อาญารัก ตอนที่ 14
ทางด้านเนียนนั้น รู้สึกดีใจมากที่รู้จากลูกสาวคนเล็กว่าขุนภักดีพาแดงน้อยไปเลี้ยงฉลอง แถมยังให้เนื้อทองติดตามไปด้วย
“เขาไม่แสดงทีท่าว่ารังเกียจหนูเลยหรือลูก” เนียนซักด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ค่ะแม่ ทำเฉยๆ แถมถามหนูว่าโรงเรียนไปถึงไหน”
เนียนดีใจจนน้ำตาคลอ “โถ...นี่ เขาถามเลยรึ โชคดีของหนูเหลือเกินจ้ะ
“ทำไมแม่ต้องดีใจจนน้ำตาคลออีกแล้ว แล้วทำไมแม่คิดว่าเป็นโชคดีของหนู”
“แม่ดีใจที่เขาไม่รังเกียจลูกของ เอ้อ ลูกของแม่”
“ทีแรกเห็นเขาเดินเข้ามากับพี่เทิดศักดิ์ หนูใจสั่นไปหมด”
“กาลเวลาผ่านไป ความรู้สึกในใจคนอาจผันเปลี่ยนไปได้”
“หรืออาจเป็นเพราะแม่จงรักภักดี ยอมตายถวายหัว ไม่ว่าเขาจะมาทำร้ายจิกหัวด่าเฆี่ยนตีขนาดไหนเขาจึงใจอ่อนกับหนู แปลกนะคะแม่”
เนียนไม่พูดว่าอะไร เอาแต่ยิ้มมีความสุข
เช่นเดียวกับเรียมก็ดีใจมากเช่นกันที่ขุนภักดีไม่รังเกียจ ให้เนื้อทองร่วมกินอาหารด้วย ดีใจจนท่านขุนแขวะ
“ขอบคุณพี่เทพมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ ที่ยอมร่วมโต๊ะอาหารกับหนูติ๋ว”
“เรียมดีใจที่พี่ยอมร่วมโต๊ะอาหารกับเด็กนั่น มากมายเกินไปแล้วนะ”
“เอ้อ เรียมดีใจที่พี่เทพ ใจเย็น ควบคุมอารมณ์ร้ายๆ ได้มากขึ้นค่ะ”
“ขืนพี่ไปไล่เด็กนั่น ต่อหน้าคนทั้งร้านอาหาร แถมมันเป็นคุณครูของนักเรียนทั้งจังหวัด พี่ก็ถูกมองว่าเป็นข้าหลวงใจแคบสิ”
“ถึงกระนั้นก็เถิดค่ะ มันคือสิ่งสวยงาม ที่พี่เทพมีต่อคนในบ้าน เพราะพี่เทพคือร่มโพธิ์ร่มไทร ร่มใหญ่ๆ ที่สองรองจากคุณแม่”
“พี่ตัวจะลอยเพราะเรียมยกยอแล้วนะ แต่จะพูดไป เวลาผ่านไป ความรู้สึกในใจของพี่เปลี่ยนผันไปมาก เขาอาจจำใจเป็นเมียพี่เพราะจำเป็นแต่ที่พี่เสียใจเอ๊ย ไม่ชอบใจอยู่ที่ เขาไม่จริงใจกับพี่ ไม่ยอมบอกว่าไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร”
“คงเป็นความจำเป็นอีกนั่นแหละค่ะ”
“เรียมอย่ามาเข้าใจผิดคิดว่า พี่อกหักเด็ดขาดนะ”
“ค่ะ พี่เทพ เรียมทราบค่ะ”
เรียมยิ้มขำๆ สบายใจมาก ขุนภักดียังคงนึกถึงแต่เนียน ไม่เข้าใจเนียนอยู่อย่างนั้น
ทานตะวันมาแอบฟังอยู่นอกห้อง อกแทบระเบิดร้อนรุ่มไปหมด
“โอ๊ยอยากจะด่าอีสองแม่ลูกนั่น มือไม้สั่น แม่สนไม่น่าห้ามไว้เลย คุณพ่อเลิกรังเกียจมันแล้ว อีกหน่อยก็เริ่มรักมัน รักมากกว่าเรา”
ฝ่ายสนกระซิบกระซาบช้อย พอช้อยฟังจบก็มีท่าทีสะดุ้งตกใจ
“ไม่นะเจ้าคะ คุณสน”
“นังช้อย แกต้องทำตามที่ชั้นสั่ง ส่งความไปบอกไอ้แช่มตามนี้”
“มันหนีตำรวจอยู่ มันหนีคุณเทิดศักดิ์ด้วยนะเจ้าคะ”
“แกแค่สั่งให้มันทำตามที่ชั้นสั่ง มันจะได้เงินหมื่นไปหลบซ่อน ถ้ามันมีปัญหา ชั้นสัญญาว่าจะช่วยมัน”
“จริงนะเจ้าคะ”
“จริงสิแก ไม่ต้องให้มันมาที่นี่ ให้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน จะได้ส่งแกไปพบมัน”
“แต่ที่คุณสนคิดจะให้มันทำนั่นน่ะมันยากมากนะเจ้าคะ”
“แต่ถ้าไม่กำจัดอีสองแม่ลูกนั่น ชีวิตชั้นก็จบสิ้น แบบไม่ดีแน่ๆ รวมทั้งแกด้วย”
“คุณสน”
เทิดศักดิ์เดินมาพอดีมองสองคนตาเป๋ง
“วันนี้ มีรายงานมาว่า นายแช่มหนีพ้นตำรวจไปเส้นยาแดงผ่าแปดยัยช้อย ถ้าเจอนายแช่มช่วยแนะนำให้เขามอบตัวซะ หนักจะได้เป็นเบา”
สองคนมองหน้ากัน เทิดศักดิ์พูดจบเดินเข้าห้องไป
“เข้าทางของเรา แกได้ทีที่จะทำทีไปตามหาไอ้แช่ม แต่อย่าบอกใครว่าแกพบมันทีเดียว”
“กรรมใหญ่ของอีช้อยกำลังจะมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ”
“หุบปาก หรืออยากให้ความชั่วของแกเปิดเผย อย่าลืมสิอะไรอะไรแกก็ลงมือทั้งนั้น แม้กระทั่งเรื่องไอ้หนักที่เราใส่ร้ายอีเนียน ถ้าความแตกว่ามันเป็นพี่อีเนียน แกก็ต้นคิด ไม่ใช่ชั้น”
ช้อยเริ่มหมดหนทาง ก้มหน้าซ่อนน้ำตา
วันต่อมา ทองจันทร์ เนื้อทอง และเนียนร่วมกินอาหารด้วยกัน
“เมื่อวานไม่มากินอาหารเย็นกับย่า หายไปไหนมายัยติ๋ว”
เนื้อทองขยับปากจะบอก ทานตะวันโผล่พรวดมา แล้วปราดมานั่งข้างทองจันทร์
“ยัยติ๋วไปกินข้าวเย็นกับคุณพ่อที่ภัตตาคารในเมืองมาค่ะ คุณย่า”
เนื้อทองกับเนียนถึงกับสะดุ้ง
“มิน่า” หญิงชราบอก
“อร่อยมากละสิยัยติ๋ว มีพี่เทิดศักดิ์กับพี่แดงน้อยไปด้วยค่ะ เขาไปฉลองนายอำเภอคนใหม่อายุแค่ยี่สิบหกคนเดียวในประเทศไทยค่ะ”
เนื้อทองกับเนียนสะดุ้งอีกรอบ ยังไม่ทันตั้งตัว สนมาสมทบอีกราย
“ดูสองแม่ลูกนี่สิคะ คุณแม่ ทำท่าตกอกตกใจ เหมือนไปแอบทำความผิดมา ก็แค่กินข้าวกับพี่ขุนและ กับผู้ชายหนุ่มหล่อที่สุดสองคนในเมืองนี้”
ทองจันทร์เอ่ยขึ้น “นางกบ นางแมว เอาพัดมาโบกไวไวเข้า ชั้นปรับใจไม่ทันวันนี้มันวันดีศรีวันอะไรกันรึ ยัยติ๋ว แม่สน ทำท่าโปรดปรานสองแม่ลูกนี่ ราวกับนัดหมายกันเอาไว้ ดิบดี ทั้งที่เมื่อวานยังหวีดหวาดอาฆาตมาดร้ายหมายขวัญ”
“แหม หนู ลืมไปแล้วค่ะ เรื่องเมื่อวาน จำได้แต่ว่าหนูพาแม่สนไปดูร้านแล้วก็เอ้อ…” ทานตะวันรีบแก้ตัว
“แล้วสนก็พาหนูอี๊ดไปไหว้พระ เลยประทับคำสั่งสอนของพระไว้เต็มหัวสมองค่ะ คุณแม่” สนเหน็บ
ทานตะวันสบตาสนที่ต่อเรื่องให้ เป็นเชิงขอบคุณ “ใช่ค่ะ หนูซึ้งในรสพระธรรมค่ะ ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทเป็นบ่อเกิด แห่งความพินาศของตนเอง”
“เรื่องราวมันผ่านนานไปหัวใจของสนก็เปลี่ยนแปรตาม ว่าแต่เนียนเถิดยัยติ๋วด้วย เลิกเจ็บช้ำน้ำใจชั้นหรือยัง”
เนียนกับเนื้อทองมองหน้ากัน
“ชั้นไม่เคยมีความอาฆาตแค้นใครดอกค่ะ” เนียนบอก
ทานตะวันเกือบหลุด “หมั่น...”
สนสะกิด
“หมั่นสวดมนต์เป็นอาจินต์ เลยจิตใจสงบใช่ไหมเนียน”
“ค่ะ แม่เนียนสวดมนต์ทุกคืนก่อนนอนค่ะ” เนื้อทองตอบแทน
“ยัยแมว ยัยกบ ขอจานข้าว”
แมวกะกบร้อง “ว้าย”
“ชั้นอยากกินอาหารกับทุกคนที่นี่ นะคะ คุณแม่ขา”
“อืม มาสิ มากินกัน แต่ชั้นนี่แหละกำลังจะอิ่ม จนสำลักความดีเข้าให้แล้ว”
สองคนลงนั่ง กบกะแมวเสิร์ฟจานข้าวและน้ำ ส่วนเนียนกับติ๋วยังระวังตัวแจ
ทองจันทร์ทำท่าเหมือนจะสำลักความดีงามของสน แมวกะกบไอแค่กๆ ตาม
ช้อยเดินทางมาที่บางปลาม้าตามแผนร้ายที่สนสั่ง กำลังถูกเหมญาติของเหิมด่าว่าสาดเสียเทเสีย
“มาทำไมนังช้อย กูได้ยินเขาลือกันมานานร่วมยี่สิบปีแล้ว ว่ามึงกับนายมึง วางยาไอ้เหิมพี่กู”
“วุ๊ย พี่เหมเอาอะไรมาพูด ชั้นน่ะหรือจะมีปัญญาไปทำร้ายพี่เหิมได้ มานี่จะมาถามว่าได้ข่าวไอ้แช่มบ้างไหม”
“มันไม่มาที่นี่นานแล้ว” เหมมีพิรุธ “มาถามหามันทำไม จะไปบอกใครมาจับมันไปฆ่าวางยาพิษอีกรึ”
“พูดบ้าๆ ไอ้แช่มมันลูกชั้นนะ”
“ลูกก็ลูกเถิด มันเกิดจากผัวคือพี่เหิมที่มึงรังเกียจ มึงจะไปรักอะไรมันหนักหนา หรือว่าจะให้กูบอกไอ้แช่มว่ามึงนั่นแหละผู้ต้องสงสัยวางยาพิษพ่อมัน”
“ชั้นห่วงไอ้แช่มมาก ได้ยินว่ามันเพิ่งรอดเงื้อมมือตำรวจไปเส้นยาแดงผ่าแปด จะเอาเงินมาให้มัน หลบซ่อนตัว อย่าออกไปเพ่นพ่าน”
เหมตาวาว
“เท่าไหร่วะ”
“ก็บอกมาสิวะ ว่ามันมาหลบที่นี่ไหม ตามใจไม่บอกก็อย่าบอก ชั้นจะเอาเงินหมื่นกลับไปละ”
ช้อยหันกลับ เหมมองไปทางพุ่มไม้ด้านหลังบ้าน
“ตั้งหมื่น อุบ๊ะ”
ขณะที่ช้อยกำลังจะหลุดพ้นเขตเรือนเหม ช้อยชำเลืองมองซ้ายขวารู้ว่าแช่มอาจอยู่
“แม่”
ช้อยหยุด
“แม่”
ช้อยหันแล้วมองไปที่พุ่มไม้ไหวๆ เดินตรงไปที่นั่น แช่มนั่งซุกตัวอยู่ โทรมสกปรก สีหน้าทุกข์ร้อน
“ไอ้แช่ม”
ช้อยทรุดตัวลงนั่งจับเนื้อตัวสำรวจแช่ม
“แม่ ชั้น กลัว”
“เอ็งกลัวแล้วทำไมเอ็งถึงเที่ยวๆ ได้ออกไปปล้นเขาอีก ได้ยินว่าเหยื่อปางตาย” ช้อยด่า
“แถมไม่ได้เงินมาด้วย โง่เหมือนพ่อมึงนั่นแหละ” เหมว่า
“ได้ยินว่าแม่จะเอาเงินมาให้ชั้นตั้งหมื่น”
“ไม่ใช่เงินแม่ดอก เงิน...”
แช่มรู้ทันที “อีคุณนายสน อีตัวร้ายแม่กำลังโดนมันหลอกใช้”
“แม่ไม่ได้โดนหลอก แต่แม่โดนมันบังคับ ถ้าแม่ไม่ทำมันจะเปิดโปงแม่”
“แม่ก็เปิดโปงมันบ้างสิ” แช่มโมโห
“พูดง่ายแต่ทำยาก มันมีอำนาจ มันมีคนเข้าข้างมัน แม่มานี่ก็เพราะ...”
“โดนมันบังคับ ให้มาสั่งไอ้แช่มไปทำความชั่ว” เหมเยาะ
“ก็แค่ง่ายๆ แม่จะหลอก อีเนียนกับอีติ๋ว อาจรวมถึงอีอี๊ดมาให้เอ็งเจี๊ยนไม่ใช่ปล้ำนะ ฆ่ามันทิ้ง” ช้อยบอก
“ไหนว่าพูดง่ายแต่ทำยาก แล้วมาสั่งให้ทำ ทำไมวะ” เหมบ่นอุบ
“วันนี้เขาฝากมาหมื่นนึงก่อนทำ ทำสำเร็จอีกสองหมื่น พี่เหมลองตัดสินใจดูเถิด ถ้าตกลง ก็ส่งคนไปบอก”
“ถ้าทำแล้วพลาด ตายแน่” แช่มว่า
“ถ้าแม่ตาย เอ็งก็เปิดโปงอีสนมันสิ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ชีวิตต่อชีวิต แม่น่ะยิ่งกว่าทาสของมันอีก ทาสที่ปลดปล่อยตัวเองไม่สำเร็จนี่แหละ ทาสความชั่ว มันปลดปล่อยยากเย็นเหลือเกินลูกเอ๊ย แม่ผิดพลาดไปแล้ว แม่ถอนตัวไม่ขึ้น ยิ่งดิ้นยิ่งจมเหวของความเลวร้าย”
ช้อยร้องไห้กอดแช่ม เหมมองแล้วส่ายหน้า
ฝ่ายสนนั่งกินข้าวตามลำพัง ไม่มีช้อยประกบข้างเช่นเคย มัวแต่คิดเรื่องชั่ว เลยไม่เห็นว่าเทิดศักดิ์เดินเข้ามา
“นังช้อย จะทำสำเร็จไหมหนอ”
“คุณแม่”
สนสะดุ้ง
“ว้าย เทิดศักดิ์ ทำไมมาเงียบๆ”
“ผมมาดังๆ แต่คุณแม่กำลังอยู่ในภวังค์ เลยไม่ได้ยินผม คุณแม่ใจลอยมาก คิดอะไรอยู่ครับ”
“เปล่านะ แม่กำลังคิดว่า แม่เลิกเคียดแค้น เนียนกับยัยติ๋ว ทำใจให้ว่างเปล่า ใจแม่นิ่งขึ้นแยะ”
“ผมก็ได้ยินคุณย่าท่านบอกเรื่องนี้ ผมดีใจมากครับ คุณแม่ ยัยช้อยหายไปไหนครับ ทำไมไม่มารับใช้คุณแม่”
“เอ้อ มัน มันเอ้อ มันไปหาแม่ชีแม่มันน่ะลูก”
“อ้อ ยัยช้อยปลงตกคิดได้จะไปบวชชีหรือครับ”
“เอ้อ แม่ก็ไม่รู้มัน เหมือนจะมีใครมาส่งข่าวว่าแม่ชีป่วยน่ะ”
“อ้อ...”
แล้วเทิดศักดิ์ก็ลงนั่ง จับสองมือแม่ไว้ มองหน้าแม่ ด้วยความห่วงใยรักใคร่
“คุณแม่ครับ”
“มีอะไรรึ ลูก” สนเริ่มระวังตัว
“ผมห่วงใยคุณแม่มาก ผมไม่อยากให้มีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงมาข้องแวะกับคุณแม่”
“แม่ขอบใจ ทำไมจู่ๆ ถึงมาพูดเรื่องนี้กับแม่”
“คือ มีหลายเรื่องที่คุณแม่ไม่ยอมพูดความจริงกับผม เช่นเรื่องนายแช่มเช่นเรื่อง ลุงสิน ลุงของแดงน้อย ที่คุณแม่บอกว่าเป็นลุงของผมด้วยเขาไม่ได้เป็นญาติกับเราเหมือนที่คุณแม่หลอกว่านายแช่มเป็นญาติเรา ทั้งๆ ที่เป็นลูกยัยช้อย”
“แม่ ไม่ได้โกหกลูกนะ แม่ แม่...”
“ลุงสินไม่ได้อยู่สวนแตงสักหน่อย ผมให้แดงน้อย สำรวจสำมะโนครัวก็ไม่พบ ลุงสินเป็นลุงแดงน้อยน่ะจริง แต่ลุงสินเป็นอะไรกับเรากันแน่ครับ”
สนนิ่งไป หน้าซีดพยายามข่มอารมณ์บอกตัวเองในใจ “เป็นพ่อของแกน่ะสิ”
เทิดศักดิ์มองแม่ แล้วรู้ว่าแม่ไม่มีวันพูดความจริงออกมาแน่ พยักหน้าแล้วลุกหนีไป
“ผมไม่อยากรู้แล้วครับ ว่าตกลงลุงสินเป็นอะไรกับเรากันแน่ ผมเข้าใจแล้วว่าเราสองคนแม่ลูก พูดความจริงกันไม่ได้หรอก เราสองคนมีหมอกควันกั้นเราไว้ เราถึงไม่เข้าใจกัน ผิดใจกันมาตลอดเวลา ผมน้อยใจนะครับ ผมสงสัยเสมอว่าคุณแม่รักผมจริง หรือไม่ได้รักจริงๆ กันแน่เพราะคุณแม่ไม่พูดความจริง”
เทิดศักดิ์เดินลงเรือนไป สนมองตามน้ำตาคลอ เป็นครั้งแรกที่สนสลดหดหู่จริงๆ
“แม่จะกล้าพูดความจริง” สนพูดกับตัวเอง “กับลูกได้อย่างไร ถึงแม้ว่าลูกเกิดจากไอ้คนอับปรีย์ที่แม่แสนเกลียดชัง เคยอยากจะเกลียดชังลูกเพราะชังมันแต่แม่ก็ทำไม่ได้ แม่รักลูกห่วงลูกสุดหัวใจ แม่จึง ไม่มีวันให้ความจริงนี้เปิดเผย ลูกของแม่ต้องเป็นลูกชายขุนภักดีภูบาล ที่มีทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี มั่งมีเงินทอง เท่านั้น”
สนระเบิดสะอื้นออกมา
“แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แม่ทำเลวกับคนอื่นเพราะต้องการทำดีกับลูก ทำไมต้องสงสัยในความรักของแม่ด้วย ลูกต่างหากที่ไม่รักแม่เท่าที่แม่รักลูก”
สนสะอื้นไห้อยู่คนเดียวบนเรือนที่เงียบสงัด
หลายวันต่อมา ที่ร้านกาแฟไทยเจริญ กรุงเทพฯ ลูกค้าในร้านกลับไปหมดแล้ว แพรและโพล้งคุยกับแดงน้อย ที่เพิ่งกลับมามาจากเมืองสุพรรณ แพรนั้นลูบหน้าลูบหลังด้วยสายตาชื่นชม ขณะที่โพล้งยิ้มร่า
“ท่านนายอำเภอขอรับ กระผ้ม” โพล้งเสียงสูง “นายโพล้ง บ้านแพน ขอร้องเรียนท่านนายอำเภอขอรับ เนื่องจากว่า มีนางผู้หญิงยิงเรือ ชื่อนางแพร มันบังอาจมากดขี่ผม มานานมากแล้วขอรับ ช่วยจับมันไปส่งโรงหมอด้วยขอรับ”
“ไอ้เปรตโพล้ง อย่ามาทะลึ่งกับข้านะ ท่านนายอำเภอเจ้าขา อิฉันมีเรื่องร้องเรียน มีไอ้ผู้ชายพายเรือคนหนึ่ง มันขี้เกียจทำงานทำการมากเจ้าคะมันชอบแอบดื่มเหล้าเวลาทำงานเจ้าค่ะ”
แดงน้อยหัวเราะ “ต้องไปฟ้องผู้หมวดเทิดศักดิ์ดีกว่าไหม แม่แพรครับ น้าเนียนบอกว่าให้ยายอ่อนคนนั้นรอการซื้อที่นาไปก่อน เพราะแกยังไม่ได้บอกให้คนที่แกยกที่นาให้รู้ตัวว่าแกยกให้”
แพรกับโพล้งมองหน้ากัน
“แล้วแดงน้อยถามแม่เนียนหรือเปล่าว่าทำไมไม่ยอมบอกคนคนนั้นสักที” โพล้งบอก
“ในเมื่อคนคนนั้นก็อายุครบยี่สิบปีแล้วนี่นา” แพรว่า
“ผมไม่กล้าละลาบละล้วงแกครับ รอให้แกอยากเปิดเผยเอง เถิดครับ”
สองคนมองหน้ากัน
“นิสัยเหมือนกันเปี๊ยบ” แพรพึมพำ
“นิสัยใครหรือครับ” แดงน้อยสงสัย
“นิสัยลุงกับยายแพรไงล่ะ”
แดงน้อยไม่ติดใจต่อ แล้วนึกบางอย่างได้
“เอ้อ ลุงสินส่งข่าวมาบ้างไหมครับ แม่แพร ลุงโพล้ง”
สองคนสบตากันแล้วส่ายหน้า
“ผมเห็นลุงดูเงียบขรึมมาก เหมือนมีอะไรในใจ ผมห่วงลุงน่ะครับ อยากตอบแทนอะไรลุงบ้าง แม้เพียงน้อยนิดแต่ลุงก็ไม่ยอม”
“ลุงเขาก็เป็นอย่างนั้นแหละ เขาทำอะไรไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทน” โพล้งบอก
“อ้อ ยังมีอีกเรื่อง เทิดศักดิ์ เขา แปลกใจมาก คือเขาเคยเจอลุงสินที่บ้านแม่สน”
สองคนตะลึง อุทานลั่น “ว่ากระไรนะ”
“ทำไมตกใจมากอย่างนี้ครับ ก็แค่ลุงสิน เป็นคนรู้จักกับคุณแม่สน”
“แล้วยังไงอีก” แพรซัก
“แม่สนปิดแดงน้อยว่าลุงสินเป็นญาติ แม่สนบ้านอยู่สวนแตง แต่ทั้งเทิดศักดิ์ และผมสืบมาแล้ว ลุงสินไม่เคยอยู่สวนแตง มีสินเหมือนกันแต่ไม่ใช่ลุงสิน ทำไมลุงสินช่างดูลึกลับเหลือเกินครับ”
แพรกะโพล้งหน้าหมองลงไปพูดไม่ออก
“แดงน้อยเอ๋ย ชีวิต มันก็อย่างนี้แหละหลาน มีบางสิ่ง ที่บางคนไม่อยากเปิดเผย”
“มองในส่วนดีงามที่ลุงเขาเปิดเผยกับหลาน เถิดนะ”
“ครับ ลุงโพล้ง แม่แพร ผมมาเยี่ยมได้คืนเดียว แล้วต้องกลับไปทำงานส่วนเรื่องร้าน ถ้าทำกันต่อแล้วมันหนักหนา ผมว่าขายซะ แล้วกลับไปอยู่สุพรรณที่บ้านเก่าของลุงกับป้าดีกว่า ผมจะได้ไปดูแลได้สะดวกขึ้น”
สองคนมองหน้ากัน เริ่มคิดตามและเห็นด้วย
วันหนึ่งสนกับทานตะวันกระซิบกระซาบกันอยู่บนเรือนเล็กของสน
“แม่สนว่ามันจะได้ผลหรือคะ”
“ได้สิคะ อย่างน้อยมันก็ต้องขวัญกระเจิงแน่ๆ”
“แล้วทำไมแม่เนียนถึงต้องเอาเสือหนักมาขู่มันด้วยคะ”
“เสือหนักนี่แหละ ขู่มันแล้วมันขวัญเสียแน่นอน มันรักมันห่วงของมันมากค่ะ”
“นานเป็นยี่สิบปี มันยังรักยังห่วงกันทั้งที่เสือหนักทำให้คุณพ่อชิงชังรังเกียจมันมากหรือคะ”
“รับรองว่าแม่สนพูดความจริงค่ะ มันมาแล้วค่ะ”
จังหวะนี้เนียนมานั่งตรงหน้าสนกับอี๊ด
“คุณสนมีอะไรจะให้ชั้นทำหรือคะ”
“เปล๊า ใครจะกล้าใช้เธอเล่าเนียน คุณแม่เอง คุณพี่เรียมเอย ยกย่องเธอกับยัยติ๋วจะเป็นจะตาย”
“แม่สนเขาแค่มีเรื่องไม่ค่อยดีมาบอกให้รู้ตัวน่ะ ยัยเนียน”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“ชั้นได้ยินพี่ขุนบอกว่า สืบหาที่อยู่ไอ้เสือหนักได้แล้ว”
เนียนหน้าซีด
“คุณพ่อคงจับตายมันละคราวนี้”
“เสียใจด้วยนะเนียน ถ้าจะดีให้สวดมนต์กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองเสือหนักของเธอให้ดีเถิดนะ ชั้นเห็นใจเธอนะ”
“น่าสงสารจัง แต่ทำไงได้ กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย”
เนียนนิ่งพูดไม่ออก สนกับทานตะวันแอบยิ้มเยาะ
คืนนั้นท่านขุน ยืนทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิด แล้วสายตาท่านขุนก็มองเลยไปเห็น
“เอ๊ะ”
เป็นเนียนนั่นเองที่มานั่งเงียบๆ ที่ม้านั่งข้างเรือน น้ำตาไหล ใจลอยไปไกล
ขุนภักดียืนอยู่ที่หน้าต่าง เสียงเรียมยืนยันว่าไม่เชื่อเรื่องเนียนเป็นชู้กับเสือหนัก ดังก้องในหู
“เรียมไม่เชื่อดอกค่ะ ว่า เนียนมีชู้ และถ้าเนียนไม่มีชู้ แปลว่ายัยติ๋วคือลูกของพี่เทพ และมีสิทธิ์ทุกอย่างในภักดีภูบาล เท่ากับหนูอี๊ดและเทิดศักดิ์”
ขุนภักดีถอนใจเฮือกๆ ท่าทีอ่อนใจ พะว้าพะวง
“ในเมื่อเจ้าตัวเขาเองไม่เคยยอมเอ่ยปาก แล้วจะให้พี่เชื่อสนิทใจได้อย่างไร เท่าที่พี่ไม่กล้าตัดใจไล่เขาไปจากที่นี่ พี่ก็เท่ากับพ่ายแพ้ แก่หัวใจตัวเองมากมาย เสียศักดิ์ศรียอมให้ผู้คนทั้งเมืองแอบนินทาลับหลัง ว่าขุนภักดี มีเมียคบชู้ แล้วยังเลี้ยงดูเอาไว้ในบ้าน”
ขุนภักดีผละตัวจากหน้าต่าง ก้าวลงเรือนไป
ฟากเนียนนั่งหลบมุมร้องไห้อยู่ที่เดิม เศร้าใจป้ายน้ำตาป้อยๆ ภาพสนกับทานตะวันบอกเล่าเรื่องท่านขุนรู้ที่อยู่หนักจะจับตายผุดขึ้นมา เนียนครวญคร่ำสงสารพี่ชายจับจิต
“โธ่ พี่หนัก”
เสียงเนื้อทองดังก้องในหูอีก “แม่เนียนจ๋า ท่านขุน ท่านบอกกับพี่เทิดศักดิ์ พี่แดงน้อยว่าจะร่วมมือกันเล่นงานเสือหนัก จับให้ได้ ไม่ว่าจะจับตายหรือจับเป็น”
เนียนน้ำตาหยดเผาะๆ
“พี่หนัก โธ่พี่หนักของน้อง”
ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพนมมือ
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา ช่วยพี่หนักของลูกด้วยเจ้าค่ะ อย่าให้พี่หนักมีอันเป็นไป ถูกจับตายนะเจ้าคะ”
เนียนสะอื้นร้องไห้
ท่านขุนลงมาเพราะเผลอใจอยากมาใกล้เนียน แต่แล้วเมื่อมาได้ยินคำพูดของเนียนบนบานศาลกล่าวเรื่องหนักกับหูของตัวเอง ท่านขุนเลือดขึ้นหน้า ตรงมากระชากหัวเนียนปลิวติดมือไปทันที
“อีเนียน อีแพศยา คาหนังคาเขาจนได้ในวันนี้ ได้ยินกับหูได้ดูกับตา ว่ามึงทำอะไร พูดอะไรถึงชู้ของมึง”
เนียนหวีดร้องเพราะตกใจมาก
“ว้าย”
“มึงตกใจมากใช่ไหม ที่กูจับได้แท้แน่นอน หลงไม่มั่นใจในความแพศยาของมึงมานานยี่สิบกว่าปีที่สุดความจริงก็เปิดเผยจากปากของมึงเอง”
“เนียน เนียน ...”
“กูจะเอามึงไปประจาน ต่อหน้าผู้คนในบ้าน แล้วขับไล่มึงไปจากบ้านของกู ไป ไปเดี๋ยวนี้”
เนียนไม่อาจพูดอะไรได้อีก ท่านขุนกระชากลากเนียนไปจากที่นั่น เนียนร้องไห้คร่ำครวญแล้วสงบนิ่ง น้ำตาไหลนองไม่อาจแก้ตัวได้
ขุนภักดีลากเนียนมาที่ต้นมะขามใหญ่ ตะโกนก้อง
“ทุกคนในบ้านนี้ให้มาชุมนุมกันพร้อมหน้าที่ต้นมะขามนี้ทุกคน”
เอกพรวดมาเห็นก็ตกใจ
“เนียน ท่านขุน”
“ไอ้เอก ไอ้นกสองหัว มึงอย่ามัวมาตื่นตระหนกตกใจ มึงรีบไปป่าวประกาศให้ผู้คนในบ้านมาชุมนุม ดูหน้าอีนางแพศยา รุมประณามมันก่อนที่กูจะเฉดหัวมันไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้”
“ท่านขุน เอ้อ....”
“อย่ามาเอ่อมาอ่า มึงไม่ได้ยินคำสั่งกูรึ รึจะให้กูนับเมิงเป็นชู้ของมันอีกคน”
เอกจำใจออกไป เนียนนั่งก้มหน้า ส่วนขุนภักดียืนมองเนียนทั้งรักทั้งแค้น
ฝ่ายทองจันทร์ และ เรียมคุยกับเนื้อทองเรื่องโรงเรียน กบ แมวนั่งฟังอ้าปากหวอ ชื่นชม
“เป็นอันว่าการก่อสร้างเสร็จสิ้นทั้งหมด”
“อุปกรณ์การสอนการเรียนทั้งหลาย กำลังทยอยมา ถึงเวลาเปิดโรงเรียนคุณแม่ต้องเป็นคนเปิดแพรคลุมป้ายนะคะ”
“ไฮ้ ได้ยังไง แม่เรียม ก็ต้องช่วยกันเปิดสิ”
“จริงสิคะ ถ้าจะให้ดีขอแรงพี่เทพมาช่วยเปิดให้เป็นสง่าราศีกับโรงเรียนนี้อีกคน”
“ขอบพระคุณมากค่ะ” เนื้อทองไหว้ขอบคุณ
“เอ๊ะ แม่แกหายไปไหนยัยติ๋ว”
“นั่นสิสองสามวันนี้ เห็นนั่งซึมๆ ยิ้มหัวไม่เป็นอีกแล้ว” เรียมว่า
เอกพรวดมาแบบก้าวกระโดดขึ้นบันไดมา
กบกะแมวตกอกตกใจอุทานพร้อมกัน “พี่เอก”
“ไอ้เอกแก่แล้วยังบ้าบอไม่เลิก พรวดพราดมาทำไม เดี๋ยวตกกะไดคอหักตาย”
“หนีอะไรมา” เรียมถาม
“ท่านขุนขอรับ ท่านกำลังจะประจานเนียนเรื่องชู้” เอกบอก
“แม่เนียน” เนื้อทองใจหายวับ
ทองจันทร์กับเรียม บ่นไปในทางเดียวกัน “อะไรกันนี่ไม่จบไม่สิ้นกันสักที” / “หรือว่าผีเข้าพ่อเทพ”
เอกหอบไปบอกไป “ท่านให้เรียกคนทั้งบ้านไปรุมประณามเนียนก่อนไสหัวไปจากบ้านขอรับ”
เนื้อทองลุกพรวดออกไปทันที
“แม่”
ทองกับเรียมมองหน้ากัน เอกขยับแต่ทำรีรอ รอให้ใครห้ามสักคนได้ผล
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไอ้เอก ไม่งั้นชั้นเอาเชี่ยนหมากปาแกหน้าแหก”
เอกลอบยิ้ม หยุดทันทีทำท่าวิ่งค้าง
สนกับทานตะวันยืนดีใจอยู่ด้านล่างเพราะได้ยินที่เอกบอกทุกประการ
“ฟ้าดินลงโทษอีเนียนตามที่เราสองคนกำหนดกฎเกณฑ์จนได้”
“แม่สนเก่งจริงๆ มันโดนเฉดหัวแน่ ไปดูหน้ามันกันไปรุมประจานมันค่ะ แม่สน”
เนื้อทองวิ่งร้องไห้ลงมาจากเรือน สองคนไปดักหน้า
“ไงยะ ...นังลูกชู้ ผู้น่าสมเพทเวทนา”
“แกกับแม่แกโดนเฉดหัวออกจากบ้านชั้นวันนี้แน่นอน หมดโอกาสมาเสนอหน้า ทำตัวขี้ข้าอยากเป็นคุณนายสักที”
เนื้อทองหลบจากสองคนแล้ววิ่งไปต่อ
สนกับทานตะวันจูงมือกันเดินไป หัวเราะกันครื้นเครง
“แม่สนจะไปไหนคะ ต้นมะขามอยู่ทางโน้นค่ะ”
“แม่สนจะไปเอาแส้ที่เรือนคุณพ่อค่ะ รึหนูอี๊ดไม่อยากเห็นมันโดนโบยสั่งลา”
“แม่สนช่างฉลาดปราดเปรื่อง หนูตามไม่ทัน”
สนแอบยิ้มเยาะคิดในใจ
“ถ้าแกตามทัน บ้านมันจะปั่นป่วนขนาดนี้เรอะ อีเด็กโง่”
สองคนหัวเราะกันอีก
ฟากทองจันทร์เหลียวมองหน้าเรียม ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“มันเกิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะ แม่เรียม”
“นั่นสิคะ เหตุการณ์ทั้งหลายดูคลี่คลาย ไปในทางดี ทำไมจู่ๆ ก็กลับเลวร้ายขึ้นมาง่ายๆ”
“ว่ายังไงไอ้เอก”
“คิดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยขอรับ จู่ๆพายุก็โหมกระหน่ำ ไฟลุกท่วมบ้านขึ้นมา”
“หรือว่ามีใครไปจุดไฟในอกพี่เทพขึ้นมาคะ คุณแม่” เรียมปรารภ
“นั่นสิขอรับ เอ้อ..กระผมต้องจำใจรีบไปป่าวประกาศตามคำสั่งของท่านขุนแล้วขอรับ” เอกว่า
“ไม่ต้องไป ไม่ได้ยินหรือว่าชั้นสั่งให้แกหยุด”
“อ้าว เอ้อ ..ขอรับ ถนัดชัดสองหู แต่ไม่มั่นใจว่าให้หยุดแล้วให้ไปหรือไม่ให้ไป”
“ห้ามแกไปเรียกใครมาทั้งนั้น ชั้นต้องไปฟังความจากทั้งสองฝ่ายก่อนไปกันแม่เรียม นังกบนังแมว ห้ามไปสุมรุมชุมนุมกับเขานะ”
แมวกับกบชะงักเท้า
“แล้วใครจะช่วยกันประคองคุณท่านเจ้าคะ” กบบอก
“เราสองคนไม่ได้ไปสุมรุมชุมนุม แต่ไปดูแลคุณท่านตะหากเจ้าค่ะ” แมวว่า
“ข้ออ้างของคนสาระแน” ทองจันแขวะ
ทั้งหมดจึงพากันออกไป มีเอกเดินตามหลังแล้วเอกก็ชะงัก
“นายเอกจะไปไหน”
“ไปตามหาคุณเทิดศักดิ์ขอรับ ผมว่าคุณเทิดศักดิ์สามารถระงับเหตุได้ขอรับ ท่านเป็นตำรวจนะขอรับ สามารถจับคนทำผิดใส่ร้ายป้ายสีโบยตีทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้”
เรียมพยักหน้า ค่อยใจชื้นมา เพราะคนเดียวที่เอาท่านขุนอยู่คือเทิดศักดิ์ เอกรีบรุดไปในทันที
อาญารัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
ด้านเนียนยังคงนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ใต้ต้นมะขาม มีขุนภักดีเดินวนรอบตัวเนียนอย่างเจ็บใจ
“ว่ากระไรล่ะ บอกมาสิว่าไอ้เสือหนักชู้ของมึงมุดหัวอยู่ตรงไหน กูจะ ไปลากคอมันมาเข้าตะราง”
ไม่พูดเปล่า ท่านขุนตรงเข้าไปจิกหัวเนียนจนหน้าหงาย ทำท่าจะตบซ้ำ
เนื้อทองพรวดมาถึง กันเนียนไว้ ขุนภักดีเลยตบไปโดนหน้าติ๋ว
“แม่จ๋า ว้าย...”
“หนูติ๋ว ไม่เกี่ยวออกไปนะลูก”
“หนูไม่ออกไป หนูต้องเกี่ยว ทุกเรื่องที่ทำให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจ”
“นังเด็กปากกล้า ข้านี่แหละที่เจ็บช้ำน้ำใจ อับอายขายหน้า เพราะแม่แกมันสิ้นคิด คบชู้สู่ชาย เลี้ยงไม่เชื่อง ขุนไม่ขึ้น อยากจะฆ่าให้ตายนัก”
“เจ้าค่ะ ฆ่าสิเจ้าคะ เนียนก็อยากตายเหมือนกันเจ้าค่ะ”
“แม่ อย่าไปท้าเขา”
“มึงไม่ต้องมาท้ากู อีเนียน นังติ๋ว นังลูกชู้ ลูกเสือลูกตะเข้ มาเลยมาปกป้องแม่ของมึง ประเดี๋ยวเถิดคนในบ้านมากันทั่วหน้า กูจะประจานมึงสองคนแม่ลูก แล้วเฉดหัวไปจากบ้านกู คืนนี้ทันที ไอ้เอกๆ”
จังหวะนี้ทานตะวันกับสนพรวดเข้ามาพร้อมด้วยแส้ม้า
“คุณพ่อขา โวยวายอะไรคะ อ๊าว เนียน ยัยติ๋ว” ทานตะวันทำเป็นเพิ่งรู้เรื่อง
“พี่ขุนขาแส้ม้ามาแล้วค่ะ คือสนได้ยินเสียงพี่ขุนเอะอะ คิดว่าน่าจะมีเหตุร้ายเลยรีบไปเอาแส้ม้ากันไว้ก่อนดีกว่าแก้ค่ะ”
สนมองเนียนยิ้มเยาะเย้ย ส่งแส้ให้ท่านขุน ถูกเรียมมากระชากไปจากมือสน
“เอามานี่” เรียมบอก
“คุณแม่” ทานตะวันขัดใจ
“สมัยนี้ไม่มีใครเข้าใช้แส้ม้ามาโบยคน มันป่าเถื่อนมันผิดกฎหมายอาญาฐานะทำร้ายร่างกายผู้อื่น”
“ก็แค่ขี้ข้า” สนเบะหน้า
ทองจันทร์ฉุน “ว่ากระไรนะ บ้านนี้ไม่มีขี้ข้า มีแต่คนรับใช้ ทำงานแลกเงินนี่คือการตอบแทนกันและกัน ใครทำร้ายร่างกายใครจะให้เทิดศักดิ์มันจับไปเข้าตะรางซะ”
“คุณแม่ พูดอะไรจะให้ลูกมาจับเข้าตะราง”
“ก็ไม่รู้แหละ ตะรางมีไว้ขังคนทำผิดกฎหมาย รึพ่อเทพว่ามีไว้ขังหมา”
“คนผิดไม่ใช่ผม แต่คือนางแพศยานี่ต่างหาก”
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นแม่ต้องการฟังจากปากของเนียนกับพ่อเทพทั้งสองคน ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ดีมากครับ รอไอ้เอกมันเรียกทุกคนมาพร้อมหน้าผมจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่า วันนี้ผมจะเฉดหัวนังสองแม่ลูกนี่ไปจากบ้านผม ด้วยเหตุอันใด”
“แม่ก็ขอประกาศว่าบ้านนี้มันไม่ใช่บ้านพ่อเทพคนเดียว ที่ดินนี่มันของผัวชั้นบ้านพ่อเทพก็คือเรือนหลังใหม่นั้น มันสองคนก็ไม่เคยไปอาศัยอยู่สักหน่อย แล้วจะไล่มันไปได้อย่างไรทำได้แค่ห้ามพวกมันเหยียบย่างไปบ้านพ่อเทพเท่านั้น” ทองจันทร์ของขึ้น
“คุณแม่กำลังหักหน้าผม ผมได้ยินกับหูว่าผู้หญิงแพศยาคนนี้มันเอ่ยถึงไอ้เสือหนัก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไอ้เสือหนักไม่ให้โดนผมยิงตาย”
“ยี่สิบกว่าปีก็ยังลืมกันไม่ลง รักแท้แน่นอนเหลือเกินนะเนียน” สนเยาะ
“ทำไมไม่มีใครมาฟังมาดูคุณพ่อไล่นางแพศยาสักทีคะ” ทานตะวันงง
“จะไม่มีใครมาฟังใครด่าใครประจานใครไล่ใครทั้งสิ้น พี่เทพขา ไหนว่าเวลาผ่านไปจิตใจพี่เทพเปลี่ยนแปร เข้าใจว่าอะไรที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะความจำเป็นของแต่ละคน” เรียมบอก
“มันกล้าสาบานไหมล่ะ ว่ามันไม่ได้ สวดมนต์ให้ไอ้เสือหนักรอดพ้นเงื้อมือพี่ กล้าไหม กล้าไหม” ขุนภักดีตะคอก
ทุกคนมองไปที่เนียน
“พูดความจริงออกมาสิ ว่ามันเป็นอะไรกับมึง หา พูดมา พูดมา” ขุนภักดีตะคอกดังลั่นกว่าเดิม
ทุกคนมองเนียนเป็นตาเดียวกัน
“ถึงเวลาที่แกต้องพูดไอ้ที่แกอมพะนำไว้ยี่สิบกว่าปีออกมาแล้วละเนียน พูด พูด” ทองจันทร์คาดคั้น
“เอ้อ...”
เนียนเอ้ออ้าตามเคย มองไปที่สนซึ่งยิ้มเยาะอยู่
“ขอร้องละเนียน พูดออกมาให้มันจบสิ้นกันไปสักที ว่าเสือหนักกับเนียนเกี่ยวข้องกันไหม แล้วเกี่ยวข้องเป็นอะไรกับเนียนกันแน่”
“เจ้าค่ะ เนียนจะพูด”
จู่ๆ มีเสียงปืนดังขึ้น มาจากท่าน้ำ และแผดดังลั่นมาใกล้ๆ ที่ทุกคนชุมนุมกันอยู่ ทุกคนตกใจต่างหลบกันให้วุ่นวายไปหมด กระสุนปืนเฉียดหัวสนไปนิดเดียว
สนกรี๊ดตกใจคิดว่าตัวเองโดนยิง
“ตายแล้ว..ไอ้เสือหนักมาลอบยิงสน”
จังหวะนั้นเหมมาส่งช้อย แต่โดนเทิดศักดิ์เรียกตรวจ เหมพายเรือหนี เทิดศักดิ์จึงยิงขู่ไล่จับ เหมยิงใส่สู้กันลั่นคลอง เหมยิงสู้ไปหนีไป
ช้อยบ่นบ้าอยู่ในเรือด่าเหม “ไอ้โง่พี่เหม ยิงกลับทำไมนั่นมันเรือคุณเทิดศักดิ์”
“กูไม่ยิงกลับมันก็จับกูได้สิวะ มึงนั่นแหละโง่”
“แกโง่กว่า เขาบอกให้จอดทำไมไม่จอด แสดงพิรุธหนีเขา ก็ยิงใส่สิ”
“ถ้ากูจอดเกิดมันรู้ว่ากูเป็นพี่ไอ้เหิม กูก็โดนจับสอบสวนสิวะ”
“โฮ้ย เรื่องแค่นี้ชั้นโกหกให้เองก็ได้ว่าพี่เป็นผัวชั้น” ช้อยโมโหโวยลั่น
“กูรู้ว่ามึงโกหกเป็นไฟ มึงโกหกเก่งจนกูเผลอตามมึงมาดูบ้านนี้”
“ถ้าไม่มาดูแล้วจะตะครุบเหยื่อได้ยังไง”
“กู ...ไม่น่ามาส่งมึงเล๊ย...”
“เอาไปหมื่นนึงแล้ว อย่าปากมากสิ”
“มึงนั่นแหละหยุดปากมาก โดดลงไปในน้ำเดี๋ยวนี้ อีตัวสาระแน” เหมไล่ตะเพิด
“โดดลงไป เสียงดังตูมตาม เกิดเขายิงมาใส่ชั้น”
“มึงก็ตายเหมือนหมาสิวะ จะลงหรือไม่ลง อีนี่ทำกูมีปัญหาจนได้”
ขณะที่ช้อยอึกอักอยู่ เหมถีบช้อยลงเรือ แล้วกระโดดน้ำหนีตามช้อยลงไปทันที
ฝ่ายเทิดศักดิ์เห็นเบื้องหน้าเสียงปืนสงบเงียบลงมอง ถือปืนจ้องไปรอบๆ อย่างระแวดระวังตัว
“เสียงเหมือนคนโดดน้ำ หมู่เติม ฉายไฟดูสิ”
หมู่เติมส่องไฟไปดู เห็นเรือลอยเคว้งไม่มีคนพาย
“ใช่แล้วครับ มันสละเรือครับ หมวด”
เทิดศักดิ์หงุดหงิด
“รีบดูในน้ำ มันกลั้นหายใจไม่ได้นานดอก”
หมู่เติมฉายไฟลงไปในน้ำกราดส่องไปทั่วบริเวณ
ด้านช้อยกะเหม ลอยตัวหลบแสงไฟ ที่กราดไปมา
“ชั้นว่ายน้ำไม่แข็ง พี่เหม ช่วยด้วย”
“กูยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะให้ช่วยมึง จมน้ำตายซะได้ก็ดี”
“อย่าทำแชเชือนให้คุณสนเสียเงินฟรีสิ คุณสนเอาชั้นตาย”
“เอามึงตายไม่ได้เอากูตายสักหน่อย เฮ้ย มันส่องไฟมาทางนี้ มึงออกหน้าสิ”
“ไม่นะ อย่านะพี่เหม”
เหมผลักช้อยให้ลอยพรวดขึ้นมาใส่แสงไฟฉาย แล้วตัวเองดำน้ำหนีหายไป แสงไฟจากหมู่เติมฉายมาโดนช้อยพอดี
ช้อยยกมือโวยวายขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย... ช่วยด้วย จะจมน้ำตายแล้ว”
เทิดศักดิ์กับหมู่เติมเห็นช้อย
“ยัยช้อย” เทิดศักดิ์แปลกใจนัก
“หมวดรู้จักหรือครับ”
“นั่นมันคนสนิทคุณแม่ชั้น”
“แย่แล้ว เขากำลังจะจมน้ำตายแล้วครับ”
“ไปช่วยไวไวเข้า”
หมู่เติมกระโดดลงไปทันทีว่ายพุ่งตรงไปที่ช้อย เทิดศักดิ์งุนงงระคนแปลกใจ
“อะไรกันนี่ ก็เรือนั่นมันไม่ยอมให้ตรวจ มันกลับยิงสู้ เรือใคร ทำไมยัยช้อยไปอยู่ที่เรือลำนั้น ทำไมยัยช้อยไม่ตอบกลับเราตอนเรียกตรวจ”
เสียงปืนดังมาจากท่าน้ำบ้านภักดีภูบาล พร้อมเสียงตะโกนกึ่งตวาดของท่านขุน
“ไอ้ลูกหมาที่ไหนบังอาจมายิงปืนใส่บ้านท่านขุนภักดี ออกมาปรากฏตัวให้ไว เดี๋ยวนี้”
“คุณพ่อ” เทิดศักดิ์ทั้งขำทั้งฉุน
ฟากขุนภักดียืนถือปืนเล็งไปในคลอง มีเอกกับแทนถือปืนคนละกระบอกส่ายหาว่าใครมาเล่นงาน
“กูถามว่าลูกหมาที่ไหนมายิงปืนใส่บ้านกู มึงไม่ตอบกูยิงตายแน่”
เสียงเรือแล่นมาใกล้ เป็นเสียงเทิดศักดิ์
“ลูกคนครับ ไม่ใช่ลูกหมา ผมเองครับคุณพ่อ ขืนยิงผมตายคุณพ่อติดตะรางนะครับ”
“คุณเทิดศักดิ์” เอกจำเสียงได้
“พุดโธ่ ตาเทิดนี่เอง หลงด่าซะ”
“ด่าซะเข้าเนื้อตัวเอง”
เอกว่าพลางหัวเราะ ขุนภักดีหันมาด่าเอก
“หัวร่ออะไรไอ้เอก แกนั่นแหละไอ้ลูกหมา”
ทุกคนพากันไปยืนขอบท่าน้ำรอรับเรือของเทิดศักดิ์ที่พุ่งเข้ามา เรือเทียบท่า เทิดศักดิ์ก้าวขึ้นมาบนฝั่ง
“ผมไล่จับผู้ต้องสงสัยมาครับ มันพายเรือลับๆ ล่อๆ แถวบ้านเรา ตะโกนเรียกให้หยุด กลับพายหนี ไม่พายเปล่า มันยิงสวนกลับ”
“ก็เลยยิงสู้กันสนั่นคลอง ท่านขุนเลยหาว่าลูกหมายิง”
“ไอ้เอก อย่าล้น นี่มันหนีไปได้หรือลูก”
“มันหนีลงน้ำ ตามไปฉายไฟดูปรากฏว่าเป็น...”
หมู่เติมลากเอาช้อยช่วยพามาที่ท่าน้ำ ขุนภักดีกับเอกอุทานเมื่อเห็นเป็นช้อย
“ยัยช้อย”
ช้อยเอาแต่ร้องไห้โฮๆๆๆ
ทางด้านสนแอบมองอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ท่าน้ำค่อนมาทางเรือนเล็ก สีหน้าท่าทางตกใจมาก
“นังช้อย นังบ้า ดันพาไอ้เหมมาตอนลูกเทิดศักดิ์กลับบ้าน เวรละสิ”
ที่ท่าน้ำ ทุกคนต่างพากันแปลกใจไม่หายที่ทำไมช้อยมาเกี่ยวข้องด้วย
“มันยังไงกัน นังช้อยมาลอยคออยู่ในน้ำทำไมกัน” ขุนภักดีถาม
“อยู่ในเรือที่ยิงสู้ผมครับ ผมกำลังสงสัยอยู่ ว่าทำไมยัยช้อยไปอยู่ในเรือต้องสงสัยนั่น”
เอกกับแทน พากันไปรับช้อยที่อาการสะบักสะบอมทำท่าจะตาย ตัวสั่นงันงก
“มันมีพิรุธ นังช้อยแกเป็นสายโจร” ขุนภักดีว่า
“เปล่านะเจ้าคะ”
“ก็แกไปอยู่ในเรือที่หนีตำรวจทำไม”
ช้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น “ช้อยโดนมันจับตัวไปเจ้าค่ะ มันปล้นช้อยเจ้าค่ะ”
“ยัยช้อยมีอะไรให้มันปล้น โกหกแน่นอน”
ช้อยร้องไห้ สะอึกสะอื้นกลบความผิด
“ทองสิเจ้าคะ ทองเท่าหนวดกุ้งที่คุณสนให้”
“งั้นชั้นไปถามคุณแม่ว่าให้ทองยัยช้อยตอนไหน”
“เอ้อ..ไม่ได้ให้ทองเจ้าค่ะให้เงิน แต่ช้อยสะสมเอาไปซื้อทอง ดูสิเจ้าคะ มันถีบช้อยลงคลอง หวังฆ่าปิดปากช้อยค่ะ โชคดีนะเจ้าคะที่คุณเทิดศักดิ์ช่วยชีวิตช้อย”
ช้อยรีบกราบเทิด
“แล้วแกไปเซ่อซ่ายังไงให้มันจับตัว” ขุนภักดีคาใจ
“เอ้อ..แถวตลาดเจ้าค่ะ มันจี้ช้อยมาจากตลาด” ช้อยโกหกไปเรื่อยเปื่อย
“ไหนคุณแม่ว่ายัยช้อยไปหาแม่ชีที่วัด ตั้งแต่วันก่อน” เทิดศักดิ์ไม่เชื่อ
“ไปแล้ว มาแล้วมาแวะตลาดเจ้าค่ะ”
“แล้วทำไมไอ้คนจับตัวแกมันต้องยิงไปในบ้าน มันจะปล้นเรอะ” ขุนภักดีซัก
“เอ้อ...ช้อยเห็นมันยิงไปทางเรือคุณเทิดศักดิ์เจ้าค่ะ ไม่ได้ยิงเข้าในบ้าน”
“ผมก็ไม่ได้ยิงเข้าไปในบ้านครับ”
ท่านขุนและเทิดศักดิ์มองหน้ากัน
“งั้นใครยิงเข้ามาในบ้าน”
“ยิงเฉียดแม่สนไปเส้นยาแดงผ่าแปดเลยแหละ ใครกันนะ” ขุนภักดีพึมพำ
“ยิงแม่สนหรือครับ”
เทิดศักดิ์ตกใจมาก
ด้านสนแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ท่าน้ำ ยังสั่นไม่หาย ใจหวนคิดว่าน่าจะเป็นหนักไหม
“นั่นสิใครยิงชั้น หรือว่าเป็น…”
จังหวะนี้มีคนมาจากด้านหลัง จิกหัวพร้อมกับปิดปากสนไว้ กระซิบด่า
“เป็นกูเองอย่างที่มึงสงสัยนั่นแหละ อีสนคนสารเลว มึงจะให้กูลากมึงออกไปบอกผัวมึงตอนนี้ดีไหม บอกลูกกูลูกมึงด้วยว่ากูคือใคร กูน่ะไม่กลัวตายดอก ดีเสียอีก ถ้ากูตายลูกกูจะได้หน้าได้ตาว่าจับเสือหนักได้”
หนักปล่อยสนแล้วทำท่าจะดึงออกไป สนส่ายหน้าลงนั่งคุกเข่ากอดขาหนักวิงวอน
“อย่า...อย่าทำอย่างนั้น ชีวิตชั้นต้องจบสิ้นไปด้วย จะสั่งให้ชั้นทำอะไร ชั้นทำได้ทั้งนั้น”
“ตอนทำมึงตั้งใจจะทำร้ายเนียน มึงจงไปบอกคุณนายทองจันทร์ท่านขุน คุณนายเรียม บอกยังไงก็ได้ ให้เรื่องนี้มันจบ”
“แล้วใครจะมาฟังชั้น”
“ก็ที่บ้านนี้มันพินาศ สันตะโรอยู่ ไม่ใช่เพราะเขาฟังมึงเรอะ มึงตอหลดตอแหล เก่งหาใครลอกเลียนแบบไม่ได้อีกแล้ว มึงก็ใช้วิชาโกหกของมึงไปสิ ถ้ามึงทำไม่ได้ มึงคอยดูว่าคราวหน้ากูจะยิงมึงโดนไหม ไม่ใช่ยิงเฉี่ยวเหมือนครั้งนี้ดอก อีใจชั่ว”
สนพยักหน้า หนักเอามือทิ่มหน้าสนจนหงายล้ม แล้วหันกลับ เสียงสนล้มดังไปถึงหูพวกท่าน้ำเพราะสนดันล้มไปโดนกิ่งไม้แห้ง
ขณะที่ทุกคนกำลังจะเข้าบ้าน
“เทิดศักดิ์ไปดูแม่สิ ป่านนี้ตกใจแทบตายแล้วกระมัง”
“ครับ ยัยช้อย เรื่องของแกยังไม่จบวันนี้ ชั้นมีอะไรจะถามอีกพรุ่งนี้”
“เจ้าค่ะ”
ช้อยลนลานหนีออกไปจากที่นั่น จังหวะนี้เสียงกิ่งไม้แห้งหักขึ้น
“เอ๊ะ”
ท่านขุนกับเทิดศักดิ์ สองคนหันปืนไปทางพุ่มไม้ทันที
“ใครอยู่ตรงนั้น” เทิดศักดิ์ตะโกน
“ออกมาเดี๋ยวนี้ไม่งั้นกูยิงตาย”
เสียงแหวกกิ่งไม้ออกมา ทุกคนตกใจอีกครั้ง สนผมกระเซิงไปเพราะหัวโดนหนักจิก
“สนเองค่ะพี่ขุน”
เทิดศักดิ์กับขุนภุกดีตกใจ “คุณแม่” / “แม่สน”
เอกกะแทนก็อุทาน “คุณสน”
สนทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้
“เอ๊ะ...แม่สนตกใจแล้วทำไมไม่ไปแอบบนเรือน มาแอบทำอะไรแถวนี้”
“หรือว่าคุณแม่มาแอบดูโจร หรือว่าคุณแม่มารอยัยช้อย”
“เปล่านะ แม่ แม่ กลัว กลัวเหลือเกินกลัวจนป้ำๆ เป๋อๆ ทำอะไรไม่ถูก”
สนสั่นไปทั้งตัวจริงๆ แล้วแสร้งหมอแรงล้มลงไปกองที่พื้น
“คุณแม่”
“แม่สน”
เทิดศักดิ์ปราดไปหาสน ขณะที่สนแอบหรี่ตามองสองคน
ฝ่ายทองจันทร์ เรียม เนียน ทานตะวัน และเนื้อทอง มารวมตัวกันอยู่ในบ้านทองจันทร์กันแล้ว ทานตะวันยังเอาเรื่องเนียนต่อ
“ยัยเนียน แกบอกมาสิว่าแกกับเสือหนัก เป็นอะไรกัน พูดออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แม่กับคุณย่าจะพูดจากับน้าเนียนเอง” เรียมขัด
“คุณแม่ อย่าใช้คำเรียกมันว่าน้ากับหนู หนูไม่ยอมเรียกคนอย่างมันว่าน้าเด็ดขาด”
“เออ เรามันเก่ง สักวันเถิด เรานั่นแหละ ที่จะสะดุดแข้งขาตัวเองจนน้ำตาเช็ดหัวเข่า” เรียมฉุน
“คุณแม่แช่งหนูอีกแล้ว คุณแม่อยากได้นังติ๋วมาเป็นลูกแทนหนู”
“ฟังพูดเข้า เดี๋ยวมันก็จริงจนได้ ให้ยัยติ๋วเป็นลูกแม่แก แล้วแกกลายเป็นลูกเนียนดีไหมล่ะ” ทองจันทร์หมั่นไส้
ทานตะวันโวยลั่น “โอ๊ย...คุณย่าขา อย่าเปรียบเทียบอะไรที่มันไม่จริง”
“วันหลังก็เลิกจิกเลิกด่าดูแคลนคนอื่นเขาเสียที” เรียมว่า
“ก่อนพูดอะไร สวดนะโมสามจบแล้วค่อยพูด” ทองจันทร์ผสมโรง
“คุณย่าก็เหมือนกัน อยากได้ นังติ๋วมาเป็นหลานแทนหนู หนูไปเป็นลูกแม่สนดีกว่า”
ทองจันทร์แขวะ “ทุกวันนี้แกก็ทำตัวเหมือนเป็นลูกแม่สนยิ่งกว่าตาเทิดศักดิ์เขาอีก กระซิบกระซาบกระเซาะกระแซะกันตลอดเวลา เชื่อฟังแม่สนจะเป็นจะตาย เดี๋ยวก็ตายเพราะมันเข้าสักวันหรอก”
“หนูอี๊ด กลับไปเรือนเรา แล้วไปสงบสติอารมณ์ ไตร่ตรองผิดชอบชั่วดี พิจารณาตัวเองว่าที่ผ่านมา ทำอะไรไม่เหมาะสมไปบ้าง ปรับปรุงตัวเองเรื่องความอิจฉาตาร้อนเกลียดชังดูแคลนคนอื่นซะ”
“แม่เขาพูดถูกนะหลาน หนูมีชีวิตที่ดีที่สุขสบายมากแล้ว ทำไมต้องจ้องไปโกรธไปชิงชังรังเกียจคนอื่นให้จิตใจหมองมัว แม่กับย่า จะมารักใครมากกว่าหนูไปน่ะไม่มีดอก แต่ที่ย่ากับแม่ทำดีกับเขาเพราะว่าเราเกิดมาเป็นคน ต้องรู้จักแบ่งปัน เขาดูแลย่า ปรนนิบัติรับใช้ย่า จงรักภักดีย่า ย่าก็ปันให้เขา มันเปรียบไม่ได้กับที่หนูและเทิดศักดิ์จะได้หรอก กลับไปเรือนตัวเอง แล้วทำตามที่แม่เขาบอกเถิด ยัยติ๋ว ย่าเหนื่อยมากแล้ว ย่าจะเข้านอน”
“ค่ะ"
เนื้อทองจะเข้ามาประคองเนียน เรียมเรียกไว้
“เนียน ไปที่ห้องของเนียน ชั้นมีอะไรจะคุยกับเนียน”
“ค่ะ”
เรียมจูงแขนเนียนพากันเดินไปห้องของเนียน ทานตะวันมองตามตาขวางไม่พอใจมาก
ฟากสนนอนเป็นลมอยู่บนเรือน มีเทิดศักดิ์กับท่านขุนดูแลพัดวีนวดเฟ้น
“ผมไม่เคยเห็นคุณแม่กลัวมากเท่านี้มาก่อนนะครับ คุณพ่อ”
“พ่อก็เห็นอย่างเดียวกับลูกนั่นแหละ หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านี้”
“มีแน่ครับ มีใครบางคนมายิงปืนในบ้านของเรา แล้วเฉี่ยวแม่สนไป”
“หรือว่ามันตั้งใจยิงจริงๆ แม่เรามันปากร้ายนัก อาจมีใครจงเกลียดจงชังเอาจนอยากขู่ให้กลัวก็ได้”
“คุณแม่อาจรู้ว่าใครลอบยิงเอา”
“นั่นสิ แต่พ่อคิดว่ามันแค่ยิงขู่ให้กลัว ถ้ามันยิงจริง แม่แกตายแล้ว”
สองคนมองหน้ากัน
“มันเป็นใครกันแน่”
“แม่แกเท่านั้นที่อาจรู้”
สนลืมตามองมาที่ขุนภักดีกับเทิดศักดิ์แล้วต้องผงะ เพราพเห็นหน้าท่านขุนกับเทิดศักดิ์กลายเป็นหน้าหนักกับเหิม
“อ๊าย...กลัวแล้ว ๆๆ”
“คุณแม่ นี่ผมนะครับ”
“นี่พี่นะ แม่สน”
สนเขม้นมองดีๆ แล้วถอนใจแต่ยังสั่น
“ลูกเทิดศักดิ์...พี่ขุน”
“แล้วแม่สนคิดว่าใครรึ”
“คุณแม่กำลังกลัวใครอยู่หรือครับ”
สนส่ายหน้า
“มะ.. ไม่มีหรอกลูก พี่ขุนคะ สนมีอะไรจะบอก”
“บอกมาสิ”
สนอึกอัก ขุนภักดีกับเทิดศักดิ์รอฟัง
ขณะเดียวกันภายในห้องนอนของเนียน เรียมถามซักเอากับเนียน
“เนียนไม่ต้องไปบอกพี่เทพ เรื่องเสือหนัก แต่บอกชั้นคนเดียวเท่านั้น และชั้นสัญญาว่า จะไม่เอาไปพูดกับใครทั้งสิ้น แม้แต่กับคุณแม่”
“เอ้อ...”
“แต่ถ้าเนียนไม่ต้องการพูด ชั้นจะไม่เคี่ยวเข็ญ ชั้นเคารพการตัดสินใจของเนียน”
“ค่ะ ที่ท่านขุนท่านได้ยินนั่น มันคือเรื่องจริงค่ะ”
เรียมงวยงง “หมายความว่า เนียนพูดถึงเสือหนักจริง เสือหนักกับเนียนเกี่ยวข้องกันจริง”
“เอ้อ...”
“หนูติ๋วเป็นลูกเขา” เรียมถาม
เนียนส่ายหน้า) ไม่ใช่ดอกค่ะ แต่หนูติ๋ว เป็น...”
“เป็นอะไรรึ”
เรียมมองหน้าเนียนตั้งใจฟังที่เนียนบอก
ส่วนสนมีท่านขุนกับเทิดศักดิ์จ้องหน้ารอฟังคำบอกเล่า เสียงหนักดังก้องขึ้นในหูสนอีกครา
“สั่งให้พูดเรื่องเนียน”
“ไหนว่ามีอะไรจะบอก ทำไมเงียบไปเลย” ขุนภักดีถามอีก
“บอกมาสิครับคุณแม่ ว่ามันเรื่องอะไร”
“เรื่องเนียน”
ขุนภักดี กับเทิดศักดิ์อุทาน “เรื่องเนียน” / “เรื่องน้าเนียน”
“มีเรื่องอะไรกับน้าเนียนอีกแล้วหรือครับ”
“สนกลัวว่าพี่จะไม่เอาเรื่องนังแพศยานั่นรึ”
“น้าเนียนทำอะไรให้คุณพ่อโกรธครับ”
“มันกลัวว่าพ่อกับลูกและแดงน้อย จะช่วยกันฆ่าเสือหนัก มันไปสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้คุ้มครองเสือหนัก พ่อได้ยินกับสองหูของพ่อ”
“คุณพ่อไม่ได้หูฝาดแน่นะครับ”
“ไม่ฝาดแน่ ไม่เพียงได้ยิน พ่อเห็นกับตาด้วย มันสวดไปร้องไห้ไปเหมือนใจจะขาด”
สนโพล่งออกมา “เพราะสนค่ะ สนผิดเองค่ะ”
สองคนถึงกับงงมองหน้าสน อุทานลั่น
“อะไรนะ”
อาญารัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
ทางด้านเนียนบอกความจริงกับเรียมไปว่าเสือหนักเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตน พูดแล้วเนียนน้ำตาไหลพราก เรียมปลอบโยน
“ที่เนียนเรียนไปทั้งหมดนั่นคือความจริงที่เนียนต้องการจะเก็บไว้เป็นความลับไปจนตาย”
“ชั้นรู้ความจริงแล้ว ชั้นก็จะเก็บไว้เป็นความลับไปจนตายเช่นเดียวกันสบายใจเถิดเนียน เพราะอย่างน้อยก็ยังมีชั้นที่รู้ความจริงว่าเนียนกับเสือหนักไม่ได้ทำผิดต่อพี่เทพ”
“ขอบพระคุณ คุณเรียมมากค่ะ”
“ชั้นก็ขอบใจมากที่เนียนไว้ใจ เชื่อใจชั้น ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ให้ใครมารังแกด่าว่าเนียนเรื่องนี้อีก”
“ช่างเถิดค่ะ พรุ่งนี้เนียนกับลูกคงต้องขอกราบลา”
“ไม่ได้นะเนียน ไม่ได้เด็ดขาด”
เนียนได้แต่ส่ายหน้า
“เนียนไม่อาจแก้ตัวกับท่านขุนได้ เนียนทำให้ท่านอับอายขายหน้าเพราะเนียนมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ทั้งโกหก เรื่องมีลูกมาแล้ว ทั้งปิดบังเรื่องเสือหนัก เนียนต้องจบเรื่องนี้ค่ะ และท่านก็ได้ออกปากไล่เนียนแล้วนะคะ”
เรียมพูดไม่ออก
สนฝืนใจพูด เทิดศักดิ์กับขุนภักดีฟังแล้วแปลกใจ
“คืนนั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ผู้ชายที่สนบอกว่ามาเอาสร้อยกับแหวนไปจากเนียน ความจริง สนไม่เห็นเองดอกค่ะว่าเป็นใคร”
“คุณแม่ นี่คุณแม่ทำอะไรลงไป ไม่ได้เห็นเองว่าเป็นใคร แล้วทำไมคุณแม่บอกว่าเป็นเสือหนักครับ”
สนโยนบาปให้ช้อยตามเคย “แม่ คือแม่ ..นังช้อยมันบอกแม่ว่ามันจำได้ว่าเป็นเสือหนัก แม่ก็เชื่อมัน”
“เรื่องเกิดมายี่สิบกว่าปี ทำไมคุณแม่เพิ่งมาพูดความจริงเอาป่านนี้”
“แล้วทำไมเจ้าตัวมันไม่เคยปฏิเสธ เมื่อสักครู่มันก็ไม่ปฏิเสธ”
“คือ สนไม่สบายใจเรื่องนี้มานาน กลัวบาปกรรมตามสนอง เสือหนักจะอาฆาตตามเข่นฆ่าสน สนจึงตัดสินใจบอกความจริงเนียน ขอร้องเนียนให้ช่วยแก้กรรมให้สน ด้วยการสวดมนต์อ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องให้มันรอดพ้นจากการถูกจับมันจะได้เลิกจองเวรสน เพราะสนเอาชื่อมันไปแอบอ้าง”
“แปลว่าสนทำให้พี่เข้าใจผิดมันเอ้อ...เนียนมานานแล้ว”
“สนขอโทษค่ะ”
“ทำไมสนถึงจะคิดว่าเสือหนักจะรู้ความจริงว่าสนใส่ความมัน”
“มันคงรู้แหละครับ ผมมั่นใจว่าคนที่มายิงคุณแม่คือเสือหนัก” เทิดศักดิ์บอก
สนสะดุ้งโหยง ใจหายวาบส่ายหน้าไปมา
“แม่กลัว แม่กลัว...พี่ขุนขา อย่าไล่เนียนไปจากที่นี่ ช่วยไถ่บาปแทนสนสักครั้ง”
ขุนภักดีกับเทิดศักดิ์มองสนด้วยความแปลกใจ สนร้องไห้วิงวอนกราบกรานไม่เลิก ท่านขุนไม่ได้รับปาก
แต่เทิดศักดิ์ครุ่นคิดแปลกใจ
ฝ่ายเรียมนั่งรอขุนภักดีอยู่ในห้องนอน สักครู่หนึ่งท่านขุนเดินเข้ามาหน้าตาหงุดหงิดเอาการ
“พี่รู้นะว่าเรียมนั่งรอพี่เพื่อจะพูดอะไรกับพี่”
“ถ้าพี่เทพรู้ ก็ทำตามที่เรียมกำลังจะขอร้องเถิดนะคะ อย่าไล่เนียนไปจากที่นี่”
“พี่ไม่เข้าใจผู้หญิงจริงๆ เมื่อสักครู่ สนก็บอกกับพี่เหมือนที่เรียมบอก”
เรียมแทบไม่เชื่อหู “อะไรนะคะ สนขอพี่เทพไม่ให้ไล่เนียนไปจากที่นี่ หมาจะงอกเขาเต่าจะมีหนวดแล้วกระมังคะ”
“สนอ้างว่าเรื่องเสือหนักกับเนียน ช้อยเป็นคนมาบอก สนไม่ได้เห็นเอง”
“แล้วทำไมมากลับคำเอาป่านนี้ไม่ทราบ”
เสียงคำพูดของเนียนที่บอกกับเรียมว่า ที่ขุนภักดีได้ยินเป็นเรื่องจริงดังก้องในหู
“สนกลัวเสือหนักตามอาฆาต เลยบอกความจริงเนียน ให้เนียนไปแก้กรรมแทนด้วยการสวดมนต์ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเสือหนัก” ขุนภักดีว่า
“ช่างเหลือเชื่อ ถ้าเช่นนั้นพี่เทพก็ไม่ต้องไล่เนียน”
“พี่เอ่ยปากไล่ไปแล้ว พี่จะคืนคำได้อย่างไร”
“คืนคำเพื่อทำสิ่งดีมีคุณธรรม ดีกว่ากลับคำเพื่อทำร้ายคน พรุ่งนี้เนียนกับลูกคงมากราบลา เรียมจะเปิดโอกาสให้พี่เทพพูดกับเนียนตามลำพังค่ะ”
“นี่พี่กำลังโดนเมียสองคน รุมขนาบซ้ายขวาให้เมตตา คนใจง่าย”
ขุนภักดีบ่น ไม่ให้คำตอบว่าอะไร เรียมได้แต่หวังว่าสามีจะใจอ่อน
ด้านสนนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เสียงหนัก บอกว่าจะยิงให้โดนในคราวหน้า ดังก้องในหู ตามด้วยภาพหน้าตาเอาจริงน้ำเสียงแข็งกร้าวของหนักที่สั่งให้สนไปแก้ต่างกับขุนภักดีเรื่องเนียน
สนคิดเครียดเผลอโวยวายดังลั่น
“อย่าฆ่าชั้นนะ อย่าทำ อย่าทำ ชั้นกลัวแล้ว”
เทิดศักดิ์ได้ยินรีบวิ่งเข้ามาในห้อง
“คุณแม่ ตกใจโวยวายอะไรอีกแล้ว”
สนส่ายหน้า
“แม่ฝันไปน่ะ แม่คงละเมอ”
เทิดศักดิ์มองที่นอน เห็นว่ายังไม่มีร่องรอยใครลงไปนอน จึงเดินไปดูใกล้ๆ
“คุณแม่นั่งหลับจนละเมอหรือครับ คุณแม่ไม่ได้นอนบนที่นอนนี่ครับ”
สนหงุดหงิด “จับผิดแม่อีกแล้ว ก็แม่เผลอหลับ ไม่รักไม่ห่วงแม่ ไม่คิดจะช่วย แต่ดันกลับมาจับผิด”
“ตรงกันข้ามครับ ผมจับผิดคนมาลอบยิงคุณแม่ต่างหาก ผมกลัวว่าจะมีใครแอบมาทำร้ายคุณแม่ คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไร ผมขอตัวครับ นอนนะครับคุณแม่”
พลางเทิดศักดิ์พาสนมานอน ห่มผ้าให้ แล้วเดินออกไป สนดึงมือเทิดศักดิ์ไว้ สีหน้าหมองเศร้า
“ลูกเอ๊ย...”
“ครับ..คุณแม่”
สนพูดพร่ำรำพันออกมา “แม่รักลูกมาก รักลูกจริงๆ แม่รักลูกจนบางครั้งอาจทำอะไรเกินเลยไป เพราะความรักลูกต้องการปกป้องลูก”
“ผมเป็นลูกขุนภักดีภูบาลนะครับ ไม่ใช่ลูกตาสีตาสา ผมมีทุกอย่างที่ใครๆ ต้องการจะมี ชีวิตผมดีงามสุขมากมายเกินใครๆ ไม่ต้องรักผมมากเกินไป ไม่ต้องห่วงใยผมจนเกิดปัญหา ถ้ารักผม ช่วยรักตัวเอง ห่วงตัวเอง อย่าก่อปัญหา ถ้าคุณแม่ลดอารมณ์ในด้านร้ายลงมากๆ ความสุขของผมจะเพิ่มพูน นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ ไม่ใช่สมบัติเงินทอง” หนุ่มแสนดีพูดเตือนสติมารดา
“จ้ะ...แม่เชื่อลูก”
“หลับแล้วตั้งจิตให้สงบ จะได้ไม่ฝันร้ายนะครับ”
เทิดศักดิ์ก้มลงไปโอบแม่
“ขอบใจมากที่รักแม่”
สนตื้นตันจนน้ำตาคลอ
เช้าวันต่อมาทองจันทร์ส่ายหน้า ออกคำสั่งใส่เนียนกับเนื้อทอง ที่กำลังก้มลงกราบลา
“เนียนกับลูกขอกราบลาเจ้าค่ะ” เนียนไหว้
“ชั้นไม่รับ ไม่ให้แกสองคนกราบลาไปไหนทั้งสิ้น บอกแล้วว่าที่นี่มันบ้านชั้น ใครจะมาไล่พวกแกไม่ได้” ทองจันทร์บอก
“เนียนสมควรโดนไล่ เนียนเป็นคนเลวมากไม่สมควรอยู่ที่นี่ต่อไปนะเจ้าคะ” เนียนยืนกราน
ทองจันทร์ถอนใจเฮือกใหญ่ “เรื่องความเลวของแก ชั้นไม่รู้แน่ชัด เพราะมีแค่ลมปากว่า เกิดถ้าแกไม่ผิด ก็เท่ากับชั้นปรักปรำแก แถมเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ท่านพระครูท่านสอนให้ปลง ทำใจให้ว่างเปล่า ชั้นจึงขอดูเอาจำเพาะสิ่งดีงามที่แกทำให้ชั้นมายี่สิบกว่าปี แต่ที่ฉงนใจ ทำไมแกต้องไปลงทุนสวดมนต์ภาวนาอย่างที่พ่อเทพเขาพบเห็นขนาดนั้น”
สนมาจากไหนไม่รู่ แต่หน้าตาหม่นหมอง เข้ามาไหว้ทองจันทร์
“สนเองค่ะ สนขอให้เนียนบนบานสวดมนต์แก้กรรมให้สนเรื่องเสือหนักค่ะ”
ทองจันทร์ประหลาดใจ “ไฮ้...นังกบ นังแมว ช้างจะบินได้ นกจะบินไม่ได้ตกลงมาตาย แกช่วยไปหาอะไรมาไขหูชั้นหน่อยสิ ชั้นฟังอะไรผิดไปใช่ไหม”
เนียนกับเนื้อทองเองก็ตกใจไปด้วย กบกะ แมวมองหน้ากันแบบเหลือเชื่อ
“ไม่ผิดดอกค่ะ คุณแม่ เรื่องมันเกิดเพราะนังช้อยมันใส่ความเนียนว่าคนที่มาหาเนียนเมื่อยี่สิบกว่าปีนั่นเป็นเสือหนัก สนก็หูเบาทั้งที่ไม่ได้รู้เห็นไปด้วยสักหน่อย เชื่อมันซะสนิทใจ ไม่ไตร่ไม่ตรอง”
กบกะแมวประสานเสียง “ต๊าย”
ทองจันทร์ตบเข่าฉาดใหญ่
“อยากจะตบหน้าอีช้อยนัก หล่อนก็หูเบา นี่เกิดนึกอะไรขึ้นมาทำตัวเป็นเสือสำนึกบาป หน็อยอมพะนำความจริงไว้ได้ทนทานนานยี่สิบกว่าปีทำไมจู่ๆ ตัดสินใจคายออกมาง่ายๆ ผีอะไรดลใจหล่อนยะ”
“สนกลัวบาปค่ะ”
“กลัวบาปหรือกลัวเสือหนัก กลัวมันรู้ว่าใส่ร้ายมันแล้วมันจะตามเข่นฆ่าราวีเอา” ทองจันทร์เยาะ
“ทั้งสองอย่างแหละค่ะ” สนหันมาทางเนียน “เนียนชั้นขอโทษ ความจริงเมื่อวานชั้นจะบอกพี่ขุนว่าชั้นใช้เนียนเอง ขออย่าลงโทษเนียน แต่เกิดเรื่องยิงปืนกันก่อน”
ทองจันทร์ไม่เชื่อ “หล่อนเนี่ยนะยะ จะบอกความจริงพ่อเทพ เห็นบอกแต่ให้พ่อเทพเอาแส้ม้าหวดเนียนมันแท้ๆ ยุบหนอพองหนอ ผีดีงามที่ไหนมาสิงสู่ในอกในใจคุณนายสน ผู้ไม่เคยระย่อต่อใดๆ ทำไมมากลัวเสือหนักซะมากมายจนยอมคายความจริง”
“ขอโทษนะเนียน” สนกล้ำกลืนฝืนใจบอกเนียนทั้งที่ในใจร้อนระอุ
ทานตะวันเดินเข้ามา ได้ยินสนขอโทษเนียนพอดี แหวใส่
“แม่สน ไปขอโทษมันทำไมคะ หนูกำลังจะมาดูว่ามันจะไปกันแล้วหรือยัง แอบขโมยอะไรติดไม้ติดมือไปหรือเปล่า”
“ย่ะ... ถ้าสองคนนี่มันขโมยอะไรไปได้ ชั้นจะขอให้พวกมันขโมยความเลวของใครหลายคนที่นี่ใส่หม้อลงอาคมไปทิ้งแม่น้ำท่าจีนซะให้หมดย่ะ” หญิงชราแดกดันหลานสาวตัวแสบ
กบกะแมวแอบหัวเราะ จังหวะนี้เอกเข้ามารายงาน
“ขอประทานอภัยที่มาสอดแทรกขอรับ คือว่าท่านขุน มีบัญชาให้เนียนไปพบที่เรือนโน้นขอรับ หมายเหตุว่าไปตามลำพัง”
“ไปเถิดย่ะ ฝากหมายเหตุไปบอกพ่อเทพด้วย ชั้นหวังว่าแม่เนียนไปตามลำพัง แม่เนียนคงจะไม่พบความลำเค็ญกลับมานะยะ” ทองจันทร์อดประชดไม่ได้
เนียนสบตาลูกสาว แล้วถอยออกไป ทานตะวันงวยงง กระซิบถามสน
“นี่มันอะไรกันคะแม่สน”
สนกระซิบตอบพร้อมกับส่ายหน้า ทองจันทร์แอบได้ยิน
“อะไรรึ ก็ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกกระมังหนูอี๊ด ใช่ไหมน่ะแม่สน”
สนแอบเบือนหน้าหนี ตาถลน คำรามในลำคอ แค้นจัด
“อีเนียนมึงทำกูขายหน้า”
ไม่นานต่อมาขุนภักดีมองเนียนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ท่าทีประดักประเดิด พูดไม่ถนัดปาก เนียนก้มหน้าไม่สบตา แล้วครู่หนึ่งท่านขุนก็พูดแบบพาลๆ
“ทำไมไม่บอกว่า แม่สนเขาสั่งให้สวดอ้อนวอนเหลวไหลนั่น”
“เอ้อ...”
“พูดอะไรออกมานอกจากคำว่าเอ่อ... เป็นสักคำไหม”
“เอ้อ...เจ้าค่ะ”
“ก็พูดมาว่าความจริงคือกระไร สิ”
“เอ้อ…”
ขุนภักดีหงุดหงิดมากขึ้น “กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากมาก จนทำให้ชั้นกลายเป็นไอ้คนใจดำอำมหิตผิดมนุษย์ก็เพราะไม่ยอมพูดนี่แหละ บอกให้พูดออกมา”
“เจ้าค่ะ เนียนขอกราบลา” เนียนบอก
ท่านขุนตกใจ
“ว่ากระไรนะ”
“เอ้อ...เนียนขอกราบลา ไปตามบัญชาที่ท่านสั่งค่ะ”
“แล้วทำไมชั้นจึงสั่ง คิดเป็นบ้างไหม”
“เพราะเนียนเลวทรามต่ำช้าคบชู้สู่ชายเจ้าค่ะ” เนียนบอกเสียงเรียบ
“หยุดประชดกันนะ อย่ามาแกล้งประชดประชันให้ชั้นเสียหน้า นี่ถ้าแม่สนเขาไม่มาสารภาพละก็ ชั้นก็ต้องเข้าใจผิด ทุบตีทำร้ายหล่อนอีก จะให้ชั้นเข้าใจผิดไปจนตายรึ เจตนาจะให้ชั้นหอบกรรมตามติดตัวไปจนชาติหน้ารึ”
เนียนฟังขุนภักดีบอก ยิ่งแปลกใจในตัวสน ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอ้อ...เนียนไปได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไปไหน”
“ไปบ้านแพนค่ะ”
“ไปเพราะมีใครมันรออยู่รึ”
“เอ้อ...เปล่าเจ้าค่ะ”
ขุนภักดีกลายเป็นฝ่ายอึกอักเสียเอง “แต่....ชั้น ชั้น ชั้นเอ้อ ไม่ให้ไป” พูดเอาดื้อๆ
เนียนอึ้ง “ท่านขุน”
“ก็ในเมื่อสนเขาว่า เขาขอให้เราทำ ไม่ใช่ตั้งใจทำเอง ก็แปลว่า ชั้นเข้าใจไขว้เขวไปเอง หล่อนไม่ผิด นี่คือคำสั่งห้ามไปไหนทั้งนั้น ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากชั้น คุณแม่ และคุณเรียม นึกจะไปก็ไปนึกถึงอนาคตของลูกเต้า เด็กมันกำลังจะเปิดโรงเรียน คิดจะมาประจานชั้นให้กลายเป็นปีศาจร้าย เป็นยักษ์มาร ขวางความเจริญของมันงั้นหรือ”
เนียนทั้งดีใจทั้งแปลกใจ “ท่านขุน”
“ไปให้พ้นไม่อยากจะเห็นหน้า ทีหน้าทีหลัง ใครเขาสั่งให้ทำอะไรก็อย่าโง่ซื่อจนเซ่อเชื่อเขาไปจนตัวตายเลยทีเดียวนะ ไปซะให้พ้น”
เนียนก้มลงกราบ แล้วถดตัวถอยออกไป ท่านขุนเมินหน้าหนี หน้างอรู้สึกเสียหน้าที่ต้องง้อเนียน ไม่วายพูดแก้เก้อไล่หลัง
“อย่ามาเข้าใจว่าง้อนะ ชั้นเพียงดำรงความยุติธรรมในฐานะหัวหน้าครอบครัวที่นี่ตะหาก”
ขุนภักดีวางท่าปั้นปึ่ง ฮึดฮัดไปมา แต่ท่าทีดูน่าขัน
ฝ่ายเรียมซึ่งแอบฟังอยู่ในห้อง อดขำไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมา แต่ต้องรีบเอามือปิดปาก
“น่าขบขันพี่เทพ ปากอย่างใจอย่าง ดีใจที่กลายมาเป็นสนที่ก่อเหตุทำพาล อยากจะรู้นักว่าถ้าเนียนไปจริงๆ พี่เทพจะทำอย่างไร”
สักครู่หนึ่งประตูห้องเปิดออกมา เรียมรีบปรับหน้าตาทำไม่รู้ไม่ชี้
“เรียม”
“อุ๊ยตาย”
“เรียมมาแอบฟังพี่” ขุนภักดีมองหน้าเมียหลวงแสนดี
“เปล่านะคะ เรียมเพิ่ง เพิ่งเอ้อ แต่งตัวเสร็จ กำลังจะเดินออกไปเรือนคุณแม่น่ะค่ะ”
“แก้ตัวได้แก้ตัวไป ทำไมนะ พี่ถึงต้องผจญกับพวกผู้หญิงเจ้าเล่ห์เจ้ากลมากมายนัก ยิ่งแก่ตัวกันยิ่งมีฤทธิ์เดช เล่ห์เหลี่ยมเพิ่มพูน”
“ไม่เอาแล้ว พี่เทพกำลังโมโหแล้วพาล ไปดีกว่าค่ะ”
เรียมตัดบท แต่หลุดหัวเราะดัง เพราะขำท่าทีสามีมากขึ้น ท่านขุนดุเสียงดังลั่น
“อย่าหัวเราะเยาะพี่ รู้นะว่าสมน้ำหน้าหาว่าพี่ง้อเนียน”
“ไม่เค๊ย..ไม่เคยเลย ที่จะคิดว่าพี่เทพต้องไปง้อใคร เรียมต่างหากที่อ้อนวอนให้พี่เทพอภัยให้เนียน”
ขุนภักดีนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อีช้อย อีนางตัวดี ทำครอบครัวคนอื่นป่นปี้”
เรียมยิ้มๆ บ่นเบาๆ
“เพิ่งจะรู้รึ”
ขณะเดียวกัน ช้อยนั่งฟังเรื่องราวจนจบ และกำลังร้องไห้ท่าทีพะอึดพะอมอยู่ต่อหน้าเทิดศักดิ์บนเรือนของสน
“คุณสนว่าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“ว่าตามที่ยัยช้อยมาปดมดเท็จทุกอย่าง ตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อนจนมาถึงเดี๋ยวนี้นั่นแหละ ยอมรับมาซะดีๆ”
ช้อยทำท่าจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่สนก้าวมายืนอยู่หลังเทิดศักดิ์ ถลึงตาใส่ช้อยเลยต้องรับ
“เจ้าค่ะ..ช้อยใส่ร้ายเนียนมายี่สิบกว่าปีแล้วเจ้าค่ะ”
“ชั้นบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดจาให้ร้ายคนอื่น ชั้นจะทำอย่างไรกับช้อยดีนะ”
สนทำทีเพิ่งเดินเข้ามา “ไล่มันไปสิลูก”
ช้อยตกใจ “ไล่หรือเจ้าคะ”
สนพูดเสียงอ่อนลง “ช้อยแกไปอยู่ที่อื่นเถิด อย่าอยู่ที่นี่เลย รังแต่จะหาเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจมาใส่พวกชั้น”
ช้อยทั้งน้อยใจทั้งตกใจ “คุณสน”
“ยังให้ไปไม่ได้ครับ คุณแม่ ผมมีเรื่องจะสอบถามยัยช้อยอีกหลายเรื่อง”
“งั้นก็เอาไว้สอบถามมันต่อ ตอนลูกกลับมาจากทำงานดีไหมลูก”
“ได้ครับ ยัยช้อยเตรียมคำตอบไว้ให้ดี อย่าคิดโกหก ชั้นจับได้แน่”
เทิดศักดิ์เดินออกไปทันที ช้อยมองตามแล้วร้องไห้โฮหันมาตัดพ้อต่อว่าสน
“คุณสนขว้างกรรมมาใส่ช้อย อีกแล้ว ทั้งที่ช้อยไม่อยู่ไม่รู้ไม่เห็น ช้อยไปทำงานให้คุณสนแท้ๆ”
“ทำงานแบบโง่ๆ ชั้นเสียเงินไปหมื่นบาทฟรีๆ ไอ้ผีทะเลเหมดันมาก่อเหตุยิงใส่ลูกชั้น เรื่องที่วางแผนไว้ต้องสะดุดหยุดกลางคัน มิหนำซ้ำเมื่อคืน ชั้นก็โดนหมามันยิงขู่”
ช้อยรู้ทันที “ไอ้เสือหนัก”
สนนิ่งไป สีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ชั้นอยู่ในสายตามันตลอดเวลา ถึงคราวที่ต้องจำใจหยุดก่อนนังช้อย”
“ช้อยเตือนแล้วนะเจ้าคะ ว่าเรากำลังจนหนทาง หาทางไปไม่เจอเรื่อยๆ”
สนตวาด “เงียบ...ชั้นหยุดตั้งสติเท่านั้น ถ้าชั้นหาทางไปใหม่ได้ ชั้นจะไป”
“แต่คุณเทิดศักดิ์กำลังจะสอบสวนช้อย ช้อยโกหกอะไรไว้หลายเรื่อง”
“เรื่องของแก คิดเอาเองว่าแกจะโง่อยู่ให้เขาสอบสวนหรือจะไปให้ไวๆ”
ช้อยหน้าสลดรู้ชะตาตัวเอง
หมวดเทิดศักดิ์มาทำงานที่โรงพัก และยิ่งหงุดหงิดมากหลังฟังเรื่องราวของช้อยจากหมู่เติมที่มาบอกกล่าว
“ยัยช้อยโกหก มันไม่ได้ไปหาแม่ชี”
“ครับ แม่ชีแกไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
“ไม่ไปหาแม่ชี แล้วไปไหน สายของเราสืบได้ความบ้างไหม”
“น่าจะไปหาลูกชายครับ”
“ลูกชายมันบ้านเดิมอยู่ที่ไหน”
“บางปลาม้าครับ หมวด”
“ไอ้คนเมื่อคืนไม่ได้ปล้นมันแน่ แต่คงมาส่งมัน หมู่รีบส่งสายไปบางปลาม้า ตรวจหาว่าใครเป็นญาติของยัยช้อย แล้วลูกชายมันไปหลบที่นั่นหรือเปล่า”
“ครับ หมวด”
หมู่เติมเดินออกไป เทิดศักดิ์ครุ่นคิดหนัก แปลกใจ และสงสัยไปหมด
“ทำไมจู่ๆ แม่สนมาเห็นใจน้าเนียน มันผิดวิสัยแม่สน แล้วใครเข้ามายิงแม่สนหรือว่าเป็น..เสือหนักจริงๆ แล้วทำไมเสือหนักต้องแค้นแม่สนมากมายขนาดกล้ามาเล่นงาน ช่างไม่กลัวเกรงขุนภักดีภูบาลบ้างหรืออย่างไร”
เทิดศักดิ์ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวแสนสับสน
ฟากเรียมมากระซิบเล่าเรื่องที่เรือนใหญ่เมื่อครู่ให้คุณนายทองจันทร์ฟัง
“พ่อเทพปากอย่างใจอย่างก็ยังดี ที่ไม่ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ เหมือนแม่สนเมื่อตอนเช้านั่น ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ ว่ามันมีเจตนาดีกับเนียน”
“จบไปแล้วด้วยดีก็ดีแล้วค่ะ มีแต่พี่เทพนี่แหละคะ แสนงอน อาละวาดฟาดงวงฟาดงา คงเสียหน้าที่ห้ามเนียนไม่ให้ไปไงคะ แต่อีกไม่เกินวันนี้วันพรุ่งก็คงหายค่ะ”
จังหวะนี้เนียนเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามา พร้อมด้วยถาดใส่พวงมาลัยมาวางให้ทองจันทร์
“พวงมาลัยค่ะ คุณท่าน”
“สวยดี พี่เทพบ่นว่าอยากได้ไปถวายพระที่ห้องทำงานศาลากลางพอดีส่งมาพวงหนึ่งสิเนียน” เรียมยิ้มบอกอย่างอารมณ์ดี
ขุนภักดีบังเอิญเดินมาพอดี เห็นสีหน้าทองจันทร์กับเรียมยิ้มๆ แบบมีลับลมคมใน เลยพาลพาโลใส่แม่และเมีย
“มีความสุขกันเหลือเกินนะครับ คุณแม่ เรียม”
“อ้าว..ก็แม่สบายใจนี่ ที่เห็นแม่สนเขากลายเป็นคนใจดีมีเมตตาฉับพลันทันใด สงสัยว่าจะไปได้ยาดีผีบอกที่ไหนมา”
ท่านขุนปรายตาไปมองเนียนที่ส่งมาลัยให้เรียมอยู่พอดี เรียมรีบเอ่ยทันที
“พี่เทพอยากได้พวงมาลัยไปบูชาพระ นี่ไงคะ”
“อยากได้ เดี๋ยวพี่ให้ใครมันไปหาซื้อเอาในตลาดเอง ไม่ต้องมายัดเยียด”
“เออแน่ะ ยัดเยียดความผิดให้คนอื่นผิดๆ แล้วพาล” ทองจันทร์แขวะลูกชาย
“คุณแม่แขวะผม”
“เปล๊า แม่พูดถึงจะหมื่นผัวแม่ก็พ่อแกนั่นแหละ นิสัยผิดแล้วพาล พ่อเทพไม่ได้เชื้อติดมาก็แล้วไปสิ พวงมาลัยนั่นเอามาให้ชั้นให้หมดเนียน วันนี้ใครไปตลาดแล้วหาซื้อมาน่ะว่ามันสวยเท่าที่แกทำไหม”
เนียนปรายตามองท่านขุนเพราะสั่งไม่ให้ออกจากบ้าน
“เจ้าค่ะ”
“คุณแม่ครับผมไปก่อน ไอ้เอกนี่ชักช้าจริง”
เอกโผล่มาแล้วรีบรายงาน
“ท่านขุนขอรับ พวงมาลัยที่ตลาด ไม่มีขอรับ”
เรียมกับทองจันทร์แอบสบตากันยิ้มๆ ส่วนเนียนรีบก้มหน้างุด
“เนียน แกรีบเอาพวงมาลัยของเราไปเก็บซะ” ทองจันทร์แกล้งสั่ง
“เอ้อ...ค่ะ” เนียนรับคำ
เอกพูดแทรกขึ้น “วันนี้วันพระนะขอรับ”
“พวงมาลัยแค่นี้ก็หวง ไม่มีอะไรบูชาพระก็ช่างเถอะ”
พูดจบท่านขุนก็เดินปึงๆ ออกไปท่าทีงอนๆ เนียนหน้าจ๋อย
“เอ๊า..นี่พาลจริงๆ แน่ะ” ทองจันทร์ยิ้มขำลูกชาย
เรียมคว้าพวงมาลัยในพานมาส่งให้เอก
“บอกท่านว่าพวงนี้คุณแม่ท่านร้อยเอง จะขว้างทิ้งกลางทางก็แล้วแต่”
เอกรับมายิ้มกริ่มรีบเดินตามขุนภักดีไป
“ผู้ชายอะไร้ งอนเป็นช้อนหอย”
เนียนกับเรียมมองทองจันทร์ที่กำลังหัวเราะขบขัน
สองแม่ลูกแอบมาคุยกันตรงมุมหนึ่งในบริเวณบ้านภักดีภูบาล
“หนูแปลกใจทำไมคุณสนจึงกลับคำพูดและกลับท่าที ที่อยากให้ร้ายแม่หน้ามือเป็นหลังมือ”
“แม่เองก็แปลกใจและสงสัย ว่าทำไมเขาจึงพูดเช่นนั้น ทั้งที่เขาไม่ได้พูดกับแม่อย่างนั้นสักนิด”
“เหมือนเขากลัวเสือหนักมากจริงๆ อย่างที่พูด หรือว่าที่เขาถูกยิงเมื่อคืน นั่นฝีมือเสือหนัก”
เนียนนึกแล้วหน้าซีด ระหว่างนี้เทิดศักดิ์เดินเข้ามาหาสองคน
“น้องติ๋ว พี่จะไปส่งที่โรงเรียน”
สองแม่ลูกมองหน้ากันท่าทีอึกอัก
เทิดศักดิ์ยกมือไหว้เนียน “ผมขอโทษที่คุณแม่ทำอะไรลงไปโดยไม่ไตร่ตรองจนทำให้น้าเนียนเสียหาย ผมเสียใจมาก จริงๆ นะครับ”
“เอ้อ มัน มันผ่านไปนานแล้ว น้าไม่เคยคิดอะไรหรอกค่ะ”
“แต่ผมคิด ผมคิดว่าคำพูดพล่อยๆ ของคนแค่ประโยคเดียว ทำร้าย ทำลายชีวิตคนอื่นได้มหาศาล ผมขอโทษอีกครั้งครับ น้าเนียนไปเถิดครับ น้องติ๋ว”
“ขอบคุณมากค่ะ” เนียนบอก
“เย็นนี้ผมนัดกับแดงน้อยไว้ ขออนุญาตพาน้องติ๋วไปด้วย น้าเนียนไม่ต้องห่วงนะครับ”
“ค่ะ”
เพราะดีใจที่ได้ยินเรื่องแดงน้อย เนียนพยักหน้าให้ลูกสาวคนเล็กเป็นเชิงอนุญาต
ขณะเดียวกันที่บางปลาม้าเหมกำลังไล่ตะเพิดแช่ม
“มึงต้องไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ ก่อนที่กูจะเดือดร้อนมากมายไปกว่านี้”
“แล้วชั้นจะไปหลบอยู่ที่ไหนลุงเหม”
“ก็ไม่รู้ ตำรวจรู้แกวกูแล้ว มึงอยู่ที่นี่เขาตามมาจับมึงแน่ รีบไปให้ไวทีเดียว”
“ถ้างั้นขอเงินที่คุณนายสนเขาฝากแม่มาให้ด้วยสิ”
“เงินอะไร้ มึงไม่ได้ทำอะไรให้เขาสักนิดเดียว มีแต่กูตะหากที่เสี่ยงตาย ไปส่งแม่มึง จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก็ได้วะกูให้มึง สองตำลึง”
แช่มโอด “สองตำลึง แปดบาท จะอยู่ได้นานเท่าไหร่ มิต้องไปปล้นเขากินอีกรึลุง”
“จะเอาหรือไม่เอา”
เหมโยนเงินให้สองตำลึง แช่มจำใจรับ ในใจนึกแค้น แต่ก็จนตรอกจริงๆ
ฝ่ายช้อยกำลังหลั่งน้ำตาลาสน
“ชั้นไม่ได้ไล่แก แต่ที่ชั้นพูดนั่นแสร้งทำต่อหน้าลูกเท่านั้นเอง”
“ช้อยทราบเจ้าค่ะ ช้อยกราบลา ช้อยไปแล้ว คุณสนดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ช้อยสังหรณ์ใจว่า ภัยมันกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกที เสือหนักมันจ้องคุกคามคุณสน หนักเข้ามาทุกทีแล้วเจ้าค่ะ”
“หุบปาก จะไปก็รีบไปๆ ไปก่อนที่ลูกชายชั้นจะกลับมาสอบสวนแกเรื่องที่แกโกหกว่าไปหาแม่ชี” สนขับไสไล่ส่ง
ช้อยคับแค้นใจอดแย้งไม่ได้ “ช้อยไม่ได้โกหกนะเจ้าคะ คุณสนคิดเองบอกคุณเทิดศักดิ์ไปเองนะเจ้าคะ เรื่องเสือหนักกับเนียนนั่น ก็คุณสนฟ้องท่านขุนเอง ใช่ช้อยซะที่ไหนแต่มาลงที่ช้อย”
“อย่ามาโต้แย้ง ไปแล้วจำไว้ ความนัยอย่าได้เอาออก แต่ความนอกเงี่ยหูฟังให้ดี แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
“เจ้าค่ะ แต่ถ้าไอ้แช่มมันมีปัญหา คุณสนสัญญาว่าจะช่วยมัน อย่าลืมนะเจ้าคะ”
สนไม่รับปาก “แกอย่าทะลึ่งมาสั่งชั้น ตัวชั้นเองก็กำลังปวดหัว หาทางเอาตัวรอด เทิดศักดิ์พูดถูก ชั้นไม่ควรฟังแกเลย”
ช้อยชักฮึดสู้
“เราต่างร่วมมือกัน ต่างรู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกันตลอดมาตั้งแต่คุ้มน้อยคุ้มใหญ่นะเจ้าคะ ลำพังตัวช้อยไม่ได้อยากจะรบกวนคุณสนมากมาย แต่เรื่องของลูก ช้อยขอ”
ขณะพูดช้อยมีสีหน้าจริงจัง ทำให้สนไม่พอใจ แต่ก็เกรงว่าช้อยจะเอาความลับไปเปิดเผย จึงพยักหน้ารับไปแกนๆ
“รอให้มันมีเรื่องก่อนสิ ตอนนี้แกจะตื่นตูมไปก่อนทำไม รีบไปซะ”
สนโบกมือไล่เอาดื้อๆ ช้อยไหว้ลาอีกครั้งแล้วลุกเดินออกไป
“อีนี่เริ่มจะวอนแล้วไง”
สนมองตามตาลุกวาว
อาญารัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
ขณะเดียวกันภายในห้องทำงานขุนภักดีในศากลางเมืองสุพรรณ ท่านขุนกำลังยืนไหว้พระบนหิ้งพลางสวดมนตร์พึมพำ มีเอกยืนถือพวงมาลัยอยู่ด้านหลัง ขุนภักดีไหว้จบหันมาเจอเอกยืนยิ้มถือพวงมาลัย
“พวงมาลัยครับ ท่านขุนลืมวางบนหิ้งพระก่อนไหว้ขอรับ ผมวางให้นะขอรับ”
“วางเอาไว้ แล้วแกรีบออกไปซะไอ้สาระแน”
เอกรีบวางแล้วออกไปทำหน้ายิ้มๆ
“วันนี้มีแต่คนยิ้ม ยิ้มเยาะเรารึ”
ขุนภักดีพึมขณะมองพวงมาลัย กลับเห็นใบหน้าแสนเศร้าของเนียนปรากฏอยู่ที่พวงมาลัยมองมาด้วยแววตาตัดพ้อต่อว่า
ท่านขุนสลัดหัวไล่ความคิด ก่อนจะหยิบพวงมาลัยขึ้นมาพิจารณา หมุนพวงมาลัยดูไปมา พลางทอดถอนใจพึมพำ
“ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับเสือหนักจริง ทำไมไม่เคยปฏิเสธ ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาให้เข้าใจบ้างสักคำ เพราะอะไร”
พ่อเมืองสุพรรณถอนใจเฮือกๆ แล้วตัดใจ นำพวงมาลัยไปวางบูชาพระบนหิ้ง
ขณะเดียวกันภายในห้องทำงานนายอำเภอเมือง แดงน้อยกำลังให้เสมียนตรวจสอบที่ดินของเนียน
“นายอำเภอต้องการให้กระผมตรวจหาที่ดินที่ไหนขอรับ” เสมียนถาม
“ที่ดินบ้านแพน ของนางเนียน ชื่อนามสกุลตามนี้” แดงน้อยส่งกระดาษให้
“ขอรับ นายอำเภอ”
ยินเสียงเคาะประตูห้อง ก่อนจะเห็นหมวดเทิดศักดิ์ก้าวเข้ามาก้มหัวโค้งให้
“สวัสดีครับ ท่านนายอำเภอ”
แดงน้อยทัก อำกลับ “สวัสดีครับ ผู้หมวด”
เสมียนออกไปแล้ว เทิดศักดิ์ปราดมานั่งหน้าตาจริงจัง
“เมฆหมอกดำอึมครึมกำลังปกคลุมบ้านกันอีกแล้ว”
แดงน้อยฉงน “มีอะไรหรือ”
เทิดศักดิ์พยักหน้าเล่าให้เกลอฟัง
ฟากสนแวะมาทำผมที่ร้านเสริมสวยทานตะวัน เวลานี้กำลังกระจกส่องในร้าน แลเห็นว่าทรงผมของสนเปลี่ยนจากเดิมเป็นทรงสมัยใหม่ สนมองแบบไม่มั่นใจนัก มีทานตะวันยิ้มย่องผ่องใสกำลังแต่งผมให้สนไปด้วยอย่างภูมิใจ
“ผมแม่สนจะดูเฟลิร์ตเปิ๊ดสะก๊าดมากไปไหมคะ หนูอี๊ด”
“สวยจะตายไปค่ะ แม่สนหน้าตาสวยมากอยู่แล้ว แถมยังไม่แก่ กลับบ้านไปเย็นนี้ ขี้คร้านพี่เทิดจะจำไม่ได้ค่ะ”
“พิสมัยว่ายังไงจ้ะ” สนหันไปถามพิศมัย
“สวยมากค่ะ”
“แต่ใครก็ไม่สวยเท่า หนูอี๊ดหรอกค่ะ สวยขนาดนี้คู่แข่งพ่ายแพ้หมด”
“จริงหรือคะ หนูกลัวว่าจะไม่จริงสิคะ ที่แน่ๆ มีหนึ่งคน ที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด” ทานตะวันกระซิบบอก “นังติ๋วค่ะ”
“นั่นสิคะ แม่สนก็กังวลตรงนี้แหละค่ะ”
ทานตะวันส่งสายตาให้พิศมัยถอยออกไป
“เรื่องที่แม่สนวางแผนกำจัดมันสองคนแม่ลูกนั่น ทำไมดูเงียบเชียบไปเลยคะ”
“เอ้อ...” สนอึกอัก
“เงียบไม่พอ แม่สนยังไปช่วยเหลือมันให้พ้นการโดนแส้ม้าฟาด ทำไมคะ” ทานตะวันซัก
“ก็คือเอ้อ แม่สนมีแผนใหม่แล้วค่ะ เพราะแผนนั้นมันตื้นเขินเกินไป แล้วก็มีคนรู้มากกว่าเราสองคน”
“ยัยช้อยหรือคะ แม่สนไม่ไว้ใจยัยช้อยซะแล้วหรือคะ”
“ค่ะ ล้มเลิกแผนเดิม วางแผนใหม่ รอจังหวะ ได้จังหวะเมื่อไหร่ แม่สนเล่นงานมันทันที แบบนี้แนบเนียนมากกว่าค่ะ หนูอี๊ดใจเย็นๆ นะคะ”
“แหม หนูใจร้อน เอ้อ...แม่สนคะ หนูอยากไปหานายอำเภอค่ะ แม่สนไปเป็นเพื่อนหนูนะคะ กันประเจิดประเจ้อ”
“ตกลงค่ะ แต่ทำใจไว้บ้างนะคะ ไปแล้วอาจจะเจอคู่แข่งรออยู่ อย่าเผลอใจร้อนโวยวาย นายอำเภอจะเอือมระอา”
ทานตะวันไม่สนใจที่สนเตือน คิดแต่จะไปหาแดงน้อยเท่านั้น สนเหยียดปากแอบพึมพำ
“อีเด็กบ้าผู้ชาย”
ส่วนสองหนุ่มยังคุยกันอยู่ เทิดศักดิ์เล่าเรื่องจบแล้ว
“แกคิดมากไปเอง นั่นแม่แกนะ เทิดศักดิ์”
“ก็แม่กันหนะสิ กันถึงได้หนักใจ คุณแม่ทำอะไรลับๆ ล่อๆ ปกปิดและหลอกอะไรกันไว้หลายประการ เช่นเรื่องนายแช่มเป็นญาติกัน ที่แท้เป็นลูกยัยช้อย”
“นั่นมันนานมาแล้ว”
“เรื่องนี้อีก ลุงสินของแกไปหาคุณแม่ คุณแม่ก็บอกว่าเป็นญาติของแม่ชอบมาไถเงินแม่ ลุงสินรวยจะตาย ทำไมคุณแม่ไม่ทราบ คุณแม่บอกว่าลุงสินอยู่สวนแตง กันไปสืบมาแล้ว ลุงสินไม่เคยอยู่สวนแตง”
“แปลกแฮะ” แดงน้อยชักคล้อยตาม
“กันอยากรู้ว่าจริงๆ ลุงสินเป็นคนที่ไหนกันแน่ แกเคยถามลุงบ้างไหม”
“ไม่เคยดอก เพราะรู้ว่าลุงไม่อยากให้ถาม”
“แล้วแกไม่อยากรู้บ้างหรือ”
“เคยอยากรู้บ้างในบางครั้ง แต่กันรักลุง เคารพลุงเกินกว่าจะไปละลาบละล้วงสิ่งที่ลุงไม่เอ่ยปากบอก”
“จริงสิ ลุงสินดูน่าเกรงขาม มากเกินกว่าจะไปถามซอกแซกกับแก กันไปละ ขอบใจที่รับฟังความอึดอัดของกัน”
“เราไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ เจอกันที่บ้านเย็นนี้ รับน้องติ๋วแล้วเลยไปเลยนะ”
“ตกลง ขอบใจมากเรื่องน้องติ๋ว ที่แกไม่เคยคิดแก่งแย่งกันสักนิด”
แดงน้อยหน้าเจื่อนนิดหนึ่งแต่รีบปรับ
“น้องติ๋ว เหมาะสมกับแกมาก”
“เสียดายที่ยัยอี๊ดน้องสาวกันไม่น่ารักเหมือนน้องติ๋ว ไม่งั้นกันจะสนับสนุนน้องสาวให้เป็นคู่รักของแก” เทิดศักดิ์ว่า
“กันยังไม่อยากมีใคร กันพอใจจะอยู่คนเดียว ตอนนี้กันมีหน้าที่ดูแล แม่แพร กับลุงโพล้ง กันให้สองคนขายร้านกาแฟ แล้วกลับมาอยู่บ้านแพน บ้านเก่าของพวกเขาน่ะ บ้านแม่ของกันที่กันเองไม่เคยไปสักที ว่างๆ ไปด้วยกันไหม”
เทิดศักดิ์พยักหน้าให้เพื่อนเป็นเชิงรับรู้ แล้วออกไป
เมื่อแดงน้อยมาเป็นนายอำเภอที่สุพรรณ แพรและโพล้งจึงตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่บ้านแพน สองคนย้ายข้าวของมาแล้ว กำลังจัดแต่งบ้านหลังเดิมของเนียน
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง บ้านหลังเดิมของเนียน ถูกจัดแต่งใหม่ และมีข้าวของทันสมัยวางมากขึ้น บ้านช่องห้องหับดูดีกว่าเดิม
โพล้งจัดเสร็จถอนใจเฮือกๆ “โฮ้ย เหนื่อย ยัยแพร แกไม่ช่วยแถมสั่งๆๆๆ”
“ชั้นฉลาดกว่ามีหัวสมองกว่าแก ชั้นจัดบ้านเก่าให้สวยได้ แกโง่ ก็ต้องมีหน้าที่จัดสิ”
ยายอ่อนเดินยิ้มย่องเข้ามาหา อาการดีใจมาก
“ดีใจจริงๆที่ตาโพล้งกับยายแพรกลับมาอยู่ที่นี่”
“ยายอ่อน” แพรกะโพล้งอุทานทัก
“เนียนรู้หรือยังว่าพวกแกสองคนกลับมา ชั้นอยากโอนที่เต็มแก่แล้ว”
สองคนมองหน้ากันเหลอหลา แล้วตอบพร้อมเพรียง
“ยังไม่ได้บอกเลย”
“ก็ไหนว่ารอให้ผู้รับโอนอายุยี่สิบปีแล้วจะจัดการให้ นี่ผ่านไปนานกว่ายี่สิบกว่าปีมาหลายปีแล้วนา” ยายอ่อนบ่น
“เอาน่าจะดำเนินการให้ในไม่ช้านี้แหละ” โพล้งบอกส่งๆ
“ถามจริง เนียนเขาโอนที่นานี่ให้ใครกันล่ะ”
สองคนมองหน้ากันอีก ยายอ่อนรอฟังอย่างสนใจ
เวลาต่อมา เสมียนยื่นกระดาษให้แดงน้อยดู
“นี่ขอรับนายอำเภอสำเนาที่ดินของนางเนียนจำนวนสิบไร่ที่บ้านแพน”
“โอนให้ใครไปหรือยัง”
“ยังขอรับ”
“จะทราบได้ไหมว่าแกยกให้ใคร”
“ไม่ทราบหรอกขอรับ คนที่ทราบก็คือคนที่แกจะโอนให้นั่นแหละขอรับอ้อ ก่อนที่นายอำเภอจะมาประจำการที่นี่ เคยมีคนแก่ครับ มาสอบถามเรื่องที่นาของนางเนียนคนนี้แหละครับ ว่าโอนให้ใครไปหรือยัง”
“อืม แกถามไปทำไมกันรึ”
“แกว่ารอจะซื้อนั่นแหละครับ อีกไม่นานแกคงมาอีกแหละครับ”
“อืม...”
เสมียนถอยออกไปแล้ว แดงน้อยคาใจไม่หายทำไมน้าเนียนถึงไม่ยอมบอกให้ใครรู้ว่าโอนให้ใคร น้าเนียนช่างลึกลับเหลือเกิน”
แดงน้อยพยายามคิด แต่คิดไม่ตก
เวลาเดียวกัน ที่บริเวณบ้านริมคลองละแวกบ้านภักดีภูบาล ชายชาวบ้านคนต้มเหล้าเถื่อน กำลังสาธยายให้คนมาซื้อฟัง ท่าทางเมาแปร้ไปแล้ว
“ต้มเหล้าเถื่อนใกล้บ้านขุนภักดีนี่ไม่กลัวโดนจับรึ” คนซื้อถาม
“กลัวกะผีอะไร กูน่ะสนิทคุณนายสน” คนขายคุย
“ฮ้า...โม้น่า”
“ไม่ได้โม้ สนิทขนาดมีเรื่องไม่ชอบมาพากล ที่รู้กันจำเพาะกูกันคุณนายทีเดียวนะมึงเอ๊ย” คนขายยังคุยฟุ้ง
“โอ้โฮ”
ทันใดนั้นขุนภักดี ก็เข้ามาพร้อมด้วยเอก และตำรวจหนึ่งนาย
“แกถูกจับฐานต้มเหล้าเถื่อนขาย”
“เฮ้ย....ใครวะบังอาจ”
“แกนั่นแหละบังอาจ นี่ท่านขุนภักดีภูบาลนะ” เอกบอก
“อ๊าย...นี่หรือท่านขุน ภักดีภูบาล ท่านขุน อย่าจับกันเลยนะ” คนขายไม่สลดสักนิด เพราะคิดว่าตนซี้กับสน
“ทำผิดกฎหมายไม่มีใครยกเว้นให้ได้ทั้งนั้น ยึดของกลางพาตัวไปโรงพัก ปรับสินไหม”
“เหวยๆ ท่านขุนผู้น่าสงสาร เก่งแต่จับชาวบ้าน แต่ไม่กล้าจับคนในบ้าน”
“แกพูดอะไร”
ขุนภักดีกำลังจะเดินหนี แต่แล้วกลับชะงักฟัง เอกทำท่าจะปราดไปเล่นงาน
“มันปากเสีย”
“ปล่อยมันพูด”
“หลายปีมาแล้ว คุณนายสนเช่าเรือชั้น ไปให้อีหนูฝาแฝดสองคนพาย นัยว่าว่ายน้ำไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะหวังให้เรือล่มจมน้ำตายทั้งคู่ไหม แต่เดชะบุญมันสองคนไม่ตาย น่าอายไหมล่ะ เหวยๆๆๆ” คนต้มเหล้าบอกพร้อมกับหัวเราะหยัน
ขุนภักดีหน้าซีดจนเปลี่ยนเป็นเขียวและเริ่มแดงด่ำด้วยความโมโห เอกเงียบกริบไปเลย
ท่านขุนพึมพำเสียงดุดัน “สน”
เอกพึมพำอย่างสะใจ
“เวรตะไลตามทันกันจนได้”
ตกตอนเย็นกลับมาถึงบ้านพัก แดงน้อยต้องแปลกใจมาก เห็นสนกับทานตะวันมาหาถึงบ้าน แดงน้อยไหว้สน
“สวัสดีครับ คุณแม่สน น้องอี๊ด เอ้อ เชิญข้างในครับ”
“ขอโทษนะคะ ที่มาไม่ได้บอกล่วงหน้า มาแบบจู่โจม” ทานตะวันบอก
“เอ้อ ไม่เป็นไรครับ”
“แม่มาทำผมร้านหนูอี๊ด ก็เลยชวนกันแวะมาเยี่ยม แม่มีขนมมาฝากด้วย”
“ขอบพระคุณมากครับ เกรงใจเหลือเกินครับ”
ทานตะวันสบตาแดงน้อย ก่อนจะมองกราดไปรอบบริเวณ
“น่าอยู่เหลือเกินค่ะ อยู่คนเดียว เหงาแย่นะคะ”
“หาแม่บ้านสักคนสักทีได้แล้วค่ะ นายอำเภอ” สนบอกพลางปรายตามาสบตาทานตะวัน
“ผมรอเทิดศักดิ์เขามีไปก่อนน่ะครับ”
สนหน้างอหงิก มีเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน ทุกคนหันไปมอง แดงน้อยยิ้มดีใจ
“เทิดศักดิ์”
“มากับยัยติ๋ว”
ทานตะวันหน้าตึงขึ้นมาทันควัน เมื่อแลเห็นว่าเนื้อทองนั่งรถมากับเทิดศักดิ์
รถเทิดศักดิ์มาจอดหน้าบ้าน เทิดศักดิ์เดินมาเปิดให้เนื้อทองลงมา เนื้อทองนั้นมีสีหน้าสงบ แต่เทิดศักดิ์ยิ้มย่อง
“หนูคงอยู่นานไม่ได้ดอกนะคะ หนูต้องรีบกลับไปดูแลคุณย่า”
“พี่ทราบว่าทำไม พี่เองก็จะรีบกลับไปคุยกับคุณแม่เรื่องยัยช้อย งั้นทักทายแดงน้อย แล้วเรากลับกัน”
“ไม่ดีเลยค่ะ คุณแม่ของพี่เทิดศักดิ์อยู่ที่นี่ มันคงดูไม่ดีไม่มีมารยาทมากๆ นะคะถ้าเราจะกลับไปพร้อมกัน”
เทิดศักดิ์หันไปมองตามที่เนื้อทองพูด จึงเห็นสองคน
“คุณแม่ น้องอี๊ด”
“ค่ะ”
“แดงน้อยไม่เห็นบอกว่า สองคนนี่จะมาด้วย”
“เข้าไปในบ้านกันเถิดค่ะ”
สองคนพากันเดินเข้าไป
เทิดศักดิ์กับเนื้อทองพากันเดินเข้ามา เนื้อทองไหว้สน ทว่าสนทำเป็นไม่เห็นแต่โดนเทิดศักดิ์มองจ้องหน้าจึงทำท่ารับไหว้ แกนๆ แดงน้อยรับไหว้เนื้อทองด้วย
ทานตะวันมองเนื้อทองท่าทางไม่พอใจมาก แต่โดนสนสะกิดห้ามไว้ ทานตะวันกระซิบถาม
“มันหน้าไม่อาย เพิ่งมีเรื่องไปเมื่อคืน วันนี้มันมาเกาะพี่เทิดศักดิ์หนึบ ยังกับหอยทาก แม่สนทนดูได้อย่างไงคะ”
สนกระซิบตอบ “ตอนนี้มีแต่จำต้องทนค่ะ”
“หนูไม่เข้าใจ”
สนแอบถอนใจพูดไม่ออก
“เชิญนั่งทุกคนครับ ผมไม่มีคนรับใช้ รอสักครู่ผมจะหาน้ำมาให้รับประทาน”
“ยัยติ๋วไงยะ เกาะติดพี่เทิดศักดิ์มาทั้งที ทำตัวให้มีประโยชน์สิยะ” ทานตะวันจิกหัวใช้
“น้องติ๋วกำลังจะกลับ” เทิดศักดิ์บอก
“แล้วมาทำไมยะ ทำตัวเป็นหอยทากหรือยะ” ทานตะวันแดกดัน
“หอยทากไม่ตามเกาะคน ถ้าจะคิดว่าใครคือหอยทากก็น่าจะคือพี่เอง น้องติ๋วครับ พี่เปลี่ยนใจอยากกลับตอนนี้ ไปด้วยกันนะครับ”
“หนูกลับเองได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงหนู คุณสนคะ คุณหนูอี๊ดคะ ขอตัวกลับก่อนค่ะ” เนื้อทองส่งสายตาวิงวอนเป็นเชิงบอกเทิดศักดิ์ว่าอย่าทำอย่างนี้
ทานตะวันเดินมาหา กระซิบบอก “รู้ตัวว่าควรกลับก่อนก็ดีแล้วย่ะ อย่าได้ให้พี่เทิดศักดิ์ไปส่งทีเดียวนะยะ แม่สนเขารังเกียจแกจะเป็นจะตาย”
เนื้อทองไหว้ทุกคนแล้วเดินกลับออกไป เทิดศักดิ์ขยับจะตาม สนเอ่ยขึ้น ไล่ให้กลับ
“ถ้าคนรถมันอยู่ก็จะขอให้มันไปส่งให้ แต่ไล่มันกลับเพราะหนูอี๊ดจะขอให้นายอำเภอไปส่ง ยัยติ๋วจะกลับก็รีบกลับอย่ามัวรีรอสิยะ”
เนื้อทองเดินไปทันที แดงน้อยรีบขยับตาม
“พี่แดงน้อย จะทำอะไรคะ” ทานตะวันถามทันที
“ไปส่งน้องติ๋วขึ้นสามล้อ เทิดศักดิ์ ฝากบ้านสักครู่นะ”
แดงน้อยเดินลิ่วตามเนื้อทองไปทันที สนหันมาต่อว่าเทิดศักดิ์
“นี่ลูกจะฉีกหน้าแม่ด้วยการหันไปแต่งงานกับมันจริงๆ หรือ”
“ครับ การแต่งงานของผมไม่ได้แปลว่าจะฉีกหน้าใคร ผมขอรอให้โรงเรียนน้องติ๋วเปิด ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมจะไปสู่ขอน้องติ๋ว”
“บาดหูบาดหัวใจ จำไว้นะ แม่ไม่ไปสู่ขอมันให้ดอก”
“ไม่เป็นไร ผมตกลงกับคุณย่าไว้แล้วครับ ไม่รบกวนคุณแม่ให้ยุ่งยากดอกครับ” เทิดศักดิ์บอก
“นี่จะหักหน้ากันรึ เสียแรงเมื่อคืนบอกว่ารักแม่ หลงดีใจจะเป็นจะตาย”
“หนูไม่ต้องการมีพี่สะใภ้อย่างมัน”
“แต่นี่คือชีวิตของพี่ คนที่จะอยู่กับพี่ไปจนตายจากคือน้องติ๋ว ขอเสียทีอย่ามาวุ่นวายกับชีวิตของพี่ จัดการชีวิตของตัวเองให้ดีเถิด”
“ทุกคนเป็นบ้ากันไปหมด เห่อนังติ๋วราวกับมันคือคุณหนูบ้านภักดีภูบาล”
“เขาเห่อความดีของน้องติ๋วไงล่ะ ไม่น่านัดกันมาบ้านแดงน้อยวันนี้เลย พับผ่า”
“แล้วมาทำไมคะ”
“เรานั่นแหละมาทำไม เขาไม่ได้เชิญให้มาสักหน่อย ไร้มารยาท”
“นี่แกว่าแม่ไร้มารยาท” สนฉุน
“คุณแม่น่ะช่วยให้มารยาทของน้องอี๊ดดูดีขึ้นมาได้บ้างครับ เพราะไม่ได้เสนอหน้ามาหาผู้ชายถึงบ้านตามลำพัง”
ทานตะวันกรี๊ด “ต๊าย ปากร้าย ด่าน้องตัวเอง แล้วที ตัวเองไปหานังติ๋ว ทำไมไม่ด่านังติ๋ว มันไม่ไร้มารยาทบ้าง มันก็มาเหมือนกัน”
“เพราะพี่เป็นฝ่ายไปหาเขา ไม่ใช่เขามาไล่ตามพี่ เขามาเพราะว่าแดงน้อยอยากเจอ มีเรื่องราวจากแม่เขามาบอกน้าเนียน”
เทิดศักดิ์หน้าตึง สนก็หน้างอ ทานตะวันเดินสะบัดตัวลงเรือนไป
ด้านแดงน้อยหาสามล้อให้เนื้อทองได้แล้ว
“ฝากด้วยนะสามล้อ ขี่ดีๆ นะ”
“ขอรับท่านนายอำเภอ” สามล้อบอก
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ หนูจะบอกแม่ตามที่พี่แดงน้อยฝากความไปค่ะ”
แดงน้อยยืนมองติ๋วนั่งสามล้อไปจนลับตาถอนใจ
“น้องติ๋วจ๋า ถ้าเทิดศักดิ์ไม่ใช่คนดีงาม ไม่ใช่เพื่อนรักของพี่ พี่คงไม่ยอมเจ็บปวดขนาดนี้ดอก”
ทานตะวันมาแอบมองแดงน้อยที่มองตามเนื้อทองจนลับตา พร้อมกับถอนอกถอนใจ
“พี่แดงน้อยก็หลงรักอีติ๋ว แต่ยอมหลีกทางให้พี่เทิดศักดิ์ โอย...รักๆ มัน กันเข้าไป”
ทานตะวันทั้งเจ็บใจทั้งน้อยใจ
เนื้อทองรายงานเนียนเรื่องที่แดงน้อยฝากมาบอก เนียนออกอาการตื่นเต้น
“พี่แพรกับพี่โพล้งกลับไปอยู่บ้านแพนแล้ว แม่ดีใจจริงๆ”
“พี่แดงน้อยฝากถามว่า แม่อยากไปหาป้าแพรกับลุงโพล้งที่บ้านแพนไหม เขาจะพาไปค่ะ”
เนียนส่ายหน้า “แม่อยากไปแต่คงไม่ได้ไป”
“ทำไมคะ แม่จากบ้านมานานมากแล้ว ทำไมแม่ไม่อยากกลับไปบ้านเลยหรือคะ”
“หนูไปดูแลคุณท่านเถิดลูก ตอนนี้คุณท่านดูชราลงมากแม่อยากให้หนูดูแลใกล้ชิดท่านไว้ให้ดีๆ นะลูก”
เนียนตัดบท เนื้อทองตัดใจ เลิกถาม
ฝ่ายแดงน้อยอยู่ในบ้านพักนายอำเภอ ครุ่นคิดเรื่องราวของชีวิตตัวเองที่ดูแปลกๆ
“น้าเนียนเป็นคนบ้านแพน คนที่น้าเนียนโอนที่ให้ น่าจะเป็นลูกของน้าเนียนที่พลัดพรากจากกันไป แต่ที่ยังโอนไม่ได้ เพราะอาจยังหาไม่พบ เราน่าจะช่วยน้าเนียนหาลูกให้พบ แถมบางทีน้าเนียนอาจรู้จักกับแม่ของเรา ทำไมเราไม่เคยถามเรื่องนี้กับน้าเนียนดูสักครั้ง บ้าจัง”
แดงน้อยเริ่มยิ้มมีความหวังจะรู้เรื่องราวของแม่จากเนียน
เทิดศักดิ์หงุดหงิดเพราะหลังกลับมาจากบ้านแดงน้อย ถามหาช้อยปรากฏว่าไม่มีใครพบเห็น เลยมาถามแม่
“ยัยช้อยหนีไปแล้ว บ้าจริง มันหนีไปตอนไหน คุณแม่ไม่เห็นหรือครับ”
“แม่ไม่รู้ไม่เห็นตอนมันไป นี่ถ้าลูกไม่มาถามหา แม่ก็ยังคิดว่ามันอยู่ข้างล่าง มันคงกลัวความผิดที่มันก่อไว้”
“ใช่ครับ ยัยช้อยโกหก ยัยช้อยไม่ได้ไปหาแม่ชีที่วัด แต่ยัยช้อยไปหานายแช่ม มันไม่ได้โดนปล้น คนที่มาส่งมันคือญาติของนายเหิม นักโทษประหารที่โดนวางยาพิษปิดปาก ขณะกำลังจะสาบานและสารภาพว่าใคร สั่งให้มันฆ่านายหวานคนบ้านเรา คุณแม่ทราบเรื่องนี้บ้างไหมครับ”
สนอึกอักแล้วทำมึนเฉไฉ
“โฮ้ย..แม่จำไม่ได้หรอก ยิ่งเรื่องราวมันนานมากแล้ว”
“หมู่เติมแกคนเก่าแก่นะครับ แกเล่าว่าคนที่ฆ่านั่นมันอำมหิตมาก มันฆ่าปิดปากหมด ถ้าใครรู้ความลับของมัน และตอนนี้มันก็ยังลอยนวล”
“คนที่อำมหิตและเก่งกล้าปานนั้นก็มีแต่เสือหนักเท่านั้น แหละลูกและมันก็ยังลอยนวล” สนใส่ไฟ
“ผมไม่เชื่อว่าเสือหนักจะฆ่าคนเล่นเป็นผักปลา ส่วนยัยช้อยหนีไปหาลูกชายแน่ๆ”
เทิดศักดิ์พูดจบก็เดินจากไป สนนั่งกุมขมับ
“อีช้อยนะอีช้อย ไปไหนทิ้งร่องรอยไว้หมด เทิดศักดิ์นะเทิดศักดิ์ทำไมต้องอยากเป็นตำรวจด้วย”
สนอ่อนอกอ่อนใจมาก
ขุนภักดีนอนไม่หลับ ครุ่นคิดเรื่องคนต้มเหล้าเถื่อนตะโกนไล่หลังเรื่องสน ภาพเหตุการณ์ที่คนต้มเหล้าบอกเรื่องสนมาเช่าเรือผุดขึ้นมาหลอน พอคิดแล้วท่านขุนถอนใจ จนเรียมแปลกใจ
“พี่เทพนอนไม่หลับ โมโหใครอีกรึ”
“เปล่า แต่พี่ พี่โมโหตัวเองที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวในบ้านเราอีกมากมาย”
“พี่เทพจึงไม่สบายใจหรือคะ”
“ใช่”
“บอกเรียมได้ไหมคะ เรียมยินดีรับฟัง”
“พี่ไม่แน่ใจว่าอะไรมันจริงหรือเท็จ พี่ไม่รู้ว่าเรื่องเสือหนักกับเนียนความจริงเป็นอย่างไร พี่ไม่รู้ว่ายัยติ๋วเป็นลูกพี่หรือลูกใคร พี่ไม่รู้ว่าสนคิดอย่างไร ที่ไปบอกให้เนียนสวดมนต์แก้กรรม พี่อึดอัดมากนะเรียม”
“เรียมเข้าใจค่ะ เรียมเห็นใจพี่เทพ อีกไม่นานเรียมคิดว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย ให้พี่เทพรับรู้ความจริง ขอเพียงฟังเรียมบ้าง”
ขุนภักดีกอดเรียมไว้แนบอก
“จ้ะ ชีวิตนี้ถ้าไม่มีเมียแก้วอย่างเรียม พี่คงย่ำแย่ เพราะความวู่วามบุ่มบ่ามของพี่ไม่ยอมถดถอยไปสักที พี่สัญญาว่าต่อไปนี้พี่จะสงบลงให้มากที่สุด”
“ค่ะ...สงบเถิด ก่อนที่มันอาจสายเกินไปในหลายๆ เรื่อง”
ท่านขุนพยักหน้า เรียมกอดท่านขุนไว้เหมือนกอดเด็กๆ
วันต่อมาช้อยตกใจมาก พอรู้จากแม่ชีผู้เป็นมารดา
“มีคนมาตามหาชั้นที่นี่หรือแม่ ตำรวจหรือเปล่า”
“ไม่รู้ นางช้อยแม่ชักสงสัยแล้วว่าเอ็งไปทำผิดคิดร้ายอะไรมา”
“ไม่มีอะไรดอกจ้ะแม่ แต่..แต่ ไอ้แช่มนั่นสิ มันกำลังหนีตำรวจอยู่”
“มันหนีทำไม”
“มันปล้นเขาจ้ะแม่”
“นรกเรียกหาแล้วไง”
มีเสียงปืนดังขึ้นมาแถวนั้น แม่ชีกับช้อยตกใจ
“เสียงปืน”
“หลบแม่ หลบปืน”
ช้อยรีบบอกแม่ชี
หมวดเทิดศักดิ์กับหมู่เติมวิ่งมาถึงหน้าวัดถือปืนในมือ
“หยุดยิง ที่นี่วัด มันหนีเข้าไปในนั้น ตามไป”
“หมวดจะจับเสือมือเปล่าหรือครับ”
“ปืนมีไว้ป้องกันตัว ไม่ใช่มีไว้ยิงแม้ว่ามันจะเป็นคนร้าย”
“มันมีปืนนะครับ และคนอย่างมันไม่คิดมีไว้ป้องกันตนเอง”
“มีไว้เล่นงานคนอื่นเท่านั้น”
“เราต้องระวังตัวก่อน เข้าไปได้แล้ว”
สองคนพากันเข้าไปในวัด
ช้อยกับแม่ชีแอบหลบอยู่มุมหนึ่งในวัดเห็นแช่มวิ่งหน้าตั้งมา
สองคนตาเหลือก “ไอ้แช่ม”
“แม่...ยายชี”
“เอ็งหนีใครมาไอ้แช่ม” แม่ชีถาม
“อย่าบอกนะว่าหนี...” ช้อยพูดไม่ทันจบแช่มสวนออกมา
“ตำรวจ ช่วยด้วย ขอชั้นหนีไปซ่อนในห้องยายชีนะยาย”
“ไม่ได้ หนีไปที่อื่นสิ นี่เอ็งยิงสู้กับตำรวจ” แม่ชีหวาดผวา
“คุณเทิดศักดิ์น่ะยาย... แม่”
สองคนร้อง “หา”
“ทิ้งปืน ไอ้แช่มรีบขว้างปืนทิ้ง”
แช่มเงอะงะ ช้อยคว้าปืนจากมือแช่ม ขว้างทิ้งน้ำไปทันที
“หนีไปไอ้แช่มหนี”
ไม่ทันที่แช่มจะหนี เทิดศักดิ์กับหมู่เติมก็พากันออกมา
“นายแช่ม แกถูกจับแล้ว”
“นึกแล้วว่าต้องหนีมาที่นี่” หมู่เติมว่า
“คุณเทิดศักดิ์ขา ไอ้แช่มมันทำอะไรผิดเจ้าคะ ถึงต้องตามจับมัน” ช้อยร้องถาม
“ยายช้อยจะแกล้งไม่รู้ก็ตามใจ นายแช่มหย่อนปืนแกลงพื้นเดี๋ยวนี้”
“มะ ...ไม่มีปืนครับ” แช่มโกหก
“มันไม่มีปืนดอกเจ้าค่ะ” ช้อยรีบแก้ตัวแทนลูก
“ไม่มีแล้วเมื่อกี้แกเอาอะไรมายิงโต้ตอบชั้น ป่วยการพูด มันปากแข็งปากโป้ปดมดเท็จเหมือนแม่มัน ใส่กุญแจมือแล้วเอาตัวไปขังไว้หมู่เติม”
ช้อยร้องไห้โฮๆๆๆ
“ไอ้แช่ม ไอ้แช่มของแม่ ติดตะรางแล้วโธ่...ไอ้แช่ม”
ช้อยก้มลงกราบเทิดศักดิ์
“คุณเทิดศักดิ์เจ้าขา กรุณาปล่อยมันเถิดนะเจ้าคะ”
“เหลวไหล ไปหมู่เติม”
หมู่เติมคุมตัวแช่มออกไป มีเทิดศักดิ์ตามไปด้วย ช้อยตีอกชกหัว
“ไอ้แช่มจะโดนประหารชีวิตไหม โธ่ลูกแม่”
“มาร้องไห้ร้องห่มเอาตอนนี้หามีประโยชน์อันใดไม่ ทำไมตอนมันยังเด็กไม่สอนให้มันรู้จักแยกแยะผิดถูกดีเลว นี่แหละผลของการไม่สั่งสอนอบรมลูกให้ถูกทาง”
แม่ชีมองช้อยอย่างปลงสังเวช ขณะที่ช้อยเอาแต่ตีอกชกหัวอยู่อย่างนั้น
ติดตาม "อาญารัก" ตอนที่ 15