เวียงร้อยดาว ตอนที่ 14 อวสาน
เต็มเดือนเดินเข้ามาหาดำรงที่แกล้งหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับซองพินัยกรรม
“เต็มรู้ว่าคุณพ่อไม่ได้หลับ เรามีเรื่องต้องคุยกัน ลุกขึ้นมาสิคะ”
เต็มเดือนเข้าไปกระชากดำรงให้ลุกขึ้นมานั่งแล้วพูด
“พินัยกรรมฉบับนี้จะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อคุณพ่อต้องลงนามเสียก่อน เต็มไม่อยากจะรบกวนคุณพ่อนานนัก แค่พิมพ์ลายนิ้วมือตรงนี้ก็พอ”
เต็มเดือนจับนิ้วโป้งดำรงมาปั๊มหมึกก่อนจะให้พิมพ์ลงบนพินัยกรรม
“อย่าเป็นตาแก่หัวดื้อนักเลย ถึงอย่างไรทุกอย่างในบดินทร์ธรก็ต้องตกเป็นของฉันอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว พิมพ์สิ ! พิมพ์ !”
ดำรงพยายามขัดขืนอย่างสุดกำลัง เขาจ้องหน้าเต็มเดือนตาเขม็ง
“จะลองดีกับฉันใช่มั้ย ห๊ะ ! ได้... ไม่อยากพิมพ์ตอนที่ยังมีลมหายใจ เอาไว้พิมพ์ตอนตายก็แล้วกัน เตรียมตัวลงนรกได้แล้วไอ้แก่”
เต็มเดือนหยิบถ้วยยาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมากรอกปากดำรง ดำรงปัดถ้วยยาตกพื้นจนแตกกระจาย เต็มเดือนยิ่งเดือด เธอหันไปมองก็เห็นเท้าใครบางคนยืนอยู่
“นังเวียงแก้ว !!”
“ฆ่าคนมันบาปหนักนะเจ้า คุณเต็มเดือนไม่กลัวตกนรกหรือ” ผีเวียงแก้วถาม
“ทำไมฉันต้องกลัว ? ในเมื่อฉันทำบุญล้างบาปอยู่ทุกวัน” เต็มเดือนบอก
“บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ไม่มีทางหักล้างกันได้ เลิกปลอบใจตัวเองเสียทีเถอะ มันน่าสมเพช”
“อย่านึกว่าเป็นผีแล้วฉันจะกลัว นังสัมภเวสีชั้นต่ำ ! ฉันจะทำทุกวิถีทางให้แกทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตอนมีชีวิตซะอีก แกก็รู้นี่ว่าฉันทำได้”
เต็มเดือนมีสีหน้าสะใจในขณะพูดเพื่อรื้อฟื้นเรื่องในอดีตตอนที่ฆ่าเวียงแก้ว
เหตุการณ์ในอดีต ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนตั้งเค้าเพราะกำลังจะตกลงมาในอีกไม่ช้า เวียงแก้วอุ้มร้อยดาววัยสองขวบที่ร้องไห้กระจองอแงเพราะเป็นไข้ นั่งพับเพียบหน้าเต็มเดือน
“ร้อยดาวลูกข้าเจ้าตัวร้อนจัดไข้ไม่ลดตั้งแต่เมื่อวานแล้วจะหาหมอก็ไม่มีเงิน ข้าเจ้าไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครที่ไหนแล้ว นอกจากคุณเต็มเดือน ขอข้าเจ้ายืมเงินไปรักษาลูกทีเถอะนะเจ้า แล้วข้าเจ้าจะรีบหามาคืนให้”
เต็มเดือนหน้าเรียบเฉย แสงจากฟ้าแลบภายนอกทำให้เต็มเดือนยิ่งดูน่ากลัว เต็มเดือนเปิดตู้เก็บของมีค่าออกมา แล้วหยิบสร้อยคอทองคำหนักเส้นใหญ่ยื่นให้เวียงแก้ว
“ฉันให้ !”
เวียงแก้วมองหน้าเต็มเดือนแต่ไม่กล้ารับเพราะสร้อยมีค่ามากเกินไป
“แต่...”
“รับไว้เถอะ...น่าสงสาร เธอกับลูกคงลำบากไม่น้อย สร้อยเส้นนี้เอาไปขายคงได้เงินไม่น้อยพอช่วยเหลือจุนเจือเธอกับลูกน้อยๆของเธอได้บ้าง ถือว่าตอบแทนที่เธอเคยทำอะไรต่อมิอะไรให้ฉัน”
เวียงแก้วซาบซึ้งในน้ำใจของเต็มเดือนจึงก้มลงกราบเท้าเต็มเดือนด้วยความตื้นตัน
“พระคุณของคุณเต็มเดือนข้าเจ้ากับลูกจะไม่มีวันลืมเลย”
เต็มเดือนยิ้มอย่างมีแผนการบางอย่างในใจ
เวียงแก้วอุ้มลูกออกมาจากห้องเต็มเดือนแล้วมาพบกับเจอกับจงจิตและสร้อยฟ้าพอดี
“ตัวจัญไรเข้าบ้าน สงสัยต้องเอาน้ำมาล้างไล่เสนียด !” สร้อยฟ้าแขวะ
“สั่งให้ลูกแกหุบปากเสียที ร้องอยู่ได้ ประสาทเสีย คนจะหลับจะนอน” จงจิตว่า
เวียงแก้วไม่อยากต่อปากต่อคำจึงอุ้มลูกจะลงบันได สร้อยฟ้าเห็นสร้อยทองในมือเวียงแก้ว
“เดี๋ยว ! แกเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหน” สร้อยฟ้าทัก
“นี่มันสร้อยของคุณพี่ปกรณ์นี่ แกขโมยมาใช่ไหม ?”
“ข้าเจ้าเปล่า...”
“โกหก !!”
ทันใดนั้น เต็มเดือนก็เปิดประตูออกมาจากห้อง
“มีอะไรกัน”
“ก็นังนี่น่ะสิคะ ไม่รู้ไปเอาสร้อยทองของคุณพี่ปกรณ์มาจากไหน” จงจิตบอก
สร้อยฟ้าเสริม “เลวจริงๆ ! วันนี้คุณพี่ไม่อยู่พาคุณพ่อไปทำธุระในเมือง แกก็เลยถือโอกาสเข้าไปลักสร้อยเส้นนี้เมาใช่มั้ย ห๊า !! อีสันดานโจร !”
เวียงแก้วมองเต็มเดือนอย่างขอความช่วยเหลือให้ช่วยพูดให้ที
“สร้อยเส้นนี้...” เต็มเดือนเว้นชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “เธอกล้าดียังไงถึงได้ขโมยมา”
เวียงแก้วเหวอและงงเป็นไก่ตาแตกที่เต็มเดือนพูดอย่างนั้น
เต็มเดือนพูดต่อ “เธอทำให้ฉันผิดหวัง ไม่นึกเลยว่าเธอจะขี้ลักขี้ขโมย”
“นึกแล้วเชียว ! นังเนรคุณ ! เลี้ยงไม่เชื่อง ลากคอมันเข้าคุกเลยดีกว่า” จงจิตบอก
“ก่อนส่งมันไปโรงพัก ขอแม่ตบเรียกสามัญสำนึกสักหน่อยเถอะ”
พูดจบสร้อยฟ้าก็เงื้อมือจะจบ เวียงแก้วเอามือซ้ายคว้าเอาไว้ได้ด้วยความเจ็บใจที่ถูกเต็มเดือนหักหลังใส่ร้าย
“แกสู้ฉันเหรอ อีไพร่ !!” สร้อยฟ้าว่า
สร้อยฟ้าเอามือซ้ายตบเวียงแก้วจนหน้าหัน จงจิตคอยผสมโรง เวียงแก้วถูกสร้อยฟ้ากับจงจิตรุมทึ้งตบตีแต่ก็กอดร้อยดาวไว้แน่นเพื่อปกป้องลูกสุดชีวิต เต็มเดือนยืนยิ้มสะใจในขณะดูเวียงแก้วถูกสร้อยฟ้ากับจงจิตรุมตบ เวียงแก้วเอามือปัดป้อง แต่ในช่วงชุลมุนเล็บของเธอเกิดพลาดข่วนหน้าสร้อยฟ้าเป็นรอยจนเลือดซิบ
“มึง !” สร้อยฟ้าลูบที่แก้มเห็นมีเลือดติดมาด้วย “จะลองดีกับกูใช่มั้ย !!! ดี !! กูจะเอาเลือดหัวมึงมาล้างตีนกูให้ได้ อีเวียงแก้ว”
สร้อยฟ้าโกรธจัดจึงกระชากผมเวียงแก้วแล้วตบจนตกบันได เวียงแก้วลงไปนอนนิ่งอยู่กับพื้นแต่ยังกอดลูกไว้แน่น เลือดซึม ฟ้าแลบเข้ามาดูน่ากลัว
จงจิตเริ่มกลัวจึงถามเต็มเดือน “มันจะตายไหมมั้ยคะ คุณพี่ ?”
นิ้วเวียงแก้วกระดิกน้อยๆ สื่อว่ายังไม่ตาย
“ถ้ายังไม่ตาย ก็ทำให้มันตายเสียสิ !” เต็มเดือนบอก
เต็มเดือนยิ้มอย่างเลือดเย็น
ฝนเทลงมาอย่างหนักจนน่ากลัว
ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ เวียงแก้วนอนสลบไสลอยู่ที่พื้นข้างๆร้อยดาวที่ร้องไห้จ้า เต็มเดือนสั่งพร้อมทั้งปรายตาไปยังเชือกที่ผูกเป็นบ่วงแขวนอยู่บนขื่อ
“เอามันขึ้นไป”
จงจิตกับสร้อยฟ้ามองหน้ากันอย่างกล้าๆกลัวๆ
“หูหนวกกันหรือไง !!! ฉันสั่งให้เอามันขึ้นไป !”
จงจิตกับสร้อยฟ้าช่วยกันปีนเก้าอี้แล้วเอาร่างเวียงแก้วที่สลบอยู่ขึ้นไปแขวนคอกับบ่วงเชือก
เต็มเดือนพูด “หลับให้สบายนะจ๊ะ เวียงแก้ว”
เต็มเดือนถีบเก้าอี้จนล้มกระเด็นทำให้ร่างเวียงแก้วห้อยต่องแต่งเหนือพื้น เวียงแก้วลืมตาโพลงพร้อมกับดิ้นรนกระเสือกกระสนจากความตาย เวียงแก้วเห็นลูกน้อยร้องไห้จ้าอยู่กับพื้น ทันใดนั้นเส้นเลือดฝอยในตาของเธอก็แตกจนแดงก่ำน่ากลัว
เวียงแก้วขาดใจตายตาเหลือก เธอตายตาไม่หลับด้วยความอาฆาต เต็มเดือนยิ้มอย่างสาแก่ใจ จงจิตหวาดกลัวเพราะไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดขนาดนี้ ส่วนสร้อยฟ้าพยายามข่มใจ ทันใดนั้น เสียงจันทร์ฉายตะโกนเรียกเวียงแก้วก็ดังขึ้น
“เวียงแก้ว !”
สามสะใภ้รีบหลบหนีไปทางด้านหลังของเวียงร้อยดาว จันทร์ฉายเข้ามาในเวียงร้อยดาว พอเห็นเวียงแก้วผูกคอตายตรงหน้าก็ถึงกับตกตะลึง
“เวียงแก้ว !”
จันทร์ฉายตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด !
สามสะใภ้นั่งปรึกษากันอยู่ในห้องเต็มเดือน
“คุณพี่สั่งให้นำร่างแม่นั่นไปทำพิธีทางศาสนาให้เรียบร้อย กำชับให้ทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ให้สมเกียรติกับฐานะสะใภ้คนที่สี่ของบดินทร์ธร” เต็มเดือนบอก
“รักอีนังแพศยานั่นเสียเหลือเกิน ขนาดตายไปแล้วยังไม่วายห่วงมันอีก” สร้อยฟ้าว่า
“คุณพี่จะจัดการยังไงดีคะ ถ้าเอาศพไปตั้งสวดที่วัดต้องมีคนสงสัยแน่” จงจิตบอก
เต็มเดือนพูด “จะไปยากอะไร ให้นายปั้นเอาศพแม่นั่นถ่วงในบึงบัวซะก็สิ้นเรื่อง...วิญญาณของมันจะได้ถูกจองจำอยู่ก้นบึง ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด”
เต็มเดือนมีดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโหดเหี้ยม
เหตุการณ์ปัจจุบัน เต็มเดือนหัวเราะร่วนคล้ายคนโรคจิต
“สะใจฉันจริงๆ ! อ้อ...ฉันจะบอกให้ก็ได้ ไอ้หกคนที่มันรุมข่มขืนแกคืนนั้น ฉันเป็นคนจ้างพวกมันเอง” เต็มเดือนหัวเราะ “ฉันเคยให้ทำให้แกตกนรกทั้งเป็นมาแล้ว คราวนี้ฉันจะส่งแกไปลงนรกอเวจีให้ได้ คอยดู !”
“แล้วจะได้รู้กันว่าใครจะลงนรกก่อนใคร” เวียงแก้วบอก
เวียงแก้วหัวเราะลั่นก่อนหายวับไป เต็มเดือนกราดตามอง พอหันหลังมาก็ต้องใจหายวาบที่เห็นสิบทิศกับเมดายืนอยู่ที่หน้าประตู
เต็มเดือนรีบกลบเกลื่อน “หนูร้อยดาว ! คุณชาย ! มากันตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ?”
“ก็มาทันพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครอำมหิตแค่ไหน” สิบทิศบอก
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นคุณ” เมดาว่า
“ฉันพูดอะไรออกไป ฉันไม่รู้ตัวเลย ต้องเป็นเพราะฤทธิ์ผีร้ายเวียงแก้วแน่ๆ มันต้องการทำให้หนูเข้าใจฉันผิด อย่าไปหลงกลมันนะจ๊ะ”
ทันใดนั้น ปรมัตถ์ก็เดินเข้ามา
“แล้วเรื่องที่คุณจ้างวานให้นายพร คนขับรถฆ่าคุณดาหลาล่ะครับ เป็นฝีมือผีคุณเวียงแก้วด้วยหรือเปล่า”
“พูดเพ้อเจ้ออะไร นายปรมัตถ์ ใครฆ่าใครฉันไม่รู้เรื่องทั้งนั้น แม่ดาหลาถูกฆ่าตายฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย ไม่มีหลักฐาน ก็อย่าปรักปรำกันดีกว่า”
“ยอมรับสารภาพเสียเถอะครับ คุณเต็มเดือน อย่าแก้ตัวอีกเลย หลักฐานมัดตัวแน่นหนาขนาดนี้ ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด” ปรมัตถ์ว่า
“ถ้ามีหลักฐานจริงคงไม่รอมาจนถึงป่านนี้ มีอะไรก็รีบงัดออกมาสิ”
นมแสงเปิดประตูพาดาหลาเข้ามาในห้อง
เต็มเดือนตาค้าง “ดาหลา ! นี่มันอะไรกัน ? ทำไมแกถึงได้...”
ดาหลาเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ดาหลาวิ่งหนีคนขับรถอย่างไม่คิดชีวิต
คนขับรถไล่ตามหมายจะฆ่าปิดปาก ดาหลาวิ่งสะดุดหกล้ม คนขับรถวิ่งใกล้เข้ามาทุกที ดาหลาพยายามยันกายลุกขึ้นวิ่งหนีทั้งๆ ที่กะเผลก ดาหลาวิ่งมาชนร่างของชายคนหนึ่งเข้า
ดาหลาตาเบิกโพลงแล้วจะกรีดร้อง แต่ถูกมือของชายคนนั้นปิดปากเอาไว้ คนขับรถเดินเข้ามา กวาดตามองหาดาหลาไม่พบ ทันใดนั้นก็มีไม้ฟาดคนขับรถจากทางด้านหลัง คนขับรถเลือดอาบก่อนจะหันไปมองเห็นปรมัตถ์ คนขับรถรู้สึกบ้าเลือด ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือดแบบผลัดกันรุกผลัดกันรับ คนขับรถถูกปรมัตถ์ถีบกระเด็นจนหัวกระแทกต้นไม้แล้วสลบไป
เต็มเดือนตาเหลือกและเหงื่อแตกพลั่กเมื่อรู้ว่าความจริงถูกเปิดเผย
“ตอนนี้นายพรยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดเปลือกแล้วว่าคุณเต็มเดือนคือคนที่จ้างวานฆ่าคุณดาหลา บุตรบุญธรรมของคุณท่าน”
ในขณะที่เต็มเดือนกำลังช็อคอยู่นั้น เสียงดำรงก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“ตกใจมากนักเหรอ แม่เต็มเดือน”
เต็มเดือนหันควับมาเห็นดำรงลุกขึ้นนั่งตามปกติโดยไม่มีท่าทีเป็นอัมพาตเลยแม้แต่น้อย
“คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดก็คือคนโง่ที่สุด ! นึกว่าฉันไม่รู้ไส้รู้พุงคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างหล่อนหรือไง... เคยเห็นเวลานักล่าสัตว์เอาแพะไปผูกล่อเสือไหมเล่า ฉันใดก็ฉันนั้น ฉันสู้อดทนรอ...รอจนกระทั่งวันที่หล่อนถูกกระชากหน้ากากออกมา หล่อนติดกับแล้วล่ะ แม่เต็มเดือน”
เต็มเดือนหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฉันพลาดไปแล้วจริงๆ ยอมรับว่าประมาทพวกแกไปหน่อยถึงได้ปล่อยให้พวกแกๆๆ” ดำรงชี้หน้า “รวมหัวกันย้อนเกล็ดเล่นงานฉันได้”
“ยอมมอบตัวเถอะนะคะ คุณเต็มเดือน โทษหนักจะได้เป็นเบา”
“เพราะแกคนเดียวนังดาหลา !! เพราะแกคนเดียวทำให้แผนทุกอย่างของฉันต้องพังพินาศ ไม่มีแกซะคน ทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลบดินทร์ธรจะเป็นของใคร ถ้าไม่ใช่ฉัน อย่าอยู่เลย ! นังตัวดี”
เต็มเดือนชักมีดพกออกมาแล้วเงื้อขึ้นสุดแขน เธอพุ่งเข้าไปหมายจะฆ่าดาหลาให้ตายคามือ
ปรมัตถ์ร้องเตือน “คุณดาหลา ! ระวัง !”
ปรมัตถ์เห็นท่าไม่ดีก็รีบโผเข้าไปแย่งมีดจากเต็มเดือน ปรมัตถ์ถูกมีดปักที่บริเวณใต้ไหปลาร้าแล้วทรุดฮวบลงไป
ดาหลาตกใจ “คุณปรมัตถ์ !”
เต็มเดือนอาศัยช่วงชุลมุนวิ่งหนีไป
เต็มเดือนกอบเพชรนิลจินดาของมีค่าเอาใส่กำปั่นเหล็กเตรียมหนี เธอหอบกำปั่นวิ่งมายังหน้าตึกก็เห็นตำรวจล้อมอยู่เต็มไปหมด
เต็มเดือนไม่รอช้ารีบหนีไปทางด้านหลังตึกทันที
อ่านต่อหน้า 2
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
เต็มเดือนหอบกำปั่นวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาทางหลังตึกบดินทร์ธร
เต็มเดือนเจอผีเวียงแก้วดักรออยู่ก่อนแล้ว ผีเวียงแก้วค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ ก่อนจะพูด
“เวรกรรมไม่ต้องรอกันถึงชาติหน้า เคยสร้างความเจ็บปวดกับใครไว้ ไม่นานเจ้ากรรมนายเวรก็ตามล้างตามผลาญชั่วพริบตา”
“อีเวียงแก้ว !” เต็มเดือนพูดเน้น “กูไม่กลัวมึง !!”
เวียงแก้วคว้าหมับเข้าที่คอของเต็มเดือน
“คนหน้าซื่อใจสัตว์อย่างแก ฆ่าให้ตายมันสบายเกินไป ฉันจะทำให้แกต้องทรมานยิ่งกว่าที่ฉันเคยได้รับ จนแกต้องร้องขอความตายจากฉัน”
เวียงแก้วเอาเล็บกรีดเป็นกากบาทที่แก้มของเต็มเดือนอย่างช้าๆ จนเลือดซึมออกมา เสียงของพระปกรณ์ดังขึ้น
“อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ”
เวียงแก้วกับเต็มเดือนหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกันแล้วก็ตาค้างเพราะไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นพระปกรณ์ในผ้าเหลืองดูมีสง่าราศีฉายชัดแลดูน่าเลื่อมใส
“คุณพี่...”
“แกยังไม่ตายอีกเหรอ ?”
พระปกรณ์เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ปกรณ์หนีคนงานเพราะเห็นว่าเป็นผีไล่ตามจนกระทั่งพลัดตกลงไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก เวลาผ่านไปปกรณ์ที่นอนอยู่ริมตลิ่ง ค่อยๆหรี่ตาขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นพระธุดงค์ชราภาพก้มลงมามองลางๆ เขาก็หมดสติไป
ปกรณ์ละเมอเพ้อด้วยพิษไข้จนเห็นผีสางตามมาหลอกหลอนอาละวาด พวกผีดิบที่วิ่งไล่ตามปกรณ์ที่เวียงร้อยดาวตามมาหลอกหลอนในความฝัน หลวงตาเอานิ้วชี้ลากเป็นอุณาโลมที่หน้าผาก แล้วว่าคาถาหัวใจพระพุทธคุณ ๙ ห้อง
“อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ฯ” หลวงตาเป่า
ปกรณ์ค่อยสงบลง ภาพหลอนของภูตผีปีศาจมลายหายไปด้วยอำนาจพระพุทธคุณ
ปกรณ์ก้มลงกราบเท้าพระธุดงค์ที่น่าเลื่อมใส ปกรณ์ที่โกนหนวดโกนเคราเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมา
“กระผมอยากกลับไปแก้ไขเรื่องในอดีตที่ผิดพลาดขอรับพระคุณเจ้า” ปกรณ์บอก
“อดีตที่ไม่ดีผ่านพ้นไปแล้ว อย่ายึดติด อนาคตก็ไม่แน่นอน อย่ากังวลหรือคาดหวัง แต่จงอยู่กับปัจจุบันที่ดีงามด้วยใจร่มเย็นเป็นสุขจะดีกว่า”
“พระคุณเจ้าขอรับ กระผมควรทำอย่างไรให้ดวงวิญญาณของเวียงแก้วเลิกอาฆาตพยาบาทลงได้”
“จิตที่ผูกพยาบาทไม่มีใครแก้ไขได้นอกจากตัวเขาเอง คนอื่นทำได้อย่างมากก็เพียงชี้ทางและให้ปัจจัยในการรู้เท่านั้นแหละ”
ปกรณ์ก้มลงกราบพระธุดงค์ด้วยความเลื่อมใส
นาคปกรณ์กล่าวคำขอบวชซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่เมดาได้ยินตอนที่ติดอยู่ในโลงศพ
“อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อนุโมทามิ”
ปกรณ์ครองจีวรอุปสมบทเป็นพระเรียบร้อยแล้วก้าวออกมาจากโบสถ์ซึ่งเป็นภาพที่เมดาเห็น พระปกรณ์ศึกษาผูกใบลาน อ่านไตรภูมิพระร่วงในหอไตร
“ฝูงชนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี แลผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี คนฝูงนั้นตายไปแล้วไปเกิดในโลหสิมพลีนรก ในนรกนั้นมีป่างิ้ว ต้นงิ้วนั้นสูงได้แลโยชน์ แลหนามงิ้วนั้นย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวสุกอยู่หนามงิ้วบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่ง แล้วเป็นเปลวไหม้ตนเขา ฝูงยมบาลก็เอาหอกดาบหลาวแหลนอันคมแทงซ้ำเล่าเจ็บปวดทรมานนักหนา”
ตกกลางดึก ปกรณ์สวดแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ก่อนจำวัดที่กุฏิซึ่งเป็นเสียงที่เมดาได้ยิน
“สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ อัพพะยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ”
พระปกรณ์ยืนสงบนิ่งสำรวมต่อหน้าผีเวียงแก้วที่ยังคงตะปบคอเต็มเดือนอยู่
“อ้อ...ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า ถึงได้รอดพ้นสายตาฉันไปได้...แล้วกลับมาทำไม จะให้ฉันไว้ชีวิตนังงูพิษนี่น่ะหรือ ไม่มีวัน !” ผีเวียงแก้วว่า
“เอาชีวิตเขาแล้วจะได้อะไร” พระปกรณ์ถาม
“คนชั่วถูกกำจัด แผ่นดินจะได้สูงขึ้น”
“แล้วถ้าปล่อยเขาไปล่ะ” พระปกรณ์ถามต่อ
“มันก็จะกลับไปก่อกรรมทำเข็ญกับข้าเจ้าและคนอื่นๆอีก”
“แน่ใจได้อย่างไร ถ้าเอาชีวิตเขาแล้ว อีกฝ่ายจะเลิกผูกอาฆาตพยาบาท ไม่ติดตามมาจองเวรก่อกรรมทำเข็ญกับโยมอีกในภพหน้าชาติหน้า”
เวียงแก้วตอบไม่ถูก เธอค่อยๆคลายมือออกจากคอของเต็มเดือนแล้วหันมาฟังพระปกรณ์
“แต่สิ่งที่นังผู้หญิงคนนี้ทำกับข้าเจ้าไว้มันอำมหิตนักยากเกินจะอภัย”
“แล้วสิ่งที่แกทำกับฉันล่ะ เวียงแก้ว...มันน่าให้อภัยนักหรือ ?” เต็มเดือนว่า
ผีเวียงแก้วหันกลับมาจ้องเต็มเดือนตาเขม็ง
“ตั้งแต่แกเข้ามาอยู่ที่บดินทร์ธร ฉันยื่นมือช่วยเหลือแกมาโดยตลอด นึกเวทนาที่แกสิ้นไร้ไม้ตอกหมดที่พึ่งอุตส่าห์เอามาชุบเลี้ยงบนตึกใหญ่จะได้สุขสบายกว่าขี้ข้าคนอื่นๆ แต่ดูสิ่งที่แกตอบแทนฉันสิ แกแย่งคุณพี่ไปจากฉัน ไม่ต่างจากจงจิต สร้อยฟ้า แกเคยนึกถึงหัวอกเมียหลวงอย่างฉันบ้างไหมว่าการที่ผัวตัวเองต้องนอนกับผู้หญิงอื่นคนแล้วคนเล่ามันเจ็บปวดสักแค่ไหน โดยเฉพาะแก ! คนที่ฉันไว้ใจกลับเป็นงูเห่าแว้งกัดฉันเอง”
“หากคุณปกรณ์ไม่ใช้เล่ห์กะเท่ห์ขืนใจฉัน มีหรือเรื่องจะลงเอยแบบนี้” ผีเวียงแก้วพูดกับพระปกรณ์ “ผู้ชายมันเลวยิ่งกว่าหมา เห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบำเรอความกำหนัด พอสิ้นรักหน่ายแหนงก็ทิ้งขว้าง หาผู้หญิงคนใหม่มาสังเวยความใคร่ไม่รู้จบ จริงหรือไม่พระคุณเจ้า ?”
“อาตมาไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น บัดนี้ปกรณ์คนเดิมได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เหลือเพียงแต่อาตมาผู้ยึดถือพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ อาตมามาที่นี่ก็เพื่อช่วยโยมเวียงแก้ว”
เต็มเดือนอาศัยจังหวะนั้นเองรีบหอบกำปั่นหนีไปไม่คิดชีวิต
“ช่วยข้าเจ้า หรือช่วยนังเต็มเดือนกันแน่ !” ผีเวียงแก้วถาม
ผีเวียงแก้วเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งก่อนสลายกลายเป็นควันสีดำตามเต็มเดือนไป
เต็มเดือนวิ่งมาถึงริมบึงเห็นเรือเล็กๆลำหนึ่งจอดอยู่ เต็มเดือนไม่รอช้ารีบก้าวลงเรือพรวดๆ แล้ววาดหัวเรืออย่างเก้ๆกังๆ ออกไปทันที ผีเวียงแก้วนั่งอยู่ข้างหลังเต็มเดือนด้วย โดยที่เต็มเดือนไม่รู้ตัว
เต็มเดือนพายเรือมาจนถึงกลางบึงใหญ่ที่มีดอกบัวสีแดงเต็มพรึ่บไปหมด เต็มเดือนมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ดอกบัวแดงเต็มไปหมด เธอหน้าซีดปากสั่นเพราะอาการชักกำเริบ เต็มเดือนมือไม้สั่นจนเผลอทำไม้พายหลุดมือหล่นน้ำไป เธอนั่งกอดกำปั่นสมบัติแน่นเหมือนกลัวใครจะมาแย่งไป เต็มเดือนเห็นดอกบัวแล้วจะคลุ้มคลั่งแต่ก็พยายามระงับไว้
ผีเวียงแก้วเอ่ยถาม “แพ้เกสรดอกบัวหรือเจ้า ?”
เต็มเดือนหันขวับไปเห็นผีเวียงแก้วนั่งอยู่ข้างๆ ก็ถอยกรูดจนเรือโคลง
“หรือฝังใจอะไรกับบึงบัวถึงได้กลัวจนหน้าซีดตัวสั่น !”
เต็มเดือนกัดฟันพูด “อีผีนรก !!! ถ้ากูรอดไปได้ กูจะกลับมาจัดการกับมึง !! กูจะขอจองเวรมึงทุกภพทุกชาติ !!! อีเวียงแก้ว !”
ผีเวียงแก้วพุ่งเข้าใส่เต็มเดือน เต็มเดือนหงายหลังทำให้เรือล่ม กำปั่นหลุดจากมือเต็มเดือนจมลงไปในกระแสน้ำ เต็มเดือนดำลงไปงมทันที
เต็มเดือนคว้ากำปั่นกอดไว้แน่นแต่ยิ่งกอดก็ยิ่งหนัก ผีเวียงแก้วปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเต็มเดือนแล้วแสยะยิ้มเย้ยหยัน
“หนักนักก็ทิ้งมันไปซะสิ !”
เต็มเดือนไม่ยอมทิ้งกำปั่นทำให้ยิ่งว่ายก็เหมือนยิ่งจมลงไปเรื่อยๆ ก้านบัวใต้น้ำพันแขนขาเต็มเดือน ทำให้ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด เธอยังกอดหีบสมบัติไว้ไม่ยอมปล่อย
“ความโลภโมโทสันยิ่งมีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนักมากเท่านั้น แล้วจะยึดไว้ทำไม สุดท้ายก็ต้องไปเชิงตะกอนเหมือนกัน ดูเอาเถอะ ขนาดจวนจะตายยังไม่วายกอดสมบัติไว้แน่น ต่อให้ฉันนึกเวทนาปล่อยแกไป แกก็ตายด้วยตัวแกเองอยู่ดี”
เต็มเดือนขาดอากาศหายใจฟองอากาศสุดท้ายสิ้นสุดลง ร่างที่กอดกำปั่นแน่นจมลึกลงไป
ทุกคนวิ่งตามหาเต็มเดือนจนกระทั่งมาถึงริมบึง
“ไม่ทันแล้ว คุณเต็มเดือนคงพายเรือหนีไปฝั่งโน้นแล้วล่ะครับนาย”
พระปกรณ์เดินเข้ามา นมแสงหันมาเห็นเข้า
“คุณปกรณ์ !!”
บังหนั่นเพ่งมองใกล้ๆ “นาย !!! นายจริงๆด้วย !”
“คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ !” เมดาตกใจ
ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน เมื่อรู้ว่าปกรณ์ยังมีชีวิตอยู่
“รีบไปช่วยโยมเต็มเดือนกันก่อนเถอะ”
ทันใดนั้น บังหนั่นก็หน้าตาตื่น ละล่ำละลัก ชี้โว้ชี้เว้ไปที่กลางบึง
“ผะ.. ผะ...ผีคุณเวียงแก้ว !”
“ไม่ต้องไปช่วยมันให้เสียเวลาหรอก !! นังเต็มเดือนมันตายแล้ว !! ตายเพราะแพ้ภัยตัวเอง”
ผีเวียงแก้วหัวเราะลั่นก่อนสลายร่างกลายเป็นกลุ่มควันสีดำแล้วหายไป พระปกรณ์หดหู่ใจที่ไม่อาจช่วยชีวิตเต็มเดือนไว้ได้
รอยกากบาทที่เพดานเลือนหายไปอีก 1 รอยโดยเหลือรอยสุดท้ายที่เป็นรอยที่ใหญ่ที่สุด สิบทิศกับเมดาแหงนมองรอยกากบาทนั้นแล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด
“เธอคิดว่ากากบาทรอยสุดท้ายจะเป็นใคร” สิบทิศถาม
เมดาคิดถึงพระปกรณ์ที่ตนพบเป็นคนแรก
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของคุณแม่เวียงแก้วเสียชีวิตไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่...คุณพ่อปกรณ์ที่บวชเป็นพระเท่านั้น” เมดาบอก
“ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิด คุณเวียงแก้วก็กำลังจะทำกรรมหนักก่อบาปมหันต์ที่ไม่มีวันลบล้างได้”
“ต้องกลับไปที่เวียงร้อยดาวอีกครั้งแล้วเผากระดูกนั่นซะ ถึงจะหยุดดวงวิญญาณคุณแม่เวียงแก้วได้”
สิบทิศคว้าข้อมือของเมดาเพื่อรั้งเอาไว้ “ยังไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะ”
“มันเสี่ยงเกินไป ไว้พรุ่งนี้ฉันจะนิมนต์พระมาทำพิธีปัดรังควานที่เวียงร้อยดาวแต่เช้า แล้วเราค่อยเข้าไปที่นั่นพร้อมกัน”
เมดาพยักหน้า สิบทิศวางใจก่อนจะเดินจากไป เมดาอดแหงนขึ้นไปมองกากบาทสุดท้ายอย่างกังวลใจไม่ได้
“ขอโทษนะคะคุณชาย ดิฉันรอพรุ่งนี้ไม่ได้จริงๆ”
เมดาพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
เมดาก้าวฉับๆไปตามทางเดินอย่างเร่งร้อนโดยหิ้วแกลลอนน้ำมันใบใหญ่มุ่งหน้าไปยังเวียงร้อยดาว
เมดายืนอยู่หน้าเวียงร้อยดาวที่ตั้งตระหง่านดูน่ากลัว
เมดาเข้ามาภายในเวียงร้อยดาว
พลันได้ยินเสียงเวียงแก้วหัวเราะในลำคอเบาๆ จนน่าขนลุก เมดาไม่รอช้า เธอรีบรื้อไม้กระดานออกแต่แล้วก็ต้องผงะ ใต้ไม้กระดานกลายเป็นร่างผีเวียงแก้วน่ากลัวนอนทอดร่าง แสยะยิ้มอยู่
“จะทำอะไรหรือ ลูกแม่ ?”
“หมดเวลาของคุณแม่แล้ว ได้โปรดไปตามทางเถอะนะคะ”
เวียงแก้วคำราม “กูไม่ไป !!”
เวียงแก้วลอยขึ้นมายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบติดหน้าของเมดา
“ตอนนี้หลวงพ่อปรณ์ตัดขาดเรื่องทางโลก มุ่งหน้าเข้าสู่ทางธรรม หนูจะไม่ยอมให้คุณแม่เอาชีวิตท่านเด็ดขาด”
เวียงแก้วหัวเราะ “แล้วใครบอกแกล่ะนังเด็กเมื่อวานซืนว่ารอยกากบาทสุดท้ายหมายถึงหลวงพ่อปกรณ์”
เมดางงเป็นไก่ตาแตก
“ไม่ใช่หลวงพ่อปกรณ์ แล้วใครคะ ?”
เวียงแก้วลูบหัวเมดาอย่างทะนุถนอม แล้วร้องเพลงกล่อมด้วยเสียงโหยหวน
“โอ่เอ๊... ร้อยดาวลูกแม่...จบสิ้นแล้วลูกรักจ๋า....จะไม่มีใครพรากเราสองแม่ลูกได้อีก มาอยู่กับแม่เถอะนะคนดี...”
เมดาตาเบิกโพลงเมื่อรู้ว่ากากบาทสุดท้ายเวียงแก้วจะเอาเธอไปอยู่ด้วย
“อย่ากลัว....ทนทรมานแค่ชั่วอึดใจ เราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”
ทันใดนั้น สิบทิศก็เข้ามาขัดจังหวะไว้ทันเวลา
“ไม่ได้ ! คุณจะเอาเธอไปไม่ได้”
“คุณชาย !”
“เธอไม่ใช่ร้อยดาว ! คุณเข้าใจผิด ! ลูกสาวคุณตายแล้ว เธอบริจาคดวงตาคู่นี้ให้เมดา คนที่อยู่ตรงหน้าคุณคือเมดา บดินทร์ธร ลูกสาวคนเดียวของคุณดิลกและคุณจันทร์ฉาย ไม่ใช่ร้อยดาวอย่างที่คุณเข้าใจ ร้อยดาวลูกสาวคุณตายแล้ว ! เธอตายแล้ว”
เวียงแก้วกรีดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“แกนึกว่าฉันหน้าโง่จนแยกไม่ออกว่ามันไม่ใช่ร้อยดาวตัวจริงหรือไง !”
เวียงแก้วคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ดิลกกับจันทร์ฉายนำร้อยดาวไปเลี้ยง
เหตุการณ์ในอดีต ทวีปมาส่งดิลกกับจันทร์ฉายขึ้นรถไปสนามบิน ดิลกอุ้มร้อยดาวที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่มาด้วย
“ฉันกับจันทร์ฉายทนอยู่ที่บดินทร์ธรต่อไปไม่ได้ ที่นี่เต็มไปด้วยคาวเลือด มีแต่คนไม่ปรกติ เวียงแก้วตายอย่างเป็นปริศนายังมัวอมพะนำกันอยู่ได้ ขืนอยู่ต่อไปสักวันคนที่ตายอาจเป็นฉันกับเมีย”
“คุณดิลกจะไปไหนครับ” ทวีปถาม
“ไปให้พ้นจากที่นี่ ฉันมีเพื่อนเป็นหมออยู่ที่อังกฤษ ไม่ต้องกลัวหรอก สมบัติเก่าของฉันพอมีอยู่บ้าง ไปอยู่ที่โน่นถึงอย่างไรจันทร์ฉายกับลูกในท้องก็ไม่อดตาย”
“แล้วคุณหนูร้อยดาว ลูกสาวคุณปกรณ์ล่ะครับ”
“ฉันจะเอาเขาไปด้วย อยู่ที่นี่ก็มีแต่ตายกับตาย บรรดาเมียๆของพี่ปกรณ์คงไม่ปล่อยไว้แน่ ในเมื่อพ่อบังเกิดเกล้าทิ้งขว้างไม่ดูดำดูดีก็ช่างเขาเถอะ หลานฉันคนเดียวเลี้ยงไม่ได้ให้มันรู้ไป จำไว้ให้ดี ตั้งแต่วันนี้ร้อยดาวเป็นลูกฉันกับจันทร์ฉาย ฉันไปล่ะนะ ฝากดูแลคุณพ่อด้วย”
ดิลกกับจันทร์ฉายขึ้นรถแล้วบึ่งออกไปจากรั้วบดินทร์ธรไม่ยอมเหลียวหลัง ทวีปมองตามแล้วส่ายหน้า
วิญญาณเวียงแก้วในชุดขาวที่มาส่งลูกเป็นครั้งสุดท้ายทั้งเสียใจ ทั้งแค้นสามสะใภ้
อ่านต่อหน้า 3
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
เหตุการณ์ปัจจุบัน เมดากับสิบทิศต่างอึ้งไปตามๆกัน ที่เวียงแก้วรู้แล้ว
“ไม่มีแม่คนไหนจำลูกในไส้ตัวเองไม่ได้ ! ฉันรู้ตั้งแต่ก้าวแรกที่มันเหยียบเข้ามาที่นี่แล้วว่ามันไม่ใช่ลูกฉัน แต่ที่ฉันยอมเอออวยกับนังตัวดีนี่ เพราะฉันต้องการจะยืมมือมันช่วยฉันแก้แค้นต่างหาก แต่แกก็หักหลังฉันไปเข้าข้างพวกมัน ! นังทรยศ”
“คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าเธอไม่ใช่ แล้วจะยังต้องการอะไรอีก” สิบทิศถาม
เวียงแก้วหัวเราะลั่นก่อนจะจ้องไปยังดวงตาของเมดา
“ดวงตาของมันยังไงล่ะ !! ดวงตาคู่นี้ที่แกเอามาจากร้อยดาวลูกสาวฉัน ถึงเวลาที่แกจะต้องคืนให้เขาแล้ว”
เมดาปากคอสั่น “ทำไม ?”
“ชาตินี้ร้อยดาวขี้โรคก็อาภัพพออยู่แล้ว ชาติหน้าเกิดมาฉันไม่อยากให้เขาต้องตาบอดพิกลพิการอีก... สิ่งสุดท้ายที่คนเป็นแม่อย่างฉันจะทำเพื่อลูก....เอาดวงตาลูกฉันคืนมา !”
“เอาดวงตาของผมไป ! เอาชีวิตผมก็ได้ แต่อย่าทำร้ายเมดา ! ได้โปรด” สิบทิศบอก
สิบทิศพุ่งเข้าไปช่วยเมดา เวียงแก้วเอาหลังมือซัดโครมจนร่างสิบทิศกระเด็นไปกระแทกพื้น เขาจุกจนลุกไม่ขึ้น
“คุณชาย !!”
“ฉันไม่ต้องการ ! ฉันต้องการดวงตาของร้อยดาวเท่านั้น !”
สิบทิศเห็นโครงกระดูกของเวียงแก้วอยู่ข้างๆแกลลอนน้ำมัน เขารีบราดน้ำมันใส่โครงกระดูกแล้วจุดไม้ขีดไฟโยนลงไปทันที ไฟลุกโชติช่วงขึ้นมา แต่โครงกระดูกของเวียงแก้วกลับไม่ไหม้ไฟ
เวียงแก้วหัวเราะ “แกเผาฉันได้ ฉันก็เผาแกทั้งเป็นได้เหมือนกัน”
ไฟเริ่มลามลุกต่อๆ กันอย่างรวดเร็ว สิบทิศพยายามเอาไม้ติดไฟแล้วรีบเผาโครงกระดูกเวียงแก้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมไหม้
“บ้าฉิบ !!”
“คุณชาย !! หนีไป !!! ไม่ต้องห่วงดิฉัน”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ นังตัวดี !!! เอาดวงตามาให้กู”
เวียงแก้วยื่นกงเล็บจะควักดวงตาเมดา ทันใดนั้นเสียงพระปกรณ์ก็ดังขึ้น
“หยุดก่อนโยม !”
เวียงแก้วหันควับไปมองต้นเสียงทันที
พระปกรณ์เดินด้วยอาการสำรวมเข้ามาในเวียงร้อยดาวที่ไฟกำลังลุกโชติช่วง
“โยมเวียงแก้วเข้าใจผิดแล้ว... การสละอวัยวะเป็นทานเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ถือเป็นทานอุปบารมี เลิศยิ่งกว่าการให้ทรัพย์ทั้งปวง”
“หากต้องตาบอดทั้งชีวิต ต่อให้มีบารมีแค่ไหนก็ไร้ค่า” เวียงแก้วว่า
“ให้สิ่งใดจะได้สิ่งนั้นตอบแทน อานิสงส์ของการบริจาคนัยน์ตานอกจากจะทำให้ชาติภพหน้ามีมังสะจักษุ คือตาเนื้อที่ดีเลิศแล้ว ยังจะมีปัญญาจักษุ สามารถรู้เรื่องต่างๆได้ด้วยปัญญาอีกด้วย”
เวียงแก้วเริ่มลังเล “เป็นไปไม่ได้ !! เอาอะไรมาพูด ?”
“คำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้โดยชอบแล้ว... เวลานี้ร้อยดาวลูกของโยมไปสู่สุคติภพ ไม่อาลัยหวงแหนกายหยาบที่ห่อหุ้มดวงจิตอีกแล้ว เหลือเพียงโยมเท่านั้นที่ยังติดอยู่ในบ่วงแห่งมิจฉาทิฐิ ไปไหนไม่ได้”
เวียงแก้วปล่อยตัวร้อยดาวก่อนจะหันมาเล่นงานพระปกรณ์แทน
“ที่ฉันเป็นอย่างนี้เพราะใคร ไม่ใช่เพราะท่านหรอกเหรอ ท่านคนเดียวที่เป็นต้นเหตุทำให้ฉันต้องทนทุกขเวทนาแสนสาหัส ท่านไม่เป็นฉัน ไม่มีวันรู้หรอก ! ความโหดร้าย ทารุณ ขมขื่น เคียดแค้น ชิงชัง จะยุติลงได้อย่างไร หากยังไม่ได้ล้างแค้น”
“ที่สุดของการล้างแค้นคือการรบต่อความดำมืดในใจตน สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจคือความโกรธเกลียดเคียดแค้น พร้อมจะสร้างศัตรูใหม่ขึ้นมาได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่คน ก็เป็นอารมณ์ร้ายของตัวเองที่ตามรบกวนใจโยมไม่ให้เป็นสุข วิธีแก้แค้นที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่ทำให้ใครตายแต่เป็นการทำให้ความเกลียดจางหายไปจากใจเราเอง”
“ไม่ต้องมาเปลืองน้ำลายเทศนา ฉันไม่อยากฟัง ! สำหรับฉัน เลือดมันต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น”
เวียงแก้วยื่นมือไปจะบีบคอพระปกรณ์ที่หลับตานิ่งสำรวมและไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย
“หากชีวิตของอาตมาทำให้โยมเวียงแก้วสิ้นสุดความอาฆาตพยาบาทลงได้ อาตมายินดี อาตมาขอสละชีวิตเป็นทาน ขอให้โยมคลายทุกข์ทั้งมวลที่มีอยู่จนสิ้น”
เวียงแก้วใช้สองมือจะบีบคอปกรณ์แต่ก็ทำไม่ลง เพราะทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งสำนึกผิด สับสนในใจไปหมด
ผีเวียงแก้วน้ำตาไหลก่อนจะทรุดลงคืนร่างกลายเป็นวิญญาณในชุดขาวร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้าเจ้ายอมแล้ว !!! ท่านได้โปรดช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของข้าเจ้าให้หลุดพ้นด้วยเถอะ”
“เวรที่ยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น เริ่มต้นจากเวรที่อภัยได้แต่ไม่ทำ การให้อภัยชนะการให้ทั้งปวง...ลูกกุญแจที่ปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม จะไขหรือจะขัง จะจบหรือจะจอง ล้วนอยู่ที่ใจของโยมทั้งสิ้น”
ขื่อบนหลังคาที่ติดไฟหล่นลงมาใกล้ๆพระปกรณ์ที่ยังคงเทศน์โปรดเวียงแก้วด้วยความเมตตา
“ท่านครับ !!! รีบออกไปจากที่นี่เถอะ !! ก่อนที่จะสายไปกว่านี้” สิบทิศบอก
“อาตมาจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยส่งดวงวิญญาณของโยมเวียงแก้วให้ไปสู่สัมปรายภพ”
“หลวงพ่อคะ !!! ไปกับเราเถอะนะคะ”
“โยมไปกันเถอะ อาตมาตั้งใจแล้ว”
พระปกรณ์ไม่สนใจ เขาหลับตาพนมมือเริ่มสวดบังสุกุลให้เวียงแก้ว
ปกรณ์สวด “อะนิจจา วะตะสังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข...”
“ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องไปกันแล้ว !!”
สิบทิศรีบพาเมดาออกไปจากเวียงร้อยดาว วิญญาณเวียงแก้วนั่งพนมมือรับพรจากพระปกรณ์น้ำตาไหลซาบซึ้งใจ ไฟค่อยๆลุกไหม้ที่โครงกระดูกของเวียงแก้วอย่างช้าๆ รอยกากบาทรอยสุดท้ายที่เพดานโถงกลางค่อยๆลางเลือนช้าๆ จนกระทั่งหายไป วิญญาณเวียงแก้วค่อยๆลางเลือนเช่นเดียวกับรอยกากบาทก่อนหายไปกลางกองเพลิง
เวียงร้อยดาวไฟลุกแดงฉาน เปลวเพลิงจับท้องฟ้าดำมืดแดงไปหมด บังหนั่นเกณฑ์คนงานโวยวายลั่น ให้ช่วยกันเอาน้ำดับไฟจนชุลมุนไปหมด
“อีนี่ !!! ไหม้หมดแล้ว !!! เอาน้ำมาดับเร็ว !”
มารุตกับน่านฟ้าวิ่งมาดูเหตุการณ์หน้าตาตื่น
“นายมาร์ค เห็นพี่ชายฉันมั้ย ?”
มารุตงง “เฮ้ ! พี่ชายยูไม่ได้อยู่กับเพื่อนไอที่เวฬุมาศเหรอ ?”
น่านฟ้าส่ายหัวด่อกแด่ก
“หรือว่า.... !!”
น่านฟ้ากับมารุตหันไปทางเวียงร้อยดาวที่กำลังไฟลุกท่วมหัวพร้อมกัน
สิบทิศประคองร้อยดาววิ่งออกมาจากเวียงร้อยดาว ทันใดนั้น ไม้ติดไฟท่อนหนึ่งหล่นลงมาจะใส่เมดา สิบทิศเห็นเข้าพอดี
“ระวัง !!”
สิบทิศผลักเมดา แต่ตัวเองกลับถูกท่อนไม้ฟาดที่ท้ายทอยอย่างแรงจนหมดสติไป
“คุณชาย !!”
มารุตกับน่านฟ้าวิ่งเข้ามากวาดตามองหาเมดากับสิบทิศ
“เฮ้ย !! นั่น !”
“พี่ชาย !!”
มารุตกับน่านฟ้าและบังหนั่นวิ่งหน้าตื่นเข้ามาแล้วตะโกนลั่น แต่ก็ไร้เสียง
ณ โรงพยาบาล หมอสุนทรค่อยๆเปิดผ้าที่ปิดตาของสิบทิศออก ทุกคนต่างลุ้นด้วยใจจดจ่อเมื่อสิบทิศค่อยๆลืมตาขึ้น
“ผมมองอะไรไม่เห็นเลย” สิบทิศบอก
ทุกคนมองหน้ากันแล้วเริ่มใจคอไม่ค่อยดี
หมอสุนทรหนักใจ “คุณชายได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณท้ายทอยอย่างแรง ไม่แน่ว่าเซลล์สมองส่วนนี้อาจถูกทำลาย ทำให้กระแสประสาทไม่สามารถถ่ายทอดและแปรผลได้”
หมอสุนทรถอนใจหนักๆ เขาไม่อยากจะพูดออกมาเพราะกลัวกระทบกระเทือนจิตใจ
“พูดมาตามตรงเถอะครับ ผมรับได้”
“คุณชายมีโอกาสจะตาบอดตลอดชีวิต”
ทุกคนต่างตกใจเมื่อรู้ว่าสิบทิศต้องตาบอด
เมดาใจหายวูบเพราะคิดไม่ถึงว่าสิบทิศจะต้องตาบอดเพราะตนเป็นต้นเหตุ
ดาหลาเปลี่ยนพันแผลให้ปรมัตถ์โดยที่แผลของเขาใกล้หายดีแล้ว เหลือเพียงร่องรอยเล็กน้อยเท่านั้น
“อีกไม่นานคุณหมอคงจะอนุญาตให้คุณออกจากโรงพยาบาลได้...ที่จริงคุณไม่น่าต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงเพราะฉันเลย” ดาหลาบอก
“ผมจะปล่อยให้ลูกบุญธรรมของคุณท่านเป็นอะไรไปได้ยังไง”
“ถ้าฉันไม่ได้เกี่ยวดองกับคุณท่าน คุณยังจะช่วยฉันอยู่หรือเปล่า”
“เป็นใครก็ต้องทำแบบผมกันทั้งนั้น” ปรมัตถ์บอก
ดาหลาใจแป้วเพราะคิดว่าปรมัตถ์ไม่ได้มีใจให้ ดาหลาหันหลังจะออกจากห้อง ปรมัตถ์ถามขึ้นมา ดาหลาหยุดโดยยังไม่หันไปมอง
“ถามจริงเถอะ คุณจะว่าอะไรมั้ย” ปรมัตถ์เว้นชั่วขณะ “ถ้าผมจะขอให้คุณช่วยเป็นพยาบาลดูแลผมไปตลอดชีวิต”
ดาหลาหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เธอรีบหันหลังกลับไปด้วยความยินดี ปรมัตถ์ส่งยิ้มหวานให้ดาหลา
เมดาพาสิบทิศฝึกเดินโดยใช้ไม้เท้าที่สวนน้ำพุ สิบทิศสะดุดล้มลง เมดาประคองสิบทิศให้ลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งที่ม้านั่ง เมดาปัดขี้ดินและเศษหญ้าที่ติดอยู่ที่กางเกงสิบทิศออกให้แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณชายเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ ?”
“ฉันต้องเป็นคนตาบอดจริงๆใช่ไหม ?”
เมดาเอามือปิดปากตัวเองแล้วกลั้นสะอื้น แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาเบาๆ
สิบทิศยิ้มเศร้าๆ “ฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของเธออีกแล้ว เมดา”
เมดายกมือสิบทิศขึ้นมาจับที่ใบหน้าตัวเอง สิบทิศลูบใบหน้าเมดาด้วยความทะนุถนอม
“ฉันจะบอกให้ท่านป้ายกเลิกงานแต่งของเราซะ เธอหมดหน้าที่แล้ว”
“ไม่ค่ะ !!! ดิฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ! ให้ดิฉันได้ดูแลคุณชายเถอะนะคะ”
“ถึงแม้ว่าเธอจะต้องมีสามีตาบอดอย่างฉันน่ะเหรอ”
เมดาพูดหนักแน่น “ดิฉันเต็มใจค่ะ ไม่ว่าคุณชายจะเป็นอย่างไร ดิฉันก็จะไม่มีวันจากไปไหน ดิฉันจะคอยเป็นดวงตาให้คุณชายเอง”
เมดากอดสิบทิศไว้แน่น ในขณะที่สิบทิศนั่งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
เมดาคอยดูแลเอาใจใส่สิบทิศเป็นอย่างดี เธอป้อนข้าวให้สิบทิศ สิบทิศเบือนหน้า เมดาคะยั้นคะยอ จนกระทั่งสิบทิศใจอ่อนยอมกินจนได้ สิบทิศเดินชนแจกันตกลงมาแตกและกำลังจะเหยียบแต่เมดาเข้ามาห้ามไว้ทัน เมดารีบเก็บกวาด
เมดาอ่านหนังสือให้สิบทิศฟังก่อนนอน แต่กลายเป็นว่าตัวเองสัปหงกหลับเสียเอง เมดาหลับไปแล้ว แต่สิบทิศยังไม่หลับ เขาคิดอะไรบางอย่างในใจ
เช้าวันใหม่ แสงแดดตอนเช้าสาดเข้ามาทำให้เมดารู้สึกตัวตื่นขึ้น เมดาไม่เห็นสิบทิศอยู่บนเตียงโดยที่ไม้เท้าของสิบทิศที่วางอยู่ที่หัวเตียงก็หายไป
เมดารีบออกจากห้องไปตามหาสิบทิศทันที
เมดาตามหาสิบทิศจนทั่วจนกระทั่งตามมาถึงบริเวณสระน้ำ
เมดาใจหายวาเมื่อเห็นสิบทิสกำลังจะเดินมุ่งหน้าไปยังสระน้ำ
“คุณชายคะ ! หยุดก่อนค่ะ ! อันตราย”
เมดาวิ่งไม่คิดชีวิต เธอห้ามสิบทิศทันอย่างหวุดหวิดก่อนที่จะตกน้ำไป
“คุณชายจะไปไหนคะ ? ทำไมไม่เรียกดิฉัน ?”
“ฉันไม่อยากอยู่ให้เป็นภาระใคร ฉันจะไปตามทางของฉัน”
“ไปไหนก็ไปกัน ดิฉันจะตามคุณชายไปทุกที่”
“อย่าโง่นักเลย ! เธอจะทนอยู่กับคนตาบอดอย่างฉันทำไม เธอไม่อายคนอื่นเขาบ้างเหรอที่ฉันพิการแบบนี้ ลืมฉันซะ ! แล้วกลับไปใช้ชีวิตของเธอที่บดินทร์ธร”
“ดิฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ! คุณชายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของดิฉันไปแล้ว ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งหมดตลอดทั้งชีวิตในการดูแลคุณชาย ดิฉันก็จะทำ”
“เธอทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ?”
“เพื่อคนที่ดิฉันรัก”
สิบทิศดึงร่างเมดาเข้ามากอดด้วยความซึ้งใจในความรักของเมดาที่มีให้ตน
“อย่าค่ะ คุณชาย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ที่นี่ไม่มีใคร นอกจากเราสองคน”
เมดาเอะใจ “คุณชายทราบได้อย่างไรคะว่าแถวนี้ไม่มีใคร”
สิบทิศยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ฉันเห็นน่ะสิ”
เมดาโกรธ “คนหลอกลวง”
“เธอเองก็หลอกฉันตั้งนานว่าเป็นร้อยดาว ถือว่าเราหายกัน”
เมดางอนจึงไม่พูดด้วย เธอสะบัดแขนสิบทิศด้วยความโกรธแล้วจะเดินหนี ทันใดนั้น สิบทิศก็ร้องลั่นขึ้นแล้วทรุดลงกับพื้น
“โอ๊ย !!”
เมดารีบวิ่งกลับมาด้วยความเป็นห่วง
“คุณชายเป็นอะไรคะ” เมดาถาม
“อาการโรคไฮโปคอนดิเอซีส (Hypochondriasis) ของฉันคงกำเริบ”
เมดาคิดถึงตอนที่สิบทิศเคยมีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงกำเริบ
“เจ้าโรคนี่อีกแล้ว ! ดิฉันจะไปตามหมอ”
สิบทิศคว้ามือเมดาไว้ “ก็ฉันนี่ไงหมอ ! เธออยากรู้ไหม ฉันเป็นโรคอะไรกันแน่”
เมดาพยักหน้าเพราะอยากรู้ให้หายสงสัย
“ฉันไม่อยากให้ใครได้ยิน... เอียงหูมาใกล้ๆสิ”
เมดายอมทำตาม เธอเอียงหูไปใกล้ๆสิบทิศโดยคิดว่าอาจจะเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง
สิบทิศกระซิบ “เขาเรียกว่าโรคอุปาทาน !”
สิบทิศพูดจบก็หอมแก้มเมดาเบาๆ
“เจ้าเล่ห์ที่สุด !!”
เมดาเจ็บใจที่เสียรู้ที่ถูกสิบทิศหลอกเป็นครั้งที่สอง
ทุกคนมาส่งพระปกรณ์ที่หน้ารั้วบดินทร์ธร
“ท่านจะไปจริงๆนะหรือ ?” ดำรงเอ่ยถาม
“อาตมาถูกขังอยู่ในกรงแห่งอวิชชาทำให้ว่ายวนอยู่ในวัฏสงสารมานานแล้ว ตั้งใจแน่วแน่ไว้ว่าจะบวชไม่สึก..ความสุขใดเหนือกว่าความสงบไม่มี อาตมาตั้งใจปฏิบัติเพื่อแสวงหาโมกขธรรมจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากแม้นว่าต้องเกิดมาชาติภพใหม่ก็ขอให้ได้เกิดใต้บวรพระพุทธศาสนาจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานในกาลอันสมควร” พระปกรณ์บอก
ทุกคนก้มลงกราบพระปกรณ์ด้วยความเลื่อมใสพร้อมเพรียงกัน
พระปกรณ์มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เพื่อออกไปแสวงหาความวิเวกต่อไป
อ่านต่อหน้า 4
เวียงร้อยดาว ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
น่านฟ้ากำลังส่องกล้องทางไกลไปยังบดินทร์ธร รัตนากรเดินมาทางด้านหลังพร้อมกับมารุต
“ทำอะไรน่ะ !!”
น่านฟ้าสะดุ้งตกใจ “ปละ..เปล่านะมังคะ ท่านป้า หญิงไม่ได้ทำอะไร”
น่านฟ้าหันกลับมาเอากล้องส่องทางไกลซ่อนไว้ด้านหลัง น่านฟ้าบุ้ยหน้าไม่พอใจที่เห็นมารุตทำหน้าเยาะเย้ย
รัตนากรส่ายหัว “อยากรู้อยากเห็นแบบนี้ สงสัยต้องส่งไปเป็นนักข่าวเสียให้เข็ด ดีไหมพ่อมารุต ?”
“ดีครับท่านป้า ! แต่ไม่รู้ว่ายัยบ๊อง ! เอ๊ย ! คุณหญิงน่านฟ้าจะมีปัญญาไปได้สักกี่น้ำ เป็นนักข่าวไม่เท่าไหร่ สงสัยจะม่อยกระรอก”
“สบประสาทฉันเกินไปแล้ว ! สักวันฉันจะเป็นนักข่าวบีบีซีให้ได้ คอยดู”
สิบทิศเดินหน้าขรึมเข้ามา
“ใครอนุญาตให้หญิงไปทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนั้น”
น่านฟ้าจ๋อย “ถ้าพี่ชายอยากให้หญิงเรียนคหกรรม หญิงตามใจพี่ชายก็ได้ค่ะ”
“ยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะไปอังกฤษอีกเหรอ.... พี่ไม่ให้ไป” สิบทิศทิ้งจังหวะ “เว้นแต่ว่า...จะมีใครตามไปดูแล”
สิบทิศจับบ่ามารุต มารุตได้โอกาสรีบเสนอตัว
“Don’t worry ! มีลูกทูตคอยดูแลอยู่ทั้งคน เลิกกังวลได้เลยครับ”
“พี่ชายให้หญิงไปเรียนต่อที่อังกฤษจริงๆนะคะ”
สิบทิศพยักหน้าแทนคำอนุญาต น่านฟ้ากระโดดโลดเต้นกับมารุตด้วยความดีใจที่มีโอกาสจะได้ทำตามความฝันเสียที
สิบทิศนั่งทำงานง่วนอยู่ในห้องทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาได้ !”
เมดาเข้ามาในห้องทำงานสิบทิศ
“คุณชายคะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“เรามีเรื่องอะไรต้องคุยกันอีก ?”
“ก็เรื่องที่คุณชายทราบแล้วว่าดิฉันไม่ใช่พี่ร้อยดาว”
สิบทิศหัวเราะเบาๆในลำคอแล้วก้มหน้าทำงานต่อไปแบบเย็นชาเพราะไม่ใส่ใจนัก
“ดิฉันทำตัวไม่ถูก คุณชายจะเอาอย่างไรก็ว่ามา อย่าทำให้ดิฉันรู้สึกสับสนแบบนี้ สนุกนักหรือไง”
“แล้วเธอจะให้ฉันทำอะไร ? ประจานให้คนอื่นรู้ว่าเธอคือร้อยดาวตัวปลอมงั้นเหรอ ?”
เมดานิ่งไปชั่วขณะ “ขอโทษนะคะที่ดิฉันหลอกคุณชาย หลอกทุกคนมาโดยตลอด ขอโทษที่ดิฉันไม่ใช่พี่ร้อยดาว ไม่ใช่สักนิดเดียว”
เมดาน้อยใจแล้วก็ออกจากห้องทำงานสิบทิศไป
สิบทิศเงยหน้าจากโต๊ะทำงานแล้วมองตามด้วยความรู้สึกสับสนในใจ
เมดากลับมาที่ห้อง เธอเอารูปที่ตนถ่ายคู่กับร้อยดาวออกมาดู
“ถึงหนูจะหน้าตาเหมือนพี่ แต่ก็สู้พี่ไม่ได้เลยสักนิด ตั้งแต่เล็กจนโต ใครๆก็รักพี่มากกว่าหนู ไม่เว้นแม้แต่...คุณชาย...”
เมดาน้ำตาเอ่อด้วยความน้อยใจ
สิบทิศมองเหม่อด้วยความสับสนในใจ
ภาพสวีทระหว่างสิบทิศกับเมดาแวบขึ้นมาในหัว
สิบทิศรู้สึกว้าวุ่นจึงนั่งลงเพราะคิดไม่ตกกับหัวใจตัวเอง รัตนากรเดินเข้ามาจับเบาๆที่บ่าของสิบทิศ รัตนากรป้ารู้เรื่องเมดาจากมารุตแล้ว
“เธอหลอกทุกคนว่าเป็นลูกสาวคุณปกรณ์ แขกเหรื่อทุกคนที่มาร่วมในพิธีหมั้นต่างก็รับรู้กันทั้งนั้นว่าเธอคือร้อยดาว บดินทร์ธร...อยู่ๆถ้าจะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเธอคือเมดา จะไม่เป็นที่ครหาหรือ ท่านป้า ?”
“อย่าเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาเอาคิดให้ปวดหัว จะให้ชายไม่มีความสุขเสียเปล่าๆ ชีวิตของชายต้องดำรงอยู่ด้วยตัวของหลานเอง ไม่ใช่ด้วยลมปากของคนอื่น”
สิบทิศเองยังไม่คลายใจ
รัตนากรถาม “ทำไมรึ หากเป็นหนูร้อยดาว ชายจะรักเขามากกว่านี้หรือ ?”
“ไม่ใช่ร้อยดาวน่ะดีแล้ว ท่านป้า หลานจะได้ไม่ต้องคาใจเรื่องที่แม่ของเขาเป็นต้นเหตุทำให้ท่านพ่อต้องสิ้นจริงหรือไม่”
“แล้วชายจะต้องกังวลสับสนเรื่องอะไรอีก ?”
สิบทิศนิ่งเพราะตอบรัตนากรไม่ได้
“หลานก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ท่านป้า”
“ลองฟังคำตอบจากหัวใจตัวเองดูสิ ตอนนี้หลานกำลังหลงทาง ตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเองให้เจอ ของบางอย่างมองดูด้วยหัวใจ เห็นชัดกว่ามองดูด้วยตา อย่ามัวสร้างเงื่อนไขทำให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลังเหมือนกับป้าเลยนะ ชาย”
รัตนากรยิ้มให้กำลังใจสิบทิศ
สิบทิศนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
ภาพเมดาคอยดูแลสิบทิศตอนที่เขาแกล้งตาบอดแวบขึ้นมา
สิบทิศนอนก่ายหน้าผากเพราะคิดไม่ตก
เช้าวันใหม่ สิบทิศมาหาเมดาที่บดินทร์ธรแล้วพบกับนมแสง
“คุณหนูออกไปไหนตั้งแต่เช้าไม่ทราบค่ะ ดูเธอเศร้าๆพิกล”
สิบทิศไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปหาเมดาทันที
เมดานั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวกลางทุ่งหญ้าที่เวิ้งว้าง ความคิดของเมดาตั้งแต่แรกเจอสิบทิศจนกระทั่งสิบทิศจ้องดวงตาเมดาแวบขึ้นมา ภาพสิบทิศอยู่ตรงหน้าแวบขึ้นมาแล้วจางหายไป เมดาพยายามจะสลัดภาพสิบทิศออกจากหัว
เมดาเจ็บใจตัวเอง “จำไว้สิ !! เขารักพี่ร้อยดาว ไม่ใช่เธอ เมดา... เธอมันแค่ตัวปลอม ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำ เธอต้องลืมเขาให้ได้”
เสียงสิบทิศดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“เมดา ฉันรักเธอ”
เมดาได้ยินเสียงสิบทิศก็รีบหันหลังไป เมดาไม่เห็นใครนอกจากความว่างเปล่า เธอใจแป้วเพราะนึกว่าหูฝาดไป เมดาหันกลับมาเห็นช่อกล้วยไม้ป่าช่อใหญ่อยู่ตรงหน้าเนื่องจากสิบทิศเอามาให้
“คุณชาย !”
“อยู่ๆก็หายตัวให้คนอื่นเขาเป็นห่วงเล่น เธอนี่มันตัวปัญหาจริงๆ” สิบทิศว่า
เมดางอน “ดิฉันเป็นแค่คนนอก ไม่มีค่าอะไร จะอยู่หรือไป ก็คงไม่มีใครสนใจดิฉันหรอก”
“เธองอนฉันเหรอ”
เมดาเสียงสูง “เปล่า..... ทำไมดิฉันจะต้องงอนคุณชายด้วย”
“เธองอนที่ฉันหลงรักร้อยดาว ไม่ใช่เมดา”
เมดาแทงใจดำ “คุณชายจะหลงรักใครก็เป็นเรื่องของคุณชาย ไม่เกี่ยวกับดิฉัน ดิฉันขอตัว”
สิบทิศรีบคว้ามือเมดาเอาไว้
“เธอจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร เธอเป็นคู่หมั้นฉันนะ !”
เมดางงเพราะไม่รู้ว่าสิบทิศจะมาไม้ไหนกันแน่
“คุณชายหายโกรธดิฉันแล้วเหรอคะ”
“ถ้าหมายถึงเรื่องที่เธอหลอกฉันล่ะก็ยัง”
เมดาหน้าจ๋อย
สิบทิศพูดต่อ “สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือคนโกหกหลอกลวง... ฉันโกรธ ที่เธอไม่กล้าบอกความจริงกับฉันทั้งๆที่ฉันก็ไม่ใช่คนอื่น เธอไม่กล้าเปิดเผยกับฉันอย่างหมดใจ ทุกๆสิ่งที่ผ่านมา เธอสร้างภาพลวงตาให้กับฉัน แสร้งทำให้ฉันรัก คิดถึง ห่วงใย ทุกๆวัน โดยที่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอมีเยื่อใยให้กับฉันบ้างหรือเปล่า”
“ดิฉันพยายามเตือนตัวเองทุกครั้งว่าดิฉันไม่ใช่พี่ร้อยดาว ดิฉันเข้ามาที่บดินทร์ธรเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้วดิฉันก็จะไป แต่ยิ่งดิฉันใกล้ชิดกับคุณชายเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ดิฉันตัดใจไปจากที่นี่ยากขึ้นทุกที ดิฉันเกลียดหัวใจตัวเองที่รู้สึกหวั่นไหวรักคนที่เขาไม่เคยเห็นดิฉันอยู่ในสายตา ถ้าความรักทำให้คนตาบอด ตาดิฉันก็คงบอดตั้งแต่ได้รู้จักกับคุณชาย” เมดาแค่นหัวเราะ “น่าละอายนะคะ ที่ผู้หญิงบอกรักผู้ชายก่อน”
“ฉันเองต่างหากที่ย่าละอาย... ฉันเป็นผู้ชายแต่กลับไม่กล้า รอให้เธอเป็นฝ่ายบอกฉันก่อน สำหรับความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร ร้อยดาว หรือเมดาก็ตาม... มันมากกว่าคำว่า “รัก” เพราะเธอคือครึ่งชีวิตที่ฉันใช้เวลาหาและรอคอยเธอมานานแสนนาน”
เมดามองตาสิบทิศอย่างซาบซึ้ง
สิบทิศดึงเมดาเข้ามากอด
น่านฟ้าเอากล้องส่องทางไกลดูสิบทิศกับเมดา
“อุ๊ยๆๆๆ !! กอดกันแล้วๆ” น่านฟ้าว่า
มารุตแย่งกล้องมาจากน่านฟ้า “ให้ไอดูบ้างสิ !!! ยัยจอมจุ้น”
“เดี๋ยวสิ !! กำลังถึงฉากสำคัญ หอมแก้มกันแล้ว”
“ดูมั่งเดะ”
น่านฟ้ากับมารุตแย่งกล้องดูดาวกัน
ทวีปเปิดพินัยกรรมของดิลกต่อหน้าทุกคนที่มาเป็นสักขีพยาน
ทวีปอ่าน “เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์อันได้แก่บรรดาอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทั้งหมดอันเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้า รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินใดๆ ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามีหรืออาจมีในภายหน้าให้แก่นางสาวเมดา บดินทร์ธร บุตรสาวของข้าพเจ้า... พินัยกรรมของคุณดิลกสิ้นสุดลงเท่านี้ครับ”
ดำรงพูดกับทวีป “ช่วยเป็นธุระดูแลให้เรียบร้อยทีก็แล้วกัน”
“ครับ คุณท่าน” ทวีปรับคำ
“ส่วนพินัยกรรมฉัน รอฉันตายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น หล่อนคงไม่เร่งวันเร่งคืนให้ฉันตายเร็วๆกระมัง แม่ดาหลา... ถ้าฉันไม่ได้อุ้มลูกหล่อนกับเจ้าปรมัตถ์ก่อน ฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”
ดาหลาก้มหน้านิ่ง คนอื่นๆอดอมยิ้มในตลกร้ายของดำรงไม่ได้
“เข้ามาใกล้ๆฉันนี่ แม่ม้าดีดกะโหลก”
“แน่ะ !” รัตนากรตีดำรงเบาๆที่แขน “บอกแล้วไงว่าห้ามเรียกหลานแบบนี้ ถ้ายังไม่เลิกเรียกหนูเมดาว่า “แม่ม้าดีดกะโหลก” เราจะเอาฉายา “อีกาคาบถ่าน” ตอนสมัยตัวหนุ่มๆมาเรียกบ้าง”
ทุกคนแอบขำแล้วกลั้นหัวเราะจนดำรงหน้าม้าน
“โธ่ ! กระหม่อม ! ทรงล้อให้อายเด็กมัน”
เมดาค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาดำรงอย่างนอบน้อม แล้วกราบที่เท้าของเขา ดำรงวางมือลูบศีรษะเมดาด้วยความเอ็นดู
ดำรงพูดกับสิบทิศ “ฉันฝากหลานฉันด้วยนะ คุณชาย ! ยกให้แล้ว อย่าเอามาคืนก็แล้วกัน”
“ท่านอุตส่าห์ยกของรักให้ผมทั้งที จะเอามาคืนทำไมครับ เสียดายแย่”
เมดาทำหน้ากระเง้ากระงอดสิบทิศ
“กระเง้ากระงอดกันแบบนี้ อีกหน่อยพอแต่งงานคงมีลูกหัวปีท้ายปี”
สิบทิศยิ้มกับเมดาภายใต้บรรยากาศชื่นมื่น
เมดาวางพวงมาลัยที่โกศคู่ของดิลกและจันทร์ฉาย
“หนูพาคุณพ่อคุณแม่กลับบ้านแล้วนะคะ หลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงหนูดูแลตัวเองได้” เมดากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอให้รับรู้… หนูรักคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
สิบทิศเข้ามาคุกเข่าข้างๆเมดา
“ผมสัญญาด้วยเกียรติแห่งเวฬุมาศว่าจะดูแลเมดาให้ดีที่สุดด้วยชีวิตของผมเอง จะไม่มีวันทอดทิ้งและรักเธอตลอดไป”
ต้นไม้ใหญ่เอนซู่ตามแรงลม เกสรดอกไม้โปรยปรายร่วงพรู ประหนึ่งดิลกกับจันทร์ฉายอวยพรให้ สิบทิศเช็ดน้ำตาให้เมดาด้วยความทะนุถนอม
เมดานั่งดูรูปที่ตนถ่ายคู่กับร้อยดาวที่อังกฤษที่ม้านั่งมุมร่มรื่นในวัด
“เพราะดวงตาของพี่ร้อยดาวคู่นี้ที่ทำให้น้องกลับมามองเห็นอีกครั้ง ไม่ต้องอยู่ในโลกอันมืดมิดตลอดไป”
เมดาเห็นเท้าของใครบางคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าแบบน่ากลัวจึงเงยหน้าขึ้นมอง ดารกายืนอยู่หน้าเมดาเมดาตกใจ “คุณหนูดารกา !”
“ถ้าวันนั้นฉันตาย คงน่าเสียดาย... มีอะไรบางอย่างที่ฉันอยากทำแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ”
“อะไรเหรอคะ ?” เมดาถาม
“ทดแทนพระคุณพ่อแม่... ตอนที่ท่านยังอยู่ ฉันไม่เคยทำให้ท่านมีความสุขเพราะฉันเลยสักครั้ง... กว่าจะคิดได้ มันก็สายไปเสียแล้ว”
“ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นหรอกนะคะ” เมดาบอก
ดารกายิ้มจางๆ “ฉันตั้งใจจะหันหน้าปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศกุศลผลบุญไปให้ท่านทั้งสองที่ล่วงลับไปแล้ว...ขอบคุณเธอมากที่เธอช่วยชีวิตฉันในวันนั้นทั้งที่ฉันเคยทำแย่ๆกับเธอเอาไว้... เธอทำให้ฉันกลายเป็นคนใหม่ในวันนี้”
ดารกากับร้อยดาวกุมมือกันด้วยความรักใคร่ สิบทิศซึ่งยืนมองดูอยู่ห่างๆยิ้มในมิตรภาพที่ทั้งสองพี่น้องมีให้แก่กัน
เมดาเดินเล่นที่บึงบัวกับสิบทิศ
“ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณแม่เวียงแก้วจะเป็นอย่างไรบ้าง” เมดาพูด
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าตายแล้วไปไหน เพราะคนที่ตายก็ไม่อาจหวนกลับมาบอกให้เรารู้...สำคัญที่ว่าขณะยังมีลมหายใจอยู่ทำอะไรต่างหากเธอล่ะ วางแผนชีวิตต่อจากนี้ยังไง”
“คุณปู่ท่านบ่นว่าเหงาอยากอยู่ใกล้ชิดลูกหลาน ดิฉันเลยตั้งใจว่าจะอยู่ดูแลท่านที่บดินทร์ธรไปก่อน”
“ก็รีบมีเหลนให้ท่านอุ้มไวๆสิ”
เมดาอาย “คุณชายอ่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้”
“อีกหน่อยน่านฟ้าบินไปเรียนต่อที่อังกฤษ เวฬุมาศคงไม่เหลือใคร เกิดวันไหนปวดหัวตัวร้อนขึ้นมา ใครนะจะคอยดูแลฉัน” สิบทิศว่า
สิบทิศแกล้งเหล่ชำเลืองมายังเมดาแล้วพูดอ้อนๆ
“คุณชายเป็นหมอก็ดูแลตัวเองสิคะ”
“ลืมไปแล้วหรือไง เธอมีหน้าที่ต้องคอยดูแลฉันในฐานะ “คู่ชีวิต” ของหม่อมราชวงศ์สิบทิศ เวฬุมาศไปจนกว่าฉันจะหมดลมหายใจ”
สิบทิศกอดเมดาหอมอย่างทะนุถนอมแทนคำสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งกันไปไหน
จบบริบูรณ์...