มณีสวาท ตอนที่ 2
หลังเกิดเหตุเพียงไม่นานนัก มีบรรดาไทยมุงต่างพากันมายืนอออยู่เต็มหน้าร้านตา บ้างเม้าธ์มอยหน้าตาตื่น บ้างตั้งคำถามกันระงม ร้านอาหารถูกปิดแล้ว มีเทปสีเหลืองของตำรวจติดคาดเป็นเขตห้ามเข้า บริเวณด้านในมีตำรวจหลายนายเดินอยู่เต็มพื้นที่
ด้านเฟื่องวลีเอาแต่ร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเนื้อตัวสั่น ทว่าน่ารำคาญมากกว่าน่าสงสาร แถมเกาะแขนภุชคินทร์แจ
ขณะที่เจ้าหน้าที่นำศพของเสี่ยปิงออกมา ส่วนอีกด้าน ผู้กองไพศิษฐ์และตำรวจคนอื่นๆ พากันตรวจดูสถานที่เกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐาน ถัดไปนักข่าวรุมสัมภาษณ์สุบรรณ โดยมีอำนาจยืนประกบ
“ท่านสุบรรณพอจะทราบมั้ยครับว่า สาเหตุการตายของเสี่ยปิงเกิดจากอะไร”
“ไม่ทราบครับ แล้วก็ยังไม่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เลย พอดี ผมเสร็จประชุมผ่านมา เห็นเหตุการณ์เลยแวะเข้ามาดู” สุบรรณตอบคำถาม
นักข่าวอีกคนซักต่อ “แต่ก่อนตายมีคนได้ยินเสี่ยปิงพูดว่าสนิทกับท่านมาก”
“ผมเป็นคนของประชาชน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนรู้จักผม แต่ถึงขั้นสนิท ผมไม่ได้สนิทอะไรกับผู้ตาย แต่ถึงจะไม่สนิทยังไงเรื่องคดีนี้ยังไงผมก็ไม่ทิ้งแน่นอน จะกำชับเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ เพราะคดีนี้เป็นอุจฉกรรจ์ ดีที่เป็นแค่ระเบิดควัน ไม่อย่างนั้นจะมีคนได้รับอันตรายจากเหตุการณ์นี้เยอะกว่านี้ ขอตัวก่อนครับ”
สุบรรณมองสบตาภุชคินทร์ แล้วเดินเข้าไปดูบริเวณที่เกิดเหตุ โดยทเป็นไม่สนใจภุชคินทร์ แต่สายตาแอบเขม่น ไพศิษฐ์เดินออกมาหาภุชคินทร์ทำท่าสยอง
“คนร้ายมันแน่มากเลยว่ะชาย ปาดคอเสี่ยปิงทีเดียวอยู่”
“ถึงกับปาดคอกันเลยทีเดียวเหรอคะ” เฟื่องวลีตกใจเสียงดังเว่อร์
ภุชคินทร์ดุ “ฟีบี้”
“ก็ฟีบี้กลัว”
ภุชคินทร์ชักรำคาญ “กลัวก็กลับไป พี่กับผู้กองจะทำงาน”
เฟื่องวลีงง “ทำอะไรล่ะคะ เสี่ยปิงอะไรนั่นก็ตายไปแล้ว ศพก็เอาไปแล้ว พี่ชายกับผู้กองจะอยู่ทำไมกันอีก”
ไพศิษฐ์เองก็เริ่มหมั่นไส้ “อยู่ทำงานสิครับคุณ อย่างที่นายชายบอกล่ะ ถ้าคุณฟีบี้อยากกลับก็รีบกลับไปเลยอย่ามายืนเกะกะขวางทาง”
เฟื่องวลีค้อนขวับ “ผู้กอง”
ภุชคินทร์บอกเสียงเข้ม “พี่ว่าฟีบี้กลับไปก่อนนะ พี่จะทำงาน”
เฟื่องวลีอิดออด “แต่ฟีบี้…”
ภุชคินทร์บอกเสียงเข้มกว่าเดิม “ฟีบี้”
เฟื่องวลีมองด้วยท่าทีฮึดฮัดขัดใจ “ฮึ๊ย กลับก็ได้ค่ะ แล้วพี่ชายรีบกลับบ้านนะคะ ฟีบี้เป็นห่วง”
ภุชคินทร์ไม่ตอบ แถมทำหน้ายักษ์ใส่ เฟื่องวลีรีบเดินออกไป ไพศิษฐ์ปรารภตั้งข้อสังเกตกับภุชคินทร์อย่างทึ่ง
“ฝีมือคนร้ายไม่ธรรมดา มันสามารถจัดการกับเหยื่อได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ไม่มีพลาด แล้วก็ไม่มีใครโดนลูกหลงแม้แต่คนเดียว”
“แสดงว่าคนร้ายถูกฝึกอย่างดี เพื่อให้มาฆ่าคน” ภุชคินทร์ออกความเห็น
“ใช่! ระเบิดควันที่มันใช้ ก็น่าจะเป็นระเบิดที่ทำขึ้นเฉพาะกลุ่ม นายอยู่ที่นี่ตอนเกิดเหตุ พอจะเห็นใครน่าสงสัยหรือเปล่าวะชาย”
“ไม่...มีแต่ที่ฉันสงสัยเอง”
ไพศิษฐ์ฉงน “อะไร”
ภุชคินทร์อธิบาย “ตอนเกิดเหตุ เจ้าอุรคากับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ที่นี่ แต่แปลกมาก ทันทีที่เกิดเหตุเจ้าอุรคากับผู้ชายคนนั้นก็หายไปไหนก็ไม่รู้”
ไพศิษฐ์มองภุชคินทร์ท่าทีแปลกใจ และสนใจข้อมูลนี้มาก
วันต่อมาที่โต๊ะนั่งเล่นในสนามหญ้าของวังนาเคนทร์ ภุชคินทร์แกว่งผ้าพันคอของเจ้าอุรคาเล่นไปมา ไพศิษฐ์มองผ้าพันคอแล้วถามภุชคินทร์กิริยาคาใจมาก
“นายกำลังจะบอกว่า นายสงสัย จู่ๆ เจ้าอุรคาหายไปได้อย่างไร”
“ใช่! เหมือนตอนที่เกิดเรื่องรถชน ฉันไปที่โรงพยาบาล แต่เจาหน้าที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นซัก
คน ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนพาเจ้าอุรคาไปส่งโรงพยาบาลเอง”
ไพศิษฐ์นิ่งคิด “มันก็แปลกอยู่เหมือนกัน เพราะในสถานที่เกิดเหตุนอกจากเสี่ยปิงที่ตาย คนบาดเจ็บมีเพียงลูกน้องของเสี่ยปิง นอกนั้นก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแล้วเจ้าอุรคาก็หายไปอีก”
สองเกลอมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างสงสัย ระหว่างนั้นนารีวรรณเดินพาพะนอฤดีเข้ามาหา สองสาวหน้าตาตื่น
ภุชคินทร์ถามน้องสาว “มีอะไรจ้ะหนูนา”
“ฤดีบอกว่า....เคยเห็นเสี่ยปิง ที่ถูกฆ่าตายน่ะค่ะ” นารีวรรณบอก
ไพศิษฐ์ซักทันที “คุณฤดีเห็นที่ไหนครับ”
“หน้าคาเฟ่ค่ะ”
พะนอฤดีเล่าเหหตุการณ์ประหลาดตอนเจอเสี่ยปิงที่หน้าคาเฟ่ และเล่าต่อ
“ก่อนตาย เสี่ยปิงเค้าเห็นงูด้วยนะคะ เห็นเหมือนที่ฤดีเคยเห็น แต่น่าแปลกมาก จู่ๆ งูที่ฤดีเห็นก็กลายเป็นผ้าพันคอ” พะนอฤดีมองผ้าในมือภุชคินทร์แล้วบอก “ลายนี้เลยนะคะ”
นารีวรรณสงสัย “พี่ชายมีผ้าพันคอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“ไม่ใช่ของพี่” ภุชคินทร์บอก
“แล้วของใครคะ”
“ของเจ้าอุรคา”
ทุกคนเหลียวมองมาที่ภุชคินทร์เป็นตาเดียว
เวลาเดียวกันนั้นภายในเฮือน ภูจำปาเจ้าอุรคาคุยโทรศัพท์อยู่กับเจ้าประกายคำ
“ค่ะ เจ้า...ขอบคุณมากที่กรุณาโทร.มาบอก ดิฉันไม่ลืมค่ะ งานเปิดร้านของเจ้า ดิฉันจะไปร่วมแสดงความยินดีแน่นอน”
เจ้าอุรคาวางสาย ก่อนหันไปบอกชรายุ
“ชรายุ...ไปหยิบหีบเครื่องประดับของเรามา เราจะเลือกซักชิ้นมอบเป็นของขวัญให้เจ้าประกายคำ”
“ค่ะเจ้า”
ชรายุเดินออกไป สักครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมหีบสมบัติขนาดใหญ่ มีบ่าวช่วยกันแบกเข้ามา เจ้าอุรคาเปิดหีบออก หยิบเครื่องประดับออกมามองทีละชิ้น เครื่องประดับแต่ละชิ้นสะท้อนแสง วูบวาบ ล้อเล่นแสง เจ้าอุรคาหยิบพลอยนาคขึ้นมาเส้นหนึ่ง ยิ้มอยากเยือกเย็น บอกตัวเอง
“ถึงเวลาที่เราจะแสดงตัวให้ท่านรู้แล้ว ภุชเคนทร์”
เจ้าหญิงผู้เลอโฉมมองสร้อยในมือเขม็ง ราวกับมันเป็นของชิ้นสำคัญที่จะทำให้ ภุชคินทร์ จดจำนางได้
ด้านสองหนุ่มยังเดินคุยกันในสนามหญ้าหน้าวัง ภุชคินทร์นิ่ง ไพศิษฐ์ถาม
“นายคงไม่คิดใช่มั้ย ว่าเจ้าอุรคาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่คุณฤดีเจองู รวมทั้งเหตุการณ์ฆ่าเสี่ยปิงด้วย”
ภุชคินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอก
“คิด...แต่ฉันไม่รู้ว่าเจ้าอุรคาเกี่ยวด้วยเพราะอะไร แต่ท่าทีของเจ้าแปลกๆ ทำยังกับมารอสังเกตการณ์อย่างนั้นละ”
“สังเกตการณ์ อะไร?”
ไพศิษฐ์ถามสงสัยเข้าไปใหญ่
ณ ห้วงเวลาหนึ่ง ยมนา บุรุษข้างกายของเจ้าอุรคา เดินนำเสี่ยปิงมาตามทางเดินของนรกที่มืดสลัว วังเวงน่ากลัว
“ที่นี่ที่ไหน? ที่นี่ที่ไหน” เสี่ยปิงถามไม่หยุด
“ทางไปนรก”
ยมนาตอบห้วนสั้น ดวงหน้าของเสี่ยปิงซีดขาว ราวกับจะตายลงไปอีก
ที่บ้านพันเอกนรินทร์ ตอนกลางวัน นาถสุดาวางหนังสือพิมพ์ในมือลง ขณะเอ่ยขึ้น
“น่ากลัวจังเลยนะคะคุณพ่อ ผู้คนสมัยนี้ ฆ่ากันง่าย ราวกับผักกับปลา”
ผู้พันนรินทร์ที่กำลังจัดดอกไม้เตรียมไหว้พระ หันมาตอบนาถสุดา
“สมัยไหนก็น่ากลัวอย่างนี้ละ ถ้าใจของมนุษย์ขาดศีลธรรม”
“นาถโชคดีที่คุณพ่อสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษให้กับนาถตั้งแต่ยังเด็ก ต่อให้นาถโกรธแค้นใครแค่ไหน นาถก็จะไม่มีวันทำร้ายเค้าอย่างนี้ อย่างดีนาถก็แค่อโหสิกรรมเค้าไปเท่านั้นเอง”
“เพราะคนเราคิดได้ไม่เท่ากันไงลูก โลกถึงได้มีเรื่องแปลกๆยุ่งๆเกิดขึ้นทุกวัน” นรินทร์ว่า
“พูดถึงเรื่องแปลกๆ แล้ว พ่อจำเรื่องที่คุณชายเล่าให้ฟังวันก่อนได้มั้ยคะ”
“เรื่องอะไรลูก”
“ก็เรื่องของเจ้าอุรคาไงคะ? ที่คุณชายเล่าให้ฟัง เจ้าขับรถชน แต่แล้วจู่ๆ เจ้าก็หายไป พอไปเช็คที่โรงพยาบาล กลับไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์นั้นเลย”
นรินทร์ยิ้มเหมือนรู้อะไรดี “ในโลกนี้ มีสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกเยอะแยะมากมาย เพราะนั่นคือกฎแห่ง
กรรม ที่รอให้มนุษย์ต้องเผชิญ”
“คุณพ่อพูดเหมือน..พี่ชายต้องชดใช้กรรมอะไรสักอย่าง อย่างนั้นแหละ”
นรินทร์ยิ้มอีก “นาถก็รู้ไม่ใช่เหรอลูก ว่าคนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม แล้วทำไมคุณชายภุชคินทร์จะรอดพ้นจากกฎข้อนี้ด้วยล่ะ”
นรินทร์พูดอย่างคนที่รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม นาถสุดามองหน้าพ่อ ทำหน้านิ่ว ได้แต่พึมพำ
“คุณพ่อพูดเหมือนรู้อะไรอีกแล้ว”
ผู้พันนรินทร์นิ่งไม่ตอบ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
ตกตอนกลางคืน บรรยากาศทั่ววังนาเคนทร์ดูเงียบสงบ ต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภุชคินทร์เดินอยู่คนเดียว ท่าทางเหมือนคนกำลังคิดอะไรอยู่
ตอนที่ตนไปโรงพยาบาล พยาบาลบอกไม่มีเหตุการณ์ที่เจ้าอุรคาเข้ารักษาตัวโรงพยาบาล รวมทั้งเหตุการณ์ที่ร้านอาหาร เจ้าอุรคาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“เป็นไปได้ยังไง”
ภุชคินทร์ขัดใจ และหัวเสีย ที่ไขข้อสงสัยของตัวเองไม่ได้ ทันใดตาสินก็วิ่งหน้าตั้งมาหา
“คุณชายครับคุณชาย”
“มีอะไรตาสิน”
“คุณชายมาดูเองเถอะครับ”
ตาสินบอกแล้วเดินนำไป
ไม่นานต่อมา ตาสินพาภุชคินทร์เดินลิ่วๆ ไปยังรอบๆ วังด้านนอก แล้วชี้มือไปที่พื้น
“คุณชายดูนี่สิครับ”
ภุชคินทร์เห็นเป็นรอยพญานาคเลื้อยไปมา ก่อนที่รอยนั้นจะหายเข้าไปในวัง เหมือนมันเลื้อย
เข้าไปในวังอย่างไรอย่างนั้น
ภุชคินทร์ถามอย่างตื่นเต้นจริงๆ รู้ว่าอะไรเพราะเคยเห็นที่ริมน้ำโขงมาก่อน “รอยอะไร”
ตาสินตอบไม่มั่นใจ “ผมว่ารอยเท้าพญานาคครับ”
ภุชคินทร์ใจเต้นรัว รอยนั้นเหมือนกับรอยที่เจอที่ริมน้ำโขงตอนกลับจากลาวไม่มีผิด
ภุชคินทร์เพ่งตามองไปที่รอยเท้าประหลาดนั้น เหมือนเห็นรอยเท้านั่นเลื้อยเข้ามาเป็นวงกลม มันเลื้อยเข้ามาอย่างเร็วและพุ่งเข้าใส่ดวงตาของภุชคินทร์อย่างจัง ภุชคินทร์ร้องออกมา
“โอ๊ย” ภุชคินทร์เสียหลักล้มลง
“คุณชาย...คุณชายเป็นอะไรไปครับ คุณชาย”
ตาสินร้องอย่างตกใจ ขณะที่ร่างของภุชคินทร์ล้มลงไป ในภาวะอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น ภุชคินทร์ได้
ยินเสียงเรียกเบาๆ
“ตามข้ามา ภุชเคนทร์...ตามข้ามา”
แล้วสติของภุชคินทร์ก็ดับวูบลง ท่ามกลางความตกอกตกใจของตาสิน
ขณะนั้น ภุชคินทร์ตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองเดินอยู่ที่ริมน้ำโขง ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด
“เรามาที่นี่อีกแล้ว”
ราชนิกูลรูปงามตั้งคำถามถามตัวเองอย่างงวยงง เสียงน้ำซัดกระแทกกับโขดหินอย่างรุนแรง ภุชคินทร์หันไปมอง เห็นเจ้าอุรคาในชุดแปลกตา สวยสง่า เดินอยู่เหนือสายน้ำ ภุชคินทร์เพ่งตามอง
“เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคายิ้มดีใจ แต่สงวนทีท่าดูเยือกเย็น
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ครับ”
“ก็บ้านเราอยู่ที่นี่”
“บ้านเจ้า”
“เป็นบ้านท่านเหมือนกั” เจ้าอุรคาตอบ
ภุชคินทร์งงไปใหญ่ “บ้านผม? ไม่นี่...ผมไม่เคยมีบ้านที่นี่”
เจ้าอุรคาตอบโดยไม่มองหน้า น้ำเสียงเศร้า “มีสิ! ท่านแค่ลืมมันไปเท่านั้นเอง แต่ไม่เป็นไร เราจะทำให้ท่าน จดจำทุกสิ่งได้เอง”
เจ้าอุรคามองหน้าภุชคินทร์ไม่วางตา ภุชคินทร์มองตอบท่าทีงง แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะพูดอะไรต่อ ลมก็พัดอย่างแรง ฝนตกลงมาอย่างหนัก ท้องน้ำสั่นสะท้านราวกับกำลังจะถูกบางอย่างแหวกขึ้นมาจากใต้บาดาล
ทันใดนั้นเอง น้ำก็พุ่งขึ้นมา พร้อมๆ กับนาคสองตัวพุ่งตามออกมาด้วย นาคสองตัวหยอกเย้าและเริงเล่นน้ำฝนด้วยกันอย่างชื่นฉ่ำใจ
ภุชคินทร์ตะลึง “พญานาค”
ราชนิกูลรูปงาม มองภาพตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ และแปลกประหลาดใจ ขณะที่เจ้าอุรคามองด้วยความสะเทือนใจ เหมือนจะรู้เหตุการณ์ต่อไปตรงหน้า เมื่อปรากฏร่างของพญาครุฑบินโฉบลงมาจากท้องฟ้าทะมึน ครุฑตนนั้นตรงไปยังนาคตัวผู้ก่อนที่จะใช้ปากจิกเข้าที่ลำคอของนาคชะตาขาด ภายในพริบตาเดียว เลือดก็แดงฉานทั่วท้องน้ำ
สีหน้าของภุชคินทร์ แสดงออกถึงความเจ็บปวดราวกับเป็นนาคตัวนั้น ในขณะที่ครุฑตัวนั้น กลายร่างเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ แต่เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ชายหนุ่มผู้นั้น คว้าเอานาคอีกตัวด้วยมือเปล่า เดินห่างออกไป ห่างออกไป เกินกว่าที่จะตามได้ทัน
ภุชคินทร์จ้องมองภาพตรงหน้าอย่าตื่นตะลึง ชายหนุ่มละล่ำละลักหันกลับมาถามเจ้าอุรคา
“นี่มันอะไรกันเจ้า”
ภุชคินทร์รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง เมื่อเจ้าอุรคาไม่ได้อยู่ข้างๆ เขาแล้ว เธอหายไปอีกแล้ว
ค่ำคืนเดียวกันนั้นอำนาจขับรถมาตามทาง โดยมีสุบรรณนั่งอยู่ด้านหลัง สีหน้าของสุบรรณเคร่งเครียด
อำนาจมองผ่านกระจกขณะถามเจ้านาย “เรื่องเสี่ยปิง มีปัญหาหรือครับนาย”
“เปล่านี่”
อำนาจแย้งท่าทีเกรงใจ “ผมนึกว่ามี ผมเห็นนายดูเครียดๆ”
“คนอย่างฉัน ทำอะไรไม่เคยทิ้งหลักฐาน อีกอย่าง สุรินทร์เป็นคนเก่ง ยิ่งถ้าทำตามแผนที่ฉันบอก ตำรวจไม่มีทางตามกลิ่นเจออยู่แล้ว”
“แล้วนายมีปัญหาอะไรครับ” อำนาจถามด้วยความจริงใจ “ขอโทษ...ผมเป็นห่วง”
สุบรรณนิ่งไปนิดก่อนตัดสินใจบอก “ฉันอยากเจอเจ้าอุรคา แกพาฉันไปหาเจ้าอุรคาได้มั้ย”
“ผมจะพยายาม”
อำนาจรับคำ ทั้งที่ยังไม่รู้เลย ว่าเจ้าอุรคาอยู่ที่แห่งหนใด
ระหว่างนั้นเหมือนมีใครคนหนึ่งจ้องมองมาที่สุบรรณกับอำนาจตลอดเวลา
เวลาเดียวกันนั้นที่เฮือน ณ ภูจำปา ท่ามกลางความมืดนั้นชรายุกำลังเก็บดึงดอกจำปาอย่างช้าๆ ราวกับดอกจำปาเป็นอวัยวะของใครบางคน ดวงตาของชรายุโกรธเกรี้ยว แค้นคั่งแทนเจ้านายหญิง
“พวกเจ้าได้มาแน่”
มือของชรายุเด็ดดอกจำปาอย่างแรง จนดอกจำปาร่วงหล่นลงบนพื้น ราวกับความรู้สึกผิดชอบ
ชั่วดีในใจ ถูกทิ้งลง ด้วยความแค้น
ด้านสุบรรณกับอำนาจยังนั่งอยู่ในรถ อำนาจคุยโทรศัพท์ ด้วยอุปกรณ์เสริม และกำลังหาพิกัดที่อยู่เจ้าอุรคา
สุบรรณถามอย่างหงุดหงิด “ยังไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าอุรคาอยู่ที่ไหน”
“ยังครับ แต่ผมคิดว่าอีกไม่นาน คงได้ข้อมูล”
สุบรรณสั่งอย่างเอาแต่ใจ “ยังไงต้องได้ภายในคืนนี้ เพราะฉันจะไปหาเจ้าอุรคาคืนนี้”
“ครับ”
อำนาจรับคำหนักแน่น แต่สีหน้าหนักใจเต็มทน สุบรรณหงุดหงิดอยู่ แต่จู่ๆ เสียงมือถือดังขึ้น สุบรรณกดรับโดยไม่มองเบอร์ “ว่าไง? เจ้าอุรคา”
สีหน้าของสุบรรณทั้งประหลาดใจระคนดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าอุรคายืนถือโทรศัพท์รุ่นโบราณอยู่ในเฮือน สีหน้ายิ้มพอใจ ก่อนที่ใบหน้างดงามนั้นจะแปรเปลี่ยน
เป็นใบหน้าของชรายุที่ยิ้มอย่างพอใจไม่แพ้กัน เจ้าอุรคายืนอยู่ด้านหลัง บอกด้วยรอยยิ้มพราย
“ทำดีมาก ชรายุ”
ชรายุหันมายิ้มให้เจ้าชีวิต ด้วยสายตาแห่งความรัก เทิดทูน และจงรักภักดียิ่ง
ด้านภุชคินทร์ในสภาพเลือดท่วมร่างวิ่งตามท้องน้ำตะโกนหาเจ้าอุรคา
“เจ้าอุรคาคุณอยู่ไหน เจ้าอุรคา”
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ รอบๆ บริเวณมีแต่ความมืดมิด และดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงน่ากลัว ภุชคินทร์หายใจหอบเหนื่อยก่อนจะนิ่วหน้าเหมือนรู้สึกเจ็บปวด ชายหนุ่มก้มลงมองตัวเอง และแล้วภุชคินทร์ก็ยิ่งตระหนกมากกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างของตัวเองแดงฉานไปด้วยเลือด
“โอ๊ย”
ภุชคินทร์ร้องออกมาสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด ทรุดตัวลง น้ำซัดเข้ามาต้องร่าง เห็นเลือดแดง
ฉานไปทั่วลำน้ำโขง ก่อนที่สติจะดับวูบลงนั้นภุชคินทร์พูดออกมาได้เพียงว่า
“เจ้าอุรคา คุณอยู่ที่ไหน...เจ้าอุรคา”
เวลานั้นรถยนต์คันหรูของสุบรรณวิ่งเข้ามาภายในอาณาบริเวณของเฮือน ภูจำปา สุบรรณและอำนาจกวาดสายตามองทิวทัศน์โดยรอบอย่างแปลกประหลาดใจ รถวิ่งมาจอดนิ่งที่หน้าเฮือนหลักหลังใหญ่
ชรายุเดินนำออกมารับ ตามด้วยเจ้าอุรคา ก่อนที่ชรายุจะเบี่ยงกายหลบให้เจ้าอุรคาก้าวออกมา
ทันทีที่เห็นหน้าเจ้าอุรคา สุบรรณก็ร้องออกมาอย่างยินดี
“ถ้าบอกว่าฝัน ผมก็จะเชื่อ เพราะผมไม่เคยเห็นเฮือนภูจำปาของเจ้ามาก่อนเลย ทั้งๆ ที่ทั่วทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ ผมเดินผ่านมาหมด”
เจ้าอุรคายิ้มเยือกเย็น พูดทีเล่นทีจริง “คุณสุบรรณอาจจะฝันก็ได้ค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมยืนสบตาเจ้าอยู่ และดวงตาของเจ้าก็ช่างสดใส มีชีวิตชีวา จนทำให้หัวใจผมเต้นแรง”
เจ้าอุรคาหัวเราะพอใจ “คุณสุบรรณมีวิธีพูดให้คนฟังรู้สึกดีเสมอนะคะ ขอต้อนรับสู่เฮือนภูจำปาค่ะ คนที่จะมาที่นี่ได้ คือคนที่ฉันอนุญาตให้ได้เห็นเท่านั้น”
สุบรรณมองอย่างฉงน “คนที่เจ้าอนุญาตให้เห็นเท่านั้น”
เจ้าอุรคากลบเกลื่อน “แหมก็ฉันเป็นเจ้าของนี่คะ ฉันก็ต้องเลือกแขกของฉันสิคะว่าฉันจะให้ใครเข้ามาสถานที่ของฉันจะเข้าด้านใน หรือเดินเล่นด้านนอกดีคะ”
สุบรรณบอกอย่างจริงจัง “ที่ไหนก็ได้ครับ ที่มีเจ้า”
ชรายุมองมาอย่างไม่พอใจ ส่วนเจ้าอุรคามองด้วยแววตาที่สะท้อนใจกึ่งสมเพช
“คุณสุบรรณเป็นคนที่ชัดเจน ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองเสมอ และก็ไม่เคยสนใจ ว่าคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไร”
“ผมไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอย่างนั้นสักหน่อย”
สุบรรณหน้าเจื่อนไป เจ้าอุรคาเชื้อเชิญ
“เชิญข้างในดีกว่าค่ะ”
เจ้าอุรคาเดินนำสุบรรณเข้าไปด้านใน อำนาจจะเดินตาม แต่ชรายุเข้ามาขวาง
“เชิญด้านนอกค่ะ”
อำนาจมองชรายุอย่างไม่พอใจ จะเดินตามเข้าไปข้างในให้ได้ ชรายุมองด้วยแววตาทรงอำนาจ บอกด้วยเสียงเฉียบขาด
“บอกว่าเชิญด้านนอก”
ดวงตาของชรายุมองจิกวาววับ น่ากลัว จนอำนาจจำต้องเดินถอยห่างออกไปด้วยความไม่พอใจ
เจ้าอุรคาเดินนำสุบรรณเข้ามาด้านในเฮือน สุบรรณเดินตามสายตาสอดส่องสำรวจเห็นของตกแต่งบ้านออกแนวโบราณ เข้มขลังจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของแต่งบ้านของผู้หญิง
โดยเฉพาะรูปปั้นครุฑที่ถูกพญานาคกัดคอ ดวงตาของครุฑและพญานาคราวกับมีชีวิต สุบรรณมองอย่างทึ่ง อึ้ง ขณะที่เจ้าอุรคายิ้มเย็น ขณะถาม
“สวยใช่มั้ยคะ”
“แปลกใจมากกว่าครับไม่คิดว่า เจ้าจะชอบสะสมของโบราณแบบนี้”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจสะสมหรอกค่ะ มันมีของมันเอง” เจ้าอุรคาเน้าคำตอนท้าย
สุบรรณทวนคำงงๆ “มีของมันเอง”
“ก็มันเป็นของจริง สิ่งมีชีวิตจริงๆ ที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้นะสิคะ...” เสียงเจ้าอุรคาเข้ม เหมือนกำลังเคียดแค้นหนักหนา “ครุฑถูกพญานาคกัดตาย และ....พญานาคที่ถูกครุฑฆ่าจนตาย”
เจ้าอุรคาปรายตามองไปยังอีกมุม สุบรรณหันไปมองตาม เห็นครุฑตัวเดิม จิกกรงเล็บ ลงบนเนื้อพญานาคอีกตัว โฉบนาคตัวนั้นอยู่ใต้อุ้งเท้าครุฑ สุบรรณส่ายหน้าเหมือนหายใจติดขัด ความรู้สึกก้ำกึ่ง เหมือนเขาจะเกี่ยวพันเหตุการณ์ตรงหน้า เจ้าอุรคาหันมาถาม
“ทำไมคะ”
“เจ้าพูดเรื่องตายเสียจนผม...นึกกลัว”
เจ้าอุรคาเสียงเครือๆ แต่เข้มแข็ง “ความจริงน่ากลัวยิ่งกว่านี้ค่ะ เพราะความตายได้พลัดพรากทุกอย่างไปจากคนที่ยังอยู่ โดยเฉพาะ จิตวิญญาณ...อยู่ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น”
สุบรรณมองหน้าเจ้าอุรคา แล้วทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจว่าเจ้าอุรคาพูดเรื่องอะไร เจ้าอุรคาพูดเป็นเชิงถาม
“คุณสุบรรณอยากลองมั้ยคะ”
“อะไรครับ”
“อยู่ แต่เหมือนตายทั้งเป็น ถึงคุณสุบรรณจะตอบว่าไม่ แต่ดิฉันจะให้คุณได้ลิ้มลอง รสชาติของการอยู่” น้ำเสียงของเจ้าอุรคาสั่นเครือขณะพูดประโยคต่อมา “แต่เหมือนตายทั้งเป็น”
เจ้าอุรคาเดินเข้ามาใกล้ๆ สุบรรณ ดวงตาดูหยาดเยิ้มเปี่ยมเสน่ห์อันเร่าร้อน ริมฝีปากอิ่มงามเชิญชวน กลิ่นหอมจางๆ คล้ายกลิ่นกำยานผสมกับกลิ่นของดอกจำปา มันหอมกุกรุ่นจนไฟในกายของสุบรรณลุกโชน เจ้าอุรคาเอียงหน้าเข้ามาหา ริมฝีปากสวยอยู่ห่างจากใบหน้าสุบรรณไม่ถึงคืบ
สุบรรณมองภาพความเย้ายวนตรงหน้าราวกับตกอยู่ในมนต์สะกด
ด้านอำนาจเดินรอบๆ บริเวณเฮือนภูจำปาแล้วทำท่าหวาดๆ
“บ้านคนหรือว่าป่ากันแน่วะ น่ากลัวฉิบ”
ชรายุเดินมาทางด้านหลังอย่างเงียบกริบ เมื่อได้ยินอำนาจว่า ชรายุก็ยิ้มในสีหน้า แล้วจู่ๆ ร่างของชรายุกลายเป็นงูขนาดใหญ่ งูตัวนั้นค่อยๆ เลื้อยตรงดิ่งไปยังร่างของอำนาจ เป็นจังหวะเดียวกับที่อำนาจหันหน้ามา แล้วร้องอย่างตกใจ
“อ๊ากงู! ช่วยด้วยๆๆๆๆ”
งูตัวนั้นไม่ตื่นหนี แต่กลับมองจ้องหน้าอำนาจอย่างไม่กลัวเกรง
มณีสวาท ตอนที่ 2 (ต่อ)
ส่วนที่ด้านในเฮือนภูจำปา ขณะที่สุบรรณกำลังจรดริมฝีปากลงบนฝีปากของเจ้าอุรคาเสียงของอำนาจดังลั่นแทรกเข้ามา
“งู! ช่วยด้วย งูๆๆๆๆๆ”
สุบรรณสะดุ้งตื่น เพราะเสียงร้องตกใจไม่ใช่เพราะงู สุบรรณมองเจ้าอุรคาอย่างเสียดาย
“ขอโทษนะครับ ที่ผมเกือบจะทำรุ่มร่ามกับเจ้า”
เจ้าอุรคายิ้มหวานหว่านเสน่ห์ “ถ้าดิฉันจะบอกว่ายินดีล่ะคะ”
สุบรรณมองเจ้าอุรคาอย่างคาดไม่ถึง สายตาของเจ้าอุรคาเว้าวอนเชิญชวนอยู่ในทีเหมือนเดิม สุบรรณอดใจ ไม่ไหว จะจรดริมฝีปากลงไป แต่เสียงร้องของอำนาจดังลั่นมาทำลายบรรยากาศอีกหน
“อ๊าก...งู”
“ขอโทษครับเจ้า”
สุบรรณเดินผละออกไป หัวเสียอำนาจสุดขีด เจ้าอุรคาก็มองตามอย่างไม่พอใจ
สุบรรณเดินออกไปนอกเฮือน ตามติดด้วยเจ้าอุรคา อำนาจร้องลั่นไม่เป็นภาษา สุบรรณดุเสียงขุ่น
“กะอีแค่งู ร้องอะไรกันนักหนา”
“ไม่ร้องได้ยังไงครับท่าน...มันเป็นงู”
อำนาจชี้ไปยังพุ่มไม้หนาทึบตรงหน้า แล้วสุบรรณก็แทบผงะ ตื่นตะลึงเมื่อเห็นงูยักษ์ตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่
“งูยักษ์”
“ดิฉันเลี้ยงไว้เองค่ะ เก่ง เฉลียวฉลาด เคยฆ่าคนตายด้วยนะคะ” เจ้าอุรคาบอกท่าทีแน่วนิ่ง
อำนาจอึ้ง “ฆ่าคนตาย”
เจ้าอุรคาย้อนพูดเป็นนัย “ทำไมต้องตกใจด้วยคะ...ฆ่าคนตาย ใช่ว่า คุณอำนาจไม่เคย”
คราวนี้ทั้งอำนาจและสุบรรณหันมามองหน้ากัน เสียวสันหลังวาบ เจ้าอุรคาพูดเหมือนรู้อะไร?
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม หันมาเปลี่ยนเรื่องถามสุบรรณ “จะเข้าไปคุยกันต่อมั้ยคะ”
“ดึกแล้ว..ผมไม่รบกวนเจ้าดีกว่า” สุบรรณเกรงใจ
“ดิฉันยินดีค่ะ”
สุบรรณมองหน้าเจ้าอุรคาอีกครั้ง จ้องลงไปในแววตา คำพูดเหมือนเชื้อเชิญเขาให้มาทุกวัน เจ้าอุรคาหัวเราะนิดๆ
“ดิฉันหมายถึง ไม่ว่าคุณสุบรรณจะทำอะไร จะคิดอะไร ดิฉันก็ยินดี มิได้หมายถึงอย่างอื่นค่ะ” เจ้าอุรคาบอกเหมือนสั่งงูยักษ์ “ส่งแขกไป”
ราวกับว่าฟังรู้เรื่อง งูยักษ์ตัวนั้น เคลื่อนตัวใกล้เข้ามา อำนาจถอยหลังกรูดท่าทีกลัวๆ แต่สุบรรณกลับไม่กลัวสบตางูนิ่ง ก่อนจะรีบบอก
“ไม่เป็นไรครับ...ผมกลับเองได้ แล้วผมจะมาหาเจ้าใหม่ หวังว่า...เจ้าจะต้อนรับผมด้วยความรู้สึกพิเศษอย่างคืนนี้อีก”
“ยินดีค่ะ”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มอีกแล้ว มันเป็นรอยยิ้มที่สุบรรณแปลความหมายไม่ออก เพราะรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความพอใจ เต็มใจ ปนกับความสาแก่ใจ มันหลากหลายความรู้สึกปนเปราวกับมีปริศนาซ่อนเอาไว้ สุบรรณบอกอำนาจ
“ไปอำนาจ!”
สุบรรณเดินนำอำนาจออกไป อำนาจเดินตามด้วยท่าทีแหยงๆ กลัวงูสุดขีด
ลับร่างสองคน งูยักษ์ตัวนั้น ก็กลายร่างเป็นชรายุ เจ้าอุรคาพูดเยือกเย็น
“เจ้าทำผิดจังหวะไปหน่อยชรายุ ไม่เช่นนั้น คืนนี้ ...พญาครุฑ คงได้ลิ้มลอง ดำฤษณา (ดำ-หริด-สะ-หนา) รสชาติความอยากเสน่หา ที่จะทำให้เขาตกอยู่ใน ความทุกข์ทรมานของตัณหาไปจนตาย”
น้ำเสียงของเจ้าอุรคาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
เหตุการณ์ที่วังนาเคนทร์ ภุชคินทร์นอนอยู่บนเตียง เอาแต่ร้องโอดโอยทุรนทุรายเหมือนเจ็บปวดทรมานเหลือแสน
“เจ็บ...เจ็บ”
หม่อมภาณีกับนารีวรรณมองภุชคินทร์อย่างเป็นกังวล หม่อมภาณีหันบอกหลังจากดูอาการบุตรชายอยู่สักพัก
“ท่าจะไม่ดีแล้ว รีบตามหมอมาเร็วหนูนา”
“ค่ะ”
นารีวรรณจะออกไป ขณะที่หม่อมภาณีเอื้อมมือไปจับเนื้อตัวเรียกภุชคินทร์
“ชาย ชาย”
ภุชคินทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวอาการงง “คุณแม่”
นารีวรรณหันมา “พี่ชาย” รีบเดินมาหา “พี่ชายรู้สึกตัวแล้ว”
หม่อมภาณีจับตามเนื้อตามตัวอย่างห่วงใย “เป็นอะไร เจ็บตรงไหนลูก”
ภุชคินทร์อึ้ง “เจ็บ”
นารีวรรณรีบบอก “ก็พี่ชายเอาแต่ร้องว่าเจ็บๆ นะสิคะ”
“เจ็บ” ภุชคินทร์ทวนคำเดิม นิ่งคิด “พี่แค่ฝันไป...” ชายหนุ่มนึกได้ ละล่ำละลักบอกมารดาและน้องสาว “แต่...แต่ผมเห็นรอยเท้าพญานาคที่นอกวัง”
พูดเท่านั้นภุชคินทร์ลุกพรวดขึ้นจากเตียง แต่หม่อมภาณีและหนูนา ยึดตัวเอาไว้
“จะลุกทำไม ลูกยิ่งไม่สบายอยู่”
“ผมจะออกไปดูรอยเท้าพญานาค” ภุชคินทร์ย้ำคำ
นารีวรรณงวยงง “รอยเท้าพญานาคมีที่ไหนคะ”
“จริงด้วย...ตาสินก็พูดเพ้อเจ้อไปเท่านั้นแหละ” หม่อมภาณีว่า
ภุชคินทร์ยืนกราน “แต่ผมมั่นใจว่ามีจริงๆ พญานาคมาที่วังของเรา”
หม่อมภาณีกับนารีวรรณมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ที่ภุชคินทร์พูดเหมือนจะเชื่อเป็นตุเป็นตะ
ขณะเดียวกันนั้นที่กลางลำน้ำโขงยามค่ำคืนที่สุดแสนจะวิเวกวังเวง เสียงน้ำกระแทกโขดหินโครมครืน และยินเสียงเจ้าอุรคาแว่วมาตามสายลม
“เราใกล้กันเข้ามาทุกทีแล้วภุชเคนทร์...เราเข้าใกล้ท่านทุกทีแล้ว”
เสียงนั้นดังแผ่วๆ เหมือนแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล
พระอาทิตย์ยามเช้าของวันใหม่ ฉายแสงอ่อนๆ รอบๆ อาณาบริเวณของวังนาเคนทร์ ซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มามุงดูรอยประหลาด และทัพนักข่าวที่มาทำข่าวแทบจะทุกสำนัก
ทุกคนเห็นรอยเท้า ที่ว่ากันว่าเป็นรอยเท้าพญานาคเลื้อยเหยียบย่ำเต็มไปหมด และต่างก็เพ่งมองอย่างสนอกสนใจ หนึ่งในนั้นมีเฟื่องวลีและเฟื่องฟ้ารวมอยู่ด้วย
“อี้! น่าเกลียดน่ากลัวจริงๆ เลย” เฟื่องวลีทำหน้าแหยงๆ
ผู้กองไพศิษฐ์ทื่ยืนอยู่ข้างๆ รวมกับคนอื่น โดยที่เฟื่องวลีไม่ทันเห็น เอ่ยขึ้นในอารมณ์เหน็บแนม
“ครับน่ากลัวจริงๆ นายชายคงจะกลัวมาก ที่ตื่นขึ้นมาก็เห็นคุณฟีบี้ โผล่ถึงประตูรั้วบ้านขนาดนี้”
เฟื่องวลีชักสีหน้า ไม่พอใจ “ผู้กองไพศิษฐ์”
ไพศิษฐ์หัวเราะขำขณะพูดเหน็บต่อ “หรือว่าไม่จริงครับ คุณฟีบี้ลองนึกสภาพว่าเป็นตัวเองสิครับ จู่ๆ แขกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่มาที่บ้านแต่เช้า จะรู้สึกยังไง”
เฟื่องฟ้าดีใจเพราะรู้ดีว่าคุณชายภุชคินทร์ยินดีต้อนรับลูกสาวตนตลอดเวลา แต่รู้สึกไม่พอใจ ที่ภุชคินทร์มีเพื่อนซึ่งไร้ความเป็นสุภาพบุรุษอย่างผู้กองไพศิษฐ์ ที่เอาแต่พูดจาเหน็บแนมผู้หญิงอยู่ได้
“ไป..ฟีบี้ เข้าวังกันดีกว่าลูก ไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระ รวมทั้ง” ปรายตามองไพศิษฐ์เหยียดๆ “คนไร้สาระแบบนี้หรอก”
สองแม่ลูกเดินเชิดเข้าไปในตึกใหญ่ ไพศิษฐ์มองตามแล้วหัวเราะขันตัวเอง
“หาเรื่องโดนแต่เช้าเลยเรา”
ไพศิษฐ์หันหน้ากลับมา แต่แล้วเสียงหัวเราะก็หายไปในลำคอ เมื่อเห็นเจ้าอุรคายืนอยู่อีกมุมทำตัวเสมือนเป็นไทยมุงคนหนึ่ง และไพศิษฐ์ดูไม่ผิด เมื่อสายตาของเจ้าอุรคามองตามเฟื่องวลีอย่างไม่พอใจ ไพศิษฐ์พึมพำเบาๆ อย่างประหลาดใจ
“เจ้าอุรคา”
น่าแปลกที่ไพศิษฐ์พึมพำกับตัวเอง แต่เจ้าอุรคากลับหันมามองหน้าตาเฉยเหมือนได้ยิน ดวงตาของเจ้าอุรคาทำเอาไพศิษฐ์ทำตัวไม่ถูก เหมือนเด็กทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้
ไพศิษฐ์ยิ้มให้ แล้วแหวกผู้คนเดินไปมา แต่พอไปถึงตรงจุดที่เจ้าอุรคายืนอยู่ ไพศิษฐ์ก็ถามขึ้นโดยไม่ทันมอง
“เจ้ามาดูรอยเท้าพญานาคเหมือนกันหรือครับ”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมามองงงๆ และเธอผู้นั้นก็ไม่ใช่เจ้าอุรคา ไพศิษฐ์งง ขณะที่เธอผู้นั้นบอกไพศิษฐ์กลับมา
“อยากรู้ งวดนี้ออกอะไร”
ไพศิษฐ์ยืนเซ่อไปในทันที ผู้หญิงชาวบ้านตรงหน้าไม่ได้มีอะไรเหมือนกับเจ้าอุรคาแม้แต่น้อย
“เจ้าอุรคาหายไปไหน”
ไพศิษฐ์งวยงงสงสัย ได้แต่ถามตัวเองขณะสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีแม้เงาของเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ระหว่างนั้นภุชคินทร์เดินฝ่าคนเข้ามาหา
“มองอะไรนายศิษฐ์”
“ตะกี้ฉันเห็นเจ้าอุรคาอยู่ที่นี่”
ภุชคินทร์ตกตะลึง กวาดตามองหารวดเร็ว ไพศิษย์พูดต่อ
“แต่ตอนนี้เธอหายไปแล้ว”
ภุชคินทร์ทำสีหน้างวยงงหนัก ประหลาดใจไม่แพ้ไพศิษฐ์
ไม่นานต่อมาสองเกลอเดินคุยกันมาตามทางในวัง ไพศิษฐ์เอ่ยขึ้น
“ฉันไม่ได้ตาฝาด ฉันเห็นเจ้าอุรคามามุงดูรอยเท้าพญานาคเหมือนกัน แต่จู่ๆ เธอก็หายไปไหนไม่รู้”
“จะหายไปเร็วขนาดนั้นได้ยังไง” ภุชคินทร์คาใจ
“ถามฉัน แล้วฉันจะตอบยังไง? ก็นายบอกเองไม่ใช่หรือ วันที่เสี่ยปิงถูกฆ่าเจ้าอุรคาก็อยู่ที่นั่น แต่แล้วจู่ๆก็หายไปแบบไร้ร่องรอย”
ภุชคินทร์อึ้งไป นึกได้ ไพศิษฐ์ว่าต่อ
“ถ้าจะเจอดี เราสองคนก็เจอดีเหมือนกันล่ะวะเพื่อน”
ภุชคินทร์ฉงน “เจอดีอะไร เจ้าอุรคาไม่ใช่ผี”
ไพศิษฐ์ยั่วยิ้ม “งั้นเป็นอะไร คน หรือ นางฟ้า หรือครึ่งคนครึ่งนางฟ้า เอาเป็นว่าฉันกับนายเราต่างก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเห็นเจ้าอุรคาหายตัวไปเหมือนกัน”
ภุชคินทร์นิ่งงัน พูดไม่ออก เพราะสิ่งที่ไพศิษฐ์พูดคือความจริง ไพศิษฐ์ว่าต่อ
“ฉันชักสงสัยแล้วสิ”
ภุชคินทร์สงสัย “อะไร”
“ที่เจ้าอุรคาปรากฏตัวเพราะอะไร คดีฆาตกรรมหรือนาย”
ภุชคินทร์งงหนัก “ฉัน”
ไพศิษฐ์ตั้งข้อสังเกต “ก็ตอนแรก...ฉันก็สงสัยตัวเจ้าอุรคาว่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของเสี่ยปิง แต่ตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจ ฉันว่าเจ้าอุรคาจงใจปรากฏตัวเพราะนาย ไม่งั้น...” ผู้กองหนุ่มลดเสียงพูดเบาลง “พูดก็พูดเถอะเจ้าจะถ่อสังขารมาดูรอยเท้าพญานาคถึงนี่ทำไม”
ภุชคินทร์หน้านิ่ว ไม่รู้จะตอบเพื่อนยังไง จู่ๆ เสียงมือถือของไพศิษฐ์ดังขึ้น ไพศิษฐ์กดรับสาย
“ว่าไง?” ไพศิษฐ์นิ่งฟัง ก่อนจะวางสายหันมาบอกภุชคินทร์หน้าเคร่ง
“สายของฉันรายงานว่า เจอเบาะแสเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมเสี่ยปิงแล้วว่ะ”
เวลาเดียวกันภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ สุบรรณนั่งอยู่ในห้องโถงถามอำนาจหน้าเครียด
“สุรินทร์ไปกบดานเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ครับนาย”
“งั้นเรื่องคดีเสี่ยปิงก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง”
อำนาจดูจะเป็นกังวลนิดๆ “แต่สายทางตำรวจก็ใช่ย่อยนะครับ”
สุบรรณนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง “งั้นก็ซ้อนแผนไปอีกทีสิ...เอาให้ตำรวจหัวหมุนไปเลย”
“งั้น...ผมจะตามสุรินทร์กลับมา”
“ดี! ฉันเชื่อมือสุรินทร์ว่าจะไม่ทำให้แผนแตก บอกมัน จัดหนัก ให้ตำรวจทำงานเล่นๆ อีกซักคดี งานเปิดร้านเพชรของเจ้าประกายคำก็ได้...ฉันเชื่อ ศัตรูของฉันคงพาผู้หญิงไปเดินเล่นเพ่นพ่านอยู่ในงานนั้นซักคนสองคน”
สุบรรณพูดอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะผุดลุกเดินไป อำนาจจะเดินตามไป แต่สุบรรณยกมือห้าม
“ไม่ต้อง! ไปสั่งงานสุรินทร์เถอะ ฉันจะไปหาเจ้าอุรคา”
อำนาจย้อนถามท่าทีแหยงๆ “นายไม่กลัว”
“งูน่ะหรือ?” สุบรรณส่ายหน้า “จะบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก เพียงแต่ความรู้สึกของฉันตอนนี้ เหมือนเด็กหนุ่มเพิ่งตกหลุมรักเลยว่ะ ฉันเฝ้าแต่คิดถึงเจ้าอุรคา คิดถึงจนกลัวจะมีคนมาแย่งเธอไป”
สุบรรณพูดเบาๆ ทั้งสีหน้าแววตา เต็มไปดวยความหวาดหวั่น
เช้าวันนี้ภายในห้องโถงที่วังนาเคนทร์ เฟื่องฟ้าบอกหม่อมภาณีอย่างไม่พอใจนัก
“หม่อมควรจะเตือนคุณชายหน่อยนะคะ ว่าไม่ควรไปคบหาสมาคมกับผู้กองไพศิษฐ์”
“จริงด้วยค่ะ ฟีบี้เป็นผู้หญิง เป็นกุลสตรี ผู้กองพูดอย่างนี้กับฟีบี้ได้ยังไง” เฟื่องวลีเสริม
“ผู้กองเค้าก็แค่อยากจะเตือนมั้ง เพราะกุลสตรีไม่ควรเช้าถึง เย็นถึง บ้านผู้ชาย โดยที่เขาไม่ได้เชิญนะจ๊ะ”
ถูกเหน็บแบบผู้ดี สองแม่ลูกเลยหน้าจ๋อย หม่อมภาณีหัวเราะขำๆ แล้วว่าต่อ ขณะมองไปทางเฟื่องฟ้า
“ที่ฉันเตือน เพราะหวังดี ฟีบี้เองก็เป็นลูกผู้หญิง ถึงเราจะสนิทกัน แต่ฟีบี้กับตาชาย ก็ไม่ใช่ญาติกันอยู่ดี”
เจอดอกนี้เข้าไป สองแม่ลูกยิ่งจ๋อยไปกันใหญ่ เฟื่องฟ้าบอกเสียงอ่อยๆ
“ขอบคุณหม่อมมากค่ะที่เตือน เอ่อ...แล้วตกลง หม่อมจะไปงานของเจ้าประกายคำหรือเปล่าคะ”
“เจ้าอุตส่าห์เชิญ ก็คงต้องไปให้เกียรติเจ้าหน่อย”
“ฟีบี้ไปด้วยนะคะ”
ภาณีมองมาทางเฟื่องฟ้า “เจ้าเชิญคุณฟ้าด้วยหรือ?
“เปล่าค่ะ...แต่ฟ้ากับฟีบี้อยากได้เครื่องประดับซักชิ้น เลยจะขอตามหม่อมไปงานด้วย” เฟื่องฟ้าว่า
“งั้นก็ตามใจ”
หม่อมภาณียิ้มเพลียๆ แกมระอา นารีวรรณเดินเข้ามาหา
“อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะคุณแม่”
“ตามตาชายมาเลยลูก” หม่อมภาณีบอกบุตรี
“พี่ชายออกไปกับผู้กองไพศิษฐ์แล้วค่ะ” นารีวรรณบอก
“ไปไหน” ทั้งสามคนประสานเสียงถาม
หม่อมภาณีหันไปมองเฟื่องฟ้าและเฟื่องวลีด้วยสายตาทำนอง เกี่ยวอะไรด้วย นารีวรรณยิ้มขำ
สวนอาหารแห่งนั้น บรรยากาศที่ร่มรื่น ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยสวนน้ำ ไพศิษฐ์คุยอยู่กับลูกน้องสายตำรวจก่อนโบกมือไล่ พอลูกน้องเดินออกไป ไพศิษฐ์ก็เดินมาพูดกับภุชคินทร์พึมพำ
“สายของฉันบอกว่า คนร้ายที่ฆ่าเสี่ยปิงน่าจะเป็นกลุ่มนินจัตสุ”
ภุชคินทร์รู้จัก “พวกนินจาที่ล่องหนหายตัวได้”
“ใช่! พวกมันล่องหนหายตัวได้” ไพศิษฐ์ยิ้มๆ เย้าเล่น ไม่จริงจัง “เหมือนเจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ไม่ขำ แววตาบอกชัดว่าเครียด จึงเสมองไปทางอื่น พลันดวงตาก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นชายหนุ่ม หญิงสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา แม้จะอยู่ในระยะไกล ภุชคินทร์ก็จำได้
“ท่านสุบรรณ เจ้าอุรคา”
ไพศิษฐ์มองตามภุชคินทร์ เห็นสองคนเดินมาอย่างสนิทสนม
“โห…อะไรจะเร็วขนาดนี้วะ เห็นว่าเพิ่งเจอกันที่งานเลี้ยงแค่ครั้งเดียวไม่ใช่เหรอ”
“สนิทกันขนาดนี้ คงไม่ได้เจอกันแค่ครั้งเดียวหรอก
ภุชคินทร์พูดออกมาอย่างขวางหูขวางตาเต็มทน และจดสายตามองไปยังเจ้าอุรคากับสุบรรณไม่วางตา
ระหว่างนั้น เจ้าอุรคาเดินคุยกับสุบรรณมาที่อีกมุมของสวนอาหาร ตรงบริเวณใกล้กับสวนน้ำขนาดใหญ่
“เป็นเกียรติมาก ที่เจ้ายอมออกมารับประทานมื้อกลางวันกับผม”
“ตอนแรกก็ไม่อยากมาหรอกค่ะ แต่พอคุณสุบรรณบอกว่าเป็นที่นี่เลยเปลี่ยนใจ”
เจ้าอุรคาพูดพลางทอดสายตามองไปยังท้องน้ำด้านหน้า ที่มีบัวบานเต็มบึง
“ฉันชอบน้ำ”
“ผมไม่ชอบน้ำ แต่เดาว่าเจ้าน่าจะชอบ”
สีหน้าเจ้าอุรคามองมาอย่างสงสัย สุบรรณยิ้ม พูดเรื่อยๆ
“ก็รอบๆ บริเวณบ้านของเจ้า เต็มไปด้วยบ่อน้ำ ความร่มรื่น...”
“คุณเดาใจคนเก่ง”
“ไม่ได้เดาเลยนะครับ” สุบรรณบอกอย่างจริงจัง “เป็นความรู้สึกล้วนๆ ความรู้สึกผมบอก...ว่าเจ้าชอบน้ำ ชอบดอกจำปา”
เจ้าอุรคามองหน้าสุบรรณแบบคาดไม่ถึงอีก สุบรรณยิ้มพลางบอกต่อ
“ก็...ผมเดินเข้าไปในบ้านเจ้า ได้แต่กลิ่นดอกจำปา”
เจ้าอุรคามองพูดพึมพำ “ท่านจำได้ต่างหาก”
“อะไรนะครับ” สุบรรณย้อนถาม
“เปล่าค่ะ....” เจ้าอุรคาทอดสายตามองไปทั่วบริเวณ “ที่นี่สวยมากเลยนะคะ”
“ครับ”
เจ้าอุรคาพูดต่อ “น่าอยู่”
สุบรรณมองเจ้าอุรคา ท่าทีงงๆ “คำพูดของเจ้าเหมือนมีปริศนาอยู่ทุกคำ”
เจ้าอุรคาเย้า “แล้วเบื่อที่จะต้องแปลมั้ยละคะ”
“ไม่เลยครับ ผมชอบเสียอีก ชอบ...ในทุกสิ่งที่เป็นเจ้า”
สุบรรณพูดอย่างจริงจัง ดูจริงใจ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เจ้าอุรคามองหน้าสุบรรณ
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ สุบรรณได้ยินเสียงเจ้าอุรคาดังแผ่วๆ
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ต้องชอบน้ำ”
สุบรรณควบคุมตัวเองไม่อยู่ พูดเสียงยานคางคล้ายคนละเมอ “ชอบน้ำ”
เจ้าอุรคามองตาสุบรรณ “ลงไปสิ...ลงไปในน้ำ ที่นั่นอุรคาเทวี ผู้หญิงที่ท่านรักที่สุด รอท่านอยู่ลงไปสิ พญาสุบรรณ ท่านต้องลงไป”
สุบรรณควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาค่อยๆ เดินลงไปในน้ำ เดินลงไป เดินลงไปช้าๆ
จะด้วยเหตุที่ว่าเป็นช่วงเวลาตอนกลางวัน ซึ่งที่สวนอาหารแห่งนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าหรืออย่างไร จึงดูเหมือไม่มีใครใส่ใจ หรือมองเห็นการกระทำของสุบรรณ
มีเพียงเจ้าอุรคาที่มองดูอย่างสาแก่ใจ
ภุชคินทร์เดินลิ่วไปยังลานจอดรถอย่างอารมณ์เสีย ราชนิกูลรูปงามไม่เข้าใจว่า ตัวเองเป็นอะไรที่เห็นเจ้าอุรคาสนิทสนมใกล้ชิดกับสุบรรณ ไพศิษฐ์เดิมแกมวิ่งตามมาร้องถาม
“จะรีบไปไหนวะนายชาย”
ภุชคินทร์บอกห้วนสั้น กระชากเสียง “ทำงาน”
“รู้! ฉันก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน แต่นายของฉันอยู่นี่ ขอไปทักนายหน่อยเถอะว่ะ ก่อนที่จะเป็นลูกชิ้นเด้งแบบไม่รู้ตัว”
“ก็เป็นไปสิ...ลูกชิ้นเด้งอร่อยออก” ภุชคินทร์ว่า
“กลัวจะเด้งๆๆๆ ตกกระป๋องก่อนน่ะสิ”
“ไปสิ...ฉันรออยู่ที่นี่แหละ”
“ไปด้วยกันหน่อยสิวะ...ท่านรู้ จะน่าเกลียด” ไพศิษฐ์ว่า
“ฉันไม่อยากทักเจ้าอุรคา”
ไพศิษฐ์ขำ เหล่มองพลางพูดสัพยอก “ไม่อยากทักหรือไม่อยากรัก”
ภุชคินทร์มองตาขวางด้วยความโมโห ไพศิษฐ์หัวเราะพูดเย้าเพื่อนซี้ต่อ
“ก็ดูท่าทางนายสิ โมโหหึงชัดๆ”
ภุชคินทร์ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันจะหึงทำไม”
ไพศิษฐ์มีท่าทีตกใจขณะมองไปยังเบื้องหน้า “ฉันไม่เถียงกับนายแล้ว ท่านสุบรรณ...ท่านสุบรรณเดินลงน้ำ”
ไพศิษฐ์ร้องแค่นั้นก็วิ่งลิ่วนำไป ภุชคินทร์มองตามงงๆ แววตาฉงน เมื่อเห็นว่าสุบรรณกำลังเดินลุยลงน้ำไปจริงๆ
สุบรรณเดินลงไปในน้ำอย่างไม่รู้ตัว แล้วร่างของเขาก็ถูกกระชากลงไปอย่างแรง ใต้ผืนน้ำยามนั้นร่างสุบรรณหายจากอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ลืมตาขึ้นมาในอาการตื่นตกใจ แล้วก็แทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่าร่างของตัวเองลงมาอยู่ในน้ำ
ที่ร้ายไปกว่านั้น มีงูน้ำนับร้อยตัวกำลังเลื้อยรัดพันและตรึงสุบรรณไว้ เหมือนกับว่าพวกมันสมัครสมานสามัคคีทั้งรั้งทั้งดึงราวกับต้องการจะให้สุบรรณจมน้ำตายเสียให้ได้
มณีสวาท ตอนที่ 2 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้น พันเอกนรินทร์ นายทหารนอกราชการกำลังเดินดูต้นไม้อยู่ในสวนที่บ้าน ตรงมุมหนึ่งของสวนเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ เหมือนสวนหย่อมทั่วไปในบ้าน บรรยากาศรอบๆ แอ่งน้ำเขียวครึ้มร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุม
ครั้นเดินมาถึงต้นพญานาคราชนรินทร์ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นต้นพญานาคราชชูช่อขึ้นเหมือนงูแผ่แม่เบี้ย ชายสูงวัยรู้สึกเหมือนถึงพลังบางอย่างก่อตัวขึ้น จนร่างนรินทร์ซวนเซยกมือกุมขมับ และแล้วก็เกิดนิมิตเห็นเป็นภาพของสุบรรณกำลังดำดิ่งอยู่ใต้ท้องน้ำ
ช่างน่าประหลาดนักที่ร่างทั้งร่างนั้นถูกดูดดึงตรึงไว้โดยกองทัพงูมากมาย สีหน้าของสุบรรณเจ็บปวดเหลือแสน ท่าทีหวาดกลัว จวนเจียนจะขาดใจตายเต็มทน
นรินทร์ตกใจมาก ยิ่งเมื่อเห็นต้นพญานาคราชชูช่อส่ายไปมา เหมือนอสรพิษกำลังเริงร่า นายทหารนอกราชการตระหนักว่าสิ่งที่เกิดในนิมิตเป็นเรื่องจริง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เนื้อตัวเหมือนถูกตรึงพันธนาการเอาไว้ จะขยับไปไหนก็ไม่ได้ แน่นิ่งคล้ายอาการคนถูกผีอำ
จังหวะนั้นเหมือนว่ามีดวงตาของเจ้าอุรคา ที่เฝ้ามองอยู่จากที่ไกลๆ กำลังมองจ้องภาพสุบรรณที่จมลงไปในน้ำอย่างพึงพอใจ
นรินทร์ตัวแข็งทื่อ มองต้นพญานาคราชไหวพะเยิบพะยาบท่าทีเริงร่า รวบรวมสติตะโกนก้องในใจ ถึงบทแผ่เมตตา
“สัพเพ..สัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...”
ได้ยินเสียงบทแผ่เมตตา เจ้าอุรคาหันขวับมองมาไม่พอใจ ดวงตาวาววับคู่นั้นเขม้นมองมายังนรินทร์
จังหวะเดียวกันนั้นภุชคินทร์กับไพศิษฐ์วิ่งมาจากอีกมุม เจ้าอุรคาหันขวับมาทางสองหนุ่มทันที แล้วเกิดประกายไฟก็พุ่งออกมาจากดวงตาของเจ้าหญิงต่างแดน
ขณะที่ไพศิษฐ์กับภุชคินทร์วิ่งมาตามทางในสวนอาหารนั้น เหมือนมีประกายไฟสว่างแวบขึ้นสั้นๆ ทันใดนั้น เท้าของภุชคนิทร์ก็สะดุดเข้ากับก้อนหินบนพื้นเต็มแรง ภุคชินทร์เสียหลักร่างเซถลา ศีรษะกระแทกเข้ากับโขดหินประดับข้างทางอย่างแรง
ภุคชินทร์ร้อง “โอ๊ย” อย่างเจ็บปวด
พร้อมกันนั้นมีเลือดสีแดงสดๆ ไหลซึมอออกมาจากศีรษะ ท่าทางของภุชคินทร์มึนงง เจ้าอุรคามองมายังภุชคินทร์ด้วยแววตาเสียใจว่าไม่น่าเลย แต่อย่างไรก็ต้องทำ
ส่วนไพศิษฐ์วิ่งถลาเข้ามาหาเพื่อนซี้อย่างตกใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกมา ภุชคินทร์ก็ลุกขึ้น ทั้งที่มึนงง ร่างของเขาซวนเซ ยกมือห้ามบอก
“ฉันไม่เป็นไร นายรีบไปช่วยท่านสุบรรณเถอะ”
“งั้นนายอยู่ที่นี่นะ”
“ฮื่อ”
ภุชคินทร์พยักหน้ารับคำ ไพศิษฐ์วิ่งไป ราชนิกูลหนุ่มมองตามก่อนพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเดินตามไปทั้งที่ยังงงๆ มึนๆ อยู่
ขณะเดียวกันนรินทร์ยังมองเห็นนิมิตแจ่มชัด เห็นภาพใต้น้ำ อสรพิษร้าย ยังเกี่ยวกระหวัดรัดพันร่างสุบรรณและดึงดูดลงไปใต้น้ำเรื่อยๆ จนสุบรรณทำท่าจะหมดแรงเต็มทน
ไพศิษฐ์วิ่งมาด้วยความรวดเร็ว และกระโจนลงไปในน้ำ ใบหน้าเจ้าอุรคามองมาอย่างไม่พอใจที่ไพศิษฐ์ไปช่วยสุบรรณ ว่า เจ้าอุรคาไม่ได้อยู่ที่สวนอาหารแล้ว)
เจ้าอุรคายื่นมือออกมา ทำท่าเหมือนบิดอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นงูบางส่วนก็เบนตัวจากสุบรรณพุ่งเข้าไปหาไพศิษฐ์แทน
ไพศิษฐ์ซึ่งพยายามว่ายน้ำเข้าไปช่วย แต่แล้วดวงตาของเขาก็เบิกโพลงแสดงความตื่นตระหนกออกมา เมื่อพบว่าตนไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ร่างทั้งร่างเหมือนถูกตรึงเอาไว้ ไพศิษฐ์ทั้งงงทั้งตกใจ เพ่งมองไปตรงหน้าเห็นแต่น้ำนิ่งๆ ทำการใดไม่ได้ทั้งๆ ที่ร่างสุบรรณอยู่ห่างไม่ถึงวา เท่านั้นไม่พอ ร่างของไพศิษฐ์ยังถูกดึงให้ต่ำลงไปใต้ท้องน้ำเรื่อยๆ อย่างจงใจ ราวกับจะฆ่าให้ตาย
ต้นพญานาคราชยังไหวชูช่อส่ายไปมาอย่างเริงร่า แม้นรินทร์จะท่องบทสวดแผ่เมตตา แต่ก็ดูเหมือนไม่บังเกิดผลใดๆ เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มอย่างพอใจ แต่แล้วใบหน้างามต้องเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อตวัดสายตาไปเห็นภุชคินทร์วิ่งมาทั้งที่ศีรษะโชกเลือด
ยินเสียงเจ้าอุรคาบ่นเบาๆ ท่าทีขัดเคืองใจ “ทำไมท่านดื้อดึงอย่างนี้ ภุชเคนทร์”
ภุชคินทร์กระโดดลงไปใต้น้ำ เห็นร่างสุบรรณลอยแน่นิ่งในสภาพหมดการควบคุมตัวเอง และไพศิษฐ์ดิ้นทุรนทุราย ภุชคินทร์ว่ายเข้าไป ราวกับมีปาฏิหาริย์ บรรดาอสรพิษน้อยใหญ่ใต้น้ำที่มะรุมมะตุ้มสุบรรณ ต่างแหวกว่ายน้ำหนีไปอย่างรวดเร็ว ภุชคินทร์ใช้มืออันแข็งแรง กระชากร่างของสุบรรณมา ส่วนไพศิษฐ์ก็รู้สึกเป็นอิสระ สองหนุ่มช่วยกันกระชากร่างของสุบรรณ ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำทันที
สีหน้าของเจ้าอุรคาถมึงทึงบ่งบอกว่านางหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนที่บ้านนรินทร์ จู่ๆ ต้นพญานาคราชก็หยุดไหว และนรินทร์ก็ดูเหมือนจะหมดแรง ทรุด
ลงไปนั่งหอบหายใจอยู่กับพื้น ด้วยสีหน้ามีท่าทางว่าโล่งใจ ที่ภาพนิมิตที่เห็นยุติลงเสียที
นาถสุดาถือถาดที่มีพวงมาลัยเดินออกมาจากห้องโถง เปิดประตูเข้าไปในห้องพระบอก
“คุณพ่อคะ...พวงมาลัยเสร็จแล้วค่ะ”
นาถชะงักเมื่อไม่เห็นร่างของผู้เป็นบิดา
“บอกว่าจะมาสวดมนต์ คุณพ่อไปไหนเนี่ย”
นาถสุดาเดินออกมาหาพลางร้องเรียก
“คุณพ่อคะ นาถร้อยพวงมาลัยเสร็จค่ะคุณพ่อ”
ไม่มีเสียงตอบจากนรินทร์ นาถสุดากวาดสายตามองหา ย่างเท้าลงมาจากบันได สอดส่ายสายตา
มองหาบิดา โดยไม่ทันระวังเท้าของนาถสุดาเหยียบบันไดผิดขั้น ร่างของนาถสุดาเสียหลักไถลตกลงมา
นาถสุดาร้อง “ว้าย!”
พวงมาลัยในมือของเธอร่วงหล่นสู่พื้น ขณะที่นาถสุดาเอามือยันพื้นเอาไว้ กำไลหยกที่สวมมากระแทก
เข้ากับพื้นดังก๊อก แตกออกจากกัน
เสียงของนาถสุดาทำให้นรินทร์ที่กำลังนั่งหอบอยู่สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมา
“นาถ”
นรินทร์ใจหายวาบ รีบยันตัวลุกขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมานรินทร์ประคองนาถสุดาให้เข้ามานั่งในห้องโถงของบ้าน
“เดินยังไง ถึงตกบันไดได้ล่ะลูก”
นาถสุดาพูดไป รู้สึกเจ็บตามเนื้อตามตัว “ก็นาถตามหาคุณพ่อนี่คะ ไหนบอกว่าจะสวดมนต์แล้วคุณพ่อไหนมาคะ”
นรินทร์เงียบ ไม่ได้ตอบ นาถสุดาเองก็ไม่ได้ถามจริงจัง สนใจแต่ตัวเอง มือจับที่กำไลหยก อย่างเสียดาย
“นี่ดูซิ...กำไลหยกที่พี่สุบรรณให้นาถ หักเลย”
นรินทร์ชะงัก “ว่าไงนะ”
นาถสุดายังไม่ทันสนใจอะไรมากนัก “กำไลหยกที่พี่สุบรรณให้นาถมันหักน่ะค่ะ”
คราวนี้ดวงตาของพันเอกนรินทร์เบิกกว้าง คล้ายกังวลอะไรบางอย่าง นรินทร์นึกถึงภาพในนิมิตตอนเห็นสุบรรณถูกงูดึงรั้งลงน้ำไป และภาพจบสุดท้ายที่ภุชคินทร์ช่วยสุบรรณ และยังไม่รู้ว่าสุบรรณจะเป็นหรือตาย เห็นสายตาพ่อไม่ดี นาถถามเร็วปรื๋อ
“ทำไมคะพ่อ?
นรินทร์จับกำไลหยกที่หักของลูกสาวอย่างกังวล “พ่อเป็นห่วง กลัวว่าสุบรรณจะเป็นอะไร”
เสียงโทรศัพท์มือถือของนาถสุดาที่วางอยู่บนโต๊ะดังลั่น นาถสุดาเดินไปรับทันที
“มีอะไรคะคุณศิษฐ์” นาถสุดานิ่งฟัง ก่อนจะมีท่าทางตกอกตกใจ “ค่ะ นาถจะรีบไปเดี๋ยวนี้” แล้วรีบกดวางสายทันที
นรินทร์ถามเร็วปรื๋อ “มีอะไรนาถ”
“พี่สุบรรณตกน้ำ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
ที่โรงพยาบาล ภายในห้องพักฟื้น ภุชคินทร์ ซึ่งตอนนี้ศีรษะมีผ้าพันแผลไว้ ส่วนไพศิษฐ์เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ มองดูสุบรรณที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง สองหนุ่มทำหน้าเคร่งเครียด ขณะที่นาถสุดามองดูสุบรรณอย่างเป็นห่วง
“โชคดีนะคะที่พี่สุบรรณไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วนี่ทำไม จู่ๆพี่สุบรรณถึงจมน้ำได้คะ”
สองหนุ่มมองหน้ากัน ไพศิษฐ์ตัดบท
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
นาถสุดาเผลอแว้ดใส่ เพราะห่วงพี่มาก “ไม่รู้ได้ยังไง ก็คุณเป็นตำรวจอารักขา”
ไพศิษฐ์หน้าตึง ภุชคินทร์รีบแก้ต่าง
“วันนี้นายศิษฐ์ไม่ได้อยู่ในหน้าที่น่ะครับคุณนาถ ท่านสุบรรณไปเป็นการส่วนตัว”
“ส่วนตัว?” นาถสุดาพูดตั้งข้อสังเกตเบาๆ “พี่สุบรรณจะไปที่สวนน้ำทำไม? ที่ผ่านมา พี่ศิษฐ์ไม่ได้ชอบน้ำซักหน่อย”
“แต่ก็อาจจะมีคนอื่นที่เค้าชอบ” ไพศิษฐ์ท้วง
“คนอื่นที่ชอบ หมายความว่ายังไงคะ”
“ท่านสุบรรณไปสวนอาหารกับเจ้าอุรคา” ภุชคินทร์ตอบ
“เจ้าอุรคา”
นาถสุดาทำหน้าสงสัย ว่าเจ้าอุรคาเกี่ยวอะไรด้วย
ค่ำนั้นเจ้าอุรคากราดเกรี้ยวทรุดตัวลงนั่งที่ศาลาในสวน ยมนาที่ยืนอยู่ไม่ไกลต่อว่าเสียงขุ่น
“ท่านทำอย่างนี้ไม่ถูก”
เจ้าอุรคาเชิดหน้าถือดี “ทำไมจะไม่ถูก พญาสุบรรณ พรากคนที่เรารัก พญาสุบรรณก็ต้องได้รับรู้ความรู้สึกที่ต้องพลัดพรากจากคนที่รักด้วย”
“แต่ทุกอย่างมันจบไปแล้ว”
เจ้าอุรคาเถียงท่าทีดุดัน น้ำเสียงเข้ม “ไม่จบ มันไม่เคยจบ แต่มันกำลังจะเริ่มต้น”
“สิ่งที่กำลังจะเริ่มต้นคือท่านมากกว่าอุรคาเทวี...ท่านกำลังเริ่มต้นที่จะทำบาป”
เจ้าอุรคาเถียง ในท่วงท่าถือดีเช่นเดิม “เราทำบาปอะไรหรือท่านยมนา”
“ทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่างมนุษย์ที่ชื่อไพศิษฐ์ และ ภุชคินทร์”
เจ้าอุรคาครวญแผ่วๆ สายตาเป็นกังวล “ท่าน...ภุชเคนทร์”
“ท่านทำร้ายทั้งไพศิษฐ์และภุชคินทร์ และถ้าภุชคินทร์ไม่ตามไปช่วย ไพศิษฐ์ก็คงตายไปแล้วท่านกำลังทำบาป อุรคาเทวี ท่านกำลังทำบาป”
เจ้าอุรคาเหมือนรู้อยู่เต็มอก แต่ปฏิเสธ น้ำตาคลอ “ไม่....เราไม่ได้ทำบาป” แล้วน้ำเสียงของนางก็ดังขึ้น “ข้าไม่ได้ทำปาป ข้าทำในสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก ใครทำอะไรไว้ ต้องชดใช้กรรมอย่างนั้น โดยเฉพาะพญาสุบรรณ….”
เสียงเจ้าอุรคาดังกึกก้องโหยหวน โดยเฉพาะตรงคำว่าพญาสุบรรณที่ดังก้องยาวนาน
สองหนุ่มเดินออกมาตามทางในโรงพยาบาลหน้าเครียดเคร่งกันทั้งคู่ ไพศิษฐ์บอกอย่างคาใจสงสัย
“ฉันงงๆ จริงๆ นายชาย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ท่านสุบรรณเอง เมื่อก่อนก็เป็นนักกีฬา ตอนนี้ท่านก็ยังออกกำลังกายอยู่ตลอด แต่กลับมาจมน้ำ ส่วนฉัน จู่ๆ ร่างกายก็ไม่มีแรงขึ้นมาเฉยๆ”
ภุชคินทร์สงสัยเหมือนกัน “ทั้งๆ ที่นายก็เล่นกีฬา”
“ใช่...เล่นอยู่เป็นประจำทั้งทางบกทางน้ำ” ผู้กองหนุ่มทำท่าคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “มัน...แปลกประหลาดมากทั้งเนื้อทั้งตัวฉันเหมือนมีใครมาฉุดมาดึงเอาไว้ จนขยับเขยื้อนไม่ได้”
ภุชคินทร์ทำท่าคิดไปด้วย นึกไปตอนเห็นภาพแว๊บๆ ตอนที่เห็นไพศิษฐ์ทำท่าทุรนทุราย ตะกุยว่ายน้ำแต่ร่างไม่ขยับ
“ตอนที่นายลงไปช่วยฉัน นายก็เห็นใช่มั้ย”
“ใช่....ฉันเห็นนายทำท่าว่ายน้ำ แต่ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน”
“ถ้าไม่เจอกับตัว ฉันไม่เชื่อนะเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
ภุชคินทร์นิ่ง สีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ ไพศิษฐ์ถาม
“คิดอะไรอยู่วะชาย”
“เจ้าอุรคา...ตอนที่เกิดเรื่องเจ้าอุรคาอยู่ที่ไหน” ภุชคินทร์บอกเรื่องที่คาใจ
ทั่วบริเวณของเฮือนภูจำปา ยามค่ำคืนแลดูวังวังและน่ากลัวมาก เจ้าอุรคายืนนิ่ง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง หยาดน้ำตาคลอหน่วยตา เสียงของยมนาดังก้อง
“ท่านกำลังทำบาป อุรคาเทวี ท่านกำลังทำบาป”
เจ้าอุรคาทิ้งตัวลง เอามือปิดหู ปฏิเสธก้อง
“ไม่..เราไม่ได้ทำ”
ยมนาย้ำคำพูดอย่างรุนแรง “ทำ! ท่านกำลังทำบาป อุคาเทวี ท่านกำลังทำบาป.....”
เจ้าอรุคาสุดจะเจ็บปวดใจ กลั้นความรู้สึกตัวเองบอก
“เรายอมทุกอย่าง...ขอเพียง...เราได้ท่านกลับคืนมา...ภุชเคนทร์”
สีหน้าของเจ้าอุรคาเจ็บปวดใจยิ่งนัก
และแล้วทันใดนั้น เฮือนภูจำปาทั้งหลังก็ค่อยๆ เลือนหายออกไปเสมือนไม่เคยมีอยู่มาก่อนเลย และเหมือนกับปิดตัวไม่พร้อมที่จะต้อนรับใครอีกแล้ว
ไพศิษฐ์ขับรถมาตามทาง โดยมีภุชคินทร์นั่งมาด้วยคอยบอกทาง สองหนุ่มกวาดสายตามองกันอย่างงวยงง เพราะสองข้างทางเห็นแต่ป่ารกชัฏ ไม่มีบ้านเรือนอยู่อาศัยของผู้คนแม้แต่หลังเดียว ไพศิษฐ์ถามงงๆ
“นายแน่ใจหรือวะชาย ว่าบ้านเจ้าอุรคาอยู่แถวนี้”
“มั่นใจสิ ก็ฉันเคยมาหาเจ้าที่นี่”
ไพศิษฐ์ยิ้ม ออกปากแซว “วู้… เคยมา แอบไปสนิทสนมกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“เรื่องของฉันน่า”
“แนะ เดี๋ยวนี้มีความลับซะด้วย” ไพศิษฐ์เล่นไม่เลิก
ภุชคินทร์ตัดบท “เรื่องนั้นเอาไว้เล่าที่หลัง แต่ที่ฉันมาวันนี้ก็คือตามหาตัวเจ้าอุรคาให้เจอ ฉันอยากรู้ว่าเจ้าอุรคาปล่อยให้ท่านสุบรรณ กระโจนลงไปน้ำแบบนั้นได้ยังไง”
ไพศิษฐ์กวาดสายตามองสองข้างทาง “ก็แล้วบ้านเจ้าอยู่ไหน”
ภุชคินทร์งงมาก “นั่นสิ...บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน ทำไมถึงหาไม่เจอ”
คราวนี้สองหนุ่มหันมามองหน้ากัน ไพศิษฐ์โพล่งออกมาตามนิสัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“นายว่ามันแปลกๆ มั้ย”
ภุชคินทร์นิ่งไม่ตอบ แต่สายตาบอกว่าคล้อยตาม ไพศิษฐ์ว่าต่อเป็นฉากๆ
“ตอนที่เสี่ยปิงถูกฆ่า เจ้าอุรคาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่ฉันไปดูรอยเท้าพญานาคที่วังนาย จู่ๆเจ้าอุรคาก็หายไป แล้วนี่เดินอยู่กับท่านสุบรรณแท้ๆ แต่พอเกิดเรื่อง เจ้าก็หายไปอีก แล้วนี่มาตามหาถึงบ้านแต่บ้านของเจ้าอุรคาก็หายไปซะเฉยๆ อีก”
“นายคิดว่า...เจ้าอุรคามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด” ภุชคินทร์ย้อนถาม
“ไม่คิดก็ไม่ได้แล้วว่ะ”
“แล้วเจ้าทำไปทำไม”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องตามล่าค้นหาปริศนาที่เจ้าอุรคาทิ้งไว้โว้ย เพราะฉันมั่นใจ ว่าเจ้าอุรคาคนนี้ไม่ธรรมดาแน่”
ไพศิษฐ์บอกอย่างมั่นใจ
ค่ำคืนเดียวกันที่บ้านของนรินทร์ นายทหารนอกราชการอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เห็นข่าวพาดหัวหรา
“พญานาคบุกวังนาเคนทร์ ผู้คนแตกตื่นเห็นรอยเท้าเกลื่อน”
ภาพประกอบข่าวเป็นรอยเท้าที่ว่ากันว่าเป็นรอยเท้าพญานาค พันเอกนรินทร์พึมพำ
“ในที่สุด...พวกเขาก็มา”
ผู้พันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะวางหนังสือพิมพ์ลง เดินตรงไปยังห้องพระ นั่งท่องบทสวดมนต์งึมงำ ในมือถือสร้อยที่ทำจากเชือกกล้วยถักเป็นเส้น นรินทร์ตั้งมั่นสมาธิ ท่องคาถาลงบนเชือกกล้วยนั้น สลับกับเอาเชือกกล้วยจุ่มลงในน้ำมัน
น่าอัศจรรย์นักเมื่อเห็นงูเลื้อยอยู่ นรินทร์ใช้เชือกกล้วยตวัดออกไป กลายเป็นเชือกรัดคองูแน่น งูเอาชนะเชือกกล้วยไม่ได้เลย
เวลาเดียวกันเจ้าอุรคานั่งอยู่ในห้องหนึ่งภายในเฮือนภูจำปา นางพยายามสงบจิตใจ แต่แล้วดวงตากลับเบิกกว้างขึ้น เจ้าอุรคาเห็นนรินทร์กำลังนั่งพึมพำสวดคาถาอยู่และกระทำพิธีกรรมบางอย่าง เจ้าอุรคามีสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ข้าพยายามอยู่ในที่ของข้าแล้ว แต่พวกเจ้า....พวกเจ้ารนหาที่เอง”
ขณะเดียวกันนั้นพันเอกนรินทร์ อยู่ในสมาธิสวดมนต์ด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่ทว่าเจ้าอุรคากลับเบิกตากว้างขึ้น ร้องคำรามอย่างน่ากลัว
“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย”
พริบตานั้น เจ้าอุรคาพาร่างมายืนยังอยู่ตรงหน้าบ้านของนรินทร์ ส่วนในบ้าน นรินทร์ลืมตาขึ้น พร้อมกับยกเชือกกล้วยลงคาถาขึ้นเหนือศีรษะพูดพึมพำ
“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองด้วยเถิด”
เจ้าอุรคากำลังจะแทรกกายเข้ามาในบ้าน พลันรถคันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจอด จากนั้นอติศรี หญิงชราผู้เป็นยายของไพศิษฐ์ก็ก้าวลงมาจากเบาะหลัง ในมือของอติศรีถือตะกร้ามาด้วยใบหนึ่ง และในตะกร้าบรรจุกล้วย มะม่วง ดอกบัวฯลฯ ของถวายพระมากมาย
เจ้าอุรคาหันมามองมา แต่อติศรีมองไม่เห็น ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะกดกริ่งที่หน้ารั้วบ้าน ไม่นานนักก็เห็นร่างของนรินทร์เดินออกมา อติศรีทักทายอย่างอารมณ์ดี
“โทษที...มาเสียดึก นอนแล้วรึผู้พัน”
“ยังครับ...สวดมนต์อยู่ คุณยายมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ มาเสียดึกดื่น”
“ไม่มีธุระอะไรหรอก ผลไม้ในสวนมันสุก ดอกบัวในคลองก็งามเหลือเกิน เห็นว่าพรุ่งนี้วันพระเลยเก็บเอามาให้ผู้พัน จะรอตาศิษฐ์ก็รอไม่ไหวหรอก วันๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน” อติศรบ่นว่าหลานชาย
“ขอบคุณครับคุณยาย”
นรินทร์รับของฝากมา อติศรีถามถึงว่าที่หลานสะใภ้
“แล้วหนูนาถล่ะ ทำอะไรอยู่”
“ไม่อยู่ครับ นาถไปโรงพยาบาล”
อติศรีตกใจ “ใครเป็นอะไรไปเหรอ”
“ท่านสุบรรณครับ จู่ๆก็จมน้ำไม่รู้เป็นอะไร”
เจ้าอุรคามองดูเหตุการณ์โดยที่สองคนไม่เห็น อติศรีพึมพำ ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่ครับ...เมื่อครู่ผมเลยสวดมนต์แผ่เมตตาไปช่วย แล้วก็ท่องคาถาทำเชือกกล้วยป้องกันภยันตราย กะจะให้เอาไว้ป้องกันตัวอีกทาง”
“งั้นฉันจะสวดมนต์ช่วยอีกแรง เผื่อเจ้ากรรมนายเวรของท่านสุบรรณจะยอมปลดปล่อยบ้าง”
“ขอบคุณมากครับคุณยาย...ผมก็หวังว่าเจ้ากรรมนายเวรของสุบรรณจะยอมปลดปล่อย หรืออย่างน้อยก็คลายความอาฆาตพยาบาทลงบ้าง เพราะผมเชื่อว่า บุญจะคุ้มครองทุกคน”
เจ้าอุรคาสะท้อนใจนิดๆ ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นอย่างฉุนเฉียว และคำรามออกมาอย่างอย่างกราดเกรี้ยว
“ไม่...บุญไม่คุ้มครองคนเลว บุญไม่มีทางคุ้มครองคนเลว”
เจ้าอุรคาตะโกนก้อง แต่ทั้งนรินทร์และอติศรีไม่มีใครได้ยิน แล้วร่างของเจ้าอุรคาก็สลายหายไปในพริบตา
เช้าวันต่อมานาถสุดาขับรถพาสุบรรณเข้ามาในบริเวณบ้านของตน สุบรรณถามญาติผู้น้องเป็นเชิงตำหนิ
“ทำไมไม่พาพี่กลับบ้าน”
“คุณพ่อบอกให้พาพี่สุบรรณมาหาก่อนค่ะ”
“นี่เล่าให้คุณอาฟังหมดแล้วใช่มั้ย”
นาถสุดาจ๋อย สุบรรณดุต่อ
“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ให้เล่า พี่ไม่อยากให้คุณอาเป็นห่วง”
“คุณพ่อก็เป็นห่วงพี่สุบรรณมากนะคะ เข้าไปหาคุณพ่อเถอะค่ะ”
นาถสุดาลากแขนสุบรรณเข้าไปในบ้าน
ภายในบ้านเวลาต่อมา นรินทร์ยื่นเชือกกล้วยที่ลงคาถาแล้วให้กับสุบรรณ
“คล้องคอเอาไว้”
สุบรรณรับมาท่าทีไม่เชื่อถือ และยังไม่คล้องคอ ถามก่อน “อะไรครับคุณอา”
“เชือกกล้วยลงน้ำมัน ป้องกันอันตรายจากสิ่งชั่วร้าย โดยเฉพาะจากงู”
“งู”
นรินทร์ทำทีเป็นพูดกลบเกลื่อน “ปีนี้งูเป็นปีชงกับเธอ? คล้องคอเอาไว้ จะได้ไม่มีใครทำอันตรายได้”
สุบรรณนิ่ง นาถสุดาเห็นอย่างนั้นก็รีบบอกพ่อ
“ถ้าให้คล้องเองพี่สุบรรณไม่คล้องแน่ๆ คุณพ่อ คล้องให้พี่สุบรรณเถอะค่ะ”
นาถสุดาว่าพลางยกมือไหว้ก่อนดึงสร้อยเชือกกล้อยออกมาจากมือของสุบรรณยื่นให้พ่อ นรินทร์รับมาแล้วคล้องเชือกกล้วยให้ สุบรรณยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
นรินทร์เสริม “อารู้ คนรุ่นใหม่อย่างเธอ อาจจะไม่เชื่อ แต่เรื่องพวกนี้ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่”
สุบรรณนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ
อำนาจขับรถมารับสุบรรณที่บ้านนริทร์ เวลานี้ขับมาตามทาง โดยมีสุบรรณนั่งอยู่ด้านหลัง ท่าทางครุ่นคิด เสียงของนรินทร์ดังก้อง
“ปีนี้..งูเป็นปีชงของเธอ คล้องคอเอาไว้ จะได้ไม่มีใครทำอันตรายได้”
มือของสุบรรณยกขึ้นมาจับสร้อยเชือกกล้วยที่คล้องคออยู่ แล้วนึกถึงเหตุการณ์ ในตอนที่เหมือนมีงูมาเกี่ยวรัด รั้งร่างของสุบรรณฉุดดึงลงไปในน้ำ สีหน้าของสุบรรณเคร่งเครียด
อำนาจถามทำลายความเงียบขึ้น “เชือกอะไรหรือครับนาย ดูแปลกๆ”
สุบรรณพูดเหมือนพึมพำ “แปลก”
อำนาจยิ้มๆ ท่าทีกลัวเกรง “ก็...คนอย่างนาย ไม่น่าสวมเชือกกล้วยอะไรแบบนี้”
“อานรินทร์ให้ฉันมา”
สุบรรณว่าพลางถอดเชือกกล้วยออก อำนาจว่าต่อ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าผู้พันจะมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ นายจะเข้ากระทรวงหรือไปที่ไหนครับ”
สุบรรณบอกนิ่งๆ “ไปเฮือนภูจำปา ฉันจะไปหาเจ้าอุรคา”
“ครับ”
อำนาจเบนรถตรงไปยังทางไปบ้านเจ้าอุรคาทันที
อำนาจพาสุบรรณมาถึงเฮือนภูจำปา เจอชรายุออกมาต้อนับและบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าอุรคาไม่อยู่”
อำนาจถามห้วนสั้น “ไปไหน”
ชรายุท่าทีไม่พอใจ ตอบนิ่งๆ “ไปวัด วันนี้วันพระ”
สุบรรณแทรกขึ้น “ฉันจะรอ”
“ถ้าคิดว่ารอไหว ก็เชิญ แต่กรุณา อยู่แค่ ที่ ตรงนี้”
ชรายุตอบสั้นๆ เน้นทุกคำ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน ท่าทางไม่อินังขังขอบ อำนาจบ่น
“คนอะไรไม่มีมารยาท หน้าตาก็อย่างกับผีดิบ”
“ฉันเองต่างหากที่ไม่มีมารยาท มาแบบไม่ได้รับเชิญ ก็สมควรแล้วที่จะถูกต้อนรับอย่างนี้”
“นายไปนั่งรอในรถก่อนดีมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง”
“นายจะยืนรอที่นี่หรือครับ” อำนาจฉงน?
“ใครว่า....ฉันจะเข้าไปรอเจ้าอุรคาด้านใน”
ว่าแล้วสุบรรณก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน อำนาจเดินตามด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องใจ ชรายุที่อยู่อีกมุมหันมามองแล้วผุดยิ้มออกมาทางสีหน้าอย่างมีเลศนัย
สุบรรณเดินเข้าไปเฮือนภูจำปาอย่างถืออภิสิทธิ์ ตามด้วยอำนาจ แต่แล้วสองคนกลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงบางอย่างเลื้อยครืดคราดอยู่ตามพื้นตามมา
สองคนหันมามองตามเสียงนั้นแล้วก็ต้องผงะเมื่อเจองูขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาหา สองคนร้องลั่น
“เฮ้ย!”
งูตัวนั้นแผ่แม่เบี้ย ท่าทางเอาเรื่องแน่ อำนาจควักปืนออกมาจะยิง สุบรรณตวาด
“อย่า”
อำนาจอึ้งไม่เข้าใจ “ทำไมครับท่าน ท่านก็เห็นมันจะฉกเรา”
สุบรรณพูดราวกับรู้ใจงู “เราบุกรุกที่ของเค้าเอง....กลับ”
อำนาจชะงัก “กลับ”
“หรือแกจะอยู่รอให้มันฉกตายก็เชิญ”
สุบรรณค่อยๆ หาทางเดินเลี่ยงจากงูตัวนั้นออกไป อำนาจเดินตาม แต่อดไม่ไหว ยิงปืนเปรี้ยงๆ ใส่งูจนได้ งูยักษ์ตัวนั้นทำท่าจะฉกใส่ อำนาจร้องลั่นวิ่งตามสุบรรณหมดท่านักเลง
ลับตาสองคนชรายุคืนร่างจากงูกลายมาเป็นคนดังเดิม นางกำนัลผู้สัตย์ซื่อหัวเราะก้องกังวานอย่างชอบอกชอบใจ
ค่ำแล้วภุชคินทร์อยู่ในห้องนอนที่วังนาเคนทร์ กำลังแกะผ้าพันแผลที่ศีรษะตัวเองออก ยังพอมองเห็นรอยแผลจางๆ อยู่ ราชนิกูลรูปงามบ่นงึมงำตำหนิตัวเอง
“โตจนป่านนี้ยังหกล้มไม่เข้าท่าเลย ภุชคินทร์เอ๊ย”
ภุชคินทร์วางผ้าพันแผลลง แล้วนิ่งเหมือนคิด ถึงคำพูดที่ไพศิษฐ์ตั้งข้อสงสัยในตัวเจ้าอุรคาอีกครั้ง ภุชคินทร์พึมพำ
“นั่นสิ!!ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง เจ้าอุรคาหายไปไหน? แม้กระทั่งบ้าน บ้านของเจ้าอุรคาหายไปได้อย่างไร”
ภุชคินทร์ถามตัวเอง ท่าทีหงุดหงิดสงสัยอย่างที่สุด ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น นารีวรรณที่อยู่ด้านนอกร้องเรียกดังเข้ามา
“พี่ชายคะพี่ชาย”
ภุชคินทร์เดินไปเปิดประตูให้พลางถาม
“มีอะไรจ๊ะหนูนา”
“คุณแม่ให้มาตามพี่ชายไปหาค่ะ”
ภุชคินทร์เดินเข้าไปในห้องนอนมารดา เห็นหม่อมภาณีรื้อค้นกล่องเครื่องประดับอยู่ ทันทีที่เห็นหน้าหม่อมผู้เป็นมารดาก็บอก
“ชาย..มาช่วยแม่เลือกเครื่องประดับที่จะไปงานเปิดร้านของเจ้าประกายคำหน่อยสิลูก”
ภุชคินทร์เย้าเอาใจ “คุณแม่ใส่อะไรก็งามสง่าหมดล่ะครับ”
หม่อมภาณียิ้มแย้มรับอย่างอารมณ์ดี “รู้จ้ะ..แต่แม่อยากใส่อะไรที่ถูกกาลเทศะมากกว่า เจ้าประกายคำเป็นเจ้าของงาน เราควรให้เกียรติท่าน มิใช่ทำตัวข่มท่าน”
นารีวรรณแทกขึ้น “คุณแม่กลัวจะเด่นเกินเจ้าของงานน่ะค่ะ...พี่ชายก็รู้...ช่วงนี้ มีรอยเท้าพญานาคโผล่ขึ้นรอบวังของเรา นักข่าวเห็นคุณแม่ทีไร…”
ผู้เป็นลูกสาวพูดไม่ทันจบหม่อมภาณียิ้มๆ พูดต่อให้อย่างอารมณ์ดี “...ขโมยซีนเจ้าของงานทุกที”
“ก็ไม่ดีหรือครับ เด่นกว่าใครเพื่อน”
“ไม่ดีหรอกจ้ะ บอกแล้ว อย่างน้อย เราก็ต้องให้เกียรติเจ้าของงาน นิ้ส...นึง!” หม่อมภาณีสัพยอก แถมเล่นคำวัยรุ่น
ภุชคินทร์ยิ้มขำ เลือกเครื่องประดับให้หม่อมแม่ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“งั้น...เป็นเครื่องประดับพวกมุกชุดนี้ดีกว่านะครับคุณแม่...ใส่เพชร เดี๋ยวประกายเพชรจะทิ่มตาแขกเหรื่อที่มาในงาน”
“ก็ดีจ้ะ”
ภุชคินทร์เลือกแหวนมุกขึ้นมา ทำท่าจะยื่นให้ แต่แล้วแหวนมุกในมือกลับกลายเป็นพลอยนาคเส้นหนึ่ง
ภุชคินทร์สะดุ้ง
“เฮ้ย!”
แหวนมุกหล่นจากมือของภุชคินทร์ร่วงลงสู่พื้น สองคนตกใจถามแทบจะพร้อมๆ กัน
“มีอะไรจ๊ะชาย” / “มีอะไรคะพี่ชาย”
“แหวนมุกดูแปลกๆ”
“แปลกยังไงคะ”
นารีวรรณพูดพร้อมกับก้มลงเก็บแหวนมุกขึ้นมา เห็นเป็นแหวนมุกวงเดิม
หม่อมภาณีหยิบแหวนมุกจากมือลูกสาวมาดู “นั่นสิ แปลกยังไง”
“ก็..เมื่อกี้ผมเห็น แหวนมุกเป็นสีเขียวมรกต ออกเลือดๆ ไม่ใช่สีมุกอย่างนี้” ภุชคินทร์บอก
“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” หม่อมภาณีงง เพ่งมองแหวน “มุกเม็ดนี้ เนื้อดีจะตาย”
“จริงด้วยค่ะ” นารีวรรณมองตาม
“งั้น..ผมคงเพลียมาก เลยตาฝาดไป ขอตัวไปพักก่อนนะครับ”
“จ้ะ”
ภุชคินทร์เดินออกไปด้วยทีท่าสงสัยสายตาตัวเอง หม่อมภาณีกับนารีวรรณมองหน้ากัน ทั้งสงสัยเป็นห่วงท่าทีของภุชคินทร์ที่ดูแปลกไประหว่างนี้
ด้านภุชคินทร์เดินเข้าไปในห้อง ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างงุนงง
“เพี้ยนอะไรขนาดนั้นเรา”
ชคินทร์ส่ายหัว สะบัดหน้าราวกับจะต้องการขับไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนล้มตัวลงไปนอน ไม่นานภุชคินทร์ก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์
ภุชคินทร์หลับฝัน เห็นลำน้ำโขง ยามค่ำคืนที่เงียบสงบ และน่ากลัวเหมือนกับทุกครั้งที่ฝันถึง ภุชคินทร์ในชุดนอนเดินมาตามริมน้ำ ด้วยสีหน้างุนงง
“เรามาที่นี่อีกแล้ว”
ราชนิกูลรูปงามกวาดสายตามองไปรอบๆ ภาพทุกภาพ เป็นเหมือนภาพฝันเดิมๆ ทุกครั้ง สายตาที่ภุชคินทร์มองรอบตัวมีแต่ความอัศจรรย์ใจ
ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเสียงการต่อสู้ของบางอย่างดังขึ้นมา ภุชคินทร์หันไปมอง ท่ามกลางความมืดและกระแสน้ำที่ไหลแรงของลำน้ำโขง ปรากฏร่างของพญานาคตัวผู้กับพญาครุฑต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พญานาคตัวผู้พยายามเอาตัวปกป้องไม่ให้พญาครุฑ มาฉกเอานางพญานาคีไป แต่พญาครุฑดู
เหมือนมีแรงมหาศาล ใช้กำลังฉกนางพญานาคไปจนได้ และตรงเข้าทำร้ายพญานาคตัวผู้ จนกระอักเลือดออกมา
น่าประหลาดนักที่เลือดนั้นไหลรินออกมาเป็นสีเขียวเข้มจัดของมรกต พญานาคตัวผู้โกรธและฮึดสู้ ถูกพญาครุฑเอากรงเล็บจิกคอเหวี่ยง ร่างไป พญานาคราชสะบัดเร่าๆ อยู่กับพื้น กระอักเลือดออกมาเป็นสีเขียวอ่อนคล้ายมรกตอีก แต่จางกว่าครั้งแรก
พญานาคราชฮึดสู้สุดชีวิตไม่ยอมแพ้ จนคราวนี้ถูกพญาครุฑทำร้าย จนกระอักเลือดออกมาเป็นสีเขียวจางๆ ปนกับเลือดพญาครุฑ หรือที่เรียกว่าครุฑธิการ
ภุชคินทร์มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง สีของเลือดครั้งที่สามเหมือนกับสีที่เขาเห็นจากแหวนมุกของมารดา ซึ่งกลายเป็นเขียวเลือดไม่มีผิด
พญานาคตัวผู้ดิ้นทุรนทุราย ด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะสิ้นใจตายในที่สุด ภุชคินทร์ได้แต่ตกตะลึงอึ้งอยู่กับที่ ในขณะที่พญานาคตัวเมียที่ถูกพญาครุฑฉุดรั้งไว้กรีดร้องโหยหวนแทบฟังไม่เป็นภาษา
น้ำเสียงนั้นบาดลึก บอกให้รู้ว่านางนั้นเจ็บปวดรวดร้าวเหลิอแสนที่ผู้เป็นที่รักตายไปต่อหน้า โดยมิอาจทำอะไรได้!
มณีสวาท ตอนที่ 2 (ต่อ)
เช้านั้นภุชคินทร์ยังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องดังขึ้น ภุชคินทร์สะดุ้งตื่นคว้ามือถือมาดู
“ฟีบี้!”
เมื่อเห็นว่าใครโทร.มา ภุชคินทร์ทำหน้าเซ็งจัด วางมือถือลง แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่สนใจเลย
เฟื่องวลีและมารดาอยู่ที่บ้านของภิงคารแต่เช้าเช่นเคย เฟื่องฟ้ามองที่ลูกสาวซึ่งกำลังโทรศัพท์อยู่อย่างใจจดจ่อ ถามอย่างอยากรู้
“คุณชายรับสายหรือยังลูก”
เฟื่องวลีหน้าหงิก “ยังเลยค่ะแม่ สงสัยยังไม่ตื่น”
“แต่มันก็สายแล้วนี่ลูก”
“งั้นพี่ชายก็คงกำลังทำงาน” เฟื่องวลีหาเหตุผลนานานมาเข้าข้างตัวเอง
ระหว่างนั้นภิงคารเดินลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าเอกสาร ขณะที่เฟื่องฟ้าบ่นพึมพำ
“ทำงานอะไรเล่า?...ท่านภิงคารยังไม่ออกจากบ้านเลย”
ภิงคารไม่ได้ยิน ยิ้มทักสองแม่ลูกอย่างอารมณ์ดี
“สองแม่ลูกวันนี้ตื่นเช้าเสียจริง”
เฟื่องฟ้าปะเหลาะ “ตื่นมารอคุณพี่น่ะค่ะ วันนี้มีงานที่ไหนบ้างคะ ฟ้าว่างอยากตามไปรับใช้คุณพี่”
“ไม่เป็นไรๆ...ฉันมีผู้ช่วยอยู่แล้ว”
“ฟีบี้จะตามไปช่วยพี่ชาย” เฟื่องวลีประจบ
“ไม่ดีมั้ง งานเป็นงาน อีกอย่างเราสองคนเป็นผู้หญิง เที่ยวตามผู้ชายต้อยๆ ลุงว่าไม่งาม”
ภิงคารพูดแล้วเดินออกไปเลย สองแม่ลูกหน้ากันเจื่อนจ๋อย เฟื่องวลีหน้าง้ำบ่นอุบ
“ถูกด่าแต่เช้าเลย”
“อย่าไปสนใจเลยลูก ผู้ชาย..ปากก็ด่าไปอย่างนั้นแหละ เอาเข้าจริง ก็มีเล็กมีน้อยมีกุ๊กมีกิ๊กกันทุกคน รวมถึงท่านภิงคารด้วย”
เฟื่องวลีทำท่าไม่อยากเชื่อ “จริงหรือคะ”
เฟื่องฟ้ายิ้มอย่างมีเลศนัย “ก็ลองดูมั้ยล่ะ”
เฟื่องวลีผู้สวยแต่รูปยิ้มๆ พูดโดยไม่ทันคิด “แล้วใครจะลอง”
เฟื่องฟ้ายิ้มระรื่น “แม่ไง”
เฟื่องวลีตกอกตกใจ “แม่...จะเป็นแม่ได้ยังไงคะ เดี๋ยวผีคุณป้าก็ลุกขึ้นมาบีบคอแม่หรอก”
“บีบได้ยังไง ผีก็อยู่ส่วนผี ผีพี่สาวแท้ๆ ของแม่คงไม่ว่าหรอก...ถ้าแม่ จะทำหน้าที่เมียของท่านภิงคาร แทนเค้า”
เฟื่องฟ้าตีฝีปาก กระหยิ่มยิ้มย่อง เฟื่องวลีทำหน้ายิ้มๆ อย่างเห็นดีด้วยก่อนบอกภารกิจตัวเองอย่างหมายมาด
“งั้นฟีบี้ก็จะพยายามฉกหัวใจของพี่ชาย มาเป็นของฟีบี้ให้ได้ แล้วฟีบี้ก็จะหาทางเปิดตัวว่าเป็น
คู่หมั้นคู่หมายของพี่ชายให้ได้ ในวันงานเปิดร้านเจ้าประกายคำ”
สองแม่ลูกมองหน้ากันแล้วยิ้มระรื่นอย่างเบิกบานใจ
ในที่สุดก็ถึงวันงานเปิดร้านเพชรของเจ้าประกายคำ งานจัดขึ้นตอนกลางคืนที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรู เครื่องประดับของร้านถูกนำมาจัดวางโชว์อย่างสวยงาม เก๋ไก๋ และอลังการ
แขกเหรื่อที่มาร่วมยินดีล้วนเป็นไฮโซสังคมชั้นสูง เวลานั้นหม่อมภาณี เดินเข้ามาพร้อมกับภุชคินทร์ และนารีวรรณ กำลังตรงไปยังเจ้าประกายคำ ทุกคนสวัสดีทักทายกัน เจ้าประกายคำทักสีหน้ายิ้มแย้ม
“นึกว่าหม่อมจะมาไม่ได้แล้วซะอีก”
หม่อมภาณีเยื้อนยิ้มตอบ “เจ้าเปิดร้านทั้งที ทำไมดิฉันจะมาไม่ได้ล่ะคะ”
เจ้าประกายคำเอ่ยแซวอย่างที่นารีวรรณว่าไว้ไม่มีผิด “ก็หนังสือพิมพ์ลงข่าวครึกโครม ถึงรอยเท้าพญานาคที่โผล่ขึ้นรอบวัง ดิฉันก็เลยคิดว่าคงกำลังยุ่งๆ กันอยู่ แล้วจริงหรือเปล่าคะ พญานาคมาที่วังของหม่อมจริงหรือเปล่า”
หม่อมภาณีหัวเราะน้อยๆ ท่าทียังไม่ปักใจเชื่อ “ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อย่างที่หม่อมเห็น บางข่าวก็ว่าจริง แต่บางข่าวก็ว่าไม่จริง”
ประกายคำถามต่อ “แล้วเคยเห็นตัวกันหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกค่ะ...จะเห็นก็เห็นแต่งู” หม่อมภาณีว่าตามความเป็นจริง
เจ้าประกายคำทำท่าขนลุกขนพอง “แค่งูดิฉันก็ไม่อยากเห็นแล้วล่ะค่ะ”
นารีวรรณเสริมอย่างมีมารยาท “หนูนาก็เหมือนกันค่ะ”
จากนั้นพวกผู้หญิงต่างทำท่าสยองกัน ก่อนที่เจ้าประกายคำจะเชื้อเชิญ
“เชิญด้านในดีกว่านะคะ ดิฉันมีเครื่องประดับงามๆ จะให้หม่อมดูเยอะเลย”
เจ้าประกายคำเดินนำเข้าไปข้างใน หม่อมภาณีแตะแขนบุตรชาย
“ไปจ๊ะ ชาย”
ภุชคินทร์ออกตัว “ผมขอเดินดูอะไรด้านนอกก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
“เร็วๆ นะลูก” หม่อมภาณีว่า
“ครับ”
หม่อมภาณีเดินเข้าไปด้านในกับนารีวรรณตามเจ้าประกายคำไป
ส่วนภุชคินทร์เดินออกไปด้านนอกเหมือนอยากคิดอะไรคนเดียว
ภุชคินทร์เดินอยู่คนเดียว ตรงบริเวณสวนสวยของโรงแรม ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ เรื่องราวในความฝันผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง
ในฝันนั้นเขาเห็นเลือดของพญานาคตัวผู้ที่กระอักออกมาปนกับเลือดพญาครุฑ กลายเป็นสีเหมือนกับพลอยประดับแหวนของหม่อมภาณีที่เขามองเห็น ฃ
ภุชคินทร์พึมพำด้วยความสงสัย
“ทำไม แหวนที่เราเห็นถึงได้เหมือนกับเลือดของพญานาคที่เราฝันถึง”
ขณะที่ภุชคินทร์ครุ่นคิดต่อ ในหางตาของชายหนุ่มก็เห็นร่างด้านหลังของเจ้าอุรคาในชุดราตรีแสนสวยและงามสง่าเดินเฉียดเข้าไปในงาน ภุชคินทร์เหลียวขวับไปมองในบัดดลร้องเรียก
“เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาไม่ได้หันมามอง ภุชคินทร์หันกลับแล้วรีบสาวเท้าเดินตามไปในงานทันที
ภุชคินทร์เดินตามเจ้าอุรคามาเนิบช้า น่าประหลาดทั้งที่อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว ทว่าภุชคินทร์กลับตามไม่ทันสักที
ภุชคินทร์ตัดสินใจร้องเรียก “เจ้าอุรคาครับ หยุดก่อน เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาเพียงแค่เหลียวหันมายิ้มบางๆ แล้วเดินไปต่อ เหมือนกับในภาพความฝันคืนก่อน ภุชคินทร์ชักหัวเสีย ร้องตามเสียงขุ่น
“เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ตามไป แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อมีมือของใครคนหนึ่งมาฉุดกระชากข้อมือไว้อย่างแรง ชายหนุ่มหันกลับมามอง แล้วยิ่งต้องหัวเสียหนักเมื่อพบว่าเป็นเฟื่องวลีนั่นเอง ภุชคินทร์ขึ้นเสียงดุ
“ฉุดพี่ไว้ทำไมฟีบี้”
“ก็พี่ชายกำลังจะเดินตกดาดฟ้านะสิคะ”
ภุชคินทร์นิ่วหน้าชะงักตกใจ กวาดสายตามองแล้วก็เห็นว่าขาตัวเองยืนอยู่บนดาดฟ้าโรงแรมอย่างหมิ่นเหม่ ซึ่งถ้าหากเฟื่องวลีไม่ฉุดเอาไว้ คงได้ร่วงหล่นลงไปด้านล่างเป็นแน่ เฟื่องฟ้าที่เดินมาตามถามอย่างสงสัย
“ตามหาใครกันคะ”
“เปล่าครับ”
“งั้น..ก็เข้าไปด้านในเถอะค่ะ...พี่ชายมาเดินใจลอยอยู่อย่างนี้ฟีบี้เป็นห่วง”
ไม่พูดเปล่า เฟื่องวลีคล้องแขนภุชคินทร์พาเข้าไปด้านใน ภุชคินทร์กวาดสายตามองรอบตัวด้วยความมึนงง ปล่อยตัวให้เฟื่องวลีคล้องแขนเข้างานโดยไม่ได้ปัดออกเหมือนเคย เฟื่องฟ้ามองอย่างพอใจ
ภายในงาน ผู้คนต่างตะลึงงันเมื่อเห็นเครื่องประดับที่วางอยู่ในตู้ตามจุดต่างๆ เฟื่องวลีซึ่งเดินควงแขน
ภุชคินทร์ที่ยังเหลียวหน้าแลหลัง กวาดสายตามองหาเจ้าอุรคาอย่างคาใจ เฟื่องฟ้าที่เดินตามหลังชี้บอกบรรดานักข่าวเบาๆ
“แฟนของคุณชายค่ะ..ว่าที่เจ้าสาวของคุณชาย”
นักข่าวต่างกรูเข้ามารุมถ่ายรูปภุชคินทร์กับเฟื่องวลีอย่างสนใจ นาถสุดาเห็นรีบสะกิดให้ไพศิษฐ์ดู
“คุณชายพาคุณฟีบี้มาเปิดตัวหรือคะ”
ไพศิษฐ์ฉงน “เปิดตัวอะไร”
“ควงกันขนาดนี้ ไม่เปิดตัวแล้วเค้าเรียกว่าอะไรล่ะคะ”
นาถสุดาว่าอย่างขวางๆ ไพศิษฐ์มองตาม ก็เห็นเฟื่องวลีควงแขนภุชคินทร์ไม่ยอมปล่อย แถมโพสท่าให้ถ่ายรูปเหมือนจะเปิดตัวเต็มที่ ภิงคารที่ยืนอยู่อีกมุม ขวางเต็มที่รีบเดินมาหา
“มัวทำอะไรอยู่นายชาย แม่เราบ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้ว”
ภุชคินทร์เหมือนได้สติ “หรือครับ”
ภุชคินทร์ปลดมือของเฟื่องวลีออกทันที นักข่าวสาวร้องบอก
“ขอภาพคู่ก่อนค่ะคุณชาย”
“ยังไม่สะดวกครับ”
ภุชคินทร์เดินไปกับภิงคารทันที เฟื่องวลีหัวเราะร่าบอกกับนักข่าว
“พี่ชายขี้อายอย่างนี้ล่ะค่ะ”
เฟื่องฟ้าเปิดกระเป๋าแอบหยิบซองเงินให้นักข่าวคนหนึ่ง กระซิบบอก
“ลงรูปใหญ่ๆ หน่อยนะคะ”
นาถสุดาเห็นอาการสองแม่ลูกก็ทำหน้าย่น บ่นกับไพศิษฐ์ขำๆ
“ทำไปได้”
ไพศิษฐ์หัวเราะร่วน “อยากลงแบบเค้ามั่งเหรอ เดี๋ยวผมจัดให้ ลงหน้าหนึ่งเลยมั้ย”
ว่าพลางไพศิษฐ์แกล้งแหย่นาถสุดาด้วยการควักกระเป๋าตังค์ นาถสุดามองแฟนหนุ่มตาขวาง
“ก็ถ้าคุณศิษฐ์ทำจริงๆ ได้ลงหน้าหนึ่งแน่ค่ะ”
ไพศิษฐ์จ๋อยพูดเสียงแผ่วๆ ท่าทีน่าขัน “ใครจะกล้า”
นาถสุดายิ้มออกมาได้ จู่ๆ เสียงนักข่าวฮือฮาและเดินออกไปเป็นพรวนจน ไพศิษฐ์กับนาถสุดาต้องหันไปมองตาม
“ใครมากันคะ ดูสิ..นักข่าวแห่กันไปหมดเลย”
“นั่นสิ...ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าใคร”
ไพศิษฐ์คว้าข้อมือนาถสุดาเดินตามนักข่าวไป เห็นช่างภาพนักข่าวกดชัตเตอร์แทบไม่ทัน แล้วต่อมาสองหนุ่มสาวก็เห็นเจ้าอุรคาในชุดที่สุดแสนจะงามสง่าเดินเข้ามา ราวกับนัดกันไว้ ผู้คนในมุมต่างๆ ล้วนอยู่ในอาการตะลึงงัน โดยเฉพาะภุชคินทร์ ที่หันมามองตามเสียงก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“เจ้าอุรคา”
เฟื่องวลีชักสีหน้าไม่พอใจ
เจ้าอุรคาไม่ได้มองหน้าหรือทำท่าว่าสนใจภุชคินทร์เลยแม้แต่สักเพียงน้อย
ขณะที่สุบรรณที่เดินเข้ามา โดยมีอำนาจเดินตามหลังก็มองเจ้าอุรคาตกตะลึงพรึงเพริด
“เจ้าอุรคา”
ร่างระหงงามสง่านั้นไม่ได้เอ่ยทักทายใครเลย แต่กลับเดินตรงไปยังเจ้าประกายคำ ทักทายอย่างสนิทสนมรักใคร่
“สวัสดีค่ะเจ้า ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ”
ประกายคำเยื้อยิ้มเต็มหน้า “ยินดีเหลือเกินค่ะที่เจ้ามา”
“ดิฉันต่างหากที่ควรยินดี ที่เจ้าให้เกียรติดิฉันมาร่วมงานนี้ ชรายุ” เจ้าอุรคามองไปทางนางกำนัลคนสนิท
ชรายุเดินเข้ามาพร้อมหีบเครื่องประดับในมือ เจ้าอุรคาบอก
“ดิฉันเอาเครื่องประดับของภูจำปา มาแสดงในงานด้วยค่ะ”
ชรายุเปิดหีบเครื่องประดับออกมา เจ้าอุรคาบอกอธิบาย
“เครื่องประดับต้นตระกูลของดิฉัน จะมีอยู่สามอย่าง คือ นาคสวาท มรกต และครุฑธิการ”
ทุกคนฮือฮายกเว้นสองแม่ลูกที่มองหน้ากันแล้วประสานเสียงพึมพำ
“ยี้! อวดรวย!”
ไม่มีใครได้ยินหรือใส่ใจ เพราะทุกสายตาเพ่งมองไปยังเครื่องประดับในมือเจ้าอุรคาที่ถูกยกขึ้นมาโชว์ทีละชิ้น
“นี่คือมรกต”
ภุชคินทร์เพ่งมองมรกต อย่างตื่นตะลึง มันช่างเหมือนภาพในฝันของตนเป๊ะๆ
เจ้าอุรคาหยิบเครื่องประดับอีกชิ้นขึ้นมา แล้วเอื้อนเอ่ย
“นี่คือครุฑธิการ”
ทุกคนเพ่งตามองไปเป็นตาเดียว โดยเฉพาะภุชคินทร์นั้น แว่บๆ ที่ภุชคินทร์เห็นแหวนมุกเป็นสีเขียวเลือดภุชคินทร์พึมพำ
“เหมือนที่เราเห็นแหวนมุกคุณแม่”
หม่อมภาณีเมื่อมองไปในหีบไม่เห็นมีเครื่องประดับอีกแล้วสักชิ้น ประกายคำโพล่งขึ้น
“แล้วไหนล่ะคะ นาคสวาท”
“อยู่นี่ค่ะ”
เจ้าอรุคายกมือเรียวงามขึ้นลูบไล้บริเวณลำคอขาวผ่อง เผยให้เห็นว่านางสวมสร้อยที่มีจี้เป็นพลอยนาคสวาทสีเขียวเข้ม ในขณะทุกคนฮือฮาส่งเสียงชื่นชมกันอื้ออึง
“สวยมาก” / “สวยเหลือเกิน”
แต่ภุชคินทร์กลับเบิกตากว้างอย่างตกใจ ภาพฝันตอนเห็นพญานาคราชกระอักเลือดออกมาเป็นสีเขียวเข้มผุดขึ้นมาอีกแว๊บๆ
ภุชคินทร์หน้าซีดเผือด จังหวะเดียวกันนั้นคล้ายมีลมบางอย่างมาปะทะจนเนื้อตัวชาวูบ มองเห็นจี้นาคสวาทเม็ดนั้น พุ่งเข้าสู่สายตาของตนอย่างรวดเร็วว่องไว
พร้อมๆ กันนั้นภุชคินทร์ก็รู้สึกเวียนหัว มึนงง ซึมซับรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าใส่ร่างกาย อาการคล้ายๆ กับเหตุการณ์ในภาพฝันตอนพญานาคราชถูกพญาครุฑทำร้ายยังไงยังงั้น
ภุชคินทร์ตวัดสายตาไป เห็นสุบรรณจ้องมองนาคสวาทอยู่เหมือนกัน ทีท่าของสุบรรณยามนั้นน่าเกรงขามจนภุชคินทร์ขนลุกซู่ด้วยความหวาดหวั่น ภุชคินทร์รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนจะหมดแรงลงเดี๋ยวนั้น หายใจไม่ออก หูอื้อตาลาย
ร่างภุชคินทร์โงนเงนก่อนทรุดฮวบล้มลงไป พร้อมๆ กับได้ยินเสียงหม่อมภาณี นารีวรรณ เฟื่องวลี และคนอื่นๆ กรีดร้องอื้ออึง
“ชาย” / “พี่ชาย” / “คุณชาย”
และแล้วสติสัมปชัญญะของภุชคินทร์ก็ดับวูบลงไป
ที่ลำน้ำโขง ภุชคินทร์เดินมา ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ภุชคินทร์เดินเข้า
ไปใกล้ๆ มองจากด้านหลังรูปร่างของสตรีนางนั้นช่างคุ้นตานัก ภุชคินทร์ถาม
“คุณ...ร้องไห้ทำไม คุณ...ร้องไห้ทำไม”
เธอไม่ยอมตอบ เอาแต่ร้องไห้ เหมือนคนที่หัวใจสลายภุชคินทร์ตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงไหล่ สตรีนาง
นั้นทำท่าจะหันมา แต่แล้วภุชคินทร์ก็รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างถูกกระตุกอย่างแรง
ร่างของภุชคินทร์นอนอยู่ภายในห้องพักสักห้อง หม่อมภาณีกับหนูนาช่วยกันพัดวี และเอายาลมให้ดม ขณะที่ฟีบี้ทำเป็นห่วงร้องไห้จนเกินกว่าเหตุ ภุชคินทร์พึมพำแทบไม่ได้ศัพท์ และเบามาก ไพศิษฐ์เข้าไปใกล้เงี่ยหูฟัง
“คุณ...คุณเป็นใคร? คุณร้องไห้ทำไม?”
ไพศิษฐ์นิ่วหน้า ทุกคนมองสนใจ นาถสุดาถาม
“คุณชายพูดว่าอะไรคะ”
ไพศิษฐ์กลบเกลื่อนให้เพื่อน “ไม่ได้ศัพท์ ...คงเพ้อไปน่ะ”
เฟื่องวลีเอื้อมมือมากระชากร่างของภุชคินทร์เขย่าๆ
“พี่ชาย พี่ชายอย่าเป็นอะไรไปนะคะ ฟีบี้ทนไม่ได้ ถ้าพี่ชายเป็นอะไร”
ภิงคารปรามท่าทีรำคาญ “ฟีบี้...นายชายแค่เป็นลมเฉยๆ”
“เป็นลมเฉยๆ แล้วทำไมพี่ชายถึงไม่พูดไม่จาอะไรเลยล่ะคะ? ดูสิคะ..ทำตาค้างอย่างกับถูกผีเข้า” เฟื่องวลีโวยวาย
สีหน้าภุชคินทร์ยามนี้เป็นอย่างที่ฟีบี้ว่าจริงๆ ชายหนุ่มลืมตา แต่เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไพศิษฐ์บอก
“ผมว่าพานายชายไปหาหมอดีกว่าครับ”
“นาถจะโทร. เรียกรถพยาบาล”
นาถสุดาควักมือถือออกมา ไพศิษฐ์ปราดเข้าไปจะพยุงร่างของภุชคินทร์ขึ้น เพียงเนื้อสัมผัสภุชคินทร์ก็ดูเหมือนได้สติ บอกเร็วปรื๋อ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ทุกคนชะงักมอง
“ไม่เป็นอะไรได้ยังไงคะ? พี่ชายเหมือนไม่ใช่คนเดิม” เฟื่องวลีว่า
ภุชคินทร์ “พี่แค่หายใจไม่ออก”
“จะหายใจออกได้ยังไง ไทยมุงมุงอยู่เต็มอย่างนี้”
ภิงคารพูดจบ ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็เบี่ยงกายหลบ ให้อากาศระบาย ภิงคารว่าต่อ
“ตะกี้ที่เป็นลมคงเพราะคนในงานเยอะเท่านั้นแหละ” ภิงคารหันมาทางพี่สาว “ผมว่าให้นายชายนอนพักดีกว่า พวกเราออกไปข้างนอกกัน”
หม่อมภาณีเห็นด้วย “ก็ดี...พี่เองก็อยากคุยกับเจ้าอุรคาอะไรนั่น ต้นตระกูลมาจากไหน ถึงได้มีพลอยเนื้องามขนาดนั้น...ชายไม่เป็นอะไรแน่นะลูก”
“ครับ”
“งั้นนอนพักนะ...เลิกงาน เดี๋ยวแม่พากลับบ้าน”
“ครับ”
“เดี๋ยวฟีบี้อยู่เฝ้าพี่ชายเอง” เฟื่องวลีอาสา
เฟื่องฟ้ารีบสนับสนุน “ดีลูกดี”
ภิงคารลากเสียงยาวดักคอ “ไม่ดีมั้ง...ถ้าจะมีคนเฝ้า ก็ให้หนูนาเฝ้าดีกว่า”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูนาอยู่กับพี่ชายเอง” นารีวรรณอาสา
“ไม่เป็นไร พี่อยากพักคนเดียว”
“งั้นพวกเราออกไปข้างนอกกันดีกว่า” หม่อมภาณีว่า
ไพศิษฐ์เย้า “เจออะไรเรียกดังๆ นะชาย ฉันจะอยู่หน้าห้อง อารักขาเพื่อนเต็มที่”
ภุชคินทร์ฉงน “จะเจออะไร”
ไพศิษฐ์ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูภุชคินทร์
“จะไปรู้เหรอ ตะกี้ตอนหมดสติ นายเอาแต่เพ้อละเมอถาม...คุณ...คุณเป็นใคร แล้วก็ คุณ...คุณร้องไห้ทำไม”
ภุชคินทร์เบิกตากว้าง นี่เขาฝันและละเมอจริงๆ หรือ?
เฟื่องวลีทำท่าสยอง แอบได้ยินที่ไพศิษฐ์กระซิบบอกภุชคินทร์
โปรดติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 3