แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 14 อวสาน
ไฟเริ่มไหม้ที่ผนังด้านหนึ่งของกระท่อมท้ายสวน และเริ่มลามไปทั่วห้อง สองแม่ลูกกอดกันกลม ท่าทางกลัวมาก นพดลยิ้มเหี้ยม
“เชิญแม่ลูกตามสบายนะ ฉันไปก่อนละ”
นพดลจะออกไป พอดีมีโทรศัพท์เข้ามา
“ว่าไง พเยีย...ห๊ะ! อะไรนะ ไอ้อิศรมันมาได้ยังไง”
นพดลวางสาย หาที่หลบ กอหญ้ากับนภดาราได้ยินว่าอิศรมา ดีใจ
“คุณอิศรมาแล้ว”
อิศรอยู่ด้านนอกแล้วมองเข้าไปข้างในเห็นกอหญ้ากับนภดาราโดนมัด จะพุ่งเข้าไป กอหญ้าตะโกนห้าม
“คุณอิศร อย่าค่ะ”
นพดลถลาออกมา ยิงสวนไป อิศรกลิ้งตัวหลบทัน กระสุนเฉียดไป อิศรยิงตอบ นพดลยิงสู้ กระสุนเฉียดสองแม่ลูกไปมา
ขณะเดียวกันไฟโหมไหม้และลามไปทั่วบริเวณ ควันดำลอยหนาขึ้น ไม้ท่อนหนึ่งโดนไฟไหม้หล่นลงมา ทำให้นพดลเสียจังหวะ
อิศรฉวยโอกาสยิงนพดลเข้าที่กลางลำตัว นพดลร่วงลงไป ไฟลามไปใกล้นภดารากับกอหญ้า
“คุณอิศร ช่วยด้วยค่ะ ไฟไหม้ใหญ่แล้ว”
อิศรรีบวิ่งไปแกะเชือก
อีกฟากหนึ่งของสวน แตงเข้ามากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน้าตาตื่น เมื่อได้ยินเสียงปืนที่อิศรยิงสู้กับนพดล
“เสียงปืนค่ะ มีเสียงปืนดังมาจากทางโน้น”
ตำรวจหัวหน้าทีมสั่ง “กระจายกำลังล้อมไว้ ระวังให้มากด้วย คนร้ายมีอาวุธ และมีตัวประกัน”
ตำรวจคนอื่นๆ กำลังจะกระจายกันไป ทันใดนั้นมีร่างหนึ่งโผล่ออกมา
ตำรวจอีกคนบอก “มีคนทางโน้นครับ”
แตงตะโกน “คุณณุ” แล้ววิ่งเข้าไป
ชิษณุพงษ์โซเซออกมา แล้วล้มลง
แตงตกใจมาก “คุณณุ”
ชิษณุพงษ์หายใจรวยริน “กอหญ้าอยู่ข้างหลัง ช่วยกอหญ้าด้วย”
พูดได้เท่านั้นชิษณุพงษ์หมดสติไป แตงร้องกรี๊ดๆ
“มีคนเจ็บค่ะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ส่วนที่กระท่อมท้ายสวน อิศรแก้มัดสองแม่ลูกเสร็จ ไฟลามไปทั่ว
“รีบออกไปเถอะครับ”
กอหญ้าประคองนภดาราฝ่าออกไป ท่ามกลางกลุ่มควัน ร่างโทรมเลือดของนพดลตะกายขึ้นมาด้วยรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ยกปืนหมายจะยิงอิศร
“มึง...ตาย” นพดลยิง
ทันใดนั้น มีเสียงปืนลั่นเปรี้ยงดังมาจากข้างหลัง มาจากกำลังตำรวจที่บุกเข้ามา นพดลที่สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด และเสื้อเต็มไปด้วยเลือดค่อยๆ ล้มลงมา ตำรวจวิ่งเข้ามาเห็นนพดลนอนตายอยู่บนพื้น อิศรรีบพานภดารากับกอหญ้าออกไป
ด้านแตงกำลังดูแลให้บุรุษพยาบาลเอาชิษณุพงษ์ใส่เปล อิศรกับกอหญ้าและนภดาราออกมา
“คุณกอหญ้า คุณณุโดนยิงค่ะ”
กอหญ้ารีบเข้าไปดู
“ชิษณุพงษ์”
ชิษณุพงษ์ดีใจมาก “กอหญ้า”
กอหญ้าบีบมือปลอบ “ทำใจดีๆ นะ เธอต้องปลอดภัย”
บุรุษพยาบาลพาชิษณุพงษ์ออกไป แตงทำท่าจะตามไป
“เดี๋ยวจ้ะ แตง ใครเป็นคนยิงชิษณุ”
“คุณพเยียค่ะ คุณพเยียยิงคุณณุ แล้วก็หนีไป”
แตงวิ่งตามชิษณุพงษ์ไป กอหญ้ากับนภดารามองหน้ากันอย่างเป็นกังวล ว่าเรื่องร้ายยังไม่จบ
ขณะเดียวกันรถบรรทุก 6 ล้อเก่าๆ คันหนี่งเล่นไปบนท้องถนนในสวน ด้านหลังมีผ้าใบคลุมอยู่ ด้านในเห็นข้าวของบรรทุกเต็มรถ มีถุงปุ๋ย ถุงดิน อุปกรณ์การทำสวนอัดแน่น ด้านในสุดพเยียขดตัวอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
บรรยากาศภายในวังศิวาลัย ตอนกลางคืน ห้องโถงทางเข้าบ้านเปิดไฟสว่าง คนงานและคนรับใช้คึกคัก ท่าทางตื่นเต้น ศรีชะเง้อชะแง้ เห็นรถอิศรเข้ามา
“คุณดารามาแล้ว”
รถจอดสนิท กอหญ้าประคองนภดาราลงมา ศรีเข้ามารับท่าทางห่วงใย
“คุณดารา ..ไปยังไงมายังไงคะนี่ แล้วคุณหนูล่ะคะ”
“เอาไว้ก่อนนะจ๊ะ ศรี คุณแม่เหนื่อยมาก เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” ก้อหญ้าตัดบท
กอหญ้าประคองนภดาราไป ศรีและคนรับใช้ทุกคนพากันงงกับสรรพนามใหม่ที่กอหญ้าเรียกนภดารา แต่ยังไม่เข้าใจ อิศรมองตามสองแม่ลูก แล้วเดินตามไป ยิ้มๆ
นภดาราอาบน้ำสวมชุดใหม่แล้ว ลงนอนที่เตียง กอหญ้าบรรจงห่มผ้าให้
“นอนพักนะคะ คุณแม่ เหนื่อยมามากแล้ว”
กอหญ้ากอดนภดารา แล้วจะไป นภดาราจับมือกอหญ้าไว้
“กอหญ้า แม่ดีใจนะ ที่หนูเป็นลูกของแม่”
“หนูก็ดีใจค่ะ”
นภดาราดึงกอหญ้ามากอดอีกที อิศรยืนมองที่หน้าประตู ยิ้มแก้มแทบแตก
ไม่นานต่อมาสองคนอยู่ในสวนของวังศิวาลัย กอหญ้าไหว้ขอบคุณอิศร
“ขอบคุณนะคะ สำหรับทุกอย่าง”
“เรื่องเล็ก คนเป็นแฟนกัน ก็ต้องช่วยกันสิ จริงไหม” อิศรตีขลุม
กอหญ้าอมยิ้ม “โกหก ฉันไม่เคยเป็นแฟนคุณซะหน่อย จริงๆ แล้ว ฉันเกลียดขี้หน้าคุณด้วยซ้ำ ตั้งแต่ตอนที่คุณขับรถเฉี่ยวจักรยานฉันตกถนนแล้ว”
อิศรตกใจ “นี่ เธอ”
กอหญ้าชี้หน้าอิศร แกล้งต่อว่าด้วยท่าทีน่ารักๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณใจร้าย มาไล่ที่ทางโบสถ์ ฉันคงไม่ต้องลงมากรุงเทพฯ คงไม่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้”
อิศรอึ้ง “นี่เธอจำได้ ความทรงจำเธอกลับมาแล้ว”
“ค่ะ ฉันจำได้แล้ว จำได้ทุกอย่าง ว่าเมื่อก่อนฉันเป็นใคร คุณเป็นใคร ชิษณุพงษ์เป็นใคร”
อิศรได้ยินชื่อชิษณุพงษ์ อึ้งไปเลย
รุ่งเช้าวันต่อมาในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาล ชิษณุพงษ์นอนพักฟื้นอยู่ แตงพยายามป้อนรังนกให้
ชิษณุพงษ์หน้าตาบูดบึ้งเบือนหน้าหนี “ยังไม่กิน”
“นิดนึงน่ะ นะ คุณณุ”
แตงอ้อน ชิษณุพงษ์เหวี่ยง “ก็บอกว่ายังไม่กิน เอ๊ะ”
กอหญ้าเดินเข้ามา ทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส สนิทสนม เหมือนที่เคยพูดกับชิษณุพงษ์ตอนอยู่เชียงใหม่
“เกเรเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเลยนะ”
ชิษณุพงษ์มองกอหญ้าอย่างดีใจ
“คนไข้เอาแต่ใจอย่างเธอ มันต้องเจอพยาบาลใจร้ายอย่างฉัน” กอหญ้าเอาขวดรังนกมาจากแตง “มา ฉันป้อนเอง ถ้าไม่กินจะจับกรอกปากเลย”
ชิษณุพงษ์แปลกใจกับท่าทีใหม่ของกอหญ้า ที่เหมือนเพื่อนคนเดิม
“กอหญ้า...วันนี้ทำไมเธอดู...แปลกไป”
“ทำไมล่ะ...ฉันไม่เหมือนกอหญ้า เพื่อนรักคนเดิมของเธอหรอกเหรอชิษณุพงษ์”
ชิษณุพงษ์มองหน้ากอหญ้า เห็นรอยยิ้มและแววตาที่เหมือนเดิม ชิษณุพงษ์เริ่มเข้าใจ
ชิษณุพงษ์อึ้ง “นี่ เธอ...”
“ความทรงจำฉันกลับมาแล้ว” กอหญ้าจับมือชิษณุพงษ์บอกต่อ “ฉันจำได้แล้วทุกอย่าง”
“กอหญ้า…ฉันดีใจที่สุดเลย”
ชิษณุพงษ์ดีใจนัก บีบมือกอหญ้าเบาๆ กอหญ้ายิ้ม บีบมือตอบ มองชิษณุพงษ์อย่างสนิทสนม แตงหน้าจ๋อย ค่อยๆ เลี่ยงออกไปเงียบๆ เศร้าๆ
แตงออกมาหน้าห้องนั่งลงหน้าเศร้าๆ พยายามฝืนยิ้ม ทำใจยอมรับให้ได้
ส่วนชิษณุพงษ์จับมือกอหญ้าแน่น พูดอย่างมีความสุข
“ตกลงว่าเธอจำได้ทำอย่าง”
“ทุกอย่าง ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเกิดมา จนถึงวันนี้”
“งั้นเธอก็ต้องจำได้...ว่าเราเคยรักกันมากแค่ไหน” ชิษณุพงษ์ถามยิ้มๆ
กอหญ้าบีบมือชิษณุพงษ์แน่นอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือ พูดอย่างอ่อนโยน
“ฉันจำได้สิ ว่าเธอคือเพื่อนที่แสนดีของฉัน เพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด”
ชิษณุพงษ์คลายยิ้ม
“แต่ว่าฉัน...”
“ความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอ ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ ไม่เคยเปลี่ยนไป...เธอคือเพื่อนรักของฉัน ชิษณุพงษ์”
ชิษณุพงษ์อึ้ง เริ่มเข้าใจว่ากอหญ้าต้องการจะสื่ออะไร กอหญ้าหยิบขวดรังนกขึ้นมา
“เธอเสียสละทำเพื่อฉันมามากเหลือเกิน วันนี้ ขอให้เพื่อนคนนี้ ได้ดูแลเพื่อนได้ไหม”
กอหญ้าป้อนรังนกให้ ชิษณุพงษ์มองตากอหญ้า เห็นแววตาบริสุทธิ์ใจ
ชิษณุพงษ์หน้าเศร้า “แค่เพื่อนเท่านั้นใช่ไหม”
“ไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นเพื่อนที่ฉันรักที่สุด โอเค.ไหม”
ชิษณุพงษ์เข้าใจ กินรังนกที่กอหญ้าป้อน ส่วนที่หน้าห้อง แตงแอบมอง น้ำตาคลอ
เช้าวันต่อมา ที่หน้าบ้านเช่าของนพดลในชุมชนแออัด มีชาวบ้านมามุงดู จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ไม่มากนัก
ส่วนภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจค้นหาหลักฐานของนพดลจนทั่ว มีเสื้อผ้าเก่าที่ไม่ใช้ อาหารสำเร็จรูปเหลือๆ และของใช้ส่วนตัวทิ้งอยู่ อิศรยืนมองอยู่ด้วย
“พบเบาะแสอะไรบ้างไหมครับ”
ตำรวจคนหนึ่งส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่พอจะบอกได้เลยครับ ว่านายนพดลวางแผนจะหลบหนีไปที่ไหน”
ตำรวจอีกคน เข้ามารายงาน “หมวดครับ ผมเจอไอ้นี่”
ตำรวจคนแรกและอิศรหันไปมองพร้อมกัน ตำรวจคนที่รายงานดึงกล่องเหล็กใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง เมื่อเปิดออก เห็นเป็นแผ่นซีดี 10 กว่าแผ่น ผู้หมวดหัวหน้าทีมตำรวจหยิบแผ่นซีดีขึ้นมาดู แปลกใจ
“ลองเอาไปเปิดดูไหมครับ เผื่อว่าจะมีประโยชน์ในการตามหาตัวพเยีย”
ที่สวนผลไม้ เห็นรถบรรทุกจอดอยู่ ตากับยายสองคน แต่งตัวดูออกว่าเป็นชาวสวน เดินมาเปิดผ้าใบท้ายรถ และกำลังจะช่วยกันขนของลง ตายกถุงดินที่เป็นกองสูงออก แล้วต้องตกใจร้องเสียงดัง
“เฮ้ย”
“อะไรตา”
“คน .. คนมาจากไหนไม่รู้ ยาย”
ตาชี้มือ ยายชะโงกหน้ามาดู เห็นพเยียนอนซมอยู่ ยายเข้ามาเขย่าตัวพเยียเรียก
“อีหนู” พเยียงัวเงีย ตื่น ยายหันมาบอกตา “ท่าทางจะไม่สบายด้วยนะ ตา ตัวมันร้อนเชียว”
พเยียตื่น รู้ตัว เห็นตากับยาย รีบหดตัวหนีด้วยความตกใจกลัว
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
ยายยิ้มท่าทางใจดี “สวนของยายเอง เอ็งมาจากไหนล่ะนี่ แล้วมานอนอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
พเยียมองหน้ายายกับตาที่ยิ้มซื่อๆ คิดหาทางเอาตัวรอด
สองคนตายายพาพเยียมาพักที่บ้านไม้เก่าๆ พเยียดื่มน้ำจากขัน แล้วพูดโกหกอย่างน่าสงสาร
“ฉันชื่อเดือนจ้ะ ฉันเป็นลูกกำพร้า อาศัยอยู่กับญาติ”
“แล้วอีท่าไหนถึงแอบมานอนบนรถข้า” ตาซักถาม
พเยียทำท่าจะร้องไห้ “ฉันหนีเค้ามาน่ะจ้ะ ตา เมื่อวานนี้ไอ้ญาติคนที่ว่าน่ะ มันจะปล้ำฉัน ฉันตีหัวมันแตก มันขู่จะฆ่าฉัน ฉันเลยต้องหนีออกจากบ้านมา”
ยายฟังแล้วสงสาร “แม่คุณเอ๊ย ช่างน่าเวทนา แล้วนี่จะไปไหน จะทำยังไงต่อล่ะนี่”
พเยียหน้าเศร้า รู้สึกสลดใจขึ้นมาจริงๆ โดยไม่ได้แกล้ง เมื่อคิดว่าตัวเองไม่มีที่ไป
ยายกับตามองหน้ากัน ต่างสงสารพเยีย
“ถ้าไม่มีที่ไปจะอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ได้นะ หนู”
พเยียมองหน้าตายาย แววตาดีใจวูบ ตารีบสำทับ
“อยู่ก็ต้องช่วยกันทำงานนะ คนยากคนจน อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”
พเยียสลด แต่ต้องยอมรับสภาพ เพราะไม่มีทางเลือก
เย็นนั้นอิศรขับรถมาจอดในบ้านอดิศวร ก่อนจะก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้าบ้านไปหน้าตาเครียดๆ ในมือมีซองซีดี
พออิศรลับตาไป สกุณาก็แอบย่องเข้ามา พยายามจะเปิดรถอิศร แต่ปรากฏว่าล็อก สกุณาขัดใจ เสียงอิศรดังขึ้นข้างหลัง
“จะทำอะไรน่ะ”
สกุณาสะดุ้งสุดตัว รีบแก้ตัว
“เปล่า”
อิศรเสียงดังใส่ “โกหก! เธอมาค้นรถฉัน หาอะไรไม่ทราบ” สกุณาหน้าเสีย แต่ยังจะเถียง อิศรดักคอ “หาโทรศัพท์ใช่ไหม”
สกุณายิ่งตกใจ ปฏิเสธใหญ่ “โทรศัพท์อะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ตำรวจเค้าเจอโทรศัพท์ของคนร้าย มันสะกดรอยตามฉันด้วยโทรศัพท์ที่ซ่อนเอาไว้ในรถฉัน มันจะเป็นฝีมือใครไปได้ ถ้าไม่ใช่เธอ”
“ไม่... ไม่จริง ฉันไม่เกี่ยว ฉันไม่ได้ทำ”
อิศรโมโหลากแขนสกุณาออกมา “ไปแก้ตัวกับตำรวจก็แล้วกัน”
สกุณาดิ้นหนี ร้องกรี๊ดๆ “ไม่ ไม่นะ ปล่อยฉัน ปล่อย”
อิศรไม่ฟังลากตัวสกุณาเข้าบ้านไป สกุณาดิ้นรนขัดขืน อรรถเข้ามาเห็นพอดี
“ไอ้อิศร! หยุด! นี่มันอะไรกัน”
3 คนอยู่ในห้องรับแขกภายในบ้านอดิศวร สกุณาเถียงคอเป็นเอ็น
“ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” พลางพูดออดอ้อนอรรถ “คุณอย่าเชื่อนะคะ ลูกชายคุณใส่ความฉัน”
“ผมมีหลักฐาน ว่าเมียของพ่อ เป็นพวกเดียวกับคนร้าย” อิศรบอก
“เหลวไหล! คนอย่างสกุณาจะไปเกี่ยวข้อง รู้จักมักจี่กับไอ้กุ๊ยพรรค์นั้นได้ยังไง” อรรถเถียงอย่างมั่นใจ
อิศรยิ้มเยาะ “ได้สิครับพ่อ เมียพ่อกับไอ้นพดลรู้จักกัน ชนิดที่เรียกว่าสนิทแนบแน่นเลยทีเดียวละ”
อิศรหยิบแผ่นซีดีมาชูให้ดู อรรถงง สกุณาหน้าเสีย
“อะไรของแก”
อิศรเดินไปที่เครื่องเล่นซีดี เอาแผ่นใส่ แล้วหันมาบอก
“ตำรวจเค้าเจอแผ่นซีดีในบ้านเช่าของไอ้นพดล มันแอบถ่ายผู้หญิงที่ไปหามันที่คอนโดเอาไว้” สกุณาหน้าเสียมากขึ้น “พ่ออยากรู้ไหมครับ ว่ามีใครไปนอนกับไอ้นพดลบ้าง”
อิศรจะกดรีโมท สกุณาร้องกรี๊ดวิ่งไปแย่ง แต่ไม่ทันแล้ว เมื่อที่หน้าจอเห็นใบหน้าสกุณากำลังคลอเคลียกับนพดลชัดแจ๋ว สกุณาวิ่งไปบังจอทีวี
“ไม่จริง นี่มันภาพตัดต่อ คุณอย่าไปเชื่อนะคะ ไม่จริง”
อรรถเดินเข้าไป ตบหน้าสกุณาจนคว่ำ เซไปซบกับโซฟา
“นังแพศยา” อรรถตวาดลั่น “ออกไป ไสหัวไปจากบ้านฉัน”
สกุณาเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาวาววับด้วยความโกรธแค้น
“ที่ฉันต้องเป็นผู้หญิงแพศยาเพราะอะไร เพราะคุณมันไม่มีน้ำยาไงได้ยินไหม คุณมันไม่มีน้ำยา”
อรรถโกรธจนตัวสั่นตวาดเสียงดัง “ออกไป”
สกุณากระแทกเท้าออกไปด้วยความโมโห อรรถทรุดตัวลงกับพื้น เสียใจมาก
อิศรมองพ่อด้วยความสงสารและเห็นใจ ใช้รีโมทปิดทีวี แล้วเดินไปประคองพ่อขึ้นมา ตบไหล่ปลอบใจ โดยไม่พูดซ้ำเติมอะไรสักคำ
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ด้านแตงนั่งนิ่งๆ ทอดอารมณ์อยู่ภายในสวนสวยของโรงพยาบาลแห่งนั้น สีหน้ายังมีความเศร้าเจืออยู่นิดๆ สักครู่หนึ่ง พยาบาลเข็นรถเข็นพาชิษณุพงษ์เข้ามาหา
“มาหลบอยู่นี่เอง” ชิษณุพงษ์ทัก
แตงหันมา ตกใจ
“คุณณุ”
ชิษณุพงษ์หันไปบอกพยาบาล “ส่งผมแค่นี้ก็พอครับ คุณพยาบาล ผมหาผู้ช่วยของผมเจอแล้ว”
พยาบาลยิ้มแล้วออกไป ชิษณุพงษ์หันไปแกล้งต่อว่าแตงยิ้มๆ
“ลุงเติมส่งเธอมาดูแลฉัน ทำไมทิ้งฉันไว้คนเดียว”
“แตงเห็นคุณณุมีคุณกอหญ้าดูแลอยู่แล้วนี่จ๊ะ” แตงพูดอย่างเจียมตัว ไม่ได้ประชดหรือแง่งอนใส่ “แตงเลยไม่รู้จะอยู่ทำอะไร”
ชิษณุพงษ์หน้าเศร้าลงนิดหนึ่ง แต่พยายามสลัดทิ้ง พูดอย่างปกติ
“เค้าไปตั้งนานแล้ว กอหญ้าเค้ามีแฟนแล้ว ฉันเป็นแค่เพื่อน ต่อให้รักกันยังไง ใครจะมาคอยดูแลเพื่อนอยู่ทั้งวัน”
แตงฟังแล้วตกใจ “คุณณุหมายความว่า คุณกอหญ้าเค้าไม่”
ชิษณุพงษ์พยักหน้า แตงหน้าเสีย สงสารชิษณุพงษ์จับใจ
“ทำไมล่ะจ๊ะ คุณณุออกจะดี แล้วก็รักคุณกอหญ้า ทำเพื่อคุณกอหญ้าทุกอย่าง”
ชิษณุพงษ์พูดเหมือนปลงตกแล้ว “เรื่องของความรัก บางทีมันก็ไม่มีเหตุผลหรอกแตง .. บางทีเราก็ไม่ได้รักคนที่ดีกับเรา แต่รักคนที่เรารัก รักอย่างไม่มีเงื่อนไข”
“คุณกอหญ้าเค้าเจอคนนั้นแล้วเหรอจ๊ะ”
“เจอแล้วมั้ง” ชิษณุพงษ์บอก
แตงยิ้มแฉ่ง ทำเสียงสดใสปลอบใจ “งั้นซักวันคุณณุก็ต้องเจอบ้าง เจอคนที่รักคุณณุเพราะรัก รักอย่างไม่มีเงื่อนไข”
ชิษณุพงษ์มองแตงอย่างขำๆ ลืมเศร้าไปชั่วขณะ หันมาต่อปากต่อคำกับแตงแทน
“แล้วถ้าฉันไม่เจอล่ะ”
“แตงจะช่วยหาจนเจอ เชื่อแตงซี มันต้องมีซักคน”
“ก็แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ”
“มีซี...เอางี้ ถ้าไม่มีใครจริงๆ แตงจะอยู่ดูแลคุณณุเอง ดีไหม”
ชิษณุพงษ์หัวเราะขำ “ฉันอยู่คนเดียวไปจนตายดีกว่า”
แตงหน้าง้ำ “คุณณุอ่ะ”
ชิษณุพงษ์จับหัวแตงเขย่าๆ “ฉันล้อเล่นน่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างสดใส ชิษณุพงษ์ซาบซึ้งในความหวังดีที่แตงมีกับตน
วันต่อมา พเยียในสภาพเหงื่อไหลไคลย้อย กึ่งยกกึ่งลากเข่งผลไม้อย่างทุลักทุเล เดินมาตามร่องดินในสวน จนพอเดินพ้นสวนมาถึงตัวบ้านก็กระแทกเข่งโครมลงบนพื้นอย่างหมดแรงและเหนื่อยอ่อน ยายที่เดินแบกเข่งผลไม้อีกเข่งเดินตามเข้ามา ร้องเตือน
“เอ้า อีหนู วางให้มันเบาๆ หน่อย เดี๋ยวมะม่วงก็ช้ำหมดหรอก”
พเยียหน้าตาเหนื่อยและเซ็ง ปาดเหงื่อ นั่งพักเหนื่อย ยายร้องทักมาอีก
“ยัง ยังไม่หมด หนู ยังเหลืออีกแค่สองสามเข่ง ไปช่วยกันยกก่อน จะได้รีบเอาไปส่งเค้า”
พเยียมองหน้ายาย ไม่เต็มใจนัก แต่รู้ว่าไม่มีทางเลือก จำใจลุกขึ้นเดินกลับไป ยายกำลังจะตามเข้าไป พอดีลุงถือหนังสือพิมพ์วิ่งเข้ามา ท่าทางรีบร้อน
ตาพูดเสียงดัง ออกอาการตื่นเต้น “ยาย... เรื่องใหญ่แล้ว เรื่องใหญ่”
ยายชะงัก พเยียพลอยหันไปด้วย
“เรื่องอะไรตา” ยายถาม
ตาเห็นพเยียมองมา ชะงัก ลงหนังสือพิมพ์ลงมองพเยียด้วยสายตาระแวงระวัง ทำท่าไม่อยากให้พเยียรู้
“ไปพูดกันในบ้านดีกว่า ยาย”
ตาดึงยายเข้าไปในบ้าน พเยียมองตามอย่างสงสัย เห็นตาลากแขนยายเข้าไปในบ้าน ปิดประตู พเยียมองตาม ท่าทีหวาดระแวง
“หนังสือพิมพ์มีข่าวอะไร ทำไมต้องปิดเราด้วย”
ด้านพเยียค่อยๆ ย่องเข้าไปที่ข้างบ้าน แอบดูทางหน้าต่าง เห็นด้านหลังของตากับยายกำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์ พเยียไม่เห็นหน้าตากะยาย ได้ยินแต่เสียงแล้วเดาเรื่องเอา
ยายเงยหน้าขึ้นร้องเสียงดัง “ว้าย ฉันไม่อยากจะเชื่อ”
ตาจุ๊ปากให้ยายลดเสียง มองซ้ายมองขวา
“เบาๆ สิ ยาย เดี๋ยวนังหนูนั่นมันก็ได้ยินหรอก”
พเยียแอบดูอยู่นอกบ้านได้ยิน ถึงกับผงะ หน้าเสีย เสียงตาคุยกับยายยังดังแว่วมา
“ตอนนี้เราต้องเงียบๆ ไว้ก่อน ยาย ใครรู้เข้ามันอันตราย นี่ฉันว่าจะไปบอกตำรวจด้วยซ้ำ”
พเยียได้ยิน ตกใจ
“บอกตำรวจ!” พเยียเดา “ต้องมีประกาศจับเราในหนังสือพิมพ์แน่ๆ”
พเยียคิด แล้วตัดสินใจวิ่งเตลิดออกไป
ไม่ทันได้ยินว่าที่ในบ้าน เห็นตาถือล็อตเตอรี่อยู่ในมือ เทียบกับผลสลากกินแบ่งรัฐบาลในหนังสือพิมพ์ เห็นว่าเลขในล็อตเตอรี่เหมือนกับเลขรางวัลที่ 1 ในหนังสือพิมพ์
ยายบอกเสียงเบาๆ “ก็ดีเหมือนกัน ตา ถูกรางวัลที่หนึ่งได้เงินเป็นล้าน ขืนใครรู้เค้า โดนปล้นกันพอดี”
ตากับยายเปิดประตูออกมาจากบ้าน ยายถาม
“แล้วเราจะบอกนังหนูนั่นว่ายังไง” ยายพูดๆ อยู่ชะงัก “อ้าว”
“มันไปไหนของมันน่ะ วิ่งแนบเลย”
ยายกับตา เห็นพเยียสะพายกระเป๋าที่ติดตัวมาแต่แรก วิ่งแจ้นไปไกลลับตาแล้ว ตากับยายได้แต่ยืนงง
พเยียสวมหมวก หรุบลงปิดหน้า แถมสวมแว่นตาดำ เดินเข้ามาซื้อน้ำในตลาดละแวกสวน สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์หลายฉบับ วางอยู่บนโต๊ะหลายๆ โต๊ะ พเยียรวบมาทั้งหมด ด้วยความกลัวจะมีคนอ่านแล้วเห็นหน้าตัวเอง
จังหวะนั้นชายวัยรุ่น ท่าทางนักเลงสองคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ มองพเยียอย่างหมั่นไส้ สองคนมีรอยสักเต็ม เจาะหู ดูแว้นๆ แต่หล่อๆ ล่ำๆ หน้าตาเจริญหูเจริญตา ไม่ดูขี้ยา
พเยียไม่สนใจใคร เปิดๆ หนังสือพิมพ์ดู หาข่าวตัวเอง
“ไหน มันลงรูปเราอยู่ตรงไหนวะ”
แต่แล้วพเยียก็ต้องชะงักเมื่อเห็นข่าวหนึ่งอยู่ในกรอบสวยงาม ในหน้าข่าวสังคมไฮโซ พเยียเห็นกำหนดการวันพระราชทานเพลิงศพของนภัสรพีและนภาจรี สิ่งที่สะดุดตาคือชื่อกอหญ้าที่ขึ้นเป็นเจ้าภาพคู่กับนภดารา พเยียตาเป็นประกายด้วยความโกรธแค้น
“นังกอหญ้า...ป่านนี้คงเสวยสุขเต็มที่เลยสิแก”
พเยียขยำหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือโดยไม่รู้ตัว เจ็บแค้นในใจ
ส่วนที่วังศิวาลัยเวลานั้น นภดาราแต่งตัวสวยงาม แต่ยังอยู่ในเสื้อผ้าสีอ่อนๆ ไว้ทุกข์ให้บิดาและอาหญิง นภดารากำลังนั่งมองล็อกเก็ตประจำตระกูลที่อยู่ในมือ ระหว่างนั้นกอหญ้าเข้ามาในห้อง
“คุณแม่ให้คนไปตามหนู มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
นภดาราเยื้อนยิ้ม เรียกกอหญ้ามาหา “มานั่งนี่สิลูก”
นภดาราพากอหญ้าไปนั่งที่เตียง ยื่นล็อกเก็ตในมือให้ดู
“จำได้ไหม”
“ล็อกเก็ตที่ติดตัวหนูมาตั้งแต่เกิด”
“ล็อกเก็ตอันนี้มีตราประจำตระกูลศิวาวงศ์ ถือเป็นสิ่งสิริมงคลอย่างนึงของตระกูลเรา แม่ถึงได้เอาสวมไว้ให้ที่คอหนูตั้งแต่แรกเกิด”
“ตั้งแต่จำความได้ หนูไม่เคยถอดสร้อยเส้นนี้เลยค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่แทนความรักของพ่อแม่ที่จากไป”
“ตอนนี้ เราสองคนได้กลับมาเจอกันแล้ว แต่แม่ก็ยังอยากให้หนูใส่ติดตัวเอาไว้”
นภดาราสวมสร้อยให้กอหญ้า พลางบอก
“แทนความรักของแม่ รับขวัญลูกสาวของแม่กลับมาสู่ศิวาลัยนะลูกนะ”
นภดาราสวมล็อกเก็ตให้ กอหญ้ากราบที่อกผู้เป็นมารดา สองคนกอดกันอย่างมีความสุข
กอหญ้าประคองนภดาราเดินลงเข้ามาในห้องโถง ศรีและคนรับใช้ทั้งหมดรออยู่ มองอย่างสนใจรอคำอธิบาย นภดารานั่งที่โซฟา กอหญ้านั่งข้างๆ
“ที่ผ่านมา มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นมากมายในบ้านของเรา ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่มีคนสวมรอยเข้ามาเป็นลูกสาวของฉัน และคนคนนั้นเองทีเป็นตัวการ เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น”
ศรีอึ้ง “นี่คุณดาราหมายความว่า...คุณพเยีย”
นภดาราอธิบาย “ใช่จ้ะ พเยียสวมรอยเข้ามาแสดงตัวเป็นทายาทของศิวาวงศ์ แต่ถูกคุณหญิงนภาจรีกับแม่ชื่นสงสัย พเยียจึงได้วางแผนกำจัดทุกคน” เล่าถึงตรงนี้นภดาราสะเทือนใจจนเสียงเศร้า เล่าขัดๆ นิดหน่อย “รวมทั้งคุณพ่อของฉันด้วย”
กอหญ้าบีบมือปลอบใจ เสียงคนรับใช้ซุบซิบกัน บางคนตกใจรังเกียจพเยีย บางคนโกรธแค้น
กอหญ้ารีบตัดบท “เอาล่ะจ้ะ อย่าวิพากษ์วิจารณ์กันไปเลย เรื่องพเยียมันก็จบไปแล้วตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้ว ตำรวจก็กำลังตามจับตัวเค้ามาลงโทษอยู่”
นภดาราตั้งสติได้ ยิ้มออกมาอีกครั้ง “ใช่จ้ะ อย่าไปพูดถึงเรื่องร้ายๆ เลย วันนี้ ที่ฉันเรียกทุกคนมาเพราะอยากจะให้ฟังข่าวดี”
คนใช้ทุกคนรอฟัง นภดาราหันไปยิ้มให้กอหญ้า
“ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไปหลายคน แต่ฟ้ายังเมตตาให้ฉันได้พบลูกสาวตัวจริงของฉัน...ทุกคนจ๊ะ นี่คือ กอหญ้า ศิวาวงศ์ ลูกสาวของฉันจ้ะ”
ศรีดีใจมาก “จริงเหรอคะ คุณกอหญ้า”
“จริงค่ะ” กอหญ้าเอามือจับสร้อยอย่างภูมิใจ “ฉันเป็นลูกสาวของคุณแม่จริงๆ”
กอหญ้ายิ้มให้ ทุกคนตื้นตันดีใจไปกับนภดาราและกอหญ้า
เวลาผ่านไป พเยียนั่งซึมเศร้าอยู่ร้านกาแฟที่เดิม ยังไม่รู้จะไปไหนดี นักเลงสองคนยังคงนั่งมองพเยียอย่างสนใจ
นักเลงคนแรกกระซิบ “เด็กหลงแน่ๆ พี่”
นักเลงอีกคนยิ้มหื่น “น่าสนนะ”
พเยียยกน้ำดื่มขึ้นมาดื่ม ปรากฏว่าหมดแล้ว พเยียเซ็ง จะลุกไปซื้อเพิ่ม ที่ด้านหน้าร้าน ตำรวจสายตรวจเดินเข้ามาดูแลความเรียบร้อยตามปกติ พเยียชะงัก ใจเต้นโครมคราม
ตำรวจหันมองพเยีย ตามปกติไม่ได้ติดใจ พเยียหันหลังขวับ แล้วเดินออกไปจากร้านทันที
นักเลงสองคนมองตามพเยีย ส่งสายตากัน ตำรวจมองตามพเยียไป สายตาสงสัย
เย็นย่ำลงไปทุกทีแล้ว พเยียก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวหลบตำรวจเข้ามาในซอยเปลี่ยว ในซอยมีถังขยะวางเรียงกันอยู่หลายใบ
พเยียได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ ยิ่งเอาหมวกปิดหน้า จะวิ่งหนี แต่มอเตอร์ไซค์มาขวางไว้ก่อน
ปรากฏว่าไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นนักเลงสองคนนั้น
“จะไปไหน น้อง” นักเลงคนแรกทัก
พเยียบอกเสียงดุๆ “กลับบ้าน”
พเยียจะวิ่งหนี ชายทั้งสองลงมาขวางไว้
“ไปคุยกับพี่ก่อน” ชายคนเดิมบอก
นักเลงทั้งคู่จะเข้าไปจับตัวพเยีย พเยียตกใจกลัว ชักปืนออกมาจากกระเป๋า ขู่
“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาแกตายแน่”
นักเลงทั้งสองคนชะงัก เมื่อเห็นปืน แล้วกลายเป็นโกรธ
“เล่นปืนกับกูเลยเหรอ วอนซะแล้วอีนี่” ชายคนที่สองโมโห
ชายคนแรกพยักหน้าบอกกัน “เอามัน”
ทั้งสองช่วยกันล่อหลอก กลุ้มรุมหมายจะจับพเยีย พเยียกวาดปืนไปรอบทิศ กลัวมาก
โดยที่ปากซอยเวลานั้น ตำรวจสายตรวจสองคน ขับมอเตอร์ไซด์ตามมาเห็นพอดี ร้องตะโกนมาแต่ไกล
“เฮ้ย หยุดนะ อะไรกันน่ะ”
นักเลงสองคนชะงัก แล้วกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์หนีไป
พเยียยิ่งตกใจกว่า
“ตำรวจ”
ตำรวจขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยมา
พเยียฉวยโอกาสวิ่งหนีไปอีกซอย ซอยยาวไกลโล่งตลอด พเยียมองซ้ายมองขวา ไม่มีที่หลบ มีแต่ถังขยะของกทม.หลายใบวางเรียงอยู่แถวนั้น
ตำรวจขับรถตามเข้าซอยมา มาถึงหน้ากองขยะ ไม่เห็นใคร พากันแปลกใจ
“ไม่มีใครเลย สงสัยเปิดหนีไปหมดแล้ว”
“คงมาส่งยากัน เฮ้อ ปราบเท่าไหร่ไม่หมดซะทีสิน่า ไอ้พวกนี้”
ตำรวจ 2 คน กลับออกไป
ครู่ต่อมา ทุกอย่างเงียบลงพเยียค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากกองขยะ ในสภาพเลอะเทอะไปทั้งตัว ทั้งเหม็น ทั้งสกปรก พเยียก้มมองสภาพตัวเองแล้ว ทั้งโกรธ ทั้งกลัว เครียดมาก พเยียกรี๊ดลั่นคว้าถ้วย ถังแถวนั้นมาขว้างปาอย่างคนเสียสติ พเยียอาละวาด ทุบกำแพง ร้องไห้โฮ พเยียอาละวาดจนเหนื่อย แล้วค่อย ๆ ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
พเยียร้องไห้โฮ “นังกอหญ้า เพราะแกคนเดียว เพราะแกคนเดียว”
ที่วัดซึ่งจัดงานศพนภาจรี ศพนภัสรพีตั้งเด่นอยู่ในศาลาหลังหนึ่งของวัดแห่งนั้น บรรยากาศการเศร้าสลด คนจัดดอกไม้ 2-3 คนกำลังช่วยกันจัดดอกไม้หน้าศพ ศรีกับคนงานอีกคนเช็ดเก้าอี้ กวาดพื้น อีกคนจัดอาสนะของพระ ทุกคนช่วยกันเตรียมของตามหน้าที่
กอหญ้าจัดดอกพานดอกไม้สำหรับไหว้พระพุทธเสร็จก็ยกไปวางที่หิ้งพระ แต่ตนไม่ได้ไหว้เพราะเป็นคริสต์ จากนั้นจึงมองหานภดารา
กอหญ้าเห็นนภดาราเหมือนยืนจัดดอกไม้ที่ขาตั้งรูปนภัสรพี แต่จริงๆ แล้วนภดารากำลังอยู่ในภวังค์ คิดถึงผู้เป็นบิดา
กอหญ้าเดินเข้าไปหานภดารา ถึงเห็นว่านภดาราน้ำตารื้น
“คุณแม่อย่าร้องไห้เลยนะคะ เดี๋ยวคุณตาจะเป็นห่วง” กอหญ้าปลอบ
นภดารารู้สึกตัว กลั้นน้ำตา หันไปยิ้มให้กอหญ้ากลบเกลื่อนความเศร้า
“แม่อดคิดไม่ได้ซักที ว่าแม่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณตา คุณยายเล็ก แล้วก็แม่ชื่นตาย”
“คุณแม่อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
นภดาราหันมามองกอหญ้า “ถ้าคุณตายังอยู่ ท่านคงจะดีใจมากที่หนูเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน”
กอหญ้ายิ้มอ่อนโยน หันไปพูดกับรูปนภัสรพี
“ดวงวิญญานของท่านคงจะทราบแล้วล่ะค่ะ แล้วท่านก็คงกำลังมองเราสองคนอยู่” กอหญ้ากอดปลอบนภดารา “แล้วท่านก็คงอยากเห็นคุณแม่มีความสุข”
หม่อมหลวงนภดาราชื่นใจในคำพูดของธิดา ที่พลัดพรากกันมากว่า 19 ปี ยิ้มทั้งน้ำตา
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ตกตอนเย็นอรรถกับอิศรเดินเข้ามาด้วยกัน ในบริเวณวัด อรรถมองไปเห็นกอหญ้ากับนภดารายืนอยู่หน้าศาลา อรรถทำหน้าลำบากใจ เหมือนไม่อยากจะเดินเข้าไปหา อิศรชะงัก มองหน้าพ่อ
“เป็นอะไร พ่อ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”
“ไอ้บ้า ปากเสีย”
“แล้วทำไมทำหน้าพิลึกอย่างงั้น”
“ฉันก็แค่...อายหนูกอหญ้าเค้าน่ะ ก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ดีกับเค้าเอาไว้เยอะ ใครจะไปนึก ว่าเค้าจะกลายเป็นลูกสาวของหม่อมหลวงนภดารา”
อรรถบ่นอุบ อิศรยิ้มขำพ่อ
กอหญ้ายืนรับแขกคู่กับนภดาราอยู่ที่หน้าศาลา สองแม่ลูกอยู่ในชุดไทยสีดำ โก้ หรู ดูดี และงามสง่า ทั้งกอหญ้าและนภดารามีสีหน้าสงบ ในศาลายังโล่งๆ เนื่องจากแขกเพิ่งเริ่มมากันไม่กี่คน อิศรเดินเข้ามากับอรรถ
นภดาราทักทาย “พี่อรรถ คุณอิศร”
นภดารากับกอหญ้าไหว้อรรถ อิศรไหว้นภดารา อรรถรับไหว้เขินๆ
“ขอบคุณนะคะ ที่มา” นภดาราบอก
อรรถยังไม่ทันตอบ อิศรชิงพูดขึ้นขำๆ
“ตอนแรกคุณพ่อเกือบไม่กล้ามาแล้วครับ กลัวจะโดนไล่ลงจากศาลา”
อรรถหน้าม้านทั้งฉุนทั้งเขิน “เฮ้ย แกก็พูดเรื่อยเปื่อย”
“ใครจะไปกล้าทำอย่างนั้นคะ พี่อรรถ” นภดาราบอก
อิศรอมยิ้ม “พ่อกลัวคุณอาจะโกรธที่พ่อเคยทำไม่ดีกับกอหญ้าน่ะครับ” อิศรหันไปทางกอหญ้า “ทำกับเธอเอาไว้เยอะ ตอนนี้ก็เลยกลัวไง”
อรรถยิ้มจืดๆ กอหญ้ามองอรรถ ยิ้มอ่อนโยน
“หนูเข้าใจท่านค่ะ จู่ๆ คุณอิศรก็เอาหนูมาจากข้างถนน ท่านเป็นพ่อ ก็ต้องห่วงลูกเป็นธรรมดา”
อรรถเป็นปลื้ม “หนูเป็นคนดีอย่างที่เจ้าอิศรมันว่าจริงๆ”
นภดาราเสริม “กอหญ้าเป็นเด็กดีจริงๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเด็กกำพร้ายากจน หรือเป็นทายาทของศิวาวงศ์ กอหญ้าเค้าก็ยังเป็นคนดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แปลง”
อรรถเสริมอีก “เพชรยังไงก็เป็นเพชรจริงไหม น้องดารา” พลางตบไหล่อิศรอย่างปลงๆ “แกเก่งกว่าพ่อ มองออกว่าใครเป็นเพชรแท้ ใครเป็นเพชรเทียม”
ทางด้านพเยียหอบถุงใบใหญ่ย่องเข้ามา งัดเข้าไปที่บ้านเช่านพดลอย่างคุ้นเคย เห็นข้าวของที่ตำรวจค้นเกลื่อนกลาด พเยียปิดประตูหน้าต่าง เทของในถึงออกมา เห็นกรรไกร อุปกรณ์+ยาย้อมผม และเสื้อผ้าสีดำแบบที่ปิดบังพรางตัว
พเยียเปลี่ยนลุค ตัวเองหมดจด ตัดผม ย้อมผม ไม่ให้ใครจำได้
ไม่นานต่อมาภาพในกระจก เห็นพเยียในลุคใหม่ ผมสั้น สีผมเปลี่ยนจากเดิม พเยียมองภาพตัวเองในกระจกอย่างพอใจ ก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาตรวจดู
ที่งานสวดศพนภัสรพีแขกเริ่มทยอยกันมา กอหญ้ารับแขกอยู่กับนภดาราที่หน้าทางเข้าศาลา อิศรนั่งอยู่กับอรรถ มองดูด้วยความเป็นห่วง ทนไม่ไหว เลยลุกขึ้น
อรรถมองตาม “อะไรของมัน ลุกรี้ลุกรน”
อิศรเดินไปหานภดารา
“วันนี้คนเยอะ ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ ผมว่า คุณอาน่าจะให้ตำรวจมารักษาความปลอดภัยในงานนะครับ”
“อิศรกลัวอะไรเหรอจ๊ะ”
กอหญ้าเดาออก “คุณอิศรกลัวว่าพเยียจะมาที่นี่ใช่ไหมคะ”
อรรถที่เดินตามมา เข้ามาเสริม
“คิดมากไปรึเปล่า เค้ามีคดีร้ายแรงติดตัว คงไม่กล้ามาหรอก ถ้ามา ก็ต้องโดนตำรวจจับแน่”
“แล้วถ้าเค้ากลับมาล่ะครับ” อิศรไม่วางใจ
นภดารานิ่งคิด ก่อนจะตอบอย่างตัดสินใจดีแล้ว
“ถ้าเค้ากลับมาและยอมมอบตัว อาก็พร้อมจะช่วยเหลือเค้าเท่าที่จะทำได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้ พเยียก็สูญเสีย หมดสิ้นทุกอย่างแล้ว อาสงสารเค้า”
อรรถชื่นชม “น้องดารากับหลานกอหญ้าเป็นคนใจดีเหลือเกิน”
อิศรไม่เห็นด้วยกับนภดารานัก
“ก็หวังว่าพเยียจะกลับตัวกลับใจอย่างที่คุณอาคิดก็แล้วกันครับ”
พเยียเพิ่งมาถึงวัดตอนค่ำ ยืนมองป้ายชื่อวัด หน้าตามุ่งมั่น เวลาเดียวกันชิษณุพงษ์เดินขึ้นมาบนศาลา เข้าไปทักทายนภดารา
“สวัสดีครับ คุณอา”
“ชิษณุพงษ์... ไม่น่าลำบากมาเลย นี่แผลหายดีแล้วหรือจ๊ะ”
“ยังครับ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว...กอหญ้าไปไหนล่ะครับ”
ระหว่างนั้นพเยียย่องเข้ามาถึงด้านข้างของศาลา พยายามเพ่งมองเข้าไป เห็นนภดารายืนคุยกับชิษณุพงษ์อยู่ ไม่มีกอหญ้าอยู่ด้วย พเยียแปลกใจ
“นังกอหญ้ามันหายหัวไปไหน
กอหญ้ากำลังช่วยศรีจัดเรื่องน้ำดื่มอยู่ที่ด้านหลัง
“คุณหนูขึ้นไปรับแขกเถอะค่ะ เดี๋ยวที่เหลือนี่ศรีกับพวกเด็กๆ ทำกันเอง” ศรีบอก
“จ้ะ”
กอหญ้ายิ้มพลางหันหลัง เดินกลับ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชิษณุพงษ์เดินเข้ามาหา
“ชิษณุพงษ์…มาทำไมนี่ แผลหายดีแล้วเหรอ”
“คุณแม่คุณลูกถามเหมือนกันเลย สมกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ”
กอหญ้าดุ ใบหน้ายิ้มๆ “ยังไม่หายดี ทำไมไม่นั่งอยู่บนศาลา เดินลงมาทำไม”
“ดุจริง อยากรู้นัก อีกหน่อยฉันไม่อยู่ เธอจะไปดุใคร”
กอหญ้าแปลกใจ “เธอจะไปไหน”
2 คน เดินมาหยุดยืนคุยกันอีกมุมหนึ่งของวัด ชิษณุพงษ์บอกกอหญ้า
“ฉันต้องกลับไปเรียนต่อแล้ว”
“อีกเป็นปีเลยสินะ กว่าจะเจอกันอีก”
“รับรองว่าฉันจะโทร.หาเธอทุกวัน อย่าเบื่อรับก็แล้วกัน”
“ให้มันจริงเถอะ เธอนั่นแหละจะเบื่อก่อน”
“พนันไหมล่ะ” ชิษณุพงษ์ท้า
“ได้”
“เราจะคุยกันทุกวัน ใครเบี้ยวก่อน คนนั้นแพ้”
“ตกลง”
ชิษณุพงษ์ยื่นมือมาให้ กอหญ้ายื่นมือไปจับเขย่ามือกันเป็นการสัญญา จู่ๆ มีเสียงกระแอมดังขึ้น กอหญ้าหันไป เห็นอิศรเดินเข้ามา หน้าตากวนๆ
“ตกลงอะไรกัน”
ชิษณุพงษ์มองอิศร ไม่มีความขมขื่นในใจแล้ว เหลือแต่ความหมั่นไส้ อยากกวนกลับเล่นๆ
“บอกไม่ได้ครับ มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับกอหญ้า” หันกลับมาทางกับกอหญ้า “ฉันขึ้นไปก่อนนะ อย่าลืมสัญญาของเราล่ะ”
ชิษณุพงษ์ยักคิ้วให้อิศร แล้วเดินจากไป อิศรหันมองกอหญ้า คาใจสุดๆ
“สัญญาอะไร”
กอหญ้าอมยิ้มยั่ว “บอกก็กลัวสิคะ”
อิศรขวางสุดๆ “นี่ ฉันเห็นเธอหายไปอุตส่าห์เป็นห่วง เดินตามหา ยังมีหน้ามากวนอีก”
“ห่วงทำไมคะ คนตั้งเยอะแยะ ฉันว่าคุณพเยียไม่กล้ามาที่นี่หรอก”
กอหญ้าคิดผิดถนัด เพราะพเยียถือกระเป๋าสะพายใบโตแนบกับตัวแน่น มือข้างหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋าอย่างมีพิรุธ เดินย่องหลบคนเข้ามาที่ด้านหลังศาลา ใกล้กับบริเวณที่มีห้องน้ำ ซึ่งแบ่งเป็นห้องชาย-หญิง แต่อยู่ติดๆ กัน
พเยียพยายามสอดส่ายสายตาหากอหญ้า และเห็นกอหญ้ากับอิศรเดินผ่านไปไกลๆ
พเยียชะเง้อมองพอดีมีคนผ่านมา พเยียตกใจ หลบวูบ เข้าห้องน้ำไป
ประตูห้องน้ำชายห้องหนึ่งเปิดออก เป็นอรรถที่เปิดออกมา พอดีทำมือถือหล่น อรรถนั่งลงเก็บ อรรถเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องน้ำฝั่งตรงข้าม เห็นพเยียจังๆ พเยียก็ตกใจที่เจออรรถ
อรรถไม่แน่ใจ เพราะพเยียเปลี่ยนลุค แต่เพ่งมองเพราะคุ้นมาก
“เอ๊ะ”
พเยียได้สติ ก้มหน้าหลบ แล้วเดินหนี
อรรถลุกขึ้น ตามไป “เดี๋ยว หนู หยุดก่อน”
พเยียวิ่ง อรรถเห็นพิรุธ วิ่งตาม
“หยุดนะ”
อรรถคว้าแขนพเยียได้ จับให้หันมา
พเยียสะบัดแขนร้องลั่น “ปล่อยฉัน”
อรรถเห็นหน้าพเยียชัดๆ จำได้
“พเยีย! เธอจริงๆ ด้วย”
พเยียเอามือที่ล้วงไว้ในกระเป๋าอออกมา หยิบปืนสั้นออกมา แล้วเอาด้ามกระแทกใส่ปลายคางอรรถอย่างแรง
“โอ๊ย”
พเยียอาศัยจังหวะที่อรรถเสียหลัก เอาปืนฟาดท้องอรรถอย่างแรงจนอรรถจุกงอตัวลง ร้องไม่ออก พเยียฟาดสันปืนเข้าที่คออรรถซ้ำอีก คราวนี้อรรถสลบกลางอากาศร่วงผลอยลงไปกองกับพื้น พเยียยืนมองอรรถที่นอนนิ่งอยู่ เครียดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เวลาเดียวกันพระสงฆ์เดินเข้ามาในศาลาสวด และลงนั่งประจำที่บนอาสนะ นภดารานั่งที่โซฟาด้านหน้า กอหญ้านั่งอยู่ข้างๆ ชิษณุพงษ์นั่งอีกด้านห่างออกไป
อิศรนั่งอยู่ถัดไปอีกด้าน กำลังมองหาอรรถ
“ทำไมพ่อไปห้องน้ำนานจัง”
อิศรกดโทร.หา ติดแต่ไม่มีคนรับ อิศรแปลกใจ ตัดสินใจลุกออกไป
นภดารานึกขึ้นได้ อุทานเบาๆ
“ตายจริง”
“อะไรเหรอคะคุณแม่”
“แม่ลืมซองปัจจัยเอาไว้ในรถ ว่าจะบอกวิชัยให้ไปเอาก็ลืม”
“ผมไปเอาให้ครับ” ชิษณุพงษ์ขยับจะลุก
“ฉันไปเองค่ะ คุณอยู่ช่วยคุณแม่ดีกว่า ฉันไปเอง”
กอหญ้าเดินออกไป
ส่วนอิศรเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ไม่เห็นใคร เลยกดโทรศัพท์หา ทันใดนั้น อิศรได้ยินเสียงเรียกโทรศัพท์ดังแว่วออกมาจากห้องน้ำห้องหนึ่ง จึงรีบเดินไปยืนหน้าประตูห้องน้ำนั้น พูดเสียงไม่ดังนัก กลัวคนได้ยิน
“พ่อครับ ทำไมนานจัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ พ่อ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ อิศรกดโทรศัพท์อีกที เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในห้องนั้นอีก อิศรเอะใจ เลยเรียกเสียงดัง
“พ่อครับ พ่อ .. พ่อเป็นลมหรือเปล่าครับ ตอบผมด้วย
เสียงเรียกโทรศัพท์ของอรรถยังดังค้างอยู่ แต่ไม่มีคนรับ อิศรสังหรณ์ใจ พุ่งไปที่ประตูที่ปิดไว้ อิศรเขย่าลูกบิด ปรากฏว่าล็อก อิศรพยายามกระชากประตูออกมา
“พ่อ...พ่ออยู่ในนั้นใช่ไหมครับ พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ พ่อ”
ร่างไร้สติของอรรถนั่งพิงผนังอยู่ในห้องน้ำนั่นเอง มือถือตกอยู่ข้างตัว
อิศรทั้งกระชาก ทั้งเขย่าประตูอย่างแรง แต่ก็ยังไม่หลุด
ด้านกอหญ้าเดินออกมาจากศาลา มุ่งหน้าไปทางลานจอดรถด้านหลัง พเยียเห็นกอหญ้าเดินไปคนเดียว พเยียยิ้มนิดๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวตามไป
อิศรกระชากจนล็อกประตูหลุดออกมา เห็นอรรถนอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้น อิศรตกใจสุดขีด เข้าไปเขย่าตัวอรรถ
“พ่อ พ่อครับ”
อรรถค่อยๆ รู้สึกตัว ยังงงอยู่
“อิศร... ลูก”
อิศรประคองอรรถออกมา พามานั่งด้านนอก
“พ่อเป็นอะไรไปครับ เป็นลมหรือไง”
อรรถสลัดศีรษะให้หายงง พยายามรวบรวมความคิด
“พ่อ...พ่อ” อรรถนึกขึ้นได้ ตกใจสุดขีด “แย่แล้วเจ้าอิศร พเยียมาที่นี่”
“อะไรนะครับ” อิศรตะลึง
อรรถย้ำ “พเยียมาที่นี่ พ่อเห็นกับตา มันเป็นคนทำร้ายพ่อ”
อิศรตกใจ ลุกพรวดขึ้น
“พ่อรีบโทร.หาตำรวจด่วนเลยนะครับ ผมต้องรีบไปเตือนคุณอาดารา”
อิศรรีบวิ่งไปทันที อรรถยังห่วงตะโกนตามหลัง
“อิศร ระวังตัวนะลูก มันมีปืนด้วยนะ”
มือพเยียหยิบปืนออกมาจากกระเป๋า เตรียมพร้อม ส่วนกอหญ้าเดินไปที่ลานจอดรถที่ไม่มีคน เพราะทุกคนอยู่ที่ศาลาหมด กอหญ้ามองหารถของวังจนเจอ ปรากฏว่าจอดอยู่ห่างออกไปไกล กอหญ้าเดินเข้าไป โดยไม่รู้ว่าพเยียเดินตาม
อิศรวิ่งเข้ามาในศาลา ขณะที่พระกำลังสวด นภดาราและชิษณุพงษ์แปลกใจในท่าทางร้อนรนของอิศร
“คุณอาครับ คุณอา”
นภดาราแปลกใจ “อะไรกันจ๊ะ อิศร”
“พเยียมาที่นี่ครับ” อิศรบอก
ชิษณุพงษ์ตกใจ “แย่แล้ว! กอหญ้า”
อิศรมองหาเพิ่งสังเกตว่ากอหญ้าไม่อยู่ ยิ่งตกใจ
“กอหญ้าไปไหน”
“ไปที่เอาของที่รถจ้ะ” นภดาราบอก
“ตายล่ะ”
อิศรวิ่งออกไปทันที นภดาราลุกขึ้น ละล้าละลัง คนในงานเริ่มงง ชิษณุพงษ์จะวิ่งออกไปอีกคน นภดาราร้องเรียก
“ชิษณุ อาไปด้วย”
ทั้งสองพากันออกไป แขกเหรื่องวยงง
กอหญ้าเดินไปถึงข้างรถ กดรีโมทเปิดประตู แล้วรู้สึกเหมือนมีใครแอบมอง กอหญ้าเหลียวไปดูอย่างระแวง แต่ไม่เห็นอะไร กอหญ้าเปิดประตูรถ มองหาซองที่นภดาราว่า เห็นวางอยู่บนเบาะหลัง กอหญ้าเอื้อมมือไปหยิบซองมา
ทันใดนั้นก็มีมือใครคนหนึ่งมาแตะแขนกอหญ้า พอกอหญ้าหันไป เห็นพเยียที่ในมือถือปืนเล็งมาทางตน ยืนจังก้าอยู่ใกล้ๆ
“พเยีย”
“ใช่ ฉันเอง”
“เธอ” กอหญ้ามองปืนท่าทีหวาดหวั่น “เธอจะทำอะไร”
“ยังโง่เหมือนเดิมเลยนะ” พเยียเหยียดยิ้ม ขยับปืนในมือ “ฉันก็จะฆ่าแกไง”
พเยียขยับปืน ทันใดนั้น กอหญ้าขว้างซองใส่ พเยียหลบจึงเสียจังหวะ กอหญ้าวิ่งหนี
พเยียวิ่งตามไป กอหญ้าพยายามวิ่งเข้าไปที่สนามรกๆ ข้างๆ เพื่อหาที่กำบัง พเยียตามติด กอหญ้าสะดุดรากไม้หกล้ม พเยียก้าวเข้ามา เล็งปืนไปที่กอหญ้า
“คราวนี้แกหนีไม่รอดหรอก ตายซะเถอะ นังกอหญ้า”
พเยียลั่นไก อิศรตามมาทันพอดี
“กอหญ้า”
พเยียลั่นไกเปรี้ยง อิศรกระโจนเข้ามาเอาตัวบังกอหญ้า กระสุนถูกแขน อิศรกับกอหญ้าล้มลง กอหญ้าประคองอิศรขึ้น เห็นเลือดแดงฉาน
“คุณอิศร”
ฝ่ายชิษณุพงษ์กับนภดารากำลังวิ่งตามมา ได้ยินเสียงปืน นภดารายกมือทาบอกด้วยความตกใจ
“กอหญ้า!”
นภดาราหน้าซีด ใจสั่น ชิษณุพงษ์รีบบอกด้วยความเป็นห่วง
“คุณอารออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ”
“ไม่! ขืนรอ อาต้องขาดใจตายก่อนแน่ๆ อาต้องไปช่วยกอหญ้า”
ทั้งสองวิ่งตามเสียงปืนไป
กอหญ้าประคองอิศรที่เลือดแดงฉานไหลออกมาเต็มเสื้อสีขาว มองดูพเยียที่เดินเข้ามาบอกกับอิศรอย่างไม่ยี่หระ
“ช่วยไม่ได้นะ แกรนมาหาที่ตายเอง”
“อย่าทำอะไรคุณอิศร อย่านะ”
กอหญ้าเอาตัวบังอิศร
“เค้าไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่มีสิทธิ์ฆ่าเค้า”
“งั้นฉันฆ่าแกก็แล้วกัน”
พเยียจ่อจะยิง ชิษณุพงษ์กับนภดาราวิ่งมาถึงพอดี นภดาราตะโกนก้อง
“หยุดนะ พเยีย อย่าทำอะไรลูกฉันนะ”
พเยียหันขวับไปมอง เห็นนภดาราแสดงออกว่ารักกอหญ้า ยิ่งริษยา
“ฉันจะฆ่า แกจะทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ชีวิตฉันคงไม่พังพินาศแบบนี้” พเยียเอาแต่โทษกอหญ้าเช่นเคย
ชิษณุพงษเถียง “ไม่จริง เธอทำตัวเองต่างหาก พเยีย”
“จะใครทำก็ช่าง” พเยียมองจ้องขู่กอหญ้า “กอหญ้า แกกับฉัน เราโตมาด้วยกัน ถ้าฉันจบ แกก็ต้องจบเหมือนกัน”
พเยียจะยิงกอหญ้า นภดาราร้องกรี๊ด ถลาเข้าไปขวาง
“อย่า!…ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าฉัน อย่าฆ่าลูกฉัน”
พเยียเห็นนภดาราปกป้องกอหญ้ายิ่งแค้นจัด “ได้!”
พเยียจะกระชากนภดารามา ชิษณุพงษ์ปราดเข้าช่วย ชนนภดาราเซไป แล้วปล้ำแย่งปืนกับพเยีย พเยียถีบเข้าที่แผลที่ยังไม่หายดี ชิษณุพงษ์เซไป ทันใดนั้น ตำรวจ 3 นายวิ่งเข้ามา
“หยุดนะ วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้”
พเยียเห็นตำรวจ ตกใจที่ทุกอย่างผิดแผน ดึงนภดาราที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มาเป็นตัวประกัน เอาปืนจี้หลังนภดาราไว้ ตำรวจกระจายกันล้อมไว้ พเยียยิ่งตื่นกลัว กดปืนกับตัวนภดาราแน่นเข้า นภดาราหน้าซีด
“อย่านะ ถ้าฉันไม่รอด นังนี่ก็ไม่รอด”
ตำรวจลดปืนลง คุมเชิงอยู่
กอหญ้าพูดเกลี้ยกล่อมพเยีย “เธอหนีไม่รอดหรอก พเยีย วางปืนแล้วพูดกันดีๆ ดีกว่า”
“ไม่...” พเยียหันมาทางตำรวจ “อย่าตามมานะ ไม่งั้นนังนี่ตาย”
พเยียลากตัวนภดาราไป
พเยียลากตัวนภดารามาตามทางออกด้านหลังวัด นภดาราพยายามกล่อม
“พเยีย มอบตัวซะเถอะ เธอยังมีโอกาสแก้ตัวนะ ฉันสัญญาจะช่วยเธอทุกอย่าง”
“หุบปาก ฉันไม่เชื่ออะไรพวกแกอีกแล้ว”
พเยียลากนภดารามาถึงด้านหลัง เป็นรั้วทึบ ออกไม่ได้ พเยียเครียด
ระหว่างนั้นกอหญ้าพยุงอิศรที่บาดเจ็บอย่างมาก ชิษณุพงษ์ และตำรวจตามมาทัน แต่รักษาระยะอยู่ห่างๆ
“พเยีย เธอไม่มีทางหนีหรอก...ปล่อยแม่ฉันเถอะนะ ฉันขอร้อง ยังไงท่านก็เคยดีกับเธอมามาก” กอหญ้าโน้มน้าว
“ดีเหรอ ถ้ามันดีจริง ฉันจะต้องหนีตำรวจหัวซุกหัวซุนแบบนี้เหรอ” พเยียแค้นคั่ง เสียใจจน น้ำตาคลอ “ไม่มีใครดีกับฉันเลย ทั้งแม่แก ตาแก ยายแก นังชื่น ไม่มีใครดีกับฉันเลย พวกแกจ้องแต่จะทำลายฉัน”
“ไม่จริงหรอกพเยีย ตอนที่เธอมาที่ศิวาลัย แม่ฉันรักเธอเหมือนลูกแท้ๆ ความโลภของเธอเองต่างหากที่ทำลายตัวเธอเอง”
พเยียน้ำตาไหล มือที่ถือปืนสั่นระริก
“ฉันผิดตรงไหน ฉันแค่อยากมีชีวิตสุขสบาย ฉันตะเกียกตะกายจนได้มา แล้วแกก็มาแย่งทุกอย่างไปจากฉัน”
กอหญ้าเป็นห่วงนภดาราที่หน้าซีดอยู่ในอุ้งมือพเยีย เลยตัดสินใจ
“ได้ ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นคนผิด ฉันก็จะชดใช้ให้เธอ ปล่อยแม่ฉันซะ แล้วฉันจะไปกับเธอ”
นภดาราใจหล่นวูบ “กอหญ้า ไม่นะลูก”
ชิษณุพงษ์กับอิศรดึงแขนกอหญ้าไว้
“อย่านะ กอหญ้า”
อิศรก็ห้าม “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ กอหญ้า”
กอหญ้ามองหน้าทั้งสองหนุ่ม ส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีแผน พลางกระซิบ
“ฉันจะถ่วงเวลาให้ค่ะ” ก่อนจะเพิ่มเสียงพูดดังๆ “คุณสองคนช่วยฉันมามากแล้ว ให้ฉันจัดการเรื่องนี้เองเถอะค่ะ ฉันจะหยุดเรื่องนี้เอง”
กอหญ้าเดินเข้าไปหาพเยีย พูดท้าทาย
“เธอจะทำอะไรกับฉันก็ได้พเยีย ให้มันสาสมกับความแค้น เอาซี เอาตัวฉันไป”
พเยียชะงักงัน อึ้ง ไม่คิดว่ากอหญ้าจะกล้าขนาดนี้ นภดาราตกใจ
“ว่าไงล่ะ พเยีย เธออยากฆ่าฉันมากไม่ใช่เหรอ ปล่อยแม่ฉันสิ แล้วเอาตัวฉันไป”
“อย่านึกว่าฉันไม่กล้านะ นังกอหญ้า”
กอหญ้ายังเดินเข้าไปหาพเยีย ยิ่งพูดยั่ว ท้าทาย
“ฉันว่าเธอไม่กล้า ถ้าเธอกล้าจริง ฉันคงตายไปนานแล้ว จริงไหม”
พเยียโกรธจัด ขณะที่อิศรกับชิษณุพงษ์ ค่อยๆ เดินอ้อมหลังใกล้พเยียเข้ามาทุกที
กอหญ้ายั่วต่อไป “ถ้าเธอกล้าจริง ฉันคงตายไปตั้งแต่วันที่รถคว่ำแล้ว แล้วเธอก็คงไม่มีวันนี้จริงไหม”
“งั้นแกก็ลงนรกไปซะเถอะ”
พเยียหันกระบอกปืนที่จี้นภดารามาทางกอหญ้า อิศรอาศัยจังหวะนี้โถมตัวใส่พเยีย ปืนกระเด็นไป ชิษณุพงษ์กระชากตัวนภดาราหลุดมาจากพเยีย แล้วพาออกไป จังหวะเดียวกับที่อิศรซึ่งรัดตัวตัวพเยีย ถูกพเยียทุบที่แผล
“โอ้ย...”
แขนอิศรอ่อนแรงลงเพราะความเจ็บปวด พเยียดิ้นหลุดไปได้ก่อนที่ชิษณุพงษ์จะเข้ามาจับตัวได้ทัน พเยียวิ่งเข้าไปคว้าปืนที่กระเด็นตกอยู่ หันไปทางอิศรอย่างโมโห พเยียยิงอิศรอีกเปรี้ยง กระสุนพุ่งใส่ลำตัวอิศรอย่างจัง
“คุณอิศร!”
พเยียหันปืนมาทางกอหญ้า
“แกตาย...”
นภดาราร้องกรี๊ดสุดเสียง “อย่า...”
เสียงปืนดังขึ้น ปัง ปัง ติดๆ กัน พเยียชะงักค้างอยู่ในท่านั้น ปืนในมือหล่นลง เลือดค่อยๆไหลทะลักออกมาจากตัว พเยียค่อยๆล้มลง ขาดใจตายอยู่ตรงนั้น
ที่แท้ตำรวจสองสามนายที่ล้อมอยู่เป็นคนยิง และค่อยๆ ลดปืนลง กอหญ้ายืนมือสั่น ตัวสั่น มองพเยีย น้ำตาไหลพราก
พึมพำในอาการช็อคสุดขีด “พเยีย”
นภดาราเข้ามากอดกอหญ้า
“กอหญ้า”
ตำรวจสองสามนายนั้นวิ่งเข้ามา บรรยากาศโกลาหล ชิษณุพงษ์วิ่งไปประคองอิศร
ชิษณุพงษ์ตะโกน “เรียกรถพยาบาลเร็ว!”
กอหญ้ายังยืนช็อคนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนภดารา
ตรงทางเดินหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล หมอวิชาญเดินมาทางด้านหนึ่งด้วยท่าทางร้อนใจ มีพยาบาลเดินตามมาด้วย หมอวิชาญหันไปสั่งท่าทางจริงจัง
“คนไข้ที่ชื่อคุณอรรถ อดิศวร กระดูกคอเคลื่อน ผมใส่เฝือกให้แล้ว ห้ามไม่ให้ลุกไปไหนทั้งนั้น” เสียงโทรศัพท์ดัง หมอวิชาญกดรับ “ครับ คุณพ่อ ใช่ครับ คุณพ่อห้ามขยับตัวไปไหน ผมเพิ่งสั่งพยาบาลไปเมื่อตะกี๊นี้เอง” หมอโบกมือไล่พยาบาล “คุณไปดูคนไข้ไว้” พยาบาลวิ่งออกไปทันที หมอพูดโทรศัพท์กับอรรถต่อ
“ไม่ต้องห่วงไอ้อิศรครับพ่อ ผมจะดูแลมันอย่างดีที่สุด”
ระหว่างนั้นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงฉุกเฉินที่มีร่างอิศรนอนอยู่เข้ามา กอหญ้า นภดารา และชิษณุพงษ์ตามมาไม่ห่าง หมอวิชาญวางสาย แล้ววิ่งตามหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วยกัน
“ญาติคนไข้รอข้างนอกนะคะ” พยาบาลบอกก่อนที่ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง กอหญ้าลุ้น สีหน้าไม่สบายใจเอามากๆ ชิษณุพงษ์สงสาร จะเข้าไปปลอบ แต่นภดาราแตะแขนชิษณุพงษ์บอกเสียงอ่อนโยน
“หลานเหนื่อยมามากแล้ว แผลก็ยังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวอาจะอยู่เป็นเพื่อนกอหญ้าเอง”
“ครับ”
ชิษณุพงษ์มองกอหญ้าอย่างห่วงใยอีกแวบ แล้วออกไป นภดาราเดินไปหากอหญ้า พูดปลอบโยน
“อิศรไม่เป็นไรหรอกลูก อิศรเป็นคนดี คนดี พระต้องคุ้มครอง”
กอหญ้าพยักหน้ารับ แล้วสีหน้าสว่างวาบ เหมือนคิดอะไรได้
ตรงมุมสงบบรรยากาศสวยงามร่มรื่นในโรงพยาบาล กอหญ้านั่งสวดมนตร์อธิษฐานอยู่เงียบๆ
ส่วนที่หน้าห้องฉุกเฉิน นภดารานั่งรออยู่ หมอวิชาญออกมา นภดาราเข้าไปถาม หมอวิชาญบอกอะไรบางอย่างกับนภดารา
กอหญ้าเงยหน้าขึ้นมา สวดอธิษฐานจบแล้ว ภาพจำความน่ารัก ห่ามๆ ของอิศรที่เคยทำกับกอหญ้าผุดขึ้นมาในภวังค์ กอหญ้ารำพึงเบาๆ
“คนใจร้ายที่น่ารักของฉัน อย่าเป็นอะไรไปนะ ฉันขอร้องล่ะ”
ครู่ต่อมากอหญ้าเดินกลับมาหน้าห้อง นภดาราหันไปเห็นพอดี
“กอหญ้า”
กอหญ้าก้าวพรวดไปหา “คุณแม่” ท่าทีตื่นเต้น “คุณหมอออกมาหรือยังคะ คุณอิศรเป็นไงบ้าง”
นภดารายิ้ม “หนูเข้าไปดูเองดีกว่าจ้ะ”
กอหญ้ารีบวิ่งเข้าห้องฉุกเฉินไป
ร่างของอิศร พันแผลเรียบร้อยนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง กอหญ้าเดินเข้ามา มองอิศรแววตาเป็นห่วงเหลือเกิน
“อวดเก่ง ไหนบอกว่าจะปกป้องฉัน จะดูแลฉัน แล้วทำไมมานอนแอ้งแม้งอย่างงี้”
อิศรยังนอนนิ่ง กอหญ้าเอานิ้วแตะจมูกอิศรเบาๆ อย่างเอ็นดู มองอิศรด้วยสายตาขบขันขี้เล่น
“เถียงสิ ทำไมไม่เถียง ปกติชอบทะเลาะ ชอบวางอำนาจนักไม่ใช่เหรอ คราวนี้ทำไมนอนนิ่งล่ะ” ดีดปลายจมูกอิศรเล่นอีกที “ได้ยินไหม อีตาบ้า ฉันท้าให้คุณลุกขึ้นมาทะเลาะกับฉัน” เห็นอิศรนิ่ง “แน่ะ เงียบ สงสัยไม่ชอร์ต”
อิศรยังนิ่ง กอหญ้ามองๆ มั่นใจว่าอิศรไม่รู้สึกตัว อาการสนุกสนานขี้เล่นเปลี่ยนเป็นแววตาอ่อนหวาน ด้วยความรักมากมาย
“ไม่รู้ตัวก็ดีแล้ว คุณจะได้ไม่ได้ยินที่ฉันพูด คุณรู้ไหม ตอนที่เห็นคุณโดนยิง ฉันตกใจแทบตาย ฉันภาวนาให้คุณมาตลอดทางเลยนะ ขอให้คุณปลอดภัย” เสียงกอหญ้าอ่อนโยนขณะพูดคำต่อมา “คุณรู้ไหม คุณอิศร ฉันรักคุณนะ”
กอหญ้าพูดจบ อิศรก็ลืมตาขึ้นทันที กอหญ้าตะลึง อ้าปากค้าง
อิศรยิ้มเผล่ “ขอบใจ”
“คุณอิศร” กอหญ้าได้สติ รู้ว่าโดนแกล้ง “นี่คุณแกล้งหลับเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้แกล้ง ฉันหลับอยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงติงต๊องที่ไหนไม่รู้ มาบอกรักอยู่แจ้วๆ หนวกหูจนต้องตื่นเลยเนี่ย”
กอหญ้าเขินๆ อยู่กลายเป็นโกรธ “หนวกหูก็ไม่ต้องฟัง วันหลังฉันจะไม่พูดอีกแล้ว”
กอหญ้าจะเดินออกไป อิศรลุกขึ้นคว้ามือไว้ กอหญ้าสะบัด อิศรเจ็บ
“โอ๊ย...เจ็บนะ”
“ไม่เชื่อ”
“เจ็บจริงๆ ถูกยิงนะ ไม่ใช่หกล้ม” อิศรฉุนนิดๆ
กอหญ้านึกขึ้นมาได้ เข้าไปจับมืออิศรอย่างตกใจ
“ตายจริง ฉันโดนแผลคุณหรือเปล่า”
อิศรได้ทีแกล้งทำสำออย “ก็โดนน่ะสิ”
กอหญ้าเข้าไปประคองอิศร จะพาลงนอน ท่าทางกังวลใจมาก
“ขอโทษนะคะ ฉันลืมตัวไป คุณนอนนิ่งๆ ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปตามหมอ”
อิศรถือโอกาสกอดกอหญ้าไว้ แกล้งทำมารยา
“โอ้ย อย่าเพิ่งขยับ เจ็บแผล” ทำเสียงหวานซึ้ง “แต่ถ้าได้กอดเธออย่างงี้ ก็หายเจ็บแล้ว”
อิศรกอดกอหญ้าไว้ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ กอหญ้าเห็นแววตาอิศรระยิบระยับเป็นประกาย ก็รู้ทัน
“เจ้าเล่ห์นักนะ”
กอหญ้ากระแทกอิศร จนอิศรตัวงอ ร้องโอ๊ยออกมา กอหญ้าหัวเราะขำอิศร แล้ววิ่งหนีออกไป
หลายวันต่อมา กอหญ้ากับนภดารายืนอย่างสงบที่หน้าหลุมศพของพเยียในสุสานฝรั่งแห่งหนึ่ง หน้าตาของกอหญ้าและนภดารา สงบเยือกเย็น
“ขอให้ดวงวิญญานของเธอไปสู่สุคตินะ พเยีย”
กอหญ้าเอาช่อดอกไม้วางไว้บนหลุมศพของพเยีย น้ำตาคลอ นภดาราสะท้อนใจลงนั่งข้างๆ ปลอบใจกอหญ้า มองรูปพเยียที่หน้าหลุมศพอย่างเมตตา
“น่าเสียดาย...จริงๆ แล้วพเยียเป็นเด็กน่ารักมาก ถ้าหากเค้าตามหนูมา แล้วขอให้แม่เลี้ยงเค้าเป็นลูกสาวอีกคน แม่ก็คงเต็มใจ”
“พเยียเป็นเด็กกำพร้า ถูกทอดทิ้ง เค้าคงไม่เชื่อว่าจะมีใครให้โอกาสเค้าจริงๆ เค้าเลยต้องยื้อแย่งเอา”
“ทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าเริ่มมาจากความรัก มันก็จะพาเราไปพบสิ่งที่ดี แต่ถ้าเริ่มผิด เริ่มมาจากความคิดร้าย มันก็จะพาเราไปสู่จุดจบแบบพเยียนี่แหละ”
นภดาราหันไปพูดอโหสิกรรมกับหลุมศพ
“แต่ไม่ว่ายังไง มันก็จบไปแล้ว ฉันให้อภัยเธอทุกอย่าง ลาก่อนนะ พเยียถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้เธอเกิดมาเป็นคนดี ทำในสิ่งทีดี จะได้ไม่ต้องมีจุดจบแบบนี้อีก”
ช่างน่าอัศจรรย์นัก ลมพัดกลีบดอกไม้โปรยปรายลงมาอย่างสวยงาม ใบหน้าพเยียในรูป ยิ้มแย้ม เหมือนจะรับคำอำนวยพรและอโหสิของสองแม่ลูก
นภดารากับกอหญ้ากลับมาถึงวังศิวาลัย กอหญ้าประคองนภดาราเข้ามาในตึก
“คุณแม่ขึ้นไปพักผ่อนก่อนดีมั้ยคะ เดี๋ยวหนูเอาน้ำส้มเย็นๆ ไปให้”
“จะขึ้นไปพักได้ยังไงจ๊ะ” นภดาราทำท่าเพิ่งนึกออก ยิ้มๆ “ตายจริง นี่แม่ยังไม่ได้บอกหนูล่ะสิว่าวันนี้บ้านเรามีงานเลี้ยง”
นภดาราท่าทางเหมือนมีลับลมคมในบางอย่าง แต่เป็นความลับที่ทำให้มีความสุขจนความสุขนั้นฉายชัดออกมาทางใบหน้าและดวงตาที่เป็นประกาย กอหญ้ามองนภดาราอย่างสงสัย
“งานเลี้ยงอะไรเหรอคะ”
“หนูไปดูเองดีกว่าจ้ะ”
สีหน้ากอหญ้าสงสัยเต็มที่
พอสองคนเดินพ้นหัวมุมเข้าไปในสวนบริเวณจัดงานปุ๊บ กอหญ้าก็ตื่นตะลึง เมื่อเห็นสนามเด็กเล่นที่จัดตกแต่งด้วยดอกไม้ ริบบิ้น ลูกโป่ง น่ารักที่สุด ราวกับสวนสวรรค์ในจินตนาการของเด็กๆ
เด็กกำพร้าหลายสิบคนกำลังทานอาหารบ้าง เล่นเกมบ้าง ใบหน้ายิ้มแย้มรื่นเริงกันอยู่ พอเห็นกอหญ้าก็วิ่งกรูเข้ามากอด
“ พี่กอหญ้า”
กอหญ้าตะลึง เพราะเด็กๆ กลุ่มนี้คือเด็กที่เคยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เดียวกับกอหญ้า ที่เชียงใหม่นั่นเอง กอหญ้ากอดเด็กๆ อย่างดีใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้พบกันอีก
กอหญ้าดีใจมากเรียกชื่อแต่ละคนอย่างคุ้นเคย
“นุ่น เล็ก แดง น้ำหวาน...อะไรกันเนี่ย พวกเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
นภดารามองภาพกอหญ้าที่แวดล้อมด้วยเด็กๆ กำพร้าอย่างปลื้มใจ
ไม่นานต่อมากอหญ้าเล่นอยู่กับเด็กๆ ให้ขนมเด็ก ดูเป็นนางฟ้าใจดีของน้องๆ และหลังจากนั้นนภดารากับกอหญ้านั่งดูเด็กๆ เล่นเปียโน และร้องเพลงประสานเสียงให้กอหญ้าเป็นการขอบคุณจนจบ นภดารา กอหญ้า และเด็กๆ คนอื่นปรบมือ เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที
“ต่อไปจะถึงช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด ซึ่งพวกเราจะขอมอบเพลงต่อไปนี้เพื่อขอบคุณพี่กอหญ้าที่จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นเพื่อพวกเราค่ะ”
เสียงร้องเพลง “ไว้ใจฉันได้เสมอ” ดังขึ้น อิศรเป็นคนร้อง แต่กอหญ้ายังไม่รู้
“ใจไม่เห็นปลายทาง ชีวิตที่เลือนลางมีแต่ความมืดหม่น เธอเหมือนแสงรำไร ปลอบโยนใจที่ทุกข์และทน จากนี้ฉันขอเป็นคนที่จะอยู่เพื่อเธอ”
กอหญ้ามองหาคนร้องเพลง และยังไม่รู้ว่าอิศรเป็นคนร้อง ขณะที่นภดาราเยื้อนยิ้ม ไม่พูดอะไร อิศรร้องต่อ
“เมื่อความรักไม่มีแบบแผนแค่รักเธอไป เจอเรื่องร้ายแค่ไหนอย่างไรก็จะรัก”
อิศรเดินร้องเพลงตรงเข้ามาหากอหญ้า มองจ้องกอหญ้า บอกให้รู้ว่าเขาร้องเพลงนี้ให้กอหญ้าจากหัวใจ
“จะดูแลเธอจนกว่าวันที่ฟ้าของเธอสดใส ตราบมีเมฆฝนยังไม่พ้นไป
ขอเป็นคนข้างๆเธอ ยังยืนยันว่าฉันจะอยู่หากเธอมองใครไม่เจอ
ไม่มีแผนร้ายใดๆ อยากบอกว่าเธอไว้ใจฉันได้เสมอ
ความรักไม่มีเหตุผลแค่ปล่อยให้คนอย่างฉันรักเธอก็พอ”
กอหญ้าเขินอายม้วน เพลงจบแล้วแต่อิศรเดินไปหานภดาราที่อยู่ข้างๆ กอหญ้า พูดตรงๆตามความรู้สึก
“คุณอาครับ ผมรู้ว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อย และตอนนี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่ผมอยากจะแสดงความจริงใจของผมที่มีต่อกอหญ้า”
นภดารายิ้มๆ อย่างเอ็นดู เข้าใจว่าอิศรพยายามจะพูดอะไร มองหน้าอิศรอย่างตั้งใจฟัง
“ผมไม่รู้ว่าชีวิตพรุ่งนี้จะเป็นยังไง มันอาจจะดี หรืออาจจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมาอีกก็ได้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมอยากจะขออนุญาตคุณอาเป็นชีวิตอีกครึ่งนึงของกอหญ้า”
อิศรมองกอหญ้าด้วยแววตาสุดซึ้ง กอหญ้าอึ้ง นภดารายิ้ม น้ำตารื้น
“ผมอยากให้คุณอาเชื่อใจในคำสัญญาของผม ว่าผมจะไม่ทอดทิ้งกอหญ้า ผมจะดูแลและปกป้อง “น้อง” ด้วยชีวิตของผม”
นภดารายิ้มทั้งน้ำตา สายตาที่มองอิศรเต็มไปด้วยความรักและเชื่อมั่น
นภดาราเน้นคำแทนตัวเอง “แม่เชื่อใจอิศรจ้ะ ทุกคำที่อิศรพูดมา ไม่มีคำไหนที่ทำให้แม่แคลงใจเลย แต่ยังไงแม่คงตอบแทนกอหญ้าไม่ได้นะ...เรื่องแบบนี้อิศรถามเจ้าตัวเค้าเองดีกว่า ว่าเค้าจะว่ายังไง”
นภดารามองไปยังกอหญ้าอย่างปลาบปลื้ม และหมดห่วงว่ามีคนที่จะคอยดูแลกอหญ้าต่อจากตน และคนๆนั้นรักกอหญ้ามากมาย อิศรยิ้มดีใจหันไปหากอหญ้า ถามตรงๆ ง่ายๆ ไม่มีฟอร์มตามแบบของตัวเอง
“ว่าไง กอหญ้า แต่งงานกับฉันนะ”
กอหญ้ายิ้ม สายตาที่มองอิศรเต็มไปด้วยความรักและซาบซึ้งอย่างไม่ปิดบัง
เด็กชายคนหนึ่งตะโกน “แต่งเลยพี่”
เด็กคนอื่นๆตะโกนพร้อมกัน “แต่งเลย แต่งเลย แต่งเลย”
“ค่ะ...กอหญ้าเชื่อใจคุณอิศรเท่ากับที่เชื่อใจตัวเองมานานแล้วค่ะ”
อิศรยิ้มอย่างปลาบปลื้ม รอวันนี้มานานแสนนาน
เด็กผู้หญิงบอก “เอากล่องแหวนในพานดอกไม้มาให้อิศร”
อิศรยื่นมือออกไปตรงหน้า กอหญ้าหันมองนภดารา นภดาราพยักหน้า กอหญ้ายื่นมือส่งให้ อิศรจับมือกอหญ้าไปวางไว้ในมือตัวเอง หยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมา ยิ้มให้นภดารา
“ผมขออนุญาตนะครับ คุณอา”
“แม่อนุญาตจ้ะ”
อิศรสวมแหวนให้กอหญ้าและจูบมือกอหญ้าต่อหน้านภดาราท่ามกลางเสียงเฮของเด็กๆ
นภดาราเดินเข้ามาโอบกอดอิศรกับกอหญ้าไว้ เป็นภาพครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความสุข ส่วนอิศรและกอหญ้าก็ดูงดงามเหมาสมกันเหลือแสน
จบบริบูรณ์
โปรดติดตาม "มารกามเทพ" เร็วๆ นี้