xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 14
 
วันต่อมาจันทรานั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นไม้ในอุทยาน จะเด็ดเดินมาข้างหลัง จันทราหันไปมอง จันทรามองจะเด็ดนิ่ง

จะเด็ดมองจันทรานิ่ง ความรู้สึกทั้งคิดถึง ทั้งรู้สึกผิด ทั้งเทิดทูนแล้วตัดสินใจทรุดลงกราบ
“ท่านไม่ใช่พี่ข้าพเจ้าดอกหรือ”
“ข้าพเจ้าทำผิดมหันต์ไม่อาจนับท่านเป็นพี่น้องได้”
“แต่ข้าพเจ้ายังนับท่านเป็นพี่เสมอ”
“เพลานี้ข้าพเจ้าเป็นเพียงไพร่ ทีรอดมาได้ก็เพราะพระเมตตาของพระพี่นาง”
“จะเด็ดพี่ท่าน ข้าพเจ้ายินดีจะได้พบหน้าท่านตลอดไป แม้ท่านจะเป็นใครก็ตาม”
“ข้าพเจ้ากลับมาตองอูแม้รู้ตัวว่าจะตาย ก็เพราะต้องการให้พระพี่นางรู้ว่าชีวิตข้าพเจ้านี่ถวายแก่ท่านผู้เดียว เพลานี้ข้าพเจ้าพิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้ว ขอพระพี่นางอภัยแก่ความเลวที่ผ่านมาของข้าพเจ้าเถิด” จันทราน้ำตาไหล
“ข้าพเจ้าไม่เคยถือโทษโกรธท่านเลย แม้ท่านจะอยู่ที่ใดก็ขอให้รู้ว่าพี่ท่านเป็นสุข ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว”
“ข้าพเจ้ามาลาท่าน พระอาจารย์สั่งให้ข้าพเจ้าบวชตลอดชีวิต”
“ข้าพเจ้าขออนุโมทนา”
จะเด็ดลวงกลักงาใส่ผมจันทราออกมาจากอกเสื้อ
“ต่อนี้ไป ข้าพเจ้าคงครองเพศบรรพชิตจนสิ้นอายุขัย จึงขอคืนกลักงานี้แก่ท่าน” จันทรายื่นมือไปรับ จะเด็ดจับเพียงปลายนิ้วจันทราไว้ “เพียงแค่นี้ก็เป็นบุญข้าพเจ้าที่สุดแล้วที่เกิดมาได้พบท่าน”
จันทรามองจะเด็ดอย่างเมตตา สงสาร จะเด็ดมองจันทราอย่างเทิดทูน ยกย่อง จันทรายังคงมองจะเด็ดนิ่ง ยิ้มน้อยๆ อย่างปรานี
“ข้าพเจ้ามีเรื่องอีกประการอยากให้พระพี่นางเป็นธุระให้”
“แจ้งมาเถิด อย่าเกรงใจ”
“ข้าพเจ้ามีแม่นางเช็งสอบูติดตามมาแต่กรุงหงสาวดี นางภักดีต่อข้าพเจ้านัก จะมอบนางให้พ้นกังวลแก่ผู้ใด นางก็มิยอมจากข้าพเจ้า คราวนี้ข้าพเจ้าต้องบวชไม่อาจดูแลนางได้ หากถวายให้อยู่ในโอวาทพระพี่นาง นางคงไม่กล้าปฏิเสธ”
“ขอให้ท่านบวชพบกับทางสงบเถิด สิ่งใดเป็นกังวลข้าพเจ้าจะแก้ให้”
“หากชาติหน้าฉันท์ใด ผลบุญส่งให้ข้าพเจ้ามาเกิด ได้เฝ้าพระพี่นางเช่นนี้อีก จะขอเป็นข้ารองบาทตลอดไป”
จันทรามองจะเด็ดยิ้มให้อย่างจริงใจ จะเด็ดลุกเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก จันทราค่อยๆ ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร

ชายแดนหงสาวดี กองทัพหงสาวดีเคลื่อนพลมาเต็มทุ่ง มีทั้งกองม้ากองช้างดูหน้าตกใจ สอพินยา ไขลู เสียงโคนสุคญี ควบม้านำมาอย่างภาคภูมิใจ
กองทัพหงสาวดีเคลื่อนมาอย่างยิ่งใหญ่ สอพินยา ไขลู เสียงโคนสุคญี ควบม้ามาอย่างองอาจ
“พระอนุชามั่นพระทัยเพียงใดว่า พวกอังวะจะปฏิบัติตามข้อตกลง” เสียงโคนสุคญีถามขึ้นมา สอพินยายิ้ม
“ทหารอังวะแค้นตองอูยิ่งกว่าทหารหงสาวดี มากกว่าสิบต่อหนึ่ง น้องชายแมงกยอแงแม่ทัพอังวะที่ยกมาครั้งนี้ถูกจะเด็ดสังหารถึงสามคน ฉะนั้นอย่ากังวลเลยว่าเมื่อเราประชิดแปรตองอูจะกล้ายกทัพลงมาช่วย ในเมื่อทิศเหนือมีทัพโมยินตั้งค่ายขู่คำรามอยู่หน้าประตูเมือง”
ไขลูหันมายิ้มให้เสียงโคนสุคญี
“ท่านเสียงโคน ขอให้ท่านเผด็จศึกแปรให้ได้โดยเร็ววันเถิด เราจะได้ขึ้นไปล้างแค้นตองอูกัน จากนี้ไปพุกามประเทศที่แยกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยจะได้รวมแผ่นดินเป็นผืนเดียวกันเสียที เพลานี้พระเจ้าโสหันพวาที่เตรียมทัพรออยู่ที่กรุงรัตนบุระอังวะคงได้รับแจ้งใบบอกของเราแล้ว”
สอพินยาควบม้ามุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างอิ่มเอมใจ

ที่ท้องพระโรงหน้า กรุงแปร ตองหวุ่นญี จิสะเบง ยแมสิน เข้าเฝ้าพระเจ้าแปรอยู่หน้าบัลลังก์
“หงสาวดียกทัพมาครั้งนี้ ข้าพเจ้ารู้ดีว่าไม่ได้มุ่งร้ายต่อกรุงแปร แต่หมายขับไล่กองทัพตองอูคู่แค้นมากกว่า จึงอยากกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์หมายจะทอดไมตรีต่อหงสาวดีหรือตองอู” ตองหวุ่นญี่บอก
รานองนั่งกระสับกระส่าย อัครเทวีจ้องรอคำตอบ
“ชาวแปรและทหารตองอู เพลานี้มีความสนิทกันเหนือหงสาวดี ท่านจะมาถามเราให้แคลงใจกันทำไม ศึกครั้งนี้แม้ไม่ได้หมายแปรอย่างท่านขุนพลว่า แต่ไมตรีที่มีต่อกัน ท่านร้อนแล้วแปรจะไม่ร้อนด้วยได้อย่างไร” นรบดีบอก พระอัครเทวีไม่พอใจ แต่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้
“เมื่อพระองค์ดำรัสเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะรักษาไมตรีนี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อกรุงแปรยึดตองอูเป็นมิตรแท้ ตองอูก็จะดูแลมิตรไม่ให้เดือดร้อน ข้าพเจ้าจะขอเอาทัพตองอูรับศึกอยู่นอกเมือง จะไม่ขอใช้เสมาเชิงเทินกำแพงแปรรับศึกให้กรุงแปรและประชาราษฎร์แปรเดือดร้อนเป็นอันขาด” ตองหวุ่นญี่บอก พระเจ้าแปรนิ่งฟัง แต่อัครเทวีไม่พอใจมาก

ขณะนั้นกุสุมานั่งเล่นพิณอยู่ในพลับพลาอุทยานแปร นางข้าหลวงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาเฝ้า
“ตะละแม่ท่าน กองทหารสอดแนมกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า พระอุปราชสอพินยานำทัพยกมาหมายประชิดกรุงแปร มืดฟ้ามัวดินไปหมด คงคิดมาชิงตัวตะละแม่คืนเป็นแน่”
 
กุสุมาตกใจ

ที่เรือนพักปลัดทัพ เมืองแปร
 
ตองหวุ่นญียืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จิสะเบง ยแมสิน ตะคะญีกับคนอื่นๆ นั่งอยู่“ หงสาวดีมุ่งตรงมาแปรแล้ว เราต้องเตรียมการทัพด่วน ยแมสินเราจะให้ท่านเร่งไปตองอู กราบทูลข่าวศึกแก่พระเจ้าอยู่หัวด่วน”
“สั่งการมาเถิด ข้าพเจ้ายินดีปฏิบัติ”
“ศึกรบครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขอให้ท่านครูเป็นผู้คุมกองทหารประจำอยู่ที่ค่ายหน้าเมือง”
“ท่านขุนพลอย่าห่วง ข้าพเจ้าเคยกับสถานที่นี่เมื่อครั้งได้ร่วมศึกกับท่านบุเรงนองมาแล้ว”
“ท่านพ่อไม่ไว้ใจข้าพเจ้า เพราะศึกครั้งนั้นเราแพ้แปรใช่ไม๊ ให้โอกาสข้าพเจ้าแก้ตัวเถิด”
“พ่อมีการสำคัญยิ่งอีกอย่างที่จะมอบหมายให้”
“พ่อท่านจะให้คุมกองไหน ข้าพเจ้าไม่ใช่เด็กอมมือไร้ซึ่งฝีมือ หากท่านพ่อไม่มอบหมายหน้าที่ให้ ทหารตองอูและแปรคงดูแคลนข้าพเจ้าอย่างยิ่ง”
“พ่อจะให้เจ้าควบคุมความสงบภายในเมือง เพราะหากเราไม่ทำความเข้าใจกับชาวแปรให้ดีอาจก่อปัญหาภายในได้”
“ทำไมท่านพ่อไม่เกณฑ์ทหารแปรออกรบร่วมกับเราเสียเลย”
“เราไว้ใจทหารแปรไม่ได้ดอก เพราะศึกนี้ทหารแปรขาดความเจ็บแค้นพวกหงสาวดี หากเราเกณฑ์ออกรบด้วยคงเอาชนะศึกได้ยาก แต่หากปล่อยทิ้งให้อยู่ภายในเมือง พ่อกลัวว่าหากศึกยืดเยื้อก็จะพากันถอดใจ ถึงเพลานั้นเราจะเจอศึกสองด้านพ่อจึงอยากให้เจ้าดูแลการภายในให้เรียบร้อยที่สุด”
จิสะเบงยิ้มพอใจ
“พ่อท่านอย่าห่วงเลย ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะทำให้เต็มที่”
ตะคะญีแอบมองจีสะเบงอย่างหนักใจ

ที่ห้องบรรทมกุสุมา กุสุมานอนซมอยู่บนเตียงด้วยพิษไข้ โชอั้วกับอัครเทวีนั่งเฝ้าไข้อยู่ใกล้ๆ
“ตั้งแต่รู้ว่าอุปราชสอพินยายกทัพบุกมาก็ทรุดลงด้วยพิษไข้ ไม่ยอมแตะต้องอาหารใดๆ ทั้งสิ้น เราหนักใจเหลือเกินโชอั้ว”
“ข้าพเจ้าให้แปลกใจ พวกตองอูทำร้ายแปรถึงเพียงนี้ ทำไมตะละแม่ถึงยังตัดสวาทจากบุเรงนองไม่ได้ หลงสวาทอะไรนักหนา” กุสุมาไม่ตอบ น้ำตาไหลออกมาอย่างเจ็บปวด “ตัดพระทัยเสียเถิดรสสวาทนั้นเป็นเพียงอารมณ์ตัณหาชั่ววูบ ป่านนี้บุเรงนองคงเสวยสุขอยู่กับตะละแม่ตองอู จนลืมตะละแม่กรุงแปรสิ้นแล้ว วิสัยชายแม้เป็นชาตินักรบก็เหมือนไม้ปักดินเลนทุกคน จะหาความมั่นคงอะไรได้”
“ชะรอยพระอุปราชสอพินยาเสียอีกที่มั่นคงในลูกแม่ ดูซิพอรู้ว่าบุเรงนองหนีกลับเมืองถึงกับยกพลมาหา สมเด็จพ่อไม่น่าเอนเข้าหาตองอูเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องรบกันอย่างนี้”
“อุปราชสอพินยาทรงแสดงเห็นชัดว่ารักตะละแม่จริง หาได้ทอดทิ้งอย่างบุเรงนองไม่ ถ้าข้าพเจ้าเป็นแทนตะละแม่ได้ข้าพเจ้าจะขอเลือกข้างพระอุปราชหงสาวดี ดีกว่าที่จะตกเป็นรองตะละแม่ตองอูให้อายคนแปร”

ขบวนเสลี่ยงจิสะเบงเดินตรวจความเรียบร้อยมากับบ่าวไพร่ วางท่าโอ่อ่า ชาวเมืองเห็นต่างพากันยกมือไหว้ โชอั้วมาเดินตลาดหยุดชะงักมองไม่พอใจ
“ยังสบายกันดีอยู่นะพ่อ”
“อยู่ในกำแพงนี่แสนสบายเป็นบุญเหลือเกินที่ทัพตองอูไม่ยึดกำแพงแปรเป็นฐานทัพ”
“ถ้าไม่มีทัพตองอูอยู่ช่วย แปรคงถูกพวกหงสาวดีย่ำยีแน่ๆ”
“เราชาวตองอูกับชาวแปรเหมือนบ้านพี่เมืองน้อง มีอะไรเราช่วยกันเสมอ อีกไม่นานพวกหงสาคงถอนทัพกลับเมืองไปแล้ว”
โชอั้วยืนมองด้วยความโกรธ คว้าไข่ในกระจาดแม่ค้าใกล้ๆ ขว้างใส่จิละเบง จิสะเบงหันมา โดนไข่เข้าเต็มหน้า
“พวกตองอูเล่นลิ้นลวงอย่าคิดเชื่อ พวกตองอูใช้คารมประหารพ่อข้าพเจ้ามาแล้วไม่คิดจำกันหรือไง ข้าพเจ้าน้อยใจคนแปรจริงๆ”
โชอั้วจ้องจิสะเบงและชาวแปรด้วยความแค้น แล้วเดินออกไป จิสะเบงมองตามอย่างงุนงง
“แม่นางผู้นี้เป็นใคร” จิสะเบงถามทหาร
“นางคือลูกสาวท่านขุนพลปะขันหวุ่นญี”
จิสะเบงมองตามอย่างพอใจ
“แม่นางผู้นี้เอง มิน่า”

เส้นทางเดินทัพอังวะ ทัพโมนยินกำลังเดินทางไปตองอู ทหารทุกคนแต่งชุดรบ โสหันพวายืนม้าหัวเราะท่ามกลาทหาร
“เพลานี้ทัพหงสาวดีได้บุกเข้าโจมตีทัพตองอูที่รักษาเมืองแปรแล้ว ขอแม่ทัพโมยินทุกคนจงยกทัพลงตั้ง ค่ายคุมเชิงเมืองตองอูไว้อย่าให้ยกลงไปช่วยแปรได้ และอย่าเพิ่งยกเข้าตีเมืองตองอู เพียงแค่ส่งกองทหารเข้าปล้นฆ่าตามหมู่บ้านรอบนอกให้ระส่ำระสายเล่นก็พอ รอทัพหงสาวดีมีชัยต่อแปรแล้วค่อยเข้าตีพร้อมกัน ส่วนพระเศียรพระเจ้าตะเบงชเวตี้นั้นห้ามผู้ใดแตะต้อง เพราะเราให้สัตย์สาบานต่อพระอุปราชสอพินยาแล้วว่า จะให้พระองค์เป็นผู้บั่นพระเศียรตะเบงชเวตี้เอง”
“เหล่าข้าพเจ้าขอถวายชีวิต เพื่อแผ่พระราชอำนาจกรุงรัตนบุระอังวะให้ยิ่งใหญ่ตลอดไป” แมงกยอแงบอก

ทั้งหมดถวายบังคมพร้อมกัน
 
อ่านต่อหน้า 2

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 14 (ต่อ)

วันต่อมาที่ทุ่งหน้าค่ายตองอู หน้าเมืองแปร กองปืนหงสาวดียิงใส่ทหารตองอูที่วิ่งเข้าหาอย่างดุเดือด
 
ทหารตองอูวิ่งเข้ามาถูกปืนยิงล้มลง ที่เหลือบุกต่อไป กองปืนหงสาวดีชุดใหม่เข้าประจำที่ยิงใส่อีก ทหารตองอูล้มลงระเนระนาดลงอีก ที่เหลือบุกเข้าไปประชิดตัวและฆ่าทหารหงสาได้จำนวนหนึ่ง
ตองหวุ่นญี ตะคะญี ควบม้าบัญชาการดูทหารอย่างหนักใจ
“พวกหงสาวดีใช้กองปืนไฟบุกคืบหน้าเข้ามาน่ากลัวมาก เราคงจะต้านทัพหงสาวดีไม่ไหวแน่”
สอพินยายืนม้ามองทหารหงสายิงปืนไฟใส่ทหารตองอูอยู่อย่างชอบใจ
“ยิง ยิงเข้าไป พวกมันต้านปืนไฟของเราไม่ได้ดอก ยิงสังหาร บุกคืบหน้าเข้าไป”
ทหารตองอูถูกปืนล้มตายลงเรื่อยๆ ไขลูสั่งการทหารยิงปืนไฟอย่างสะใจ
“พวกมันไม่กล้าเข้ามาแล้ว พวกเราบุก”
กองทะลวงฟันหงสาตาหน้าบุกเข้าหาทหารตองอูอย่างหึกเหิมทันที ตะคะญีกับตองหวุ่นญี ยืนม้ามองอย่างหนักใจ
“สั่งทหารถอยก่อนเถิดท่านตองหวุ่นญี เราคงต้านไม่อยู่แล้ว”
ตองหวุ่นญีเห็นว่าไม่มีทางเลือก สั่งถอยทันที
“ตองอู ถอยกลับเข้าค่าย ถอย”
ทหารตองอูยังคงต้านกองทัพหงสาวดีอย่างสุดความสามารถ

ค่ายหงสาวดีหน้าเมืองแปร สอพินยากับไขลูยืนมองทหารที่บาดเจ็บอย่างหนักใจ
“หากศึกแปรยืดเยื้ออย่างนี้ไป คำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้าโสหันพวากรุงอังวะว่าจะยกขึ้นไปล้อมตีตองอูในแล้งนี้ คงไม่เป็นไปตามสัญญาแน่ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ท่านไขลู”
“ข้าพเจ้าก็หวั่นวิตกเช่นพระอนุชา เห็นทางออกอยู่ทางหนึ่งก็คือ…”
“แจ้งเรามา”
“ข้าพเจ้ารู้มาว่า จิสะเบงลูกชายขุนพลตองหวุ่นญีที่เคยสนิท เมื่อครั้งไปตองอูบัดนี้มาบัญชาการอยู่ในกรุงแปร หากข้าพเจ้ามีโอกาสลอบเข้าไปพบพบจิสะเบงนี้เมื่อไหร่ คงได้การใหญ่เป็นแน่”

ลานบ้านปะขันหวุ่นญี จิสะเบงเดินมากับทหารตองอู โชอั้วกำลังสั่งบ่าวทำงานอยู่หันมาเห็นไม่พอใจ
“อย่าเข้ามาในเขตเรือนข้า”
จิสะเบงยิ้มไม่โกรธ
“ข้าพเจ้ายกโทษที่ท่านทำร้ายข้าพเจ้าแล้ว ทำไมยังจะมาตั้งข้อรังเกียจข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้ามาเพื่อประสานไมตรี”
“ข้าไม่ต้อนรับไมตรีคนตองอู หรืออยากจะโดนอีก”
โชอั้วคว้าท่อนไม้ใกล้ตัวได้ตรงเข้าจะตี จิสะเบงหลบแล้วจับข้อมือไว้ โชอั้วยิ่งโกรธสู้สุดชีวิต
“ฟังข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้ามาดี ฟังก่อน”
“ออกไปจากเขตเรือนข้า ข้าเกลียดพวกตองอู ไป”
“อะไรกัน มีเรื่องอะไรกัน หยุดเดี๋ยวนี้นะโชอั้ว” โชอีฟวิ่งลงจากเรือนมาห้าม มองหน้าจิสะเบง “ท่านมีการอันใดในเขตเรือนข้าพเจ้า”
จิสะเบงมองโชอั้วชอบใจ แต่ก็ส่ายหัวที่เห็นฤทธิ์เดช โชอั้วสะบัดหลุดจ้องหน้าจิสะเบงอย่างโกรธแค้น
ไขลูในชุดชาวเมืองแปรยืนแอบมองอยู่นอกบ้านพร้อมกับชาวบ้านที่มายืนมุมดูโชอั้วทะเลาะกับจีสะเบง
บ่าวนำหมากพลูมาส่งให้โชอีฟที่นั่งคุยอยู่กับจิสะเบง มีโชอั้วนั่งทำหน้าแค้นอยู่ใกล้ๆ
“ข้าพเจ้าเป็นห่วงว่าท่านอยู่กันเฉพาะแม่ลูก เกรงว่าถ้าศึกหลุดเข้ามาถึงในกรุงท่านกับลูกสาวจะอยู่อย่างไร”
“ศึกจะหนักถึงปานนั้นเลยหรือ”
“เรื่องการณ์ข้างหน้าเราคาดไม่ได้ เพลานี้มีเพียงทหารตองอูเท่านั้นที่รับศึกอยู่ ไม่รู้ว่าจะป้องกันแปรไปได้สักกี่วัน”
“ท่านขุนพลตองหวุ่นญีเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ท่านปะขันเมื่อยังมีชีวิตก็เอ่ยสรรเสริญให้น้าฟังเสมอ”
“งั้นน้าท่านคงไม่รังเกียจ ถ้าข้าพเจ้าจะจัดทหารตองอูมาช่วยระวังยามให้”
“ไม่มีการจำเป็น บ่าวไพร่เรามี”
“เถอะน่า โชอั้ว เมื่อท่านจิสะเบงมีน้ำใจเป็นห่วง เราไม่ควรอวดดี ต่อไปศึกยืดเยื้อข้าวยากหมากแพง ผู้ร้ายชุกชุมเราจะได้อุ่นใจ วันไหนหลานท่านเหน็ดเหนื่อยจากการงานก็แวะมาพักกินน้ำที่เรือนน้าได้นะ” โชอีฟเอ่ยชวน
“ท่านน้าเป็นผู้ใหญ่มองการณ์ได้ไกล ข้าพเจ้าดีใจนัก”
จิสะเบงไหว้แล้วหันไปยิ้มให้โชอั้วเหมือนยั่ว โชอั้วได้แต่ตาขวาง

จิสะเบงกำลังซ้อมทวนอยู่กับพวกทหารเหงื่อโทรมตัวอยู่ที่ลานหน้าเรือนปลัดทัพ ซอยู และทหารตองอูเดินคุม ไขลูที่แต่งกายทรุดโทรมมีผ้าคลุมหัวเข้ามาจิสะเบงหยุดมองไปหยิบผ้ามาเหงื่อ
“ชายผู้นี้หนีมาจากค่ายเชลยหงสาวดี อ้างว่าเคยรับใช้ท่านมาก่อน” ซอยูบอก
จิสะเบงมองไขลูอย่างสงสัย ไขลูเงยหน้าขึ้น จิสะเบงตกใจแล้วรีบทำเป็นปกติ
“พวกเจ้าออกไปก่อน”

ทหารทุกคนแยกย้ายกันออกไป จิสะเบงกับไขลูยืนจ้องมองกันอยู่เพียงสองคน

ไขลูนั่งอยู่ที่พื้น จิสะเบงเดินเช็ดเหงื่อหงุดหงิดไปมาอย่างไม่พอใจ
 
“ศึกครั้งก่อนท่านเผาทหารเราราบเป็นหน้ากลอง ทำไมยังกล้ามาพบหน้าเราอีก คิดว่าเราไม่กล้าสั่งประหารท่านหรือ”
“พระอนุชาให้ข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตเข้ามาก็เพื่อจะสมานฉันท์ แก้ความเข้าใจผิด ถ้าจะต้องตายก็ขออธิบายความให้แจ่มแจ้งก่อน”
“พระอนุชาหงสาวดียังมีอะไรจะแก้ตัวอีก”
“ศึกครั้งนั้นท่านอย่าลืมว่าข้าพเจ้าและพระอนุชา ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทัพโดยตรง รานองกับปะขันหวุ่นญีดอกที่เป็นผู้สั่งการทั้งหมด พระอนุชาพยายามทัดทานแล้วแต่ไม่สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมาจึงผิดใจกับอุปราชรานอง”
“ท่านมีอะไรมายืนยันว่าพระอุปราชสอพินยาสั่งการมาจริง”
“พระอนุชาประสงค์จะรักษาไมตรีกับท่านให้ยั่งยืนต่อไป จึงพระราชทานพระธำมรงค์ให้ข้าพเจ้ามามอบให้ท่าน”
ไขลูล้วงเอาห่อแหวนออกมาส่งให้ จิสะเบงรับแหวนไปมองอย่างเย้ยๆ
“แหวนวงแค่นี้หรือที่จะมาแลกกับทหารที่ตายไป”
“พระอนุชาไม่ได้คิดเพียงแค่นี้ แต่ปรารภว่าหากเสร็จศึกแล้วอยากจะยกย่องท่านเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองเมาะตะมะ” จิสะเบงหัวเราะลั่น
“นี่หมายจะเอาเมาะตะมะมาแลกกับกรุงแปรเชียวหรือ”
“ท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องไม่จริง เพราะหมิ่นว่าพระอนุชาไม่ใช่มิตรแท้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนน้ำมิตรกันจริงจะเข้าใจว่าวิสัยนักเลงแล้วจะไม่มีวันคิดคดกับคนซื่อต่อเราเด็ดขาด”
จิสะเบงหยุดหัวเราะจ้องมองไขลูอย่างจริงจัง
“แล้วทำไมพระอนุชาถึงไม่เอาคนหงสาวดีนั่งเมืองเมาะตะมะ”
“เมาะตะมะเป็นเมืองท่ามีคนอยู่หลายเชื้อชาติ ชาวเมืองส่วนใหญ่จึงขาดความปองดองก่อจราจลอยู่เนื่องๆ ถ้าได้คนไร้ความสามารถปกครองคงแก้ไม่สำเร็จ แต่หากได้นายที่มีวิทยาคุณเช่นท่านบ้านเมืองคงสงบลงได้ แต่ถ้าท่านไม่รับไมตรีข้าพเจ้าก็จนใจถือว่าการทูตครั้งนี้ล้มเหลวสิ้น”
ไขลูคารวะแล้วเดินออก จิสะเบงหันไปหยิบดาบ
“เดี๋ยว ท่านคิดว่าเราจะปล่อยให้ท่านฝ่าวงล้อมกลับออกไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” ไขลูหันมาจ้องหน้า ไม่แน่ใจว่าจิสะเบงจะเอาอย่างไร จิสะเบงค่อยๆ ยิ้มให้ “ข้าพเจ้าขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอก ขอท่านอยู่คอยก่อน เย็นนี้เราค่อยคุยกัน”
จิสะเบงเดินเข้าเรือนไป ไขลูจ้องมองจิสะเบงแล้วยิ้มออกมาได้

เย็นวันเดียวกันนั้นที่ลานเรือนปะขันหวุ่นญี โชอั้วกำลังช่วยพวกบ่าวทำงานอยู่ ไขลูเดินเข้ามาในชุดที่ดูดีกว่าเดิม โชอั้วหันมามองแปลกใจ
“ท่านคือแม่นางโชอั้ว บุตรสาวของท่านแม่ทัพปะขันหวุ่นญีใช่ไม๊” ไขลูถาม
“ท่านเป็นใคร” ไขลูเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ขอข้าพเจ้าพูดคุยเป็นการลับกับแม่นาง ข้าพเจ้ามีการสำคัญใหญ่หลวงมาแจ้ง”
โชอั้วจ้องมองไขลูงงๆ

บนเรือนปะขันหวุ่นญี ไขลูนั่งอยู่กับโชอั้วเพียงสองคน ไขลูล้วงเอาผ้าเช็ดเลือดจิสะเบงมากางให้ดู
“ชายหนึ่งอุดมด้วยวุฒิ สวามิภักดิ์แม่นางถึงเลือดตกโดยไม่โกรธเคือง ทำไมแม่นางถึงเห็นเป็นการไม่สำคัญเสีย”
“ถ้าท่านจะมาเป็นทูตแทนปากจิสะเบงจงกลับไปเสีย เราไม่สมาคมกับคนตองอูเด็ดขาด”
ไขลูจ้องโชอั้ว น้ำตาซึม
“หลานเราเอ๋ย ไม่เสียแรงที่เกิดในสายเลือดปะขันหวุ่นญีผู้กล้า หากปะขันหวุ่นญีพี่เราได้ยินด้วยญาณคงจะปลาบปลื้มยิ่งนัก” โชอั้วงง ไม่เข้าใจ
“ท่านเป็นญาติข้างใดกับท่านพ่อเรา”
“แม้เราไม่ได้เป็นญาติโดยสายเลือดกับท่านปะขัน แต่นับถือน้ำใจกันยิ่งกว่าญาติ หลานเราเคยได้ยินชื่อไขลู องครักษ์อุปราชสอพินยาบ้างหรือไม่” โชอั้วตื่นเต้น
“ท่านคือผู้ที่พาตะละแม่เมืองแปร เล็ดรอดไปหงสาวดีหรือ” ไขลูพยักหน้ารับ “ท่านเป็นทหารหงสาวดีแล้วทำไมมาสมาคมกับจิสะเบงคนตองอู”
“ข้าพเจ้าเล็ดรอดเข้าแปรมา เพื่อประสงค์จะช่วยแผ่นดินแปรให้เป็นเอกราช จึงแสร้งทำดีกับจิสะเบงให้ตายใจ หลานเรา เป็นทีเราแล้วที่จะได้ช่วยกันปลดแอกให้ชาวแปร”
“อาท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร”
“ขอหลานอย่าได้บอกปัดรักจิสะเบงให้พ้นตัว ประคองใจจิสะเบงให้งมงายไว้ แล้วหาทางกล่อมให้อยู่ข้างแปร การนอกนั้นอาจะเป็นผู้จัดทำเอง”
“ข้าพเจ้ายังอ่อนในเชิงยุทธ ขออาท่านแจ้งให้ละเอียดหน่อยว่าข้าพเจ้าจะกล่อมจิสะเบงได้อย่างไร”
“ทุกชายในแผ่นดินหากมีใจปองรักในหญิงใดแล้ว สิ่งที่ปรารถนายิ่งกว่าชีวิตตัวก็คือเรือนกายในหญิงคนรัก การนี้ขอหลานเราจงใช้เรือนกายที่สวรรค์ประทานมา ให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดินเกิดเถิด”

โชอั้วตกใจ ตาค้างพูดไม่ออก
 
อ่านต่อหน้า 3

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 14 (ต่อ)

วันต่อมาที่ท้องพระโรงฝ่ายในตองอู ยแมสินเข้าเฝ้ามังตราเป็นการส่วนตัว มังตราเดินไปเดินมาอย่างคิดหนัก

“ท่านขุนพลตองหวุ่นญี เห็นว่าถ้าปล่อยให้ศึกยืดเยื้อไปนานวัน น่าจะทำให้ชาวแปรแตกตื่นยากแก่ตองอูที่จะเข้าควบคุมท่านขุนพลตองหวุ่นญี จึงให้ข้าพเจ้าเร่งมากราบทูลขอพระราชทานกำลังทหารไปช่วย”
มังตรายังนิ่งไม่ยอมพูด ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไร
“งั้นเราจะให้นายกองช้างจาเลงกาโบซึ่งเป็นบุตรตะคะญี และนายกองม้าเนงบา สีอ่อง ลงไปช่วยท่านขุนพลตองหวุ่นญีด้วย ทั้งสามเคยสู้ศึกที่นั่นมาก่อน ย่อมรู้จักชัยภูมิทั้งหลายทั้งสิ้นดี หากเตรียมการทุกอย่างพร้อมให้ออกเดินทางได้เลย”

พระจะเด็ดนั่งซึมอยู่ที่ศาลาโบสถ์วัดกุโสดอ เพื่อนทั้งสามนั่งเฝ้าอยู่โดยรอบ
“มิน่าพระอาจารย์จึงนั่งสมาธิทั้งคืนไม่ยอมจำวัตรเลย อาตมาก็ละสมณเพศแล้ว จะไปยุ่งเกี่ยวกับการศึกนี้ได้อย่างไร”
“แต่ถ้าออกศึกครั้งนี้ไม่มีท่านนำ พวกเรารู้สึกหวั่นใจ”
“สีอ่อง มึงนี่นรกจะกินหัว หลวงพี่ท่านเป็นพระจะออกรบได้อย่างไร”
“อาตมาอยากจะช่วยแก้ศึกนี้เหลือเกิน หงสาวดียกมาครั้งนี้เพราะแค้นอาตมาโดยแท้ แต่กลับทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ขออาตมาเจรจากับพระอาจารย์ก่อนเถิด”
พระจะเด็ดรีบลุกเดินเข้าไปในโบสถ์ เนงบาหันมาทำท่าจะถีบสีอ่อง
“บาปนี้อยู่ที่เจ้านะ ไม่ใช่ข้า”
“เออๆ ข้ารับเอง”

กุฏิมหาเถร มหาเถรยังนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม จะเด็ดเข้ามากราบอยู่ห่างๆ
“ตัวครองเพศบรรพชิตจะมาตกใจข่าวศึกเมืองไกลทำไม” มหาเถรพูดโดยไม่ลืมตา
“ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุโสดาบัน ความรู้กลศึกที่พระคุณเจ้าสั่งสอนมาแต่น้อยยังจำติดหัวอยู่เสมอ”
“ยึดในพระธรรมเถิดจิตเจ้าจะได้สงบ”
“ผู้อุทิศบ่ายหน้าเข้ามาเป็นสงฆ์นั้น บุญราศีย่อมเกิดจากเจตนาเป็นสำคัญ ผู้ที่มีใจหน่ายไม่บริสุทธิ์ ขืนบวชไปมีแต่จะสร้างกรรมให้ตัวเอง”
มหาเถรลืมตาหันมา
“เจ้าควรสำนึกในคุณสีผ้ากาสาวพัสตร์ ที่ได้บวชนี่ก็เพื่อจะอาศัยผ้าเหลืองคุ้มโทษให้พ้นผิด น่าจะยิ่งต้องตั้งมั่นในธรรม ไม่ใช่มีอะไรมากระทบจิตนิดหนึ่งก็คิดแต่จะละเสีย” จะเด็ดน้ำตาคลอ
“หากพระคุณท่านคิดว่าข้าพเจ้าบวชเพื่อหนีโทษ ข้าพเจ้าเห็นว่าน่าจะอาสาราชการออกตายในศึกล้างโทษเสียยังดีกว่า”
มหาเถรหันมาหาจะเด็ด
“เจ้าดูหมิ่นฝีมือขุนพลตองหวุ่นญีปานนี้เชียวหรือ คิดหรือว่ามีตัวคนเดียวเท่านั้นถึงจะปราบศึกหงสาได้จะหลงตัวเองมากไปแล้ว”
“หากข้าพเจ้าหมิ่นผู้อื่นว่าด้อยกว่าตัว ขอให้โดนสายฟ้าฟาดภายในเจ็ดวันนี้เถิด”
“งั้นก็หวังจะกลับไปหาอิสตรีแปร จิตตัณหาบาปนักหนา”
“พระคุณเจ้าจะด่าว่าประการใดก็สุดแท้แต่เถิด แต่ห่วงตะละแม่เมืองแปร ไม่ได้มากเกินกว่ากลัวจะเสียแผ่นดินแปรดอกและไม่ได้หมายว่าตัวฉลาดกว่าท่านขุนพลตองหวุ่นญี แต่อาศัยว่าข้าพเจ้านี้ สังเกตการณ์กรุงแปรไว้ถ้วนถี่แม่นยำแล้ว ความสนิทสนมราชวงศ์แปรก็มีมากกว่าผู้อื่น กังวลแต่ว่าคนอยู่ใหม่จะคาดสถานการณ์ด้านลึกไม่แจ้งตลอด” มหาเถรอ่อนลง
“จะเด็ด เรานี้สั่งสอนวิชาอาวุธให้มาแต่น้อย เพราะปูมชะตาของเจ้านั้นต้องจับอาวุธฆ่าฟันประหารศัตรู ที่บวชให้ก็รู้แน่แก่ใจว่า คงไม่สามารถรั้งให้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ตลอดชีวิต แต่พระทัยมังตรานั้นแม้นไม่พอใจสิ่งใดแม้น้อยนิด ถ้าสิ่งนั้นผิดพระทัยไม่ต้องพระราชนิยมก็จะรั้นยอมเสียสิ่งใหญ่กว่าเพื่อเอาชนะ ฉะนั้นค่อยดูค่อยไปก่อนเถิด ครั้งนี้ปล่อยให้นายกองทั้งสามไปก่อน เราขอ”
จะเด็ดน้ำตาคลอ เข้าใจในความรู้สึกมหาเถรดี

วันรุ่งขึ้น จิสะเบงเดินม้าเข้ามาที่ลานบ้านปะขันหวุ่นญี หน้าตาเศร้าหมอง ทหารมารับม้าไปผูก จิสะเบงมองขึ้นไปบนบ้านแล้วทำเป็นไม่กล้า เดินไปนั่งที่ศาลาหน้าบ้านแทน บ่าวคนหนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่าข้างๆ
“ท่านมีการใดใช้ข้าพเจ้าหรือเปล่า”
“แม่นางโชอั้วอยู่ไม๊”
“นายหญิงอยู่บนเรือน เดี๋ยวข้าพเจ้าจะไปแจ้งให้บ่าวผู้นั้นตัดรับ เดินขึ้นเรือนไป สักครู่กลับลงมาหาจิสะเบง
“นายหญิงให้มาแจ้งว่า ขอเชิญท่านขึ้นไปพบบนเรือน”
จิสะเบงแอบยิ้มในใจแล้วเดินขึ้นไป

จิสะเบงเดินหน้าเศร้าขึ้นมาบนเรือน จิสะเบงมองไปรอบๆ ห้อง มีแต่ความว่างเปล่า จิสะเบงนั่งลงอย่างแปลกใจ มองไปที่ประตูห้องนอนโชอั้วที่เปิดอ้าอยู่แล้วตะลึง เมื่อเห็นโชอั้วในเรือนร่างไร้อาภรณ์กำลังแต่งตัวอยู่ เมื่อแต่งเสร็จแล้วโชอั้วเดินออกมาทรุดลงไหว้ จิสะเบงตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก
“ข้าพเจ้าขออภัยที่ลงไปต้อนรับท่านถึงชั้นล่างไม่ได้”

“ข้าพเจ้าก็ขอโทษ ที่…ที่เมื่อวานทำการล่วงเกินท่าน”

“ข้าพเจ้าเพิ่งรู้สำนึกที่ฝังรอยแค้นผู้หนึ่ง แล้วมาทำร้ายอีกผู้หนึ่ง ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ข้าพเจ้าคงมีบาปหนาที่ต้องมาเกิดเป็นคนแปร แล้วมาพบท่านเป็นคนตองอู”

“ในเมื่อเราทั้งสองต่างเปลี่ยนเชื้อสายไม่ได้ จะต้องใส่ใจทำไม ว่าแต่ท่านจงช่วยแนะข้าพเจ้าว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นผิดที่คนเมืองเดียวกันทำไว้”
“วันพ่อท่านสิ้น ข้าพเจ้ากอดศพท่านแล้วสาบานว่าหากผู้ใดสามารถเอาชีวิตศัตรูพ่อท่านได้ ข้าพเจ้านี้ยินดีเป็นทาสรับใช้จนกว่าจะหมดลมหายใจ” จิสะเบงตกใจ
“ท่านถอนคำสาบานไม่ได้หรือ” โชอั้วเงียบ “แม้ข้าพเจ้านี้จะไม่ได้สวามิภักดิ์ต่อจะเด็ด แต่การนี้ข้าพเจ้า...”
“ข้าพเจ้ารู้ มันยากที่ท่านจะรับความแค้นข้าพเจ้าไปทำเพราะท่านกับท่านจะเด็ดนั้นต่างกันเหลือเกิน” โชอั้วร้องไห้กอดจิสะเบงอาไว้
“ต่างกันตรงไหน” จิสะเบงถามอย่างเสียใจ
“ท่านนั้นมีใจเมตตา แต่ท่านจะเด็ดนั้นเหี้ยมอำมหิต สมเป็นผู้นำตองอู”
“ท่านคิดว่าข้าพเจ้าไม่มีความเป็นผู้นำหรือ”
“ข้าพเจ้าไม่เคยออกสนามรบร่วมกับท่านจะเด็ดดอก แต่ได้เห็นน้ำใจท่านจะเด็ดจากการมาที่เรือนข้าพเจ้าบ่อยๆ”
“มาทำไม ไหนท่านว่าท่านเกลียดจะเด็ดไง”
“ท่านจะเด็ดมาเพื่อทอดสัมพันธ์กับข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าไม่ผ่อนตาม ก็ใช้อำนาจเขยแห่งพระเจ้าแปรบังคับ ข้าพเจ้าไม่มีทางสู้กลัวเสียทีจึงต้องกราบทูลตะละแม่ จนเป็นเหตุให้ท่านจะเด็ดหนีกลับตองอู เพลานี้จึงเกรงว่าหากตองอูชนะศึกครั้งนี้ ท่านจะเด็ดได้กลับมาเป็นใหญ่บนแผ่นดินแปรอีกครั้ง ข้าพเจ้าคงไม่พ้นมือเป็นแน่”
จิสะเบงรวบมือโชอั้วขึ้นมากุมไว้
“ท่านอย่าห่วง ข้าพเจ้านี้จะปกป้องท่านเอง”
โชอั้วผละจากอกจิสะเบง
“ท่านมีจิตใจอ่อนโยนเช่นนี้จะปกป้องข้าพเจ้าได้อย่างไร แต่อย่าห่วงเลย หากว่าสิ้นหนทางจริง ไม่มีใคร
ปกป้องได้ แม้ข้าพเจ้าเป็นหญิงก็จะขอมั่นในคำสาบาน ยอมตายเช่นท่านพ่อเอง”

ทุ่งชายแดนนอกเมืองตองอู เมงกยอกแงควบม้านำกองทหารลงจากเนินด้วยความหึกเหิม ตรงเข้าหากองคาราวานตองอูที่กำลังเดินทาง ชาวบ้านตกใจพากันวิ่งแตกกระเจิง ทหารโมยินควบม้าไล่ฆ่าชาวบ้านตองอูล้มตายระเนระนาด เมงกยอแงหัวเราะชอบใจควบม้าไล่จับสาวๆ ตองอูขึ้นม้า พ่อแม่วิ่งตามจึงถูกฆ่า
“ฆ่าให้หมด อย่าปรานี ยึดเอาเป็นกองเสบียงเราให้หมด
ทหารโมยินไล่ฆ่าชาวบ้านตองอูอย่างสนุกสนาน ทหารโมยินขึ้นขับเกวียนสินค้าชาวตองอูไป เจ้าของเกวียนวิ่งตามถูกฟันตาย
ทหารม้าโมยินควบม้าวิ่งเข้ามาเข่นฆ่าผู้คนในหมู่บ้านอย่างเหี้ยมโหด ทหารโมยินเผากระท่อมจนเพลิงลุกโหมขึ้น ชาวบ้านวิ่งหนีแตกตื่น ทหารโมยินควบม้าไล่ฆ่าชาวบ้าน

ทุ่งนานอกเมืองตองอู ชาวตองอูกำลังปลูกข้าวอยู่ เห็นทหารโมนยินควบม้าลัดทุ่ง ตรงเข้าฆ่าฟันชาวบ้านตองอูอย่างไม่ปรานี
วันต่อมาที่ประตูกำแพงกรุงตองอู กองคาราวานและชาวบ้านที่อุ้มลูกจูงหลาน ขนข้าวของอพยพเข้ากรุงตองอูเป็นแถวยามเหยียด ขุนเมืองรายยืนม้าตรวจตราอยู่ที่ป้อมกับกองทหารตองอูคุ้มกันดูความเรียบร้อย ขุนเมืองรายมองชาวบ้านอย่างสงสาร หนักใจ
ที่ท้องพระโรงตองอู มังตราพระพักตร์เครียด มองออกไปไกลนอกเมือง
“นี่แสดงว่าพวกโมนยินอังวะกับกรุงหงสาวดีได้ร่วมมือกันทำศึกอย่างแน่นอน คงหมายให้พวกโมนยินตั้งค่ายขู่เราไว้เพื่อรอให้หงสาวดีเผด็จศึกแปร แล้วยกทัพมารุมล้อมเราอย่างแน่นอน”
“เมื่อทรงยั่งกลศึกได้แล้ว ขอพระองค์อย่าออกไปประชิดค่ายโมนยินให้สิ้นเปลืองชีวิตทหารเลย ตั้งมั่นดูเชิงอยู่แต่ในกำแพงเมืองเถิด”
“ขอพระเสื้อเมืองทรงเมือง จงบันดาลให้ท่านขุนพลตองหวุ่นญีพิชิตหงสาได้โดยเร็ว ถ้าเหลือเพียงแค่โมนยินทัพเดียวเราคงต้านอยู่”

มังตรารู้สึกวิตกที่ไม่มีคนช่วย
 
อ่านต่อหน้า 4

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 14 (ต่อ)

เชิงเทินกำแพงเมืองแปร ตองหวุ่นญีกำลังดูกองทหารเตรียมการยุทธ์โกลาหลอยู่
 
จิสะเบงควบม้าเข้ามากับทหารติดตามตรงเข้าคารวะพ่ออย่างทหารทั่วไป
“เจ้ามานี้มีการสำคัญอันใด”
ตองหวุ่นญีถามจิสะเบง จิสะเบงมีท่าทางกลุ้มใจ
“ข้าพเจ้ามีเรื่องร้อนใจอยากจะมาปรึกษาท่านพ่อ”
“ว่ามา”
“เพลานี้ภายในกรุงแปรเหตุการณ์สงบไม่มีเรื่องวุ่นวายอันใด ข้าพเจ้าจึงไม่สบายใจ”
“พูดอะไร พ่อไม่เห็นเข้าใจ”
“ท่านพ่อไม่ระแวงบ้างหรือว่า เหล่าทหารจะคิดว่าท่านพ่อถนอมข้าพเจ้ายิ่งกว่าทหารคนอื่น” ตองหวุ่นญีหยุดจ้องหน้า
“ถ้าคนจะพูดก็เพราะเจ้าไม่ยอมปฏิบัติการ ยังไม่เลิกเที่ยวสำราญอีกหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นดอก ทุกวันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติงานทุกอย่าง จนในกรุงแปรสงบเรียบร้อย ท่านพ่อก็เห็น”
“แล้วใครยังกล้าพูดว่าพ่อไม่ยุติธรรม”
“ข้าพเจ้าคิดเอง ข้าพเจ้าเห็นท่านพ่อกับท่านลุงตะคะญีชราแล้ว อยากจะออกมาช่วยศึกนอกบ้าง อยู่แต่ในกำแพงเมืองแล้วอดวิตกถึงเหล่าผู้เฒ่าไม่ได้ ข้าพเจ้าอยากจะออกมาอยู่ค่ายนอกรับศึกแทนท่านลุงตะคะญี”
“ไม่ได้ดอก ท่านครูตะคะญีจะน้อยใจว่าพ่อไม่ไว้ใจในฝีมือ ขุนศึกแม้แก่เฒ่าก็อย่าประมาทความคิด”
“ศึกนี้หากได้ชัยชนะ ข้าพเจ้าแทบไม่ได้ความดีความชอบอันใดเลย วิชาการศึกก็ได้ร่ำเรียนสิ้นกับมหาเถรกุโสดอ หากไม่ให้ข้าพเจ้าออกศึกท่านพ่อส่งข้าพเจ้าไปเรียนการยุทธ์ทำไม ท่านพ่อไม่คิดจะเกื้อกูลข้าพเจ้าให้มีเกียรติในสนามรบบ้างหรือ”
ตองหวุ่นญีมองลูกอย่างสงสาร
“เจ้าแน่ใจนะว่าอยากออกสนามรบ” จิสะเบงพยักหน้า
“ข้าพเจ้าอยากจะสนองคุณแผ่นดินให้ประจักษ์ เป็นถึงลูกขุนพลตองอู ถ้าจะตายก็ขอตายในสนามรบดีกว่าเดินลอยชายอยู่ในกำแพงเมืองให้คนดูหมิ่น”
ตองหวุ่นญีพยายามกลั้นน้ำตา ตื้นตันใจในตัวบุตรชาย

เย็นวันต่อมาที่สมรภูมิรบหน้าค่ายตองอู เมืองแปรตะคะญีกำลังต่อสู้กับเสียงโคนสุคญีอยู่อย่างดุเดือดด้วยดาบบนหลังม้า ทหารราบตองอูสู้กับเหล่าทหารราบหงสาวดี พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าทหารตองอูให้สัญญาณรวมพล เสียงโคนสุคญี และทหารหงสาวดีก็ถอยไปตั้งหลัก เนงบาวิ่งนำทหารพลเท้าเข้ามาหาจาเลงกาโบ
ตะคะญีควบม้าเข้ามาหยุดห่างจากกองทัพเสียงโคนสุคญีพอประมาณ
“วันนี้ทหารเราทั้งสองฝ่ายรบกันมาทั้งวันแล้ว คงเหน็ดเหนื่อยหิวข้าวหิวปลากันพอประมาณ ข้าพเจ้าจึงขอพักรบเพียงแค่นี้ ขอท่านนำทหารไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าเมื่อตะวันขึ้นเชิญท่านออกมาตั้งทัพรับมือกับข้าพเจ้าใหม่เถิด”
ตะคะญียกมือไหว้ เสียงโคนสุคญีรับไหว้
“ขอขอบน้ำใจท่านนัก พรุ่งนี้ถ้าตั้งรับทัพเราไม่ดี เราจะบุกเข้าไปให้ถึงในค่าย”
“ด้วยความยินดี”
ตะคะญีชักม้ากลับ ควบผ่านกองทหารตองอูกลับค่าย เสียงโคนสุคญียืนม้ามองตามอย่างชื่นชม

อีกด้านหนึ่งที่ค่ายสอพินยา หน้าเมืองแปร สอพินยาหารือกับไขลูเรื่องการต้องรีบเผด็จศึก เพราะห่วงว่าพวกโมนยินจะคอยนาน ไขลูบอกให้ใจเย็นๆ แผนการที่วางไว้ใกล้สำเร็จแล้ว
ในกองบัญาการค่ายตองอู หน้าเมืองแปร จิสะเบงมาบอกตะคะญีว่าขุนพลตองหวุ่นญีให้จิสะเบงมาเป็นนายทัพต่อสู้กับพวกหงสาวดี และให้ตะคะญีกลับเข้าในกำแพงเมืองแปร

เช้าวันรุ่งขึ้นที่สมรภูมิรบ จิสะเบงควบม้านำทหารตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ประจัญบาน ฆ่ามันให้หมด ฆ่ามัน”
กองทหารหงสาวดีตกใจที่ถูกกองทัพตองอูบุกเข้าตัดกลางกองทัพ ต่างพากันวิ่งหนีตายอลม่าน เสียงโคนสุคญียืนมองอย่างรู้ทัน
“ยันไว้ก่อน อย่าแตกขบวน รวมตัวกันไว้”
กองทหารตองอูกับทหารหงสาปะทะกันอย่างดุเดือด จิสะเบงบุกฆ่าทหารหงสาอย่างสนุกสนาน เสียงโคนสุคญีฟาดฟันทหารตองอูอยู่
“ทหารถอนทัพ กลับค่าย”
จิสะเบงกำลังฆ่าฟันทหารหงสาวดีอยู่ได้ยินเสียงเป่าสัญญาณถอยของหงสาวดีก็ดีใจ ทหารตองอูบุกตลุยตามพวกหงสาไป
“ทหารรวมพล”
กลองสัญญาณตีให้รวมตัว กองทหารหงสาวดีพากันถอยกลับไปอลม่าน จิสะเบงยืนม้ามองทัพหงสาวดีถอยไปอย่างภาคภูมิใจ

จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง มาถึงเมืองแปร และสงสัยว่าทำไมตองหวุ่นญีถึงให้จิสะเบงไปบัญชาการรบ แทนที่จะเป็นตะคะญี ลูกศิษย์ไม่ยอม แต่ตะคะญีห้ามไว้
ที่เชิงเทินในค่ายตองอู เมืองแปร จิสะเบงนั่งเล่นสกากับพวกนายทหารตองอูอยู่ คนอื่นๆ ยืนมุงลุ้นจีสะเบง ไม่มีใครใส่ใจหน้าที่
“ระวังเสียเมืองนะท่านจีสะเบง” เหล่าทหารบอก
“ดูเฉยๆ ไม่ต้องสอน”
“ปิดประตูเมือง ฮะฮะ ท่านเสียเมืองให้ข้าพเจ้าแล้ว” ทหารตองอูบอก
“โธ่เว้ย พวกเจ้ามันรุมสอนกันนี่ ไม่เอา เอาใหม่ คนไม่เล่นอย่าเสือกยุ่ง”
ทหารเบื่อที่โดนโวย ทั้งๆ ที่ช่วยจีสะเบงแท้ๆ นายทหารรายงานเดินเข้ามาคารวะ
“ข้าพเจ้ามีเรื่องจะแจ้งเป็นการเฉพาะ”
จิสะเบงชะงัก หันไปมองนายทหารเดินเข้ามากระซิบ จิสะเบงตื่นเต้นดีใจ
“จริงหรือ อยู่ไหน”

จิสะเบงรีบลุกเดินออกไปโดยไม่สนใจสกาแม้แต่น้อย

จิสะเบงดีใจรีบเดินเข้ามาในกระโจม แล้วยิ้มพรายเมื่อเห็นโชอั้วที่นั่งอยู่หันมา แล้วรีบลุกขึ้นยืน
 
“แม่นาง โชอั้ว”
“ข้าพเจ้าละอายนัก คิดถึงท่านจนไม่อาจดับทุกข์ได้ ตัดสินใจลอบมาพบถึงเขตทหาร” โชอั้วน้ำตาคลอโผเข้ากอดจิสะเบง “ไม่รู้ว่าท่านออกศึกเป็นอย่างไร เกรงว่าท่านจะได้รับอันตราย”
“ข้าพเจ้าก็คิดถึงท่านเหลือเกิน ออกมาอยู่ค่ายนอกนี้ทุกข์กายข้าพเจ้าไม่เคยหวั่น แต่ทุกข์ใจเสมอเมื่อคิดถึงท่านแล้วไม่ได้เห็นหน้า”
จิสะเบงทำท่าจะหอม โชอั้วค่อยๆ คลายอ้อมกอด
“เมื่อไหร่จะเสร็จศึกเสียที ทุกวันนี้ข้าพเจ้าไม่เคยหลับตาลงได้ เมื่อสำนึกว่าท่านยังเสี่ยงภัยอยู่”
“อีกไม่นานดอก ข้าพเจ้าคอยนับคืนนับวันมันให้สิ้นเร็วๆ จะได้กลับไปหาท่านในกรุงแปร”
“งั้นก็รีบเผด็จศึกเสียซิ เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนคนรักคู่อื่นๆ”
โชอั้วโผเข้ากอดจูบจิสะเบงอีกครั้ง แต่คราวนี้รุนแรงจนจิสะเบงเคลิ้ม พอจิสะเบงจะหอมตอบโชอั้วก็ผละออกห่าง เสหยิบห่อผ้าส่งให้
“ข้าพเจ้าไม่มีอะไรมาฝากจึงทำอาหารมาให้ ด้วยเกรงว่าอยู่ทัพจะไม่ได้กินอะไรถูกปาก ข้าพเจ้าสิ้นกิจแล้วต้องรีบกลับ”
โชอั้วจะไป จิสะเบงฉุดไว้
“อย่าเพิ่งจากข้าพเจ้าไป อยู่ต่ออีกสักนิดเถอะ”
“ไม่ได้ดอก เดี๋ยวประตูเมืองปิดจะกลับเข้าเมืองไม่ได้”
“ท่านมาเพียงเพื่อให้ข้าพเจ้าอาวรณ์ เป็นทุกข์ แล้วก็จากไปหรือ”
“ข้าพเจ้าปรารถนานักที่จะอยู่กับท่านให้ยั่งยืนเหมือนคู่ที่รักกัน เฝ้าแต่เป็นทุกข์รอ รอทุกครั้งที่หายใจเข้า ทุกข์ทุกครั้งที่หายใจออก อยู่ที่ตัวท่านจะมีใจจริงต่อข้าพเจ้าหรือไม่ เกรงเหลือเกินว่าหากศึกยืดเยื้อแล้วความรู้สึกท่านจะกลายจากข้าพเจ้า”
“ขอแม่นางมั่นใจหากเสร็จศึกข้าพเจ้าจะรีบให้พ่อไปสู่ขอตามประเพณี”
“แล้วเพลาใดศึกจะสงบ”
“เออ”
“ข้าพเจ้าอยากพิสูจน์รักแท้จากท่าน แต่มิกล้าเอ่ย”
“แจ้งข้าพเจ้ามาเถิด จะให้ทำอย่างไรท่านจึงจะมั่นใจว่าข้าพเจ้ารักท่านจริง ข้าพเจ้าจะทำตาม”
“ก็ เพียงแต่ ท่านปล่อยให้ทัพท่านเสียงโคนตีฝ่าค่ายของท่านไปได้เท่านั้น” จิสะเบงตกใจ
“หมายความว่า ให้เรายอมแพ้ท่านเสียงโคนอย่างนั้นหรือ”
“เพียงแต่ท่านจัดย้ายกำลังรักษาป้อมค่ายใหม่ อย่าเอาคนที่มีฝีมืออยู่ป้อมค่ายด้านหน้าเท่านั้น”
“ทำการอย่างท่านว่า พอทัพเสียงโคนตีค่ายเราได้ ชีวิตทหารตองอูในค่ายนี้ไม่ตายหมดหรือ”
“ถ้าท่านกังวลสิ่งนี้ข้าพเจ้าช่วยท่านได้”
“ทำอย่างไร”
“ขอท่านวางอุบายฉลองชัยที่ทัพหงสาไม่กล้ามากล้ำกลาย จัดเลี้ยงสุราอาหารแก่ทหารที่ท่านรักอยู่เสียหลังค่าย ข้าพเจ้าจะลอบแจ้งไปให้ท่านเสียงโคนรู้ว่าหากเห็นทหารผู้ใดเมาสุรา ไม่สามารถตอบโต้ด้วยอาวุธได้ ก็ขอให้เว้นชีวิต หากผู้ใดยังมีสติจับอาวุธขึ้นสู้ ก็ถือเป็นคราวเคราะห์แก่ทหารผู้นั้นเถิด ถ้าการณ์เป็นอย่างนี้ศึกก็จะสงบ ข้าพเจ้าก็จะมั่นใจว่าท่านทำเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันยั่งยืนตลอดไป”
จิสะเบงยังตกใจอยู่ แต่ใจหนึ่งก็อยากพิสูจน์รักแท้ให้โชอั้วเห็น

คืนนั้นที่ค่ายทัพตองอู เหล่าทหารตองอูพากันดีใจที่มีการจัดเลี้ยงอย่างเอิกเกริก จึงพากันร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน บางคนเมามายไม่ได้สติ ทหารผู้หนึ่งนั่งมองเพื่อนๆ อย่างพิจารณาก่อนจะตัดสินใจลุกออกไป
ที่เรือนพักปลัดทัพ ตะคะญีกับพวกลูกศิษย์ฟังรายงานของทหารตองอู
“ด้วยท่านแม่ทัพให้ข้าพเจ้าอยู่เฝ้าสังเกต การณ์จึงเป็นเยี่ยงนี้”
“ไม่น่าเริงใจกันได้ถึงขนาดนี้ เราจะแก้ปัญหาอย่างไรดี”
รานองเดินขึ้นเรือนมาที่ตะคะญี นั่งคุยกันอยู่
“มีข่าวสำคัญอะไรกัน”
“เพลานี้จิสะเบงจัดเลี้ยงสุราอาหารทหารกันทั้งค่าย ปรนเปรอกันจนน่าแปลก” ตะคอญีบอก
“จิสะเบงเป็นคนรักสนุกอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรกระมัง”
“ถึงอย่างไรก็มิสมควร ทหารอยู่ระหว่างศึกจะมัวร่ำสุราได้อย่างไร” สีอ่องบอก
“ให้ข้าพเจ้าออกไปห้ามดีไม๊พ่อครู” เนงบาถาม
“ท่านตองหวุ่นญีจะว่ากระไร ท่านเป็นผู้บัญชาการดูแลค่ายตองอูอยู่มิใช่หรือ”
“พ่อก็คงเข้าข้างลูก อะไรๆ ก็ไม่เป็นไร กลายเป็นพวกเราคิดมาก”
“จิสะเบงอาจไม่คิดอะไรแต่พวกหงสาวดีคิดแน่”
ทหารตองอูวิ่งเข้ามา
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ กองทัพหงสาวดีบุกเข้าโจมตีค่ายตองอูแล้ว”

ตะคะญีไม่รอช้ารีบลุกขึ้นหยิบดาบวิ่งออกไป ทุกคนวิ่งตาม
 
อ่านต่อตอนที่ 15
กำลังโหลดความคิดเห็น