อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 21
เซกิร้อนใจรีบรุดมาพบโทโมกิทันที
ภายในห้องพักเล็กๆ ของโทโมกิ หน้าต่างปิดหมดทุกบาน แสงในห้องจึงไม่สว่างนัก บรรยากาศในห้องเงียบสงัด ทั่วทั้งห้องโล่งเตียน มีเพียงเสื่อปูที่กลางห้อง และเบาะรองนั่ง
โทโมกิซึ่งอาบน้ำแต่งตัวหวีผมเรียบ สวมใส่ชุดสีขาวสะอาดตา และกำลังจัดวางแจกันดอกไม้เล็กๆ และข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นลงบนเสื่อ เซกิเปิดประตูพรวดเข้ามา
“โทโมกิซัง”
เซกิชะงัก เมื่อเห็นสภาพห้อง รู้ว่าโทโมกิกำลังจะทำพิธีเซปปุขุ อันเป็นพิธีคว้านท้องฆ่าตัวตาย เซกิสงบสำรวมลงทันที รีบคำนับ
“ผมขอโทษ”
“ผมดีใจที่คุณมา เซกิซัง” โทโมกิผายมือไปที่ด้านข้าง “เชิญ”
เซกิเดินมานั่งลงที่ด้านข้างหนึ่งของเสื่อ
“ทำไม” เซกิถาม
“เราแพ้แล้ว ผมยินดีที่จะตาย ดีกว่าอยู่ต่อไปอย่างไร้เกียรติ...เซกิซังจะกรุณาช่วยผมได้ไหม”
โทโมกิเลื่อนปืนไปตรงหน้าเซกิ แล้วคำนับ
เซกินิ่งคิด แล้วตัดสินใจตอบ “ผมจะทำให้ดีที่สุด”
เซกิคำนับตอบ
โทโมกิปลดเสื้อลง เซกิไปยืนด้านหลัง โทโกมิหยิบมีดตรงหน้าจ้วงแทงตัวเอง เซกิลั่นกระสุน ปัง! ตัดเข้าก้านสมอง เลือดกระเซ็นโดนหน้าเซกิ
ใบหน้าหล่อเหลาของเซกิที่เปื้อนเลือด มีหยาดน้ำตาไหลริน
ฟากสาเดินวนเวียนในบ้าน มองดูกระเป๋าเดินทางที่จัดไว้ คำพูดของโสภิตพิไลดังก้องอยู่ในหัว
“หนูอยากไปอยู่กับคุณหญิง ไม่อยากไปอยู่กับป้า หนูบอกให้คุณหญิงมาพาหนูไป”
สากลัดกลุ้มสับสนอย่างที่สุด
“คุณชายรวียังมีหม่อมท่านดูแล แต่นี่...โสภิต แม่จะทิ้งหนูไปได้ยังไงกัน”
คืนนั้นบริเวณหน้าบ้านเซกิ ตกอยู่ในความมืดสลัวยามกลางคืน หน้าบ้านบัดนี้ไม่มีป้ายชื่อร้านแล้ว
เซกิเดินไปที่ห้องๆหนึ่งด้านหลัง เปิดประตูเข้าไป พอไฟสว่าง จึงพบว่าห้องนั้นมีกล่องกระดาษเก็บยาและเวชภัณฑ์ที่ดูสำคัญและมีค่าหายากกว่าปกติ
เซกิยังสวมเสื้อที่มีรอยเปื้อนเลือดไขกุญแจเปิดตู้เหล็ก ข้างในมีกล่อง ใส่ยาแคปซูลเม็ดใหญ่เอาไว้เป็นแถวเซกิหยิบขึ้นมาดู แววตาขมขื่น หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นในห้องนี้
เมื่อปีที่แล้ว โทโมกิกับเซกิอยู่ในห้องนี้ด้วยกัน โทโมกิมองยาในกล่องอย่างสนใจ เซกิอธิบาย
“ถ้าหากเราถูกศัตรูจับได้ แค่เอายานี่ใส่ปากก็จะตายภายในสามนาที...ทหารสอดแนมของคุณควรจะมีไว้”
“สั่งเข้ามาเลย...ในยามคับขัน ถ้าหากเราฆ่าศัตรูไม่ได้ ทหารของผมยินดีตายอย่างมีเกียรติ ดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้”
เซกิเยื้อนยิ้ม พอใจ “ผมจะสั่งให้คุณทันที”
“อย่าสั่งมามากนัก เซกิซัง เพราะอีกไม่นาน ญี่ปุ่นจะชนะสงคราม ผมคงไม่ต้องการยานี้” โทโมกิหัวเราะร่า “คุณอาจจะต้องเก็บไว้กินเอง”
ทั้งสองหัวเราะกัน ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าจะแพ้
สานั่งรออยู่บนเตียง เซกิในชุดยูกาตะเดินเข้ามา แสงในห้องสลัวสวยงาม
“คุณเซกิคะ ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับคุณ”
เซกิลงนั่ง ทำอาการเป็นเชิงให้พูดมา สาพูดต่อ
“ฉันโกหกคุณค่ะ เรื่องเด็กคนนั้น โสภิตพิไลไม่ใช่หลานสาวของฉัน แต่เป็นลูกสาว”
เซกิพึมพำ “อุษาซังมีลูก”
“ค่ะ ก่อนหน้าคุณวิทย์ ฉันเคยมีสามีมาก่อน โสภิตพิไลเป็นลูกของฉัน...ฉันไม่ได้บอกใคร แม้กระทั่งตัวแกเองก็ไม่รู้” สามองจ้องหน้าเซกิ วิงวอน “แต่ถึงแกจะไม่รู้ฉันก็เป็นแม่ ในเมื่อแกไม่ยอมไปญี่ปุ่นกับเรา ฉันก็คงทิ้งแกไปไม่ได้”
เซกิฟังนิ่งๆ สาเข้ามาคุกเข่า อ้อนวอน
“เราไม่ไปญี่ปุ่นได้ไหมคะ ไหนๆ สงครามก็จบแล้ว บ้านเมืองของคุณก็โดนระเบิดพังเสียหาย ไม่ได้สวยงามเหมือนเดิม คุณจะกลับไปทำไมคะ”
เซกินิ่งฟัง แววตาเจ็บปวด สาออดอ้อน
“เราอยู่ที่เมืองไทยเถอะนะคะ...นะคะ”
เซกิยิ้มเศร้าๆ แล้วพยักหน้ารับ
“ตกลง อุษาซัง เราจะไม่ไปญี่ปุ่น ผมจะอยู่กับคุณที่นี่”
สากอดเซกิ ดีใจสุดๆ เซกิกอดตอบ
“ฉันดีใจที่สุดเลย” สาพูดอย่างเพ้อฝัน “เราปลูกบ้านหลังใหญ่ๆ อยู่ด้วยกันนะคะ แล้วฉันจะพาคุณไปไหว้พระแก้ว ไปหัวหิน บางแสน” สาบอกเสียงหวาน “ฉันจะทำให้คุณมีความสุขจนลืมดอกซากุระไปเลย”
สาบรรจงจูบเซกิแล้วดึงร่างรั้งลงมาที่เตียง เซกิตอบสนอง สายิ้มละไม
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 21 (ต่อ)
หม่อมพริ้มรอตักบาตรอยู่ที่ท่าน้ำตำหนักขาว ตอนเช้าตรู่ มีจวนกับหวนช่วยกันเอาขันข้าว อาหารที่ห่อใส่ใบตองหลายห่อ และถาดดอกไม้ธูปเทียนมาให้
“วันนี้หม่อมตักบาตรเยอะกว่าทุกวันนะคะ” จวนทัก
“อึมม์ อยากทำบุญมากหน่อย ใจคอมันไม่ค่อยสบาย”
“สงครามก็เลิกแล้วนี่คะ หม่อม”
“กว่าจะเลิก ก็บาดเจ็บล้มตายกันไม่รู้เท่าไหร่ ข้าอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้สักหน่อย เพื่อนร่วมโลกกันทั้งนั้น”
พระภิกษุพายเรือมาหวนร้องเรียก
“นิมนต์ทางนี้เจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มเตรียมตัวสำรวม พูดเป็นคำสุดท้าย
“ไม่ว่าญี่ปุ่น ฝรั่ง หรือว่าไทย ต่อแต่นี้ไป ขอให้มีแต่ความสงบสุข อย่าได้มาเบียดเบียนซึ่งกันและกันอีกเลย”
พระกับเด็กวัดวาดพายมาจอดเทียบท่า หม่อมพริ้มยกมือไหว้พระ แล้วตั้งใจใส่บาตร
แดดส่องมาที่เตียง สานอนยิ้ม แล้วค่อยๆ ปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างสุขสม
“คุณเซกิคะ”
สาควานมือไปไม่พบ เลยตื่นมาดูเต็มตา เห็นเซกิไม่อยู่บนเตียง
“อ้าว”
สาชะงัก เห็นกุญแจหนึ่งดอกวางไว้บนหมอน สาหยิบขึ้นมา งงๆ
“คุณเซกิคะ”
ไม่มีเสียงตอบ สารู้สึกสังหรณ์แปลกๆ ใจหายวับ
สาสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย เดินลงมาเดินมองหาเซกิที่ชั้นล่าง
“คุณเซกิคะ คุณอยู่ไหน”
ทันใดนั้น มีเสียงตำรวจร้องเรียกจากด้านนอก
“นายเซกิ เปิดประตู...มีใครอยู่ไหม เปิดประตูด้วย”
สาเปิดประตู ด้วยสีหน้าแปลกใจ ที่เห็นตำรวจไทยยืนอยู่สองนาย
“ที่นี่บ้านของนายเซกิใช่ไหม” ตำรวจ 1 ถาม
“ใช่ค่ะ”
“ผมได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจ ให้มาควบคุมตัวนายเซกิไปสอบสวน” ตำรวจคนเดิมแจ้ง
สางงหนัก “สอบสวน! เรื่องอะไร เขาเป็นพ่อค้า ทำมาหากินสุจริต ไม่เคยทำผิดคิดร้ายอะไร ทำไมจะต้องสอบสวน”
“นายเซกิไม่ใช่พ่อค้าธรรมดา เขายังเป็นสายลับของกองทัพญี่ปุ่นด้วย”
สาตกใจสุดขีด
ตำรวจทั้งสองนายเดินเข้ามาในบ้าน ค้นหาตัวเซกิ สาวุ่นวายใจมาก
“เขาไม่อยู่ ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันตื่นมาเขาก็หายไปแล้ว”
ตำรวจ 1 ถาม “รู้ไหมว่าไปไหน”
สาใจไม่ดีอยู่ด้วย ชักฉุน “เอ๊ะ จะไปรู้ได้ยังไง ก็บอกว่าตื่นมาเขาก็หายไปแล้ว”
ทั้งหมดมาถึงห้องทำงาน เห็นไฟเปิดอยู่ แล่บออกมา
ตำรวจ 2 บอกเพื่อน “ในนี้มีคนอยู่”
ตำรวจทั้งสองมองหน้ากัน แล้วตำรวจ 1 ตัดสินใจ สั่งสา
“คุณเปิดเข้าไปก่อน”
สาอึกอัก แล้วเปิดประตูเข้าไป ผลัวะ สาชะงัก เบิกตากว้าง แล้วพอตั้งสติได้ก็ร้องกรี๊ด
ตำรวจทั้งสองพุ่งเข้าไป
ภาพที่ทุกคนเห็นคือร่างของเซกิ แต่งตัวเรียบร้อย นั่งพิงพนักเก้าอี้ตายอย่างสงบ ใบหน้าขาวซีด มีคราบยาสีขาวติดที่ริมฝีปาก ลิ่มเลือดสีแดงสดไหลจากปากและจมูกเปื้อนเต็มเสื้อ
บนโต๊ะทำงานไม่มีของอื่นใด นอกจากธงญี่ปุ่นและรูปของพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต
“คุณเซกิ”
สาร้องไห้โฮ จะวิ่งเข้าไปหา ตำรวจ1 รั้งไว้
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
สาสะบัดสุดแรง วิ่งไปจนได้ ตำรวจ 2 ดึงตำรวจ 1 ไว้ พยักหน้าให้ปล่อยสาไป
“ไม่มีอะไรหรอก ปล่อยให้เขาล่ำลากันก่อน”
สาวิ่งไปกอดศพเซกิร้องไห้ ตำรวจทั้งสองออกไป สาร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ทำไม คุณทำแบบนี้ทำไม แล้วสาล่ะ...ไหนคุณสัญญาแล้วไง ว่าจะอยู่ด้วยกัน” สาสะอึกสะอื้น คร่ำครวญ “บ้านของสา อนาคตของสา คุณสัญญาแล้ว แล้วทำไมคุณหนีไป”
สาร้องไห้ แล้วฉุกคิดบางอย่าง ล้วงมือไปที่กระเป๋าเสื้อคลุม หยิบกุญแจดอกนั้นขึ้นมา มองกุญแจในมือด้วยความสงสัยคาใจ
เวลาผ่านไป ตอนนี้สาแต่งตัวใหม่เรียบร้อย เป็นชุดไว้ทุกข์ ยืนมองตำรวจและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มาช่วยกันขนศพเซกิออกไป
หลังจากนั้นสาไขกุญแจห้องเก็บของ แล้วเปิดเข้าไป เห็นหีบเรียงรายเป็นระเบียบ สามองดูด้วยสีหน้าแปลกใจ
“หีบอะไร” สานึกไปนึกมา “หีบที่ท่านโทโมกิฝากเอาไว้นี่”
สามองดูกุญแจในมือตัวเองงงๆ
“คุณเซกิอยากให้ฉันเจอมัน...ทำไมคะ”
ขวานอันเล็กๆ ถูกฟาดฟันลงที่กุญแจหีบจนหลุดออก
สาเปิดดู แล้วต้องตกใจแทบช็อก เมื่อพบว่าในหีบเป็นทองคำแท่งอัดอยู่จนเต็ม ไวเท่าความคิดสาใช้ขวานฟาดกุญแจที่ล็อกหีบทั้งสิบใบ ปังๆๆๆๆ สาเปิดดูทุกหีบ ครึ่งหนึ่งเป็นทอง อีกครั้งหนึ่งเป็นธนบัตรไทยใหม่เอี่ยมอัดเต็ม สาอึ้ง ตะลึง
“ทอง...เงิน นี่มันอะไรกัน”
สาหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เวลานั้นบทรักรัญจวนจบลงเซกิกอดสาอยู่บนเตียง พูดอย่างดื่มด่ำ
“ผมรักคุณมากนะ อุษาซัง”
“ฉันก็รักคุณค่ะ คุณเซกิ”
“ผมสัญญา ทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมจะให้...”
เมื่อนึกได้ว่านั่นคือคำสั่งเสีย สาหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทรุดลงกับพื้นในห้องลับบ้านเซกิ กอดหีบทองเอาไว้
“ฉันแค่อยากมีใครสักคนที่รักฉัน...ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่...คุณทิ้งฉันไปแล้ว แล้วฉันจะทำยังไงฉันไม่มีใครแล้วนะ คุณเซกิ ไม่มีใครแล้ว”
สาร้องไห้ออกมาปิ่มว่าจะขาดใจ ความฝันทุกอย่างพังทลาย นึกสะทกสะท้อนในอก
เซกิ ลูกอาทิตย์อุทัยจากโพ้นทะเล ผู้ชายอีกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหล่อน...แล้วก็ผ่านเลยไปอีกคนเช่นเคย
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 21 (ต่อ)
ที่บ้านสวน ตอนเย็นวันเดียวกันนั้น สุขเล่าข่าวเรื่องสงครามที่ตนอ่านจากหนังสือพิมพ์ให้แป้นฟัง
“หนังสือพิมพ์เขาว่า พวกไอ้กันมันทิ้งระเบิดถล่มเมืองญี่ปุ่นซะราบ ญี่ปุ่นมันเลยต้องยอมยกธงขาวแต่โดยดี”
“อูย... นี่โชคดีนะ ที่คุณสาแกยังไม่ได้ไปญี่ปุ่นไม่งั้นล่ะก้อ” แป้นทำท่าสยอง “ไม่อยากจะคิด…เอ้า แล้วยังไงอีกล่ะตาสุข เล่าต่อซิ”
“ถึงญี่ปุ่นจะยอมแพ้สงครามแต่บ้านเมืองก็เสียหายยับเยิน ในข่าวเขาว่าจะต้องจ่ายค่า...อะไรนะ” สุขคิดไปคิดมา “หนี้สงครามรึอะไรเนี่ย ให้พวกฝรั่งบานเบอะ คงลำบากไม่น้อยล่ะ”
“อ้าว แล้วคุณสาแกจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยไหมนี่”
แป้นนึกห่วงสาออกนอกหน้า จนสุขหมั่นไส้ “หนังสือพิมพ์เขาไม่ได้ลงเรื่องคุณสานี่ ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไง”
มีเสียงฝีเท้า ปังๆๆ ดังขัดการสนทนาขึ้นมา แป้นกับสุขหันไปมอง เห็นโสภิตพิไลวิ่งหนีขึ้นเรือนมา
“โสภิต...ลูก...” แป้นชะงัก
โสภิตพิไลไม่สนใจ วิ่งตื๋อเข้าห้องไป แป้นกับสุขมองหน้ากันงงๆ
“อ้าว เป็นอะไร ทำท่าหยั่งกับวิ่งหนีใครมา”
สุขกับแป้นลุกขึ้น จะไปตาม เห็นจรินทร์เดินตามมาอีกคน
“พ่อจ๋า แม่จ๋า”
“อะไร ไอ้ริน มีอะไร”
จรินทร์บอก “คุณสามาจ้ะแม่”
“มิน่า”
สุขกับแป้นเข้าใจทันทีว่าโสภิตพิไลวิ่งหนีอะไร
สาเดินขึ้นมาบนบ้าน อยู่ในชุดไว้ทุกข์ ในมือมีกระเป๋าเสื้อผ้า แป้นกับสุขมองหน้ากัน งงๆ
“คุณสา...นึกยังไงถึงมาคะ เย็นย่ำป่านนี้” แป้นมองสาอีกที “มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมาบอกข่าวค่ะ พี่สุข พี่แป้น ฉันกับโสภิตไม่ต้องไปญี่ปุ่นแล้วค่ะคุณเซกิเขา...เขาตายแล้ว”
สาพูดเสียงเรียบๆ แต่เศร้า แป้นกับสุขฟังแล้วรู้สึกใจหาย
สาคุยกับสุขและแป้น อีกมุมในบ้าน สาเล่าเรื่องจบพอดี
“เวรกรรม แล้วนี่คุณสาจะทำยังไงต่อไปคะนี่...” แป้นเห็นใจทอดเสียงอ่อนโยน “ถ้ายังไง มาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ก็ได้นะ คุณสา จะได้มาอยู่กับโสภิตไง”
“เรื่องกินเรื่องอยู่น่ะ ไม่ต้องเกรงใจนะ แค่ปากเดียวท้องเดียว ไม่กระไรหรอก” สุขเสริมอย่างมีน้ำใจ
สามองสุขกับแป้นอย่างซาบซึ้ง
“เรื่องกินอยู่น่ะฉันไม่ลำบากหรอกจ้ะ พี่แป้น พี่สุข...คุณเซกิเขาทิ้งเงินทองเอาไว้ให้ฉันมาก...มากเลยล่ะ...ฉันเองก็ไม่มีใครที่ไหน” สายิ้มออกมา “มาอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะมาช่วยเลี้ยงโสภิต เผื่อแกจะรักฉันขึ้นมาบ้าง”
สาคิดๆ เริ่มมีความหวังในชีวิต
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปขนเงินมาไว้ที่นี่ก่อนแล้วค่อยคิดทีหลัง ว่าจะทำมาหากินอะไรดี”
แป้นงวยงง “ไปขนเงิน...ถึงกับต้องไปขนเลยเหรอ คุณสา”
สายิ้มตาเป็นประกายเจิดจ้า
ในวันต่อมาสาซึ่งยังแต่งชุดไว้ทุกข์ใหเซกิ นั่งอยู่ด้านหน้ารถบรรทุกรับจ้างข้างคนขับ โดยที่กระบะด้านหลัง มีหีบที่ขนมาจากบ้านเซกิมี คนงานที่ไปช่วยยกหีบนั่งเฝ้าอยู่
หีบทุกใบถูกใส่กุญแจใหม่หมด เรียบร้อยทุกหีบ ชายคนขับรถชำเลืองมองสา พยายามเลียบเคียงถาม
“ไปท่าเรือ ตรงสี่พระยาใช่ไหม”
“ใช่ ฉันว่าเรือให้เขารออยู่ที่นั่น”
“ขนลงเรือไป แล้วจะขนขึ้นฝั่งยังไง หีบออกหนัก ตั้งหลายใบ
“ถึงที่นั่นฉันมีคนช่วย ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ในหีบนี่ใส่อะไรเนี่ย หนักยังกับหิน” คนขับซักอยู่นั่น
สาหันมองหน้าคนขับ ดูไม่น่าไว้ใจ ตอบเสียงสะบัดๆ
“หนังสือหนังหา กระเบื้องถ้วยกะลาแตก ขับไปเถอะน่ะ อย่าถามมากเลย ฉันรีบ”
คนขับปรายตามองไปด้านหลังแอบสบตาคนงาน ดูมีพิรุธ ไม่น่าไว้ใจ
ในเวลาเดียวกัน ท่อไอเสียพ่นควันออกมาดำปี๋ แล้วมีเสียงเครื่องกระตุก แลเห็นเป็นรถเก่าจวนจะพังวิ่งปุเลงๆ มาบนถนน แบบกระตุกๆ แล้วดับลง เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งโวยวาย
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
ประตูเปิดออก เท้าในรองเท้าหนังเก่าแทบทะลุ พื้นรองเท้าพะเยิบพะยาบแทบหลุดออกจากกันก้าวลงมาที่พื้น
ประธาน ชายหนุ่มหน้าคมสันก้าวลงมา เขาสวมกางเกงและแจ๊คเก็ตเก๋ แต่เก่า มีรอยปุปะ ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอวมองรถอย่างขัดใจ
“วอนนักนะ ไอ้โกร่ง เอาไว้ชั้นรวยเมื่อไหร่ ฉันขายแกให้เจ๊กแน่”
ในรถ มีสาวน้อยสาวใหญ่อัดอยู่ในรถ แต่ละคนหน้าตาเซ็กซี่ แต่สภาพโทรมๆ ด้วยยังไม่ได้แต่งหน้า แต่ที่แต่งมาเองก็บอกยี่ห้อว่าเป็นคนหากินกลางคืน สาวๆ บ่นกันงึมงำ / สาวนางหนึ่งโผล่หน้าออกมาถาม
สาว 1 ถาม “รถไม่วิ่ง ทำไงดีล่ะ พี่ประธาน”
ประธานประชด “ก็เข็นสิคะแม่คุ๊ณถามได้” ประธานชี้มือ “ไป ไปเข็น”
ประธานขึ้นรถไปประจำที่คนขับ สาวๆ หน้างอ พากันออกมาจากรถ
จากนั้นจึงเห็นบรรดาสาวๆ เข็นรถกันตูดโก่ง ดูตลก เครื่องยนต์รถสะอึกถี่ๆ แล้วติด ชึ่ง! ควันสีดำก้อนใหญ่พุ่งออกมาใส่หน้าสาวทุกนาง เกิดเสียงวี้ดว้าย
สาว 1 กรี๊ด “อ๊าย... พี่ประธาน หน้าฉันพังหมดแล้ว”
รถแล่นได้ตามปกติ ประธานโผล่หน้าออกมายิ้ม ยักคิ้ว กวนแต่มีเสน่ห์มาก
ประธานบ่นอยู่นั่น ใครขึ้นไม่ทัน ไอ้โกร่งไม่รอนะเฟ้ย
สาวๆ ร้องวี๊ดว้ายกันอีกครั้ง รีบวิ่งตามมาขึ้นรถอย่างทุลักทุเล
ฟากสานั่งอยู่ในรถ หันหน้าหันหลัง หน้าตาไม่สบายใจ
“สี่พระยามันไม่ได้ไปทางนี้นี่”
คนขับรถไม่ตอบ สาตวาดแหว
“ได้ยินฉันพูดไหม สี่พระยาไม่ได้ไปทางนี้ แกจะพาฉันไปไหน”
คนขับรถเลี้ยวเข้าถนนซอยขวับ สาตกใจ เอะอะโวยวาย
“นี่ จอดเดี๋ยวนี้ แกจะทำอะไร”
คนขับจอดพรืดเข้าไปในโกดังร้าง ในซอยเล็กและเปลี่ยว แล้วควักมีดพกจากข้างเอวออกมาขู่คุกคาม สาหน้าซีด
“เงียบๆ อย่าเอะอะ แล้วจะไม่เป็นไร”
ที่ด้านหลังรถ กุญแจของหีบใบหนึ่งโดนงัดออก คนงานชื่อมี เปิดฝาหีบ เห็นทองแท่งอร่าม
“โอ้โห”
คนขับที่ขู่สาอยู่ได้ยินตะโกนไปถาม “อะไรอยู่ในหีบวะ ไอ้มี”
มีชะงัก มองดูทองในหีบ แววตาชั่วร้าย เสียงคนขับตะโกนมาอีก
“กูถามว่าอะไรอยู่ในหีบ เครื่องเงิน เครื่องแก้ว หรือว่าอะไร”
“ยิ่งกว่านั้นอีกพี่...” มีทำหน้าเจ้าเล่ห์ “พี่มาดูเองดีกว่า”
คนขับรถเอาผ้าขาวม้ามัดมือสาไว้ แล้วขู่
“อยู่นิ่งๆ นะ ถ้าเอะอะ ตาย”
คนขับลงมาจากรถ ไปด้านกระบะหลัง สาพยายามหาทางดิ้นรนให้หลุด คนขับขึ้นไปที่กระบะหลัง
“เอ็งเจอสมบัติพระศุลีหรือยังไงวะ ไหนดูสิ”
มีพยักพเยิดไปที่หีบ คนขับไปเปิด ทันใดนั้น มีก็แย่งเอามีดจากมือคนขับ แทงเข้าไปที่ลำตัวจนมิดด้าม
“เฮ้ย .. มึง” คนขับโดนมีถีบตกรถลงไปกองกับพื้น
สากระชากผ้าขาวม้าเกือบจะหลุด หันมาเห็นคนตาย ตกใจร้องวี๊ด
“อ๊าย”
มีมองมาที่สา ตาวาว แล้วกระโจนลงมา กะจะฆ่าสาปิดปาก สาหลุดพอดี ส่งเสียงร้อง
“ช่วยด้วยจ้ะ ช่วยด้วย”
“หุบปากนะมึง”
มีปีนขึ้นมาด้านที่สานั่ง สากระโจนหนีไปลงด้านคนขับ แล้วเห็นกุญแจรถคาต่องแต่ง เลยคว้ากุญแจรถมาด้วยแล้วกระโดดลงจากรถ วิ่งหนีสุดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
มีถือมีดวิ่งตามสาไป
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 21 (ต่อ)
สาวิ่งหนีมาสุดชีวิต มียังวิ่งตามจับสา ในซอยเปลี่ยวมีคนไม่กี่คน สาร้องตะโกนให้ช่วยไม่หยุด
“ช่วยด้วยจ้ะ ช่วยด้วยคนนั้นมันเป็นโจร มันจะปล้นฉัน”
ชาวบ้านละแวกนั้นมองๆ มา มีรีบร้องห้าม
“เรื่องของผัวเมียอย่ายุ่งเว้ย .. อีตัวดี มึงอย่าหนีนะ .. โอ้ย”
สาฉวยของใกล้มือขว้างใส่มีหัวแตก เลือดไหลโกรก แล้ววิ่งหนีต่อไป
ส่วนบนถนน เห็นรถของประธานขับแล่นมา จู่ๆ มีเสียงเครื่องสะอึกครืดๆ สาวสี่นางในรถพากันร้อง
“มันเอาอีกแล้ว พี่ประธาน”
“เฮ้ย ไอ้โกร่งๆๆๆ อย่าๆๆ” รถกระตุกถี่ๆ ยังไม่ดับ ประธานโวยวาย “เอ้า อยู่เฉยทำไมเล่า ลงไปเข็นเร็วเดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันหรอก”
สี่สาวกรูกันลงมา ไปที่ท้ายรถ เข็นกันอย่างชำนาญ
สาวิ่งหนีออกมาจากซอยคดเคี้ยว จนทะลุออกมาที่ถนนอีกด้านแล้วเหลือบเห็นมีกุมหัววิ่งตามมาห่างๆ
สาเลี้ยวหาทางรอด มองไปเห็นรถประธานรถกำลังพ่นควันโขมง แล้วเสียงเครื่องก็ดังกระหึ่มขึ้น
สี่สาวร้องเฮ
สาวๆ ร้อง “ติดแล้ว”
เสียงประธานตะโกน
“ติดก็รีบขึ้นมาซี เร็ว”
สี่สาวกรูขึ้นรถ
“เร็ว พวกเราเร็วๆๆๆ” / “เข้าไปซียะ เร็วๆ”
สาฉวยโอกาสช่วงชุลมุน ตีเนียนวิ่งขึ้นรถไปด้วย สาขึ้นด้านหลัง ยัดไปกับอีกสามสาว
ฟากมีกุมหัวที่แตกเลือดไหลวิ่งตามมาถึงปากซอยพอดี ไม่เห็นสา เห็นแต่รถเก่าๆ คันหนึ่งวิ่งปุเลงๆออกไป
ประธานขับรถออกไปได้นิดเดียว สามสาวด้านหลังก็เห็นว่ามีคนแปลกหน้า
4 สาว ร้องกรี๊ดเสียงดัง “ว้าย...”
ประธานดุ “อะไร คนขับรถอยู่ ร้องกรี๊ดกร้าดทำไม”
สาว 1 บอก “มีคนพี่ มีคน”
ประธานยังไม่รู้เรื่อง “เออ ก็มีคนเต็มรถอยู่เนี่ย แล้วจะร้องทำไม”
สาว1บอกอีก “ไม่ใช่พี่ มีคน มีใครก็ไม่รู้อยู่บนรถเรา”
ประธานกับสาวอีกคนด้านหน้าหันไปมอง เจอหน้าสาจังๆ สะดุ้ง ร้องลั่น
“เฮ้ย”
รถจอดเอี๊ยดฝุ่นตลบคลุ้ง ประธานถามสา
“คุณเป็นใคร”
“ฉันโดนโจรปล้น มันไล่ฆ่าฉัน ฉันเลยหนีมันขึ้นมาหลบในรถคุณ” สายกมือไหว้
ประธานมองไปรอบๆ นอกรถ “ไหน โจรที่ว่า”
สามองตาม ไม่เห็นเหมือนกัน “มันคงไปแล้ว”
“งั้นก็เชิญลงไปได้คร้าบ ผมจะไปทำงาน”
สาลังเล แล้วบอกกับประธาน
“คุณไปส่งฉันหน่อยซี”
ประธานตาเหลือก “หา!?”
“ฉันต้องกลับไปที่เดิม ไปเอาของ…พวกคุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ประธานแค่นหัวเราะ ทำท่าปฏิเสธแน่ๆ
สาควักเงินออกมาจากกระเป๋าปึกใหญ่ เอามาแกว่ง ตรงหน้าประธาน
“ฉันจ้าง...เอ้า”
ประธานตาถลน เอื้อมมือไปจะคว้าเงินมาทั้งฟ่อน แต่สาดึงหลบ
“ทำงานก่อน จ่ายทีหลัง”
ในเวลาต่อมามีสายตา 2 คู่แอบมอง ดูมีที่กำลังลากศพคนขับรถออกไปทิ้งที่ด้านหลังโกดัง
เป็นสากับประธานแอบดูอยู่ สากระซิบ
“มันฆ่าพวกเดียวกันเอง แล้วก็จะมาฆ่าฉันต่อ”
ประธานแล้วคุณจะกลับมาทำไม เป็นบ้าเหรอ
“ฉันต้องเอาของฉันคืน เห็นหีบไหม หีบนั่นน่ะ ของฉัน” สาอ้อนประธาน “คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม” สาชูกุญแจขึ้น “ไปขับรถออกมาให้ฉันที”
ประธานชั่งใจ สารู้ทัน
“ฉันให้สองเท่า”
ขณะที่ประธานกับสาวิ่งไปที่รถขนทอง ซึ่งยังจอดอยู่ในโกดังร้าง มีจัดการกับศพคนขับเสร็จแล้ว กลับมาเจอพอดี
“เฮ้ย หยุดนะ”
สาชะงัก อย่างรวดเร็ว สี่สาวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของมี
“พี่จ๋า”
มีหันไปมองตามเสียง ชะงัก ตาค้าง
เห็นนางโชว์ทั้งสี่โพสท่า ถลกกระโปรง แบะเสื้อ ทำท่ายวนสวาทสุดๆ เท่าที่สังขารจะอำนวย มี ตกใจตื่นตะลึง ไม่ได้มีอารมณ์พิศวาสใดๆ
“พวกแกเป็นใคร เข้ามาได้ยังไงวะ”
ประธานมาอยู่ข้างหลังมี ทักเสียงใส
ประธานร้อง “เซอร์ไพรส์!”
มีหันไป ประธานต่อยตูมเข้าปลายคาง มีร่วงไปกองคาพื้น
ประธานกระโดดเข้านั่งที่คนขับ สานั่งข้างๆ ส่งกุญแจให้เร่งยิกๆ
“ขับไปเลย คุณ…เร็ว”
ประธานสตาร์ทรถบรรทุก สี่สาวร้องวี้ดว้าย
“พี่ประท้าน…รอด้วย”
สี่สาวกระโดดขึ้นมานั่งกันแน่นเต็มหน้ารถ ขณะรถแล่นทะยานออกไป
รถบรรทุกขับแล่นออกมาในซอย แลเห็นรถของประธานที่จอดแอบไว้ ประธานร้องโวยวายขึ้น
“เฮ้ย จริงสิ รถผม...ผมขับรถให้คุณแล้วรถผมล่ะ”
“ทิ้งไว้นี่แหละน่ะ จะพังมิพังแหล่อยู่แล้ว ไม่มีใครขโมยหรอก ไป รีบไปส่งฉันที่ท่าสี่พระยาหน่อย ฉันนัดเรือไว้ ป่านนี้เขารอแย่แล้ว”
ประธานเล่นลิ้น “ใสเจีย เสียใจ”
ประธานหักรถเลี้ยววูบ! สาตกใจ นึกว่าเจอคนโกงเข้าอีกแล้ว
“นี่คุณจะไปไหนฉันบอกให้ไปส่งฉันที่ท่าน้ำไง จะเอาไหม เงินน่ะ”
“เอา แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ สายมากแล้ว พวกผมต้องไปทำงานขืนไปสาย ผมโดนเฮียไล่ออกแน่”
สาวๆ ประสานเสียง “แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง”
สามองประธาน แล้วมองสี่สาวที่แทบจะขี่กันอยู่รอบตัว งง
“เฮียไหน? พวกคุณทำงานอะไรของคุณ?”
สาไม่รู้ว่า ที่แท้ประธานและสี่สาว ทำงานที่สตาร์คาบาเรต์คลับ ของเฮียใช้
อ่านต่อตอนที่ 22