คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 1
ภายใน ดิออร์แกน คอกเทลเลาจ์หรูระดับเอ็กซ์คลูซีฟค่ำคืนนี้ คราคร่ำด้วยนักท่องเที่ยวแน่นขนัด และคึกคักเช่นทุกราตรี เหล่าโคโยตี้กำลังเต้นด้วยลีลายั่วยวนอยู่บนเวที แขกข้างล่างเวทีต่างมองกันตาเยิ้ม
ระหว่างนั้นเหล่าโคโยตี้ที่เต้นอยู่พากันเดินลงไปพร้อมกับไฟที่มืดลงและเสียงโห่ฮาของแขกที่ยังไม่พอใจเพราะยังไม่จุใจเลย
ทันใดนั้นเสียงเพลงในจังหวะเร้าใจก็ดังกระหึ่ม พร้อมกับแสงไฟสว่างขึ้นราวกับการเปิดตัวซุปเปอร์สตาร์ในคอนเสิร์ตใหญ่ ไผ่พญา ยืนอยู่กลางเวที ในชุดสีขาว ใส่วิกสีขาว มีไฝที่มุมปาก เธอแต่งตัวเลียนแบบสไตล์ มาริลีน มอนโร นั่นเอง แขกด้านล่างพากันส่งเสียงร้องอื้ออึงชอบใจดังกระหึ่มไปทั่วดิออร์แกน
ไผ่พญา วาดลีลาเต้นอยู่บนเวทีตามจังหวะเพลงอย่างยั่วยวน บรรดาแขกที่อยู่ด้านล่างต่างจ้องตาเป็นมัน ไผ่พญาลงไปนอนเลื้อยกับพื้น ราวกับนางงูยั่วสวาท แขกคนหนึ่งหยิบแบงค์ห้าร้อยขึ้นมาจะให้ทิป ไผ่พญา เห็นอย่างนั้นก็กลิ้งหนี แขกคนนั้นหันมองไปก็เห็นว่าไผ่พญากลิ้งไปหาแขกอีกคนที่ทิปเป็นแบงค์พัน
“ห้าร้อยเนี่ยนะ เก็บไอ้แบงค์ห้าร้อยของแกไว้ให้พวกโคโยตี้ปลายแถวโน่น ดาวอย่างน้องไผ่ มันต้องนี่”
แขกใจป๋าคนที่สองโชว์แบงค์พันขึ้นมาให้แขกคนแรกดู ไผ่พญาเห็นท่าท่างชักจะไม่ค่อยดี
“มึงดูถูกกูเหรอ”
แขกคนแรกจะเข้าไปเอาเรื่องแขกคนที่สอง แต่แล้วไผ่พญาก็รีบเข้ามาห้ามแล้วดึงเงินทั้งแบงค์ห้าร้อยกับแบงค์พันไป
“ใจเย็นค่ะ แหม ไม่ต้องแย่งกัน ไผ่น่ะเป็นคนชอบเงิน ไม่ว่าจะเป็นแบงค์สีอะไรก็เงินทั้งนั้น” ไผ่พญาพับเก็บใส่หน้าอกทันที “สนุกกันต่อเถอะค่ะ”
ระหว่างนั้นเสียงโสภีก็ดังขึ้น
“หยุดเต้นทำไม”
ทุกคนหันไปตามเสียงก็เห็นโสภี เดินเข้ามาราวกับนางพญา มีชายหนุ่มเดินห้อมล้อมไม่ห่าง
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้ พวกพี่ๆ เขาเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“นี่เจ้มาก็ดีแล้ว ผมว่าเจ้น่าจะติดป้ายหน้าร้านหน่อยนะว่าที่ดิออร์แกนไม่ต้อนรับพวกไม่มีเงิน”
โสภีได้ยินอย่างนั้นหันขวับไปที่แขกคนนั้นก่อนจะเดินยิ้มเข้าไปหา
“โทษนะ เมื่อกี้ฉันได้ยินไม่ถนัด คุณกำลังบอกให้ฉันติดป้ายห้ามคนไม่มีเงินเข้ามาที่นี่ใช่มั้ย” แขกพยักหน้า
ทันใดนั้นโสภีก็จิกหัวผู้ชายคนนั้นเต็มแรง “แกเป็นใครถึงได้กล้ามาสั่งฉัน ห๊า ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร ออกไป”
โสภีผลักแขกออกไป แขกงงก่อนที่จะกลายเป็นความโกรธ
“อีบ้า”
แขกปรี่เข้ามาจะทำร้ายโสภี แต่แล้วก็โดนพวกลูกน้องของโสภีจับตัวล็อคเอาไว้
“เฮ้ย ปล่อย พวกมึงรู้มั้ยว่ากูลูกใคร”
โสภีเดินเข้ามาแล้วยิ้มเหี้ยม
“ก่อนที่จะพูดอะไร คิดก่อนนะ เพราะฉันไม่ค่อยกลัวคำขู่ซะด้วย” แขกถึงกับอึ้งเพราะโดนโสภีเรียกว่าเด็กเมื่อวานซืนทั้งๆ ที่ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าโสภีด้วยซ้ำ “ไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก เพราะฉันเหม็นขี้หน้าแกแล้ว”
กลุ่มลูกน้องของโสภีลากตัวแขกออกไป ไผ่พญารีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“โห นี่เจ้กำลังทำให้ฉันขาดรายได้นะเนี่ย”
“แกต่างหากนังไผ่ที่ทำให้ฉันขาดรายได้ ใครให้แกลงมา แกเห็นมั้ยว่าแขกเขามารอดูแกเต้นตั้งเท่าไหร่ ขึ้นไปเต้นซะ”
ระหว่างนั้นเสียงของสมสุขก็ดังขึ้น
“เท่านี้พอมั้ย”
ไผ่พญากับโสภีหันไป สมสุขเดินเข้ามาแล้วยื่นเงินให้จำนวนนึง
“อุ้ย สวัสดีคะเสี่ย ไหนบอกว่าจะมาดึกๆ ไงคะ”
โสภีพยายามไม่พูดอะไรมากเพราะกลัวไผ่พญาจะรู้เรื่องที่เธอแอบตกลงไว้กับสมสุข แต่สมสุขกลับหันไปบอกกับไผ่พญา
“ไม่ต้องเต้นแล้ว เข้าไปรอเสี่ยที่ห้องแต่งตัวนะ”
“รอ รอทำไมคะ”
สมสุขได้ยินอย่างนั้นก็หันไปทางโสภี
“ยังไง ไหนบอกว่าไผ่จะยอมไปกับฉันคืนนี้ไง”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หันไปโวยกับโสภีทันที
“เฮ้ย มันยังไงกันเจ้”
ระหว่างนั้นลูกค้าคนนึงเข้ามาโวย
“เดี๋ยวๆ เมื่อกี้ได้ยินว่าใครจะให้น้องไผ่ไปไหน”
ทันใดนั้นลูกค้าคนนั้นก็ต้องอึ้งไปเมื่อจู่ๆ พายักชักปืนมาจ่อที่หน้า ลูกค้าคนนั้นถึงกับตกใจหน้าซีด สมสุขออกปากห้าม
“พายัพ” พายัพได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยๆ ลดปืนลง ลูกค้าคนนั้นรีบชิ่งออกไปทันที “หมาบ้าอย่างแกชอบทำให้ฉันเสียงานใหญ่ คืนนี้แกอยากทำพังอีกใช่มั้ย”
“ขอโทษครับนาย”
พายัพเก็บปืน สมสุขหันไปทางไผ่พญา ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นคนละคน
“เสี่ยขอทำธุระแป๊ปนึง เสี่ยสัญญาว่าจะรีบมานะ”
“ไม่ต้องห่วงคะเสี่ย โสภีจะดูแลน้องไผ่พญาของเสี่ยเป็นอย่างดีเลยคะ”
ไผ่พญารู้ได้ทันทีว่าโสภีขายเธอให้สมสุขซะแล้ว สมสุขเดินออกไป พายัพเดินตามพร้อมกับลูกน้อง พอสมสุขออกไป โสภีก็หันมาเพื่อจะบอกกับไผ่พญา
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย” โสภีชะงักไปเมื่อไม่เห็นไผ่พญา หันไปถามลูกน้อง “นังไผ่ไปไหน” ลูกน้องต่างก้มหน้างุดไม่มีคำตอบ “เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ พวกแกเนี่ย”
ว่าแล้วโสภีก็รีบเดินออกไปเพื่อตามหาไผ่พญาทันที
อีกมุมเห็นแขกคนนึงที่นั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอทุกคนแยกย้ายชายคนนั้นเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่างผ่านวิทยุสื่อสาร
“แม่นกมาแล้ว”
ที่ด้านหน้าของดิออร์แกน มีรถตู้คันนึงจอดอยู่ในที่เปลี่ยว ภูวนัย อยู่บนรถตู้ได้รับการรายงาน
“ดี จับตาดูเอาไว้ ฉันกำลังไป”
ภูวนัยหยุดการติดต่อ ก่อนจะหันมาทางวีระที่กำลังแฮคกล้องวงจรปิดในดิออร์แกน ส่วนราชัยกำลังเช็คอุปกรณ์วิทยุดักฟัง
“พร้อมมั้ย”
ราชัยส่งไมค์จิ๋วคล้ายกระดุมให้กับภูวนัย
“หมวดลองเช็คครับ”
ภูวนัยรับมา แล้วลองเอาไว้ห่างๆ แล้วพูด
“หนึ่ง สอง สาม”
ภูวนัยมองไปที่คอมพิวเตอร์เห็นคลื่นความถี่ขึ้นลงตามเสียงพูดก็พยักหน้าพอใจ ระหว่างนั้นประตูรถตู้เปิดออก ด้วยฝีมือชาติกล้า ไวเท่าความคิดภูวนัยหยิบปืนแล้วเล็งไปที่ชาติกล้าทันที
“ฉันเอง”
ภูวนัยลดปืนลงเมื่อเห็นว่าเป็นชาติกล้า
“ไปไหนมา”
“โทรหาพ่อ แถวนี้มันไม่มีสัญญาณ ฉันเลยเดินไปใกล้ๆ นี่แหละ”
“เอ้าหมวดชาติไม่รู้เหรอครับว่า หัวหน้าแกสั่งตัดสัญญาณโทรศัพท์ในรัศมีหนึ่งกิโล”
ชาติกล้ามองภูวนัยด้วยความแปลกใจ ภูวนัยพูดขึ้นก่อนที่ชาติกล้าจะเอ่ยปากถาม
“ฉันไม่อยากให้แผนของเรารั่ว โทษทีวะชาติ เอาไว้โทรหลังจากเสร็จงานแล้วกัน” ชาติกล้าพยักหน้า ภูวนัยตบบ่าชาติกล้าเชิงขอโทษ ก่อนที่ตัวเองจะโทษเสื้อเกราะกันกระสุนออก
“ไอ้ภู ฉันไม่อยากให้แกเข้าไปคนเดียว”
“ฉันเข้าไปคนเดียวดีกว่า แกไม่ต้องห่วง ยิ่งเข้าไปเยอะพวกมันจะยิ่งสงสัย”
ภูวนัยเปิดประตูแล้วกระโดดลงจากรถตู้ ชาติกล้าพยายามทัดทาน
“แต่ฉันว่ามันเสี่ยงเกินไป”
“ฉันรู้ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจเป็นตำรวจแล้ว”
ภูวนัยยิ้มให้สบายๆ ก่อนจะลงจากรถไป ชาติกล้า วีระ ราชัยมองตามอย่างเป็นห่วง
“วันไหนไม่วิ่งฝ่าดงกระสุนสงสัยหัวหน้าเราจะนอนไม่หลับ”
“พูดมากนะจ่า มานี่ ฉันดูเอง”
ว่าแล้วชาติกล้าก็เอาคอมพิวเตอร์และหูฟังขึ้นมาใส่พร้อมปฏิบัติงาน
บรรยากาศภายในร้านดิออร์แกน แสงไฟวับแวม เสียงดนตรีอื้ออึง ที่เคาน์เตอร์เห็นเสี่ยคนนึงกำลังกระหลิ่มกระเหลี่ยกระดังงา
“บ้านเสี่ยใหญ่นะ ไม่อยากไปจริงเหรอ”
ขิงที่ทำงานที่บาร์น้ำ พอได้ยินก็กระแอมขัดคอ
“แฮ่ม แฮ่ม”
เสี่ยชะงัก แต่ความหื่นทำให้ไม่สนใจก่อนจะหันมาคั่วกระดังงาต่อ
“เอ่อ งาก็อยากไปนะคะเสี่ย แต่ติดตรงที่ดิออร์แกนนี่ไม่มีนโยบายอย่างว่านะคะ”
“โอ๊ย เรื่องเล็ก เดี๋ยวเสี่ยไปคุยกับเจ้ให้”
ขิงกระแอมอีกครั้งดังกว่าเก่า
“แฮ่มมม”
คราวนี้เสี่ยเริ่มรู้แล้วว่าขิงตั้งใจขัดคอเลยโมโห
“เฮ้ย ส้นตีนติดคอหรือไง”
กระดังงาเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามาขัดสงบศึก
“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียซิคะเสี่ย เขาก็แค่อยากให้เสี่ยจิบเบียร์เย็นๆ ใจร่มๆ ไม่เคยได้ยินเหรอคะ ว่ากระดังงามันต้องลนไฟมันถึงจะหอม ขืนกระดังงาไปกับเสี่ยตอนนี้ เสี่ยอาจจะพลาดตอนสำคัญไปก็ได้นะคะ”
“แหม แล้วก็ไม่บอก บ้ะ ไอ้หนุ่มนี่เข้าใจคิด ม่ะ เอาเบียร์มาแก้วนึง ขอวุ้นๆ นะไอ้น้อง”
ขิงหน้าตาไม่พอใจหันไปหยิบแก้ว
“อยากได้วุ้นใช่มั้ย ได้”
ขิงมองแก้วก่อนจะแอบขากเสลด ดังขากกกก...ทุ้ย
ขิงยื่นแก้วให้กับเสี่ย เสี่ยรับแก้วเบียร์แล้วยกซดทันที ก่อนที่เสี่ยจะรู้สึกแปลกๆ
“มีอะไรคะเสี่ย”
“เสี่ยว่าเบียร์มันแปลกๆ นะ”
กระดังงาหันไปมองขิง ขิงทำหน้าเป็นไม่สนใจ กระดังงารู้เลยว่าขิงทำอะไร หันไปกลบเกลื่อน
“อ๋อ คะ วุ้นที่นี่นำเข้าจากไต้หวันคะมันก็เลยรสชาติปะแล่มๆ น่ะคะ เอ่อ กระดังงาว่าเสี่ยไปนั่งที่โต๊ะดีกว่านะคะ ไปนั่งดูตรงโน้น จะได้เห็นกระดังงาเต้นชัดๆ นะคะ”
เสี่ยยิ้มให้ก่อนจะลุกเดินออกไปอย่างว่านอนสอนง่าย กระดังงาหันมาเอาเรื่องขิงทันที
“ทำอะไรของแก”
“เอ้า ก็มันสั่งเบียร์วุ้นนี่”
“นี่แกเลิกหึงฉันบ้าๆ บอๆ ซะทีได้มั้ย งานน่ะ เข้าใจมั้ยว่าเป็นงาน” โสภีเดินเข้ามา
“นังไผ่อยู่ไหน”
ขิงกับกระดังงาหันมาก็เห็นโสภียืนหน้าเครียดพร้อมกับลูกน้องด้านหลัง
“อุ้ย เจ้โส มีอะไรครับ”
โสภีหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องด้านหลังจัดการ ขิงกลัว รีบบอกทันที
“พวกเราไม่เห็นเลยเจ้”
“ไม่เห็นหรือไม่บอก ถ้าฉันเดินเข้าไปตรงนั้นแล้วเห็นนังไผ่หลบอยู่ แกกับนังงารู้ใช่มั้ยว่าฉันจะจัดการยังไงกับลูกน้องที่โกหกเจ้านาย”
ขิงกับกระดังงาทำหน้าจะร้องไห้ ก่อนที่ขิงจะพูดลอยๆ ขึ้นมา
“เจ้เขาพูดขนาดนี้แล้ว แกยังจะหลบอีกเหรอวะไอ้ไผ่”
ทันใดนั้นไผ่พญาก็กระเด้งผลุงขึ้นที่หลังเคาน์เตอร์
“เจ้ ยังไงฉันก็ไม่ไปกับเสี่ย ฉันเป็นโคโยตี้นะไม่ใช่ผู้หญิงขายบริการ”
“นังไผ่ ถึงแกจะเป็นดาวเด่นที่นี่ แต่ก็ใช่ว่าแกจะต่อรองกับฉันได้ แกอยากให้ฉันใช้ไม้แข็งใช่มั้ย”
ไผ่พญาได้ยินที่โสภีพูดอย่างนั้นก็รู้ว่ายังไงเธอก็หนีไม่รอด ไผ่พญาแกล้งทักผ่านหลังโสภี
“อ้าวเสี่ย เสร็จธุระแล้วเหรอคะ”
โสภีรีบหันไปแล้วทำเสียงหวาน
“แหม ท่าทางเสี่ยจะใจร้อน” แล้วโสภีก็ชะงักไปเมื่อหันไปแล้วไม่เห็นใคร โสภีหันกลับมาก็เห็นไผ่พญากำลังวิ่งหนีออกจากเคาน์เตอร์ “นังไผ่” โสภีหันไปบอกกับลูกน้องด้านหลัง “มัวยืนบื้ออะไรละ ไปจับมันมาซิ”
ลูกน้องของโสภีต่างวิ่งผ่านขิงกับกระดังงาที่พยายามสกัดจนข้าวของล้มระเนระนาดวุ่นวายกันไป
ลูกน้องของพายัพสองคนยืนระแวดระวังอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องวีไอพี ระหว่างนั้นภูวนัยเดินพ้นมุมออกมาแกล้งเป็นคนเมา ภูวนัยเดินมาตามทางหาลูกน้องของสมสุขที่เฝ้าทางเดินเอาไว้ ลูกน้องของสมสุขเข้ามาห้ามภูวนัยเอาไว้
“ผ่านไม่ได้”
“ผ่านไม่ได้ งั้นผมฉี่ตรงนี้แล้วกัน” ภูวนัยพูดแบบเมาๆ แล้วทำท่าจะรูดซิป
“เฮ้ยๆ โน่น ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”
“อ่ะๆ พวกพี่เห็นว่าผมเมาเลยแกล้งผมใช่ม้า ผมจำได้ว่าห้องน้ำมันไปทางนี้”
ภูวนัยทำท่าจะเดินต่อ แต่ลูกน้องทั้งสองก็คว้าเอาไว้
“ก็บอกว่าไปไม่ได้ไง”
ทันทีที่ลูกน้องคว้าหัวไหล่ภูวนัย ภูวนัยก็จับมือแล้วบิด ลูกน้องต้องก้มเพื่อผ่อนแรง ภูวนัยเสยแข้งเข้าที่ปลายค้าง ทำให้ลูกน้องหลับกลางอากาศ ลูกน้องอีกคนเข้ามาเหวี่ยงหมัดใส่ ภูวนัยก้มหลบก่อนจะต่อยไปที่ท้อง ลูกน้องตัวงอ ภูวนัยสับไปที่ต้นคอจนลูกน้องสลบไปอีกคน ภูวนัยมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบลากมันทั้งสองหลบไปแอบไว้ที่ช่องทางเดิน ภูวนัยเดินออกมาแล้วสื่อสารบอกหน่วยที่อยู่ด้านนอกทันที
“เคลียร์ต้นไม้แล้ว พิราบมาแล้วบอกด้วย”
สมสุขกระแทกแก้วเหล้าลงอย่างเซ็งๆ
“จะค้าขายกันหรือเปล่าวะ”
“เสี่ยอย่าเพิ่งหงุดหงิดซิครับ ถ้าเราได้คุณเฉินเป็นพันธมิตรอีกคน เสี่ยก็ขึ้นชั้นเป็นเบอร์ต้นๆ ของเอเชียแน่นอน”
สมสุขพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ไปตามน้องไผ่มา”
“แต่ เสี่ยครับ”
“มึงอยากให้กูอารมณ์ดีไม่ใช่เหรอ ไปตามมา”
พายัพก้มหัวเงียบสนิท ระหว่างนั้นพายัพได้ยินลูกน้องที่อยู่ด้านนอกดิออร์แกนรายงานมา
“ได้ ให้เข้ามาเลย” พายัพเดินเข้ามารายงานสมสุข “เสี่ยครับ คุณเฉินมาแล้วครับ”
“บอกมันรีบๆ เข้ามาเลย เสียเวลาจริงๆ”
สมสุขระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด พายัพหน้านิ่งไม่ได้รู้สึกอะไร
ชาติกล้ากำลังดูภาพจากกล้องวงจรปิดจากในคอมพิวเตอร์ ระหว่างนั้นชาติกล้าเห็นชายคนนึงกำลังเดินเข้ามาที่ดิออร์แกน ชาติกล้าเห็นอย่างนั้นก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงาน
“พิราบกำลังไปที่รัง”
ภูวนัยยืนอยู่ตรงทางเดินสวมรอยเป็นลูกน้องของสมสุข พยักหน้าหลังจากได้ยินที่ชาติกล้ารายงาน
“มากันกี่คน” ภูวนัยฟังชาติกล้าบอกจำนวน “ได้ เดี๋ยวฉันติดต่อกลับ”
ภูวนัยพูดจบ ไม่นานก็เห็นเฉินเดินเข้ามาตามทางเดินพร้อมกับหิ้วกระเป๋าที่คล้องกุญแจมือมาด้วย ภูวนัยเข้าไปยืนขวางไม่ให้กลุ่มของเฉินผ่าน
“พวกเรามาหาเสี่ยสมสุข”
เฉินบอก ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ก้มหัวให้
“สวัสดีครับคุณเฉิน ผมขอตรวจหน่อยแล้วกันครับ”
เฉินและคนติดตามยืนนิ่งให้ภูวนัยใช้เครื่องตรวจโลหะตรวจตามร่างกาย ภูวนัยอาศัยจังหวะที่ตรวจตัวของเฉิน แอบใส่เครื่องดักฟังกระดุมลงไปในสูทของเฉิน
“เรียบร้อยครับ”
ภูวนัยเปิดทางให้กับเฉินและคนติดตามก่อนที่ภูวนัยจะสื่อสารกับชาติกล้า
“ใส่เครื่องดักฟังแล้ว เช็คสัญญาณ”
ไผ่พญาในชุดมาริลีน มอนโร วิ่งหนีมาตามทาง มีลูกน้องโสภีวิ่งไล่ตามมาติดๆ ไผ่พญาวิ่งผ่านหน้าห้องน้ำชายเลยรีบเข้าไปบอกกับกลุ่มชายนักเที่ยว
“พี่คะช่วยหนูด้วย หนูโดนไอ้พวกโรคจิตตามมาคะ”
“ไหนๆ”
ไผ่พญาหันมองไปก็เห็นกลุ่มลูกน้องโสภีเข้ามาพอดี
“นั่นคะพี่”
กลุ่มชายนักเที่ยวสามสี่คนเดินเข้าไปหาลูกน้องโสภี
“เฮ้ย โรคจิตหรือไงพวกแก”
ลูกน้องโสภีไม่พูดพร่ำทำเพลงจัดการกับกลุ่มนักเที่ยวทีละคนสองคน ไผ่พญาเห็นท่ากลุ่มชายนักเที่ยวจะช่วยไม่ได้ก็ตัดสินใจวิ่งหนีออกไปทันที ลูกน้องโสภีจัดการกับกลุ่มชายนักเที่ยวเสร็จก็รีบวิ่งตามไผ่พญาออกไป
เฉินกำลังเอานิ้วกวาดในช่องปากเพื่อทดสอบยาของสมสุข บนโต๊ะมียาของสมสุขวางไว้พร้อมกับมีดที่เจาะถุง
“AA ใช้ได้”
ชาติกล้าฟังแล้วรายงานภูวนัย
“พิราบกำลังกินข้าวเปลือกอยู่”
ภูวนัยยืนอยู่หน้าห้องกระชับปืนในมืออย่างเตรียมพร้อม ภายในห้องสมสุขยิ้มร่าหลังจากที่เฉินยอมรับคุณภาพ
“แน่นอนอยู่แล้วคุณเฉิน ผมไม่ยอมให้เสียชื่อสมสุขหรอกน่า แล้วของผมละ”
เฉินหยิบกระเป๋าขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะรับกุญแจจากคนติดตามมาไขกุญแจมือออก เฉินเปิดกระเป๋าออก สมสุขยิ้มร่าเมื่อเห็นเพชรจำนวนนึงอยู่ในนั้น พายัพรู้สึกโทรศัพท์สั่นก่อนจะหยิบขึ้นมาดูจึงเห็นว่าเป็น SMS ที่ส่งมาบอกว่า...ตำรวจอยู่ข้างนอก
พายัพหน้าเครียดลงทันทีก่อนจะรีบเข้ากระซิบบอกกับสมสุข สมสุขฟังที่พายัพบอกแล้วโกรธมาก
“อะไรนะ” สมสุขหันไปมองเฉิน “พวกมึงเอาตำรวจมาจับกูเหรอ”
ภูวนัยอยู่ด้านนอกพยายามถามชาติกล้า
“มันส่งเงินกันหรือยังชาติ ชาติ”
ทันใดนั้นภูวนัยก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากในห้องวีไอพี ปัง สมสุขยิงปืนใส่ผู้ติดตามของเฉินจนล้มคว่ำ ภูวนัยยังไม่ได้คำตอบจากชาติกล้าแต่เมื่อได้ยินเสียงปืนอย่างนั้นทำให้ภูวนัยตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปทันที ภูวนัยเปิดประตูเข้าไปขณะที่ฝ่ายสมสุขกับฝ่ายเฉินกำลังจะเริ่มยิงกัน
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางอาวุธเดี๋ยวนี้”
ทุกคนชะงักเมื่อเห็นภูวนัยกำลังเล็งปืนมา
“จับได้คาหนังคาเขาอย่างนี้ เสี่ยคงไม่มีอะไรแก้ตัวนะ”
“ฉันเพิ่งรู้ว่า การขายแป้งมันก็ผิดกฎหมายด้วย”
“อะไรนะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาที่โต๊ะเพื่อพิสูจน์ยาบนโต๊ะ สมสุขหันไปส่งซิกให้พายัพ พายัพคอยจังหวะ เมื่อเห็นภูวนัยกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบยา พายัพก็เตะปืนในมือของภูวนัยจนปืนภูวนัยหลุดมือ ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ่งไปทางเฉินที่นั่งอยู่พร้อมกับหยิบปืนของเฉินติดมือไปด้วย พายัพและลูกน้องต่างระดมยิงใส่ภูวนัย ที่กลิ้งตัวหลบหลังโซฟา
ลูกน้องของสมสุขต่างระดมยิงใส่ภูวนัย กระสุนพุ่งเข้าเจาะร่างของเฉินกับผู้ติดตาม พายัพรีบพาสมสุขวิ่งออกไปทางประตูทันที ภูวนัยหันไปเห็นถุงยาจึงหยิบยาแล้วปาไปที่ลูกน้องของสมสุขที่กำลังระดมยิง ลูกน้องของสมสุขเมื่อเห็นอะไรลอยออกมาก็ยิงไว้ก่อน จึงทำให้ถุงยา(เฮโรอีน) แตกฟุ้งกระจายในอากาศ
ภูวนัยอาศัยจังหวะนั้นพุ่งตัวออกจากหลังโซฟาแล้วมาหยิบปืนของตัวเองที่ตกอยู่ที่พื้นก่อนจะยิงใส่ลูกน้องของสมสุข ปังๆๆ
ภูวนัยรีบวิ่งตามสมสุขกับพายัพออกไปทันที
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ไผ่พญาวิ่งหนีกลุ่มลูกน้องโสภีมาตามทางเดิน ระหว่างที่ไผ่พญากำลังวิ่งหนีก็เห็นพายัพพาสมสุขวิ่งมาอีกทาง พายัพชูปืนขู่
“หลีกๆ”
กลุ่มลูกน้องของโสภีเห็นพายัพถือปืนพาสมสุขมาก็รีบหยุดแล้ววิ่งกลับไป สมสุขวิ่งผ่านไผ่พญา
“น้องไผ่”
สมสุขคว้ามือไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญารีบปัดออก
“ว้าย ปล่อยๆ”
“อย่าเพิ่งน่าเสี่ย ตอนนี้เราต้องหนีก่อน”
พายัพรีบดึงสมสุขออกไป ระหว่างนั้นภูวนัยวิ่งตามมา
“หยุดนะ”
ภูวนัยวิ่งตามเข้ามา พายัพหันกลับมาแล้ววาดปืนขึ้นก่อนจะยิงใส่ภูวนัยที่ไล่หลังมา หัวกระสุนพุ่งออกจากปืนก่อนจะพุ่งไปที่ไผ่พญาที่ยืนอยู่ ไผ่พญาหน้าเหวอ ต้องตายแน่ๆ แต่แล้วทันใดนั้นภูวนัยก็คว้าร่างของไผ่พญาหลบได้ทัน
“เป็นไรมั้ย”
ภูวนัยกับไผ่พญาล้มกลิ้งกันไปทั้งคู่ ภูวนัยไม่ได้สนใจไผ่พญาก่อนที่ภูวนัยจะลุกขึ้นแล้วไล่ตามพายัพกับสมสุขออกไปอย่างกระชันชิด ไผ่พญายังนั่งเหวอที่รอดตายได้อย่างหวุดหวิด
ภูวนัยวิ่งตามพายัพที่พาสมสุขวิ่งมาที่จอดรถด้านหน้า ภูวนัยวิ่งออกมาจากประตูแต่แล้วภูวนัยก็ต้องรีบหลบเพราะถูกลูกน้องของสมสุขกระหน่ำยิงมา ภูวนัยพยายามยิงตอบโต้แต่ก็สู้อีกฝั่งที่มีปืนมากกว่าถึงหกเจ็ดเท่าตัวไม่ได้
พายัพพาสมสุขขึ้นไปนั่งบนรถ พายัพหันมามองทางภูวนัย ทั้งสองสบตากันในชั่ววินาที พายัพออกคำสั่งอย่างเหี้ยมเกรียม
“ฆ่ามัน”
พายัพออกคำสั่งเสร็จก็รีบปิดประตูก่อนจะเห็นรถของสมสุขขับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีรถของลูกน้องสมสุขแล่นตามไปอีกคัน ภูวนัยวิ่งหลบไปตามเสาแล้วยิงตาม แต่ก็ไร้ผล ภูวนัยรีบหลบหลังรถที่จอดเรียงรายเพราะพวกลูกน้องของสมสุขระดมยิงมาไม่ยั้ง ภูวนัยหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่และมีกุญแจเสียบคาอยู่
ภูวนัยคิดหาทางว่าต้องไปที่มอเตอร์ไซค์คันนั้นให้ได้
ภูวนัยชำเลืองมองผ่านเสาเพื่อนับจำนวนของลูกน้องสมสุขที่มีอยู่ด้วยกันสามคน ภูวนัยถอดแม๊กกาซีนออกดูว่ากระสุนเพียงพอมั้ย แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเพราะเหลือกระสุนเพียงนัดเดียวอยู่ในรังเพลิง ภูวนัยครุ่นคิดหาทาง
ภูวนัยมองไปรอบๆ ซ้ายขวา บนล่าง แล้วภูวนัยก็ตัดสินใจเล็งไปที่รถคันนึงที่จอดอยู่ข้างๆ พวกมัน ภูวนัยยิงไปที่ล้อรถคันนั้น ทันใดนั้นเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น พวกลูกน้องของสมสุขต่างตกใจ
ภูวนัยวิ่งออกจากหลังรถ ไปที่ลูกน้องคนแรกมันเล็งปืนมาที่ภูวนัย ภูวนัยจับมือแล้วหักก่อนจะอัพเปอร์คัทจนร่างของคนแรกกระเด็นลอยละลิ่วไป ภูวนัยวิ่งเข้าไปจัดการคนที่สอง คนที่สองยิงปืนใส่ภูวนัย ภูวนัยกระโดดหลบชิ่งรถแล้วพุ่งกระแทกใส่คนที่สองจนแน่นิ่งไปอีกคน คนที่สองกำลังปล่อยปืนหล่นไปที่พื้น ภูวนัยใช้เท้าเดาะปืนขึ้นลอยในอากาศ ก่อนที่เขาจะคว้าไว้แล้วเล็งใส่คนที่สามที่กำลังพุ่งเข้ามา คนที่สามถึงกับชะงักรีบยกมือยอมแพ้ ภูวนัยรีบวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ คนที่สามเล็งปืนใส่ภูวนัย ภูวนัยเห็นเงาของมันผ่านกระจกส่องข้างของมอเตอร์ไซค์ ภูวนัยย่อเข่าหลบกระสุนก่อนจะหันกลับมาแล้วยิงใส่คนที่สามทันที ปัง !
ทุกอย่างนิ่งสงบ ภูวนัยจัดการลูกน้องของสมสุขได้ในพริบตา ภูวนัยรีบขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปทันที
บนท้องถนน มอเตอร์ไซค์ของภูวนัยกระโจนขึ้นกลางอากาศก่อนจะลงแตะพื้นได้อย่างสวยงาม ภูวนัยกำลังสื่อสารกับชาติกล้าบนรถตู้
“ชาติ แกหาตำแหน่งรถของไอ้สมสุขให้ฉันที”
ชาติกล้ากำลังค้นหาภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ตามสี่แยก แล้วชาติกล้าก็เห็นรถของสมสุขผ่านแยกไฟแดงไป
“ไอ้ภู มันมุ่งหน้าไปทางมอเตอร์เวย์”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ตัดสินใจพุ่งมอเตอร์ไซค์ลงเกาะกลางที่เป็นหญ้าเพื่อกระโจนข้ามไปอีกฝั่ง ทำให้รถที่ขับอยู่อีกฝั่งถึงกับเบรกกันสนั่นหวั่นไหว
รถของสมสุขและรถของลูกน้องแล่นมาตามทาง ลูกน้องของสมสุขที่เป็นคนขับพูดกับลูกน้องอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ฉันว่ามันไม่ตามมาแล้วละ”
“ตำรวจอะไรวะ บ้าระห่ำชะมัด”
ทันทีที่ลูกน้องพูดจบ คนขับก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยควบมอเตอร์ไซค์กระโจนออกมาจากข้างทาง
“เฮ้ย”
“ชนแม่งเลย”
คนขับได้ยินอย่างนั้นก็เหยียบคันเร่งจนมิด ภูวนัยขับมอเตอร์ไซค์พุ่งสวนเข้ามาที่รถตู้ก่อนจะยิงปืนใส่รถของสมสุข กระสุนพุ่งเข้าเจาะที่กระจกแต่ไม่ผ่าน
“ไอ้โง่ กระจกกันกระสุนเว้ย”
รถของลูกน้องสมสุขวิ่งเข้าหามอเตอร์ไซค์ของภูวนัยกะชนให้ถึงตาย แต่ภูวนัยหักหลบจนล้มกลิ้งไปกับพื้น
รถของลูกน้องสมสุขและรถของสมสุขวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภูวนัยนอนแน่นิ่งที่ถนน ก่อนจะเห็นภูวนัยค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปยกมอเตอร์ไซค์ขึ้น
รีบขี่ตามขบวนของสมสุขไป
รถของสมสุขและลูกน้องวิ่งเข้ามาที่โกดังร้างแห่งหนึ่ง รถของสมสุขแล่นเข้าไปก่อน รถของลูกน้องวิ่งตามมาทีหลัง รถของลูกน้องหยุดก่อนที่จะเห็นลูกน้องกรูกันลงจากรถเพื่อปิดทางเข้าออก
“เข้ามาที่นี่ทำไมพี่”
“ตอนนี้พ่อมึงตั้งด่านทั้งเมือง จะขับออกไปให้พวกมันซิวหรือไง”
ทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างวาบที่หน้าโกดัง เหล่าลูกน้องของสมสุขต่างหันขวับด้วยความตกใจ พวกลูกน้องมองไปที่ไฟแล้วก็เห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ของภูวนัยนั่นเอง
“ยิง”
สิ้นคำสั่งเสียงปืนก็ดังระงมยิงใส่รถมอเตอร์ไซค์ของภูวนัยที่แล่นเข้ามาไม่ยั้ง รถมอเตอร์ไซค์ของภูวนัยแล่นตรงเข้ามายิงเพิ่มความเร็ว ลูกน้องของสมสุขยิงใส่เท่าไหร่ก็ไม่ล้มจนกระทั่งมอเตอร์ไซค์ของภูวนัยวิ่งเข้ามาชนกับรถของพวกมัน เหล่าลูกน้องพากันแตกกระเจิง ก่อนที่จะลุกขึ้นยิงใส่รถมอเตอร์ไซค์ของภูวนัย แล้วลูกน้องของสมสุขก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแต่มอเตอร์ไซค์ที่ใช้เข็มขัดล๊อคคันเร่งเอาไว้ ลูกน้องของสมสุขรู้ได้ทันทีว่าหลงกลแล้ว เหล่าลูกน้องของสมสุขหันไป ทันใดนั้นก็เห็นภูวนัยโหนโซ่ห้อยตัวมาจากด้านบนพร้อมกับยิงใส่เหล่าลูกน้อง ลูกน้องของสมสุขล้มลงราวใบไม้ร่วง ขณะที่คนอื่นๆ ที่ไม่ถูกยิงก็พยายามยิงสวนภูวนัย
ภูวนัยทิ้งตัวลงที่พื้น ลูกน้องที่เหลือพยายามยิงใส่ภูวนัยที่วิ่งเข้าไปหลบหลังที่กำบัง ภูวนัยมองไปที่รถของสมสุขเห็นคนที่ลักษณะคล้ายกับพายัพและสมสุขกำลังวิ่งหนี แต่แล้วทันใดนั้นภูวนัยก็ได้ยินเสียงขึ้นนก คลิ๊ก ภูวนัยหันกลับมาก็เห็นลูกน้องของสมสุขยืนจ่อปืนใส่
“เก่งมากเหรอมึง”
ลูกน้องอีกคนส่งสัญญาณให้ภูวนัยทิ้งปืน ภูวนัยจำต้องทิ้งปืน ภูวนัยจ้องมองที่นิ้วของมันที่อยู่ในโกร่งไกตาเขม็ง
ภูวนัยหลับตาก่อนจะเห็นภาพตัวเองเข้าไปจับที่ปืนของลูกน้อง ทำให้มันลั่นไกไม่ได้เพราะปืนสไลด์ไม่ได้ ก่อนที่ภูวนัยจะกดปลดกระสุนออก แล้วสไลด์ปืนเพื่อปลดกระสุนที่อยู่ในรังเพลิงทิ้ง ภูวนัยคว้าปืนของมันเขวี้ยงไปใส่ลูกน้องอีกคนที่กำลังเข้ามา ก่อนที่ภูวนัยจะซัดมันทั้งสองคนล้มคว่ำไป
ภูวนัยลืมตาขึ้นก่อนที่เขาจะทำตามภาพในความคิดที่เขาเห็นเมื่อครู่ เมื่อทุกอย่างนิ่งสงบลงลูกน้องของสมสุขก็ถูกภูวนัยจัดการจนเกลี้ยง ภูวนัยรีบหันมองไปที่รถของสมสุข รถของสมสุขกำลังสตาร์ทรถ รถสมสุขเปิดไฟ ทันใดนั้นก็เห็นภูวนัยยืนเล็งปืนมาที่รถ รถของสมสุขไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่ภูวนัยทันที
ภูวนัยมีบทเรียนรู้ว่าพวกมันต้องใช้กระจกกันกระสุนจึงเล็งไปที่ล้อหน้า แล้วด้วยความเร็วที่เหยียบมาเต็มที่ ทำให้รถของสมสุขเสียหลักพุ่งเข้าชนกับกำแพงจนลังและข้าวของที่วางอยู่หล่นถล่มใส่รถที่จอดหมดฤทธ์ ภูวนัยเดินไปเปิดประตูที่ด้านหลังเพื่อจะจับตัวพายัพและสมสุข แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่อยู่ในนั่นไม่ใช่พายัพและสมสุข เพียงแต่ว่าพวกมันแต่งตัวเหมือนพายัพกับสมสุขนั่นเอง ภูวนัยเจ็บใจที่โดนพวกมันหลอกให้ไล่ตามมา
ชุมชนแออัดในยามค่ำคืน เสียงวงเหล้า เสียงผัวเมียทะเลาะกันดังไปทั่วสมกับคำว่าชุมชนแออัด ไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในบ้านอารมณ์ค้างหงุดหงิด แต่แล้วไผ่พญาก็ชะงักไปเมื่อเห็นร่างของลำไยนอนอยู่ที่โซฟามีผ้าห่มคลุมทั้งตัว จากอารมณ์หงุดหงิด พอไผ่พญาเห็นลำไยอย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็นความห่วงใยทันที
“แม่ แม่เป็นอะไร”
ลำไยที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม งัวเงียลืมตาตื่นขึ้น
“อ้าว ไผ่เหรอลูก ทำไมวันนี้กลับเร็วละ”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่” ไผ่พญาเอามือไปอังหน้าผากของแม่ “หนาวเหรอแม่”
ไผ่พญากำลังจะพูดต่อถึงกับชะงักไปเมื่อเธอเหลือบไปเห็นไพ่ใบนึงแลบออกมาจากใต้ผ้าห่ม
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก แม่แค่เหนื่อยน่ะ แกขึ้นไปเถอะ ขอแม่นอนพักแป๊ป แล้วเดี๋ยวค่อยขึ้นไป”
ไผ่พญาหยิบไพ่ขึ้นมา
“ฉันว่า แม่ไม่ได้เหนื่อยหรอก แม่แค่ตื่นเต้นที่ป๊อกเก้าน่ะ”
ลำไยที่กำลังเล่นละครจะหลับตาต่อถึงกับตาโตตกใจ
“แกรู้ได้ยังไง”
ลำไยอึ้งไปเมื่อเห็นไผ่พญาถือไพ่ในมือ ไผ่พญาลุกขึ้นพูดเสียงดัง
“กลับบ้านกลับช่องกันได้แล้ว”
สิ้นเสียงไผ่พญาก็เห็นขาไพ่แต่ละคนค่อยๆ ออกจากที่ซ่อน ห้องน้ำ ใต้บันได ตู้เสื้อผ้า ลำไยเห็นทุกคนกำลังเดินออกก็โวยวาย
“เฮ้ย อย่าเพิ่งไป” ไม่ทันแล้วเพราะทุกคนรีบไปเพราะกลัวไผ่พญ่า ลำไยหันมาเฉ่งไผ่พญาทันที “นังไผ่ ฉันเพิ่งได้เป็นตาแรก แล้วแกก็โผล่มา แกนี่มันตัวขัดลาภฉันจริงๆ”
“แม่ เมื่อไหร่แม่จะเลิกเล่นไพ่ซะที เล่นแล้วมันมีอะไรดีขึ้นมั้ย”
“บ้ะ นังนี่ พอเรียนจบมีงานทำหน่อยก็ปีกกล้าขาแข็งเถียงฉอดๆ ถามหน่อย ใครเป็นคนส่งเงินให้แกเรียน ห๊า”
“แม่ เท่าที่ฉันจำได้ ฉันทำงานส่งตัวเองเรียนมาตลอด”
ลำไยถึงกับสะอึก แต่ไม่ลดละ
“เว้ย เรื่องมันเก่าแล้วฉันจำไม่ได้แล้ว เอาเรื่องตอนนี้ดีกว่า ที่แกได้งานทำทุกวันนี้เพราะใคร”
“เรื่องนั้นฉันไม่เถียงว่าที่ฉันต้องเป็นสาวโคโยตี้ ก็เพราะแม่ ถ้าแม่ไม่ไปยืมเงินเจ้เขา ฉันก็คงไม่ต้องไปเป็นโคโยตี้เพื่อขัดดอกให้แม่ทุกวันนี้หรอก”
ไผ่พญาพูดจบก็เดินถอนหายใจขึ้นข้างบนไป ลำไยด่าไล่หลัง
“ไอ้ไผ่ นี่แกว่าฉันเหรอ ไอ้ลูกเวร ระวังนรกจะอมหัวเถอะ ฮึ่ยย์”
ไผ่พญาเดินเข้ามาในห้องนอนใบหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ไผ่พญาเดินมาที่โต๊ะก่อนจะหยิบกรอบรูปนึงขึ้นมาดู กรอบรูปนั่นคือใบปริญญามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คณะศิลปศาสตร์ ข้างๆ มีรูปของเธอใบเล็กที่เธอยืนรับปริญญาอยู่เพียงคนเดียวโดยปราศจากลำไย
ไผ่พญารู้สึกคับแค้นใจในโชคชะตาของตน
เช้าวันต่อมา ไผ่พญานอนคุดคู้อยู่บนเตียง ระหว่างนั้นมีเสียงดังขึ้นโคล้งเคล้งที่ชั้นล่าง ไผ่พญาสะดุ้ง
“อะไรเนี่ยแม่ ตั้งวงกันแต่เช้าเลยหรือไง”
ชายฉกรรจ์คนนึงกำลังจะเคลื่อนย้ายมอเตอร์ไซค์ ส่วนอีกคนกำลังทั้งขวางทั้งดึงลำไยไม่ให้เข้ามาขวาง
“ไม่ได้นะ นั่นมันมอเตอร์ไซค์ลูกสาวฉัน”
ชายฉกรรจ์คนนึงกำลังนั่งทานน้ำแข็งใสอยู่ตรงหน้า ท่าทางจะเป็นหัวหน้าพอได้ยินลำไยพูดอย่างนั้นก็ชะงักเหล่ไม่พอใจ ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินลงมาจากบ้าน พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ
“พวกแกเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านฉัน”
กลุ่มนักเลงพอหันไปเห็นไผ่พญาก็ตาวาว
“แหม มีลูกสาวสวยก็ไม่บอก เฮ้ย แกว่าเฮียเขาอยากได้เนื้อสดหรืออยากได้มอเตอร์ไซค์วะ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หันไปคว้ามีดพร้าที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา
“ปากอย่างนี้ เอาชีวิตกลับไปให้ได้ก่อนเถอะ แม่นี่มันเรื่องอะไร”
ลำไยหลบตาไม่กล้าบอก
“เอ่อ คือ”
“แม่น้องน่ะ ไปเซ็นค้ำประกันเงินกู้ให้ไอ้ขิง”
“ไอ้ขิงมันเป็นหนี้พวกแก ก็ไปทวงกับมันซิ เรื่องอะไรมาเอากับฉัน”
“ถ้าทวงมันได้ก็ทวงไปแล้ว แล้วแกเสือกเป็นคนค้ำให้มันทำไม”
ไผ่พญาเข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที
“แม่ค้ำประกันให้ไอ้ขิงเหรอ”
“เอ่อ แม่ไม่รู้นี่ เห็นไอ้ขิงมันบอกว่าไม่มีอะไร แม่ก็เห็นว่ามันเป็นเพื่อนแก ก็เลยช่วยๆ มัน”
“มันให้แม่เท่าไหร่ แม่ถึงไปเซ็นให้มัน” ลำไยชูขึ้นมาห้านิ้ว “แค่ห้าร้อยเหรอแม่”
ลำไยส่ายหน้า
“ห้าสิบบาท”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งช็อคก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์
“เรื่องนี้ของไอ้ขิง พวกพี่ไม่ต้องห่วง ฉันเป็นคนทวงมาให้พี่เอง”
ว่าแล้วไผ่พญ่าก็กำมีดพร้าเดินออกไปอย่างโกรธจัด
ขิงค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากบ้าน กระดังงาโผล่ออกมาข้างล่าง
“ไง พวกเฮียหมูไปยัง”
“ไปแล้วมั้ง งั้นเรารีบไปเถอะ ตอนนี้พวกนั้นคงอยู่บ้านไอ้ไผ่แล้วละ”
ขิงกับกระดังงารีบออกมาจากบ้าน ข้าวของกระเป๋าเต็มพิกัดในการย้ายสำมะโนครัว ไผ่พญาเดินถือมีกำพร้าตรงดิ่งมา ระหว่างนั้นเห็นขิงกับกระดังงาออกมาที่หน้าบ้าน
“ไอ้เพื่อนทรยศ”
ขิงกับกระดังงาหันมาตามเสียงแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไผ่พญาเอามีดกำพร้าชี้มา แถมสีหน้ายังบ่งบอกอารมณ์ว่าโกรธจัด
“เหวอ”
ขิงและกระดังงาต่างทิ้งกระเป๋าแล้วโกยทันที
“อย่าหนีนะเว้ย”
ไผ่พญารีบวิ่งตามทันที
ที่หน่วยปราปรามยาเสพติด ชาติกล้าเดินเข้ามาในหน่วย ตำรวจทั้งหลายต่างทำความเคารพ ชาติกล้าเดินมาที่โต๊ะทำงานก่อนจะเห็นป้ายชื่อวางอยู่บนโต๊ะ “ รตอ.ชาติกล้า ณรงฤทธ์” รองสว.สืบสวนสอบสวน ชาติกล้าหยุดแล้วมองไปที่ภูวนัยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของเขาด้วยความสงสัย ชาติกล้ามองสภาพภูวนัยในชุดที่เปื้อนสีและใบหน้าอิดโรย
“มีอะไรวะไอ้ภู”
“ฉันพลาดอีกแล้ว” ชาติกล้าสงสัย
“อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนพวกมันรู้ตัวอีก”
“ก็ไม่ซะทีเดียว ฉันจับคนของพวกมันได้”
“จับได้ แล้วพลาดตรงไหนวะ”
“แต่ฉันไม่มีหลักฐานว่าพวกมันกำลังส่งยากัน”
“แล้วตอนนี้คนที่แกจับได้อยู่ไหน ฉันอยากจะคุยกับมัน”
ระหว่างนั้นจ่าวีระเข้ามา
“ขออนุญาตครับ”
“มีอะไรจ่า”
วีระท่าทางกระอักกระอ่วน ภูวนัยชักรู้สึกไม่ค่อยดี
ราชัยกำลังเดินออกมาจากห้องสอบปากคำ ภูวนัย ชาติกล้าและวีระ รีบวิ่งเข้ามา ภูวนัยรีบเปิดประตูเข้าไปดูภายในห้อง
“ผู้ต้องสงสัยละ”
“ปล่อยไปแล้วครับ”
ภูวนัยเข้าไปกระชากคอเสื้อราชัย
“หมู่ขัดคำสั่งผมเหรอ ผมบอกแล้วไงว่าให้กักตัวเธอเอาไว้”
ชาติกล้ากับวีระรีบห้าม
“ภู ใจเย็นซิวะ”
“เอ่อ ผมไม่อยากขัดคำสั่งหัวหน้าหรอกครับ แต่...แต่ผู้กำกับเป็นคนบอกให้ปล่อยเองครับ” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “แล้วก็ผู้กำกับเรียกหัวหน้าให้เข้าไปพบท่าน เดี๋ยวนี้ครับ”
ชาติกล้า ราชัยและวีระมองภูวนัยรู้ทันทีว่าภูวนัยจะต้องเจออะไร
พ.ต.ต.มารุตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องทำงาน หันหลังกำลังคุยโทรศัพท์กับทางผู้ใหญ่
“ได้ครับ ผมจะรีบหาสาเหตุแล้วทำรายงานส่งท่านให้เร็วที่สุดครับ ครับ สวัสดีครับ” มารุตวางสายก่อนจะหันหน้ามา “ใครให้คุณขังผู้ต้องสงสัยเอาไว้อย่างนั้น คุณไม่รู้หรือไงว่ามันผิดกฏหมาย”
ภูวนัยยืนตามระเบียบพักอยู่ต่อหน้ามารุต
“ทราบครับ แต่...เธอเป็นเบาะแสเดียวที่ทำให้สืบไปถึงแก็งค์ของนายสมสุขได้”
“แล้วมันคุ้มที่จะโดนยุบทั้งหน่วยหรือไง” มารุตเสียงดังแล้วผ่อนลมหายใจสงบสติ “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
“พวกมันเปลี่ยนสถานที่ส่งยาครับ”
“เปลี่ยน แล้วคุณทำงานประสาอะไร เราเป็นตำรวจ เราต้องนำหน้าพวกมัน ไม่ใช่ให้มันคอยปั่นหัวเราอย่างนี้”
ภูวนัยนิ่งเงียบ ไม่มีคำตอบใดๆ โต้แย้ง “เราส่งสายเข้าไปสืบการเคลื่อนไหวพวกมันได้ แล้วคุณคิดบ้างมั้ย ว่าพวกมันอาจจะส่งสายเข้ามาสืบการเคลื่อนไหวของเราเหมือนกัน”
ภูวนัยชะงักไป มารุตสบตาภูวนัยเหมือนต้องการจับสังเกต
“ท่านกำลังจะบอกว่าในทีมผมมีหนอนบ่อนไส้เหรอครับ”
“แล้วทำไมมันถึงได้เหลวแล้วเหลวอีก”
ภูวนัยนิ่งไปเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน
“ขออนุญาตครับ ผมเชื่อใจและไว้ใจทีมของผม ทุกคนทำงานกับผมมาหลายปี ผมขอเอาตำแหน่งและอาชีพตำรวจของผมยืนยันครับท่าน”
มารุตสังเกตความมุ่งมั่นภูวนัย
“ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้งเดียว คงรู้นะว่าผมหมายถึงอะไร”
ภูวนัยมีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที
ชาติกล้าเดินกระวนกระวายอยู่ที่ทางเดินด้วยความเป็นห่วงภูวนัย ระหว่างนั้นภูวนัยเดินออกมาพอดี ชาติกล้าเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“โดนอะไรมั้งวะไอ้ภู”
ภูวนัยเดินต่อไม่พูดอะไร ชาติกล้าเดินตามยังไม่ลดละ
“เฮ้ย ภู”
ภูวนัยหยุดแล้วหันมา
“แกว่าหน่วยเรามีหนอนบ่อนไส้หรือเปล่า”
“หนอนบ่อนไส้ ทำไมแกคิดอย่างนั้นวะ”
“ฉันไม่ได้คิด ฉันไว้ใจพวกเราทุกคนในทีม โดยเฉพาะแก...ชาติ...แกเป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจมากที่สุด”
ชาติกล้าพยักหน้ารับก่อนจะตบไหล่ภูวนัยเป็นเชิงขอบใจ
“แกก็เป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดเหมือนกัน แล้วเราจะเอายังไงต่อ”
“เรามีโอกาสอีกแค่ครั้งเดียว ครั้งนี้ เราจะพลาดไม่ได้”
ภูวนัยแววตากร้าวด้วยความมุ่งมั่นเอาจริง
ฟาร์มสุขเป็นฟาร์มที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล มีตัวบ้านสองหลังตั้งอยู่บนเนินสูง ถัดไปไม่ไกลเห็นโรงเรือนเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ ภายในบ้านเผ่าพงศ์นั่งหน้านิ่งอยู่ที่โต๊ะ
“มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์ เพราะพูดจา ไง...เชื่อฉันหรือยัง”
พรรษายืนถือหนังสือภาษาไทยอยู่ข้างๆ
“ยังคะ พรรษาขออีกบทละกัน” พรรษามองไล่สายตาในหนังสือ แล้วขึ้นต้น “จะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้”
“หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก แต่ตัดรัก นี้ไม่ขาด ประหลาดใจ” เผ่าพงศ์หันไปอีกทาง “หมอฟ้า ลุงจำได้ขนาดนี้ หายแล้วละ”
ปลายฟ้ายืนกอดอก ทำหน้าพิจารณา
“แล้วคุณลุงชื่ออะไรคะ”
“เอ้า...นี่เราลืมชื่ออาแล้วเหรอ”
ปลายฟ้าทำท่าจะจดบันทึก
“โอเค งั้นเดี๋ยวฟ้าวินิจฉัยเลยนะคะ”
“อ่ะๆ ล้อเล่นก็ไม่ได้ อาชื่อเผ่าพงศ์”
“แล้วผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ฉันชื่ออะไรคะ”
“แม่นี่น่ะเหรอ แม่พรรษา แม่บ้านที่นี่ไง”
“แล้วฉันละคะ”
“หมอปลายฟ้า เป็นหมอประจำตัวของลุง แล้วก็เป็นเพื่อนกับไอ้ภูมาตั้งแต่เด็ก ไง...ลุงบอกแล้วไงว่าลุงหายแล้ว”
“อืม ดีใจด้วยนะคะ”
“เยส งั้นลุงไปได้แล้วนะ”
“ค่ะ”
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ทันทีที่เผ่าพงศ์ลุกขึ้นเดินออกไป พรรษาก็ร้องตกใจเพราะเผ่าพงศ์นุ่งแต่กางเกงบอกเซอร์
“ว้าย”
ปลายฟ้าเห็นก็อมยิ้ม พรรษาค่อยๆ กางนิ้วแล้วมองลอดช่องนิ้วมือ พอเห็นว่าเผ่าพงศ์ไปแล้วก็เอามือลง
“อ้าว ไหนบอกว่าคุณเผ่าหายแล้วไงคะหมอ” พรรษาเดินมาที่เผ่าพงศ์ แล้วหยิบกางเกงขึ้นมาโชว์ “ดูซิคะ ยังลืมใส่กางเกงเหมือนเดิม”
“คนเป็นอัลไซเมอร์ไม่ได้หายง่ายๆ หรอกคะ”
“อ้าว แล้วเมื่อกี้หมอบอกว่าคุณเผ่าหายแล้ว”
“ฟ้าว่าแค่นี้ลุงเผ่าก็เครียดแล้วละคะ คนที่เป็นอัลไซเมอร์ถ้ายิ่งเครียด อาการจะยิ่งแย่ลงนะคะ” ปลายฟ้าเก็บของ “แต่ก็ถือว่าอาการของลุงดีขึ้น ยังไงฝากป้าษาช่วยดู อย่าให้คุณลุงลืมทานยานะคะ”
พรรษาเหนื่อยใจ ระหว่างนั้นพรรษานึกได้
“เอ่อ คุณฟ้าอย่าเพิ่งรีบกลับซิคะ ยังไงอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะคะ ตอนนี้คุณภูกำลังเป็นรับเด็กๆ อีกแป๊ปก็น่าจะถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันขอตัวไปดูคุณท่านก่อนนะคะ”
พรรษาเดินขึ้นบันไดไป ปลายฟ้าพอได้ยินชื่อภูวนัยก็สงสัย
“ภูมาเหรอ”
แก้วใจกำลังต้อนหมูให้เดินเล่น พร้อมกับร้องเพลงอารมณ์ดี ระหว่างนั้นแก้วใจได้ยินเสียงกระซิกๆ ดังมาก็หันมองหาที่มาแล้วก็เจอกับใครบางคนนั่งอ่านหนังสือศาลาคนเศร้าอยู่ใต้ต้นไม้ แก้วใจเดินเข้ามาก่อนจะพูดขึ้น
“เลี้ยงหมูนี่มันเศร้าไม่พอหรือไง ถึงต้องมาอ่านศาลาคนเศร้าอีก ห๊ะ ไอ้ผจญ”
ผจญลดหนังสือลงเห็นน้ำตาคลอๆ
“ก็ฉันชอบนี่พี่”
“อ่านเข้าไป ไอ้พวกรักไม่สมหวังเนี่ย เดี๋ยวซักวันเถอะ เรื่องของแกจะไปโผล่ในนั้น”
“พี่รู้ได้ไง”
“ชื่อแกก็บอกอยู่แล้ว เป็นแฟนผจญ...ต้องทนหน่อยน้อง...พี่นี่ไม่มีเงินทอง...มารองรับความลำบากกกกกก” แก้วใจร้องออกมาเป็นเพลง ผจญหน้าเศร้าลง
“ผู้หญิงที่เขาชอบเราโดยไม่ได้มองฐานะเราไม่มีเหรอพี่”
“เอาจริงๆ มั้ย ไม่มี” ระหว่างนั้นเสียงรถแล่นเข้ามา ผจญมองไปทางเสียง “ว้าย คุณหมอกกับคุณเมฆมาแล้ว”
ผจญได้ยินอย่างนั้นก็เห็นใบหน้าของเขาแช่มชื่นขึ้นมาทันที
รถของภูวนัยจอดสนิท ผจญกับแก้วใจรีบเดินเข้ามา
“คุณภู ไหงวันนี้มาได้ละคะ”
“ฉันเสร็จงานเร็วน่ะ”
ม่านเมฆเปิดประตูลงจากรถ พอเห็นผจญก็วิ่งเข้ามาเล่นต่อยมวยด้วยทันที
“โอ๊ยๆ พี่ยอมแล้ว”
“อะไร ไม่สู้คนเลยพี่ผจญเนี่ย”
ที่ผจญไม่อยากเล่นกับม่านเมฆก็เพราะสายตาของเขาจับจ้องไปที่ม่านหมอกที่กำลังลงจากรถ
“ผมช่วยถือกระเป๋าให้มั้ยครับ” ม่านหมอกเดินผ่านผจญไปเหมือนผจญเป็นอากาศธาตุ ผจญได้แต่ก้มหน้าพูดไม่ออก “เอ่อ คุณภูมีอะไรให้ผมช่วยถือมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอก ไปเถอะ เดี๋ยวฉันมีอะไรเดี๋ยวเรียกเอง”
ผจญกับแก้วใจเดินออกไป ระหว่างนั้นเสียงปลายฟ้าดังขึ้น
“คิดว่าจะได้เจอนายตอนที่เป็นข่าวแล้วซะอีก”
ภูวนัยหันมาเห็นปลายฟ้า
“อ้าว พูดดีๆ นะหมอ ข่าวอะไร”
“ก็ข่าวตอนนายได้ตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจไง คิดอะไร”
“นั่นมันนานไปหรือเปล่าหมอ”
“หมออีกละ เรียกฉันเหมือนเดิมได้มั้ย เรียกหมอฉันรู้สึกห่างๆ ยังไงชอบกล”
“ได้ซิ เข้าไปข้างในดีกว่าเหยิน”
ว่าแล้วภูวนัยก็เดินเข้าไปในบ้านเลย ปลายฟ้าถึงกับอึ้ง
“นี่ ฉันหมายถึงให้เรียกฉันว่าฟ้า ไม่ใช่ให้เรียกชื่อตอนเด็กๆ”
ปลายฟ้าทำหน้างอน แต่สักพักก็เห็นรอยยิ้มของเธอ เพราะดีใจที่ได้พบกับภูวนัยอีก
วันต่อมาที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด ภูวนัยวางแผนกับทีมในห้องปฏิบัติงาน
“ฉันเพิ่งได้รับรายงานจากสายของเราว่าวันนี้ จะมีการลำเลียงยาบ้าล๊อตใหญ่จะชายแดนฝั่งตะวันตกเข้ามาที่กรุงเทพฯ” ภูวนัยหันไปชี้จุดบนแผนที่ “พวกมันจะส่งมอบยากันที่ท่าเรือ แฝงมากับตู้สินค้า ขอให้ทุกคนจับตาดูตู้สินค้าที่มีตัวหนังสือ...” ตำรวจภายในห้องต่างจดข้อมูลเอาไว้ “ยาล๊อตนี้คือยาที่มาจากชายแดนเพื่อส่งให้เครือข่ายของเสี่ยสมสุข ถ้าวันนี้เราจับพวกมันได้ ก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ทุกคนในห้องประชุมต่างมีสายตาที่มุ่งมั่น ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะพูดขึ้น “ขอโทษที่ฉันพูดผิดไป วันนี้เราต้องจับพวกมันให้ได้”
ทุกคนในห้องต่างส่งเสียงร้องเรียกขวัญตัวเอง
คืนเดียวกันนั้นที่ดิออร์แกน โสภีทำหน้าแปลกใจ
“แน่ใจเหรอกับสิ่งที่พูดมา ห๊ะ นังไผ่”
ไผ่พญานั่งคุยกับโสภีที่มุมหนึ่งของดิออร์แกน
“หึ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเจ้โสภีจะถามอย่างนี้ ฉันนึกว่าเจ้จะรีบตกลงซะอีก”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ฉันอยากรู้เงื่อนไขของแก”
“หนี้ของแม่ฉัน แล้วก็ของไอ้ขิงกับกระดังงา จะหายกันภายในคืนนี้”
สภีได้ยินก็ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบก่อนจะปาทิ้งด้วยความโมโห
“แกคิดว่าฉันโง่หรือนังไผ่ ที่ฉันอยากให้แกไปกับเสี่ยสมสุขก็เพราะเสี่ยเขาอยากได้แกมานานแล้ว แล้วถ้าฉันยกหนี้ให้แก ฉันต้องเสียรายได้อีกเท่าไหร่”
“ฉันว่าเจ้คงไม่เสียหรอก คิดดูซิหนี้ของฉันกับของสองคนนั่นก็เท่าไหร่ แล้วเจ้ยังได้พิเศษจากเสี่ยสมสุขอีก ฉันว่าคนที่เสียคงเป็นฉันมากกว่า”
โสภีจ้องหน้าไผ่พญาเหมือนต่างคนต่างกำลังอ่านกัน
“แล้วถ้าฉันไม่ตกลงละ”
“เจ้คิดว่าฉันไม่มีเบอร์เสี่ยเขาหรือไง แค่ฉันโทรหาเสี่ยแล้วบอกว่าคืนนี้ฉันยอมที่จะเป็นของเสี่ย เงินที่ฉันติดหนี้เจ้มันจิ๊บจ๊อยมาก ที่ฉันมาบอกเจ้ก็เพราะฉันให้เกียรติเจ้ เจ้เลือกแล้วกันว่าจะเอายังไง”
โสภีมองไผ่พญาด้วยความแค้นที่ถูกไผ่พญาบีบเกมส์
สมสุขอยู่บ้านกำลังคุยกับโสภีด้วยความตกใจ
“อะไรนะ ไผ่มันพูดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” สมสุขฟังแล้วยิ้มชอบใจ “ได้ เดี๋ยวฉันจะไปรับเธอด้วยตัวเองเลย”
พอสมสุขวางโทรศัพท์ เสียงของพายัพก็ดังขึ้น
“แต่คืนนี้เรามีงานใหญ่นะนาย”
สมสุขหันไปตามเสียง พายัพถือแก้วเหล้าจิบอยู่ที่โซฟา
“แล้วไง แกก็ไปแทนฉันได้นี่”
“ผมไม่เข้าใจว่านายชอบผู้หญิงคนนั้นอะไรนักหนา ผมไม่อยากให้นายต้องเสียงานใหญ่นะครับ”
ทันใดนั้นสมสุขก็จ่อปืนมาที่พายัพ
“ฉันสั่งอะไรก็ทำตามนั้น”
“เอ่อ...ครับนาย” สมสุขหยิบกระเป๋าเหน็บแล้วจะเดินออกไป “เดี๋ยวผมให้ไอ้วุฒิขับรถให้นายแล้วกัน”
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันจะไปคนเดียว”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนชะงักไปครู่
“นายจะไม่เอาลูกน้องไปเลยเหรอครับ”
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง เสร็จงานแล้วโทรหาฉันแล้วกัน”
สมสุขสั่งงานเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องไป พายัพมองตามเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง พายัพหยิบมือถือขึ้นมากดหาใครบางคน
“ฉันเอง เปลี่ยนแผนนิดหน่อย”
พายัพยิ้มร้ายด้วยแผนการในหัวที่ไม่มีใครล่วงรู้
ภูวนัยอยู่ที่ท่าเรือมุ่งมั่นในภารกิจวันนี้
“ทุกคนเตรียมพร้อมให้ดี ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
ชาติกล้าซุ่มอยู่ในมุมที่เตรียมพร้อม
วีระกับราชัยปลอมตัวเป็นพนักงานท่าเรือเช่นเดียวกับตำรวจคนอื่นๆ ที่ภูวนัยวางกำลังกระจายไปทั่วท่าเรือ
ขณะนั้นสมสุขอยู่ที่ดิออร์แกนกำลังชะเง้อมองหาไผ่พญา
“ทำไมป่านนี้ยังไม่ออกมา หรือว่าเธอจะเปลี่ยนใจ”
“แหม เสี่ยอยากได้ของดีก็ต้องใจเย็นๆ ซิคะ เอ่อ ระหว่างที่เรารอน้องไผ่ โสภีว่าเรามาคุยเรื่องค่าปงค่าเปิดดีมั้ยคะเสี่ย”
“เปิดอะไร ฉันไม่กินอะไรแล้ว”
“แหม ไม่ใช่เปิดเหล้าคะเสี่ย เปิดบริสุทธิน่ะคะ”
สมสุขได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจ
“ได้เลย” ว่าแล้วสมสุขก็หยิบเงินปึกนึงออกจากกระเป๋า โสภีเห็นก็ตาลุกวาว “ไง แค่นี้พอมั้ย”
“พอคะพอ เอ่อ แล้วไม่มีค่าน้ำลงน้ำลายที่กล่อมน้องเขาสำเร็จเหรอคะ” โสภีพูดไม่ทันจบสมสุขก็ควักให้อีกปึก
“แหม รู้สึกชุ่มคอขึ้นมาทันที” โสภีมองไปที่ทางออก “อุ้ย คุยเรื่องสำคัญเสร็จน้องไผ่ก็มาพอดี”
สมสุขหันมองไปตามโสภีแล้วสมสุขก็ถึงกับตะลึงค้างเมื่อเห็นไผ่พญาในชุดสวยเซ็กซี่สุดๆ ไผ่พญาหยุดมองที่สมสุข ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดกับการตัดสินใจในครั้งนี้
ไผ่พญาเดินเข้ามาสมสุขก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“รอนานมั้ยคะเสี่ย”
“ให้นานกว่านี้ก็รอได้จ้ะ” สมสุขลุกขึ้นก่อนจะผายมือให้ไผ่พญา “ไปกันหรือยัง”
ไผ่พญาฝืนยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของสมสุขแล้วลุกขึ้นเดินออกไป โสภีตะโกนไล่หลัง
“รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่คะเสี่ย”
โสภีจุ๊บปึกเงินอย่างมีความสุข
ที่ท่าเรือวีระและราชัยกำลังซุ่มอยู่หลังตู้คอนเทรนเนอร์
“ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก”
“นั่นซิ ไม่ใช่ว่าเหลวอีกนะ”
ระหว่างนั้นเสียงชาติกล้าดังขึ้นผ่านวิทยุข้างหู
“พูดอะไรน่ะ” ชาติกล้ากำลังซุ่มอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น “บอกแล้วไงว่าคราวนี้เราต้องสำเร็จ ใช่มั้ยภู”
ภูวนัยยังซุ่มอยู่ที่เดิมเห็นความมุ่งมั่นไม่ลดลงเลย ระหว่างนั้นภูวนัยก็ชะงักไปเมื่อเห็นรถคอนเทรนเนอร์ขับเข้ามา ภูวนัยรีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นดูทันทีแล้วภูวนัยก็เห็นข้างตู้คอนเทรนเนอร์เป็นตัวอักษรเดียวกับที่รับรายงาน
“ทุกคนเตรียมพร้อม เป้าหมายเข้ามาแล้ว”
ทุกคนเตรียมพร้อมลงมือปฏิบัติการทันที
รถคอนเทรนเนอร์คันนั้นขับเข้ามาจอดก่อนจะเห็นมันหยุดนิ่งสนิท ภูวนัยเพ่งตาเขม็งไม่วางตา
“ยังก่อน ทุกคนรอสัญญาณจากฉัน”
คนขับรถคอนเทรนเนอร์ลงจากรถ ก่อนที่เขาจะมองไปรอบๆ เพียงชั่วครู่ก็เห็นใครบางคนเดินออกจากเงามืดแล้วตรงมาที่เขา
“ฉันว่าไอ้หมอนี่ต้องเป็นคนจากสมสุขแน่วะไอ้ภู”
ชาติกล้าบอก ภูวนัยจับตามองชายคนที่เพิ่งเดินออกมาตาเขม็ง ชายคนนั้นเดินถือกระเป๋าเข้ามาที่คนขับคอนเทรนเนอร์ก่อนจะส่งกระเป๋าให้กับคนขับ ทันใดนั้นภูวนัยรีบให้สัญญาณทันที
“ไป...ไป...ไป”
ตำรวจต่างกรูกันออกจากที่ซ่อนพร้อมอาวุธครบมือแล้วตรงเข้ามาล้อมกรอบชายทั้งสองคน
“ทิ้งกระเป๋า แล้วหมอบลงกับพื้น”
ชายทั้งสองคนตกใจรีบทิ้งกระเป๋าแล้วหมอบลงกับพื้นทันที ภูวนัยรีบวิ่งออกมาก่อนจะตรงเข้ามาที่ชายทั้งสองที่วีระกับราชัยกำลังตรวจอาวุธอยู่
“ชาติ แกไปเปิดตู้คอนเทรนเนอร์”
ชาติกล้ารีบวิ่งไปหลังรถ ส่วนภูวนัยรีบวิ่งเข้ามาที่กระเป๋าใบนั้น ระหว่างที่ภูวนัยกำลังจะเปิดกระเป๋าเสียงของชาติกล้าร้องเรียกขึ้น
“ภู ภูมาดูนี่เร็ว”
ภูวนัยแอบอมยิ้มเพราะคำพูดของชาติกล้าทำให้เขามีความหวัง ภูวนัยรีบวิ่งไปหลังรถ แต่แล้วภาพที่ภูวนัยเห็นก็ทำให้เขาแทบเข่าอ่อนเพราะมันคือตู้คอนเทรนเนอร์อันว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย
ภูวนัยอึ้งไป ภูวนัยยืนโกรธตัวสั่นอยู่ท้ายตู้คอนเทรนเนอร์ที่ว่างเปล่า วีระกับราชัยวิ่งเข้ามาดู
“เฮ้ย เราโดนพวกมันหลอกอีกแล้วเหรอเนี่ย”
ภูวนัยกำหมัดแน่นโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภูวนัยเดินตรงดิ่งเข้ามาหาที่กระเป๋าก่อนจะเปิดกระเป๋าดูแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อพบว่าภายในกระเป๋ามีแต่เสื้อผ้า ภูวนัยโยนกระเป๋าทิ้งด้วยความโมโหก่อนจะเดินเข้าไปกระชากตัวของคนขับรถที่นอนหมอบอยู่ลุกขึ้น
“ยาอยู่ไหน”
ชาติกล้า วีระ ราชัยรีบเข้ามาห้ามภูวนัย
“ภู”
“พี่พูดเรื่องอะไร ผมไม่รู้เรื่อง”
ภูวนัยผลักชาติกล้าออกไปก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาจ่อคนขับรถ
“ยาอยู่ไหน”
ทุกคนตกใจที่ภูวนัยเริ่มโกรธจนคุมตัวเองไม่อยู่
“ภู แกจะทำอะไร”
“ฉันก็จะทำให้มันพูดไง จะบอกหรือจะตาย”คนขับรถกลัวลนลาน
“ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ พี่ มีคนจ้างผมให้ผมขับรถคันนี้ไปที่ตราด”
“แล้วแกมานี่ทำไม”
“เขาบอกว่า ก่อนไปให้มาที่ท่าเรือมีคนจะเดินทางไปด้วย ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่พูดอะไร อย่ายิงผมเลยนะพี่”
ภูวนัยกำปืนแน่นด้วยความโกรธ ชาติกล้าต้องรีบเข้ามาห้าม
“ภู ฉันว่าไอ้หมอนี่มันไม่รู้เรื่องจริงๆ เก็บปืนเถอะ”
ภูวนัยตาแดงเถือกด้วยความโกรธ ก่อนที่จะผลักคนขับรถออกด้วยความโมโห
“โธ่เว้ย”
ภูวนัยเดินมาตามทางที่ลานจอดรถพร้อมกับวีระและราชัย ระหว่างนั้นเสียงชาติกล้าเรียกเอาไว้
“ภู”
ภูวนัยและทุกคนหันไปก็เห็นชาติกล้าเดินเข้ามา
“นี่แกยังไม่ล้มเลิกภารกิจคืนนี้อีกเหรอ”
“ไม่ ยังไงคืนนี้ฉันต้องจับไอ้สมสุขให้ได้”
“แล้วแกจะจับมันยังไง ป่านนี้มันส่งยากันเรียบร้อยแล้ว”
“ยังหรอก ฉันให้สายของเราเฝ้าหน้าบ้านมันเอาไว้ ถ้าคืนนี้เป็นการส่งยาล๊อตใหญ่จริงๆ มันต้องมีความเคลื่อนไหวที่บ้านมัน”
“อะไรนะ แกให้สายของเราไปเฝ้าไอ้สมสุขไว้เหรอ”
ชาติกล้าถามอย่างตกใจ ภูวนัยพยักหน้าแล้วสงสัย
“แกมีอะไรหรือเปล่าชาติ”
ชาติกล้าลำบากใจที่จะพูด
“เมื่อกี้ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่า พ่อฉันต้องผ่าตัดคืนนี้”
“ถ้าอย่างนั้นแกไปเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องห่วงทางนี้ แกรีบไปเถอะ”
“ขอบใจมากเพื่อน”
ชาติกล้าตบบ่าภูวนัยเป็นเชิงขอบใจก่อนที่ชาติกล้าจะรีบออกไป ภูวนัยมองตามก่อนจะหันไปบอกกับวีระและราชัย
“เรียกทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องมาให้ผมเดี๋ยวนี้”
วีระกับราชัยขานรับพร้อมกันก่อนที่ทั้งสองคนจะวิ่งออกไป แววตาของภูวนัยยังไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ภูวนัยเดินเข้ามาในสำนักงาน แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นพายัพเดินมากับมารุต
“ต้องขอบคุณที่คุณพายัพอุตส่าห์ออกปาก”
“ไม่ต้องหรอกครับผู้กำกับ ไอ้ผมมันก็มีจิตสำนึก รู้ว่าอะไรดีไม่ดี”
ภูวนัยมองมารุตกับพายัพที่คุยกันด้วยความสงสัยและโมโห
“ผู้กำกับ” ภูวนัยเดินปรี่เข้ามา “มันมาทำไม”
“นี่ หมวด กรุณาให้เกียรติประชาชนหน่อยซิ เรียกมงเรียกมัน ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”
“ทำไมฉันต้องให้เกียรติคนอย่างแก ผู้กำกับนี่มันเรื่องอะไร ทำไมมันถึงมาที่นี่ได้”
“ใจเย็นหมวด”
“ไม่เป็นไรหรอกครับผู้กำกับ” พายัพหันมาทางภูวนัย “เป็นไง วันนี้จับอะไรได้บ้าง คงจับได้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าใช่มั้ย ถ้าเดาไม่ผิด”
ภูวนัยโมโหปรี่เข้าไปกระชากคอพายัพ
“แก”
“หมวด หยุดเดี๋ยวนี้” ภูวนัยชะงักก่อนจะผลักพายัพออก “คุณพายัพมานี่เพื่อเป็นพยานซัดทอดเสี่ยสมสุข”
“อะไรนะครับ ผู้กำกับคงไม่เชื่อที่มันพูดนะครับ”
“ไม่เอาน่าหมวด ผมว่าผู้กำกับคงรู้ว่าเชื่ออะไรได้หรือไม่ได้” พายัพเข้าไปตบบ่าภูวนัย ภูวนัยปัดออก “เลิกทำหน้าซีเรียสขึงขังได้แล้วน่าหมวด มันไม่ได้ช่วยกลบความผิดพลาดของหมวดในคืนนี้ได้หรอก”
“แก” ภูวนัยจะเอาเรื่องอีก มารุตรีบปราม
“หมวดภู” มารุตหันไปตัดบทกับพายัพ “เชิญทางนี้ดีกว่า เดี๋ยวผมไปส่ง”
มารุตรีบเดินนำพายัพออกไป พายัพยิ้มเยาะภูวนัยก่อนจะเดินตามมารุตไปอย่างกวนบาทา ภูวนัยมองตามด้วยความโมโห
ไผ่พญานั่งอยู่ริมสระน้ำ บรรยากาศสบายๆ ในบ้านพักส่วนตัวของสมสุขแต่ไผ่พญากลับไม่สบาย ก่อนที่เธอจะก้มมองยาเม็ดนึงภายในมือของเธอ
“ถ้าคราวนี้แกหลอกฉันอีก ฉันเอาแกตายแน่ไอ้ขิง”
ไผ่พญาคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ภายในห้องพักของโคโยตี้ ไผ่พญาแปลกใจกับยาที่ขิงให้ดู
“ยาอะไร”
“เขาเรียกว่ายาเสียสาว” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ยกมือจะตบขิง ขิงเหวอ “เฮ้ย ฉันไม่ได้ให้แกกิน ไอ้นี่มันคือยานอนหลับอย่างแรง รับรองว่าไอ้เสี่ยนั่นหลับเป็นตาย แถมตื่นมามันยังจำอะไรไม่ได้ด้วย”
“ได้ผลจริงๆ เหรอ”
“จริงดิ ที่ฉันได้ไอ้งาก็เพราะยาเม็ดนี่แหละ”
กระดังงาตบหัวขิง ป้าป
“ยังมีหน้าพูดอีก ไผ่ แกทำเพื่อพวกเราขนาดนี้ พวกเราไม่รู้จะช่วยแกยังไง นอกจากยาเม็ดนี่”
กระดังงาให้ยากับไผ่พญา ขณะที่ไผ่พญามองยาในมืออย่างครุ่นคิด
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ไผ่พญากำลังตื่นเต้น สูดลมหายใจลึก
“ใจเย็นๆ ไม่มีอะไร เราทำได้ เราทำได้”
ระหว่างนั้นสมสุขเดินถือไวน์เข้ามาพร้อมกับแก้วสองใบ
“เป็นอะไร” ไผ่พญาตกใจเล็กน้อย
“เอ่อ เปล่าคะ”
สมสุขรินไวน์ใส่แก้วก่อนจะส่งให้กับไผ่พญา
“ดื่มซิ ฉลองให้ฉันหน่อย”
“เรื่องอะไรคะ”
“ที่เธอใจอ่อน มาอยู่กับฉันในคืนนี้ได้”
ไผ่พญาหลุกหลิกเพราะไม่ได้จังหวะใส่ยา สมสุขหยิบแก้วไวน์แล้วคล้องแขนไผ่พญา ไผ่พญารีบดึงจังหวะก่อนที่สมสุขจะจิบไวน์
“เดี๋ยวก่อนนะคะ” สมสุขแปลกใจ “เอ่อ เสี่ยจะไม่เปิดเพลง สร้างบรรยากาศหน่อยเหรอคะ”
“จริงซิ”
ไผ่พญายิ้มคิดว่าสมสุขจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่แล้วสมสุขกลับหยิบรีโมทในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแล้วกด แล้วเสียงเพลงบรรเลงก็ดังขึ้น สมสุขยิ้มพร้อมกับจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ไผ่พญาอับจนหนทางแล้วไม่รู้จะทำยังไงเลยร้องตะโกนขึ้น
“ว้าย”
“มีอะไร”
“แหม เสี่ยก็ลูกน้องเสี่ยอยู่เต็มบ้านอย่างนี้ ไผ่อายน่ะคะ”
สมสุขหันมองลูกน้อง
“ได้จ้ะ เดี๋ยวเสี่ยจัดให้” สมสุขเดินเข้าไปหาลูกน้องที่ยืนเรียงรายเต็มไปหมด “เฮ้ย ออกไปข้างนอกก่อนไป”
“จะดีเหรอครับเสี่ย”
“จะถามหาอะไรวะ บอกให้ออกไปไง ไปอยู่กันหน้าบ้านโน่น” กลุ่มลูกน้องพากันก้มหน้างุดแล้วเดินออกไป พอไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็รีบหย่อนยาลงไปในแก้วไวน์ของสมสุข สมสุขเดินกลับมาหาไผ่พญา “เรียบร้อย ตอนนี้ก็ไม่มีใครมาขัดขวางความสุขของเราแล้ว”
สมสุขมองไผ่พญาตาเชื่อมก่อนที่ทั้งสองจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ไผ่พญามองสมสุขที่จิบไวน์เพียงเล็กน้อยแล้วทำท่าจะวาง แต่ไผ่พญากลับยกแก้วไวน์ให้สมสุขดื่มให้หมด สมสุขชะงักแทบสำลักแต่ก็ยกไวน์จนหมดแก้วเช่นเดียวกับไผ่พญา
“แหม ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นพวกฮาร์ดคอร์เหมือนกัน” สมสุขวางแก้วไวน์ แล้วดึงไผ่พญามานั่งตัก “ตัวสั่นเชียวหนาวเหรอ”
“เอ่อ ก็นิดหน่อยคะ”
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวอีกซักพักฉันจะทำให้เธอร้อนรุ่มเอง”
สมสุขหอมไปที่แขนของไผ่พญา ไผ่พญาขนลุกเกรียวขยะแขยงรีบลุกขึ้น สมสุขงง
“เอ่อ ไผ่เป็นพวกไม่ชอบนอกสถานที่น่ะคะ ไปห้องนอนกันนะคะ”
สมสุขยิ้ม ตาลุกวาว
ไผ่พญาเดินนำเข้ามาในห้องนอน ทิ้งระยะห่างสมสุขเอาไว้
“ออกฤทธ์เร็วๆ ซิ”
ไผ่พญาพึมพำอย่างร้อนใจ สมสุขเดินตามเข้ามา
“ชอบมั้ย ถ้าชอบพรุ่งนี้เราย้ายมาอยู่นี่เลยก็ได้นะ”
“แหม เสี่ยอ่ะ ไผ่ก็มีพ่อมีแม่น่ะคะ”
สมสุขดึงไผ่พญาเข้ามากอด
“เสี่ยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เสี่ยแค่เต็มที่กับเรา เสี่ยก็อยากให้เราเต็มที่กับเสี่ยบ้าง”
ระหว่างนั้นยาเริ่มออกฤทธ์ สมสุขเริ่มตาพร่าขึ้นมาทันที ไผ่พญาสังเกตอาการอยู่แล้ว
“เป็นไรคะเสี่ย”
“เธอใส่อะไรลงไปในไวน์”
“เอ่อ เปล่านี่คะ” ไผ่พญ่าเอามือจับหัว แกล้งทำมึนงง “โอ๊ย ทำไมมันมึนหัวอย่างนี้”
ทันใดนั้นไผ่พญาก็ทรุดลงไปกองกับพื้นหมดสติ
“ไผ่ ไผ่พญา”
สมสุขพูดได้เพียงเท่านั้นก็ทรุดลงไปกับพื้นหมดสติอีกคน
ที่บริเวณด้านหน้าเซฟเฮ้าส์ของสมสุข ตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของสมสุขภายในบ้าน เห็นลูกน้องบางส่วนออกมายืนกันนอกบ้าน
“พวกมันออกมาทำไมวะ”
ตำรวจนอกเครื่องแบบอีกคนคว้ากล้องขึ้นมาแล้วก็เห็นลูกน้องของสมสุขเดินอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด
“ฉันว่ารายงานหัวหน้าดีกว่า พวกมันวางกำลังขนาดนี้ ฉันว่าพวกมันต้องกำลังทำอะไรที่สำคัญกันอยู่ข้างในแน่นอน”
ตำรวจนอกเครื่องแบบกำลังจะหยิบวิทยุสื่อสารรายงานภูวนัย ระหว่างนั้นมีถุงมือดำเข้ามาเคาะกระจก ตำรวจนอกเครื่องแบบเห็นอย่างนั้นก็รีบลดกระจกลงก่อนจะยกมือตะเบ๊
“สวัสดีครับ”
แต่แล้วทันใดนั้นเห็นมือดำคู่นั้นยกปืนที่มีที่เก็บเสียงก่อนจะยิงใส่ตำรวจทั้งสองนายจนตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายตายคาที่ เจ้าของถุงมือดำใส่หน้ากากไอ้โม่งปิดหน้าปิดตาจนดูไม่รู้ว่าเป็นใคร
ขณะนั้นภูวนัยนั่งรอรายงานอยู่ภายในห้องปฏิบัติงาน วีระเข้ามารายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“หัวหน้าครับ”
“ว่าไง มีความเคลื่อนไหวที่บ้านเสี่ยสมสุขบ้าง”
“ผมถามจ่าเอกไปหลายครั้งแล้ว แต่จ่าเอกไม่ตอบเลยครับ”
“ล้วจ่าสิทธิล่ะ”
“ทั้งสองคนเลยครับ”
“ฉันว่าสองคนนั้นมันต้องแอบหลับแน่นอน”
ภูวนัยรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาก่อนจะรีบลุกขึ้น
“หัวหน้าจะไปไหนครับ”
“ผมว่าต้องเกิดอะไรขึ้นที่บ้านเสี่ยสมสุข บอกทุกหน่วยให้เตรียมพร้อม”
ภูวนัยรีบวิ่งออกไป วีระกับราชัยมองตามงงๆ
ภายในบ้านสมสุข ร่างของไผ่พญากับสมสุขนอนหมดสติอยู่ที่พื้น ไผ่พญาค่อยๆ ลืมตาขึ้นแอบมองสมสุข ก่อนจะลองใช้เท้าเขี่ยๆ ดูว่าสมสุขรู้สึกตัวมั้ย เมื่อไผ่พญาเห็นว่าสมสุขสลบไปจริงๆ จึงลุกขึ้น
“โห แรงอย่างที่ไอ้ขิงว่าจริงๆ ต่อไปก็เหลือแค่จัดฉาก” ไผ่พญามองไปรอบๆ ก็เห็นเตียงนอน แล้วไผ่พญาก็นึกออก “ฉากก็คือ แกได้ฉันที่เตียง โอเค”
ไผ่พญาเข้าไปจะลากสมสุข แต่แล้วไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นสร้อยคอทองคำของสมสุขมีจี้เป็นแท่งสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่คอ ไผ่พญาครุ่นคิดก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดสร้อยของสมสุข
“ขนาดบ้านยังให้ได้ สร้อยแค่นี้ เสี่ยคงไม่หวงหรอกนะ”
ไผ่พญารีบเก็บสร้อยแล้วตาก็เหลือบไปเห็นแหวนหลายวงที่นิ้ว ไผ่พญาเริ่มโลภมาก
“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง มีสร้อยแล้วมันก็ต้องมีแหวน ขอนะเสี่ย” ไผ่พญาจับหน้าสมสุขพยักหน้า “ขอบคุณคะเสี่ย”
ไผ่พญารีบถอดแหวนจากสมสุขที่ใส่อยู่ห้าวง แต่เหมือนความโลภเริ่มครอบงำไผ่พญาหันไปมองกระเป๋าสตางค์ของสมสุขที่วางอยู่ก่อนจะลุกขึ้นไปแล้วหยิบเงินสดออกมา
“โห พกเงินทีเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
ระหว่างที่ไผ่พญากำลังตะลึงกับเงินสดในมือ ทันใดนั้นไผ่พญาก็ได้ยินปืน ปัง...ปัง!
ไผ่พญามองไปทางต้นเสียงด้วยความตกใจ
ไผ่พญาเดินมาที่ประตูหน้าบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายชุดดำกำลังยิงต่อสู้กับเหล่าลูกน้องของสมสุข
ลูกน้องของสมสุขระดมยิงแต่ชายชุดดำคนนั้นกลับหลบและยิงตอบโต้อย่างใจเย็น
ไผ่พญาที่หลบอยู่ถึงกับตกใจ
“เฮ้ย”
ไผ่พญารีบย่องออกไปอย่างเงียบกริบ ชายชุดดำไล่เก็บลูกน้องของสมสุขจนตายเกลื่อนบ้านก่อนที่ชายชุดดำจะมองขึ้นไปทางด้านบน
ไผ่พญารีบวิ่งเข้ามาปลุกสมสุขที่นอนหมดไม่ได้สติที่พื้น
“เสี่ย เสี่ย ตื่นเร็ว”
ไผ่พญาพยายามปลุกแต่สมสุขก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ไผ่พญาหันมองไปที่ทางเดินก็เห็นเงาของพวกมันถือปืนเดินเข้ามา ไผ่พญาต้องรีบตัดสินใจว่าจะทำยังไง
ชายชุดดำเดินมาที่ทางเดิน ชายชุดดำเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับวาดปืนเล็ง แต่แล้วชายชุดดำก็ต้องลดปืนลงเมื่อเห็นสมสุขนอนหมดสติกับพื้น ขณะนั้นไผ่พญาซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ
ชายชุดดำเข้ามาดูอาการของสมสุขมันใช้เท้าเขี่ยๆ เมื่อเห็นว่าสมสุขหมดสติ มันก็นั่งลงที่เตียง ไผ่พญาแอบมองสงสัยว่าไอ้ชายชุดดำนั่นจะทำอะไร ชายชุดดำค่อยๆ ยกปืนขึ้นก่อนจะยิงไปที่สมสุข ไผ่พญาตกใจรีบเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงลอดออกไป ระหว่างนั้นมีเสียงตบมือดังขึ้น ไผ่พญามองไปก็เห็นพายัพเดินตบมือเข้ามา
“เป็นตำรวจมันดีอย่างนี้นี่เอง ยิงคนแล้วไม่ผิดกฏหมาย” ชายชุดดำหันไปก็เห็นพายัพ พายัพนั่งลงตบหน้าสมสุข “นาย นาย เฮ้อ ทำไมนายไม่เคยฟังผมเลย ผมเคยเตือนนายแล้วใช่มั้ย ว่านายจะตายเพราะผู้หญิง”
พายัพลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียง พายัพมองไปที่โต๊ะที่วางแก้วไวน์ พายัพเห็นแก้วไวน์สองแก้วก็หันไปบอกกับลูกน้อง
“ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในบ้าน หาตัวมันมาให้ฉัน”
ไผ่พญาที่ซ่อนตัวอยู่ถึงกับตกใจ เห็นลูกน้องพากันแยกย้ายออกไป พายัพเดินดูไปรอบๆ ก่อนจะเห็นประตูห้องน้ำแง้มอยู่ พายัพเดินตรงเข้ามา ไผ่พญาตื่นตระหนกด้วยความตกใจ
“ทำไงดี ทำไงดี” พายัพเดินมาถึงประตูห้องน้ำ ไผ่พญาหลับตาปี้พนมมือ “แม่จ๋า ลูกลาก่อน”
ระหว่างที่พายัพกำลังจะเปิดประตู เสียงวิทยุสื่อสารของชายชุดดำก็ดังขึ้น
“ขอให้ทุกหน่วยไปที่รังพิราบเดี๋ยวนี้ ย้ำ”
“รีบไปดีกว่า ตำรวจกำลังมา”
ชายชุดดำบอก พายัพตะโกนบอกกับลูกน้อง
“เฮ้ย ไม่ต้องหาแล้ว พ่อมึงกำลังมา ไปได้แล้ว”
ชายชุดดำรีบเดินออกไป พายัพเดินข้ามศพสมสุขไปอย่างเลือดเย็น
ไผ่พญาเหงื่อแตกซิกใจหายใจคว่ำ ไม่คิดว่าตัวเองจะรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้
ไผ่พญามุดรั้วออกมาที่ด้านข้างของบ้านสมสุข ระหว่างนั้นไผ่พญาก็ต้องเบรกเอี๊ยด! เพราะเห็นพายัพกับชายชุดดำกำลังยืนคุยอยู่ที่รถตู้ไม่ไกลออกไป
“แผนแกนี่เข้าท่าวะ เท่านี้ก็ไม่มีใครสงสัยว่าฉันเป็นคนฆ่าไอ้สมสุขมันแล้ว” ชายชุดดำคนนั้นถอดหน้ากากไอ้โม่งออก ไผ่พญาพยายามมองหน้าแต่ก็ไกลเกินไป “น่าดีใจแทนพวกตำรวจวะที่มีตำรวจฉลาดๆ อย่างแก”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าชายชุดดำนั่นเป็นตำรวจ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นละ”
ไผ่พญาชะงักไปเพราะรู้ว่าชายชุดดำกำลังพูดถึงเธอ
“เรื่องเล็ก ไว้ฉันจัดการเอง ไงให้ฉันไปส่งมั้ย”
ชายชุดดำไม่พูดอะไรแต่เดินจากไปเฉยๆ พายัพมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไผ่พญารีบหลบทันที พายัพปิดประตูรถก่อนจะเห็นรถขับออกไป ไผ่พญาค่อยชะโงกหน้าออกไปมองก่อนจะได้ยินเสียงรถหวอดังไกลๆ ไผ่พญารีบวิ่งหนีไปอีกทาง
ลำไยกำลังไหว้กุมารทองปากพึมพำขอพรยกมือจดแล้วจดอีก ไม่นานเสียงก็ดังขึ้น
“เฮ้ย ตกลงจะเล่นหรือจะไหว้พระวะ นังลำไย”
ด้านหลังลำไยมีขาไพ่นั่งรอแจกอย่างใจจดใจจ่อ ลำไยชะงักแล้วหันมามองหัวเสีย
“ปากดีไปเถอะ วันนี้ยังไงข้าต้องได้แน่นอน พวกเอ็งกลับไปบ้านไปขอเงินผัวเพิ่มได้เลย” ลำไยนั่งลงในตำแหน่งเจ้ามือ ก่อนจะรวบไพ่มาแล้วยกจรดขึ้นไหว้ขอพร “ถ้าป๊อกเก้า แม่จะเลี้ยงน้ำแดงเลยนะลูก ช่วยแม่หน่อยนะ” ลำไยมั่นใจเต็มที่ “มา”
ลำไยกำลังจะลงมือแจก แต่แล้วทันใดนั้นไผ่พญาก็เปิดประตูบ้านเข้ามา ผัวะ! วงไพ่ตกใจไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ย”
“ไอ้ไผ่ ไปเว้ยพวกเรา เผ่นเร็ว”
“นี่มันมันยังไม่เลิกงาน แกกลับมาทำไมตอนนี้วะไอ้ไผ่”
ลำไยและวงไพ่ที่กำลังแตกตื่นเพราะกลัวไผ่พญาอาละวาดก็ต้องแปลกใจเมื่อไผ่พญาไม่สนใจวงไพ่และไม่ต่อว่าลำไยเรื่องเล่นไพ่เหมือนทุกครั้ง เพราะไผ่พญาเดินขึ้นบ้านไปทันที ลำไยและวงไพ่งง
“เฮ้ย วันนี้ลูกแกกินยาผิดมาหรือเปล่าวะนังลำไย”
ลำไยมองตามไผ่พญาด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาที่วงไพ่ด้วยความดีใจ
“มาๆ ฤกษ์ดีล่ะกูวันนี้”
ลำไยแจกไพ่ทันทีด้วยความฮึกเหิม
หน้าเซฟเฮ้าส์สมสุข รถของภูวนัยแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าของรถของตำรวจนอกเครื่องแบบสองนาย ภูวนัยเดินลงมาจากรถตรงเข้าที่รถของตำรวจนอกเครื่องแบบ แต่แล้วภูวนัยก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายถูกยิงเสียชีวิตในรถ ภูวนัยรีบจับชีพจรที่ต้นคอเพื่อดูว่าจะช่วยทันมั้ย แต่ก็สายไปเสียแล้ว ภูวนัยทุบรถด้วยความโมโห
ภูวนัยรีบดึงปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมก่อนจะมองเข้าไปในบ้านของสมสุข
ภูวนัยเข้ามาในเซฟเฮ้าส์ เห็นร่องรอยการต่อสู้ ระหว่างนั้นชาติกล้าตามเข้ามา ภูวนัยวาดปืนไปทางชาติกล้าตามสัญชาติญาณ
“ฉันเอง” ภูวนัยลดปืนลง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“แกมาได้ยังไง”
“ฉันได้ยินรายงานทางวิทยุก็เลยรีบมา”
“ชาติ แกตรวจดูชั้นล่าง เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปข้างบน”
ชาติกล้ากระชับปืนแล้วเดินออกไป ภูวนัยค่อยๆ เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างระวังตัว
ภูวนัยเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของสมสุข แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อพบว่าสมสุขถูกยิงตาย
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 2