สามีตีตรา ตอนที่ 2
พวงหยกลุกพรวดขึ้นทันที กันตาเล่าเรื่องสายน้ำผึ้งให้ฟัง
“นี่นังผึ้งมันกล้าทำขนาดนี้เชียวเหรอ หึม...นังงูพิษ มันน่าจับมาแก้ผ้าประจานนักว่ารูปสวยอย่างมัน จิตใจโสมมหน้าด้าน ไร้ยางอายที่สุด”
“ผู้หญิงมักง่ายกับผู้ชายเสเพล...เคมีเข้ากันเป๊ะ ถึงได้ทำเรื่องน่าอับอายได้ขนาดนี้ต่อไป ห้ามให้ใครพูดชื่อสายน้ำผึ้งให้พี่กั้งได้ยินอีกเด็ดขาดเลยนะคะ” กันตากำชับ
“คุณกั้งของนวล โชคร้ายสลับซับซ้อนเหลือเกิน...” นวลสงสารน้ำตาจะไหล
“เจอเรื่องร้ายขนาดนี้ ไม่รู้จะประคองอารมณ์ตัวเองอยู่ได้รึเปล่า” กุนตีเป็นห่วง
พวงหยกขัดขึ้น
“โฮ้ย...เดี๋ยวมันก็ทำใจได้เอง ยัยกั้งไม่ใช่เพิ่งเคยถูกหักหลังครั้งแรกซะเมื่อไหร่กัน”
“แม่ไม่ได้เลี้ยงยัยกั้งมา แม่ไม่รู้หรอกค่ะว่ายัยกั้ง ดูแกร่งก็แต่ข้างนอกเท่านั้นแหละ” กุนตีเดินหนีไป
พวงหยกตะโกนตาม
“จ๊า...แม่ลูกบังเกิดเกล้า” พวงหยกค้อนกุนตี
“พี่กุ้งพูดถูกค่ะแม่ เขารู้จักพี่กั้ง สมกับที่เป็นคนเลี้ยงพี่กั้งแทนแม่มาจริงๆ”
กันตาเดินแยกไปอีกทาง นวลลุกขึ้นแต่เก้ๆกังๆไม่รู้ควรอยู่หรือควรไป พวงหยกตะโกนตามหลังกันตาไปอีก
“ใช่ซิ แกไม่ได้มีผัวเจ้าชู้เหมือนฉันนี่ ลำพังคอยตามจับ พ่อแกมาใส่กรง ฉันก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว...เชอะ”
พวงหยกหันมาเชอะใส่ตรงหน้านวลพอดี นวลรีบตะปบก้อนน้ำลายคุณนายไว้
“อุ๊ปส์”
“แกล่ะ ไม่สาระแนไปเข้าเฝ้าซับน้ำตาให้เจ้านายเหรอ”
“มะ มะ ไม่หรอกค่ะ นวลไม่ว่าง ตอนนี้นวล ซับล้ำลายคุณนายอยู่” นวลแอบก้มหน้ากัดฟันพึมพำ “ก้อนใหญ่มว๊าก”
“แกเม้าอะไรฉัน นังนวล” พวงหยกจ้องหน้า
“เปล่าค่ะ งั้นนวลขอตัวก่อนนะคะ”
นวลรีบเผ่นแน่บไปทันที พวงหยกพอได้อยู่เงียบๆคนเดียว ก็ได้สตินึกเวทนากะรัตอยู่เหมือนกัน
“ยายกั้งเอ๊ย ทำไมถึงได้ซวยซับ ซวยซ้อน ซวยไม่เลิกแบบนี้นะ”
กะรัตนั่งในอาการเมาอยู่บนโซฟา ในห้องนอน เธอค่อยๆลุกขึ้นไปยังโต๊ะวางกรอบรูป แล้วหยิบรูปเก่าของเธอกับสายน้ำผึ้งตอนเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นมาดู กะรัตยิ่งเห็นภาพ ก็ยิ่งเศร้าคิดถึงความรักความผูกพันในวันก่อนเก่า
ในอดีต...สายน้ำผึ้งในชุดนักศึกษาสะพายกระเป๋า หอบหนังสือ วิ่งลนลานออกจากบ้านเพราะกลัวไปเรียนสาย เสียงกะรัตดังขึ้น
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทู้ยู...”
สายน้ำผึ้งชะงักหันมอง กะรัตในชุดนักศึกษาเดินถือคัพเค้กจุดเทียน 1 เล่ม ออกมาจากมุมที่ซ่อนตัวอยู่ เดินตรงมาหาเพื่อน
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทู้ยู...”
กะรัตเดินร้องเพลงเบิร์ธเดย์จนจบ ตรงหน้าเพื่อนพอดี
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะจ๊ะเพื่อนรัก”
สายน้ำผึ้งเซอร์ไพร้ส์มาก
“กั้ง...”
“เราเป่าเทียนพร้อมกันเลยนะ เราจะได้เป็นเพื่อนรักกันน๊าน นาน”
กะรัตแกล้งทำเสียงสูงลากยาว สองคนหัวเราะขำกัน
“อ้าว...นึง...ส่อง...สั้ม...”
สองคนก้มลงเป่าเทียนพร้อมกัน กะรัตดวงตาเจ้าเล่ห์ เหลือบมองสายน้ำผึ้ง แล้วแกล้งยกเค้กขึ้นให้ชนปลายจมูกสายน้ำผึ้ง แล้วหัวเราะสนุก
“กั้งอ้ะ...เล่นอะไรไม่รู้” สายน้ำผึ้งเช็ดๆที่จมูก ยิ่งเลอะ “หน้าเลอะหมดเลย เดี๋ยวผึ้งต้องไปเรียนด้วยน่ะเนี่ย”
สายน้ำผึ้งแกล้งงอน กะรัตหน้าเสีย
“ฮึ้ย โกรธจริงเหรอ”
สายน้ำผึ้งหันหน้าหนี กะรัตเดินอ้อมไปมองหน้า สายน้ำผึ้งสะบัดหน้าหนีอีก แต่แอบเหลือบตาดูว่าเพื่อนจะทำยังไง กะรัตกลัวเพื่อนโกรธ คิดว่าจะทำยังไง แล้วดึงเทียนออก ยกคัพเค้กทั้งก้อนโปะลงที่หน้าตัวเอง
“นี่แน่ะ” กะรัตละเลงหน้าตัวเองจนเละไปหมด “นี่แน่ะ ๆ”
กะรัตโดดไปยื่นหน้าโชว์
“หายกันนะ”
สายน้ำผึ้งเห็นหน้ากะรัตที่เละไปด้วยเค้กก็ขำ สองคนหัวเราะกันจนตัวงอ
กะรัตหยิบรูปในวันแต่งงานที่สายน้ำผึ้งถ่ายกับเธอในฐานะเพื่อนเจ้าสาว กะรัตมองอย่างเจ็บปวด
จ้องมองใบหน้าสายน้ำผึ้งในรูป แล้วนึกถึงคำพูดของสายน้ำผึ้ง
“พ่อของลูกฉันคือภูเบศร์...ผัวของเธอไง ผัวของเธอก็เป็นผัวฉัน แล้วเขาก็เป็นของฉันก่อนที่เขาจะแต่งงานกับเธอด้วยซ้ำ”
กะรัตมือสั่นแรง เนื้อตัวเกร็งฉีกรูปจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหวี่ยงกระจายออกไปแล้วใช้มือกวาดกรอบรูปพวกนั้นทิ้งลงพื้นอย่างคับแค้น กะรัตร้องไห้อย่างใจสลาย
เย็นวันใหม่...พิศุทธิ์ปิดประตูรถ ถือกระเป๋าคอมพิวเตอร์ลงมา หยุดมองรถคันหรูของหม่อมมลุลีที่จอดรออยู่อย่างหนักใจ เมื่อรู้ว่าจะต้องเข้าไปเจอกับอะไร เขาเดินเข้าบ้านไป
หม่อมมลุลีวางถ้วยชาลง พิศุทธิ์ก้าวเข้ามาพอดี
“กลับมาแล้วเหรอพ่อตัวดี”
พิศุทธิ์หน้าเครียดทันทีกับคำทักทายของย่าวางของลง ยกมือไหว้อ่อนน้อม หม่อมมลุลีจ้องหลานชายอย่างจับผิดตลอด
“หม่อมย่ามีธุระอะไรไม่ทราบครับ”
“ย่าจะมาบอกชายเรื่องนัดดูตัว”
พิศุทธิ์มีท่าทีเอือมระอาทันที
“ผมเคยบอกหม่อมย่าไปแล้วนี่ครับว่า ถ้าผมจะแต่งงาน ผมหาเจ้าสาวของผมเองได้”
“แต่ย่าเจอแล้ว ชายจะต้องไปหาให้เสียเวลาทำไม”
“นั่นมันคนที่หม่อมย่าถูกใจ ไม่ใช่ผมนี่ครับ”
“เรื่องอย่างนี้...มันไม่ได้ใช่แค่ความถูกใจอย่างเดียวนะชาย มันต้องมีความเหมาะสมด้วย หนูชวาลาเป็นถึงลูกสาวของท่านรัฐมนตรีอิสระ แล้วท่านยายของหนูชวาลาก็เป็น หม่อมเหมือนย่า ถึงชายจะมีเลือดบริสุทธิ์จากย่าเพียงครึ่งเดียว ย่าก็อยากรักษาให้ ถ่ายทอด ถึงรุ่นหลาน รุ่นเหลนให้มากที่สุด ไม่ใช่ปะปนกับเลือดไก่กา จนไม่เหลือ คุณค่าของวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ เพราะฉะนั้นหนูชวาลาเหมาะสมกับชาย ที่สุดแล้ว”
เนื้อแพรในชุดไปงานศพ จะเดินเข้ามา เห็นย่าหลานนั่งคุยกันอยู่ก็เลยหาที่บังตัวแอบฟัง
“ย่าไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย เหมือนที่พ่อของชายไปคว้าแม่ดาราปลายแถวนั่น”
เนื้อแพรได้ยินที่ตัวเองถูกแขวะ พิศุทธิ์ไม่ค่อยพอใจนัก
“แต่ที่ผมได้ดีมาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะแม่อบรมเลี้ยงดูผมมาเหรอครับ”
“ชายถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้หรอกว่าแม่ตัวเอง เน่าแค่ไหน”
พิศุทธิ์โกรธแต่ก็เก็บอารมณ์ไว้
“ถึงแม่จะไม่ใช่ราชนิกุล แต่แม่ก็มีความดี มีเกียรติไม่น้อยกว่าใคร”
หม่อมมลุลีโมโหลุกพรวดขึ้น
“คนมีเกียรติที่ไหนจะไปเที่ยวไล่จับผู้ชายแบบนั้น ถึงขนาดเป็นเมียน้อยก็ยอม ไม่รู้จักอาย”
“ท่านพ่อเองก็มีตั้งหลายบ้าน ถ้าแม่จะมีใครซักคนของแม่บ้าง ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน”
“แล้วศีลธรรมล่ะ นี่แม่ดารานั่นเขาไม่เคยสอนลูกเรื่องนี้เลยรึไง”
“ทำไมหม่อมย่าปักใจนักว่าแม่ทำผิด ทำตัวเสื่อมเสียแบบนั้น” พิศุทธิ์อ่อนใจ
“ชายก็เป็นซะอย่างนี้ ย่าพูดแตะต้องแม่ชายไม่เคยได้ มัวแต่ปิดตาไม่เห็นความผิดของแม่...วันนึงคงจะหนีไม่พ้นจะเป็นแบบเดียวกับแม่ละมั้ง”
“ในเมื่อผมมีนิสัยแย่ๆแบบนี้ ผมคงไม่คู่ควรกับผู้หญิงดีๆของหม่อมย่าหรอกครับ”
หม่อมมลุลีถลึงตา โกรธที่หลานเถียงคำไม่ตกฟาก เนื้อแพรส่งเสียงออกไปให้เห็นว่าตนมายืนอยู่ตรงนั้นนานแล้วพิศุทธิ์กับหม่อมมลุลี หันไปพร้อมกัน
“แม่...มาพอดี...” พิศุทธิ์ส่งสัญญาณรู้กัน “ได้เวลาเราต้องไปกันแล้วใช่มั้ยครับ”
เนื้อแพรรับมุกลูก
“จ้ะ ไปกันเลยมั้ยลูก เดี๋ยวจะค่ำเกินไป” เนื้อแพรหันไปยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะหม่อม แล้วก็เลยถือโอกาสลาเลยนะคะ ไปลูกไป”
เนื้อแพรจะคล้องแขนพิศุทธิ์ออกไป หม่อมมลุลีไม่พอใจ
“เสียมารยาท ฉันยังพูดกับหลานฉันไม่จบ”
“ขอตัวก่อนนะครับหม่อมย่า โอกาสหน้าผมจะไปเยี่ยมหม่อมย่าที่วัง”
พิศุทธิ์ยกมือไหว้แล้วรีบคว้าตัวเนื้อแพรออกจากบ้านไป หม่อมมลุลีเจ็บใจที่พิศุทธิ์กำลังทำเหมือนไม่เห็นหัวเธอเลย
พิศุทธิ์เดินมาที่รถพร้อมกับเนื้อแพร
“เมื่อไหร่หม่อมย่าจะหยุดยุ่งเรื่องนั้นกับผมสักทีก็ไม่รู้”
“ก็ต่อเมื่อชายมีคนสักคนแล้วไงจ้ะ...ชายไม่เคยมองใครเลยเหรอลูก” เนื้อแพรหยอก
พิศุทธิ์ฟังคำถามของเนื้อแพร แล้วหัวใจดันตวัดไปนึกถึงกะรัต โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆใจถึงคิดถึง
เธอ
ทางเดินไปศาลาสวดศพยามค่ำคืน...กะรัตในชุดดำเดินโซเซโดยมีกุนตีและกันตาเดินตามมาอย่างห่างๆ กะรัตยังอยู่ในอาการมึนเมา จนกันตาและกุนตีต้องช่วยกันประคอง
“ไหวรึเปล่าเนี่ยกั้ง” กุนตีถามอย่างเป็นห่วง
กะรัตพยักหน้าแบบคอพับคออ่อน กุนตีเห็นแล้วหนักใจ
“บอกแล้วว่าไม่ให้พามาก็ไม่เชื่อ พี่กั้งมาเมื่อวานวันเดียวก็เหลือเฟือแล้ว ให้พ่อรับหน้าคนในงานไปก่อนแล้วกัน นั่งดริ้งค์มาตลอดทางแบบนี้ จะเหลือสภาพเข้าไปได้ยังไง” กันตาบ่นอย่างเหนื่อยใจ
“ให้นวลพากลับไปก่อนดีกว่า นวลเอาอยู่ค่ะ ไม่ต้องห่วง” นวลเสนอ
กะรัตทำท่าจะอาเจียน นวลกระโดดถอยห่าง กุนตีและกันตามองนวลอย่างไม่อยากเชื่อถือ
“แน่ใจนะว่าดูแลได้”
“แหม...นวลแค่ตกใจน่ะค่ะ มากกว่าอ๊วก นวลก็เช็ดมาแล้ว” นวลยิ้มแหยๆ
“ก็ได้ งั้นเราไปฟังสวดกับพี่”
กันตากำชับนวล
“พาพี่กั้งกลับไปดีๆล่ะนวล”
กันตากับกุนตีส่งกะรัตให้นวลแล้วเดินไป นวลประคองกะรัตจะพาไปที่จอดรถ แต่กะรัตแทบไม่มีสติ จะเดิน
“อูย...ระวังค่ะคุณกั้ง...”
“อย่ามายุ่ง ฉันเดินเองได้”
กะรัตสะบัดตัวนวลออกเดินต่อไปแต่สะดุดจะล้ม นวลรีบประคอง
“คุณกั้ง...ดีๆค่ะ เดี๋ยวนวลรีบพากลับบ้านนะคะ” นวลเซจนพาเดินต่อไปไม่ไหว “โอ๊ะๆ ตายๆ จะรอดมั้ยเนี่ย”
ระหว่างหิ้วปีกกะรัต นวลกดโทรศัพท์ตามสมหวังไปด้วย แต่ติดต่อไม่ได้
“โอ๊ย ไอ้หวังเอ๊ย...มันไปจอดรถที่สวรรค์ฉันไหนเนี่ย ถึงไร้สัญญาณขนาดนี้”
นวลตัดสินใจพากะรัตไปนั่งพักที่ม้าหินแถวนั้น
“เอาแบบนี้ดีกว่านะคะ คุณกั้งรอนวลตรงนี้แป๊บบบบนะคะ เดี๋ยวนวลไปตามสมหวัง เอารถมารับแว๊บเดียวนะคะ คุณกั้งอย่าไปไหนนะ”
กะรัตพยักหน้ารับรู้ พร้อมโบกมือไล่ให้รีบๆไป นวลเดินไปแต่ยังไม่วายหันมาห่วง
“อย่าไปไหนนะคะ นั่งนิ่งๆนะคะ”
นวลเดินไป ทิ้งให้กะรัตนั่งเหม่อลอย
พิศุทธิ์ขับรถมาส่งเนื้อแพรที่ลานจอดรถในวัด
“วันนี้แม่โชคดีจริงๆ อยู่ๆก็มีสารถีขับรถมาส่ง”
“ผมขอเลือกมาส่งแม่ดีกว่าครับ ไม่งั้นคงโดนหม่อมย่ายื้อไม่ยอมปล่อยแน่”
“จะว่าไปแม่ก็ชักเสียดาย ท่านอุตส่าห์จะหาลูกสะใภ้ร้อยล้านให้แม่ทั้งที”
“แล้วแม่ไม่เสียดายลูกชายคนนี้บ้างเหรอครับ”
“โถ...”
เนื้อแพรเอามือเข้าไปตบแก้มหยอกพิศุทธิ์เล่นเบาๆแบบเอ็นดู
“ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปด้วยกันไหม”
“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ”
“งั้นชายไม่ต้องรอแม่นะจ๊ะ เดี๋ยวขากลับแม่จะให้เพื่อนไปส่ง”
“ครับ”
เนื้อแพรเข้าไปหอมแก้มพิศุทธิ์ก่อนจะลงจากรถไป รอยลิปสติกติดอยู่ที่แก้มพิศุทธิ์
นวลโดดลงจากรถตู้ สมหวังวิ่งมาจากฝั่งคนขับ นวลชะงักมองหากะรัต
“โอ๊ะโอว...คุณกั้ง...คุณกั้งหายไปไหน...คุณกั้ง...คุณกั้งขา...”
“ซวยแล้วมั้ยล่ะ” สมหวังหน้าเสีย
“โธ่...คุณกั้งของนวล เมาแล้วเป็นแบบนี้ทู้กที...”
“เร็วเลย...รีบหาให้เจอ ไม่งั้นหัวแบะแน่”
สมหวังรีบวิ่งไปตามหากะรัต ขณะที่นวลยังมัวทุบหัวตัวเองด้วยความโมโห
“ไอ้นวลเอ๊ย ทำไมถึงได้งั่งหยั่งงี้ ปล่อยไว้ได้ยังไง๊...ไม่ใช่ไปอาละวาด ในงานนะ”
นวลกับสมหวังรีบวิ่งไปทางศาลา
พิศุทธิ์วนรถผ่านลานจอดออกไปแล้วจู่ๆก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นกะรัตเดินใจลอยอยู่ที่ข้างทาง เขาตกใจที่เห็นกะรัตเดินอยู่ตามลำพังมืดๆ จึงขับรถทิ้งระยะเพื่อขับตามดูอย่างเป็นห่วง กะรัตอยู่ในอาการมึนเมาเดินเหม่อลอยจนไม่ทันมองเห็นมอเตอร์ไซค์ที่กำลังจะออกจากซอยมา มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวเธอจนล้มลง
“โอ๊ย...”
“อีบ้า เซ่อซ่าไม่ดูตาม้าตาเรือ” คนขับมอเตอร์ไซค์ด่า
พิศุทธิ์รีบลงจากรถ หลังจากที่คนขับมอเตอร์ไซค์ขับหายไป
“คุณกะรัต...คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
กะรัตเพิ่งได้สติหันมาเห็นพิศุทธิ์แล้วทำหน้าคิดๆอย่างลังเลว่าเคยเห็นเขามาก่อนรึเปล่า เธอพูดเมาๆ
“ฉันว่าคุณหน้าคุ้นๆนะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า”
พิศุทธิ์ยิ้มๆที่กะรัตเมาจนจำตัวเองไม่ได้ เขาหยิบนาฬิกาที่เธอให้ไว้เป็นค่ารถจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้
“ผมว่าจะฝากคนไปคืนคุณอยู่พอดี”
กะรัตมองนาฬิกาแล้วนึกออกแล้วโวยวาย
“นี่คุณไม่ได้เป็นใบ้เหรอ คุณหลอกฉัน”
“เฮ้ย ผมไม่ได้หลอกอะไรคุณเลย คุณเห็นอะไร คุณก็คิดและเชื่อไปเอง โดยที่คุณไม่ถามผมสักคำ”
กะรัตยัดนาฬิกาคืนใส่มือพิศุทธิ์
“ฉันบอกว่าให้เป็นค่าตอบแทนไง ฉันไม่เคยใช้ใครฟรีๆ”
พิศุทธิ์มองกะรัตอย่างระอา
“คุณไม่รู้จักคำว่าน้ำใจรึไง”
กะรัตหัวเราะเสียงเยาะ
“คำนั้นมันไม่มีจริงหรอกคุณ” กะรัตฟูมฟายด้วยความรู้สึกแค้นที่อัดอั้น “ในโลกนี้มันไม่มีคำว่าน้ำใจ ไม่มีคำว่าความรักแท้ ไม่มีคำว่าเพื่อน”
กะรัตลุกขึ้นจะเดินไปแล้วเซจะล้ม พิศุทธิ์รีบพยุงตัวกะรัตไว้
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า เดินไหวมั้ยเนี่ย ค่ำๆมืดๆคุณออกมาเดินอยู่ คนเดียวทำไม คุณจะกลับเข้าไปในงานศพรึเปล่า ผมจะได้ไปส่งให้”
กะรัตรั้งแขนพิศุทธิ์ไว้
“ไม่...ฉันไม่อยากกลับไปอีกแล้ว”
พิศุทธิ์เห็นอาการของกะรัตแบบนั้นแล้วก็อึ้งไป ไม่รู้จะทำยังไงกับเธอดี
พิศุทธิ์ประคองกะรัตเข้ามานั่งในรถ ก่อนที่จะปิดรถแล้วเดินอ้อมกลับมาที่ฝั่งคนขับ กะรัตมองหน้าเขา สังเกตเห็นรอยลิปสติกที่ข้างแก้มของพิศุทธิ์ที่เนื้อแพรทิ้งไว้ พิศุทธิ์ไม่ทันรู้ตัว ขับรถออกไปโดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกกะรัตจับจ้องอยู่
ระหว่างทางที่ขับรถออกมา พิศุทธิ์มองกะรัตที่เงียบไปอย่างงงๆ
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหนก็บอกมาเลยนะครับ”
“ไปส่งฉัน แล้วคนที่บ้านคุณไม่รอแย่เหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไปส่งคุณได้”
กะรัตมองป้ายบอกทางโรงแรมม่านรูด แล้วรู้สึกแว่บถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
“คุณดีกับผู้หญิงแปลกหน้าทุกคนอย่างนี้รึเปล่า”
“ยังไงนะครับ” พิศุทธิ์งงๆ
“คุณดีกับผู้หญิงทุกคนทั้งๆที่ไม่รู้จักเหมือนอย่างที่ทำให้ฉันรึเปล่า”
“การที่คุณไม่รู้จักผม ไม่ได้แปลว่าผมไม่รู้จักคุณนะ”
กะรัตมองพิศุทธิ์ คิดว่าที่เขาช่วยเพราะอยากรู้จักเธอ
“อ้อ...ลืมไปว่าฉันเป็นคนดังและรวย ใครๆก็รู้จัก และอยากรู้จัก”
กะรัตคิดว่าพิศุทธิ์คิดอยากจับตัวเองเหมือนผู้ชายคนอื่น เธอมองเล็งป้ายโรงแรมม่านรูดที่อยู่ข้างหน้า
“เลี้ยวซ้ายซอยข้างหน้านี่แหละ”
พิศุทธิ์ไม่เอะใจก็เลี้ยวตามไปในซอยที่ดูค่อนข้างเปลี่ยว
“บ้านคุณอยู่ในนี้เหรอครับ”
พิศุทธิ์เริ่มเอะใจเมื่อเห็นป้ายไฟของโรงแรมม่านรูดอยู่ด้านหน้า
“จอด”
พิศุทธิ์ตกใจ
“ว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกให้จอด” กะรัตตวาดอย่างหงุดหงิด
พิศุทธิ์จอดรถอย่างงงๆ หน้าโรงแรมม่านรูด ไม่รู้ว่ากะรัตมาไม้ไหนกันแน่
“คุณจะให้ผมจอดตรงนี้ทำไม”
กะรัตมองพิศุทธิ์ด้วยสายตารู้ทัน
“แหม...ฉันรู้น่า คุณลงทุนวางแผนอยากรู้ฉันขนาดนี้ ฉันก็เปิดโอกาสให้คุณไง”
“ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ”
กะรัตรีบพูดแทรก
“เอาน่า...เราแวะทำความรู้จักกันอีกนิดเถอะนะ ฉันว่าฉันอยากรู้จัก คุณให้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
กะรัตพยักเพยิดไปที่ป้ายโรงแรมในม่านรูดด้านหน้า พนักงานโรงแรมรีบออกมากระพริบไฟฉายเรียกรถของพิศุทธิ์ทันที
“นี่คุณฟังผมก่อน...” พิศุทธิ์ตกใจ
กะรัตทำท่ารำคาญอาการตกใจของพิศุทธิ์
“อย่าทำเป็นโวยวายสร้างภาพว่าตัวเอง ไม่คิดฉวยโอกาสหน่อยเลย ไม่อย่างนั้นคุณจะรับฉันมาด้วยทำไม”
พิศุทธิ์เซ็งแล้วพูดดุกะรัต
“คุณนี่เป็นคนที่เชื่อแต่สิ่งที่คุณเห็นจริงๆ”
“ฉันไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น แต่ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเจอ ผู้ชายที่ฉันเจอ มันก็เป็น เหมือนกันหมด เห็นแก่ตัว ในหัวมีแต่เรื่องเซ็กซ์ เลว” กะรัตดึงมือพิศุทธิ์ให้เดิน เข้าโรงแรม “อยากทำอะไรก็รีบเข้าไปทำ”
พิศุทธิ์ดึงมือออกจากมือกะรัต เริ่มโมโหที่กะรัตดูถูกตัวเอง
“นี่คุณ”
“ทำไมล่ะ...ผู้หญิงแบบฉันมันสู้มืออาชีพไม่ได้ตรงไหน ทั้งเสี่ยง ทั้งสกปรก ก็เห็นพวกคุณไปเกลือกกลั้วกันอยู่ได้ หรือกลัวว่าฉันจะไม่ถึงใจ”
“ถ้าคุณไม่หยุดพูด ผมจะปล่อยคุณไว้ที่นี่”
กะรัตเริ่มโวยวายเข้าเรื่องปมในใจของตัวเอง
“อ้อ หรือว่ากลัวคนอย่างฉันจะผูกมัด”
“ช่วยตั้งสติหน่อยเถอะผมขอร้อง”
กะรัตประชดชีวิตตัวเอง
“จะเล่นตัวทำไม ฉันไม่หลอกกินคุณฟรีหรอกน่า ฉันมันกะรัต หลานเจ้าสัวเลยนะ จะเรียกเงินเท่าไหร่ก็ว่ามา” กะรัตหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา “ผู้หญิงอย่างฉันมันมีดีที่เงิน ใครๆก็หลงรักเงินของฉันทั้งนั้น ลองไม่มีเงิน ไม่มีใครหรอกที่จะมาเห็นหัวผู้หญิงอย่างฉัน บอกมา...จะเอาเท่าไหร่ ฉันเหมานายทั้งคืนเลยก็ได้”
“ไม่เอาน่าคุณ ทำไมถึงทำตัวแบบนี้” พิศุทธิ์เสียงเข้ม
กะรัตพูดไปก็น้ำตารื้นขึ้นมา
“ทำไมอ่ะ...บอกฉันหน่อยว่าทำไม...”
กะรัตจ้องไปใน ตาพิศุทธ์อย่างอยากรู้คำตอบ พิศุทธ์งง...เงียบ
“ฉันอยากลองมั่วดูบ้าง ในเมื่อเป็น ผู้หญิงดีๆแล้วมันไม่ถึงใจ โดนผัวทุกคนนอกใจกันหมด ฉันก็อยากจะรู้ว่าถ้าฉันทำ ตัวส่ำส่อนแล้วจะมัดใจ ผู้ชายได้บ้างไหม”
กะรัตเข้ากอดและจะจูบ พิศุทธิ์จับแขนกะรัตให้ออกห่างจากตัวเอง
“ฟังนะ ผมไม่รู้ว่าคุณไปเจอคนประเภทไหนมา แต่ผมสาบานได้ว่าผมไม่เคยคิดอะไรในทางเกินเลยกับคุณสักนิด”
“ไม่คิดแล้วสะกดรอยตามฉันมาทำไม ทำไมฉันถึงได้เจอคุณทุกที่ๆฉันไป”
“ผมเนี่ยนะสะกดรอยตามคุณ...คุณกะรัต”
“นี่ไง สืบจนรู้ชื่อฉัน แล้วยังจะมีหน้ามาปฏิเสธ”
“ถามหน่อยนะว่าผมจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“ก็หวังจะจับผู้หญิงรวยๆแบบฉันไง”
“ขอโทษนะที่ผมต้องพูดตรงๆ แต่ผมไม่ได้พิศวาสอะไรคุณสักนิด แค่ในเสี้ยว ความคิดก็ยังไม่มีเลย”
กะรัตเหมือนถูกพิศุทธิ์กระแทกแผลที่เจ็บหนักอยู่แล้วซ้ำลงมาอีก นิ่ง...น้ำตารื้นออกมา
“ถ้าคุณอยากจะสนุกประชดชีวิต คงต้องไปหาคนที่เขาเต็มใจ...ซึ่งนั่นไม่ใช่ผม”
กะรัตรู้สึกอัดอั้นจนทำอะไรไม่ได้ อยากจะร้องกรี๊ดก็กรี๊ดไม่ออก จึงได้แต่เปิดประตูพรวดลงไปอย่างแรง
“จะไปไหนก็ไปเลยผู้ชายเฮงซวย”
พิศุทธิ์ได้แต่ถอนหายใจกับพฤติกรรมของกะรัต และพยายามระงับอารมณ์ตัวเองก่อนตัดสินใจลดกระจกถาม
“ถ้าจะออกไปจากตรงนี้ ก็กรุณาขึ้นรถมา แต่ถ้าไม่...”
“ฉัน-ไม่-ขึ้น”
กะรัตพูดพลางสะบัดตัวเดินออกไป พิศุทธิ์หัวเสีย ออกรถไปเร็วๆ
“คนบ้า”
กะรัตถลาออกไปกลางถนนด่าตามรถพิศุทธ์ออกไป…ทันใดนั้น มีรถคันหนึ่งแล่นตรงเข้ามา กะรัตหันมองรถ เสี้ยวหนึ่งของอารมณ์ คิดอยากจะตายๆซะให้รู้แล้วรู้รอด เธอก้าวเร็วๆออกไปยืน มองสู้แสงไฟของรถคันนั้นแบบไม่กลัว เสียงรถคันนั้นบีบแตรยาว...พิศุทธิ์ขับรถออกมาตกใจกับเสียงแตรที่ดังลั่นมองผ่านกระจกหลัง เขาตกใจสุดขีด
สามีตีตรา ตอนที่ 2 (ต่อ)
กฤช กันตา กุนตี และนวล เดินลิ่วจากคนละมุมเข้ามาหากัน ตรงลานหน้าศาลา
“เป็นไง เจอยัยกั้งมั้ย” กฤชถามอย่างร้อนใจ
“ไม่เจอค่ะ มือถือก็ปิด” กุนตีบอกอย่างกังวล
“ที่บ้านก็ไม่ได้กลับไปค่ะคุณพ่อ” กันตาเข้ามาบอก
“ยัยกั้งนะ ยัยกั้ง” กฤชเป็นห่วงลูกสาวมาก
“นวลผิดเองที่ปล่อยคุณกั้งไว้แบบนั้น นี่ถ้าคุณกั้งเป็นอะไรไป นวลจะทำยังไง” นวลร้องไห้สะอึกสะอื้น
เสียงมือถือของกันตาดังขึ้น เธอมองหน้าจอแล้วดีใจ
“พี่กั้งโทรมาแล้วค่ะ” กันตารีบกดรับ “พี่กั้ง...นี่พี่กั้งอยู่ที่ไหน...” กันตาตกใจ “อะไรนะคะ รถชน”
“คุณกั้ง...คุณกั้งของนวล...” นวลร้องไห้โฮ
กันตาฟัง
“โอเค พี่กั้งรอก่อนนะ...เดี๋ยวก้อยจะไปหา”
เนื้อแพรเดินลิ่วมาหากฤชด้วยความร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ แพรเจอคนขับรถคุณเมื่อกี๊ เขาบอกว่าหนูกั้งหายตัวไป”
กันตากับกุนตีมองหน้ากันนิดเดียว กันตาแสดงชัดว่าไม่ค่อยชอบหน้าเนื้อแพร
“ยัยกั้งถูกรถชนน่ะครับ” กฤชหันไปพูดกับเนื้อแพร
“หนูกั้ง...” เนื้อแพรตกใจ
กันตาหันมาบอกพ่อ
“แต่พี่กั้งบอกว่าไม่เป็นไรมากหรอกค่ะพ่อ”
ทุกคนโล่งอก นวลดีใจ ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“คุณกั้ง...” นวลยกมือไหว้ท่วมหัว “สาธุ...คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ๆ”
“แล้วนี่ยัยกั้งอยู่ที่ไหน” กุนตีถามอย่างร้อนใจ
“อยู่โรงพยาบาลคะ พ่ออยู่รับหน้าแขกทางนี้ก่อนดีกว่าคะ...เดี๋ยวก้อยกับพี่กุ้ง ไปดูพี่กั้งเอง”
กันตาจูงมือพี่สาวไปเร็วๆ เนื้อแพรถอนใจ
“หนูกั้งปลอดภัย ก็โชคดีแล้วล่ะค่ะคุณ”
เนื้อแพรจับไหล่ให้กำลังใจ กฤชหันมองเนื้อแพร มึนกับปัญหารอบตัวจนไม่รู้จะแก้เรื่องไหนก่อนดี
พิศุทธิ์นั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน กันตา กุนตี เดินลิ่วมาหาพยาบาลที่หน้าแผนก ถามพยาบาล
“คุณกะรัต ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินใช่มั้ย”
“ค่ะคุณหมอ...กำลังทำแผลอยู่ข้างในค่ะ”
พิศุทธิ์เห็นมีคนถามหากะรัต ก็รีบเดินเข้าไปหา พยาบาลเดินออกไป
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นญาติของคุณกะรัตใช่มั้ยครับ”
สองพี่น้องแปลกใจ กุนตีพยักหน้า
“ค่ะ”
“ผมเป็นคนพาเธอมาส่งโรงพยาบาลเองครับ คุณหมอบอกว่าเธอปลอดภัยดี แต่ก็อยาก ให้แอดมิทดูอาการสักคืน”
“แล้วใครเป็นคนชนคะ ทำไมอยู่ๆถึงเกิดอุบัติเหตุได้” กุนตีถามอย่างสงสัย
“คงเรียกว่าอุบัติเหตุไม่ได้หรอกครับ ต้องเรียกว่าเจตนาฆ่าตัวตายในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนยืนให้รถพุ่งเข้าใส่”
“อะไรนะคะ”
กันตากับกุนตีอึ้งไม่นึกว่ากะรัตจะขาดสติถึงขั้นนั้น
ในห้องพักผู้ป่วย...กะรัตนั่งอยู่บนเตียงยังคงมีสภาพงัวเงียเพราะเมาค้าง มีผ้าปิดแผลแถวๆแขนและขา กุนตียืนกอดอกมองแบบเหนื่อยใจ
“กั้งไม่เป็นอะไรแล้ว พากั้งกลับบ้านเถอะพี่กุ้ง”
“ยืนให้รถชน ยังจะกล้าพูดว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ” กุนตีดุ
“กั้ง...กั้งอยากตาย” กะรัตน้ำตาหยดออกมา “กั้งน่าจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด”
“พี่ไม่นึกเลยนะว่ากั้งจะอ่อนแอขนาดนี้ รู้มั้ยว่าการฆ่าตัวตายมันบาปหนาแค่ไหน” กุนตีส่ายหน้าระอา
กะรัตเชิดหน้าขึ้นมา
“กั้งอยากตาย เพราะจะได้ตามไปคิดบัญชีกับไอ้ผัวเฮงซวย ในนรกต่างหาก”
“เฮ้อ...กั้งเอ๊ย...” กุนตีเข้าไปลูบหัวน้องเตือนสติ “หยุดคิดเรื่องที่มันเป็นอกุศลซะทีเถอะ จะคิดไปทำไมให้จิตใจเศร้าหมอง”
“แต่ชีวิตกั้งมันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ถึงอยู่ต่อไป กั้งก็คงต้องเจอกับความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำอีก...ใจกั้งมันรับไม่ไหวแล้วพี่กุ้ง” กะรัตหน้าเศร้าหมอง
พูดได้เท่านั้น...ก้อนแข็งๆก็แล่นขึ้นมาจุกจนปล่อยโฮออกมาอีก กุนตีรีบกอดน้องไว้ ด้วยความสงสาร
หน้าห้องพักผู้ป่วยโรงพยาบาล พิศุทธิ์ยืนลังเลอยู่ที่หน้าห้อง กันตาเดินมาเห็นพิศุทธิ์ละล้าละลังอยู่ จึงหยุดมองอย่างสังเกต พิศุทธิ์ตัดสินใจเดินผละออกมา พบกันตาพอดี
“ทำไมไม่เข้าไปล่ะคะ”
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ ผมเห็นว่าเธอปลอดภัย ก็สบายใจแล้ว” พิศุทธิ์ยื่นนาฬิกาข้อมือของกะรัตให้กันตา “ผมรบกวนคุณคืนให้คุณกะรัตด้วยนะครับ”
กันตามองนาฬิกาที่รับมาด้วยความแปลกใจ
“นาฬิกาพี่กั้ง เรือนนี้ก๋งให้พี่กั้งเป็นของขวัญ ก้อยจำได้”
“ฝากบอกเขาด้วยนะครับว่าผมช่วยเขาเพราะอยากช่วย ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนอะไร”
พิศุทธิ์พูดจบจะเดินไป กันตารีบเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ...”
พิศุทธิ์หันมา กันตายิ้มแบบไม่สงวนท่าที
“พวกเรายังไม่รู้จักชื่อคุณเลยค่ะ แล้วก็...ขอเบอร์คุณไว้ด้วยได้มั้ยคะ เผื่อว่าเราจะได้มีโอกาสตอบแทนคุณบ้าง”
“ผมชื่อพิศุทธิ์ครับ แต่เรื่องตอบแทน ผมว่าไม่ต้องดีกว่า พี่สาวคุณก็คงไม่ได้ดีใจเท่าไหร่ที่ผมช่วยเขาไว้...ผมลาเลยแล้วกันนะครับ”
พิศุทธิ์เดินไป ทิ้งให้กันตายืนเรียกค้าง
“เอ่อ...คุณคะ...คุ...”
พิศุทธิ์ไม่หันมา กันตายกนาฬิกาขึ้นมองแล้วอมยิ้ม คิดแผนบางอย่างในใจ
กันตายื่นนาฬิกาข้อมือคืนให้กะรัตที่ยังซึมๆ มีกุนตียืนใกล้ๆ
“คุณพิศุทธิ์เขาฝากมาคืนให้พี่กั้ง” กันตาล้อๆ
“พิศุทธิ์ไหน” กะรัตงง
“ก็พระเอกขี่ม้าขาวที่พาพี่กั้งมาส่งโรงพยาบาลไง...ตกลงพี่กั้งรู้จักเขามาก่อนใช่มั้ยนาฬิกาของพี่กั้งถึงไปอยู่กับเขาได้”
“อ๋อ ตานั่น พี่ก็แค่เคยโบกรถเขาเข้ากรุงเทพวันที่ภูเบศร์ตาย ไม่รู้จะตอบแทนอะไร เลยให้นาฬิกา
เขาตอบแทน”
“เอ...แล้วทำไมคืนนี้ ถึงบังเอิญไปเจอกันอีกล่ะ” กุนตีสงสัย
“ถ้าบังเอิญจริงก็ดีสิพี่กุ้ง...กลัวแต่จะเจอพวกสิบแปดมงกุฏซะละมากกว่า” กะรัตมองนาฬิกา
แล้วพาลค้อนไปถึงพิศุทธิ์ “พยายามเอานาฬิกามาคืนอย่างนี้ ไม่รู้จะมีแผนสูง อะไรรึเปล่า”
“ไม่มีทาง...เขาออกจะสุภาพออกปานนั้น” กันตารีบเถียงแทน
กะรัตเมินหน้า เชอะ อย่างไม่เชื่ออะไรง่ายๆอีกแล้ว กันตาทำเพ้อคำพูดพิศุทธิ์ออกมา
“ผมช่วยเขาเพราะอยากช่วย ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนอะไร...ว้าว...อบอุ่น แอบไว้ตัวนิดตามแบบฉบับคุณชายในนิยายเป๊ะ”
คำพูดของกันตาสะกิดให้กะรัตนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำขึ้นมาได้ เธอนึกถึงตอนที่เธอกำลังวัดใจ ชวนพิศุทธิ์เข้าโรงแรม
“ขอโทษนะที่ผมต้องพูดตรงๆ ผมไม่ได้พิศวาสอะไรคุณสักนิด แค่ในเสี้ยวความคิดก็ยังไม่มีเลย...ถ้าคุณอยากจะสนุกประชดชีวิต คงต้องไปหาคนที่เขาเต็มใจ...ซึ่งนั่นไม่ใช่ผม”
กะรัตเจ็บจี๊ดที่ถูกตอกหน้า ขณะกันตายังเพ้ออยู่
“สเป๊คนี้แหละ...ชายในฝันของก้อย”
“ระวังเหอะ จะเจอฝันร้าย”
กะรัตล้มตัวนอน หันหน้าหนีแกล้งหลับตัดบท กันตายิ้มล้อๆแต่กุนตีมองน้องอย่างไม่เห็นด้วย กะรัตกลับหลับไม่ลง นอนตาค้างคิดถึงท่าทางที่พิศุทธิ์แสดงออกกับเธอ
เช้าวันรุ่งขึ้น...พิศูทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับแม่ เนื้อแพรวางแก้วกาแฟลงด้วยความตกใจ
“อะไรนะ ชายว่าชายเป็นคนช่วยหนูกั้งไว้เมื่อคืนเหรอลูก”
พิศุทธิ์ทานอาหารเช้าไปด้วย
“ไม่รู้จะเรียกว่าช่วยรึเปล่านะครับ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่”
“ทำไมชายคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็เขาคิดจะทำร้ายตัวเองน่ะสิครับ เขาอาจจะโกรธที่ผมไปช่วยเขาไว้ก็ได้”
เนื้อแพรเข้าใจ นึกเวทนากะรัตเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
“ก็เข้าใจหัวอกเขานะ โดนทั้งสามีกับเพื่อนรักหักหลัง”
พิศุทธิ์คิดถึงกะรัต
“ผมเชื่อว่าเขาต้องผ่านไปได้ ดูอย่างแม่สิครับ...แม่เองก็เคยเจอเหตุการณ์ร้ายๆมา ผมไม่เห็นว่าแม่จะทำอะไรแย่ๆอย่างเขา”
“มันไม่เหมือนกันลูก...หัวใจของกะรัตไม่มีอะไรเป็นยึด แต่แม่ยังมีชาย” เนื้อแพรจ้องหน้าลูก “ถ้าแม่ไม่มีชาย แม่ก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่...ความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก มันทำลายชีวิตคนให้พังพินาศได้จริงๆ”
พิศุทธิ์ฟังแม่แล้วใจวูบ นึกสงสารกะรัตขึ้นมา เนื้อแพรหันมาเห็นสีหน้าลูก ก็อึ้งไป คิดในใจว่าไม่น่าพูดให้คะแนนกะรัตเลย เนื้อแพรเตือน
“ชาย...คิดอะไรอยู่เหรอลูก”
“ปะ...เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกว่าเขาน่าสงสาร ผู้หญิงตัวเล็กๆแต่กลับต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้ ก็น่าเห็นใจเขานะครับ”
เนื้อแพรรีบกัน
“ถึงกะรัตจะน่าสงสารยังไง แต่เขาก็ยังเป็น ผู้หญิงอันตราย ในความคิดของแม่อยู่ดี”
พิศุทธิ์ออกจะกระอักกระอ่วนเพราะรู้ตัวว่า ผู้หญิงชื่อกะรัต ได้เข้ามามีบทบาทบางอย่างในใจแล้ว
สายน้ำผึ้งแต่งชุดดำ ยืนพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านยิ้มพอใจ
“แค่นี้ละ...ขอบใจ”
สายน้ำผึ้งวางโทรศัพท์ลง สายตามีแววมุ่งมั่น คว้ากระเป๋ากับซองเอกสารจะออกจากบ้าน เธอดูสดใสขึ้นกว่าวันก่อนมาก แต่งหน้า แต่งตัวดูดีอย่างจงใจ รสสุคนธ์เห็นเข้าก็แปลกใจ
“นั่นจะไปไหน”
“จะไปดูใจกั้งเขาหน่อยค่ะ ผึ้งลองโทรไปที่บ้านเขาเมื่อกี๊ เด็กที่บ้านบอกว่ากั้งเขานอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล”
“ผึ้งเอ๊ย ไหนๆคุณภูเบศร์เขาก็ตายไปแล้ว เราเองก็ทำเขาเจ็บช้ำน้ำใจไว้ไม่น้อย น้าว่า...”
“แล้วที่ผึ้งต้องอยู่กินหลบๆซ่อนๆกับภูมาตั้งนาน ไม่ใช่เพราะมัวแต่รักษาน้ำใจมันเหรอคะ”
รสสุคนธ์วางกระแทกตะกร้าผ้าลง
“แต่ผึ้งรู้แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้ที่ไปลักลอบได้เสียกับสามีของเขา ผึ้งไม่ได้รู้ผิดบ้างเลยรึไง”
“แต่คุณภูเขารักผึ้งนะคะ”
รสสุคนธ์เดินเข้าใกล้ พูดเน้นอย่างตั้งใจ
“แค่คำว่ารักของผู้ชาย แกจะใช้มันมาอ้างเพื่อแย่งเขามาจากใครไม่ได้หรอกนะ”
“น้ารสไม่รู้อะไร ผึ้งมีสิทธิ์ในฐานะเมียตามกฎหมาย”
“หมายความว่ายังไง”
รสสุคนธ์มองซองเอกสารในมือหลานสาว
“นี่อย่าบอกนะว่า...”
“ผึ้งไม่ได้เป็นคนคิด แต่เมื่อภูเขาตั้งใจจะทำเพื่อผึ้ง...มันก็ช่วยไม่ได้”
“ผึ้ง ทำไม ทำไม...” รสสุคนธ์เสียใจ พูดไม่ออก
สายน้ำผึ้งมองความเสียใจของน้าที่มีพระคุณดุจแม่ แล้วใช่ว่าจะไม่เจ็บ แต่เหมือนหมาจนตรอก ที่ถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จึงพูดออกไปตามที่ใจสั่ง
“ในเมื่อกั้งเขาดี เขาวิเศษสูงส่งนัก...ผึ้งก็แค่อยากรู้ว่าเขาจะเป็นยังไงถ้า เราต้องใช้สามีคนเดียวกัน”
รสสุคนธ์ที่ได้ยินเต็มสองหู ถึงกับน้ำตาเอ่อ เสียใจ
“มันทำให้ลูกของผึ้งกลายเป็นลูกไม่มีพ่อ...มันทำให้ผึ้งกลายเป็นคนเลว ในสายตาทุกคน ผึ้งก็จะดึงมันลงมาดูว่าในนรกที่ผึ้งต้องเผชิญ มันโหดร้ายทรมานขนาดไหน”
ว่าแล้วสายน้ำผึ้งก็หมุนตัว ก้าวออกจากบ้านอย่างคนที่มั่นใจในการกระทำของตัวเอง รสสุคนธ์ยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง คิดไม่ถึงว่าหลานที่เลี้ยงมากับมือ จะมีชะตาต่ำช้าเพียงนี้
กะรัตในชุดคนไข้เดินออกมาจากห้องน้ำเพื่อมาหากุนตีที่อยู่ในห้องพักไข้ กะรัตพูดออกมาจากห้องน้ำ
“เมื่อไหร่จะให้กั้งกลับบ้านซะทีล่ะพี่กุ้ง”
สายน้ำผึ้งในชุดดำยืนถือกระเช้าดอกไม้มารออยู่ กะรัตช็อคเมื่อเห็น
“ผึ้ง...เธอมาที่นี่ได้ยังไง”
“แหม...กั้งนอนป่วยโรงพยาบาลทั้งที เพื่อนรักกันถ้าไม่มาเยี่ยม เดี๋ยวก็จะหาว่าใจดำน่ะสิ”
“เธอมันไม่ใช่เพื่อนฉัน”
สายน้ำผึ้งยังคงลอยหน้าเข้าไปหากะรัตวางกระเช้าดอกไม้ไว้บนเตียง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอนะกั้ง ฉันแค่อยากให้เธอรู้ไว้ว่าฉันกับภูเรารักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ”
“ผัวฉันไม่ใช่เสาไฟฟ้าที่แค่ใครมาฉี่รดโคนขาก็จะมาอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของได้”
สายน้ำผึ้งหัวเราะ
“พูดซะเต็มปากเชียวนะจ๊ะว่าเขาเป็น ผัวเธอ”
กะรัตมองสายน้ำผึ้งอย่างตั้งหลัก ไม่รู้ว่าสายน้ำผึ้งจะมาไม้ไหน สายน้ำผึ้งยังใจเย็น นิ่งมาก
“ถ้าเธอคิดว่าเงินของเธอ จะซื้อใจผู้ชายได้ เธอก็คิดผิดแล้วละ”
“หน้าด้าน ฉันไม่คิดเลยว่าเธอไร้ยางอาย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ภูเขาแต่งงานกับฉัน อย่างออกหน้าออกตา”
สายน้ำผึ้งสวนกลับ
“แต่เขาก็ยังมีฉัน...ที่สำคัญ...เขายังเลือกฉันให้เป็นแม่ของลูกเขาด้วย”
“ชั่ว”
“ใจเย็นๆซิกั้ง...เธอยังต้องรับฟังความจริงที่เธออาจจะรู้อยู่แก่ใจ แต่แกล้งทำเป็นลืม เพื่อจะได้คิดว่าเธอวิเศษเหนือคนอื่น”
“ความจริงบ้าอะไรของแก”
กะรัตเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ก็ความจริงที่เธอมันห่วยไงกั้ง เธอมันห่วยจนผัวทุกคนของเธอ ทนไม่ไหวต้องออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน...ฉันไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงอย่างเธอจะไม่เคยได้รับความรักจากผู้ชายคนไหนเลย”
กะรัตเจ็บจี๊ดแต่ฮึดสู้
“แต่อย่างน้อย ฉันก็ยังเป็นคนที่ผู้ชายเลือกจะเรียกว่าเมีย ไม่ใช่นางบำเรอหรือชู้อย่างแก”
“เมีย เธอเผลอเรียกตัวเองว่าเมียอีกแล้วนะกั้ง”
สายน้ำผึ้งส่งน้ำเสียงกวนประสาทมาก จนกะรัตเริ่มงงกับอารมณ์ของเพื่อน สายน้ำผึ้งค่อยๆยกซองขึ้นช้าๆเปิดซองออกแล้วค่อยๆดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา
“ถ้าเธอขยันเรียนกว่านี้สักนิด...หาความรู้รอบตัวซักหน่อย เธอก็จะรู้ว่า...คำว่าเมียเขาหมายถึงผู้หญิงที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนสมรส ไม่ใช่แค่มีพิธีอลังการแต่ไร้ค่าอย่างเธอ”
ประโยคสุดท้าย สายน้ำผึ้งเน้นเสียงดังกระแทกโดนใจกระรัตดังโครม กะรัตเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ มองกระดาษในมือสายน้ำผึ้งที่ค่อยๆเคลื่อนสูงขึ้นแล้วหยุดลงตรงหน้าพอดี กะรัตจ้องมองกระดาษแผ่นนั้น...เมื่อเห็นชื่อคนสองคนที่หราอยู่ตรงหน้า ก็ถึงกับตัวชา ถอยกรูดไปติดผนัง จังหวะนั้น กุนตีก้าวเข้าห้องมาพอดี ตกใจที่เห็นสายน้ำผึ้ง
“ผึ้ง”
“ไม่จริง...” กะรัตช็อก
สายน้ำผึ้ง รุกต่ออย่างได้เปรียบ
“วันที่ในนี้ ระบุไว้ก่อนวันแต่งงานของเธอนานเกือบปีเธอคงรู้แล้วสินะว่า ใคร คือผู้หญิงที่ภูรัก...และใคร ที่เขาแคร์เหลือเกินว่าจะไม่เชื่อมั่นในตัวเขา”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ พี่กุ้ง...”
กุนตีวิ่งเข้าหาน้องทันที
“เอามันออกไป” กะรัตตะโกนสุดเสียง “บอกว่าให้เอามันออกไป”
พยาบาลได้ยินเสียงโหวกเหวกก็พากันกรูเข้ามาในห้อง กุนตีมองหน้าสายน้ำผึ้ง
“ผึ้งทำแบบนี้ทำไม”
พยาบาลเข้ามาบอกกับสายน้ำผึ้ง
“ช่วยกรุณาออกไปด้วยนะคะ อย่ารบกวนคนไข้”
สายน้ำผึ้งไม่สะทกสะท้าน ยังเดินเข้าหากะรัตพร้อมกับชูทะเบียนสมรสเข้าไปยั่วใกล้ๆยิ้มแบบสะใจ
“ทีนี้รู้แล้วสินะกั้งว่าใครกันแน่คือ...นังเมียน้อย”
“เธอมันนรกส่งมาเกิด...นังเพื่อนทรยศ ออกไป”
กะรัตเดือดดาล ผลักรถเข็นที่ใช้วางอาหารไปทางสายน้ำผึ้งแต่เธอหลบทัน สายน้ำผึ้งใจหาย
“เธอจะฆ่าลูกฉันเหรอกั้ง”
กะรัตปรี๊ดแตก หันไปคว้าแจกันข้างเตียงจะเขวี้ยงใส่สายน้ำผึ้งอีก
“กั้งอย่า” กุนตีเข้าไปยึดแขนกะรัตไว้
“ปล่อย...กั้งจะฆ่ามัน”
กะรัตพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากกุนตี สายน้ำผึ้งเห็นกะรัตทำอะไรไม่ได้ก็ยิ่งท้าทาย
“ขอบอกให้รู้ว่าทรัพย์สินของภู จะต้องตกถึงฉันและลูกตามสิทธิ์ทางกฎหมาย”
“ไปทวงจากมันในนรกก็แล้วกัน ฉันจัดให้”
กะรัตสะบัดตัวจากกุนตีแล้วเขวี้ยงแจกันไปโดนหน้าสายน้ำผึ้ง ทุกคนตรงนั้นพากันช็อค สายน้ำผึ้งค่อยๆจับที่หน้าผากเห็นว่ามีเลือดไหล เธอมองกะรัตอย่างแค้นๆ
“ผึ้ง...กลับไปซะ” กุนตีรีบไล่
“แล้วเธอจะเสียใจที่ทำกับฉันวันนี้” สายน้ำผึ้งเจ็บแค้น
พยาบาลเข้าไปประคองสายน้ำผึ้ง
“ออกไปทำแผลก่อนดีกว่าค่ะ”
พยาบาลพยายามจะลากสายน้ำผึ้งออกไป แต่สายน้ำผึ้งยังแข็งขืนมองกะรัตที่กำลังเกรี้ยวกราดอย่างไม่ละสายตา
“ไป...ฉันบอกให้ไปไงเล่า”
กะรัตคว้ากระเช้าดอกไม้มาจะเขวี้ยง พยาบาลร้องห้าม
“ว๊าย...อย่าค่ะ”
พยาบาลรีบลากสายน้ำผึ้งออกไปเพราะกลัวโดนลูกหลง สายน้ำผึ้งโดนลากออกมาโดยที่สายตายังจับจ้องกะรัตแบบไม่หยุดแค้น ทันทีที่สายน้ำผึ้งออกไป กะรัตทิ้งกระเช้านั้นลงอย่างคนหมดใจไร้เรี่ยวแรง กุนตีมองกะรัตอย่างหนักใจ
“กั้ง...”
กะรัตเดินโซเซไปที่เตียงแล้วร้องไห้โฮ กุนตีเข้าไปกอดปลอบใจด้วยความสงสารจับใจ
พยาบาลลากสายน้ำผึ้งออกจากห้องมาได้อย่างหวุดหวิด สายน้ำผึ้งสะบัดมือจากพยาบาลอย่างไม่ชอบใจ
“ปล่อย ไม่ต้องมายุ่ง”
พยาบาลหวาดๆรีบเดินหนีไป สายน้ำผึ้งใช้มือปาดเลือดที่หน้าผากอย่างแค้นๆ
“เธอเปิดศึกกับฉันเองนะกั้ง”
สายน้ำผึ้งกำลังจะเดินไป แล้วก็เห็นกันตามายืนอยู่ตรงหน้า กันตาแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นสายน้ำผึ้งมาถึงที่นี่
“พี่ผึ้งจะมาที่นี่ทำไมอีกไม่ทราบ เลิกจองเวรจองกรรมกันซะทีไม่ได้รึไง”
“อย่านึกว่าภูตายแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบ กั้งต้องชดใช้ที่พรากทุกอย่างไปจากพี่”
สายน้ำผึ้งเดินออกไปอย่างคับแค้น กันตามองตามอย่างกังวล
ในห้องรับแขกบ้านกะรัต...พวงหยกมานั่งกินน้ำชาอยู่กับเจ้าสัวบัญชา และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง
“สรุปว่าสามปีมานี่ พวกมันจงใจสวมเขาให้ยายกั้งตลอด…กั้งนะกั้ง ทำบุญกับคน ไม่เคยขึ้น”
“ทะเบียนสมรสมันก็แค่กระดาษแผ่นเดียว จะไปอะไรกับมันนักหนา”
“แต่มันเป็นกระดาษที่ทำให้ยายกั้งกลายเป็นเมียน้อยเขาเลยนะเตี่ย”
“ดีแล้วที่อากั้งมันไม่โง่เอากระดาษแผ่นเดียวมาผูกมัดผู้ชาย ดูอย่างลื้อซิกอดทะเบียนสมรสไว้แล้วเคยมีความสุขมั่งมั้ย”
พวงหยกหน้าเหวอ
“อ๊าว เตี่ย มาแขวะหนูทำไมเนี๊ย แต่ถึงมันไม่สุขแต่อย่างน้อยก็สะใจล่ะค่ะ”
“เพราะมัดใจไม่ได้ก็เลยต้องเอาทะเบียนมาเป็นโซ่ล่ามเขาไว้ แล้วเป็นยังไงตัวก็ไม่ได้ ใจก็ไม่ได้ กอดไว้แต่กระดาษแผ่นเดียวนั่นแหละ”
“เตี่ยพูดแบบนี้มันก็ไม่ถูกทั้งหมด บางทีทะเบียนสมรส มันก็ทำให้คนที่คิดจะนอกใจเดินกลับเข้าคอกได้เหมือนกัน”
ไม่ทันขาดคำของพวงหยก กฤชก็เดินผ่านมา ทันได้ยินประโยคท้ายๆของพวงหยกพอดี แต่ด้วยมีเรื่องต้องบอกเลยหันไปพูดกับบัญชาก่อน
“ยัยก้อยโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ จะพากั้งไปพักฟื้นที่บ้านพัทยาครับเตี่ย”
พวงหยกไม่สนใจเรื่องที่กฤชพูด เท่ากับการแต่งตัวเตรียมพร้อมออกข้างนอกของสามี
“ลูกมันไม่สบายไปพักฟื้นก็ไม่แปลก แต่คุณจะไปเสียชีวิตที่ไหนไม่ทราบ วันนี้มันวันหยุดแท้ๆนะ”
กฤชพยายามใจเย็น
“ผมกำลังจะไปทำหน้าที่พ่อ แวะไปดูลูกที่โรงพยาบาลแล้วจะเลยไปธุระต่อ...ผมไปนะครับเตี่ย”
กฤชเดินออกไป พวงหยกตะโกนตาม
“เออ...ไปให้มันถูกโรงหน่อยเถอะ อย่าเลื้อยเลยโรงบาลไป เข้าโรงแรมก็แล้วกัน”
พวงหยกแว้ดใส่ผัวเสร็จ หันมา ชะงักกับสายตาเตี่ยที่จ้องอยู่ เลยนั่งกระแทกลงอย่างโมโห
“ถ้าเตี่ยเป็นอากฤช...เตี่ยจะเลยโรงแรมไปอีก”
“ไปไหนคะ”
“ไปโรงฆ่าสัตว์ ยอมให้คนเชือดไปทำตือฮวน ซะยังดีกว่าทู่ซี้อยู่กับเมียปากเสีย อย่างลื้อ”
บัญชาพูดจบก็เดินเข้าข้างในไป พวงหยกลุกพรวด ตัวเกร็งกรี๊ดไม่ออกอยู่คนเดียว
สามีตีตรา ตอนที่ 2 (ต่อ)
พิศุทธิ์เดินขึ้นบันไดตึกมหาวิทยาลัย ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีคนๆหนึ่งยืนขวางอยู่ พิศุทธิ์เงยหน้าขึ้น ตกใจนิดๆที่เห็น ท่านชายอ๊อดยืนดักรอ
“ท่านพ่อ...”
พิศุทธิ์เดินนำพ่อเข้ามาในห้องทำงานของเขา ท่านชายอ๊อดเหล่มองห้องทำงานที่แสนจะเรียบง่ายของพิศุทธิ์อย่างหมิ่นๆ
“เรียนจบถึงเมืองนอกเมืองนา เสียเงินเป็นล้านเพื่อมานั่งทำงานอุดอู้อยู่ในรูหนูนี่น่ะเหรอ”
พิศุทธิ์รู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของพ่อ แต่ก็พยายามจะเก็บอารมณ์
“ท่านพ่อมาหาผมที่นี่ มีธุระเร่งด่วนอะไรเหรอครับ”
“แกวางอนาคตของแกไว้ยังไง จะสอนหนังสือไปจนแก่ตายเลยรึไง”
“ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ครับ ตอนนี้ชีวิตผมก็มีความสุขดี”
ท่านชายอ๊อดไม่พอใจ
“ความสุขเฉพาะตัวของแกคนเดียวน่ะสิ”
พิศุทธิ์งงกับความมาแรงของพ่อ ท่านชายอ๊อดพยายามข่มใจกลัวเสียแผน
“ฉันต้องการให้แกลาออกจากอาจารย์ไปที่ปรึกษา ท่านรัฐมนตรีอิสระ ไหนๆแกก็มีราชสกุลติดตัวแล้ว แกก็น่าจะสร้างเกียรติยศ ตอบแทนให้วงศ์ตระกูลบ้าง”
พิศุทธิ์ได้ยินชื่อรัฐมนตรีอิสระแล้ว คิดถึงเรื่องที่หม่อมมลุลีมาบอกให้ไปดูตัวลูกสาวของรัฐมนตรีคนเดียวกัน พิศุทธิ์คิดอย่างรู้ทัน
“วันก่อนท่านย่าก็ขอให้ผมไปดูตัวกับลูกสาวรัฐมนตรีคนนี้ วันนี้ท่านพ่ออยากให้ผมไปทำงานกับท่าน รัฐมนตรีอีก ตกลงสิ่งที่ท่านย่ากับท่านพ่ออยากให้ผมทำ มันคือการสร้างเกียรติหรือสร้างผลประโยชน์กันแน่ ครับ”
ท่านชายอ๊อดชะงักที่พิศุทธิ์รู้ทัน
“ฉันอยากช่วยแก แกกลับมาหาความฉันเหรอ”
พิศุทธิ์ยิ้มเยาะ
“ผมได้ข่าวมาว่าทางกระทรวงมีโครงการสร้างทางด่วน ถ้าท่านพ่อมีเส้นสายช่วยประมูลโครงการนี้ได้ บริษัทของท่านพ่อก็คงได้กำไรจากการโก่ง ราคาค่าก่อสร้างกับบริษัทรับเหมาไม่น้อยเลยนะครับ”
ท่านชายอ๊อดแกล้งโมโหกลบเกลื่อนที่พิศุทธิ์รู้ทัน
“แกอย่ามาทำเป็นอวดฉลาด ทำเป็นรู้ทุกอย่างไปหน่อยเลย รู้ไว้ซะด้วย...คนอย่างฉัน ไม่คิดหวังจะพึ่งแกหรอก แต่ที่มาเพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก กลัวว่าแกจะลำบาก”
“ท่านพ่อไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมอยู่กับแม่ ไม่เคยลำบาก”
“แม่แกถึงต้องเป็นฝ่ายเอาตัวเข้าแลกเป็นเมียน้อยเขา”
พิศุทธิ์อึ้ง หันมาหาท่านชายอ๊อด
“แค่ข่าวซุบซิบดารา แม่ไม่เคยทำอะไรเสียหายอย่างที่ท่านพ่อกล่าวหา”
“ถ้าไม่ไปปรนเปรอผู้ชาย แม่แกจะมีปัญญาเปิดกิจการใหญ่โตอย่างทุกวันนี้เหรอ”
“ไม่มีใครรู้จักแม่ดีเท่าผม” พิศุทธิ์จ้องหน้าพ่อ
“เชอะ ใครๆก็รู้ว่าแม่แก พยายามจะแย่งสามีคนอื่น มีแต่แกนั่นแหละที่ยังเห็นแม่แกเป็นนางฟ้าอยู่ได้...ไม่เชื่อก็ลองไปถามพวกเทพทัตดูว่าพวกเขาขยาดแม่แกขนาดไหน”
“พวกเทพทัตเหรอครับ” พิศุทธิ์อึ้งๆ
“ก็ไอ้กฤช เทพทัตนั่นแหละ ที่แม่แกอยากได้เขามาเป็นพ่อใหม่ของแกจนตัวสั่น”
พิศุทธิ์รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินชื่อของ กฤช เทพทัต เพราะรู้ดีว่ากฤชคือพ่อของกะรัต
เย็นนั้น...เนื้อแพรลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน หยิบกระเป๋าถือ เสียงเคาะประตูดังขึ้น พิศุทธิ์เปิดประตูเข้ามา
“อ้าว...ชาย”
“ผมจะมารับแม่กลับบ้านครับ” พิศุทธิ์พูดเสียงนิ่งๆ
“ชายจะมารับก็น่าจะโทรบอกแม่ก่อน แม่นัดเพื่อนไว้แล้วน่ะสิ”
“นัดเรื่องงานรึเปล่าครับ” พิศุทธิ์เริ่มซัก
“ก็ประมาณนั้นแหละลูก แม่กับเขากำลังคุยกันเรื่องขยายสาขาใหม่น่ะ”
“หุ้นส่วนของแม่...คือคุณกฤช เทพทัต พ่อของกะรัตรึเปล่าครับ”
“ใช่จ้ะ” เนื้อแพรตอบเรื่อยๆไม่ได้คิดอะไร
“คุณแม่ไม่เคยบอกผมเรื่องนี้เลย”
“แม่ไม่ชอบเอาเรื่องงานไปทำให้ลูกปวดหัว ลูกอุตส่าห์เรียนจนคว้าเกียรตินิยมมาให้แม่ชื่นชมตั้งสองใบ”
พิศุทธิ์นิ่งๆไป รู้อยู่เต็มอกว่าแม่ต้องเหนื่อยแค่ไหน
“คุณกฤชเขาเป็นคนใจกว้าง ลงทุนแต่ไม่เคยมายุ่งเรื่องบริหารให้แม่ลำบากใจเลย”
“จริงๆ ถ้าแม่จะขยายกิจการ ให้ผมหาทุนให้ก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่น”
เนื้อแพรแตะแก้มลูกอย่างเอ็นดู
“เก็บเงินไว้สร้างอนาคตของชายเถอะ แม่ดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ชอบเป็นภาระของใคร”
“แต่แม่ยอมเป็นภาระของผู้ชายคนนั้น ถึงเจ้าตัวเขาไม่คิดอะไร แต่คนอื่นล่ะครับ”
เนื้อแพรมองพิศุทธิ์แล้วรู้สึกได้ว่าลูกเครียดผิดกว่าปกติ
“นี่ชายไปได้ยินอะไรมาใช่มั้ย”
“ผมแค่รู้สึกว่าผมยังดูแลแม่ได้ไม่ดีพอ” พิศุทธิ์อึ้งๆ
เนื้อแพรมองลูกปราดเดียวก็รู้ไปถึงไหนๆ พูดออกไปเน้นๆ
“ชายยังไม่เชื่อใจแม่มากพอต่างหาก”
พิศุทธิ์อึ้ง รู้ตัวว่าพลาด เสียงเคาะประตูดัง พนักงานของร้านเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“คุณแพรคะ คุณกฤชมาแล้วค่ะ”
“ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันต่อที่บ้านนะชาย”
เนื้อแพรเดินออกไป พิศุทธิ์มองตามไปอย่างไม่สบายใจ
พิศุทธิ์เดินพ้นประตูสปาออกมา เห็นกฤชกำลังเปิดประตูรถให้เนื้อแพรขึ้นไปนั่งอย่างเอาใจ ขับรถพาออกไป พิศุทธิ์ยืนมองตามอย่างไม่สบายใจนัก จะหันกลับไปที่รถตัวเองจอดอยู่แล้วชะงัก เมื่อท่านชายอ๊อด เดินยิ้มหยันตรงมา ตายังมองตามเนื้อแพรกับกฤชไป
“เป็นไง เห็นกับตาแล้วสินะว่าแม่ของแกน่ะ...”
“ท่านพ่อตามผมมาทำไม”
ท่านชายอ๊อดมองไปที่สปาหรูหราด้วยสายตาดูถูก
“แม่แกรอดตัวไปแล้วเพราะฉลาดรู้จักเลือกถึงจะอับอายเขาอยู่สักหน่อย แต่ก็ถือว่าเอาตัวรอดได้ดี มีแต่แกเท่านั้น ที่ยังดักดานไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง”
“ถ้าท่านพ่อคิดว่าการพัฒนาตัวเอง คือการลาออกจากงานที่ผมภูมิใจแต่เงินน้อยไปสู่งานที่เงินมากแต่ไม่เหลืออะไรให้ภูมิใจ เพื่อผลประโยชน์ของท่านพ่อ ผมว่านั่นคือการเดินไปสู่ความหายนะมากกว่า ขอโทษนะครับ ผมขอตัว”
พิศุทธิ์เดินหนีไปอย่างเร็ว ท่านชายอ๊อดหงุดหงิด
“พิศุทธิ์ โธ่โว้ย ทำไมมันถึงได้ดื้อด้านอย่างนี้วะ”
พิศุทธิ์เข้าบ้านมาโยนกระเป๋ากับมือถือลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้สนามด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยเต็มทีคิดถึงเรื่องราวมากมายที่อัดแน่นอยู่ในหัว โดยเฉพาะเรื่องพ่อ
“เรียนจบถึงเมืองนอกเมืองนา เสียเงินเป็นล้านเพื่อมานั่งทำงานอุดอู้อยู่ในรูหนูนี่น่ะเหรอ...ฉันต้องการให้แกลาออกจากอาจารย์ไปเป็นที่ปรึกษาท่านรัฐมนตรีอิสระ ไหนๆแกก็มี ราชนิกุลติดตัวแล้ว แกก็น่าจะสร้างเกียรติยศตอบแทนให้วงศ์ตระกูลบ้าง”
พิศุทธิ์เครียดถึงกับยกมือกุมขมับ นึกถึงคำพูดกดดันจากพ่อ...
“แม่แกรอดตัวไปแล้วเพราะฉลาดรู้จักเลือก ถึงจะอับอายเขาอยู่สักหน่อยแต่ก็ถือว่าเอาตัวรอดได้ดี มีแต่แกเท่านั้น ที่ยังดักดาน ไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง”
พิศุทธิ์ถอนหายใจยาวออกมา ตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมา กดเบอร์แม่แล้วบอกจุดประสงค์
“คุณแม่ครับ...ลอง วีคเอ็นด์นี้ ผมจะไปพักสมองที่พัทยาหน่อยนะครับ...ครับแม่...แค่นี้นะครับ”
พิศุทธิ์ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินไป
บ้านพักตากอากาศของกะรัตที่พัทยา...กุนตีกับกันตากำลังเดินสำรวจดูความเรียบร้อย โดยมีนวลคอยรายงาน
“นวลเก็บของมีคมใส่ลิ้นชักล็อคกุญแจเรียบร้อยหมดทุกอย่าง ส่วนกุญแจเก็บไว้ที่นวลคนเดียว รับรองว่าพ้นมือคุณกั้งแน่นอนค่ะ”
“ของมึนเมาทั้งหลายก็เก็บทิ้งซะด้วยนะ” กุนตีกำชับ
“รับรองไม่เหลือติดบ้านสักหยดค่ะ”
กุนตีเริ่มจะโล่งใจ แต่พอเหลียวไปเห็นแจกันที่วางประดับอยู่ก็ไม่สบายใจ
“แจกัน ขวดแก้วพวกนั้น ยัยกั้งอาจเอามาใช้แทนอาวุธได้ เกิดบ้ากรีดข้อมือขึ้นมา จะอันตราย เก็บไปเลยดีกว่า ฉันไม่ไว้ใจ”
นวลเข้าไปหยิบแจกันแก้วทรงสูงออกทันที
“คุณกุ้งนี่ละเอียดรอบคอบ สมกับที่เป็นคนควบคุมบัญชีบริษัทท่านเจ้าสัวจริงๆนะคะ”
“นี่มันไม่เว่อร์ไปหน่อยเหรอคะพี่กุ้ง” กันตาขัดขึ้น
“เกินไว้ดีกว่าขาด...วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอกมันจะไม่ทันการณ์”
“มาอยู่ทะเลแบบนี้ ถ้าพี่กั้งโดดน้ำตายจะต้องทำยังไงล่ะคะ”
“ยัยกั้งมันว่ายน้ำได้ โดดยังไงมันก็ไม่ตายหรอก”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลยค่ะคุณก้อยขา...นวลให้เด็กๆคอยจับตาคุณกั้งไว้ทุกฝีก้าว คุณกั้งไม่ทันได้แตะน้ำทะเลหรอกค่ะ”
นวลอธิบายแผนอย่างมั่นใจ แต่กุนตีก็ยังไม่คลายกังวล
กะรัตสวมแว่นกันแดด นอนพักผ่อนอยู่ริมสระว่ายน้ำ บรรดาสาวใช้แกล้งปัดกวาดเช็ดถูรอบๆ โดยมีนวลยืนคุมอยู่ พวกสาวใช้พากันจับกลุ่มซุบซิบคอยสังเกตการณ์ดู กะรัตที่นอนนิ่งอยู่นานมากแต่เพราะสวมแว่นดำอยู่ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าหลับอยู่หรือเปล่า
“พี่นวลว่าคุณกั้งยังหายใจอยู่รึเปล่า”
“นังบ้า...ถึงจะใช้วิธีกลั้นใจตาย มันก็ต้องมีชักให้เห็นกันบ้าง คุณกั้งอาจแค่หลับก็ได้”
นวลพูดเองแล้วก็หวั่นใจ มองกะรัตอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่
“แต่มันน่าสงสัยอยู่นะพี่นวล...คุณกั้งนอนนิ่งแบบนั้นตั้งเกือบสองชั่วโมงแล้วนะ”
“ฮึ้ย พวกแก ทำฉันเขวหมด...เอามานี่”
นวลแย่งม็อบถูพื้นมาจากคนใช้ แล้วไถมอบเข้าไปหากะรัต นวลทำทีไถไปรอบๆ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ...แล้วค่อยๆชะโงกหน้าจนเกือบชิดหน้า กะรัตที่ไม่หลับ ตะคอกออกมา
“ทำอะไร”
“หอยหกตกๆแตกๆ”
นวลสะดุ้งทั้งตัว ทิ้งไม้ม็อบแล้วรีบก้มเก็บขึ้นมา
“คือ...พะ พะ พื้นมันเลอะน่ะค่ะ นวลก็เลยมาถู แล้วพอดีนวลเห็น...มะ แมลงวันมันจะเกาะจมูกคุณกั้ง นวลก็เลยจา...”
กะรัตลุกพรวดขึ้นจ้องตาขู่ นวลหลบตาวูบ คนใช้รีบถอยกรูดไปทำงานต่อไม่รู้ไม่ชี้ กะรัตฟึดฟัดออกมาอย่างรำคาญแล้วลุกพรวดขึ้น นวลถึงกับผวายกมือขึ้นป้องหน้า กะรัตอารมณ์เสีย แล้วเดินเข้าบ้านไป
กะรัตจ้ำพรวดๆเข้ามาในบ้านอย่างไม่พอใจ นวลและสาวใช้ยังตามติด
“คุณกั้งหิวรึยังคะ จะให้นวลจัดอาหารให้เลยมั้ย”
“ไปเอาเหล้ามา”
“อุ้ย...ไม่ได้ค่ะ...ตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวเขารณรงค์ห้ามดื่มสุรากันอยู่ ถ้าคุณกั้งเบื่อ เราออกไปเดินเล่นกันมั้ยคะ นวลจะพาไป”
“นวล”
“ขา”
นวลรี่เข้ามาหน้าเจ๋อใกล้ๆ
“ฉันบอกให้เอาเหล้ามา” กะรัตเสียงดุมาก
“คุณกั้งอ้ะ...คุณกั้งยังไม่หายดี อย่าดื่มเลยนะคะ”
“ตกลงว่าฉันเป็นนักโทษของแกรึไง ทำนู่นก็ไม่ได้ทำนี่ก็ไม่ได้ นี่จะพาฉันมาพักฟื้น หรือพามาติดคุก ฮ้ะ”
กะรัตเดินสะบัดเสียงใส่แล้วเดินขึ้นข้างบน จังหวะที่กุนตีเดินลงมา นวลจะตาม แต่กุนตียกมือห้ามไว้ นวลยังมองตามกั้งอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ข้างบนยังมียัยก้อยอยู่อีกคน”
กันตายืนเคาะประตูเรียกกะรัตอยู่หน้าห้อง นวลถือถาดอาหารอยู่ใกล้ๆ
“พี่กั้ง...พี่กั้งคะ...เปิดประตูให้ก้อยหน่อยค่ะ ก้อยให้นวลทำของโปรดพี่กั้งมาให้ทาน...พี่กั้ง พี่กั้ง”
“ทำไมไม่มีเสียงตอบเลยล่ะคะคุณก้อย” นวลตกใจ
กันตาหน้าเสีย กุนตีเดินเข้ามาสมทบ
“มีอะไร”
“ก้อยเคาะประตูเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบเลยค่ะ”
“หรือว่าคุณกั้ง...” นวลทำท่าจะร้องไห้
“ไหนถอยซิ...” กุนตีเคาะเรียก “กั้ง...เปิดประตูให้พี่ที...กั้ง”
เสียงเงียบ กุนตีใจไม่ดี ตัดสินใจผลักประตู ประตูเปิดผางออก ทั้งสามคนเห็นว่าห้องว่างเปล่า ถลาเข้ามาในห้อง มองไปที่หน้าต่างบานที่เปิดอ้าอยู่ ทั้งสามคนใจหาย หันมองหน้ากันด้วยความตกใจ
บ้านพักตากอากาศของพิศุทธิ์เป็นบ้านไม้ขนาดเล็ก แต่ดูอบอุ่นน่ารัก พิศุทธิ์ในชุดลำลองสบายๆ เปิดหน้าต่างออกจนเต็มบาน เขามองคลื่นพริ้วๆ สบาย ผ่อนคลายสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วยืนมองวิวทะเลอย่างอยากตักตวงความสงบไว้
พิศุทธิ์เดินเล่นไปตามทางเดินที่ด้านหนึ่งเป็นแนวทิวสน เดินมาได้สักพัก เห็นผู้หญิงยืนอยู่ตรงสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในทะเล พิศุทธิ์เห็นด้านหลังของผู้หญิงคนนั้น ยืนอยู่ตรงแสงตะวันที่กำลังคล้อยต่ำลง เป็นภาพที่สวยจนสะกดสายตา เขาเหม่อมองเพลิน จนเดินใกล้เข้ามาถึงได้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้น คือกะรัต พิศุทธิ์ตกใจ
“กะรัต”
ขณะพิศุทธิ์ตะลึง ก็เห็นกะรัตขยับก้าวไปที่ปลายสะพาน เขาตกใจคิดว่าเธอจะฆ่าตัวตาย รีบวิ่งตรงไปที่สะพานไม้ทันที
เท้ากะรัตค่อยๆ ย่างไปอีกจนเกือบถึงปลายสะพานไม้ เธอหลับตา สูดลมหายใจเข้าปอด ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายแต่อย่างใด ลมพัดวูบมา ทำให้ผ้าพันคอของเธอปลิวไป
“อุ๊ย...”
กะรัตมัวแต่ห่วงผ้าพันคอ ไม่ได้มองสะพาน วิ่งถลาจะคว้าผ้าพันคอไว้ เท้าก้าวลงตรงอากาศที่ว่างเปล่าพ้นปลายสะพาน ขณะผ้าปลิวตกน้ำไปแล้ว
“อ๊าย”
กะรัตร้องลั่น พิศุทธิ์พุ่งเข้ารวบร่างกะรัตไว้ ทำให้ร่างของกะรัตอยู่ในอ้อมแขนของเขา กะรัตรู้ตัว หมุนตัวกลับมา แล้วถึงกับตะลึงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
พิศุทธิ์เดินเล่นไปตามทางเดินที่ด้านหนึ่งเป็นแนวทิวสน เดินมาได้สักพัก เห็นผู้หญิงยืนอยู่ตรงสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในทะเล พิศุทธิ์เห็นด้านหลังของผู้หญิงคนนั้น ยืนอยู่ตรงแสงตะวันที่กำลังคล้อยต่ำลง เป็นภาพที่สวยจนสะกดสายตา เขาเหม่อมองเพลิน จนเดินใกล้เข้ามาถึงได้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้น คือกะรัต พิศุทธิ์ตกใจ
“กะรัต”
ขณะพิศุทธิ์ตะลึง ก็เห็นกะรัตขยับก้าวไปที่ปลายสะพาน เขาตกใจคิดว่าเธอจะฆ่าตัวตาย รีบวิ่งตรงไปที่สะพานไม้ทันที
เท้ากะรัตค่อยๆ ย่างไปอีกจนเกือบถึงปลายสะพานไม้ เธอหลับตา สูดลมหายใจเข้าปอด ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายแต่อย่างใด ลมพัดวูบมา ทำให้ผ้าพันคอของเธอปลิวไป
“อุ๊ย...”
กะรัตมัวแต่ห่วงผ้าพันคอ ไม่ได้มองสะพาน วิ่งถลาจะคว้าผ้าพันคอไว้ เท้าก้าวลงตรงอากาศที่ว่างเปล่าพ้นปลายสะพาน ขณะผ้าปลิวตกน้ำไปแล้ว
“อ๊าย”
กะรัตร้องลั่น พิศุทธิ์พุ่งเข้ารวบร่างกะรัตไว้ ทำให้ร่างของกะรัตอยู่ในอ้อมแขนของเขา กะรัตรู้ตัว หมุนตัวกลับมา แล้วถึงกับตะลึงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
หน้าบ้านพักตากอากาศของกะรัตยามเย็น...กุนตีกับกันตาเดินสวนกันไปมา รอฟังข่าวอยู่ที่บ้านอย่างร้อนใจ นวล สมหวัง คนใช้ วิ่งกระหืดกระหอบมาจากทิศทางต่างๆกัน สมหวังยังร้องเรียกหา จนใกล้กลุ่มที่ยืนอยู่
“คุณกั้งคร้าบ คุณกั้ง...คุณกั้งอยู่ไหนคร้าบ”
ทุกคนจ้องมองสมหวังเป็นตาเดียว โดยเฉพาะนวลที่จิกมองสมหวังที่เดินถอยจนหลังมาชนนวล
“คุณก้ะ...”
“พอแล้ว” นวลตวาด
สมหวังสะดุ้งหันกลับมา เห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้า
“อุ้ย...” สมหวังหน้าแหย
“นี่ตกลงยัยกั้งหายตัวไปจริงๆใช่มั้ย” กุนตีร้อนใจมาก
“นวลออกไปดูจนถึงถนนใหญ่ ก็ไม่เห็นเลยค่ะ”
“ชายหาดด้านโน้น” สมหวังชี้ไป “ก็ไม่มีครับ”
“ตามร้านอาหารก็ไม่มีค่ะ” คนใช้บอก
กันตานิ่งคิด
“พี่กั้งไม่ได้เอารถไป คงเดินไปไม่ได้ไกลนักหรอก”
“งั้นเอาอย่างนี้ ทุกกคนลองไปเดินหาตามชายหาดดูอีกที กั้งอาจจะแอบไปนั่งอยู่ตรงที่เรามองไม่เห็นก็ได้” กุนตีออกความเห็น
“ก้อยจะไปช่วยตามด้วยอีกคน พี่กุ้งอยู่รอที่นี่นะคะ เผื่อพี่กั้งย้อนกลับมา”
กันตา นวล สาวใช้ สมหวัง วิ่งแยกย้ายกันไป กุนตีใจไม่ดีเป็นห่วงน้อง
กะรัตพยายามดิ้นจากการกอดของพิศุทธิ์
“ปล่อยฉันนะ”
“ไม่”
“ปล่อย ไอ้คนฉวยโอกาส ช่วยด้วย”
กะรัตร้องลั่น พิศุทธิ์ตกใจ
“คุณ จะบ้ารึไง”
“ก็ปล่อยฉันซิ”
กะรัตดิ้นแรงพร้อมกับพิศุทธิ์ที่คลายวงแขนออก กะรัตหลุดจากกอดพิศุทธิ์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“คนฉวยโอกาส ฉันนึกแล้วว่าคุณต้องเป็นคนประเภทนี้”
“นี่ คุณกำลังเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดบ้าอะไร คุณปล้ำฉันอยู่เมื่อกี๊”
พิศุทธิ์สุดเซ็ง
“ผมเนี่ยนะปล้ำคุณ...ถ้าผมจะทำอะไรทุเรศแบบนั้น ผมจะหนีคุณออกมาจากม่านรูดนั่นทำไม ในเมื่อคุณเองก็ให้ท่าผมซะขนาดนั้น”
กะรัตอึ้ง รู้สึกหน้าชา กับความบ้าบอไร้สติของตัวเอง
“คุณนี่มันร้ายกว่าที่ผมคิดไว้มาก คิดจะฆ่าตัวตายอยู่แท้ๆ พอผมมาห้ามก็พาลเปลี่ยนเรื่องโยนความผิดให้คนอื่น...แสบจริงๆ”
“คุณว่าอะไรนะ ฉันน่ะเหรอจะฆ่าตัวตาย” กะรัตงง
“ก็เมื่อกี๊ผมเห็นกับตาว่า คุณกำลังจะโดดลงไปในน้ำนั่น”
กะรัตอึ้งที่พิศุทธิ์เข้าใจผิด ยังไม่ทันพูดอะไรออกมา พิศุทธิ์ที่เชื่อว่ากะรัตจะฆ่าตัวตาย พยายามโน้มน้าว
“ผมรู้ว่าคุณเจออะไรมา แต่คุณจะลงโทษตัวเองแบบนี้ มันไม่ถูก”
กะรัตเริ่มสงสัยคำพูดพิศุทธิ์ที่เหมือนจะรู้เรื่องส่วนตัวของเธอไม่น้อย
“ทำไมคุณไม่คิดในแง่ดีบ้างว่าการสูญเสียครั้งนี้ มันทำให้คุณตาสว่างและหลุดพ้น จากคนเห็นแก่ตัวพวกนั้น...ผมว่าคุณ...”
กะรัตที่เริ่มเบื่อจะฟัง ยกมือห้าม
“โอเค...พอ...จบ...ฉันรู้ว่าคุณหวังดีกับฉันมาก...แต่ฉันก็มีความจริงจะบอกคุณเหมือนกัน”
พิศุทธิ์งง กะรัตชี้ที่ปากตนเอง
“มองที่ปากฉัน...แล้วฟังให้ชัด...ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย”
พิศุทธิ์อึ้งๆ แต่ยังคิดว่ากะรัตปากแข็ง
“แต่คุณ...”
กะรัตถึงกับถอนใจแล้วหันไปชี้ผ้าพันคอที่ลอยอยู่ในน้ำ
“เห็นมั้ย นั่นอะไร”
พิศุทธิ์มองตาม ก็เห็นผ้าลอยอยู่ กะรัตตั้งใจพูดเน้นให้พิศุทธิ์หน้าแตก
“มันคือผ้าพันคอของฉันที่ปลิวออกไป แล้วฉันก็แค่จะวิ่งไปเก็บมัน...โอเค้” กะรัตทำหน้าข่มพิศุทธิ์เต็มที่
พิศุทธิ์มองผ้า มองหน้ากะรัต แล้วนิ่งนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็หน้าชา ยิ่งเห็นสายตากะรัตที่จ้องมาก็แทบจะมุดสะพานหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
“แต่ที่สำคัญกว่าความเข้าใจผิดของคุณ...คือฉันอยากรู้ว่าคุณมาที่นี่ได้ยังไง...และคุณรู้ลึกเรื่องส่วนของฉันได้ยังไงไม่ทราบ”
พิศุทธิ์ยิ่งรู้สึกหน้าแตก กับการเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนซะเองแบบนี้
เย็นใกล้ค่ำ...กันตากับนวลเดินลิ่วมาเจอกันที่ชายหาดมุมหนึ่ง
“เจอมั้ยนวล” กันตาถามอย่างร้อนใจ
“ไม่เจอเลยค่ะคุณก้อย”
“เขาหายไปไหนของเขานะ”
“นวลจะไปดูทางโน้นต่อนะคะ”
กันตาพยักหน้า นวลวิ่งไป กันตาเริ่มใจไม่ดี
พิศุทธิ์ยังยืนอึ้งไม่รู้จะเริ่มต้นบอกกะรัตว่ายังไง กะรัตจ้องจับผิดเต็มที่
“ว่าไงคะ...จะตอบคำถามไหนก่อนดี เรื่องที่คุณสะกดรอยตามฉัน หรือเรื่องที่คุณแอบล้วงลึกอดีตของฉันซะแจ่มแจ้งแดงแจ๋”
“มันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
กะรัตเลิกคิ้วแทนคำถาม
“เรื่องที่ผมมาเจอคุณที่นี่ มันเป็นแค่ความบังเอิญ...ส่วนเรื่อง...”
กะรัตยังจับตา รอฟังคำอธิบาย
“เผอิญมีคนพูดเรื่องของคุณให้ผมฟัง ก็แค่นั้น”
“แน่ใจ...”
“นี่ อย่ามาทำท่าต้อนเหมือนผมเป็นจำเลยของคุณหน่อยได้มั้ย ถ้าคุณไม่ได้คิดจะ ฆ่าตัวตายจริงๆ ผมก็ขอโทษที่เข้าใจผิด เป็นอันว่าเรื่องของเรา จบกัน”
พิศุทธิ์เดินหนี
“ฮึ้ย...นี่ คุณจะเดินหนีกันไปง่ายๆแบบนี้ได้ไง คุณยังตอบคำถามฉันไม่เคลียร์นะ คุณ คุณ”
กะรัตจ้ำตาม แล้วเสียหลักเพราะสะพานไม้ผุ เซแซ่ดแล้วพลาดตกน้ำตู้ม ลงไป
“อ๊าย”
พิศุทธิ์หันกลับมา ตกใจ
“กะรัต”
พิศุทธิ์ตัดสินใจวิ่งกลับมาแล้วโดดตามลงไปทันที
นวลวิ่งตามหากะรัต ใจเสียจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“คุณกั้ง...คุณกั้งอยู่ไหน เจ้าประคู้น บุญใดกุศลใดที่นวลเคยทำ ขอให้นวลตามหาคุณกั้งเจอด้วยเท้อะ”
พิศุทธิ์กับกะรัตอยู่ในน้ำ พิศุทธิ์รวบตัวกะรัตจะพาเข้าฝั่งแต่กะรัตดิ้นตลอดเวลา
“ปล่อยฉันนะ มากอดฉันไว้ทำไมเล่า”
“อะไรของคุณ อยากจมน้ำตายรึไง ผมจะพาคุณขึ้นไปบนฝั่ง อยู่นิ่งๆซิ”
“ไม่ต้อง”
กะรัตตีน้ำใส่หน้าพิศุทธิ์แล้วจะว่ายน้ำเข้าฝั่ง แต่รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้ามาก
“โอ๊ย”
“คุณ”
“ช่วยด้วย ขาฉัน”
กะรัตจะจมน้ำ พิศุทธิ์ตกใจรีบว่ายน้ำเข้าไปหา
“โอ๊ย...”
พิศุทธิ์รีบโอบตัวกะรัตแล้วพาเข้าฝั่งไปทันที
พิศุทธิ์ว่างร่างกะรัตลง เธอจับที่ข้อเท้าแล้วร้องลั่น
“โอ๊ย เบาๆซิ ฉันเจ็บนะ”
“สงสัยข้อเท้าคุณจะแพลง” พิศุทธิ์มองกะรัตอย่างหนักใจ “แล้วนี่บ้านพักคุณอยู่ตรงไหน ผมจะได้พาไปส่ง”
กะรัตคิดถึงบ้านพักที่ไม่ต่างอะไรกับค่ายกักกันแล้วตอบออกไป
“ฉันไม่มีบ้านพัก...ไม่มีอะไรทั้งนั้น...”
พิศุทธิ์อึ้งไปกับคำตอบที่ได้ยิน กะรัตรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกกับเรื่องราวหลากหลาย น้ำตาจะเอ่อ ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง พิศุทธิ์ลอบถอนหายใจยาว รู้สึกเลยว่าเขากับเธอคงต้องร่วมเวรร่วมกรรมกันอีกใช่น้อย พิศุทธิ์ประคองกะรัตให้ลุกขึ้น แต่เธอก็เซล้มเพราะขาที่ยังเจ็บ
“โอ๊ย...”
“เจ็บมากเหรอ”
พิศุทธิ์เห็นอย่างนั้นก็ตัดสินใจอุ้มกะรัตขึ้นทันที กะรัตมองดูพิศุทธิ์ที่มีท่าทีร้อนรนอย่างอึ้งๆ พิศุทธิ์รีบพา
กะรัตออกไป
ตะวันตกดินจนเกือบลับขอบฟ้า นวลวิ่งตามหากะรัตมาที่สะพานไม้มองไปรอบๆ เผื่อจะเจอกะรัตลอยเท้งเต้งอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ก็ไม่เห็น นวลจิตตก เป็นห่วงกะรัตแทบขาดใจ
ค่ำนั้น กะรัตอยู่ในบ้านไม้ริมทะเลของพิศุทธิ์ เธอสวมเสื้อผ้าของพิศุทธิ์เปิดประตูห้องน้ำแล้วเกาะนิ่งอยู่ตรงนั้น เพราะเดินออกมาไม่ไหว พิศุทธิ์เดินเข้าไปประคอง กะรัตเก้อๆเขินๆกับเสื้อผ้าตัวโคร่งของเขา พิศุทธิ์แอบเห็นท่าทางที่เก้อๆเขินๆ ของเธอก็แอบนึกเอ็นดูบางๆในใจ พิศุทธิ์ประคองกะรัตจนใกล้เตียงนอน เท้ากะรัตสะดุดขากางเกงนอนพิศุทธิ์ที่เลื่อนยาวกรอมพื้นลงมา
“อุ๊ย”
“นั่งลงก่อน”
พิศุทธิ์ประคองกะรัตนั่ง แล้วย่อตัวลงบรรจงพับปลายขากางเกงขึ้นทั้งสองข้าง ด้วยความเนี้ยบและสุภาพ กะรัตมองการกระทำนั้นอย่างแอบประทับใจ
“ขอผมดูข้อเท้าคุณหน่อยนะ”
พิศุทธิ์ค่อยๆเปิดดูข้อเท้าข้างหนึ่งของกะรัตแล้วตกใจ ที่เห็นข้อเท้าที่เริ่มมีรอยช้ำ พิศุทธิ์รีบล้วงหลอดยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กะรัตมองอย่างสงสัย
“อะไรน่ะ”
“ยานวดแก้ฟกช้ำ...เจ็บหน่อยนะ”
กะรัตมองกิริยาอาการของเขา มองมือไม้และเล็บที่สะอาดสะอ้าน การเคลื่อนไหวที่ค่อยๆบรรจง พิศุทธิ์เริ่มนวดคลึงยาลงที่ข้อเท้า
“โอ๊ย”
“ขอโทษ...แต่คุณต้องทนหน่อย เพราะถ้าไม่ลงน้ำหนัก มันก็จะไม่หายช้ำ”
พิศุทธิ์ค่อยๆนวดลงน้ำหนักไม่ให้แรงเกินไป กะรัตละสายตาจากมือของเขามาที่ใบหน้าก็เห็นแต่ความตั้งอกตั้งใจอย่างบริสุทธิ์จริงๆ
“นี่คุณพกยามาด้วยเหรอ”
พิศุทธิ์เงยมองนิดเดียวแล้วนวดต่อ
“ใครจะรู้ว่าเราจะต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง เพราะงั้นเราถึงไม่ควรประมาท”
“คุณกำลังจะตำหนิฉันงั้นสิ”
“เปล่า...ที่คุณเจ็บตัวก็เพราะอุบัติเหตุ ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ”
“แต่อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นเพราะเราไม่ระวังไม่ใช่เหรอ”
“รู้เหมือนกันนี่” พิศุทธิ์ยิ้มๆ
กะรัตค้อน พิศุทธิ์นวดจนเสร็จ ปล่อยขากางเกงลงให้เท่ากับอีกข้าง ก่อนจะลุกขึ้น
“โอเค...ตอนนี้ก็ถึงคิวที่คุณต้องโทรไปบอกให้ที่บ้านคุณมารับแล้ว”
“แต่ฉันไม่มี...”
กะรัตจะบอกว่าไม่มีโทรศัพท์ แต่พูดไม่ทันจบ พิศุทธิ์ที่ล้วงโทรศัพท์เตรียมไว้แล้วยื่นให้ตรงหน้า กะรัตอึ้งมองหน้าเขา พิศุทธิ์เลิกคิ้วใส่ย้ำให้โทร กะรัตดึงโทรศัพท์มาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยังไม่ยอมโทร
“โทรซะ”
“รู้แล้วน่ะ” กะรัตบ่นเบาๆ “ยุ่ง...”
พิศุทธิ์ระอากับความเฮี้ยว
“ผมจะไปรอข้างล่าง หวังว่าคุณคงไม่คิดทำอะไรแผลงๆอีกนะ”
พิศุทธิ์จ้องหน้าเตือนแล้วเดินออกจากห้องไป กะรัตรู้สึกหมั่นไส้ ส่งเสียง ‘ชิ่ว!’ ไล่หลังเขาไป กะรัตยกมือถือขึ้นมอง
“ขืนโทร...ก็ต้องกลับไปอยู่ในค่ายกักกันอีกน่ะสิ”
กะรัตตัดสินใจ วางคว่ำมือถือลงบนเตียง
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
สามีตีตรา ตอนที่ 2 (ต่อ)
มือถือกะรัตและของส่วนตัวถูกรื้อมาวางไว้ข้างกระเป๋าถือ ทุกคนนั่งหน้าเครียด จนปัญญาจะตามหา
“ไม่รู้ว่าพี่กั้งจะคิดทำอะไรบ้าๆอีกรึเปล่า” กันตาบ่นอย่างกังวลใจ
กุนตีไม่สบายใจเป็นห่วงน้อง
“จะแจ้งความ ยัยกั้งก็ยังหายไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง”
“คุณกั้งนะคุณกั้ง...เงินก็ไม่มีติดตัวไปสักบาท แล้วอย่างนี้จะทำยังไง...” นวลร้องไห้ “นวลผิดเองที่ปล่อยคุณกั้งไว้คนเดียว”
“ถ้าจะผิดก็เป็นฉันที่ห้ามนวลไม่ให้ตามไปเฝ้ายัยกั้ง” กุนตีพูดอย่างรู้สึกผิด
“ก้อยก็ผิดที่เผลอหลับไปเหมือนกัน” กันตีหน้าสลด
สมหวังกับคนใช้พูดพร้อมกัน
“พวกเราก็ผิดครับ/ค่ะ”
กุนตีกังวลใจ
“หวังว่าคงไม่โดนใครลากไปทำมิดีมิร้ายนะ”
นวลได้ยินยิ่งตกใจ ร้องไห้โฮออกมา
พิศุทธิ์ทำข้าวต้มอยู่ในครัว กะรัตกะเผลกมาแอบมอง พิศุทธิ์หยิบโน่น คว้านี่ คล่องแคล่ว ตักน้ำแกงชิม ทำหน้าพอใจ...ทำให้กะรัตมองเพลินอย่างนึกทึ่ง พิศุทธิ์หันมาเห็น กะรัตสะดุ้งนิดๆ
“โทรเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
กะรัตอ้อมแอ้มรับไป
“อื้ม...”
“งั้นคุณทานข้าวต้มรอไปพลางๆก่อนแล้วกัน เพราะจากกรุงเทพมาที่นี่ก็เกือบ สองชั่วโมง”
พิศุทธิ์หันไปตักข้าวต้มใส่ถ้วย กะรัตแอบมองพิศุทธิ์อย่างสนใจ
หม่อมมลุลีนั่งทานอาหารค่ำอยู่ตามลำพัง มีบ่าวคอยรอรับใช้ ท่านชายอ๊อดเดินคุยมือถืออย่างหงุดหงิด
“คุณรู้ไหม...สองสามวันมานี้ ผมแทบไม่ได้กลับบ้าน เพราะไปวิ่งเต้นหาเงินอยู่ คุณไม่ต้องห่วงว่าผมจะเบี้ยวหรอก...คุณก็รู้ว่าผมเป็นใคร ตระกูลผมสูงส่ง มีเกียรติน่าเชื่อถือ แค่นี้นะ”
สุธาทิพย์ ภรรยาใหม่ของท่านชายอ๊อด เดินนำไหมและเม่นลงบันไดมาจากชั้นสอง
“ท่านพี่กลับมาพอดี น้องมีนัดทานข้าวกับคุณหญิงพัชรีที่โรงแรมแชงกรีล่า เดี๋ยวน้องพาลูกๆไปด้วยนะคะ มื้อนี้น้องอาสาเป็นเจ้ามือ คุณพี่ไม่ว่าใช่ไหมคะ”
ท่านชายอ๊อดแอบเซ็งแต่ปั้นหน้ายิ้ม ใจใหญ่
“จะว่าทำไมล่ะจ้ะ น้องทำถูกแล้ว แล้วอย่าลืมสั่งแต่ของดีๆล่ะ อย่าให้ใครซุบซิบได้ว่าบ้านเราใจไม่ป้ำพอ”
หม่อมมลุลีทำหน้าเซ็งกับความหน้าใหญ่ของท่านชายอ๊อด
“ไม่ต้องห่วงค่ะ” สุธาทิพย์หันไปพูดกับลูกๆ “ไปกันจ้ะ”
สุธาทิพย์พาไหมกับเม่นเดินออกไป ท่านชายอ๊อดมองตามสุธาทิพย์อย่างเครียดแล้วปั้นหน้ายิ้มไปอ้อนกอดหม่อมมลุลี แล้วหอมแก้ม
“ตัวหม่อมแม่ห๊อม...หอม”
หม่อมมลุลีพูดเสียงนิ่งๆอย่างรู้ทัน
“ฉันไม่มีเงินให้หรอกนะ”
ท่านชายอ๊อดยังพยายามอ้อน
“แหม... ผมไม่ได้จะขอเงินท่านแม่สักหน่อย ผมไม่ได้เจอท่านแม่ตั้งหลายวัน เลยอยากกอดให้หายคิดถึง”
หม่อมมลุลียิ้มเยาะ
“คนอย่างชาย ถ้าไม่ขอเงินแม่ แล้วจะเอาเงินที่ไหน ได้ข่าวว่าคราวนี้โดนบริษัทรับเหมาที่ฮั้วงานกัน มันทิ้งงานก่อสร้างค้างไว้แล้วเชิดเงินหนีไปสิบล้าน เลยไม่ใช่เหรอ แม่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่เหลือสมบัติอะไรจะขายเอาเงินช่วยชายอีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือคือวังกับชีวิตคนแก่คนนี้”
ท่านชายอ๊อดหน้าจ๋อย
“ผมทราบแล้วล่ะครับ ผมถึงได้ให้ท่านแม่ไปพูดกับไอ้ลูกหัวดื้อนั่นให้มันดองกับท่านรัฐมนตรีอิสระ”
“แม่บอกแล้วไงว่าพิศุทธิ์ไม่ยอม”
“วันก่อนผมถึงไปบอกให้มันไปทำงานกับท่านรัฐมนตรีไงครับ ถ้าเราได้งานประมูลทางด่วน ก็จะมีเงินมาใช้หนี้ แต่มันกลับปฏิเสธตอกใส่หน้าผม”
มลุลีกระแทกช้อนลง
“แล้วจะทำยังไง แม่บอกไว้ก่อนนะว่าแม่ไม่ยอมให้ชายลากชื่อเสียงเราไปเสื่อมเสียเพราะความเขลาของชายเด็ดขาด” หม่อมมลุลีหงุดหงิดพาลไปถึงเนื้อแพรและพิศุทธิ์ “พิศุทธิ์ก็อีกคน ไม่เคยให้ความร่วมมืออะไรกันเลย...เฮอะ นี่มันคงโดนนังเนื้อแพรเสี้ยมซะจนพลอยใฝ่ต่ำไปด้วย เวรกรรมของฉันจริงๆ...มีลูกก็ดีแต่ผลาญ มีหลานก็ซื่อจนโง่”
ท่านชายอ๊อดสะดุ้งนิดๆที่โดนหางเลข
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ”
หม่อมมลุลีออกคำสั่งเด็ดขาด
“แกต้องไปบีบให้ชายมาช่วยกันรับผิดชอบให้ได้ ถ้าไม่ทำงานกับท่านรัฐมนตรีก็ต้องแต่งงานกับหนูชวาลา ลูกสาวของท่านให้ได้ ถ้ามันจะเนรคุณไม่ดูดำดูดีพวกเรา ก็ให้มันรู้ไป”
กะรัตทานข้าวต้มจนเกลี้ยง พิศุทธิ์ยืนพิงขอบประตูมอง ยิ้มๆ แกล้งชมตัวเองออกไป
“กินซะเกลี้ยงชาม...แสดงว่าฝีมือผมไม่ใช่ย่อยๆ”
“ใครบอก เป็นเพราะฉันหิวต่างหาก ตั้งแต่เช้า ข้าวเพิ่งจะตกถึงท้องนี่แหละ”
“ผมไม่เข้าใจ คุณจะทำให้ตัวเองลำบากไปทำไม เป็นถึงหลานสาวเจ้าสัวร่ำรวยล้นฟ้า”
พิศุทธิ์เข้ามาเก็บชามไปพลาง
“รู้สึกว่าคุณจะรู้ประวัติฉันทะลุทะลวงเหลือเกินนะ...รู้ตัวรึเปล่าว่าคุณทำฉันเซอร์ไพร้ส์ตลอด”
“คุณเองก็มีเรื่องทำให้ผมช็อคทุกครั้งที่เจอเหมือนกัน”
พิศุทธิ์จะยกชามข้าวต้มไปเก็บ เสียงมือถือที่วางบนโต๊ะข้างโต๊ะอาหารดังขึ้น พิศุทธิ์เดินไปคว้ามาดู รูปเนื้อแพรขึ้นที่หน้าจอ พิศุทธิ์ชะงักไปนิดเดียว กะรัตเห็นท่าทีพิศุทธิ์ เลยจ้องเขม็ง อยากรู้ว่าใครโทรมา
“ผมขอตัวเดี๋ยวนะ”
พิศุทธิ์เดินหลบออกไปรับสาย กะรัตแอบมองตามอย่างจับผิด
“แฟนโทรมาล่ะซิ...ถึงไม่กล้าพูดต่อหน้าเรา”
กะรัตคิดย่องไปแอบฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เนื้อแพรพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านอย่างไม่สบายใจ
“ชายอยู่ไหนลูก ทำไมจู่ๆก็พรวดพราดไปแบบนี้ล่ะ”
พิศุทธิ์เดินเลี่ยงออกมารับสายที่ระเบียงบ้าน โดยไม่รู้ว่ากะรัตแอบฟังอยู่
“ผมอยู่ที่บ้านพัทยานี่แหละครับ”
“ชายเป็นอะไร บอกแม่ได้มั้ย”
พิศุทธิ์นึกถึงเรื่องที่ถูกท่านชายอ๊อดกดดัน แต่ไม่อยากบอกแม่
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้นเอง”
“ถ้าเป็นเรื่องคุณกฤช แม่อธิบายได้นะลูก”
เมื่อพูดถึงกฤช พิศุทธิ์กลัวกะรัตได้ยิน เลยเอี้ยวๆตัวมองเข้าไปข้างในอย่างระวังๆ กะรัตเห็นท่าทีแบบนั้นก็ยิ่งเข้าใจผิด เธอพึมพำเบาๆ
“จะโกหกแฟนว่าอยู่คนเดียวละซิ” กะรัตนึกดูหมิ่นผู้ชายขึ้นมาอีก
พิศุทธิ์เอี้ยวกลับไปมองอีกนิด
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ เอ่อ...ไว้ผมกลับไปแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า”
“เดี๋ยวสิลูก”
กะรัตขยับจะซ่อนตัวเข้าไปอีก แต่เท้าที่ยังเจ็บทำให้เสียหลักเซไปชนตู้ โถแก้วบนตู้ตกลงมา เพล้ง
“ว๊าย...”
พิศุทธิ์ตกใจหันไป เนื้อแพรที่ได้ยินเสียงผู้หญิงจากปลายสาย
“ชาย...นั่นเสียงใคร ลูกอยู่กับใครน่ะ”
พิศุทธิ์ก้าวเร็วๆเข้ามาในบ้าน ยืนมองกะรัตที่ก้มหน้าจ๋อยอยู่อย่างอ่อนใจ กะรัตพูดเบาๆ
“ฉันขอโทษ...” กะรัตก้มลงเก็บเศษแก้ว
พิศุทธิ์พูดโทรศัพท์กับเนื้อแพร
“แค่นี้ก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวชาย...”
พิศุทธิ์ตัดสายไปซะแล้ว เนื้อแพรยืนงง ไม่เคยรู้เรื่องที่พิศุทธิ์มีผู้หญิงมาก่อน
พิศุทธิ์โยนเศษแก้วที่ห่อในกระดาษหนังสือพิมพ์ลงถังขยะ กะรัตยืนหน้าแหยอยู่ใกล้ๆพูดอ้อมแอ้ม
“ฉันขอโทษนะ ไว้ฉันจะซื้อใช้ให้”
“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร”
“คุณไปโทรหาแฟนต่อเถอะ เดี๋ยวเขาจะงอนเอา” กะรัตหยั่งเชิง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมคุยอยู่กับใคร” พิศุทธิ์สงสัย
กะรัตรีบกลบเกลื่อน
“ก็ท่าทางคุณมันฟ้องว่ากำลังคุยกับแฟน...หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ใช่”
“นั่นแหละคำตอบสุดท้าย...คนที่ผมคุยด้วย ไม่ใช่แฟน”
“งั้นคุณคุยกับใคร”
กะรัตหลุดปากถามออกไปแล้วก็ตกใจตัวเอง พิศุทธิ์ไม่อยากถือสา
“ผมว่าแทนที่จะมาซักไซร้ผมอยู่แบบนี้ คุณไปโทรถามคนที่บ้านคุณดีกว่าว่า ถึงไหนแล้ว นี่มันเกือบสามชั่วโมงเข้าไปแล้วนะ”
กะรัตหน้าเจื่อน อ้ำอึ้งจนพิศุทธิ์สงสัยรีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน
พิศุทธิ์คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาเบอร์โทรออกล่าสุด กะรัตกะเผลกเข้ามายืนมองอย่างลุ้นๆ หวาดๆ พิศุทธิ์เห็นเบอร์ล่าสุดยังเป็นเบอร์เนื้อแพรทั้งสองครั้ง ก็รู้ว่ากะรัตไม่ได้โทรบอกใคร หันกลับมาเล่นงาน
“นี่ตกลงคุณไม่ได้โทรบอกที่บ้านใช่มั้ย”
“ใช่” กะรัตตีหน้าตาเฉย
พิศุทธิ์เริ่มจะปวดหัวกับกะรัต เลยดุออกไป
“นี่คุณคิดอะไรของคุณกันแน่”
“ฉันไม่อยากกลับบ้าน”
“แล้วคุณคิดบ้างมั้ยว่าป่านนี้ที่บ้านคุณเขาจะเป็นห่วงแค่ไหน” พิศุทธิ์ระอา
“แต่ฉันไม่อยากกลับไปทำให้ใครเดือนร้อนอีกแล้วคุณเข้าใจมั้ย”
กะรัตโพล่งความกดดันในใจออกมา
“กะรัต...” พิศุทธิ์ใจอ่อนลงเพราะรู้ความเป็นมาของกะรัตดี
“ฉันมันตัวปัญหา คุณรู้มั้ยว่าฉันทำให้คนในครอบครัวอับอายขายหน้าแค่ไหน”
“ผมว่าคุณคิดมากไปแล้วนะ”
กะรัตกลืนก้อนที่แล่นขึ้นมาจุกคอลงไป ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าพิศุทธิ์
“ฉันแต่งงานมาสามครั้ง...ถูกสามีหักหลังทั้งสามคน แล้วล่าสุด...นอกจากมันจะนอกใจฉัน ฉันยังถูกเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ยังเด็กทรยศเอา...ไม่ใช่แค่นั้น...แต่มันยังทำให้ฉันกลายเป็นเมียน้อย คุณได้ยินมั้ย”
กะรัตกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่ก็รีบปาดน้ำตาที่หยดออกมา แล้วฝืนห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้อีก พิศุทธิ์ยืนมึน ไม่เข้าใจที่กะรัตพูด
“ก่อนหน้าฉันจะมาที่นี่...คนที่เคยเป็นเพื่อนรักของฉัน เอาทะเบียนสมรสที่มันแอบไปจดกับสามีฉันบอกกับฉันว่ามันคือเมียหลวง...ส่วนฉัน นอกจากจะถูกสวมเขามาตลอดเวลา ฉันยังถูกเพื่อนชั่วหักหลังเอาอย่างหน้าด้านๆ”
กะรัตเงยหน้านองน้ำตามองพิศุทธิ์
“คุณคิดว่าจะมีใครยอมรับเหตุการณ์แบบนี้ได้ง่ายๆงั้นเหรอ”
พิศุทธิ์ใจอ่อนยวบลงทันที แทบอยากเข้าไปกอดปลอบไว้ แต่ก็ไม่กล้า
“ก๋งฉันที่รักฉันเหมือนแก้วตาดวงใจ พ่อแม่ฉัน พี่น้องฉัน...ทุกคนต้องพลอยเสียใจ ไปกับความโง่เง่าของฉัน”
พิศุทธิ์พยายามตั้งสติ
“แต่คุณเป็นฝ่ายถูกกระทำ...ทุกคนอาจจะเสียใจ แต่พวกเขาต้องเข้าใจคุณนะกะรัต”
กะรัตส่ายหน้า ความทุกข์เข้าจู่โจมจิตใจอีกระลอก
“แต่พวกเขาต้องอับอาย ผิดหวังในตัวฉัน ฉันไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นต่อไปยังไง...ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร” กะรัตสะอื้น
“กะรัต...”
“ขอให้ฉันได้พักใจอยู่ที่นี่สักวันได้มั้ย...อย่างน้อยแค่คืนนี้ก็ได้ ฉันขอแค่คืนเดียวที่ฉันจะได้นอนโดยไม่ต้องฝันร้ายอีก”
กะรัตมองหน้าพิศุทธิ์แบบขอความเห็นใจ พิศุทธิ์ยืนมองความอ่อนแอของกะรัตด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ
พิศุทธิ์ปูผ้าปูเตียงให้ใหม่โดยมีกะรัตยืนมองดูอยู่ พิศุทธิ์จัดการทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว
“ที่นี่ไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านคุณหรอกนะ...อยากได้อะไรก็ตะโกนเรียกผมละกัน”
พิศุทธิ์เดินออกไปเพื่อให้กะรัตพักผ่อน
“เดี๋ยว”
พิศุทธิ์กำลังจะออกประตูไปหันมา
“ขอบคุณมากนะ”
พิศุทธิ์พยักหน้ารับคำขอบคุณไว้แล้วปิดประตูออกไป กะรัตขึ้นนอนบนเตียงที่พิศุทธิ์เตรียมไว้ให้ด้วยความรู้สึกแปลกๆเพราะเธอไม่เคยได้รับการดูแลจากผู้ชายคนไหนแบบนี้มาก่อน
กลางดึก กะรัตนอนอยู่บนเตียงพลิกตัวไปมาเพราะฝันถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“ความจริงบ้าอะไรของแก”
กะรัตเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สายน้ำผึ้งจ้องหน้า
“ก็ความจริงที่เธอมันห่วยไงกั้ง เธอมันห่วยจนผัวทุกคนของเธอ ทนไม่ไหว ต้องออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน...ฉันไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงอย่างเธอจะไม่เคยได้รับความรักจากผู้ชายคนไหนเลย”
กะรัตเจ็บจี๊ดแต่ฮึดสู้
“แต่อย่างน้อย ฉันก็ยังเป็นคนที่ผู้ชายเลือกจะเรียกว่าเมีย ไม่ใช่นางบำเรอหรือชู้อย่างแก”
“เมีย เธอเผลอเรียกตัวเองว่าเมียอีกแล้วนะกั้ง”
สายน้ำผึ้งส่งน้ำเสียงกวนประสาทมาก จนกะรัตเริ่มงงกับอารมณ์ สายน้ำผึ้งค่อยๆยกซองขึ้นช้าๆ...เปิดซองออกแล้วค่อยๆดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา
“ถ้าเธอขยันเรียนกว่านี้สักนิด...หาความรู้รอบตัวสักหน่อย เธอก็จะรู้ว่า...คำว่าเมีย เขาหมายถึงผู้หญิงที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนสมรส ไม่ใช่แค่มีพิธีอลังการ แต่ไร้ค่าอย่างเธอ”
กะรัตลืมตาโพลง ที่ตรงหน้าของกะรัตมีหน้าสายน้ำผึ้งอยู่ใกล้ๆ
“แกต้องชดใช้ชีวิตให้ภูเบศร์ แกต้องชดใช้ให้ชีวิตให้ฉัน”
สายน้ำผึ้งพุ่งเข้าบีบคอ กะรัตกรี๊ด สายน้ำผึ้งยิ่งบีบคอแน่น
“แกมันตัวซวย...ผัวแกทุกคนต้องตายเพราะแก...เพราะแก...เพราะแก”
กะรัตร้องอึดอัดแทบขาดใจ
กะรัตนอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง
“ปล่อยฉันผึ้ง...ปล่อยฉัน...อ๊าย”
กะรัตร้องกรี๊ดตกใจตื่นจังหวะเดียวกับที่พิศุทธิ์พุ่งเข้าไปหา
“ผมได้ยินเสียงคุณร้อง คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
แววตากะรัตเต็มไปด้วยความกลัว โผเข้ากอดพิศุทธิ์
“ฉันไม่ได้ฆ่าใคร ฉันไม่ได้อยากให้ภูตาย ฉันไม่ได้อยากให้พวกเขาตาย”
กะรัตร้องไห้ตัวโยน พิศุทธิ์เห็นอาการของผู้หญิงอย่างกะรัต ที่ต้องจมอยู่กับฝันร้าย มือของพิศุทธิ์ค่อยลูบเบาๆไปที่ผมของเธอ
“แค่ฝันร้าย ไม่เป็นไรนะครับ คุณไม่เป็นไรแล้ว”
กะรัตได้รับความรู้สึกอบอุ่นจากมือของผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จัก แต่มันทำให้เธอหลับตาลงได้อย่างอุ่นใจ
กะรัตนอนหลับจับมือพิศุทธิ์อยู่ สักครู่เขาค่อยๆถอนมือออก
“คุณต้องฝันร้ายแบบนี้ทุกคืนหรือเปล่า”
พิศุทธิ์มองกะรัตที่ตอนนี้หลับสนิท ถอดเขี้ยวเล็บของภาพความร้ายกาจที่เคยมี พิศุทธิ์ห่มผ้าให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
วันใหม่...ในบริษัทส่งออกสินค้าเกษตร...สายน้ำผึ้งผลุนผลันเข้าห้องน้ำมาอาเจียนเพราะแพ้ท้องหนักลูกน้องสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นสาวรุ่น พากันเดินเข้ามาแต่งหน้าที่หน้ากระจก เห็นเธอโก่งคออาเจียนอยู่ในห้องน้ำที่ไม่ได้ปิดประตูก็แอบนินทากัน
“สังเกตรึเปล่าว่าหมู่นี้พี่ผึ้งมีอาการแปลกๆ”
สายน้ำผึ้งที่อยู่ในห้องน้ำถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคนพูดถึงตัวเองอยู่
“รู้สึกเหมือนกันเหรอ ฉันนึกว่าฉันคิดอยู่คนเดียว”
“ก็เล่นโอ้กอ้ากเช้าเย็น แถมบางทียังกลางที่ประชุมแบบนั้น ให้ไม่เกินอีกสองเดือนก็ป่องแล้วละย่ะ”
สายน้ำผึ้งต้องฝืนกลั้นอาการคลื่นไส้ไว้ เพราะกลัวคนข้างนอกจะได้ยิน ลูกน้องยังคงนินทา
“ฟงแฟนก็ไม่ แล้วหยั่งงี้เขาท้องกับใคร”
“ถ้าปล่อยให้ท้องโย้แล้วยังพาพ่อของลูกมาเปิดตัวไม่ได้ ร้อยทั้งร้อยเป็นเมียน้อยชัวร์”
สายน้ำผึ้งหน้าเสียเมื่อได้ยินคนพูดถึงตัวเองแบบนั้น สองสาวเติมแป้งแต่งหน้าเสร็จก็เดินออกไป สายน้ำผึ้งถึงกับทรุดนั่งด้วยความมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้จะเอายังไงกับอนาคตตัวเอง
สายน้ำผึ้งเข้ามาในชุมชนที่ดูไม่เจริญนัก เดินมองหาบ้านภูเบศร์ เธอเดินมาถึงร้านตัดเสื้อที่เป็นห้องเช่าเก่าๆโทรมๆเห็นหญิงกลางคนแต่งตัวปอนๆกำลังนั่งสอยชายเสื้ออยู่ ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆอีกคนกำลังเย็บจักร มีเด็กตัวเล็กนั่งเล่นของเล่นเน่าๆอยู่ใกล้ๆ สายน้ำผึ้งรวบรวมความกล้า เดินตรงเข้าไปไหว้หญิงกลางคนก่อน
“สวัสดีค่ะ”
แม่ของภูเบศร์มองสายน้ำผึ้ง แล้วถามออกไป
“มาตัดเสื้อเหรอหนู”
“หนูชื่อสายน้ำผึ้ง ที่แม่เจอที่งานศพภูไงคะ”
แม่คิดๆ แล้วจำได้
“อ้อ...แล้วนี่หนูมามีธุระอะไรรึเปล่า”
สายน้ำผึ้งมองไปในบ้าน เห็นรูปและโกศอัฐิของภูเบศร์วางอยู่บนหิ้ง ตัดสินใจบอกกับแม่ไปตรงๆ
“หนูท้องกับภูค่ะแม่”
เสียงเย็บจักรเงียบไปทันที แม่ชักสีหน้าแล้วหันไปสบตากับผู้หญิงที่เย็บจักรอยู่ก่อนจะหันมาหาสายน้ำผึ้ง
“ถ้าจะมาทวงสิทธิ์ละก็ ขอบอกว่าไอ้ภูมันไม่มีสมบัติเหลือหรอกนะ มีแต่หนี้จะเอากะเขาด้วยรึเปล่าล่ะ”
“ผึ้งไม่ได้มาเรียกร้องอะไรนะคะ แค่อยากมาบอกว่าผึ้งยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของภูอีกคนอยู่ตรงนี้”
“ทำกันเองก็เชิญเลี้ยงกันเองเถอะ ฉันไม่อยากรับรู้”
“แต่ยังไงเด็กคนนี้ต้องใช้นามสกุลของภูนะคะ เพราะเขาจดทะเบียนกับหนู”
“หนูไม่ใช่คนแรกที่จดทะเบียนกับมันหรอกนะ มันเที่ยวแรดไปจดกับใครเขาไปทั่ว โดนมันหลอกให้จดทะเบียนซ้อนแล้วรู้ตัวรึเปล่า”
สายน้ำผึ้งชะงัก
“นี่แม่พูดเรื่องอะไร”
“ก็เมียตัวจริงถูกต้องตามกฎหมายของมันนั่งอยู่นี่ไง”
สายน้ำผึ้งมองสภาพเมียคนแรกของภูเบศร์อย่างรับไม่ได้
“ไม่จริง”
“มันแต่งกับไอ้ภูมาสิบปี ลูกมันคนนี้ยังจำหน้าพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ”
แม่ของภูเบศร์พยักเพยิดไปที่เด็กคนที่นั่งเล่นอยู่ในร้าน สายน้ำผึ้งหน้าซีดเผือดจะเป็นลม
“มันยอมอยู่อย่างสงบปากสงบคำ เพื่อแลกกับเงินทุกสตางค์ที่ผัวมันตอดมาจากเมียเศรษฐี ถ้ารู้ว่าไอ้ภูจะอายุสั้นยังงี้ มันคงไม่ทนอยู่แบบนี้หรอก”
สายน้ำผึ้งแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อได้รู้ความจริงที่แสนเจ็บปวด
“ไอ้ภูมันไม่เคยคิดจะมีลูก ถ้าหนูอยู่กินกับมันจริงๆก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ มันระวังเรื่องนี้ จะตายเพราะกลัวเมียเศรษฐีของมันจะรับไม่ได้” แม่มองสายน้ำผึ้งที่ดูดีแล้วนึกสงสัย “แล้วนี่ไปทำอีท่าไหน ถึงได้ปล่อยให้พลาดยังงี้”
สายน้ำผึ้งไม่มีคำตอบให้กับแม่ภูเบศร์ เพราะใจตอนนั้นเหมือนกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง หัวหูอื้ออึงไปหมด
สายน้ำผึ้งเดินตามทางมาเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจกำลังจะข้ามถนน ระหว่างที่หยุดยืนรอเธอเห็นพ่อแม่กำลังจูงมือลูกข้ามถนนมาจากเกาะกลาง เธออึ้งกับภาพความสุขของครอบครัวที่บาดหัวใจ พลันน้ำตาก็ร่วงพรูลงมาเป็นสาย สายน้ำผึ้งเดินโซซัดโซเซร้องไห้น้ำตานองหน้าจนมาหยุดตรงมุมหนึ่ง มือต้องเกาะยึดกำแพงไว้เหมือนจะเดินต่อไปไม่ไหว สายน้ำผึ้งสะอื้นออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ในอดีต...ภูเบศร์ก้าวเข้าห้องของโรงแรมม่านรูด สายน้ำผึ้งก้าวตาม ปิดประตูดังโครมน้ำตาร่วงพรูออกมาทันที
“อธิบายมาสิคะ อธิบายเรื่องที่คุณบอกผึ้งว่าคุณกำลังจะไปแต่งงาน”
“โธ่ผึ้ง...” ภูเบศร์เข้าไปกอดสายน้ำผึ้งไว้ทางด้านหลัง “ผมบอกแล้วไงว่ามันก็เป็นแค่แผนของผม พอผมได้เงินมากพอ ผมก็จะหาเรื่องเลิก แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไงจ้ะ”
สายน้ำผึ้งสะบัดตัวหันกลับไป
“แต่ผึ้งไม่ต้องการ...ผึ้งต้องการแต่คุณได้ยินมั้ยคะ”
ภูเบศร์อธิบายอย่างใจเย็น
“แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่กันโดยไม่มีอะไรเลย คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้มั่งมีอะไร”
“ผึ้งไม่กลัว”
“แต่ผมรักคุณนะผึ้ง ผมจะไม่ยอมให้คนที่ผมรักต้องลำบาก แล้วสักวันถ้าเรามีลูกด้วยกัน คุณจะทนเห็นลูกอยู่อย่างกระจอกงอกง่อยได้เหรอ”
สายน้ำผึ้งอึ้งเงียบไป แต่ยังร้องไห้ เพราะรับไม่ได้ ภูเบศร์ค่อยๆเข้าประคองสายน้ำผึ้งไปนั่งที่เตียง กอดปลอบ ทอดน้ำเสียงอบอุ่นมาก
“คุณยังจำความฝันที่เราสร้างร่วมกันได้มั้ย...รถหรูๆที่ผมจะพาคุณเที่ยวไปในทุกที่ที่คุณอยากไป...บ้านสวยๆ หลังใหญ่จนใครๆต้องอิจฉาบ้านเราต้องมีสระว่ายน้ำมีสนามหญ้ากว้างๆ ไว้ให้ลูกของเราวิ่งเล่น” ภูเบศร์เชยคางสายน้ำผึ้งขึ้นมา สบตาหวานฉ่ำ “และตอนนี้ ผมก็กำลังจะทำให้ฝันของเราเป็นจริงแล้วไงจ้ะ”
“แต่ผึ้งต้องเสียคุณไป...ที่สำคัญ...คนที่แย่งคุณไปจากผึ้งคือ...”
“ไม่มีใครแย่งผมไปจากคุณได้...สายน้ำผึ้ง”
ภูเบศร์สบตาซึ้ง ก่อนจับมือสายน้ำผึ้งให้มาทาบลงตรงหัวใจของเขาเบาๆ นุ่มนวล
“ในหัวใจของผม มีแต่ผู้หญิงชื่อสายน้ำผึ้ง...ผู้หญิงที่ผมรักยิ่งกว่าชีวิตผมถึงได้ยอมเอาชีวิตของผมเข้าไปแลก...ผมทำได้ทุกอย่าง เพื่อคุณคนเดียวรู้มั้ย”
สายน้ำผึ้งหลงเชื่อทุกคำของภูเบศร์ ตื้นตันใจจนน้ำตารินไหลออกมา ภูเบศร์อ่อนหวานอ่อนโยนใส่ไม่ยั้ง แล้วพรมจูบซับน้ำตาสายน้ำผึ้งจนทั่วหน้า สัมผัสละมุนละไมกับใจที่หลงรัก ทำเอาสายน้ำผึ้งถึงกับลืมเลือนเรื่องช้ำใจ หลับตาพริ้มปล่อยใจไปกับความรักที่เข้าใจว่ามันเป็นจริง
“ผมรักคุณ...รักเหลือเกิน...ผึ้งจ๋า...”
สายน้ำผึ้ง นึกถึงคำด่าของกะรัตกระแทกซ้ำเข้ามาอีก กะรัตหัวเราะเยาะหยัน
“นี่มันคงพล่ามให้เธอหลงเชื่อว่ามันมีสิทธิ์อย่างโน้นอย่างนี้ละสิ...” กะรัตเดินย่างเข้าหาสายน้ำผึ้งอย่างเหนือกว่า “เธอมันโง่…โง่ ๆ”
สายน้ำผึ้งยกมืออุดหูสภาพอันน่าสมเพชเวทนาของตัวเอง ที่เหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลกร้าง
พิศุทธิ์เดินหิ้วถุงของกินมา 2-3 ถุง ผ่านมาทางบ้านพักตากอากาศของกะรัต นวลและสาวใช้กำลังเอารูปของกะรัตไปถามชาวประมงที่อยู่แถวนั้น พิศุทธิ์ที่กำลังจะเดินผ่าน หันไปมองๆ
กะรัตกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงเคาะประตูดัง ปลุกให้กะรัตสะลึมสะลือขึ้นมา
“คุณกะรัต...ตื่นรึยัง ขอผมเข้าไปหน่อย”
ทันทีที่รู้ตัวว่าเป็นเสียงพิศุทธิ์ กะรัตก็กระเด้งตัวขึ้นทันทีรีบกะเผลกไปเปิดประตู เห็นพิศุทธิ์มารออยู่หน้าห้อง
“อรุณสวัสดิ์...เอ๊ย...เอ่อ...สวัสดีตอนบ่ายค่ะ” กะรัตยิ้มเขินๆ ที่เผลอหลับจนเกือบบ่าย
นวลที่ยืนเยื้องออกไป เห็นกะรัต ร้องออกมาเสียงดังลั่นก็ดีใจ
“คุณกั้ง”
กะรัตตกใจแทบล้มทั้งยืนที่เห็นนวลโดดมายืนตรงหน้า นวลโผเข้ากอดกะรัต
“คุณกั้ง...” นวลจับๆบีบๆที่แขนกะรัต “คุณกั้งจริงๆด้วย...คุณกั้งขารู้มั้ยคะว่านวลออกตามหาคุณกั้งทั้งคืนเลย คุณกั้งหายไปไหนมา แล้วทำไมคุณกั้งถึงมานอนอยู่ที่นี่ ทำไมคุณกั้งไม่กลับบ้านคะ”
นวลรัวคำถามเป็นชุดด้วยความดีใจ
“เขาคงลืมมั้งครับว่ามีบ้านอยู่ใกล้แค่นี้” พิศุทธิ์ประชด
คำพูดของพิศุทธิ์ทำเอากะรัตถึงกับจ๋อยไป
กะรัตยังอยู่ในชุดของพิศุทธิ์ที่เธอยืมใส่ เดินฟึดฟัดๆออกจากบ้าน พิศุทธิ์กับนวลเดินตาม ในระยะที่กะรัตไม่ได้ยินสองคนพูดกัน
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยคุณกั้งไว้ให้”
“ถ้ารู้ว่าอยู่ใกล้แค่นี้ ผมคงพาไปส่งให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะครับ”
“นวลต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่รู้คุณกั้งนึกยังไงถึงได้รบกวนคุณแบบนี้”
พิศุทธิ์นึกถึงความทุกข์ของกะรัตเมื่อคืนแล้วก็หนักใจขึ้นมาอีก
“ผมว่าตอนนี้ เขาคงต้องการที่พึ่งทางใจ...” พิศุทธิ์มองนวลเชิงเตือน “ที่ไม่ใช่การควบคุมกักขัง...คนดื้อแบบนี้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งผลักเขาออกไป”
นวลหน้าเจื่อนที่โดนติแล้วสงสัย
“เอ๊ะ แล้วทำไมคุณถึงได้พูดเหมือนรู้ใจคุณกะรัตมากขนาดนี้ล่ะคะ รึว่า...”
พิศุทธิ์ทำหน้าเก้อๆที่เผลอพูด โชคดีที่เสียงกะรัตดังมาเป็นระฆังช่วยไว้ซะก่อน
“เอ้า...เร็วเข้าสินวล...จะรอให้เขาไล่ตะเพิดเราเหมือนหมูเหมือนหมารึไง”
“ค่ะๆ”
นวลรีบวิ่งออกไปหากะรัตทันที พิศุทธิ์เดินตามออกมา
“หวังว่าคงไม่มีเหตุให้เราต้องเจอกันอีกบ่อยๆนะครับ”
กะรัตอึ้ง หน้าคว่ำใส่พิศุทธิ์
“ไปซิ”
กะรัตพาล เร่งนวลเสียงดัง ค้อนพิศุทธิ์วงใหญ่ก่อนจะจ้ำอ้าวไป นวลรีบวิ่งตาม พิศุทธิ์มองอาการวีนแตกของกะรัตอย่างอ่อนใจ
กะรัตเดินกระแทกเท้าเข้ามาในโถงบ้านพักตากอากาศด้วยความโมโห นวลตามมาติดๆ สมหวังกับคนใช้สองคนที่รออยู่ดีใจกันใหญ่ กะรัตยังเล่นงานนวลไม่เลิก
“นวลนะนวล ไม่รู้จะโผล่ไปทำไม”
“แล้วทำไมคุณกั้งถึงจะไม่อยากกลับบ้านล่ะคะ” นวลงง
“ฉันจะไปขึ้นสวรรค์ลงนรกที่ไหน นวลไม่ต้องรู้สักเรื่องจะได้มั้ย...” กะรัตหน้าเหวี่ยงไปที่คนใช้ “ฉันจะอกแตกตายก็เพราะพวกสู่รู้แถวนี้แหละ”
กะรัตหงุดหงิด กระแทกเท้าขึ้นบันได สวนกับกุนตีและกันตาที่เดินลงมาพอดี
“หายไปไหนมา แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า มีใครทำอะไรกั้งรึเปล่า” กุนตีรีบถลาเข้ามาจับตัวน้อง
นวลยิ้มๆ เมื่อนึกถึงพิศุทธิ์ ถลาเข้าไปเสนอหน้าบอก
“อู๊ย...คุณกุ้งขา ไม่มีใครทำร้ายคุณกั้งเหมือนที่คุณกุ้งคิดหรอกค่ะ คุณกั้งปลอดภัยไร้กังวล แถมยัง...”
“นวล”
กะรัตตวาดเสียงดัง ขึงตาใส่ นวลรีบยกมือกันไวๆ สองสาวฟังนวลแล้วงงๆ เพิ่งสังเกตการแต่งตัวของน้องสาว กะรัตหันกลับมา ก็เห็นสายตาพี่กับน้องที่จ้องดูเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของกะรัต สองคนเงยมองหน้ากะรัตพร้อมกัน กะรัตทั้งพาลทั้งอาย วิ่งหนีหน้าขึ้นบนไป สองสาวมองตามกะรัตงงๆ แล้วนึกได้ หันขวับมาหานวลทันที
พิศุทธิ์เดินเข้ามาในห้องนอน มองเตียงที่กะรัตนอนเมื่อคืน รกไปด้วยหมอนและผ้าห่มที่ยังไม่ได้เก็บ อดคิดถึงกะรัตอีกไม่ได้ พิศุทธิ์เดินเข้าไปเก็บเตียง
กุนตีได้ฟังเรื่องที่ไปเจอกะรัตอยู่กับพิศุทธิ์จากนวลก็โวยเสียงดัง
“นี่หมายความว่ายัยกั้งไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นทั้งคืนงั้นเหรอ”
“แต่เขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษมากนะคะ”
“ว่างไม่เท่าไรก็เริ่มหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว” กุนตีเหนื่อยใจ
“โธ่ พี่กุ้งก็...จะเป็นไรไปล่ะคะ ถ้าเขาคนนั้นทำให้พี่กั้งเริ่มรักชีวิตตัวเองขึ้นมาได้”
“มันจะเปิดทางให้ผู้ชายมาหลอกอีกน่ะสิ สามครั้งแล้วนะ ถ้ายังจะมีหนที่สี่ ก็คงต้องโทษตัวเองแล้ว”
“นี่นวล” กันตากระซิบถามตื่นเต้น “ผู้ชายคนนั้นดูโอเครึเปล่า แล้วท่าทีที่พี่กั้งมีกับเขาเป็นยังไง”
“นวลว่าเขาไม่เหมือนคนที่แล้วๆมานะคะ ส่วนคุณกั้งก็น่าจะพอใจเขาอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่กล้าไปนอนค้างอ้างแรมกับเขา สองต่อสองแบบนั้นหรอกค่ะ”
กันตาหันมาหากุนตี
“ก้อยว่าพี่กุ้งอย่าเพิ่งซีเรียสไปเลยค่ะ พี่กั้งอาจจะแค่เสียเซลฟ์กับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เลยต้องการใครสักคนมากู้ความมั่นใจคืนเท่านั้นแหละ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พี่ก็ยิ่งรับไม่ได้”
“เอาเถอะค่ะ” กันตาลุกขึ้น “เอาเป็นว่าก้อยจะไปดูให้เห็นกะตา แล้วสกรีนให้ด้วยว่าคนนี้ควรจะ เดินหน้าหรือว่าแค่ แก้ขัด เท่านั้นพอ...ไหนบอกฉันมาซินวล บ้านว่าที่พี่เขยคนที่สี่ของฉัน อยู่ตรงไหน”
กุนตีถึงกับชะงักไปกับคำเรียกของกันตา
พิศุทธิ์เดินออกมานั่งรับลมเย็นที่หน้าบ้าน กันตาเดินหิ้วถุงกระดาษมาในระยะที่พอมองเห็นพิศุทธิ์ กันตาแอบมองพิศุทธิ์จากทางด้านหลังยังจำไม่ได้ว่าเคยเจอพิศุทธิ์มาก่อน กันตาตื่นเต้นเพราะอยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
“ขอโทษนะคะ”
พิศุทธิ์ได้ยินเสียง รีบหันไปมอง กันตาตกใจและดีใจมากที่เห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือพิศุทธิ์
กะรัตใส่ชุดคลุมประมาณเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นั่งเช็ดผมอยู่บนเตียง เธอนึกถึงภาพที่เธอโผเข้ากอด พิศุทธิ์ เขาใช้มือลูบผมปลอบเธอเบาๆ
“แค่ฝันร้าย ไม่เป็นไรนะครับ คุณไม่เป็นไรแล้ว”
พิศุทธิ์เดินมาที่หน้าบ้าน
“หวังว่าคงไม่มีเหตุให้เราเจอกันอีกบ่อยๆนะครับ”
กะรัตใช้ผ้าเช็ดผมแรงๆ
“โอ้ย บ้าไปแล้วเหรอกะรัต จะไปคิดถึงนายคนนั้นทำไม”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงของนวลดังขึ้น
“ของว่างค่ะคุณกั้ง”
กะรัตพอมองเห็นนวลก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้
“ชุดที่ให้ไปซักได้รึยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ไปเอามาเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันจะต้องเอาไปคืนเจ้าของ”
“คุณก้อยเธอเอาไปคืนให้แล้วเรียบร้อยค่ะ”
“อะไรนะ” กะรัตไม่พอใจ
จบตอนที่ 2