม ใบหน้ายิ้มแย้ม บางจังหวะร้องไปพูดแซวคนดูไปด้วย มีหนุ่มๆ มายืนฟัง เป็นผู้หญิงบ้าง เชษฐายืนยิ้มฟังอยู่ด้วย
พอเกษลดาร้องจบ หนุ่มๆ ตบมือเกรียว คนหนึ่งตะโกน “ขออีกเพลงนะครับ”
“เพลงเดียวพอค่ะ”
“โธ่...เสียดายจริง....น่า อีกเพลงเถอะครับ” ชายคนนั้นอ้อน
เกษลดาลงจากเวทีมาหาเชษฐาที่ส่งมือคอยรับ “ต้องบอกคนนี้ว่าให้จ้างประจำสิคะ”
“นักร้องสมัครเล่น ร้องเพลงก็ไม่เพราะ ผมไม่จ้างหรอกครับ” เชษฐาเย้า
ผู้คนในนั้นหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน
เชษฐาพาเกษลดาเดินออกมา เกษลดามองไปเห็นอนงค์วดียืนสั่งงานพนักงานอยู่อีกมุม
“เก่งนะหนึ่งเนี่ย เอาเขามาจนได้”
“เขาเก่ง ผมต้องการผีมือเขา”
เกษลดาจ้องหน้า “เท่านั้น?”
“ก็เท่านั้น”
เชษฐาพูดพลางมองไปสายตาของเขา ช่างลึกล้ำ ซ่อนความในใจ
กลางดึกคืนนั้น รถทยอยแล่นออกไป เชษฐายืนส่งแขกอยู่หน้าประตูทางออกคฤหาสน์ เกษลดายืนอยู่ด้วย แขกเดินออกมา คุยกันร่าเริง ขึ้นรถที่มีคนขับ บางคนรอรถ มีคนขับของสโมสรมาจอด ลงมาแขกก็ขึ้นขับต่อไป
แขกที่ออกมาร่ำลาเชษฐา คุยกับเกษลดาบ้าง เกษลดาท่าทางเจนสมาคม พูดคุยกับแขกหัวเราะสดใส
ในที่สุดแขกก็ไปจนหมด เกษลดาควงแขนเชษฐา ทำท่าจะเดินกลับ
“เดี๋ยวเกษ...ไม่กลับเหรอ”
“ไม่...นอนนี่”
เชษฐายิ้ม “พูดเป็นเล่นไป”
“ไม่ได้พูดเล่น พูดจริงๆ คืนนี้เกษจะนอนนี่ เกษเช็คอินจ่ายเงินก็ได้”
“มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่...เกษจะอยู่ทำไม”
“อยู่ให้คนรู้ว่าไม่แปลกอะไรที่เกษจะอยู่ที่นี่ทั้งคืน”
เชษฐาหัวเราะขำๆ “โธ่เอ๋ยไม่มีใครเขาแปลกใจอะไรอยู่แล้ว”
“งั้นเกษก็อยู่ได้สิไม่มีใครแปลกใจแล้วนี่”
เชษฐามองอย่างขำๆ และเอ็นดูหน่อยๆ “ไม่กลัวเหรอ”
“ถ้ามีจริง” เกษลดานิ่งไปนิด “ก็อยู่คนละโลก” หล่อนยักไหล่นิดๆ
“โอเค ตามใจ”
จังหวะนี้ปิ่นสุดากับอนงค์วดีเดินออกมา อนงค์วดีหอบข้าวของมาเต็มมือ เชษฐาเห็นเข้ารับเข้าไปหาทันที ยื่นมือจะช่วยถือของให้
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
เกษลดามองอย่างหมั่นไส้
เชษฐาจับของที่อนงค์วดีถือนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น นัยน์ตามองอนงค์วดีเหมือนจะพูดว่า “ปล่อย” อนงค์วดีจ้องมองเชษฐา นัยน์ตาดื้อไม่ยอม
เชษฐาหัวเราะออกมาเบาๆ ปลดของจากมือของอนงค์วดีมาจนได้ โดยจับมือของอนงค์วดีออกจากของนั้น นัยน์ตาของผู้ชายที่เจนโลกจ้องจับที่หน้าอนงค์วดีตลอดเวลา
อนงค์วดีใจสั่นแต่ฝืนใจให้เข้มแข็ง ไม่แสดงท่าทีอะไร เดินไปอย่างรวดเร็วไปที่รถตัวเอง
“ลูก...ยายหนู” แล้วปิ่นสุดาก็เดินตามไปเร็วรี่ “ยังไม่ทันล่ำลาคุณเชษฐาเขาเลย”
อนงค์วดีเดินพรวดๆ ขึ้นรถไป
“คุณเชษฐาคะ มาค่ะ เอามาวางตรงนี้” ปิ่นสุดาเปิดประตูหลัง
เชษฐาเอาของใส่รถ พูดลอยๆ “ใจเย็นๆ สิครับคุณหนู”
อนงค์วดีสตาร์ทรถทันที หน้ามองไปข้างหน้านิ่งอยู่ เชษฐามองยิ้มๆ นิ่งๆ อนงค์วดีคิดว่าเขาไปแล้ว หันมามองแล้ว สะดุ้งนิดๆ เมื่อพบว่าเชษฐายังมองอยู่ ยิ้มๆขำๆ
อนงค์วดีมองอย่างไม่หวั่น แล้วค่อยๆ หันกลับไป เชษฐาหัวเราะเบาๆ แล้วทรงตัวยืนขึ้น
เชษฐาหันไปไหว้ปิ่นสุดา “ขับรถดีๆ นะครับ”
ปิ่นสุดาบุ้ยใบ้ไปที่ลูกสาว “บอกรายนั้นค่ะ” แล้วก้าวขึ้นรถขณะรับไหว้เชษฐา “ได้ยินมั้ยลูก”
อนงค์วดีไม่ตอบ รถพุ่งออกไปโดยแรง
เสียงปิ่นสุดาโวยลั่น “ยายหนู...ขับรถอะไรอย่างนี้”
เชษฐามองตาม ขำมากๆ
“คุณเชษฐาเขายิ่งเป็นห่วง” เสียงปิ่นสุดาดังขึ้นในรถ
อนงค์วดีถอนหายใจแรงๆ แต่ไม่พูดอะไร
สีหน้าปิ่นสุดา ยิ้มน้อยๆ มีแผนการณ์บางอย่าง ดูออกว่าสองคนนี้ไม่ปกติ
เชษฐากับเกษลดาเดินกลับเข้ามาในห้องโถงด้วยกัน ผ่านรูปคุณประยงค์ ที่มองเกษลดาเขม็ง
“เหนื่อยมั้ยเกษ....ผมจะพาไป...” เชษฐาพูดยังไม่ทันจบ
เกษลดาถามสวนขึ้น “หนึ่งชอบเขาเหรอ”
เชษฐารู้ว่าหล่อนหมายถึงใคร...เขานิ่งไปอึดใจ “ยังไม่รู้”
“เมื่อไหร่จะรู้”
“ไปนอนเถอะ”
เกษลดาจ้องหน้าสักครู่ สีหน้าลึกๆ แล้วเตรียมพร้อมจะสู้ “โอเค ง่วงแล้วเหมือนกัน”
เกษลดาเดินสอดมือ แขนกอดเอวเชษฐา เป็นท่าที่ทำเป็นปกติแล้วเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
“นอนคนเดียวได้หรือ”
“ถ้าไม่ได้นอนกับหนึ่งนะ”
ไม่มีเสียงตอบจากเชษฐา สองคนลับหายไป
คุณประยงค์ก้าวออกมาจากรูป มองตาม
“มันไม่เปลี่ยนใช่มั้ยคะ คุณอา” ย่าน้อยถาม
เหตุการณ์ที่ท่าน้ำบ้านสิงหมนตรี วันหนึ่งในอดีต ผุดขึ้นมาทันที
วันนั้น แลเห็นเรือสำปั้นลำใหญ่พอดู แล่นมาในคลองใกล้จะถึงท่าน้ำบ้านสิงหมนตรี
ส่วนที่หน้าตึก ท่านเจ้าพระยา ยืนอยู่กับคุณหญิง
ท่านเจ้าพระยานั้นยืนสบายๆ สูบซิการ์ม้วนโต นอกนั้นเป็นบ่าวไพร่อยู่บริเวณนั้น บางคนทำงานสวน ดูแลต้นไม้ไปด้วย กับบางคนคอยชำเลืองดูท่านเจ้าพระยาเป็นบางคราว
ท่านเจ้าพระยามองไปแล้วเอ่ยขึ้น “มากันแล้วสินั่น”
ท่านผู้หญิง และบ่าวหันไปมองตาม
สีหน้าคุณประยงค์ซึ่งโตเป็นสาวเต็มที่ ตื่นเต้นสุดขีด แต่เก็บข่มไว้ลึกๆ ในใจ แววตามองจ้องที่เฉพาะ พ่อปราชญ์ ที่ตอนนี้ติดยศเป็น คุณพระ และกำลังเดินทางกลับมากินตำแหน่ง พระยา ที่พระนคร
และคุณน้อยซึ่งโตขึ้นเริ่มเป็นสาวรุ่นมองผู้คนอย่างตื่่นตา
เรือจอดนิ่ง ทุกคนกำลังขึ้นจากเรือ แล้วเดินตรงมา คนอื่นๆ ในเรือขึ้นตามมา คุณประยงค์เพ่งมองคุณพระคนเดียวตลอดเวลา
“ใช่ ท่าทางมันไม่ใช่เล่น” เสียงคุณประยงค์เข้มขึ้นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้ “วันแรกที่ฉันเห็นมัน มันมาที่บ้านเราเพราะมันเป็นบ่าวแม่อร ท่าทางมันก็อย่างนี้......ยโส โอหัง....นัยน์ตามันน่ะมองกราดไปทั่ว”
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ผุดขึ้นมาอีก
เป็นภาพที่เกดเดินตามหลังแม่อรมาสอดนัยน์ตามองกราดไปทั่ว อย่างคนเอาเรื่องคน ไม่เกรงกลัวใคร และเพิ่งมาถึงใหม่ๆ ก็เลยมองโน่นมองนี่
เสียงคุณประยงค์ดังขึ้น
“ก็วันนั้นน่ะแหละที่มันมากับเจ้านายมัน มากับนังอรศัตรูคนสำคัญของฉัน ท่าทางนังอรน่ะเรอะ มันก็ทำสงบเสงี่ยมเอี้ยมเฟี้ยม ให้นังเกดบ่าวมันเป็นคนออกหน้า”
“อ๋อ วันนั้นวันแรกที่ท่านเจ้าคุณกลับจากราชการที่หัวเมือง”
“ใช่ ท่านไปกินตำแหน่งหัวเมืองนานถึง 5 ปี นานมาก....ท่านกลับมาตอนนั้นยังเป็นแค่คุณพระ ฉันไม่นึกเลยว่าท่านจะกลับมาพร้อมกับ...”
คุณประยงค์ถอนสะอื้นลึกๆ ภาพอดีตผุดขึ้นมาหลอกหลอนอีกครา
เหตุการณ์ตอนต่อมา ทุกคนทักทายกัน คุณพระเข้าไปทรุดตัวลงกราบท่านเจ้าพระยา กราบท่านผู้หญิง หันไปก้มหัวอย่างสุภาพให้คุณประยงค์ บรรดาคนติดตามมาทุกคน ลงนั่งแล้วกราบตาม
ท่านเจ้าพระยากวาดตามองไปทั่วๆ ยิ้มทักทาย ให้พร “เจริญพร...คุณพระ เดินทางมาเป็นอย่างไรกันบ้าง”
“เรียบร้อยทุกประการขอรับ” คุณพระบอก
“ดี...เข้าไปข้างในกันก่อน เอ้า ไอ้กลับ อีทิ้ง”
ทั้งสองคนขานรับ “ขอรับ” / “เจ้าค่ะ”
“เอ็งหาข้าวหาปลาให้พวกคนเรือกับบ่าวของคุณพระเขาด้วย เอ็งจำได้มั้ยวะนี่คุณพระที่หนุ่มที่สุดเลยนะเอ็ง” ท่านเจ้าพระยาบอก
สองคนเข้ามานั่งยองๆ ไหว้คุณพระปราชญ์
“พี่กลับ...พี่ทิ้ง ไม่ต้องไหว้ฉัน ยังไงๆ ฉันก็ยังเป็นพ่อปราชญ์ของพี่อยู่นะ”
สองคนโมทนาสาธุ
ท่านเจ้าพระยา ชวนท่านผู้หญิง และคุณพระเข้าตึก
คุณพระหันไปเรียก “แม่อร....เกด มาด้วยกัน”
คุณประยงค์ได้ยินคำนั้นจ้องมองสองคนนั้นเขม็ง
เวลาต่อมาคุณพระเดินเข้าตามท่านเจ้าพระยา พลางหันมาสบตาคุณประยงค์ มีแววหนักใจให้เห็น ตามด้วย แม่อร ซึ่งเดินก้มหน้า พอผ่านคุณประยงค์ ก็เหลือบสายตาขึ้นมอง แล้วหลบตาอย่างหวาดหวั่น ต่อด้วยเกดซึ่งเดินตามด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม แต่นัยน์ตาเหลือบมองสบตาคุณประยงค์ ด้วยสายตานิ่งเฉย กล้าสบตาโดยไม่หลบทั้งหมดเดินเข้าไปในตัวตึก
คุณประยงค์ มองตามด้วยสายตาลังเล ยังไม่รู้แน่ว่าใครเป็นใคร
อีทิ้งเข้ามาหา “คุณท่านคนใหญ่เจ้าขา”
“อีทิ้ง”
“มันสองคนนี่เป็นใครหรือเจ้าคะ” อีทิ้งถามอย่างสนใจ
“ข้าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าคนหนึ่งเป็นนาย คนหนึ่งเป็นบ่าว แต่อีบ่าว...” สีหน้าคุณประยงค์ตรึกตรอง
“ใช่เจ้าค่ะ อีนังบ่าวท่าทางมันยโสจริงๆ นะเจ้าคะ คุณท่านคนใหญ่”
ด.ญ.น้อยยืนฟังอยู่ได้ยินด้วย
คุณประยงค์อยู่กับย่าน้อย ซึ่งเอ่ยขึ้น
“อีทิ้งนี่ มันสันดานจริงๆ”
“หล่อนหมายความว่ายังไง”
“อิฉันก็หมายความว่า อีทิ้งมันเป็นพวกยุแยงตะแคงรั่วมาตั้งแต่สาวยันแก่”
“มันเป็นคนซื่อสัตย์กับเจ้านายอย่างนี้เขาเรียกว่าเจ็บร้อนแทนนาย”
“อิฉันได้ยินนะคะคุณอา อิฉันอยู่ด้วยวันนั้น คุณอาลืมแล้วหรือคะ อีทิ้งยังไม่ทันจะเห็นอะไร นังเกดมันก็ยังไม่แสดงอะไร อีทิ้งมันก็ลงความเห็นเสียแล้ว อย่างเนี้ยไม่ใช่พวกยุแยงตะแคงรั่วแล้วจะเรียกอะไร...” ย่าน้อยพูดไม่ได้จบประโยค
คุณประยงค์ขัดขึ้นทันที “หยุด หล่อนไม่รู้อะไรไม่ต้องพูด ฉันเบื่อหล่อนจริงๆ นะแม่น้อย หล่อนเป็นคนไม่น่ารักฉันไม่แปลกใจเลยที่คุณหลวงของหล่อนเขาไม่มีสัญญาอะไรกับหล่อนเลย ทั้งๆ ที่เขามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้ว”
ย่าน้อยหน้าสลดลง กัดฟันแน่นนึกเคืองคุณประยงค์
คุณประยงค์หัวเราะเยาะหยัน “จริงหรือไม่ เฮอะ สู้อุตส่าห์รอคอย”
“ท่านเจ้าคุณมีสัญญาต่อคุณอาหรืออย่างไรคะ” ย่าน้อยเอาคืน เสียงเยาะพอกัน
คุณประยงค์หยุดชะงักทันที “ทำไมจะไม่มี...หล่อนคอยดูต่อไปสิ”
“คุณหลวงของอิฉันไม่มีเมียสองแล้วกัน ท่านรักอิฉันคนเดียว แต่ท่านเจ้าคุณของคุณอา ก็เห็นอยู่แล้วว่าวันนั้นท่านพาเมียมาอาจจะไม่ใช่คนเดียวก็ได้ ไม่อย่างนั้นนังเกดมันจะทำท่ายโสปานนั้นหรือเจ้าคะ อิฉันอยู่ด้วย อิฉันเห็นหมดนั่นแหละเจ้าค่ะ”
ภายในห้องโถง ท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง นั่งเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณพระนั่งเก้าอี้หมิ่นๆ ค้อมตัวอย่าสุภาพ คุณประยงค์นั่งเก้าอี้ คนอื่นๆ นั่งข้างล่าง ด.ญ.น้อย เดินก้มตัวไปนั่งที่พื้นใกล้ๆ ท่านเจ้าพระยา
“เอ้า...คุณพระ นั่งให้สบาย”
“เป็นพระคุณขอรับ” คุณพระขยับตัวนั่งเต็มๆ ขึ้น
“ทางกระทรวงธรรมการเขาลือกันว่าคุณพระไปริเริ่มงานการศึกษาเด็กๆ ที่เมืองพิษณุโลก มีพ่อแม่ส่งลูกหลานมาเข้าโรงเรียนเพิ่มขึ้นมากมาย...เขาว่าอย่างนั้นใช่หรือไม่ท่านผู้หญิง”
“ก็ได้ยินอยู่ค่ะ” ท่านผู้หญิงหน้าตาเฉยๆ
“สมชื่อพ่อปราชญ์จริงๆ นะคุณพระ” ท่านเจ้าพระยาว่า
“ขอความกรุณาท่านเรียกกระผมว่า พ่อปราชญ์เหมือนเดิมเถิดขอรับ”
ท่านเจ้าพระยาบอก “ยังงั้นก็ได้ ฉันก็อยากแสดงว่าฉันรักและเอ็นดูเธออย่างที่เคยนะพ่อปราชญ์” ท่านมองไปที่แม่อร “เธอมากันกี่คนเนี่ย”
“นั่น...แม่อร” คุณพระแนะนำ
แม่อรก้มลงกราบ
สีหน้าคุณประยงค์ ท่านผู้หญิง นิ่งเฉย ส่วน ด.ญ.น้อยมองอย่างสนใจ
“ภรรยากระผมขอรับ” หน้าตาคุณพระไม่สบายใจมากๆ เวลาพูด
แต่ละคนออกอาการต่างกัน คุณประยงค์ตกใจ เกือบจะอุทานออกมาแต่เก็บไว้ทัน ท่านผู้หญิง เมินมองเหมือนจะพูดว่า “นึกแล้ว” ด้วยไม่ชอบแต่ไหนแต่ไร ส่วนด.ญ.น้อยตื่นเต้นเล็กๆ มองจ้องแม่อรตลอด
“อ้าว แต่งงานแต่งการเสียแล้วรึพ่อปราชญ์” ท่านเจ้าพระยา เหลือบมองท่านผู้หญิงนิดหนึ่ง “ดี...ดี อายุสมควรมีเรือนได้แล้ว”
“กระผมมีคนติดตามมา 3 คนขอรับ คนนั้นชื่อเกด เป็นพี่เลี้ยงของแม่อรขอรับ”
เกดก้มลงกราบ
คุณพระแนะนำต่อ “อีกสองคนเป็นบ่าวหญิงบ่าวชายที่คุณหลวงพ่อตากระผมให้ตามมาช่วยทำงานบ้านงานสวนขอรับ”
ท่านเจ้าพระยาพยักหน้า “อ้อ....พ่อเป็นถึงคุณหลวง”
“ขอรับ รับราชการ ด้านการศึกษาเหมือนกระผมขอรับ”
ยินเสียงท่านเจ้าพระยากับคุณพระยังคุยกันต่อเบาๆ
ในขณะที่คุณประยงค์ หน้านิ่งเหมือนเป็นหิน
ด.ญ.น้อย มองคุณประยงค์ สีหน้าแสดงเห็นใจนิดหน่อยพอมองเห็น แต่ความเป็นเด็กทำให้รู้สึกตื่นเต้นกับแม่อรมากกว่า น้อยเหลือบสายตามองไปที่เกด เห็นว่า เกดมองจ้องคุณประยงค์ไม่วางตา
ด.ญ.น้อยมองอีกที...ด้วยสายตาสงสัย
นึกขึ้นมาแล้วย่าน้อยจึงเอ่ยขึ้น
“อิฉันว่านะคะคุณอา นังเกดมันรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าคุณอากับท่านน่ะมีความนัยต่อกัน อิฉันเห็นสายตามัน ความที่มันเป็นคนปากกล้ามันถึงไม่กลัวคุณอา ต่อปากต่อคำกับคุณอาออกบ่อยๆ”
คุณประยงค์หันหลังกลับเดินเข้ารูปตัวเองทันที แต่พอหันหน้ามา หน้าเครียดจัดจนจะกลายเป็นผีน่ากลัว เมื่อคิดถึงเรื่องฤทธิ์เดชของเกดเมื่อวันวารขึ้นมา
อ่านต่อหน้า 4
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ที่หน้าเรือนแม่อร วันหนึ่งในอดีต รอดกับยง รับของจากเกดเพื่อจะไปวัดเดินออกไปยังท่าน้ำ เกดหันไปรับมือแม่อรให้ลงบันได
คุณประยงค์กับอีทิ้งยืนมองอยู่ไกลๆ แม่อรกับเกดไม่เห็น
ส่วนที่ท่าน้ำ บ่าวชายของบ้านนี้ พายเรือมาถึงท่าน้ำ ขึ้นจากเรือแล้วผูกเชือก รอดกับยง เดินไปที่ท่าน้ำ บ่าวชายพูดอะไรสองสามคำว่าเอาเรือมาให้ แล้วชี้ไปทางหนึ่งว่าวัดอยู่ทางโน้น
ยงเอาของใส่เรือ เกดกับแม่อรเดินมา เกดดูทางให้อรเดินระแวดระวัง กลัวจะสะดุดหกล้ม เมื่อถึงท่าเรือ เตรียมจะไปลงเรือ มีเสียงอีทิ้งถามบ่าวที่พายเรือมาดังขึ้น
“ไอ้บุญ...เอาเรือมาให้ใครวะ”
“ก็...ให้” ไอ้บุญเงอะงะ ชี้ไปทางแม่อร
ถูกอีทิ้งด่า “สาระแนนักนะเอ็ง...ใครสั่งเอ็งวะ”
ไอ้บุญชี้ไปที่เกด
“เรื่องของบ้านนี้ เอ็งไม่ให้ท่านเจ้าของบ้านสั่ง เอ็งจะอยู่ต่อไปได้รึ...”
“ฉันขอใช้เรือไปวัด คุณอรอยากจะไปไหว้พระ จะขออนุญาตคุณ...” เกดมองไปที่คุณประยงค์
“อีทิ้ง เอ็งบอกนังนี่ว่าข้าเป็นใคร....ไม่ใช่คุณที่มันออกปากเรียกข้า”
“คุณท่านคนใหญ่เรียกให้ถูกๆ”
เกดหันมามองหน้าคุณประยงค์ช้าๆ สีหน้าเกดมองมาอย่างเฉยเมย แต่ไม่ใช่ยะโสโอหัง ไม่เห็นความสำคัญ แล้วเกดก็หันกลับไป คุณประยงค์ของขึ้นทันที เดินเข้าไปใกล้
“คุณอร....ลงเรือเถิด เดี๋ยวจะสาย” เกดพูดโดยไม่ได้ คะ...ขา ทุกคำ แต่ทอดเสียงนุ่ม ด้วยเป็นกึ่งพี่เลี้ยงกึ่งญาติ
คุณประยงค์เรียกไว้ “เดี๋ยว....นังเกด”
เกดขานรับโดยไม่หันด้วยซ้ำ “เจ้าคะ”
“เอ็งนี่ท่าทางโอหังจริง เอ็งเป็นใคร”
เกดอ้าปากจะตอบ
แม่อรรีบชิงตัดบทเสียก่อน “พี่เกด....คอยฉันในเรือ”
“ไม่เป็นไร” เกดถอยไปก้าวหนึ่ง “พี่คอยตรงนี้”
แม่อรไหว้คุณประยงค์ “ขอประทานโทษค่ะคุณพี่ คนของน้องยังไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมทำบางอย่างผิดพลาดไป ขอคุณพี่โปรดอภัยให้ด้วยเถิดค่ะ”
“แม่อร” น้ำเสียงคุณประยงค์เย็นเฉียบ มองจ้องหน้าแม่อร สายตาทั้งเกลียด ทั้งเจ็บปวดร้าวลึกในอก “ฉันไม่ปรารถนาจะเป็นเครือญาติกับหล่อนอย่ามาเรียกฉันว่าพี่”
มีเพียงแม่อรเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะคุณประยงค์พูดต่อหน้าใกล้ๆ จ้องเข้าไปในนัยน์ตาแม่อรหน้าซีดเผือด แล้วถอยไปสองก้าว เกดเข้าประคอง
“คุณทำอะไรคุณอร”
คุณประยงค์หันมาทางเกด มองด้วยสายตาเหยียดหยาม
“คุณทำอะไร” เกดถามย้ำ
“อีทิ้ง เอ็งบอกนางคนนี้ว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดกับข้า ถ้าข้าไม่เรียกถามมันก็แปลว่าข้าไม่ปรารถนาจะพูดกับมันหรือจะฟังอะไรจากมันหรือแม้แต่หน้ามันข้าก็ไม่ปรารถนาจะมอง อย่าให้มันพาตัวของมันมาให้เห็น”
อีทิ้งสนองทันที “เจ้าค่ะ ได้ยินแล้วมิใช่หรือมึง อีเกด บอกนายมึงด้วย”
เกดไม่มองอีทิ้งเลย มองจ้องแต่คุณประยงค์ “คุณอรมิใช่ไพร่ต่ำศักดิ์ที่ไหน คุณพ่อเธอเป็นคุณหลวง รับราชการในแผ่นดิน เธอไม่ใช่คนโง่เง่า เธอเรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ เป็นภรรยาตบแต่งของคุณพระ ไม่ใช่เมียบ่าวเมียทาสที่คุณจะมาเหยียดหยาม”
คุณประยงค์ก้าวพรวดเร็วและแรง เงื้อมือสูงแล้ว ตบเปรี้ยงเดียว ร่างเกดคว่ำลงไปกับพื้น
แม่อรตกใจสุดขีด “เกด....ตายแล้ว ทำไมต้องตบคะคุณพี่...เอ้อ คุณประยงค์”
เกดสะบัดหน้าขึ้นมามองคุณประยงค์ นัยน์ตาเข้มจัด
“นังปากสามหาว ดี...โดนซะมั่ง” อีทิ้งสอพลอ
เกดตวาด “มึงหยุด อีทิ้ง บ่าวเหมือนกันอย่าบังอาจมาสั่งสอนกู”
“ทำไมกูจะสั่งสอนไม่ได้” อีทิ้งแหวใส่
เกดก้าวเข้าหาอีทิ้ง แล้วผลักอีทิ้งอย่างแรง อีทิ้งผวาขึ้นมา เกดลุยเข้ามาจับตัวอีทิ้งสองไหล่แล้วผลักจนเซหลุนๆ ไป เกดหันกลับมาทางคุณประยงค์ทำท่าจะพูด
คุณประยงค์ชี้หน้าตวาดลั่น “มึงหยุด นังเกด อย่ากำเริบกะกู....ไป มึงจะเอาเรือกูไปไหนก็ไป กูให้ แต่จำไว้ต่อไปอย่ากำเริบเสิบสาน จำใส่กะลาหัวไว้ว่าในบ้านหลังนี้กูเท่านั้นที่เป็นใหญ่ มึงจะใหญ่ก็ใหญ่อยู่ในเรือนของมึง เรือนของมึงที่จริงก็อยู่ในแผ่นดินของกู”
คุณประยงค์พูดจบหันมามองแม่อร จ้องด้วยสายตาเย็นเฉียบ
แม่อรสั่นสะท้านไปทั้งตัว จ้องมองคุณประยงค์ สายตาทั้งกลัวทั้งตกใจ หวาดหวั่นเป็นที่สุด
ส่วนเกดนั้นมีสีหน้าเจ็บแค้น แต่พยายามสะกดกลั้น เข้ามาประคองแม่อรด้วยท่าทางทะนุถนอมรักใคร่
คุณประยงค์มองแล้วขัดตาเป็นที่สุด เพราะตัวเองไม่เคยมีบ่าวไพร่คนใดรักแบบนั้นเลย
“คุณอร...ไปเถอะ อย่าอยู่เลย...มันร้อน”
แม่อรยังหันมาพนมมือไหว้คุณประยงค์ “อิฉันขอประทานโทษให้คนของอิฉันด้วย”
คุณประยงค์นิ่ง เกดต้องกล้ำกลืนความเจ็บแค้น
“ขอบพระคุณค่ะ”
สองคนเดินไป เกดสั่งบ่าวหญิง “นังยง จับเรือให้ดี คุณอรจะลง”
ชื่อนั้นกระแทกเข้าหน้าอีทิ้งโครมใหญ่ มันสะดุดหูกับชื่อ แล้วหันไปมองคุณประยงค์ทันที
“อีทิ้ง ตกบ่ายมันกลับมากันแล้ว เรียกอีเกดมาหาข้า”
ด้านนอกคฤหาสน์ เย็นวันนั้น เกดมาพบคุณประยงค์ตามสั่ง อีทิ้งนั่งเสนอหน้าอยู่ใกล้ๆ
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” เกดยืน ต่ำกว่าที่คุณประยงค์นั่ง
“นั่งลง”
เกดยืนอึดอัดขัดใจ สักครู่จึงนั่งลง
“บ่าวอีกคน....ที่มาด้วยกัน มันชื่ออะไร”
สีหน้าเกดรู้แล้วว่าจะยั่วคุณประยงค์ยังไง “อ๋อ มันชื่อ นังยง เจ้าค่ะ”
คุณประยงค์รู้ทัน “เอ็งไม่ต้องเน้นเสียงเพื่อให้กระเทือนถึงข้าเพราะข้าคงจะได้ยินชื่อมันเป็นครั้งสุดท้าย”
“คุณท่านคนใหญ่จะไล่มันออก?”
“ใช่ ถ้าเอ็งไม่เปลี่ยนชื่อมัน”
“แต่ชื่อมัน พ่อแม่มันตั้งมานะเจ้าคะ”
“พ่อแม่มันตั้ง แต่ข้าสั่งเปลี่ยนมันก็ต้องเปลี่ยน”
“มันไม่ยอมเปลี่ยนหรอกเจ้าค่ะ มันรักพ่อรักแม่มัน”
คุณประยงค์ลุกขึ้น “อีทิ้ง”
“เจ้าค่า” อีทิ้งรับ
“ไปบอกนังคนนั้นให้เก็บข้าวของออกไปได้ ข้าให้เวลามันชั่วยามเดียว”
“เจ้าค่ะ” อีทิ้งลุกเร็วรี่
“อีทิ้ง” เกดเรียก
“มึงอย่าบังอาจเรียกกู อีทิ้งนะ อีเกด”
เกดย้อน “มึงไม่ได้เรียกกูอีเกดรึ”
อีทิ้งหยุด “เออ.....อีเกด มีอะไร”
“อีทิ้ง มึงไม่ต้องไล่มัน กูจะเปลี่ยนชื่อมัน...หมดเรื่องแล้วใช่ไหมเจ้าคะ เรื่องชื่อเนี่ย”
คุณประยงค์มองยิ้มมุมปาก อย่างสะใจ
“หมดแล้ว...ไสหัวมึงไปเลย”
ค่ำคืนนั้นเกษลดาลืมตานอนอยู่บนเตียง ม่านมุ้ง ปลิวไสว จู่ๆ มีของบางอย่างถูกลมพัดดังกึงกัง และเสียงเหมือนคนเดินลากเท้า ดัง แชะ....แชะ
เกษลดาเริ่มกลัวนิดๆ หันไปรอบๆ หน้าต่างพัดปิดเข้ามาดังเปรี้ยง หล่อนสะดุ้งสุดตัว เหลียวไปมา แล้วสะดุดตาอะไรบางอย่าง พอหันไปดูอีกที เห็นคุณประยงค์ก้าวออกมาจากมุมห้อง
เกษลดาตาโต อ้าปากค้าง ร่างของคุณประยงค์ ลอยมาอย่างเร็ว วืด....วืด เข้ามาคร่อมตัวเกษลดา ใบหน้าก้มวืดลงมาชน มันเป็นใบหน้าผีที่น่ากลัว น่าสยดสยองเป็นที่สุด ไม่เหลือเค้าของคุณประยงค์คนงามแม้นสักน้อย เกษลดากรีดร้องวี้ด....วี้ด สุดเสียง
เกษลดาสะดุ้ง ลืมตาตื่น สีหน้าหวาดผวา ตระหนกกับความฝันเสมือนจริงเมื่อครู่นี้
อ่านต่อตอนที่ 6