อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 28
ด้วยวันนี้ หม่อมพริ้ม ให้คุณชายรวี ไปรับตัวโสภิตพิไลรวมทั้งสามาจากบ้านสวน คุณหญิงโศภี ธิดาคนโต วัย 47 ปี ซึ่งตอนนี้เป็นหม้ายสามีตาย บุคลิกเรียบร้อย เคร่งขรึม ดังเดิม แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีทึมๆ แวะมาที่ตำหนักขาว รอต้อนรับด้วย
หญิงจิ๋มเดินหน้าตึงเข้ามาในห้องโถง ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง พอเห็นพุด ก็ส่งเสียงดัง
“พุด หม่อมแม่อยู่ที่ไหน” คุณหญิงเห็นถาดชุดน้ำชาในมือพุดก็ถาม “แล้วนี่อะไร”
“หม่อมท่านสั่งให้ตั้งโต๊ะน้ำชาค่ะ คุณหญิง” พุดบอก
“ต๊าย ถึงกับแต่งโต๊ะน้ำชารับเสด็จกันเลยเชียวหรือ”
ขาดคำก็มีน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นของหญิงโศภีดังขึ้น คุณหญิงโศภีถือถาดขนมที่กินกับน้ำชาออกมาจากครัวด้านใน
“น้ำชาก็จัดไว้เลี้ยงพวกเรานี่ละ จะเอะอะโวยวายอะไร หญิงจิ๋ม”
พุดเลี่ยงไปจัดโต๊ะ หญิงจิ๋มยกมือไหว้พี่สาว
“พี่หญิงใหญ่ สวัสดีค่ะ...พี่หญิงทราบเรื่องแล้วใช่ไหมคะว่าอยู่ดีๆ เราก็จะมี” หญิงจิ๋มยิ้มเหยียดหยัน “หลานสาว”
“ทราบแล้วจ้ะ ถึงได้มานี่ไง ตื่นเต้นพิลึกเชียว”
หญิงจิ๋มหมั่นไส้ “ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยคะ”
หญิงจ้อยเดินเข้ามาได้ยินเข้า ย้อนถามน้ำเสียงกวน ตามประสา
“ทำไมจะไม่ตื่นเต้นล่ะคะ จะมีหลานสาวทั้งคน”
“อุ๊ย คำก็หลาน สองคำก็หลาน”
หญิงโศภีบอก “ก็เขาเป็นลูกของหญิงโสภา”
หญิงจิ๋มนึกถึงอีสาขึ้นมา พูดออกไปอย่างเกลียดชัง
“แต่อีสามันเป็นคนเลี้ยง”
หญิงโศภีตำหนิเสียงอ่อนๆ อย่างเข้าใจ “เกลียดอีสาแล้วไปลงที่เด็กจะถูกหรือ”
“หญิงเกลียดมัน อะไรที่เป็นของมัน หญิงไม่อยากจะไปเกี่ยวข้อง”
“พี่หญิงไม่อยากเกี่ยวก็ช่าง แต่หม่อมแม่ตัดสินใจแล้ว ว่าจะรับเด็กคนนี้มาเป็นหลาน” หญิงจ้อยหันมาพูดกับหญิงโศภี “ตอนนี้ชายรวีกำลังไปพามา ประเดี๋ยวคงจะถึงแล้วล่ะค่ะ...ถ้าใครไม่อยากเกี่ยว ก็เชิญกลับไปได้เลยเน้อ”
หญิงจ้อยหันไปทำหน้าล้อเลียนพี่สาว หญิงจิ๋มค้อนควัก ด้วยความหมั่นไส้
ตั้งแต่เล็กจนโต หญิงจิ๋ม เคารพรักใคร่ หญิงโศภี และ หญิงศุภลักษณ์ ดี ไม่ถูกจริตก็แต่กับหญิงจ้อยคนเดียว
ขณะเดียวกันหม่อมพริ้มในวัย 70 ปี เดินลงมาจากชั้นบนตำหนัก เห็นหญิงศุภลักษณ์เดินเข้ามาพอดี
“อ้าว หญิงรอง”
หญิงศุภลักษณ์ไหว้ทักทายมารดา “กราบหม่อมแม่ค่ะ”
คุณหญิงศุภลักษณ์วันนี้ อายุล่วงเข้าสู่วัย 45 ปี พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส เธอเป็นแม่บ้านที่แต่งตัวสวยงาม ด้วยอาภรณ์สีหวานสดใส แววตาแจ่มใสดูออกว่าเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต
บรรดาพี่น้องทั้งสามออกมาจากห้องโถงทักทายกัน
หญิงจ้อยทักทายก่อนใคร “พี่หญิงรอง สวัสดีค่ะ”
“หญิงจ้อย หญิงจิ๋ม” คุณหญิงไหว้พี่คนโต “พี่หญิงใหญ่ สวัสดีค่ะ”
“แล้วทำไมมาเงียบๆ นี่หญิงมายังไง” หม่อมพริ้มแปลกใจ
หญิงศุภลักษณ์พูดถึงบุตรชายด้วยอาการรักลูกมาก “พ่อลูกชายตัวดีมาส่งน่ะค่ะหม่อมแม่”
หญิงโศภีติงเสียงเรียบ “แล้วไปไหนเสียล่ะ ไม่มาทักทายไหว้กราบญาติผู้ใหญ่”
“พอดีตานุต้องรีบไปทำธุระน่ะค่ะ” หญิงศุภลักษณ์แก้ตัวยิ้มๆ
หญิงจิ๋มค่อนขอด “พี่หญิงรองตามใจลูก จนไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แล้วนะคะ”
หญิงศุภลักษณ์หน้าเสีย ยังไม่ทันแก้ตัว หญิงจ้อยก็รีบเข้าข้างช่วยแก้แทน
“แหม มีลูกชายอยู่คนเดียวนี่นา ก็ต้องโอ๋หน่อย จริงไหมคะพี่หญิงรอง”
หญิงจิ๋มค้อน “โอ๋นัก ระวังเถอะจะเสียคนเข้าสักวัน”
หม่อมพริ้มตัดบท “ฮื้อ เอาเถอะๆ อย่าพูดมากเลย...เรื่องที่จะพูดกันวันนี้มันเรื่องของผู้ใหญ่ตานุไม่อยู่ก็ดีแล้ว...ไป ลูก เข้าบ้าน ไปกินน้ำชากัน”
รถที่คุณชายรวีขับแล่นมาจอดที่หน้าตึก คุณชายหันไปยิ้มบอกสา กับโสภิตพิไล
“ถึงแล้วครับ บ้านรวีวารของเรา”
ชายรวีลงมา แต่สาเปิดประตูลงมาก่อนด้วยความตื่นเต้น
“หม่อมท่านอยู่ที่นี่หรือคะ” สาถามด้วยไม่เคยรู้มาก่อน
“ครับ ย้ายมาอยู่ตั้งแต่ผมยังเด็กๆ”
“แล้ววังรวีวารล่ะคะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
ชายรวีหน้าหม่นหมองลงไปนิดหนึ่ง แล้วฝืนยิ้มกลบเกลื่อน เปลี่ยนเรื่อง
“เชิญข้างในเถอะครับ”
สาหันไปมองโสภิตพิไลที่ยังนั่งนิ่งอยู่หลังรถ
“โสภิต ลงมาสิคะ”
โสภิตพิไลนั่งนิ่ง แววตาหวาดหวั่น
ชายรวีถามเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไรไป”
โสภิตพิไลกังวล “หม่อมท่านอยากเจอฉันทำไมคะ”
ชายรวียิ้มให้เป็นเชิงปลอบน้องสาวที่เข้าใจว่าเป็นหลาน “ท่านเป็นยาย ก็ต้องอยากเจอหลานเป็นธรรมดา”
“ฉันคือโสภิตพิไล วรประเสริฐ...ไม่ใช่พวกรวีวาร” เด็กสาวแย้ง
“คุณเป็นลูกของพี่หญิงโสภา ยังไงเลือดครึ่งหนึ่งในตัวคุณ ก็คือเลือดของรวีวารลงมาเถอะครับ ไม่ต้องกลัว”
โสภิตพิไลลงมา หน้าตายังดูเกร็งและเกรง ขณะเดินตามชายรวีกับสาไป
ชายรวีเดินนำสองสาวมา ยังมาถึงตัวเรือน ก็เจอหญิงจ้อยเดินออกมา หวนเดินเยื้องมาด้านหลัง
“พี่หญิงจ้อย” ชายรวีทัก
“คุณหญิงจ้อยหรือคะ” สารีบยกมือไหว้
หญิงจ้อยทักสาเรียบๆ แม้ไม่ได้รักใคร่ แต่ก็ไม่เกลียดชัง
“ฉันเอง” หญิงจ้อยมองไปที่โสภิตพิไล “นี่หรือ ลูกของพี่หญิงโสภา”
สาแนะนำ “โสภิต ไหว้คุณหญิงจ้อยสิคะ คุณหญิงศรีลักษณาเป็นน้องสาวคนเล็กของคุณแม่หนู”
โสภิตพิไลไหว้ “สวัสดีค่ะ”
หญิงจ้อยยิ้มอย่างเมตตาและเป็นมิตร “เธอต้องเรียกฉันว่าน้าหญิง...” คุณหญิงหันมาทางชายรวี “หม่อมแม่ให้พี่มาบอกว่า ให้สาเข้าไปคุยกับท่านก่อน” แล้วหันมาพูดกับโสภิตพิไล “หนูไปรอที่ศาลาริมน้ำสักครู่ เดี๋ยวหวนจะพาไป”
“เชิญค่ะ คุณหนู” หวนบอก
โสภิตพิไลมองหน้าสาเป็นเชิงถาม สาพยักหน้าให้ โสภิตพิไลเดินตามหวนไป
“ไป สา หม่อมแม่รออยู่”
หญิงจ้อยเดินนำ ชายรวีตาม สาเดินรั้งท้ายสุด ใจเต้นโครมคราม
ครู่ต่อมา ชายรวีกับหญิงจ้อยเดินนำสาเข้ามาในห้องโถง สาชะงัก ไม่กล้าเดินต่อ เมื่อเห็นหม่อมพริ้มพร้อมธิดาทั้ง 3 หญิงใหญ่ หญิงรอง และหญิงจิ๋ม นั่งอยู่ที่โซฟา ชายรวีกับหญิงจ้อยหันไปมอง เรียกเบาๆ
“คุณอุษา”
สายืนนิ่ง ท่าทีหวาดหวั่น หม่อมพริ้มมองสา แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันทรงอำนาจ
“เข้ามาสิ อีสา”
สาค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้น หมอบคลานเข้ามากราบตรงหน้า หญิงโศภีมองมา เห็นสาแต่งตังสวยงามตามสมัยนิยมสมวัย แววตาทั้งแปลกใจและชื่นชม
“นี่อีสาหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ”
สาเงยหน้าขึ้นมอง หม่อมพริ้มถามขึ้น
“เอ็งจำลูกๆ ข้าได้ไหม”
สามองโศภี ตอบอย่างลังเล “คุณหญิงใหญ่ใช่ไหมคะ” มองหญิงศุภลักษณ์ “คุณหญิงรอง แล้วก็คุณหญิงจิ๋ม”
หญิงจิ๋มสะบัดหน้าใส่
“ไม่เจอร่วมยี่สิบปี หน้าตายังสะสวยเหมือนเดิม ไม่มีแก่เฒ่าเลยนะสา” หญิงศุภลักษณ์ทักตอบ
หญิงจิ๋มแดกดันตามเคย “ก็เพราะมันยังสาวยังสวยแบบนี้ไงคะ พี่หญิง ถึงได้มีเรื่องฉาวโฉ่ไม่หยุด”
หม่อมพริ้มตัดบท “เอาเถอะๆ ...ที่เรียกมาวันนี้ เพราะอยากจะพูดเรื่องโสภิตพิไล”
ตอนท้ายประมุขแห่งรวีวาร หญิงชราวัย 70 มองจ้องมายังสา
ด้านหวนเอาน้ำชามาให้โสภิตพิไลที่ศาลาริมน้ำ
“คุณหนูรอตรงนี้นะคะ ถ้าหม่อมท่านเรียกหา หวนจะมาตาม”
“ค่ะ”
หวนมองโสภิตพิไลอย่างชื่นชม แล้วออกไป
ทางฝ่ายชายรวีบอกกับแม่และพี่ๆ ทุกคน
“ผมไปตรวจสอบดูแล้วครับ ในสำเนาทะเบียนบ้าน โสภิตพิไลเป็นลูกของนายสมศักดิ์ วรประเสริฐ กับ หม่อมราชวงศ์หญิงโสภาพรรณวดี รวีวาร จริงๆ”
หม่อมพริ้มพยักหน้ารับ แล้วพูดกับสา
“ข้าไม่อ้อมค้อมล่ะนะที่เรียกเอ็งมาวันนี้เพราะจะบอกว่า ข้าจะเอาโสภิตพิไลมาอยู่กับข้าที่นี่”
สาอึ้ง ตกใจ “อะไรนะคะมาอยู่กับหม่อม”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ สา หรือว่าไม่เต็มใจ” หญิงศุภลักษณ์ว่า
สาอึ้ง เสียดายโสภิตพิไลที่รู้เต็มอกว่าเป็นลูกสาว แต่พูดไม่ออก
“พูดตรงๆ นะ อีสา เด็กคนนั้นจะชั่วจะดีก็เป็นหลานข้า เด็กกำลังรุ่นสาว ขืนปล่อยให้อยู่กับเอ็ง ก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าอนาคตจะเป็นยังไง”
สาหน้าชา ชายรวีสงสาร แก้แทน
“ที่ผ่านมาคุณสาก็ดูแลโสภิตพิไลอย่างดีนะครับ หม่อมแม่”
หญิงจิ๋มประชดแกมแดกดัน “ถ้าดีจริง จะมีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์หรือ ชายรวี”
“สอนตัวเองให้ดี มันยังทำไม่ได้ จะเอาอะไรไปสอนเด็ก...ไม่รู้ละ เอาเป็นว่าข้าจะให้โสภิตพิไลมาอยู่กับข้าที่นี่ เอ็งจะว่ายังไง”
สาใจหล่นวูบ อึ้งพูดอะไรไม่ออก ไม่อยากจากลูก แต่ก็หมดหนทางจะโต้แย้ง ได้แต่น้ำตาคลอ
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 28 (ต่อ)
ฝ่ายโสภิตพิไลนั่งรอที่ศาลาท่าน้ำ ทอดสายตามองสายน้ำที่ไหลเอื่อย ท่าทีเหม่อลอย ทันใดนั้น เด็กสาวก็แลเห็นเงาหน้าของผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนในน้ำ หน้าของชายนั้นโผล่ขึ้นข้างหลังเธอ
โสภิตพิไลตกใจ ลุกพรวด หันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเธอไปชนกับชายที่แอบมายืนข้างหลัง โสภิตพิไลเสียหลัก ซวนเซตกน้ำ ถูกชายนั้นคว้ากอดไว้ทั้งตัว แล้วดึงเข้ามาอย่างแรง จนตัวเองเสียหลัก ล้มลงไป
“ว้าย”
โสภิตพิไลรีบลุกจากอ้อมกอดของชายแปลกหน้า ชายคนนั้นแต่งตัวแนวสปอร์ต ดูดี ใบหน้ายิ้ม นัยน์ตาพราวแบบหนุ่มเจ้าเสน่ห์
โสภิตพิไลเขินจัด “คุณ”
ชิษณุ ชายหนุ่มวัย 28 ปี ยิ้มชี้อกตัวเองกวนๆ “ชิษณุ”
โสภิตพิไลเขิน พูดไม่ถูก “ฉัน...”
ชิษณุบอกกวนๆ “ขอโทษ ที่ชนผมจนล้มไป...ขอบคุณ ที่ผมช่วยคุณไม่ให้ตกน้ำเลือกเอาซักอย่าง”
โสภิตพิไลเลิกเขิน เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้ “คุณเป็นใคร”
ชิษณุตีรวน “ผิด! เอาใหม่ ขอโทษหรือขอบคุณ หรือทั้งสองอย่าง พูด!”
โสภิตพิไลเชิดใส่ “ไม่”
โสภิตพิไลเดินหนี ชิษณุคว้ามือไว้
ชิษณุอมยิ้ม “พูดเดี๋ยวนี้!”
โสภิตพิไลแกล้งดุ “ปล่อยมือฉัน”
ชิษณุดึงเข้ามาใกล้ “พูดก่อน ไม่งั้นไม่ปล่อย”
โสภิตพิไลโมโห “นี่คุณจะบ้าเหรอ”
“บ้ามากด้วย” ชิษณุเข้ามาใกล้อีก จนหน้าเกือบชิด “พูด!”
“ฉันจะร้องให้คนช่วย”
ชิษณุดึงโสภิตเข้ามาใกล้อีก จนเกือบจะกลายเป็นหอมแก้ม “พูด”
โสภิตพิไลกลัว รีบพูด “ขอโทษ” ชิษณุเข้าไปใกล้อีกจนหน้าชิดแก้มทีเดียว “ขอบคุณ”
ชิษณุชนะแล้วก็หัวเราะ ยอมปล่อย โสภิตพิไลทั้งเขิน ทั้งโกรธ ทั้งหวั่นไหว
“ว้า...อดเลย” ชิษณุเปลี่ยนเป็นชวนคุยอย่างร่าเริง “ตกลงคุณเป็นใคร ชื่ออะไร”
โสภิตพิไลค้อนก่อนบอก “โสภิตพิไล”
“มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาทำธุระกับคุณป้า แล้วคุณล่ะ”
“ผมมารับคุณแม่...”
พอดีหวนวิ่งเข้ามาเรียกในจังหวะนี้
“คุณหนูขา” หวนชะงัก เมื่อเห็นชิษณุ “อ้าว คุณนุ”
ชิษณุแปลกใจ “มีอะไร น้าหวน”
หวนบอกกับโสภิตพิไล “หม่อมท่านให้มาตามคุณหนูเข้าไปพบค่ะ ไปเลยค่ะ”
โสภิตพิไลหันมาทางชิษณุ “ไปก่อนนะคะ... หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก”
โสภิตพิไลเดินตามหวนไปชิษณุมองตามจนสองคนนั้นลับไป แล้วจึงเอามือแตะหัวใจ ทำท่าเหมือนตกหลุมรักอย่างแรง
“Oh man. ใครจะเชื่อ... Love at first sight”
โสภิตพิไลลงนั่งที่พื้นห้องโถงข้างๆ สา มองไปที่หม่อมพริ้ม ที่พูดกับเธอด้วยเสียงหนัก เข้ม แต่มีเมตตา
“โสภิตพิไล ฉันชื่อพริ้ม เป็นหม่อมในหม่อมเจ้าโชติช่วงรวี รวีวาร เป็นแม่ของหญิงโสภา ก็เท่ากับว่าฉันเป็นยายของเธอ”
สากระซิบ “กราบหม่อมยายสิคะ โสภิต”
โสภิตพิไลยกมือขึ้นพนม ตั้งท่าจะกราบ หม่อมพริ้มส่งเสียงขัด
“เดี๋ยว” โสภิตพิไลชะงัก “เข้ามานี่” โสภิตพิไลขยับจะลุก หม่อมพริ้มปราม “คลานเข่าเข้ามา”
โสภิตพิไลคลานเข่าเข้าไปหา หม่อมพริ้มมอง
“เข้ามานี่...มาใกล้ๆ”
โสภิตพิไลเข้าไปจนชิด หม่อมพริ้มสั่ง
“กราบผู้ใหญ่ไม่เหมือนกราบพระ กราบเป็นไหม”
คุณหญิงทั้งสี่มองโสภิตพิไลเป็นตาเดียว
โสภิตพิไลตั้งใจกราบลงแทบตัก หม่อมพริ้มเชยคางโสภิตพิไล มองหน้า พลางกล่าวต้อนรับ
“เธอพลัดพรากจากรวีวารไปตั้งแต่เกิด ยายดีใจนะ ที่เธอกลับมา...รู้จักกับป้าๆ น้าๆเสียซี”
หญิงโศภีแนะนำตัว “ฉันชื่อโศภี เป็นพี่คนโต”
โสภิตพิไลยกมือไหว้แต่ละคนอย่างนอบน้อม
หญิงศุภลักษณ์ยิ้ม ท่าทางใจดีกว่าคนอื่น “ฉันชื่อศุภลักษณ์ หนูเรียกฉันว่าป้าหญิงรองก็ได้”
หญิงจิ๋มเชิดใส่ “ฉัน...สิริพรรณราย”
หญิงจ้อยยิ้มบอก “เรารู้จักกันแล้ว”
“ค่ะ น้าหญิงจ้อย”
โสภิตพิไลหันมองชายรวีเป็นคนสุดท้าย คุณชายรวีพูดติดตลก ให้บรรยากาศสดใส
“ผมเป็นน้องเล็ก เป็นผู้ชายคนเดียว เพราะฉะนั้น โสภิตเรียกผมว่าน้าชายเฉยๆ ก็ได้”
“ค่ะน้าชาย”
หม่อมพริ้มกระแอม ให้โสภิตพิไลหันมาฟัง “ฉันตกลงกับ...สา...แล้ว ว่าจะเป็นการดีกว่า ถ้าเธอจะมาอยู่ที่นี่”
โสภิตพิไลหันมามองสา “หรือคะ คุณป้า”
สาอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน แต่จำใจ “จ้ะ ที่นี่เหมาะกับโสภิตของป้าที่สุดแล้ว”
โสภิตพิไลอดห่วงไม่ได้ “ไม่มีหนู แล้วคุณป้าจะอยู่ยังไงคะ คนเดียว”
“ไม่ต้องห่วงป้าหรอกจ้ะ” สามองหน้าทุกคน แล้วไปจบที่หม่อมพริ้ม “สามาคิดดูสาก็ทำบาปหนัก ฆ่าคนตายไปทั้งคน ก็อยากจะทำบุญล้างบาปบ้าง”
สาหันไปพูดกับโสภิตพิไล
“ตอนแรกป้าก็ยังห่วงหนู แต่หนูมีคนดูแลแล้ว ป้าก็หมดห่วง...ป้าก็เลยคิดว่า ป้าจะไปบวชชี”
ทุกคนแปลกใจ แต่ก็ไปในทางดี
“เอ็งคิดได้อย่างนั้นก็ดี นังสา ข้าอนุโมทนาด้วย”
หม่อมพริ้มมองสา รู้สึกเบาใจลง ชายรวียิ้มให้กำลังใจสา
ฝ่ายชิษณุเดินร้องเพลงฝรั่งเข้ามาที่เรือนบ่าวอย่างอารมณ์ดี
“Wise man say, only fools rush in.
But I can’t help falling in love with you”
จวนที่กำลังเตรียมผักจะทำกับข้าวเห็นเข้า ทักทายเสียงใส
“แหม อารมณ์ดีจริงนะคะ คุณชิษณุ …วันนี้ลมอะไรพัดมาถึงนี่ได้คะ”
“น้าหวนล่ะ ยายจวน”
“รับใช้อยู่ข้างบนโน่นแน่ะค่ะ คุณนุจะเอาอะไรหรือคะ”
“ว้า...เออ งั้นถามยายจวนก็ได้ รู้จักคนที่ชื่อโสภิตพิไลไหม”
เจิมที่นั่งพิงเสาอยู่อีกมุม หันมาฟัง สนใจ
“อ้อ คุณหนูโสภิตพิไล เธอเป็นลูกสาวของคุณหญิงโสภาค่ะ”
ชิษณุงง “คุณหญิงโสภา? ใคร”
จวนแปลกใจ “อ้าว คุณหญิงรองไม่เคยเล่าเรื่องคุณหญิงโสภาให้คุณนุฟังหรือคะ”
ชิษณุส่ายหัว “ไม่”
“อ้าว...เอ...แล้วจวนจะพูดดีไหม” จวนลังเล
“ดีสิ ยายจวน” จวนลังเลอยู่นั่น “เล่ามาเดี๋ยวนี้” ชิษณุคว้ากระจาดผักจากมือไป ขู่ท่าทีตลกๆ “ไม่งั้น ไอ้หัวกระหล่ำนี่เคราะห์ร้ายแน่” เขาเอามีดมาจ่อที่หัวกระหล่ำ “บอกมายายจวน อย่าให้ฉันโมโห โสภิตพิไลเป็นใคร”
จวนว่าจะพูด แล้วเกิดเปลี่ยนใจ “วุ้ย ไม่เอา คุณไปถามคุณหญิงรองเองเถอะค่ะ เดี๋ยวหม่อมท่านจะหาว่าอีจวนปากมาก”
ชิษณุทิ้งหัวกะหล่ำลงกระจาด ผิดหวัง
“โธ่เอ๊ย ไม่ได้อย่างใจเลย”
ชิษณุเดินออกไป จวนมองตามขำๆ แล้วพูดกับเจิม
“คุณนุนี่ตลกดีนะ พี่เจิม โตแล้วยังเล่นเหมือนเด็กๆ” พอเห็นเจิมไม่ตอบ เลยหันไปดู “พี่เจิม”
จวนเห็นเจิมนั่งเหม่อ ใจลอย เหมือนไม่ได้ยิน
“อ้าว ปล่อยเราพูดคนเดียวอยู่ได้” จวนตะโกนเสียงดัง “พี่เจิม”
เจิมสะดุ้ง “ว้าย แตกตกหกพัง...อีจวน กูตกใจหมด มึงจะตะโกนทำไม”
“ก็เห็นใจลอยไปถึงไหนๆ”
“ใจลอยก็ใจกู มึงจะเรียกกูทำไม”
จวนบุ้ยใบ้ “มีคนมาหาแน่ะ”
เจิมมองไป เห็นหวนเดินนำสาเข้ามา ก็ชักสีหน้าใส่ แล้วเดินหนีทันที
สาวิ่งตามเจิม ที่กระย่องกระแย่งหนีไปอีกมุม คนอื่นๆ เดินตามสามาเป็นพรวน
“ป้า ป้าเจิมจ๋า ฟังฉันก่อน...”
“กูไม่อยากเห็นหน้ามึง จะไปไหนก็ไป”
“ฉันมาลา” เจิมชะงัก “ฉันจะบวช ฉันมาขออโหสิกรรมจากป้า ป้าจะใจดำไม่ยอมอโหสิกรรมให้ฉันหรือ”
เจิมหันมา ใจอ่อนยวบ
ต่อจากตอนที่แล้ว
ในเวลาต่อมาทุกคนอยู่ในเรือนบ่าว เจิมนั่งลงสากราบลงกับตัก
“ฉันขออโหสิกรรมนะป้านะ ความผิดบาปชั่วช้าที่ฉันทำให้ป้าเสียใจ ขอให้ยกโทษ อโหสิกรรมให้ฉันด้วย” สาหันมองจวนกับหวน “น้าจวนกับพี่หวนด้วยนะ”
สองคนบอกว่า “เออ” พร้อมกัน
“เอ็งบวชก็ดีแล้ว บวชไปจนตายไม่ต้องสึกได้ยิ่งดี เผื่อชาตินี้ เอ็งจะเป็นคนดีกับเขาได้บ้าง” เจิมบอก
หญิงจิ๋มเดินวนเวียนไปมาอยู่ที่ชั้นล่างตำหนักขาว ท่าทางเบื่อหน่าย โดยคุณหญิงคนอื่น นั่งๆ ยืนๆ รออยู่ เตรียมตัวจะกลับ ส่วนสานั่งรออยู่เงียบๆ เจียมตัว
หญิงจิ๋มบ่นบ้าตามประสา “หม่อมแม่มัวทำอะไรอยู่นะ”
“ท่านก็บอกแล้วไง ว่าจะพาโสภิตไปกราบท่านตา” หญิงจ้อยบอก
หญิงจิ๋มไม่วายบ่น “ทำไมนานนัก”
ชายรวีล้อ “ท่านพ่ออาจจะมีเรื่องพูดกับโสภิตหลายเรื่อง”
“บ้า ไร้สาระ...หญิงไม่รอดีกว่าค่ะ มีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่าง” หญิงจิ๋มปรายตาไปทางสา “นี่ก็เสียเวลามากแล้ว” แล้วยกมือไหว้ลาโศภีกับศุภลักษณ์ “หญิงลานะคะ พี่หญิงฝากกราบลาหม่อมแม่ด้วย”
หญิงจิ๋มเหลียวขวับหันกลับจะเดินออกไป ชิษณุสวนเข้ามาจนเกือบชนกัน
“ว้าย” พอเห็นว่าเป็นชิษณุก็ด่า “เด็กบ้า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
หญิงจิ๋มเดินหน้าตึงออกไป ชิษณุยักไหล่ ทำท่ากวนไม่แคร์
“อะไรของเค้าเนี่ย ผมเจอน้าหญิงจิ๋มทีไร ก็อารมณ์เสียตลอดตั้งแต่สาวยันแก่”
“ดู๊ ปากคอเราะร้าย” หญิงโศภีเอ็ด
“ก็จริงนี่ฮะ” ชิษณุว่า
หญิงจ้อยขำ “เถียงคำไม่ตกฟากด้วย”
“โห ด่าซะยาก” ชิษณุหัวเราะหันไปพยักพเยิดกับชายรวี “แปลว่าอะไรท่านผู้พิพากษา ไอฟังแล้วมึน”
หญิงศุภลักษณ์ดุลูกชาย “นี่...เอาใหญ่แล้วนะ ไอๆ ยูๆ อะไร ชายรวีเขามีศักดิ์เป็นน้าชาย”
“เขาอายุเท่าผมครับคุณแม่” ชิษณุโต้
หญิงโศภีดุท่าทีจริงจัง “อายุเท่าไหร่ก็ช่าง เขามีศักดิ์เป็นน้า เป็นญาติอาวุโส เธอต้องเคารพนบไหว้ ทำตัวให้มันสมกับเป็นลูกชาติลูกตระกูลหน่อย”
หญิงศุภลักษณ์ตีลูกเผียะ “นั่นไง แม่เลยพลอยโดนว่าจนได้ ว่าไม่สั่งสอนลูก”
“สอนแล้วฮะ ผมไม่ฟัง...แล้วนี่คุณแม่เสร็จหรือยัง จะกลับเลยไหม”
“รอลาหม่อมยายก่อน”
ชายรวีหันไปทางบันได “โน่นแน่ะ หม่อมยายมาพอดี”
ทุกคนหันไปมอง เห็นหม่อมพริ้มเดินนำออกมา ชิษณุเข้าไปกอดประจบ
“ฮัลโหล หม่อมยาย”
หม่อมพริ้มหมั่นไส้ แต่กิริยาเอ็นดูมากกว่า “ลูกฝรั่งที่ไหน แล้วนี่ไม่มีใครสอนให้ไหว้หรือ”
“กับผู้หญิง ผมชอบกอดมากกว่าฮะ” ชิษณุเห็นโสภิตพิไลยืนแอบอยู่ข้างหลังหม่อมยาย ก็ตกใจ “เฮ้ย มาอยู่นี่ได้ยังไง”
สา และคนอื่นๆ โดยเฉพาะ โสภิตพิไลต่างตกใจ
“คุณ”
หญิงจ้อยแปลกใจ “นุรู้จักน้องด้วยหรือ”
“ยังครับ...อยากรู้จักมาก”
หม่อมพริ้มแนะนำ “เขาชื่อโสภิตพิไล...โสภิตพิไล ไหว้พี่เขาซะ เขาชื่อชิษณุ”
โสภิตพิไลไหว้ ชิษณุรับไหว้ด้วยสีหน้าสะใจ
“โสภิตพิไลเขาเป็นลูก ของน้องสาวของแม่” หญิงศุภลักษณ์เสริม
“อะไรนะ”
ทั้งชิษณุทั้งโสภิตพิไลต่างตกใจ
“ใช่ แม่ของโสภิตพิไลเขาเป็นน้องแท้ๆ ของหญิงรอง ก็นับเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรานั่นแหละ ชิษณุ”
ชิษณุช็อก! มองหน้าโสภิตพิไลอึ้งๆ แทบไม่อยากเชื่อ
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 28 (ต่อ)
อีกสองสามวันต่อมา สานั่งอยู่ที่ศาลาวัด ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ ร่มเย็น มีโสภิตพิไล เพ็ญศรี แป้น และสุขนั่งอยู่ด้วย
สาถามไถ่ลูกสาว “โสภิตหนูจะไปอยู่กับหม่อมยายวันไหน”
“หนูเรียนท่านว่า รอให้คุณป้าบวชเสร็จ แล้วหนูจะเข้าไปค่ะ”
“ดี ป้าจะได้หมดห่วง...ว่างๆ หนูมาเยี่ยมป้าบ้างนะ”
โสภิตพิไลยิ้มนิ่งๆ ไม่ได้ว่าอะไร สาหันไปสั่งเสียเพ็ญศรี
“เพ็ญ ฉันยังมีห้องแถวอยู่ 2 ห้อง ตอนนี้ปล่อยให้เขาเช่า เธอเอาค่าเช่าเก็บส่งเป็นค่าขนมให้โสภิตครึ่งนึง ส่วนที่เหลือเอาฝากธนาคารไว้”
“ค่ะ คุณสา”
สาหันมาทางสองปิยมิตร “พี่สุขพี่แป้น ฉันฝากโสภิตด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงคุณสา บวชให้สบายใจเถอะ” สุขบอก
“ฉันอนุโมทนาบุญด้วย คุณสาไม่ต้องห่วง ตั้งใจให้มั่น จะได้ได้กุศลมากๆ นะ” แป้นว่า
เพ็ญศรีหันไปเห็น “คุณชายรวีมาแน่ะค่ะ”
สาหันไปยิ้มทัก นัยน์ตาพราว ดีใจ ปลื้มใจเหลือเกิน
“คุณชาย ไม่นึกว่าจะมา”
“วันสำคัญของคุณสา ผมจะไม่มาได้ยังไงครับ”
สามองชายรวีอย่างตื้นตัน “ฉันฝากโสภิตพิไลด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ โสภิตเป็นหลานสาวของผมคนนึงเหมือนกัน”
สุขดูนาฬิกาบอก “ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะคุณสา เดี๋ยวพระท่านจะรอ”
ในห้องมิดชิด สานั่งอยู่ตรงหน้าแม่ชีสูงอายุคนหนึ่ง มีชุดขาวสะอาดตาอยู่ตรงหน้า แม่ชีส่งกรรไกรให้สา
“ตัดผมออกเสียก่อน เดี๋ยวฉันจะช่วยโกนผมให้”
สาจับปลายผมยาวสลวยของตัวเองมาดู ทำใจ
“ความสวยความงามมันเป็นเชื้อของกามตัณหา ตัดผมออกได้ ถึงค่อยตัดกาม กิเลสออกจากใจ”
สามองหน้าตัวเองในกระจกเงา แวบหนึ่ง หวนคิดไปถึงอดีต ตอนที่หม่อมน้อยเคยชมว่าสาสวย และความสวยจะทำให้สบาย
สาตัดใจ หยิบกรรไกรมาตัดผมออก
สานุ่งขาวห่มขาวแล้ว โกนผมโกนคิ้วออกจนหมดจด ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินเข้าไป คนอื่นๆ เดินตามไปห่างๆ
สานั่งพับเพียบอยู่หน้าพระ กล่าวคำขอบวชชีและสมาทานศีลแปด ทุกคน นั่งห่างออกมา มองอย่างชื่นชม
“เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวะตัง สระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ปัพพัชชัง มัง ภันเต สังโฆ ธาเรตุ อัชชะตัคเค ปาณุเปตัง สะระณัง คะตัง”
สาพนมมือ อย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปสักระยะ สาเดินออกมาจากอุโบสถ บัดนี้เป็นแม่ชีสาแล้วเต็มตัว
โสภิตพิไลไหว้ “หนูลานะคะ แม่ชี”
แป้นอนุโมทนา “อยู่ดีนะคะ แล้วฉันสองคนจะมาเยี่ยมบ่อยๆ”
เพ็ญศรีบอก “ฉันจะมาทุกเดือนค่ะ”
สามองชายรวีกับโสภิตพิไล ยังอาลัยอาวรณ์นิดๆ
ชายรวีทอดยิ้มอ่อนโยน “อนุโมทนาบุญนะครับ แม่ชี ขอให้ได้กุศลผลบุญสมกับที่ตั้งใจนะครับ”
“ค่ะ ฉันอยู่ทางนี้ จะสวดมนตร์ภาวนาขอให้พระคุ้มครองคุณชายทุกวันค่ะ”
แม่ชีสาหันหลังเดินกลับไป มีแม่ชีชราคนเดิมมายืนรอรับ ทุกคนยิ้ม มองตามอย่างมีความสุข
“คุณป้าคงได้พบกับความสุขที่แท้จริงซักที” โสภิตพิไลหันมาบอกกับชายรวี “ฉันดีใจจังเลยค่ะ”
แปดเดือนผ่านไป ตรงบริเวณลานวัดอันร่มรื่น แม่ชีสากวาดใบไม้อยู่ เพ็ญศรีเดินเข้ามาหา
“แม่ชีคะ”
“อ้าว เพ็ญ...มาตรงเวลาเป๊ะเลยนะ”
ในเวลาต่อมาแม่ชีนั่งฟังเพ็ญศรีรายงานอยู่ใต้ร่มไม้
“ห้องแถวข้างๆ เขาอยากจะขาย ฉันเห็นว่าราคาไม่แพง เงินที่ได้จากขายไนต์คลับของเราก็มีอยู่ ฉันเลยว่าน่าจะซื้อเอาไว้”
“แล้วแต่เพ็ญเถอะ...ได้ข่าวโสภิตบ้างไหม”
“เค้าไม่มาเยี่ยมแม่ชีเลยเหรอคะ”
แม่ชีสาหน้าเศร้า “เมื่อสองสามเดือนแรกก็มาทุกอาทิตย์ ต่อมาก็หายไปเลย”
ในวันถัดมา แป้นกับสุขแวะมาทำบุญที่วัด แป้นบอกเรื่องโสภิตพิไล
“หนูโสภิตแกคงจะยุ่งมั้งคะ เห็นว่าแกกลับไปเรียนที่จุฬาแล้ว”
แม่ชีสาฟังแล้วดีใจ “ดีจัง”
สุขอวดใหญ่ “โสภิตแกเรียนเก่ง เรียนอยู่คณะอะไรนะยายแป้น...” ตาสุขนึกได้ “เออ...อักษร อักษรศาสตร์ จุฬา วันก่อนยังใส่เครื่องแบบมาอวดแหม โก้เชียว”
“แกไปเยี่ยมพี่สุขหรือคะ”
แป้นเห็นแม่ชีสาหน้าเศร้าคล้ายน้อยใจ แอบหยิกผัว พลางเปลี่ยนเรื่อง
“คุณชายรวีเธอก็ไปเป็นชาวจุฬาเหมือนกันนะคะ แต่ไปสอน…เธอไปเป็นอาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ค่ะ”
แม่ชีสายิ้ม เรื่องราวข่าวคราวของชายรวีมีแต่ทำให้ปลื้มใจ
วันเดียวกัน ในบรรยากาศสวยงามร่มรื่น ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเดินมา มีเสียงเพลงร้องประสานเสียงของกลุ่มนิสิตชายดังขึ้น
“ขวัญเอยขวัญใจ จุฬา”
เจ้าของเท้าคู่นั้นชะงัก เสียงเพลงก็หยุดลง พอเท้าคู่นั้นเดินต่อ เพลงก็ดังตามจังหวะเดิน
“โฉมเจ้าโสภาผ่องพรรณ”
เจ้าของเท้าคู่นั้นคือโสภิตพิไลในชุดนิสิตหญิง หอบตำราเรียนเดินไปตามทาง โดยข้างทาง ใต้ต้นจามจุรี มีกลุ่มนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ชายในชุดยูนิฟอร์มจับกลุ่มร้องเพลงแซว
“สวยเอยสมเป็นมิ่งขวัญ ล้ำลาวัลย์ขวัญจุฬาน่ารักเอย”
โสภิตพิไลอมยิ้มอย่างขำๆ จะเดินต่อ นิสิตชายท่าทางทะลึ่งคนหนึ่งก็กระโดดออกมาขวางหน้า
ร้องเพลง
“บุญเอยบุญใดจึงได้ขวัญใจอย่างนี้ โสภาผ่องศรี ฤดีติดตรา”
หนุ่มน้อยคนอื่นๆ กระโดดตามมาล้อมโสภิตพิไล ร้องเพลงอยู่รอบตัว โสภิตพิไลโดนเบียดพัวพันจนแทบเดินต่อไปไม่ได้ หนุ่มๆ ประสานเสียง
“อาภรณ์อันใดประดับไว้ในจุฬา มิเทียมเท่าเยาวภาเป็นคู่จุฬาเสมอเอย ขวัญเอยขวัญใจ จุฬา โฉมเจ้าโสภาผ่องพรรณ สวยเอยสมเป็นมิ่งขวัญล้ำลาวัลย์ขวัญจุฬาน่ารักเอย”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงห้าวดุดังเข้ามา
“นั่นทำอะไรกัน”
นิสิตชายทั้งกลุ่มเงียบกริบ หน้าซีด วงแตก
โสภิตพิไลยิ้มละมุนเมื่อพบว่าเป็นใคร “พี่ปรมัตถ์”
เขาคือปรมัตถ์ หนุ่มหล่อคณะวิศวะในชุดซ้อมรักบี้ เดินถือลูกรักบี้เดินเข้ามา มีลูกทีมตามมาสองสามคน
ปรมัตถ์ดุ “เอนจิเนียร์เราเป็นสุภาพบุรุษ มาจับกลุ่มล้อเลียนผู้หญิงเล่นอย่างนี้หรือไอ้น้อง”
นิสิตชาย 1 หน้าจ๋อง “ผมขอโทษครับ พี่ซีเนียร์”
ปรมัตถ์หันมาถาม “โสภิตจะให้พี่ทำโทษพวกนี้ยังไงดี”
โสภิตพิไลยิ้มขำ “ให้ร้องไปเรื่อยๆ สักยี่สิบรอบดีไหมคะ”
ปรมัตถ์สั่งมาดเข้ม “เอ้า ร้องยี่สิบรอบ ห้ามหยุดนะ ถ้าหยุดน่าดู”
นิสิตชายกลุ่มนั้นร้องเพลงประสานเสียงกันอ่อยๆ โสภิตพิไลยิ้มขำ
ปรมัตถ์บอก “ร้องดังๆ...ดังอีก” แล้วหันไปหาเด็กสาว “โสภิตพี่ว่า...อ้าวโสภิต”
โสภิตพิไลเดินลิ่วไปแล้ว ใบหน้าพรายยิ้ม
เพื่อนลูกทีมรักบี้คนหนึ่งตบไหล่ปลอบ
“ไปโน่นแล้ว เลิกเรียนเขามีคนขับรถมารับทุกวัน ลื้อไม่มีหวังหรอกเว้ยปอ”
ปรมัตถ์มองตาม เห็นแววตาอาลัยอาวรณ์ชัดแจ้ง
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 28 (ต่อ)
บ่ายคล้อยจวนเย็น โสภิตพิไลเดินเร็วรี่ มาที่รถสปอร์ตหรูที่จอดรออยู่แล้ว
“รอนานไหมคะ”
ชายนั้นหันมา เห็นเป็นชิษณุยิ้มให้ มองด้วยแววตาเปี่ยมรัก
“เหมือนซักร้อยชาติ ...แต่รอได้”
“พูดมาก พี่นุ ไปกันเถอะค่ะ”
ชิษณุเปิดประตูให้โสภิตพิไลขึ้นรถ แล้วบรรจงปิด อย่างเอาอกเอาใจ ก่อนจะขึ้นไปขับรถออกไปสองคนไม่รู้ว่า ชายรวียืนมองอยู่จากอีกมุมไม่ไกลนัก เห็นกิริยาอาการของชิษณุชัดเจน รู้สึกไม่สบายใจ
“นายนุ นายทำอะไรของนาย”
ชิษณุขับรถมาตามทาง แล้วจอดที่ริมถนนบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม
“พี่นุจอดรถทำไมคะ”
“พี่ได้งานทำแล้วนะ”
“จริงเหรอ โสภิตดีใจด้วยนะคะ”
“พี่ไม่ยักดีใจ...เค้าจะส่งพี่ไปเมืองกาญจน์ตั้งสามเดือน”
“โอ้โห ตั้งสามเดือน”
“เพราะเราจะไม่ได้เจอกันอีกนาน พี่เลยจะถามเธอ” ชิษณุส่งกล่องแหวนให้ขณะบอกต่อ “เรื่องของเรา”
โสภิตพิไลเปิดดูแหวน อึ้งไป
“พี่นุก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“พี่รักเธอ”
โสภิตพิไลเองก็ชอบชิษณุมาก แต่ลำบากใจ “เรารักกันไม่ได้ค่ะ มันผิด สังคมจะต้องประณาม”
“สังคมคือใคร”
“พี่นุคะ ต่อให้พี่ไม่สนใจสังคม คุณยายหรือคนที่บ้านไม่มีทางยอม”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัว คุณแม่ไม่เคยขัดใจพี่” ชายหนุ่มหยิบแหวนขึ้นมา “ว่าแต่เธอเถอะเธอยินดีรับรักพี่หรือเปล่า”
โสภิตพิไลใจอ่อนยวบ แต่พยายามต้านทาน
“เราเป็นญาติกันนะคะ”
“งั้นเราก็ยิ่งต้องรักกันให้มากๆ จริงไหม”
ชิษณุสวมแหวนให้โสภิตพิไล แล้วดึงมือมาจูบ กระซิบหวาน
“เธอเรียนจบเมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกันนะ น้องรัก”
ชิษณุดึงโสภิตพิไลมากอด โสภิตพิไลโอนอ่อนผ่อนตาม สุขล้ำ
ชายรวีนั่งรออยู่สักพักแล้ว จนเห็นโสภิตพิไลค่อยๆ แอบย่องขึ้นมาที่ชั้นบน
“โสภิต”
โสภิตพิไลสะดุ้ง เอามือไขว้หลัง ซ่อนแหวน “น้าชาย...มายืนทำอะไรคะ เงียบๆ ตกใจหมด”
“เธอออกมาจากมหาวิทยาลัยก่อนน้าเสียอีก ทำไมเพิ่งถึงบ้าน” ชายรวีถามเสียงเรียบ
โสภิตพิไลอึกอัก “เอ่อ...”
“ชิษณุพาไปเถลไถลที่ไหนหรือ”
โสภิตพิไลรู้ว่าชายรวีเห็น ได้แต่ยิ้มแหย
“ไปรับประทานไอศกรีม แล้วก็เดินเล่นค่ะ”
“นายนุจบแล้ว จะทำตัวเจ้าสำราญยังไงก็ได้ แต่เธอยังเป็นนิสิตไม่ควรเตร็ดเตร่ เถลไถล...เอาอย่างนี้ ต่อจากนี้ไป เธอกลับกับน้าดีกว่า”
“แต่ว่า...” โสภิตพิไลจะท้วง
“ยังไงน้าก็ไปสอนพิเศษที่จุฬาทุกเย็นอยู่แล้ว บอกนายนุก็แล้วกัน ว่าน้าสั่ง ให้เธอกลับกับน้า”
โสภิตพิไลฝืนยิ้ม “ค่ะ”
โสภิตพิไลเข้ามาที่ห้องนอน ทิ้งตัวลงกับเตียง เอามือข้างที่ใส่แหวนขึ้นมาพิศดูแล้วยกแหวนมาแตะริมฝีปาก คิดถึงชิษณุ ตาปรอย เศร้าซึ้ง
เวลาเดียวกัน ที่บ้านสวน แป้น สุข นั่งกินข้าวกัน แป้นกินข้าวไม่ลง
“สงสารคุณสาแกเนอะ ตาสุข”
“สงสารแกทำไม”
“ดูท่าทางคุณสาแกเสียใจนะ ที่โสภิตไม่รัก”
“มันก็ไม่รักมาตั้งนานแล้ว ใช่ว่าเพิ่งจะมาไม่รักเมื่อไหร่”
“เอ้า ตาสุข พูดเข้า” พอแป้นมองรอบๆ เห็นว่าอยู่กันสองคน “คนเป็นแม่ ลูกไม่รัก มันก็ต้องมีเสียใจ”
“ก็ใช่ แต่แกก็บวชเป็นชีไปแล้วนี่นะ เอาธรรมะเข้าขย่มทุกวัน มันก็น่าจะปลงได้หรอกมั้ง”
ตาสุขคิดผิดถนัด ด้วยเวลานี้แม่ชีสานั่งพับผ้าอยู่ในห้องพักบนกุฏิ มองออกไปที่ท้องฟ้ายามค่ำ ลมพัดมาเป็นระลอก จนรู้สึกเหงา ลมพัดเอาเสียงปี่พาทย์ลิเกดังมาแต่ไกล สาลืมตัว ลุกขึ้นยืน ฟัง ใบหน้าสาเริ่มมีสีสัน ตาแวววาวขึ้นทีละน้อย
แม่ชีเดินมาเห็นเข้า
“คุณสา ทำอะไรน่ะ”
แม่ชีสาได้สติ หันหลังให้เสียงเพลง “เก็บผ้าอยู่น่ะค่ะ”
แม่ชีรู้ทัน “ทางวัดใต้เขามีงาน เห็นว่ามีลิเกประชันกัน เสียงเลยดังมาถึงวัดเรานี่หนวกหูก็หนีเข้าไปสวดมนตร์ในห้องซะ อย่าฟังมัน
“ไม่เป็นไรค่ะ”
แม่ชีเตือนสติด้วยธรรมะ “นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูถะ ทัสสะนา...พึงเว้นจากการดู ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้องแลประโคมเครื่องดนตรีต่างๆ ได้ยินได้ แต่อย่าไปชื่นชมยินดีกับมัน ผิดศีลนะคุณสา”
สายิ้มจ๋อยๆ
มองออกไปนอกหน้าต่าง แลเห็นพระจันทร์เต็มดวง ด้วยเป็นคืนเดือนหงาย แม่ชีสาสวดมนตร์เสร็จ กราบหมอน แล้วลงนอนบนเสื่อบางๆ พยายามตัดใจ
เสียงปี่พาทย์ลิเกยังดังแว่วมา แม่ชีเผลอไผลฟังไปในกิริยาเคลิ้มคล้อย
แล้วใจก็หวนคิดไปถึงวันที่ไปดูลิเกแล้วเจอสมศักดิ์ แม่ชีสายิ้มพอคิดถึงรักแรกที่มีต่อสมศักดิ์ จิตก็เตลิดไปคิดถึงบทรักอันวาบหวามของสมศักดิ์
แม่ชีสาทนนอนต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นนั่ง ยิ่งข่ม ยิ่มห้าม ความรักความหลังยิ่งพรั่งพรูราวกับสายน้ำไหล ทั้งวิทย์ เซกิ และ ประธาน
สาทนไม่ไหว ต้องลุกออกไปจากห้อง
แม่ชีสาเดินไปที่ตุ่มน้ำตรงนอกชาน ตักน้ำราดตัวโครมๆ จนเปียกโชก แล้วถอนใจอย่างหนักหน่วง
อ่านต่อตอนที่ 29