แค้นเสน่หา ตอนที่ 14
ทางด้านชายเดียว ฉัตต์ และจริมา สามคนกระโจนมาหน้าเรือนข้าหลวงแล้ว ชายเดียวบอก
“ห้องนี้ครับ”
ประตูเปิดอยู่แล้ว สามคนเข้าไป กวาดตามอง ไม่มีใครเห็นรุ้งที่ฟุบหมอบถูกมัดอยู่กับขาตู้ ใกล้สิ้นสติแล้ว
“ไม่มี” จริมาบอก
ฉัตต์ย้ำ “ยอดเขาบอกแล้ว”
“ไปดูห้องอื่น พี่ฉัตต์ ริมา ทางนี้”ชายเดียวบอก
สามคนจะกลับออกไป
มือรุ้งยื่นขึ้นสูง ทำปากขมุบขมิบเรียก “ริมา...คุณชาย คุณฉัตต์”
ฉัตต์ชะงัก ยินคล้ายเสียงเรียกชื่อแผ่วๆ หันกลับมาอีกที มองจ้องที่รุ้ง และรุ้งก็มองตอบ กระแสจิตนางผีร้ายแรงกล้า ห้องว่างเปล่า ไม่มีใครอีกเลย สามคนกลับออกไปอย่างผิดหวัง
“ช่วย....ช่วยด้วย”
เสียงท่านชายรังสิโยภาสดังขึ้นอีก “แผ่เมตตา ลูกพ่อ แผ่เมตตา”
รุ้งสวดมนต์แผ่เมตตา
ด้านบ่าววังรังสิยาทุกคนวิ่งมา หน้าตื่นกันทุกคน วิ่งๆ กันมาเรื่อยๆ จนเลยตัวยอดที่นอนตายไป
“เดี๋ยว ป้าลี่หยุดก่อน” พิกุลเรียกไว้
“หยุดทำไม ข้าจะขึ้นตำหนัก ไม่รู้มีอะไร เสียงดังเอะอะ”
พิกุลชี้ให้ดูใครที่นอนอยู่ ยังไม่รู้เป็นยอด
สาลี่ไม่เห็น เข้าไปจนใกล้ “ไหน..มีอะไร...ว้าย”
พิกุล ถาม “ใครป้า”
“ไม่รู้...ดูซิ”
พิกุลเข้าไปพลิกหน้ากลับมา สองคนเพ่งมองกันทั้งคู่ แล้วนึกได้พร้อมกัน
สาลี่ครางเบาๆ “ไอ้ยอดใช่มั้ย”
“โธ่เอ๊ย...ไอ้ยอดนี่เอง” พิกุลบอก
“มันมาได้ยังไง ทำไมมานอนตายตรงนี้ ใครทำเนี่ย” สนงง
“สงสัยอะไรอีกพ่อสน ไม่มีฝีมือใครหรอก คราวนี้เอาถึงตายรึมึง อีผีร้าย” สาลี่เสียงดัง
มีลมพัดหวีดหวิว ต้นไม้พัดโอนเอนทันที ละมัยซุกหน้าในเข่าสองข้าง หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
พิกุลอุดปากสาลี่ สนเองก็ห้าม
“อย่า...แม่สาลี่ อย่าทักทาย”
“มันทนไม่ไหว” สาลี่ว่า
“แม่เฟือง...ไปที่ชอบๆ เถิด” สนบอก
จังหวะนี้ฉัตต์ ชายเดียว จริมา วิ่งกลับมา พร้อมๆ จันทร์ที่มาจากอีกทาง
“คุณฉัตต์ คุณชาย” จันทร์เห็นยอดก็ตกใจ “ยอด...ยอดเป็นอะไร”
พวกสาลี่ พิกุล ตกตะลึงมองจันทร์ ครางเบาๆ “หม่อม...หม่อมบุหลัน“
“ใช่ ป้าลี่” จันทร์ไหว้จนสาลี่รับไหว้อย่างตกใจ “พิกุล ยอดเป็นอะไร”
“ตายแล้วค่ะหม่อม” พิกุลบอก
“ยอด...” ความเสียใจพลุ่งขึ้นมาจนจุกอกของจันทร์ “จริงหรือนี่” นั่งลง แตะตัวยอด อังมือที่จมูก พบว่า เหมือนจะยังหายใจแผ่วๆ “ยังไม่ตาย”
ร่างยอดกระตุกหน้านิดๆ พยายามเบิกตามองจันทร์
“ยอด”
“ฝ...ฝาก...สำ...ลี” ยอดคอตกนิดๆ
“ยอด” จันทร์เหลียวมองชายเดียวเป็นเชิงขอให้ช่วย
ชายเดียวกะฉัตต์รีบเข้าไปหา
ชายเดียวจับชีพจร เบิกตา แบบที่หมอควรจะทำ ตรวจว่าตายรึเปล่า แล้วส่ายหน้ากับจันทร์
นี่ยอดต้องมาตายเพราะตนและลูกอีก จันทร์นิ่งอึดอัดมาก นัยน์ตาแข็งกระด้าง ความแค้นจับหัวใจ ท่านหญิงเดินมาพอดี
จันทร์หันไปเห็นท่านหญิง นัยน์ตาเจ็บปวดมองนิ่ง ท่านหญิงเข้าไปมองดูยอด พอรู้ว่าตาย ก็อึ้งไปพูดไม่ออกเลย
จันทร์พูดด้วยเสียงบาดลึกเข้าไปดันอกคนฟัง
“หม่อมฉันสงสัยเสมอมาว่า ใครที่เป็นคนสั่งฆ่าหม่อมฉัน เวลานี้ไม่สงสัยอีกแล้ว”
ท่านหญิงอัดอั้นเหลือเกิน สีหน้าเจ็บปวดมาก “จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้”
จันทร์สวนคำทันที “อย่ารับสั่งเหมือนว่าไม่ใช่ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะความแค้นของคนๆเดียว ท่านหญิงแค้นหม่อมฉัน แค้นท่านชาย แล้วทรงใช้คนที่รักท่านหญิงให้แก้แค้นแทน”
ท่านหญิงแขไขกดดันมาก
ด้านผ่องประคองหญิงทอแสงลงนั่ง จับช่วยให้กราบพระรูปท่านชายรังสิโยภาส
“ขอให้ท่านคุ้มครอง คุณหญิงอธิษฐานค่ะ”
ทอแสงรัศมีพนมมือจะอ้าปาก แต่แล้วกลับทะลึ่งพรวด เพราะถูกนางเฟืองเข้าสิง ผ่องตกใจถอยกรูด
หญิงทอแสงลุกขึ้นบอกด้วยเสียงนางเฟืองออกมา
“ขอยืมร่างคุณหญิงไปก่อน”
“พี่เฟือง...ทำไม...อย่านะ”
“เพราะข้าไม่มีพลังแล้ว หมดพลัง ที่ใช้ไปหมดแล้ว” ร่างนั้นวูบไปเลย
ผ่องตกใจมาก “คุณหญิง คุณหญิง อย่าไปค่ะ”
หญิงทอแสงหันกลับมาแล้วขู่ผ่องเสียงดัง ผ่องร้องสุดเสียง ล้มตึง
“เดี๋ยวข้าจะเอาร่างคุณหญิงมาคืน ไม่ต้องตกใจนังผ่อง คุณหญิงไม่ตายหรอก”
ผ่องพยายามไขว่คว้าจะจับตัวทอแสงรัศมี ทว่าหญิงทอแสงหันมาชี้หน้าอย่างแรง
“มึงหยุดนังผ่อง”
ผ่องหยุดกึกหญิงทอแสงไปอย่างอย่างเร็ว
ด้านรุ้งรวบรวมเรี่ยวแรงสวดมนต์ บทแผ่เมตตา ด้วยเสียงสะอึกสะอื้น กลัวจนสุดชีวิตจิตใจ แล้วพยายามคุมสติ สวดด้วยเสียงที่มั่นคงขึ้น
ทุกคนรวมตัวอยู่ตรงทางเดินไปยังเรือนข้าหลวงแล้ว จันทร์ยังคงจ้องท่านหญิงอย่างแค้นใจ เสียใจสุดขีด ท่านหญิงอัดอั้นพระทัย เป็นที่สุด
“ทรงให้เขาเอาชีวิตหม่อมฉันไป เขาจะได้หายแค้นเลิกจองเวรจองกรรมกับหม่อมฉันเสียที” จันทร์สะอึกสะอื้นหนักหน่วง “ขอชีวิตลูก แค้นหม่อมฉัน ฆ่าหม่อมฉันสิมังคะ”
“บุหลัน มันกำลังจะจบแล้ว ไม่มีใครตายอีกแล้ว ฉันสัญญา”
“ต้องมีมังคะ หม่อมฉันต้องตายเขาถึงจะหายแค้น เพราะทำตามรับสั่งท่านหญิงแล้ว ท่านหญิงทรงสั่งเขาใช่มั้ยมังคะ พระทัยร้ายเหลือเกิน” จันทร์ครวญคร่ำน่าเวทนา
ท่านหญิงอัดอั้นตันพระอุระไปหมดยามนี้ ตอบไม่ได้
“น้าจันทร์ อย่าเสียเวลาเลยครับ เราขอคนพวกนี้” ฉัตต์พยักหน้าไปทางพวกคนในครัว “ให้ช่วยกันหารุ้งได้มั้ยครับ”
เสียงหัวเราะของเฟืองนำมาก่อน ตามมาด้วยร่างของหญิงทอแสงเดินออกมา
“อย่าเสียเวลาหาไม่มีวันเจอ” ทอแสงรัศมีเดินมาด้วยท่าเดินของนางเฟืองชัดๆ สภาพเป็นคนแก่หลังค่อมนิดๆ สาลี่ฉายไฟไปที่หน้าทอแสงรัศมี
“นังสาลี่ บังอาจส่องไฟกูเรอะ” นางเฟืองในร่างหญิงทอแสงโกรธ ปราดเข้ามาตบปากสาลี่เปรี้ยง
สาลี่คว่ำคะมำไป เลือดกบปาก
หญิงทอแสงเคลื่อนว่องไวรวดเร็วผิดธรรมดา
พิกุลตกใจ “ป้าลี่....ป้า เป็นยังไงบ้าง”
“พอทน นั่นคุณหญิงทอแสงนี่” สาลี่ยังงงที่ถูกหญิงทอแสงตบ
“ใช่เมื่อไหร่ล่ะ” พิกุลบอก สาลี่ยังงงๆ
“เสียงใช่คุณหญิงนะ”
“จับเสียงไม่ถูก เดี๋ยวเป็นคุณหญิง เดี๋ยวเป็นพี่เฟือง”
หญิงทอแสงบอกดังลั่น เตรียมพร้อมแสดงอภินิหารกาลี อย่างเต็มภาคภูมิ
“ดูกูให้ดีๆ ....ทุกคน กูเอง”
ร่างของนางเฟืองลางๆ อยู่ในร่างหญิงทอแสง สักครู่ก็เป็นทอแสงรัศมีอย่างเดิม
ร่างผีร่างคนสลับไปสลับมา เสียงก็สลับไปตามร่าง เป็นเสียงหญิงทอแสง สลับกับเสียงนางเฟือง อย่างน่ากลัว
สองคนสาลี่ กับพิกุล ผงะ ตกใจ แต่ก็เข้าไปใหม่ จับตัว
หญิงทอแสงพละกำลังมากตามร่างปีศาจที่สิงอยู่ ดิ้นรนต่อสู้ด้วยแรงผีร้ายจนฉัตต์และชายเดียวสะบักสะบอม กระเด็นกระดอน ทอแสงรัศมีปล่อยผมที่สยาย มันยาว...ยาวออกมาๆ ผมนั้นมัดทั้งชายเดียวทั้งฉัตต์ไว้แน่น
จากนั้นนางเฟืองในร่างหญิงทอแสงพรวดเดียวเข้ากระชากจันทร์ไปอยู่ในอ้อมกอดจากด้านหลัง
“อีจันทร์ คราวนี้มึงไม่รอดกูแน่ๆ โน่นเห็นมั้ยคนทรยศเป็นยังไง ไอ้ยอดนอนตายอยู่นั่น ตัวมึง ต้นเหตุความแค้นของกู ตายเสียเถอะ”
หญิงทอแสงกำลังทำท่าจะเหวี่ยงจันทร์ให้กระเด็น จันทร์สวดมนต์บทแผ่เมตตาดังขึ้นมา ทอแสงชะงัก
จันทร์มองจริมาบอกเร็วๆ “บทแผ่เมตตา ที่เคยสอน”
จริมาตั้งสติสวดมนต์ทันที พร้อมทั้งหันไปกระตุ้นฉัตต์ให้สวดด้วย
เหตุการณ์สมัยเด็กที่จันทร์สอนสวดมนต์ผุดขึ้นมาในความคิดจริมาแว้บหนึ่ง
“คุณริมา สวดมนต์นะคะ แผ่เมตตาค่ะ”
เด็กหญิงจริมาสวดมนต์ เสียงแผ่วๆ ต่อด้วยคำที่ว่า “ริมาจะไปสอนพี่ฉัตต์ให้สวดด้วย”
“ดีค่ะ คุณริมา”
สองพี่น้องจึงสวดมนต์บทแผ่เมตตานี้ได้อย่างแม่นยำและขึ้นใจ
ฉัตต์เริ่มสวดมนต์ จากเบาๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ดังขึ้นๆ หญิงทอแสงชะงักกึก ตัวอ่อนลงเหมือนจะหมดไฟในตัว สามคนสวดประสานเสียงดังขึ้น
ร่างกายทอแสงรัศมีตัวหงิกงอ เจ็บปวดรวดร้าว แล้วค่อยๆ เอนตัวฟุบลงไปกับพื้น
“ทอแสง” ท่านหญิงตกใจปนสงสาร ถลาเข้าไป “โธ่เอ๋ยทอแสง” และกำลังจะก้มลงดูหลาน
จันทร์มองเห็นนัยน์ตาทอแสงรัศมี เป็นนัยน์ของนางเฟือง ร้องบอกเสียงหลง “ท่านหญิงอย่ามังคะ”
นางเฟืองพรวดออกมาจากร่างหญิงทอแสง ปราดตรงเข้าหาจันทร์ทันควัน ทุกคนตกใจด้วยท่าต่างๆ กัน
“กูไม่ยอมแพ้อีบุหลัน ลูกสาวมึงจะเป็นผีอยู่แล้ว ต่อไปก็มึงไง...มากูช่วย”
“อย่าทำรุ้ง พี่....ได้โปรด” จันทร์อ้อนวอนขอร้อง
นางเฟืองหัวเราะเสียงดัง
ท่านหญิงมีสีหน้าอึดอัดอย่างมาก ก่อนรับสั่งออกไป “เฟืองหยุดเถอะ”
ผีนางเฟืองชะงักเหมือนถูกสับสวิชท์ ร่างสั่นระริกทรุดลงกับพื้นเหมือนงูถูกเชือกกล้วย แขนขารวบในลักษณะเฝ้าแหน น้ำตาหลั่งไหล เสียงสะอื้นดังสะท้าน
“มันต้องตายมังคะ ไม่อย่างนั้นมันจะเอาคุณชายไป ท่านหญิงจะได้ทรงมีคุณชายอยู่ด้วย”
“น้องสาวคุณชายล่ะเฟือง” เสียงรับสั่งของท่านหญิงเรียบ นิ่ง แต่กังวานจากหัวใจ
คุณชายศักดินาจ้องมอง หัวใจสั่นระริก
“เขาไม่รู้เรื่อง เขาบริสุทธิ์ อย่าฆ่าเขาให้เป็นบาปกรรม” ท่านหญิงแขไขก้มลงพูดเบาๆ กับนางเฟืองได้ยินกันสองคน “หญิงขอโทษเฟือง หญิงเองขอรับกรรมกับเฟืองตรงนี้ด้วย เพราะหญิงสั่งเฟือง”
“หม่อมฉันทำเองไม่เกี่ยวกับท่านหญิง”
“ขอบใจเฟือง เฟืองไม่ผิดสัญญากับหม่อมแม่ แต่หญิงขอให้หยุดแค่นี้”
ท่านหญิงลุกขึ้น มองไปมา
“สาลี่ หยิบมีดตรงนั้นมา”
“มังคะ” สาลี่หยิบมีดดายหญ้าอันใหญ่มา “จะทรงทำอะไรมังคะ”
ท่านหญิงหยิบผมตัวเองขึ้นมาปอยหนึ่ง “ชายเดียว ตัดผมให้แม่ด้วย”
ชายเดียวงง “อะไรคะ”
“แม่จะบวช เฟือง กรรมใดที่เฟืองเคยก่อไว้กับใคร หญิงขอรับเป็นกรรมของหญิง”
ทุกคนครางเบาๆ “ ท่านแม่......ท่านหญิง “
ชายเดียวตัดผมให้ท่านหญิง
ฉัตต์พนมมือคุกเข่าลงข้างนางเฟือง “ผมขอความกรุณา รุ้งอยู่ที่ไหน ผมทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีรุ้ง ได้โปรดเถอะครับ”
“เรือนเก่า ท้ายวัง ในห้อง”
ฉัตต์กับชายเดียวโลดแล่นไปทันที
ฉัตต์กับชายเดียว พรวดเข้ามาในห้อง รุ้ง เงยหน้าดีใจ เรียก
“คุณชาย คุณฉัตต์”
“ไม่มี...ทำไมชายเดียว ฉันคิดว่ายายผีนั่นยอมแล้วเราจะเจอรุ้ง”
“รุ้งอยู่นี่ค่ะ คุณฉัตต์”
ชายเดียวบอก “ไปหาที่อื่นเถอะ”
“ไม่...ฉันว่ารุ้งอยู่ในห้องนี้” ฉัตต์เดินเข้ามาใกล้รุ้งทุกที สายตาและประสาททุกส่วนพยายามใช้เต็มที่ เรียกแล้วคอยฟังเสียงรอบๆ ห้อง “รุ้ง...”
“พี่ฉัตต์ ถ้ารุ้งอยู่เราก็เห็นสิ” จริมาท้วง
“ที่เราพบเราเห็นเมื่อกี้ ไม่ได้บอกเราเหรอว่าโลกนี้มีอะไรที่นอกเหนือธรรมชาตินอกเหนือที่มนุษย์จะรู้เห็นได้” ฉัตต์หันมาทางชายเดียว สีหน้าลึกล้ำมากๆ “ถ้า...”
ชายเดียวฉงน “ถ้าอะไรหรือพี่ฉัตต์”
“ถ้าเขาไม่อนุญาตให้เรารู้เราเห็น” ฉัตต์บอก
“ผมเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ผมก็ยอมรับ แต่...พี่ฉัตต์ครับ ถ้าเขาไม่อนุญาตให้เราเห็นรุ้ง เราจะเห็นได้ไง”
“เขายอมทุกอย่างเราก็เห็นแล้ว พี่ว่าเดี๋ยวเราก็ต้องพบรุ้ง”
ฉัตต์พูดแล้ว พนมมือ หลับตานิ่ง ชายเดียวหลับตาพนมมือตาม
จันทร์ก้มลงกราบนางเฟืองแทบเท้า นางเฟืองทอดสายตาดูจันทร์เขม็ง จากสายตาแข็งกร้าว เปลี่ยนเป็นอ่อนลงๆ ปนเจือไปกับความเจ็บปวด ท่านหญิงแขไขทำปากขมุบขมิบบอก
“ลาก่อน...เฟือง”
ร่างของนางเฟืองเลือนขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนมองตะลึง สุดท้าย ใบหน้านางเฟืองบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่างแล้วขณะหันมามองจันทร์ เรียกอย่างคารวะด้วยเสียงแหบพร่า
“หม่อมบุหลัน” เสียงนางเฟืองที่เปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำ
จันทร์ตัวชา พนมมือ นี่เป็นครั้งแรกที่นางข้าหลวง เรียกขานตนว่า...หม่อม
“ตามฉันมา” นางเฟืองบอกอีก
ขาดคำร่างนางเฟืองหายวับไป จันทร์ยังตะลึงอยู่
จริมารีบฉุดมือจันทร์ตามไป
“ไปค่ะ คุณน้า”
สีท่านหญิงเศร้าแสนขณะพึมพำ
“เฟือง ความรักกับความแค้น อยู่ใกล้กันเหลือเกิน”
พริบตานั้นนางเฟืองปรากฏตัวขึ้นในห้องที่เรือนข้าหลวง ชายเดียวลืมตา ตกใจ
“พี่ฉัตต์”
ฉัตต์ลืมตาตาม
นางเฟืองขยับตัวแล้วเดินผ่านพื้นที่ว่างเปล่านั้น พอร่างของนางเฟืองผ่านไปช้าๆ ภาพของรุ้งก็ปรากฏตัวขึ้น จาก รางๆ จางๆ จนชัดเจน พบว่ารุ้งถูกมัดข้อเท้าอยู่กับขาตู้ รุ้งทอดตัว พนมมือ หลับตา สวดมนต์บทแผ่เมตตาเสียงรุ้ง ก้องกังวานชัดเจน
นางเฟืองหันมากลับมาดู สีหน้าผ่องใส่ ท่าทีสงบ ยุติความแค้นทั้งปวงแล้ว
ฉัตต์กับชายเดียว พร้อมกันถลันเข้าไปหา “รุ้ง”
รุ้งเงยหน้ามอง แล้วนัยน์ตาพร่าพรายหมดสติไป
ชายเดียวอุ้มรุ้งออกมา จันทร์ จริมา วิ่งมาถึง จันทร์โผเข้ามาหารุ้ง
“รุ้ง...ลูกแม่”
จันทร์โอบอุ้มกอดรุ้งแนบอก รุ้งยังไม่รู้สึกตัว จันทร์ร้องไห้ออกมาเต็มเสียง จากความหวั่นกลัวแทบเป็นบ้า มาเป็นความดีใจจนพูดไม่ออก ร้องดังๆ อย่างน่าสงสารที่สุด
จริมาเข้าไปกอดจันทร์ปลอบ จันทร์กอดจริมาด้วย ฉัตต์ตื้นตันใจจนน้ำตาคลอๆ ชายเดียวนั่งลงข้างๆ จันทร์พนมมือไหว้แม่ผู้ให้กำเนิด
“คุณชาย...” จันทร์นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ถึงพูดออกมา “แม่...ขอบใจคุณชายที่ช่วยน้องไว้ได้”
ชายเดียวค้อมศีรษะลง ยิ้มบางๆ
“คุณฉัตต์”
“ครับ น้าจันทร์”
จันทร์ยิ้มได้เต็มที่ ยื่นมือให้ฉัตต์จับ ฉัตต์วางมือบนมือจันทร์ จริมารีบบอก
“ริมาว่า เราพาตัวเล็กไปโรงพยาบาลก่อนเถอะค่ะ”
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
แค้นเสน่หา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น ทุกคนในวังกลับสู่ที่ทางของตนแล้ว พวกในครัวและสนจัดการศพของยอด ชายเดียวไปกับฉัตต์ จริมา และจันทร์ พารุ้งไปส่งโรงพยาบาล
ท่านหญิงแขไจเจิดจรัสอยู่ในห้องพระรูปบนตำหนัก ฟุบอยู่ตรงหน้าพระรูปท่านชายรังสิโยภาส ในพระทัยวาบหวิว อาดูรเหลือแสนว่าหลังจากนี้ คงต้องสูญเสียชายเดียวไปแน่แท้
“ชายเดียวของแม่”
ส่วนอีกฟาก ที่โรงพยาบาล รุ้งนอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วย หมอกำลังตรวจ มีพยาบาลเกดยืนช่วยอยู่ข้างๆ ชายเดียวยืนอยู่ด้วยคอยสังเกตุการ
จันทร์นั้นร้องไห้เงียบๆ อยู่ตรงมุมห้อง ฉัตต์ยืนมองดูร่างรุ้ง ใบหน้านิ่งซีดเผือด สงสาร รักล้นใจ จริมาแตะแขนพี่ชาย ชวนออกไปข้างนอก ฉัตต์ส่ายหน้า
ชายเดียวพูดกับหมอ 2-3 ประโยค เป็นถ้อยคำศัพท์แสงและภาษาเฉพาะของหมอเกี่ยวกับอาการรุ้ง กรณีคนไข้ที่สิ้นสติ ไม่ฟื้น
ชายเดียวฟังเสร็จ ถอยออกมาหาจริมา “ต้องคอย”
จันทร์เรียกลูกเสียงสะท้าน เป็นเชิงถาม “คุณชาย”
“ปลอดภัยแล้วครับ ไม่เป็นอะไรมากนอกจากตรงที่ถูกมัด” ชายเดียวบอก
“เมื่อไหร่ฟื้นคะ” จันทร์ซัก
“ผมยังตอบไม่ได้”
“ขอบคุณ” จันทร์มองหน้าลูกชายเต็มตา
ชายเดียวมองตอบหน้านิ่ง “ผมว่าท่านพ่อก็คงติดตามดูลูกสาวเหมือนกัน”
“ออกไปข้างนอกกันเถอะคุณชาย” จริมาชวน
สองคนออกไปข้างนอกด้วยกัน
ที่หน้าห้องผู้ป่วย จริมายืนคุยกับชายเดียว
“คุณชาย”
“หือม์”
“รู้สึกยังไง”
“ที่มีน้องฝาแฝดเหรอ”
“ฮื่อ”
“ก็รู้สึก...แปลกๆ”
“ไม่ดีใจ” จริมาจ้องหน้า รอฟัง
“ดีใจสิ...รุ้งเป็นผู้หญิงที่ผมชอบมาก พอรู้เป็นน้อง...ฝาแฝดด้วย ก็ยิ่งชอบใหญ่”
“ลำบากหน่อยนะ คงต้องปรับปรุงจิตใจเยอะหน่อย”
ชายเดียวเหลียวมามอง สายตารู้ทันคำพูดนั้นเป็นอย่างมาก
“ถ้ามีคนเห็นใจอย่างนี้...แค่คนเดียวเท่านั้น...ก็พอ”
“อือม์ น่าสงสารมาก น่าจะไปบวชนะ” จริมาสัพยอก
“ทำไม” ชายเดียวฉงน
“หนีทุกข์ไง”
“ผมเพิ่งเจอน้อง เพิ่งเจอแม่ จะให้หนีไปไหน แต่ถ้าผมไม่เจอคนที่ผมอยากเจออีกคนเดียว ไม่เจอคนนี้ผมบวชไม่สึกเลย” ชายเดียวพูดเป็นนัย
“อนุโมทนา จะไปใส่บาตรทุกวัน...” จริมามองหน้าจริงจังมาก “คุณชายจะพูดยังไงกับน้าจันทร์เนี่ย”
ชายเดียวนิ่งไป สีหน้ากังวล “ลำบากเหมือนกัน”
“แรกๆ ก็ต้องเก้อๆ ก่อน แล้วก็ปรับตัวไปเอง เชื่อฉันนะคุณชาย”
“ขอบคุณ ผมเชื่อริมาเสมอ” ชายเดียวใส่อีกดอก
จริมามองจ้อง ตรงๆ เหล่ๆ เป็นเชิงถาม อะไรเนี่ย
“จริง” ชายเดียวยืนยัน
“น้าจันทร์มา จะพูดอะไรก็พูดไป” จริมาเดินจะเข้าห้องไป “น้าจันทร์...” ส่งผ้าให้ “ผ้าเช็ดหน้า... เช็ดน้ำตาค่ะ”
จันทร์รับมา เดินมาหาชายเดียว “คุณชาย”
ชายเดียวมองหน้านิ่งๆ สายตาเหมือนค้นหา “น้าจันทร์”
“คุณชาย แม่ เอ๊ย น้าไม่ได้ตั้งใจจะบอก แต่ห่วงรุ้ง...ห่วงน้องคุณชายมาก”
“ผมเป็นลูกน้าจันทร์ ทำไมถึงคิดจะปิดบังผม...ปิดมาตั้งนาน”
“น้าต้องเล่ายาว แต่อาจไม่จำเป็นที่คุณชายต้องรู้อะไรทั้งหมด”
ชายเดียวนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “ครับ...แม่จันทร์”
คำเดียวว่า “แม่จันทร์” จากปากลูกชาย ทำเอาจันทร์น้ำตาทะลักทันที ก้มลงเช็ด ชายเดียวส่งผ้าเช็ดหน้าให้อีกผืน
จันทร์รับมา เช็ดน้ำตาจนแห้ง “คุณชาย แม่ขอโทษ”
ศักดินานิ่งไปสักครู่ก็อ้าแขนออกโอบแม่ไว้กับอก
“แม่...ผิดเอง”
“ผมเคยรักน้าจันทร์ของพี่ฉัตต์มาก ต่อไปนี้น้าจันทร์เป็นแม่จันทร์ ผมก็จะรักเป็นสองเท่า ทั้งเป็นน้าทั้งเป็นแม่” ชายเดียวมองจ้องหน้าขณะบอก “แม่ครับ ผมดีใจจริงๆ ที่เจอแม่”
“แล้ว...”
“ผมกับท่านแม่มีเรื่องที่ต้องพูดกันอีกมาก แต่ผมเชื่อว่าเรื่องต้องจบอย่างดี”
คืนหนึ่ง 3 วันต่อมา ภายในห้องผู้ป่วย รุ้งยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง โดยฉัตต์เฝ้าอยู่ข้างเตียง หมอกับพยาบาลเข้ามาตรวจอาการ หมอเปิดเปลือกตา จับชีพจรพลางหันมาถาม
“ไม่กลับบ้านเลยหรือครับ”
ฉัตต์ไม่ตอบ จดจ่ออยู่แต่อาการรุ้ง “สามวันแล้วนะครับหมอ”
“ไม่เป็นไร คนที่อ่อนเพลียมากๆ จะหลับได้นานๆ อาการโดยทั่วไป ไม่มีอะไรครับ สบายใจได้” หมอออกไปพยาบาลเดินตาม
ฉัตต์จับมือรุ้งมาแนบแก้ม “รุ้ง...ฉันรอเธออยู่นะ มีบางอย่างที่ต้องบอกก่อนที่ฉันจะ...ไม่มีอิสระที่จะบอกเธอ”
จริมาเข้ามาที่ประตู ยืนดูพี่ชาย น้ำตาคลอๆ
คืนเดียวกัน ภายในห้องนอนหญิงทอแสงที่วังรังสิยา ทอแสงรัศมีนอนนิ่งๆ ไม่ได้สติอยู่บนเตียง
ท่านหญิงลูบผมเบาๆ สีหน้าสงสาร ผ่องเดินเข้ามา ถือโถน้ำใส่ผ้าเช็ดตัว
“ผ่องเช็ดเนื้อเช็ดตัวทอแสงให้สะอาด แล้วเปลี่ยนเสื้อให้ด้วย เฝ้าดูให้ดี คืนนี้ นอนเฝ้าจนกว่าทอแสงจะฟื้น”
“มังคะ”
ไม่นานต่อมา ท่านหญิงแขไขอยู่ในห้องพระรูป ประทับนิ่ง จ้องจับอยู่ที่พระรูป ความหลังวนเวียนอยู่ในพระทัย สุดท้ายข่มให้ทุกสิ่งสงบเงียบ ไม่ออกมาดิ้นรนต่อไป
“เจ้าพี่คงทราบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ด้วยญาณใดก็ตาม หญิง...มีอย่างเดียวที่จะทูล” พูดถึงตอนนี้ท่านหญิงน้ำตาคลอ “อโหสิให้เฟืองด้วยนะคะ”
สีพระพักตร์ท่านชายในรูปยังคงนิ่งเงียบ
“เจ้าพี่...ทรงอโหสิ” ท่านหญิงกราบลง “อโหสิให้เฟืองด้วย”
ร่างท่านหญิงนิ่งอยู่อย่างนั้น
ท่านหญิงแขไขนั่งนิ่งอยู่ในห้องพระรูปตลอดทั้งคืน
จวบจนพระอาทิตย์สาดแสงแรกของวันส่องเข้ามาในห้อง พร้อมๆ กับเสียงผ่องเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดประตูเข้ามา ท่านหญิงนั่งเก้าอี้ข้างหน้าต่าง มองออกไปภายนอก
“ท่านหญิงมังคะ” ผ่อนคลานเข้าไปหา ถามอย่างห่วงใย “บรรทมหรือเปล่ามังคะ”
“ชายเดียวล่ะ”
“คุณชายยังไม่กลับเลยมังคะ”
ท่านหญิงหันไปมองนอกหน้าต่าง สีหน้าหมองจัด
อีกวันหนึ่ง ภายในห้องพักฟื้นของรุ้งที่โรงพยาบาล ชายเดียวแตะไหล่ฉัตต์ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียง ฉัตต์สะดุ้งเงยหน้าดู ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบัดนี้มีหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้ม
“รุ้งไม่เป็นอะไร พี่ฉัตต์กลับไปพักผ่อนเถิดครับ รุ้งตื่นผมจะโทร.บอก” ชายเดียวบอก
ฉัตต์นิ่งไม่ขยับตัว
“คุณฉัตต์คะ หมอรับรองว่ารุ้งปลอดภัย” จันทร์เสริม
“ไม่เป็นไร ผมต้องอยู่”
จันทร์มองด้วยท่าทีประหลาดใจ “ต้องอยู่”
“ผมอยากอยู่” พร้อมกับหันไปจับมือรุ้ง ใบหน้ารุ้ง ยังเงียบสงบ
เวลานั้นรุ้งฝันถึงดินแดนสวรรค์ มือของท่านชายรังสิโยภาสจับมือรุ้งไว้ รุ้งมองใบหน้าท่านชาย โดยที่ท่านชายทอดยิ้มอ่อนโยนมาให้
“คุณ...ท่าน ท่านชายนั่นเอง”
“หนู หิวน้ำใช่มั้ย ไปดื่มน้ำกัน”
สองคนพ่อลูกล่องลอยไปในดินแดนสวรรค์ อันสวยงาม ท้องฟ้าใส กระจ่างแจ้ง สักครู่หนึ่งสองคนเดินมาถึงหนองน้ำใสสะอาด ท่านชายเก็บใบไม้มาทำเป็นกรวย แล้วตักน้ำป้อนรุ้ง
เวลาเดียวกันที่ห้องในโรงพยาบาล เป็นฉัตต์ที่กำลังเอาน้ำหยอดใส่ปากรุ้ง
ส่วนในแดนสวรรค์ รุ้งดื่มน้ำจนหมด ท่านชายยิ้มอ่อนโยน
“ขอบคุณค่ะ”
“ฉันจะพาหนูกลับบ้าน”
มือต่อมือประสานกัน
“แม่จันทร์คงอยากจะขอบพระทัยฝ่าบาท เสด็จไปพบแม่ของหนูหรือไม่มังคะ”
“ฉันเคยพบแม่ของหนู” ท่านชายบอกเสียงเศร้า “ฝากบอกด้วยว่าฉันยังระลึกถึงเสมอ”
มือของรุ้งกระดิก แตะมือฉัตต์ที่ทอดยาวไปกับเตียง ขณะฉัตต์ฟุบหลับ
ฉัตต์สะดุ้งตื่น “รุ้ง”
รุ้งจับมือฉัตต์แน่น ร้องละเมอออกมา “อย่าเพิ่งไปค่ะ อยู่ก่อนนะคะ”
ฉัตต์ร้องเรียก “รุ้ง...”
รุ้งลืมตามองมาเห็นเป็นฉัตต์ “คุณฉัตต์”
ฉัตต์หันไปทางจันทร์ที่มุมห้อง “น้าจันทร์ครับ รุ้งฟื้นแล้ว”
จันทร์ลุกพรวดเดียวมาถึงเตียง จับมือเรียก น้ำเสียงตื่นเต้น ตื้นตันสุดประมาณ
“รุ้ง...รุ้ง”
“แม่จันทร์จ๋า”
จันทร์ร้องไห้เสียงดังลั่น ยกมือไหว้พระท่วมหัว แล้วเข้ามากอดลูก รุ้งกอดตอบแม่ แต่นัยน์ตารุ้งมองฉัตต์ไม่วางตา
ฉัตต์ออกจากห้องเงียบกริบ รุ้งมองตามอย่างอาวรณ์
ฉัตต์เดินออกมาหน้าห้อง บอกน้องทันที
“ริมา รุ้งฟื้นแล้ว”
“จริงเหรอคะ” จริมากระโดด ดีใจ แต่แล้วต้องนิ่วหน้า เมื่อเห็นท่าทีพี่ชาย “อ้าว พี่ฉัตต์จะไปไหน”
“ริมาเข้าไปเถอะ พี่มีธุระ”
“ธุระอะไร ตัวเองรอตัวเล็กทั้งวันทั้งคืน กี่วันมาแล้ว พอฟื้นก็จะไป...ไปไหนอีก”
ฉัตต์เดินห่างไป จริมาตามไม่ยอม
“ทำไม รู้สึกผิดที่มาเฝ้าผู้หญิงคนอื่นจนต้องรีบไปหาเขาใช่มั้ย ริมาไม่เข้าใจเลย รักคนหนึ่งแต่แต่งงานกับอีกคนเพราะสัญญาบ้าๆ บอๆ เข้าใจล่ะ พี่ชายริมา เป็นสุภาพบุรุษ แต่พี่ฉัตต์จะโยนความสุขทั้งชีวิตทิ้งไปเพราะผู้หญิงคนเดียว”
“น้องไม่เข้าใจหรอก”
“เข้าใจค่ะว่าพี่ฉัตต์แคร์คู่รักพี่ฉัตต์ ถ้าริมาเป็นตัวเล็ก ริมาคงอยากนอนหลับทั้งปีทั้งชาติไม่ฟื้นมาเจอคนไม่มีหัวใจหรอก”
จริมาสะบัดหน้า เข้าห้องไป ทิ้งให้ฉัตต์ยืนซึมอยู่ตรงนั้น
ฉัตต์กลับมาบ้าน เก็บของใส่กระเป๋าเล็กๆ แล้วออกจากห้องไป
วันต่อมา คนในครัวมารวมตัวในโถง บ้านปัณณธร กลางวันอีกวัน
จริมากระซิบกับคุณย่า “ริมาจะบอกสำลียังไงดีคะคุณย่า”
“ทุกคนต้องมีวันที่คนรักจากไป ไม่ช้าก็เร็ว สำลีเขาต้องรู้จักทำจิตใจให้สงบยอมรับ” ประมุขบ้านปัณณธรพูดให้ข้อคิด
ทุกคนในครัว ตั้งใจฟัง สำลีเริ่มจะสังหรณ์แปลกๆ
จริมาหันมา “ทุกอย่างเรียบร้อยดี รุ้งปลอดภัย”
ทุกคนยิ้มออก
“แต่ไม่รู้จะกลับมาอยู่กับเราอีกหรือเปล่า” จริมาบอกต่อ
ทุกคนสงสัย พึมพำ “ทำไม” / “เพราะอะไร” กันไป
“อาจจะต้องไปอยู่วังรังสิยา วังของท่านพ่อของรุ้ง”
ทุกคนตกใจ พึมพำกันเสียงขรมไปหมด
“รุ้งคือ หม่อมราชวงศ์หญิงวิมลโพยม รังสิยา”
ทุกคนมีสีหน้าตกใจ แปลกใจ และเปลี่ยนเป็นยินดี
“มิน่า...เธอเป็นเจ้า กิริยาเธอน่ะ เจ้าแท้ๆ” สำเนียงว่า
“อ๋อ ไม่เหมือนริมาใช่มั้ย” จริมาเย้า
“คุณริมา...” เสียงสำลีแหวกอากาศขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “บอกสำลีเรื่องพี่ยอดได้แล้ว”
จริมาเสียงสั่น “ทำไมล่ะสำลี”
“ถึงคุณริมาไม่บอก พี่ยอดเขาก็มาบอกสำลีแล้ว” สำลีปล่อยโฮ ร้องไห้อย่างรุนแรงหนักหน่วง “เขามาลาหนูแล้วค่ะคุณหญิง เมื่อคืน”
สำลีร้องไห้เสียงดัง ก้มหน้าลงต่ำ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ทุกคนเงียบงัน
เวลาต่อมาสำลีนั่งเหม่อๆ อยู่ในห้องนอน
สำเนียงปลอบ “สำลีเอ๊ย หักใจเถอะนะเอ็ง”
สำลีนิ่ง
“ทำบุญมาด้วยกันแค่นี้ เศร้าไปก็ไม่ฟื้นมาได้”
สำลีนิ่งอยู่อย่างเดิม
“ใส่บาตรทำบุญ...” สำเนียงพูดยังไม่จบ
สำลีสวนออกมา “กีดกันเขาทุกอย่าง ตอนนี้สมใจแม่แล้ว เขาตายไป แม่ก็ไม่ต้องมาคอยเฝ้าคอยกีดกันฉัน สมใจแม่แล้วนี่”
สำลีลุกไปเลย สำเนียงนิ่งคอตก
อีกมุมหนึ่งในบ้านปัณณธร อ่อนกับสารภี เดินคุยกันมา จนมาหยุดยืนตรงที่สำเนียงนั่งหลบมุมอยู่โดยไม่ทันเห็น
“พูดก็พูดเถอะ ฉันก็ไม่รู้ว่าป้าเนียงแกเกลียดอะไรกับเจ้ายอดนักหนา” สารภีบอก
“หวงลูกสาว” อ่อนว่า
“หวงไว้ทำไม” สารภีงง
“ไม่ให้มีผัวไง”
“มีแล้วเป็นไง”
“ก็...รักผัว ไม่รักแม่มั้ง”
“เออจริง อิจฉาลูกเขย ไม่ก็อยากให้ลูกสาวเป็นสาวเทื้อ”
“ตัวแกกว่าจะยอมพ่อสำลีได้ปาเข้าปาสี่สิบมั้ง” อ่อนว่า
เสียงสำเนียงท้วงขึ้นมา “สามสิบแปด”
สองคนตกใจแทบตาย หันไปเห็น แล้วเขินๆ
“ขอโทษนะป้าเนียง” อ่อนบอก
“นินทาดังไปหน่อย” สารภีเก้อๆ
“มานั่งตรงนี้ก็ไม่บอก” อ่อนสงสัย
“ข้ากลุ้มเหลือเกิน”
สารภีกะอ่อนประสานเสียง “เรื่องอะไร”
“สงสารลูก” สำเนียงสะท้อนใจ ก้มหน้าร้องไห้กับตัวเอง “ข้าผิดเอง ผิดมาก”
สองคนพลอยจ๋อยไปด้วย
อีกต่อมา จริมาพาคุณหญิงเพ็งเดินขึ้นบันไดมาที่ห้องนอนของคุณย่า
“ริมา...ที่เล่าให้ย่าฟังก็ดูว่าเรื่องจบลงด้วยดี แต่ทำไมรุ้งไม่กลับบ้านเรา จันทร์ก็ไม่ยอมกลับด้วย”
“ที่เขาไม่กลับ เพราะน้าจันทร์ค่ะ น้าจันทร์บอกว่ามีเรื่องจะกราบทูลท่านหญิงค่ะ”
ตอนกลางวัน เวลาเดียวกัน จันทร์ยืนจูงมือรุ้งมาหยุดที่หน้าตำหนักวังรังสิยา มองตัวตำหนักสายตาครุ่นคิดตรึกตรอง
“แม่จันทร์” รุ้งกระซิบเรียกเบาๆ
จันทร์จับมือรุ้งแน่นขึ้น เป็นการปลุกปลอบใจ และยืนยันว่าตัวเองเลิอกทำแบบนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว
อ่านต่อหน้า 3
แค้นเสน่หา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ฟากคุณย่า คุณหลาน รอจันทร์กับรุ้งชักใจคอไม่สู้ดี ครู่หนึ่งคุณหญิงเพ็งหันกลับมามองหน้าริมา
“ย่าชักเป็นห่วงแล้วนะริมา จันทร์ไม่น่าจะเข้าไปเฝ้าท่านหญิงตอนนี้หรอก น่าจะกลับมาบ้านเราก่อนปรึกษาหารือกันว่าจะทำยังต่อไป”
“น้าจันทร์ยืนยันว่าต้องไปค่ะ ริมาว่าน้าจันทร์ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำอะไร”
“จันทร์จะกราบทูลอะไรท่านอีก” คุณหญิงถอนหายใจยาว สีหน้าตรึกตรอง “แต่ก็เห็นใจจันทร์คงอยากให้อะไรที่ค้างคาในใจจบลงเสียที”
“เรื่องที่เกิดขึ้นใครผิดคะคุณย่า น้าจันทร์ ท่านหญิงหรือท่านชาย”
“ริมาถามย่า ย่าก็ต้องบอกว่าจันทร์ไม่ผิด ถามแม่เฟืองเขาก็ต้องว่าท่านหญิงไม่ผิด ถามใครล่ะ...มหาดเล็กของท่านชายก็ได้ เขาก็ต้องว่าท่านชายไม่ผิด” คุณหญิงปรารภ
“ผิดถูกอยู่ที่ใครเป็นคนตัดสินใช่มั้ยคะคุณย่า ในโลกนี้ความยุติธรรมอยู่ตรงไหนคะ”
“ศาลไงลูก เพราะศาลท่านฟังความทั้งสองฝ่าย ทั้งโจทย์ทั้งจำเลย”
“คดีชีวิตแบบนี้ ริมาว่าศาลไหนก็ตัดสินไม่ถูกหรอกค่ะ”
“ถ้าให้ริมาตัดสิน...ริมาจะตัดสินว่าไง”
“ริมาจะมองที่จุดเริ่มต้น ถ้าท่านชายไม่ได้น้าจันทร์เป็นหม่อมเรื่องทั้งหมดก็ไม่เกิด”
“แต่จะเกิดเรื่องแบบอื่นแทน” คุณหญิงมองอย่างทะลุปรุโปร่ง
“อะไรคะคุณย่า”
“ท่านชายอาจจะทรงหย่าขาดท่านหญิงมาแต่งงานกับจันทร์”
“จริงด้วยค่ะ”
“ผีนางเฟืองอาจจะอาละวาดมากกว่านี้”
“จริงด้วยค่ะ คงไม่ได้มีคนตายคนเดียว”
“ก็แปลว่า เกิดอย่างนี้ดีแล้ว ดีกว่าอีกอย่าง งั้นหรือลูก...ริมา”
“ไม่ทราบเลยค่ะคุณย่า”
คุณหญิงลูบหลังลูบไหล่หลาน อย่างเอ็นดู “มีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้นะลูก ไม่ต้องรีบร้อน”
“ค่ะ....คุณย่า” จริมาสวมกอดคุณย่าอย่างรักใคร่
“ป่านนี้จันทร์คงเฝ้าท่านหญิงอยู่ ย่าคิดว่า...ย่ารู้ว่าจันทร์จะทูลท่านหญิงว่ายังไง”
จริมาเปิดประตูห้องให้คุณย่า “คุณย่าทราบว่าน้าจันทร์จะทูลอะไรท่านหญิง ริมาไม่ทราบ แต่จะพยายามคิด พยายามเดาค่ะ”
“ดีมากลูก บทเรียนมีรอบตัว ถ้าเรารู้แล้วคิด เราจะโตขึ้นทุกวัน” คุณหญิงเพ็งเดินเข้าห้อง พลางหันมาหาหลานสาว “ขอบใจลูก”
จริมาเดินไปทางห้องตัวเอง
ชายเดียว รุ้ง และจันทร์ เดินเข้ามาภายในห้องพระรูปวังรังสิยา สามคนตกใจเมื่อมองไป
“ท่านหญิง” จันทร์ใจหล่นวูบ
“ท่านแม่” ชายเดียวตกใจ
ชายเดียวปราดเข้าไป ยังท่านหญิงแขไขเจิดจรัสนอนสลบอยู่หน้าพระรูป
“ท่านแม่คะ” ชายเดียวประคองให้นอนบนตัก ตรวจอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ไม่ทรงเป็นอะไรน่าจะเพราะทรงเหนื่อย ผมจะถวายยาหอม” ชายเดียวมองหน้าจันทร์ “ไม่เป็นไรครับ”
จันทร์มีสีหน้าอัดอั้น ความเสียใจประดังกันขึ้นมาอีกเป็นริ้วๆ คิดว่าตนให้ท่านหญิงประชวรหนัก
“คุณชาย...น้า....น้า” จันทร์นึกสะท้อนในอก จนพูดไม่ออก
ชายเดียวจับมือแม่บีบเบาๆ อย่างอ่อนโยน ตามองตา
“แม่จันทร์ครับ”
ได้ฟังน้ำเสียงอ่อนโยนของลูกชาย คราวนี้จันทร์สะอื้นออกมาเต็มแรง
“ท่านแม่ไม่ทรงเป็นอะไร แม่จันทร์ช่วยผมพยุงท่านไปที่เก้าอี้นั่นดีกว่า รุ้ง...” ชายเดียวหันไปหาน้อง
“คะ”
“น้องช่วยพี่ชายหน่อย” ชายเดียวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมาก
จันทร์ฟังแล้วตื้นตันใจ
“ค่ะ”
จังหวะนี้ท่านหญิง ลืมตา สีหน้าทุกข์กังวลใจ แต่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น
เสียงชายเดียวบอกน้องสาวยังดังขึ้นอีก
“น้องไปบอกผ่องให้ปรุงยาหอมให้ถ้วยหนึ่งนะ”
“ค่ะ” รุ้งรับคำแล้วลุกไป
ท่านหญิง ยังคงมีสีหน้ากดดันอยู่อย่างนั้น
ในห้องพระรูปท่านชาย เวลาต่อมา ท่านหญิงแขไขเสวยยาหอม นัยน์ตายังเจ็บๆ อยู่ ผ่องคอยดูแล
สีหน้าจันทร์นิ่งท่าที สงบเสงี่ยมขณะมองท่านหญิง
ท่านหญิงเสวยเสร็จ ส่งถ้วยให้ผ่อง ผ่องถวายงานพัดให้ ท่านหญิงหันมาทางจันทร์เต็มตา จันทร์มองสบตา
แล้วจันทร์ก็กราบลงแทบเท้าของท่านหญิง ฟุบหมอบอยู่อย่างนั้น ทุกคนน้ำตาคลอไปตามๆ กัน
“หม่อมฉันผิดมังคะ...ผิดคนเดียว เสียใจเหลือเกินถ้าหม่อมฉันย้อนเวลากลับไปได้ หม่อมฉันจะไม่ทำ จะไม่ยอม”
ท่านหญิงนิ่ง สีพระพักตร์อึดอัด
จันทร์บอกต่อ “ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย”
ท่านหญิงเอ่ยขึ้น “เรื่องนั้น...คงไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว”
จันทร์บ่อน้ำตาทะลักทะลายทันที เมื่อได้ยินอย่างนั้น ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ
ท่านหญิงเอ่ยต่ออีก “ขออย่างเดียว”
“มังคะ”
“อโหสิให้เฟือง”
จันทร์กราบฟุบลงไปอีก “พี่เฟืองไม่ผิด ทุกอย่างเกิดที่หม่อมฉันคนเดียว หม่อมฉันจะขอพี่เฟืองอโหสิให้หม่อมฉัน ถ้าหม่อมฉันไม่ยอมพี่เฟืองก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ทรมานอย่างนั้น”
ท่านหญิงน้ำตาไหลเงียบๆ คิดถึงเฟืองขึ้นมาอีก แล้วสงสารมาก
“น่าสงสารพี่เฟืองเหลือเกิน” จันทร์ครวญ
“อย่าโทษตัวเองเลยบุหลัน คนผิดไม่ใช่เธอคนเดียว”
“พี่เฟืองแค้น ท่านหญิงเสียพระทัย เกิดจากหม่อมฉันยอมตามพระทัยท่านชาย ความผิดเริ่มต้นที่ผู้ชาย แต่ถ้าผู้หญิงไม่สมยอมเรื่องเสียใจก็ไม่เกิด” จันทร์พรั่งพรูความรู้สึกผิดในใจ
“ฉันคิดว่าเฟืองไปดีแล้ว คงไม่มารบกวนใครอีก”
จันทร์กราบอีกที รุ้งซึ่งเอายาหอมมาพอดี ทรุดกราบด้วย ท่านหญิง
“บุหลัน พารุ้งมาอยู่ที่นี่ ชายเดียวเตรียมที่ทางรับน้องด้วย จันทร์คุยกับทางคุณหญิงให้รู้เรื่องว่าตัวเธอก็ต้องมาอยู่ที่นี่ ดูแลลูกทั้งสองคน เพราะฉันจะไม่อยู่แล้ว”
ทุกคนสนิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
ส่วนที่บ้านปัณณธร พิสินีเดินขึ้นบ้าน กวาดตามองหาไม่มีใคร กระทั่งเห็นอ่อนเช็ดถูอยู่แถวๆ นั้น
“นี่เธอ”
อ่อนหันมา “ค่ะ”
“ฉันมาหาคุณฉัตต์”
“ค่ะ”
“อ้าว แล้วเฉยอยู่ทำไม ไปเรียนคุณฉัตต์สิ”
“คุณฉัตต์อยู่ข้างบน หนูมีหน้าที่ทำข้างล่างไม่ขึ้นข้างบนค่ะ” อ่อนเล่นแง่
สาวมั่นมองดู รู้ว่าเด็กเล่นแง่ใส่ “จะให้ฉันทำยังไง”
“รอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวพี่สารภีลงมาหนูจะบอกให้ไปตามคุณฉัตต์ค่ะ”
“จะให้เข้าใจว่ายังไง” พิสินีฉุน
อ่อนไม่ตอบ พิสินีพยายามอดกลั้นใจเป็นอย่างมาก
สารภีลงมาเรียก “อ่อน”
อ่อนเลยถาม “คุณฉัตต์อยู่รึเปล่าคุณบัวมาหา”
“ไม่เห็น” สารภีทำท่าจะเดินไป
พิสินีขวางไว้ บอกเสียงเย็น “ไม่เห็นก็ต้องตาม”
“หนูไม่ทราบจะไปตามที่ไหนค่ะ”
“ข้างบน”
“ข้างบนไม่มีค่ะ”
พิสินีอัดอั้น ทำอะไรไม่ถูก
จริมาเดินลงมาจากข้างบนพอดี “คุณบัว”
“บัวมาหาคุณฉัตต์ แต่คนของคุณพูดจาไม่มีมารยาทกับบัว ถึงจะไม่รู้ว่าบัวเป็นใคร แต่ที่นี่ควรจะสอนให้มีมารยาทกับแขกหน่อย” พิสีนีบอกอย่างมีอารมณ์
“สองคนขอโทษคุณบัวซะ” จริมาบอก
“คุณริมา สารภีตอบตามความจริงนะคะ”
“แต่ริมาบอกให้ขอโทษ”
“คุณริมา อ่อนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
“ผิดไปก่อนแล้วกันจะได้หมดเรื่อง ไม่รู้เหรอทั้งสองคนว่าไม่งั้นริมาต้องตอบคำถามอะไรๆ ที่ริมาไม่อยากตอบเหมือนกัน”
สองคนนิ่งอยู่อย่างนั้น จริมาทำเป็นเร่ง
“เร็วซิ....จะได้จบๆ กันไป”
สองคนบอกเบาๆ ท่าทีเรียบร้อย “ขอโทษค่ะ” แล้วออกไปทั้งคู่
“พอใจหรือยังคะคุณบัว”
“คุณทำเองก็รู้แก่ใจแล้วกันว่าทำถูกหรือหรือเปล่า สองคนไม่มีมารยาทเพราะอะไรบัวคิดว่าบัวรู้แล้ว เขาไม่ทำเพราะคิดเองหรอก”
“ค่ะ” จริมาตีหน้าซื่อ
“ช่วยตามคุณฉัตต์ให้หน่อยค่ะ”
“คุณบัวไม่ได้นัดกับพี่ฉัตต์เหรอคะ”
“ถ้าบัวนัด บัวจะบอกให้คุณริมาช่วยตามทำไมคะ”
“คิดว่าพี่ฉัตต์จงใจผิดนัด” จริมาบอก
พิสินีสะอึกสะอึก แต่ก็หน้าเฉย รอคอย
“ข้างบนไม่มี ริมาไปเคาะที่ห้องไม่อยู่ พี่ฉัตต์ออกไปหาคุณบัวมั้งคะ”
พิสินีนิ่งไปอึดใจ “งั้นไม่เป็นไรค่ะ”
“ค่ะ” จริมาเดินจะออกประตู “ริมาไปส่งคุณบัวนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ บัวไปเอง คงต้องรีบเพราะนัดจะไปดูการ์ดแต่งงงานค่ะ” พิสินีออกไปเลย
จริมาฟังแล้วเซ็งมาก ทำกิริยาน่าขัน ฟาดฟันในอากาศ โดยคิดว่าเป็นพิสินี ส่งเสียงฮึดฮัดท่าทีน่าขำแสดงความไม่ชอบขี้หน้าว่าที่พี่สะใภ้
“โอ้ย พี่ฉัตต์ ทำเรื่องยุ่งตัวหายไปไหน”
ที่แท้ฉัตต์อยู่ที่บ้านสวนหนูตุ่นนั่นเอง หนูตุ่นยามนี้โตขึ้นอีก 3 ปีแล้ว พร้อมพ่อแม่ ต้อนรับขับสู้ สักครู่หนึ่งฉัตต์หยิบจอบข้างเรือน เดินมาหยุดฟันดินฉับๆ ยกร่อง ตรงริมท้องร่อง
แต่ไม่นานนัก ฉัตต์ลงนั่งแปะตรงท้องร่อง หน้าหมองเศร้าแห้งแล้ง คิดถึงแต่รุ้ง
ขณะเดียวกันท่านหญิงแขไข จันทร์ ชายเดียว และรุ้ง ยังคงอยู่ในห้องพระรูปท่านชาย
“ท่านหญิงไม่ทรงบวชไม่ได้หรือมังคะ” จันทร์ตัดสินใจทักท้วง
“ฉันสัญญากับเฟืองไว้แล้ว”
“ท่านแม่บวชสักเดือนเดียว แล้วสึกนะคะ” ชายเดียวขอ
“แม่ยังไม่รู้”
“ใครจะดูแลวังละคะ ท่านแม่ไม่ประทับอยู่”
“แม่ของลูกจะมาดูแลวังนี้” ท่านหญิงบอก
“ชายไม่คิดว่าแม่จันทร์จะมา”
“แม่ของลูกมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะกลับมา ในฐานะหม่อมของท่านพ่อของลูก กับฐานะแม่ของลูก เจ้าของวังรังสิยาปัจจุบัน”
“ท่านแม่...”
“แม่พูดถูกทุกอย่าง อย่าค้านแม่เลยชาย....บุหลันก็อย่าค้านฉัน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนี้ สิทธิ์ในวังนี้ของแม่ แม่ยกให้ชาย” ท่านหญิงสรุป
“ท่านแม่คะ ชายอยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ชายอยู่กับท่านแม่ที่วังนี้ รุ้งอยู่กับแม่จันทร์ที่บ้านปัณณธร เราสองคนคุ้นเคยกับที่ที่เราอยู่มาตั้งแต่เล็ก ชายมีท่านแม่เป็นแม่ที่เลี้ยงชายมา รุ้งเขาก็มีแม่จันทร์ที่เลี้ยงเขามา เราสองคนขออยู่อย่างมีความสุขเหมือนเดิมที่เราอยู่มาตั้งแต่เกิด”
ท่านหญิงไม่ยอม “ไม่ได้ รุ้งคือหม่อมราชวงศ์วิมลโพยม รังสิยา ต้องอยู่วังรังสิยา”
รุ้งกราบลง “คุณชายเดียวพูดถูกทุกอย่าง เหมือนที่ใจรุ้งคิด รุ้งทิ้งคุณย่าไม่ได้ ท่านแก่แล้วรุ้งต้องดูแลท่าน ร้านอาหารก็อาจจะยังต้องทำ แม่จันทร์ก็ยังต้องดูแลร้านต่อไป”
“ท่านหญิงมังคะ ลูกสองคนคิดแทนให้แล้ว มีเหตุผลสมควรทุกอย่าง” จันทร์เสริม
คราวนี้ท่านหญิงนิ่งไปนาน จนทุกคนรอคอยคำตอบ
“ท่านหญิงมังคะ” ผ่องเอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ
“ทำไมหรือผ่อง”
“ถ้าพี่เฟืองรู้ว่าท่านหญิงจะทรงบวชให้พี่เฟืองแต่จะไม่สึก พี่เฟืองคงไม่สบายใจ คงไม่ได้ไปดีหรอกมังคะ” ผ่องท้วงอีกราย
“ฉันจะไปบวชตามที่ตั้งใจ เรื่องสึกยังไม่พูด ส่วนเรื่องใครจะอยู่กับใคร ยังมีเวลาอีกมากที่จะคิดกันให้รอบคอบ”
แนบจอดรถคอยอยู่หน้าตำหนักใหญ่ จริมา นั่นเองที่มาหาชายเดียว กับรุ้งอย่างร้อนใจ
“พี่ฉัตต์ไม่อยู่ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน ริมาถามคุณชายกับตัวเล็กว่าพอจะมีไอเดียมั้ย”
รุ้งหน้าเสีย
“ไม่มีใครรู้ ทำไมพี่ฉัตต์ไม่บอกใครเหรอ” ชายเดียวแปลกใจ
จริมาหันมาหา “ลุงแนบ”
“ผมเห็นคุณฉัตต์ถือกระเป๋าเดินไปขึ้นรถรับจ้างครับ” แนบบอก
“กระเป๋า...กระเป๋าใหญ่เหรอใส่เสื้อผ้าไปเหรอ” ชายเดียวซัก
“ใบเล็กๆ ขนาดเนี้ยครับ” แนบทำมือ
ชายเดียวพยายามนึก “ไปต่างจังหวัดเหรอแนบ”
จริมาเหนื่อยใจแล้ว “ริมาจะเบื่อแล้วนะ”
“รุ้งรู้ว่าคุณฉัตต์ไปไหน”
สองคนหันขวับมาดูรุ้ง
“ปล่อยให้พูดจาเอ้อเร้อเอ้อเต่อกันอยู่ทำไม ฮะตัวเล็ก” จริมาฉุนต่อว่า...ว่าพูดมากไม่จบเสียที
“ก็...ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“ไป....ที่ไหนล่ะตัวเล็ก บอกมาสิ”
สองคน รวมทั้งแนบรอฟังคำตอบจากรุ้ง
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น.
แค้นเสน่หา ตอนที่ 14 (ต่อ)
หลังจากนั้นไม่นาน จริมาเดินลัดเลาะมาตามท้องร่อง มองหาฉัตต์ เสียงสนทนากับรุ้งดังก้องในหู
“ทำไมให้ริมาไป รุ้งทำไมไม่ไปเอง”
“คุณฉัตต์โกรธรุ้ง...ไม่ชอบรุ้ง อย่าให้ไปเลยค่ะ”
ริมาบ่นเบาๆ “โธ่เอ๊ย” แล้วก้าวข้ามท้องร่องว่องไว “ยังกะใครเค้าไม่เข้าใจ โอ้ย เบื่อคนปากแข็งทั้งคู่เลย”
เสียงฉัตต์ดังขึ้น “ใครปากแข็ง”
“เฮ้ย...โอ๊ย” จริมาเกือบตกน้ำ “พี่ฉัตต์มาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
“ทำไม...ใครบอกว่าพี่มาที่นี่” ฉัตต์แปลกใจ ปนสังสัย
“จะมีใคร้...”
“ใคร”
“คิดเอาเอง ริมาไม่บอก กลับหรือยังคะริมามารับ”
“ยัง”
“มีคนเขาคอยอยู่หลายคนนะ พี่ฉัตต์”
“เรียนคุณย่าแล้วกันว่าพี่...”
“ไม่ใช่คุณย่า”
“เอาเถอะ เรียนคุณย่าว่าพี่ขออนุญาตอยู่ที่นี่อีกสักพักถึงจะกลับ” ฉัตต์บอกแล้วมองหน้าจริมา “ไม่ต้องห่วง เพราะพี่ต้องไปทำงานสมัครงานไว้หลายแห่ง”
“พี่ฉัตต์ ฟังริมาหน่อยนะคะ พี่ฉัตต์จะทิ้งปัญหาไว้อย่างนี้ไม่ได้ คุณบัวเขามาหาพี่ฉัตต์ ไม่ก็โทรศัพท์มาวันละไม่รู้กี่เที่ยว คนที่บ้านไม่รู้พี่ฉัตต์อยู่ที่ไหน บอกไปเขาไม่เชื่อ หาว่าเราพูดปด”
ฉัตต์มีสีหน้าขรึมเฉย ทั้งที่ใจร้อนเร่ากระวนกระวาย
“ริมารู้ พี่ฉัตต์เป็นทุกข์ใจเรื่องตัวเล็ก เพราะพี่ฉัตต์รักตัวเล็ก ตัวเล็กก็รักพี่ฉัตต์”
ฉัตต์ยกมือห้าม เพราะทนฟังต่อไปไม่ได้ ความผิดหวังประดังขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก
“อย่าเพิ่งท้อเพราะริมาเชื่อว่ามันต้องมีทางออก แต่พี่ฉัตต์ต้องไม่หนี”
“พี่ไม่ได้หนีหรอกริมา แต่พี่อยู่บ้านเราไม่ได้มันร้อนรุ่มไปหมด เหมือนอยู่ในกองไฟจริงๆ กองไฟที่พี่จุดขึ้นมาเอง”
“ริมาเชื่อว่าความรักชนะเสมอค่ะพี่ฉัตต์ จริงๆ นะ ริมาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ”
“ความรักของริมาล่ะ” ฉัตต์จ้องหน้า
“ยังไม่ถึงเวลา ริมาจะกลับไปเรียนต่ออีกเทอมแล้วค่อยไปค่ะ พี่ฉัตต์กลับพร้อมกัน”
“พี่ยังไม่กลับ”
“พี่ฉัตต์ต้องกลับ ไม่ใช่เพราะตัวเล็ก แต่เป็นเพราะคุณบัวปล่อยว้าวุ่นอย่างนี้ไม่ได้ค่ะ เพราะคนอีกหลายคนพลอยว้าวุ่นไปกับเขาด้วย ถึงริมาจะไม่ชอบเขาแต่ก็เห็นใจเขามาก”
ที่บ้านปัณณธร ตอนกลางวันของอีกวัน ฉัตต์ จริมา และพิสินี นั่งอยู่ด้วยกัน พิสินีวางการ์ดแต่งงานลง
“การ์ดแต่งงาน บัวเอามาให้ฉัตต์ดู มี 3 แบบ ฉัตต์ชอบแบบไหน”
ฉัตต์นิ่งอึ้ง จริมาพลอยอึ้งด้วย
พิสินีกลับไปแล้ว สองพี่น้องอยู่อีกมุมในบ้าน จริมาถือการ์ดตัวอย่างในมือ “เขาเก่งจริงๆ คุณบัวคนนี้ ยังไม่ได้ฤกษ์ได้วันแต่ง ทำการ์ดตัวอย่างออกมาแล้ว”
ฉัตต์กุมขมับ
“พี่ฉัตต์”
ฉัตต์พูดไม่ออก หน้าแห้งแล้วแห้งอีก ดูไม่มีทางออกเลย
“ริมาโกรธพี่ฉัตต์นะเนี่ย รู้ไว้ซะด้วยว่าริมาคิดตลอดว่าพี่สะใภ้ของริมาต้องเป็นตัวเล็กคนเดียว นี่ตัวเล็กไม่ใช่แล้วยังเป็นคุณบัวที่ริมาไม่ชอบนิสัยเค้าอีก”
“ริมา พี่ผิดไปแล้ว”
“โอ๊ย...เพิ่งจะมาสารภาพไม่รอชาติหน้าล่ะ” จริมาหมั่นไส้
“อย่าซ้ำเติมเลยขอร้อง”
“ไม่ได้...ริมาเสียใจผิดหวังพี่ฉัตต์ก็ต้องด้วย จะให้ผิดแล้วลอยนวลน่ะเหรอ...คอยไปเถอะ”
ฉัตต์นิ่งอึ้งไปอีก
“บอกเลิกคุณบัว”
ฉัตต์มองหน้าเป็นคำถาม
“พูดออกชัดเจนยังไม่เข้าใจ ไม่รักเค้าจะแต่งกะเค้าได้ไง”
“พี่ทำไม่ได้ริมา พี่เป็นคนขอบัวแต่งงานเอง”
“ริมาบอกเค้าให้”
“ริมาก็รู้คำตอบของเขาดีแล้วจะหาเรื่องทำไม”
จริมาลงนั่ง จับเข่าพี่ชาย จับหน้าให้หันมาหาตัวเอง “ทำไมพี่ฉัตต์บอกเขาเองไม่ได้ ริมาว่าเขารู้เต็มอกว่าพี่ฉัตต์ไม่ได้รักเค้า”
“เขาไม่รู้หรอก ก็พี่ขอเขาแต่งงงานก็แปลว่าต้องรักสิ” ฉัตต์ว่า
“อุ๊ย....พี่ฉ๊าด” จริมาของขึ้น ประชดเสียงสูงปรี๊ด “รู้จักผู้หญิงดีนะเนี่ย”
“มันก็เป็นเหตุผลไม่ใช่เหรอ”
“เขารู้ แต่เขาจะเอาชนะ เชื่อริมา เพราะฉะนั้นเราต้องชนะเค้าก่อน”
ด้านท่านหญิงยังอยู่ในห้องพระรูปท่านชาย สีหน้าเหมือนรอคอยบางอย่าง ยืนจ้องประตู เสียงเคาะประตู ท่านหญิงเดินเร็วๆ ไปเปิดประตูให้
“หญิงทอแสง”
ทอแสงรัศมียืนหน้าซีดสลด ท่านหญิงอ้าแขนโอบร่างหลานไว้ หญิงทอแสงนิ่งอัดอั้น
“หญิงทอแสง เป็นยังไงมั่ง”
“ท่านป้า หญิงไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ท่านป้าต้องทรงทราบนะคะ ถึงหญิงจะเกลียดเค้า แต่หญิงก็ไม่เคยคิดฆ่าเค้า” หญิงทอแสงพูดเร็วขึ้น “แต่หญิงไม่ทราบนะคะว่าทำไมหญิงทำลงไป ท่านป้าขา มันเหมือนมี....มีอะรไ...” ทอแสงรัศมีเริ่มร้องไห้แล้ว
“หญิง....อย่าร้องไห้ ป้าไม่ว่าอะไรหญิงเลยนะลูก”
“ทำไมไม่ว่าคะ ท่านป้าทรงว่าหญิงเสมอๆ หญิงทำไม่ถูก หญิงเอายานอนหลับใส่น้ำส้มให้เขาดื่ม แล้ว....แล้วหญิงก็จับเค้าไปขัง แล้ว...ยายแก่คนนั้น ข้าหลวงท่านป้าบอกว่าจะฆ่าเค้า หญิงยังดีใจ หญิงดีใจที่รุ้งจะตาย บาปกรรมแค่ไหนทำไมท่านป้าทรงไม่ว่าหญิง มันบาปนะคะคิดจะฆ่าคน แค่คิดก็บาปแล้ว....ฮือ....ฮือ....ทำไมหญิงถึงร้ายกาจแบบนี้ หญิงไม่รู้ตัวเลย ฮือ....ฮือ”
ท่านหญิงต้องเดินไปอีกทางเพื่อระงับความรู้สึก เพราะรู้สึกผิดอย่างมาก
“ฆ่ามัน.......ฆ่ามัน”
เสียงที่สั่งเฟืองฆ่ารุ้งดังก้อง ท่านหญิงอุดหูสองข้าง ความรู้สึกผิดเต็มหัวอก
“ท่านป้า...ท่านป้าเป็นอะไรคะ” หญิงทอแสงเข้าไปประคอง
ท่านหญิงกอดทอแสงรัศมี เหมือนจะหาที่พึ่ง
หญิงทอแสงลูบหลังท่านหญิง “ท่านป้า...หญิงไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ท่านป้าทรงสบายพระทัยนะคะ หญิงรู้ผิดแล้ว หญิงจะกลับตัวทำดีกับรุ้งค่ะ เค้าจะมาเป็นพี่สะใภ้หญิงใช่มั้ยคะ”
ท่านหญิงแปลกใจ “ผ่องไม่ได้เล่าหรือ”
ฉาก 35หน้าวังรังสิยา เวลาต่อเนื่อง
ท่านหญิง ทอแสง หญิงเล็ก ชายวรจักร หญิงปั้น ข้าหลวง รุ้ง ชายเดียว ผ่องศศิลักษณา
ทอแสงรัศมีเดินเข้าหารุ้ง ที่ยืนยิ้มบางๆ อยู่ที่หน้าตำหนักกับคุณชายศักดินา
“รุ้ง....ดีใจนะที่เราเป็นพี่น้องกัน” ทอแสงยิ้มแย้มพอดีๆ
“ค่ะ คุณหญิง ขอบคุณค่ะ”
“หญิงก็ต้องเรียกรุ้งว่าคุณหญิงเหมือนกันสิ คุณหญิงวิมลโพยม”
“รุ้งยังเป็นรุ้งค่ะ เรียกรุ้งอย่างเดิมเถอะค่ะคุณหญิง”
หญิงทอแสงมองรุ้งนิ่งๆ สักครู่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพลุ่งขึ้นมาโผเข้ากอด
“หญิงขอโทษ ทุกอย่างที่หญิงทำกับรุ้ง”
“รุ้งเข้าใจ ไม่โกรธคุณหญิงจริงๆค่ะ”
“หญิงเชื่อ เพราะนั่นคือรุ้ง” หญิงทอแสงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “หญิงเห็นแล้วว่าคนที่จิตใจดีเป็นสุขยังไง คนที่จิตใจไม่ดีเป็นทุกข์ยังไง หญิงกลับนะ”
“ค่ะ แล้วพบกันนะคะ”
ทอแสงรัศมีหันไปหาชายเดียว พนมมือไหว้ ชายเดียวจับมือที่พนม ยกนิ้วห้ามเมื่อทอแสงรัศมีจะพูด
“ไม่ต้องพูดอะไรกับพี่ชายเลยหญิงทอแสง หญิงเป็นน้องที่พี่ชายรักเสมอมา พี่ชายจะรักน้องของพี่คนนี้ตลอดไป จะคอยดูความสำเร็จของหญิง”
“ค่ะ หญิงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามที่พี่ชายแนะนำ”
“พี่ชายจะทำทุกอย่างให้หญิงสอบได้ วิชาไหนยากพี่ชายติวให้เอง”
ทอแสงรัศมีไหว้ ซ่อนสายตาอาลัยอาวรณ์จนลึกสุดหัวใจ
ความรักความผูกพันที่ก่อตัวมาเนิ่นนานยังตัดไม่ขาด ชายเดียวก็เห็น ได้แต่สงสารและเห็นใจ
ท่านหญิงแขไขประทับอยู่กับท่านหญิงปั้น ท่านชายวรจักร ท่านหญิงเล็ก และคุณหญิงศศิลักษณา มีผ่องคอยดูแล ท่านหญิงแขไขถามน้องสาวขึ้น
“หญิงเล็ก ทำไมมองหาเฟืองเหรอ”
“พี่หญิงอย่าพูดค่ะ หญิงยังฝันร้ายทุกคืน”
ท่านหญิงปั้นพึมพำ “เล่าให้ใครฟังใครจะเชื่อนะ”
“พี่หญิงไม่เชื่อหญิงเหรอคะ เรื่องจริงนะคะ” ท่านหญิงเล็กบอกย้ำ
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เราไม่เห็นไง เราก็ได้แต่ฟัง”
“โอ้โฮ ถ้าหญิงแต่งเรื่อง หญิงคงเป็นนักแสดงที่เก่งมาก”
ท่านชายวรจักรท้วงขึ้น “เรื่องนี้เป็นเรื่องนอกเหนือธรรมชาติที่เรารู้ๆกัน แต่เป็นธรรมชาติของอีกโลกหนึ่งอีกมิติหนึ่ง คนที่เข้าไปเห็นเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามีจริง”
“เกิดมาหญิงไม่เคยเชื่อเลยว่ามี....คราวนี้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ใช่ คนที่เคยสัมผัสเขาก็เชื่อ แต่คนไม่เคยก็เชื่อยาก” ท่านหญิงปั้นว่า
“แต่แปลกนะหม่อม คนไม่เคยเนี่ยกลัวผีจัง คนที่เคยสัมผัสกลับไม่กลัว”
ทุกคนฟังท่านชายวรจักร แล้วหัวเราะกันเบาๆ
ทอแสงรัศมีเดินมาหาน้องสาว ศิศิลักษณาไหว้ แล้วสองพี่น้องก็กอดกัน
“หญิงลักษณ์ เธอต้องเป็นติวเตอร์ให้พี่นะ”
“พี่หญิงทอแสง พี่หญิงน่ะเรียนเก่งกว่าหญิงมากนะคะ ที่ไม่สอบเพราะไม่อยากสอบ ถ้าสอบทำไมจะสอบไม่ได้คะ”
“พูดให้กำลังใจดีจริงๆ”
“หญิงพูดจริงๆนะพี่หญิง หญิงรู้นี่นา”
สองคนเดินมาหาพ่อแม่ เข้ากอดกัน
“กลับบ้านเรานะลูกหญิง” ท่านชายวรจักรเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ค่ะท่านพ่อ”
ทุกคนยิ้มแย้ม ท่านหญิงแขไขเรียกรุ้งมาไหว้พวกผู้ใหญ่ที่เดินออกจะกลับ
ท่านหญิงเล็กกระซิบ “พี่หญิงคะ ไม่เห็นบุหลันเลยคะ”
“เขาไปบ้านปัณณธร”
ขณะเดียวกันที่บ้านปัณณธร สีหน้าฉัตต์ นิ่งสงบ ความกระวนกระวายอยู่ลึกๆ ในสายตา คุณหญิง จริมา สีหน้าเดียวกัน 3 ย่าหลานกำลังรอคอยจันทร์
คุณหญิงชำเลืองดูฉัตต์ และหันมาสบตากับจริมา กระซิบถามเบาๆ
“จันทร์บอกรึเปล่าว่ารุ้งจะมาด้วย”
“ไม่ได้บอกค่ะ ริมากำลังจะถามน้าจันทร์ก็วางหูไปก่อน”
“เฮ้อ...ปล่อยให้เขาจัดการของเขา เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง”
อ่อนถือถาดเครื่องดื่มมาให้แต่ละคน คุณย่าเป็นชาจีน ฉัตต์ดื่มกาแฟ ของจริมาเป็นน้ำผลไม้
“คุณจันทร์มาแล้วค่ะ” อ่อนบอก
คุณหญิงขยับตัว “มาแล้วหรือ”
ฉัตต์ สายตาวูบวาบขึ้น
“อยู่ไหนอ่อน ทำไมไม่เข้ามา” จริมาถาม
“ไปหาสำลีค่ะ” อ่อนบอกอีก
“เอ๊ะ ทำไมไม่มาที่นี่ก่อน”
จริมาขยับตัวจะลุก ผู้เป็นย่าจับแขนอย่างเร็ว และแรง
“เขาไปหาสำลีก่อนมาทีนี่..ไม่ถูกหรือลูก”
จริมาสายตาเข้าใจขึ้น “ค่ะ คุณย่า ริมาขอโทษ”
คุณหญิงเพ็งตบหลังหลานสาวเบาๆ
ตรงมุมหนึ่งของร้านอาหารสวนราตรี ซึ่งบัดนี้ข้าวของถูกเก็บทุกอย่างเรียบร้อย ปิดร้านตามคำสั่งของฉัตต์ และไม่ขายอีกต่อไป จันทร์เดินเข้ามาเห็นสำลีนั่งหันหลังให้ ท่าทางโศกเศร้า จันทร์หยุดมอง สงสารจับจิต
สำลี ร้องไห้จนหน้าตาแดงก่ำ น้ำตายังเต็มหน้า
“สำลี” จันทร์เรียก
สำลีสะดุ้งหันมา “คุณจันทร์” แล้วน้ำตาก็ทะลักออกมาอีก
จันทร์นั่งลงใกล้ๆ สายตาปลอบโยน “สำลี ระวังจะไม่สบายนะ”
“พี่ยอดตายทรมานมั้ยคะ คุณจันทร์”
“ไม่” สีหน้าจันทร์ดูลังเลอยู่เหมือนกันเพราะไม่เห็นด้วยตา
“สำลีเพิ่งบอกรักพี่ยอดเอง...คิดว่าจะอยู่กะพี่ยอดไปจนแก่...จนตาย”
“ฉันได้ยินคำสุดท้ายของเขา”
สำลีมองหน้าจันทร์ รอฟัง
“เขาฝากสำลี เขาคิดถึงสำลีจน...หมดลม”
สำลีก้มหน้าร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน จันทร์ตบไหล่สำลีปลอบโยน
เวลาต่อมา คุณหญิงเพ็ง จริมา และฉัตต์ คุยกันอยู่ ฉัตต์ลุกขึ้นในทันที ตั้งแต่เห็นจันทร์เดินเข้ามา
“ฉัตต์จะไปไหนลูก” ผู้เป็นย่าถาม
“รุ้งมากับ...เอ้อ น้าจันทร์หรือเปล่าไม่ทราบ” ฉัตต์ถามขึ้น
จันทร์เดินเข้ามาถึง “รุ้งไม่ได้มาค่ะคุณฉัตต์”
จริมาหันไปไหว้จันทร์ แล้วจูงมือมานั่ง จันทร์หันไปไหว้คุณหญิง แล้วหันไปทางฉัตต์ ฉัตต์ไหว้ จันทร์รีบรับไหว้ ฉัตต์สีหน้าผิดหวัง
“รุ้ง อยู่ดูแลท่านหญิง เมื่อวานท่านประชวรพระวาโยไม่ได้สติค่ะ” จันทร์บอก
“ตายจริง แล้วตอนนี้ล่ะ” คุณหญิงตกใจ
“ดีแล้วค่ะ แต่รุ้งยังไม่ไว้ใจ ให้ลูกมาคนเดียวก่อน”
คุณหญิงเพ็งถามด้วยสิ่งที่ค้างคาใจด้วยเป็นห่วง “ได้ตกลงอะไรกันบ้างหรือยังล่ะลูก”
เวลาเดียวกัน ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส นั่งนิ่งตรงหน้าพระรูปท่านชายรังสิโยภาส ทอดสายตาจับจ้องที่ใบหน้าท่านชายในรูป ผ่องแอบๆ อยู่ตรงหน้าประตู มองดูอยู่ เป็นห่วงมาก
สักครู่ต่อมา ท่านหญิงประทับยืนที่หน้าต่างมองออกไปด้สนนอก แล้วเห็นผีนางเฟือง นั่งคุดคู้อยู่ใต้ต้นไม้ที่มีร่มเงาหนาแน่น ท่าทางมีความทุกข์เหลือแสน
ท่านหญิงครางเบาๆ ด้วยความสงสงสาร “เฟือง”
“มังคะ” ผ่องเข้ามา “พี่เฟืองหรือมังคะ”
ท่านหญิงนิ่งอยู่อึดใจ “ผ่อง บอกสนเอารถออก”
“เด็จไหนมังคะ”
ท่านหญิงไม่ตอบหันมามองหน้าผ่องนิ่ง อึดใจ ยิ้มนิดๆ บางๆ ในหน้า
“หม่อมฉันตามเสด็จด้วย”
“ไม่ต้อง”
ท่านหญิงบอกพลางเดินออกไป ผ่องผวาเข้ากราบพระบาท ท่านหญิงก้มลงวางมือบนไหล่ ตบเบาๆ แล้วดำเนินผ่านไป
สีพระพักตร์ท่านหญิงมุ่งมั่น ตัดสินพระทัยเด็ดขาดแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 15 อวสาน