เสือสมิง ตอนที่ 11
หัวหน้าและลูกน้องว้าแดง ต่างแปรขบวนม้ารุมล้อมยิงเข้าใส่แววและลูกน้องที่สู้ตาย
“น้าแวว หนีไปก่อน”
“ไม่ น้าจะไม่หนีอีกแล้ว อย่างดีก็แค่ตาย”
แววและลูกน้องยิงต่อสู้อย่างห้าวหาญ หัวหน้าและลูกน้องว้าแดงลงจากม้าเข้าหาที่กำบังแล้วยิงตอบโต้แววอย่างหนัก จนลูกน้องแววตายคนหนึ่ง
“โธ่ พี่เสือ...พี่เสืออยู่ที่ไหน...”
การต่อสู้ดำเนินไป ในที่สุดเหลือแววอยู่คนเดียวลูกน้องถูกยิงตายหมด แววยังกร้าวและยิงตอบโต้อย่างไม่กลัวตาย
“นึกว่าข้ากลัวหรือวะ...มาเลยข้าพร้อมตายอยู่แล้ว”
หัวหน้าว้าแดงสะใจ
“แหม นังป้านี่มันใจถึงจริงๆ สงเคราะห์แกหน่อยวะพวกเรา”
ลูกน้องคนหนึ่งยืนแล้วเล็งปืนยิงไปที่แวว ที่ใส่ลูกกระสุน ลูกน้องกำลังจะเหนี่ยวไกปืน แต่แล้วก็มีลูกปืนพุ่งข้ามาหามันกระเด็นขาดใจตายทันที หัวหน้าว้าแดงตกใจแล้วหันไปที่ที่มาของกระสุน เจ้าของลูกปืนลูกนั้นคือจ่าชิตนั่นเอง จ่าชิตกับตำรวจ 5 นายเคลื่อนกำลังมาทางด้านหลังแวว
“เฮ้ย ตำรวจมาจากไหนวะ”
“สู้หรือถอยหัวหน้า”
“สู้สิวะ...เรียกกำลังเสริมมา”
ลูกน้องวิทยุเรียกพวกมา หัวหน้าเอาปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่พวกตำรวจจนแตกกระจายไปคนละทาง จ่าชิตวิ่งมาที่แววจ่าชิตไม่รู้จักแววแล้วสอบถาม
“บาดเจ็บไหม”
“ไม่”
“ดี...”
จ่าชิตยิงตอบโต้กับพวกว้างแดงแล้วสั่ง
“จับตายให้หมดทุกคน”
หมู่ตะโกนกลับมาอย่างยียวน
“จับยังไงจ่า พวกมันมีมากกว่าตั้งครึ่ง”
การต่อสู้ดำเนินไปจนกระทั่งฝ่ายว้าแดงได้เปรียบ ตำรวจตายสามคนเหลือเพียงหมู่กับจ่าชิต ว้าแดงมีกำลังมาสมทบ อีกสิบคน
“หมู่ พาผู้หญิงขึ้นม้าหนีไป” จ่าชิตสั่งเมื่อเข้าตาจน
“แล้วจ่าล่ะ”
“ไม่ต้องถามส่งให้ทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวสั่งขังซะนี่”
หมู่รู้สึกซึ้งน้ำใจจ่าชิตเขาพูดออกมาจากใจจริง
“แต่ก่อนฉันเชื่อที่คนเขาพูดกันว่าจ่าชิตเป็นคนไม่เอาไหน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าจ่าเป็นตำรวจด้วยสายเลือดจริงๆ”
หมู่ทำความเคารพจ่าชิตแล้วพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ด้วยความเคารพครับจ่า ผมทำอย่างที่จ่าขอร้องไม่ได้จริงๆอยู่ด้วยกันก็ต้องตายด้วยกัน”
“ฉันด้วยฉันพร้อมจะสู้ตายกับพวกคุณ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างจริงจัง และให้กำลังใจกันแล้วลุกขึ้นหันหลังพิงกันยิงต่อสู้กับพวกว้าแดง หมู่ถูกยิงเขาที่แขน ลูกน้องว้าแดงถูกยิงกลิ้งไป แววถูกยิงเข้าที่ข้อมือและขาทรุดลง จ่าชิตไม่ถูกแต่ยิงใส่พวกนั้นแบบแลกชีวิต ลูกน้องว้าแดงล้มตายไปหลายคน หัวหน้ากำลังเล็งจะยิงจ่าชิต แต่มีลูกปืนยิงเข้าใส่หัวหน้าเข้าที่ไหล่ทำให้ปืนตก
เสือใจขี่ม้าเข้ามาพร้อมยิงปืนเข้าใส่พวกว้าแดงที่ทันตั้งตัว อย่างเมามัน จ่าชิต แววต่างมองไปที่เสือใจ
“พี่เสือ”
“ไอ้ใจ”
หมู่มองเสือใจอย่างแปลกใจและสงสัย
“นี่หรือเสือใจ”
เสือใจยังชักม้ายิงและใช้ระเบิดขว้างทำให้พวกว้าแดงกระเจิงไป เสือใจลงมาจากม้า แววรีบวิ่งเขาไปกอดเสือใจด้วยความดีใจ จ่าชิตงง
“อ้าว..รู้จักกันด้วยหรือ”
“มายังไงวะไอ้ชิต”
จ่าชิตยียวนแล้วมองแววที่กอดเสือใจอยู่อย่างลืมตัว
“ไม่รู้แต่ก็ทันช่วยเมียเอ็งล่ะวะ”
เสือใจกับแววรู้สึกเขิน แววรีบปล่อยมือออก
“เอ็งอย่ามามั่วนะ นี่ใช่เมียข้าที่ไหน”
“คนแก่เขินนี่มันน่าเกลียดจังโว้ย” จ่าชิตหัวเราะ
มีเสียงสั่นๆของหมู่ดังมาจากข้างหลังเสือใจ
“หยุดนะเสือใจ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมให้จับซะโดยดี”
เสือใจหันไปมองหน้าหมู่ ท่าทางเขาขันแล้วทำหน้าตาเหี้ยมหลอกหมู่
“คิดจะจับข้าหรือ...หือ..”
หมู่ถึงกับสะดุ้งตัวสั่น ปืนตกลงพื้นยกมือไหว้เสือใจปะหลกๆ
“กะ..กะ..กลัวแล้วจ้ะ พ่อเสือใจ..อย่าทำอะไรฉันเลย”
เสือใจกับจ่าชิตหัวเราะแล้วพากันเดินไป เสือใจประคองแววไปด้วย หมู่รีบตามทันที
เสือทศนั่งดื่มเหล้าย้อมใจรอฟังข่าวอยู่ที่ร้านเหล้าในตลาดเล็กๆ เสือเรืองมากับลูกน้องว้าแดงแล้วเข้ามารายงาน สีหน้าเสือเรืองบอกว่าไม่สำเร็จ เสือทศมองแล้วพอจะเดาได้
“ไปบอกพวกมันว่าข้าจะให้โอกาสมันอีกครั้ง ให้พวกมันตามหาจงใจให้เจอ”
“ได้พี่”
ลูกน้องว้าแดงรับรู้แล้วรีบไป
“มันยากเย็นแบบนี้คงต้องใช้คนเป็นกองทัพล่ะมั้ง” เสือทศบอกอย่างเครียดๆ
เสือใจ จ่าชิต แวว และหมู่ มาพักในป่าที่ปลอดภัยและนั่งกินอาหาร ทั้งหมดสนทนากันมาระยะหนึ่งแล้ว
“นี่แสดงว่าหมวดของข้าช่วยลูกสาวเอ็งและเด็กๆไป” จ่าชิตออกความเห็น
“ข้าคิดว่าอย่างนั้น”
จ่าชิตโล่งใจแล้วหยอกเสือใจ
“งั้นเบาใจได้ว่าหมวดสมรักษ์ของข้า จะต้องดูแลลูกสาวเอ็งอย่างดี”
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
“อ้าว....คนรักกันชอบกัน ใครจะปล่อยให้คนรักลำบากวะ” จ่าชิตหัวเราะ
“ไอ้เวรนี่...เดี๋ยวปั๊ด...”
แววมองขำๆ เสือใจยังดึงดัน
“ไม่ได้หรอก ลูกโจร จะไปรักไปชอบกับตำรวจได้ยังไง”
จ่าชิตยิ้มแต่ก็จริงจัง
“ตำรวจที่เอ็งคิดน่ะ ตอนนี้เป็นโจรไปเรียบร้อยแล้ว”
“เรื่องมันเป็นยังไงหรือจ่าชิต” แววสงสัย
“เอาไว้จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ไอ้ใจ...เอ็งกับข้าคงต้องร่วมมือกันตามหาหมวดกับลูกสาวเอ็งแล้วล่ะ”
หมู่แย้งอย่างกล้าๆกลัวๆ
“จ่า...จ่าคิดดีแล้วหรือที่...เอ่อ...”
“สำหรับฉัน ไอ้ใจมันไม่ใช่โจรแต่มันเป็นเพื่อน อีกไม่นานหมู่จะเข้าใจเอง”
เสือใจคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง แล้ววิตก
“เออ...ไอ้ชิตระหว่างนี้คงต้องระวังตัวกันให้มากสักหน่อย”
“มีอะไรหรือ”
“เมื่อคืนวานข้าเจอเสือสมิงมันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้”
“เสือสมิงหรือ...ที่แท้ก็มาหลบอยู่แถวนี้เอง”
เสือใจมองท่าทางจ่าชิตแล้วไม่เข้าใจเท่าไหร่
บริเวณเต็นท์หน้าโบสถ์...ประเดิมจดรายชื่อคนไข้ที่เดินทางมารักษาใหม่ร่วมกับสาวกระเหรี่ยงสองคน คนไหนเสร็จแล้วสาวกระเหรี่ยงก็จะพาไปพักผ่อน
“อ้าว...ลงชื่อแล้ว รอก่อนนะวันนี้คุณหมอหยุดพักผ่อนวันนึง เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอจะมาตรวจนะ..ไปพักก่อน เอ้าคนต่อไป...”
ประเดิมร้องบอก คนไข้คนทยอยเข้าแถวกันมา กินรีเดินเข้ามาหาประเดิม
“มีอะไรให้ช่วยไหมพี่ประเดิม”
ประเดิมอมยิ้มแล้วมองสาวกระเหรี่ยงข้างๆทำนองว่ามีผู้ช่วยแสนสวยแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าจะช่วยก็ช่วยไปไกลๆ เอ๊ย...ช่วยไปดูคนไข้ข้างในให้หน่อยไป”
กินรีอมยิ้มพอจะรู้ความนัยแล้วเดินไป
“จ้ะ...ไม่อยากอยู่เป็นกอ ขอ กอ กาหรอก”
กินรีเดินจากไป คนไข้เริ่มเบาบางลง สาวกระเหรี่ยงคนหนึ่งถามประเดิมอย่างอ่อนหวาน
“เหนื่อยไหมจ๊ะ”
“ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ...มีน้องสองคนอยู่ใกล้ๆ พี่ประเดิมสู้ใจขาดดิ้นเลย”
ประเดิมออกลูกเจ้าชู้ สาวกระเหรี่ยงแสดงมารยาให้ท่า
“คนเมืองน่ะเขาปากหวานแบบนี้ทุกคนหรือจ๊ะ”
“พี่ไม่รู้หรอก แต่ที่พี่พูดน่ะ มันออกมาจากใจนะ”
สาวกระเหรี่ยงส่งตาหวาน
“เชื่อได้หรือ...ผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ได้สิ...ถ้าน้องสองคนได้ใกล้ชิดกับพี่ประเดิมมากกว่านี้ รับรองว่าน้องต้องเชื่อพี่ประเดิมคนนี้แน่นอน”
สาวกระเหรี่ยงสองคนทำเป็นเขินอาย
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ คืนนี้เราสามคนมานั่งคุยกันท่ามกลางแสงจันทร์น้องสองคนจะได้รู้จักพี่ประเดิมดีขึ้นไง...ดีไหม”
สาวกระเหรี่ยงสองคนมองอย่างสมหวัง มองหน้ากันแล้วพูดพร้อมกัน
“ดีจ้ะ...”
ประเดิมยิ้มแย้มสมใจ โดนไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาหาตัวเอง
กินรีเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้คนไข้เด็กผู้หญิงรายหนึ่ง อีกเตียง คนไข้หญิงชราคนหนึ่งอาการไม่ดี ร้องบอก
“แม่หนู ฉันหายใจไม่ค่อยออก หมอไม่อยู่หรือ”
“เอ่อ...วันนี้คุณหมอไม่มาค่ะ คงต้องรอวันพรุ่งนี้ล่ะจ้ะยาย”
“ยายกลัวจะอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้น่ะสิ”
กินรีหน้าเศร้าแล้วให้กำลังใจ
“ยาย..ยายไม่เป็นอะไรหรอก”
กินรีกุมมือยายเอาไว้ ยายเหมือนมีพลังอย่างประหลาดแล้วรู้สึกดีขึ้นมา ชายชราคนที่ถัดไปประมาณ 2 เตียงไออย่างรุนแรง และกำลังจะหมดแรง กินรีหันไปมองพบว่าชายชรากำลังนอนหายใจรวยรินจึงรีบลุกเอาผ้าชุบน้ำแล้วปลอบโยน
“ลุงไม่เป็นไรหรอก ใจเย็นๆนะ พรุ่งนี้หมอก็จะมารักษาแล้ว”
ในห้องลับของบาทหลวง ประตูแง้มออกมา บาทหลวงจ้องดูกินรีมาตั้งแต่ต้นแล้ว เขารับรู้ถึงพลังบางอย่างในตัวกินรี
“นางเป็นใครกันแน่...หรือว่าจะเป็นนางผู้นั้นจริงๆ...”
บาทหลวงสันนิษฐานอะไรบางอย่าง
ภราดรนั่งอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ระรินเดินออกมาในมือซ่อนหุ่นที่ทำเสน่ห์เอาไว้ เธอกำลังจะนำมันไปฝังใต้โคนต้นไม้ใหญ่
“คุณระริน จะไปไหนหรือครับ”
“เอ่อ...ฉันจะไปแถวนี้แหละ”
ภราดรงอแงด้วยฤทธิ์เสน่ห์
“ผมไปด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวระรินก็มาแป๊บเดียวเอง หมออยู่นี่แหละ อย่าดื้อสิ”
ภราดรจำยอมเหมือนเด็กๆ
“อย่าไปนานนะครับ”
“ค่ะ”
ระรินเดินยิ้มจากไปอย่างอารมณ์ดี เพราะนับแต่นี้ไปภราดรจะเป็นของเธอตลอดไป
ภราดรยืนอยู่ตามลำพัง เมื่อระรินเดินแยกไป ระหว่างนั้นปรากฏลมกรรโชกหมุน ฟ้าครึ้ม ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววมาก่อน ทันใด ชะเวมะรัตปรากฏร่างขึ้น
“พ่ออยู่หัว...”
ภราดรหันมาเจอชะเวมะรัตอย่างตะลึง ภราดรเปลี่ยนใบหน้าเป็นปีศาจ น้ำเสียงดูใหญ่ผิดปกติ
“ข้าไม่ใช่พ่ออยู่หัว อะไรของเจ้า”
ชะเวมะรัตพยายามเตือนสติ
“พ่ออยู่หัวใยอ่อนแอเยี่ยงนี้ ...พระองค์ควรตั้งสติก่อนที่จะถลำลึกลงไปอย่างยากที่จะกลับมา”
ปีศาจที่สิงภราดรไม่ยอม
“ข้าเป็นตัวของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง...”
“นางผู้นั้นหาใช่คู่แท้ของท่าน...นางกำลังใช้มนตราหลอกให้ท่านหลงใหล”
“หยุดนะ...อย่ามายุ่งกับข้าไม่เช่นนั้นเจ้าจะโดนดี”
“ข้าหาได้ยุ่งเรื่องส่วนตัว หากข้ากำลังจะนำทางสว่างให้พระองค์”
“เอ๊ะ...เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่องเสียแล้ว”
ภราดรไม่พอใจ ขณะเดียวกัน ประเดิมเดินเข้ามาหาภราดรอย่างสงสัย
“หมอ...หมอคุยกับใครอยู่หรือครับ”
ภราดรสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ร่างผีหายไป ท้องฟ้าหายครึ้มอยู่ในสภาพเดิม
“เอ่อ...คุยกับ...” ภราดรไม่เห็นชะเวมะรัตแล้ว “...เออ..เปล่าๆ มีอะไรหรือประเดิม”
ประเดิมนำอาหารมาวางบนโต๊ะ
“ผมเอาอาหารเช้ามาให้น่าครับ”
“ขอบใจ เสร็จธุระแล้วก็ไปได้แล้ว”
“ครับๆ”
ประเดิมจากไปทันทีที่ภราดรสั่ง
กินรีกลับมาที่พักแล้วมานั่งที่แคร่หน้าบ้าน มะค่ากับแก้วกลับมาจากล้างจานด้วยกัน
“อ้าววันนี้ไม่ช่วยหมอดูแลคนไข้หรือ” มะค่าสงสัย
กินรีส่ายหน้า
“วันนี้หมอพักวันนึงจ้ะ”
“งั้นก็ดีสิ ฉันจะได้พักบ้าง...เฮ้อ...เมื่อย”
“ตามสบายเถอะ...”
บาทหลวงมาปรากฏกายข้างๆ กินรีหันไปเห็นพอดี
“คุณพ่อ...เมื่อไหร่คะ..ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”
“มาตั้งนานแล้วลูก พ่อเห็นลูกเหม่อ อยู่ตั้งนานคงไม่ทันสังเกตล่ะสิ...” บาทหลวงหัวเราะอย่างเอ็นดู
“คุณพ่อมีธุระอะไรหรือคะ”
“คืนนี้พ่ออยากจะจัดดอกไม้ เอาไว้วันขอบคุณพระเจ้าวันพรุ่งนี้อยากจะรบกวนหนูไปช่วยจัดหน่อย”
“ได้สิคะ” กินรีตอบรับด้วยความยินดี
“ขอบใจมากนะ คืนนี้เจอกัน”
บาทหลวงเดินจากไป เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ระรินเดินมาที่กลางป่าเมื่อถึงโคนไม้ใหญ่ แล้วขุดหลุมเพื่อนำหุ่นดินฝังลงไป ตามที่ออ
ไชยสั่งไว้ว่า...
“เจ้าจงเอาหุ่นของเจ้ากับหมอคนรักของเจ้าฝังลงไปในดินให้ลึก ตราบที่ไม่มีผู้ใดพบมัน หมอก็จะเป็นของเจ้าชั่วนิรันดร์ ร่างกายของมันจะกลับเป็นเหมือนเดิมทุกประการ แต่จิตใจของมันจะมอบใจภักดิ์แก่เจ้าผู้เดียว”
ระรินเอาหุ่นวางลงไปในหลุม บังเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยง! ฟ้ามืดครึ้มลมกรรโชก ระรินมองไปรอบๆอย่างพอใจแล้วลงมือกลบดิน
ภราดรนั่งเหม่อลอยอยู่บนบ้าน จังหวะเดียวกับที่ระรินฝังหุ่นแล้วกลบบังเกิดลมแรงฟ้าครึ้ม ภราดรรู้สึกเหมือนร่างกายเจ็บปวด มีแสงวูบขึ้นทำเขาฟุบลงไปบนพื้น ภราดรฟุบไปไม่นานแล้วคืนสติด้วยความรู้สึกคิดถึงแต่ระรินเท่านั้น
เสือทศนั่งอยู่กับเสี่ยรงค์ ศักดา อองไชย และเบิ้ม ภายในปางไม้ ห่างออกไปเสือเรืองกับเสือชินกำลังนั่งดื่มเหล้ากันสองคน
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละเสี่ย เรื่องพ่อเสือ ฉันพยายามแล้วแต่มันกินพ่อเสือไม่ลงจริงๆ” เสือทศเล่าอย่างหงุดหงิด
“แล้วตอนนี้ไอ้ใจมันอยู่ที่ไหน” เสี่ยรงค์ถาม
“คงกำลังออกตามหาจงใจ ที่ไอ้หมวดนั่นมันพาหนีไป”
ศักดาไม่พอใจ
“นี่ถ้าวันนั้น นายจัดการหมวดสมรักษ์ให้เรียบร้อยล่ะก็ เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
เสือทศเขม่นศักดาเช่นกัน
“ถ้าผู้กองเก่งนักคราวหน้าก็จัดการเอาเองก็แล้วกัน...ไอ้ฉันมันแค่โจรกระจอก”
เสี่ยรงค์ห้ามทัพ
“พอ...พอได้แล้ว...ให้ช่วยกันทำงานไม่ใช่ให้มาทะเลาะกัน แล้วตอนนี้จะเสือทศทำยังไง”
“ฉันกำลังส่งคนตามไล่ล่าอยู่ แต่คนของฉันมันเริ่มปอดแหกแล้ว เพราะมันยิงพ่อเสือไม่เข้า ขนาดปืนกลยังไม่ระคายผิวเลย เลยอยากจะมาขอให้เสี่ยช่วยอีกทางหนึ่ง”
อองไชยที่นั่งนิ่งอยู่นาน สนใจทันที
“ยิงไม่เข้าหรือ...ถ้าเป็นนายใจคนเดียวกันล่ะก็....”
“ทำไมรึท่านพราน ท่านรู้จักไอ้ใจหรือ”
อองไชยพยักหน้ารับ
“แน่นอน รู้จักมันดีด้วย มันเรียนวิชากับอาจารย์คนเดียวกับข้า สองสามปีก่อนที่มันจะไปบวช หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันเลย”
“งั้นท่านก็รู้วิธีกำจัดมัน” เสี่ยรงค์พูดขึ้นทันที
“แน่นอน....มันไม่มีทางรอดมือข้าไปหรอก”
อองไชยยิ้มอย่างมั่นใจ ทุกคนดูมีความหวังที่จะได้กำจัดเสือใจขึ้นมาทันที
เสือใจเปิดรอยที่ถูกยิง ให้แววใส่ยาสมุนไพรแก้ฟกช้ำให้ จ่าชิตเดินมาเห็น
“ที่เขาลือว่าเอ็งมันหนังเหนียวมันก็จริงสิวะ...ให้ตายเถอะ ข้าคบกับเอ็งมานานเพิ่งจะเห็นกับตาก็วันนี้แหละ”
“ยิงไม่ตาย แต่ถ้าโดนลูกใหญ่ๆหนักๆก็จุกตายได้เหมือนกัน...แล้วจะเริ่มตามหาพวกนั้นกันที่ไหนดี”
เสือใจถามหลังจากทายาเรียบร้อยแล้ว จ่าชิตคาดเดา
“หมวดสมรักษ์เป็นคนฉลาด เขาไม่ยอมอยู่ที่โล่งแน่”
“จ่าหมายความว่ายังไง” แววสงสัย
“หมวดต้องหาทางไปที่ชุมชนที่มีคนเยอะๆ อย่างน้อยก็ยังมีคนช่วยเหลือ”
เสือใจนึกได้
“ตลาดชายแดนกระเหรี่ยง...หรือว่าพวกเขาจะไปที่นั่น”
จ่าชิตพยักหน้ารับ เสือใจตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่นั่นทันที
หัวหน้าว้าแดงนั่งดื่มเหล้ากับลูกน้องหลัง จากพลาดท่าจากการไล่ล่าเสือใจ
“ไม่ไหวแล้วพี่ ฉันไม่อยากจะเสี่ยงกับไอ้เสือใจมันอีกแล้ว” ลูกน้องไม่สบายใจ
“นั่นสิพี่ ยิงยังไงมันก็ไม่ตาย ฉันว่าเราไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า”
หัวหน้าพยักหน้ารับ
“ข้าก็คิดอย่างนั้น ฝีมือมันเกินคนจริงๆ สมแล้วที่มันคือเสือใจผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้เสือทศเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว”
“หมายความว่าอะไรพี่”
“เสือทศต้องการให้เราตามหาและจับลูกสาวเสือใจไปให้”
ลูกน้องทั้งสองคนพอจะใจชื้น
“อย่างนี้ค่อยยังชั่ว แล้วค่าจ้างล่ะ”
“สองเท่า”
ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วกระซิบ หัวหน้าพยักหน้ารับ
“แหม....มันช่างโชคดีอะไรอย่างนี้”
“มีอะไรหรือพี่” ลูกน้องที่นั่งคุยอยู่ด้วยสงสัย
“คนของเราเพิ่งกลับมาจากตลาด บอกว่ามีตำรวจกับผู้หญิงบาดเจ็บไปที่โบสถ์”
หัวหน้ายิ้มอย่างพอใจ
บาทหลวงอยู่ในห้องลับกับจอบิ
“เตรียมตัวให้ดีคืนนี้แหละที่ข้าจะได้พลังที่สูญเสีย ไปทั้งหมดของข้ากลับคืนมา” บาทหลวงกำชับ
“แสดงว่าคุณพ่อพบ...”
บาทหลวงพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ใช่ ฉันคิดว่าฉันพบแล้ว...เลือด...เลือดบริสุทธิ์ที่มีอำนาจพิเศษ”
“นางคือใคร”
“คืนนี้เจ้าก็จะรู้เอง เตรียมดอกไม้และแท่นบูชาให้พร้อม”
“ครับคุณพ่อ”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง
เสือใจ จ่าชิต แววและหมู่เดินทางมาถึงทุ่งกว้าง อีกไม่ไกลนักจะถึงตลาด
“นี่ก็จะมืดแล้วเราควรจะพักที่นี่ก่อน” เสือใจบอกทุกคน
“ดีเหมือนกัน ข้าว่าทุกคนก็เหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว”
แววเหนื่อยล้าแต่ไม่บ่น เสือใจสังเกตเห็น
“พักที่นี่ก่อนนะแวว”
“จ้ะ...”
“หมู่ ไปหาฟืนมาก่อไฟกันไป....จู๋จี๋กันตามสบายนะเพื่อน”
หมู่รับคำจ่าชิตล้อเสือใจ
“บอกกี่ครั้งแล้วว่า แววเขาไม่ใช่เมียข้า”
“อ้าว...เหรอ...งั้นก็เอาทำเมียซะสิ...ไปกันได้แล้วหมู่”
“ครับผม”
จ่าชิตชวนหมู่ไป เสือใจเหลือบมองแววที่มองอยู่ เขารู้ดีว่าแววคิดอย่างไรกับเขา...
อองไชเทลูกปืนลงบนโต๊ะจำนวนหนึ่ง แล้วบอกทุกคน
“ลูกปืนอาคม ข้ารับรองว่าโดนลูกปืนพวกนี้ไปหนังของเสือใจก็ไม่ต่างกับกระดาษ”
ทุกคนมองลูกปืนเสือทศ หยิบมันขึ้นมาดูแล้วถามเพื่อความแน่ใจ
“พรานแน่ใจนะ”
“เสือสมิงอาคมแก่กล้าข้ายังยิงมาแล้ว นับประสาอะไรกับเนื้อหนังมังสาของคน”
เสี่ยงรงค์ยิ้มอย่างพอใจ
“อย่างนี้ค่อยสูสีกันหน่อย”
“ตกลงเสี่ยจะส่งคนไปช่วยผมไหม”
ศักดาออกความเห็น
“ไม่จำเป็นหรอก เราจะใช้คนรอบตัวมันล่ามันเอง”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่า ก็ให้คนไปปล้นในนามเสือใจสิ ปล้นมันให้หนักๆ ทีนี้แหละทั้งชาวบ้าน ทั้งตำรวจทุกท้องที่ต้องออกไล่ล่ามันอย่างเต็มที่ เราก็แค่รอเมื่อมันถูกจับ เมื่อนั้นกระสุนของท่านพรานก็จะทำหน้าที่ของมัน”
เสี่ยรงค์เห็นดีด้วย
“ฉลาดมากผู้กอง ที่นี้คงรู้นะว่าใครมีหน้าที่ไปปล้น”
เสี่ยรงค์ชายตามองมาที่เสือทศซึ่งยิ้มรับอยู่แล้ว
เสือสมิง ตอนที่ 11 (ต่อ)
บาทหลวงกับจอบิออกมายืนดูความเรียบร้อยแล้วของผู้ที่พักอยู่ในโบสถ์บ้าง ตามเต้นต่างๆบ้าง
“นังสองตัวนั่นล่ะ” บาทหลวงถามถึงสองสาวกระเหรี่ยง
“พร้อมแล้วครับคุณพ่อ”
“ดีมาก...คืนนี้ฉันจะปล่อยให้ทุกคนกินให้อิ่ม กินให้เต็มที่”
จอบยิ้มรับอย่างพอใจ
ภราดรนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเหม่อๆ ระรินยกอาหารมาให้มองอย่างแปลกใจ
“คิดอะไรอยู่คะ ทานข้าวเถอะค่ะหมอ...”
ระรินจัดจาน พยายามเอาอกเอาใจภราดรราวกับเป็นภรรยา
“หมอคะ..”
ภราดรสะดุ้ง
“เอ่อ..ครับ...มีอะไรหรือครับ”
“หมอเป็นอะไรคะ นั่งเหม่ออยู่นานสองนาน ..คิดอะไรอยู่หรือคะ หรือว่าคิดถึงนังกินรี”
“กินรีไหนหรือ..ผมไม่รู้จัก”
ระรินรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
“ก็นังกินรีที่เป็น...เป็นลูกจ้างของเราไง”
“อ๋อ..เหรอ”
สติของภราดรไม่อยู่กับตัว และจำอะไรไม่ค่อยได้
“ไม่รู้พักนี้ผมเป็นอะไร รู้สึกหลงๆลืมๆ บางครั้งก็จำอะไรไม่ค่อยจะได้”
“หมอคงโหมงานมากเกินไปมั๊งคะ พักผ่อนเสียหน่อยก็คงไม่มีอะไร”
“นั่นสินะ...ผมคงต้องแบ่งเวลามาพักผ่อนบ้างแล้ว”
“ว่าแต่หมอ จำระรินได้หรือเปล่าน้า...”
ระรินอ้อน
“โธ่ ใครจะไปลืมคนรักของตัวเองได้ครับ
ระรินแอบอมยิ้มในใจลิงโลด
ประเดิมยืนหวีผมพรมน้ำหอมอยู่ที่ห้ากระจกในห้องอย่างเบิกบาน ฮัมเพลงอย่างมีความสุข หินเดินเข้ามาในห้องมองอย่างประหลาดใจ
“โห...น้าประเดิม จะไปถ่ายละครที่ไหนเนี่ย แต่งตัวซะเฟี้ยวเลย กลิ่นนี้หอมฟุ้งเชียว”
ประเดิมเขินและเก็ก
“นี่...จะไปไหนก็ไปอย่ามาขวางทางพระเอกอย่างฉัน เพราะฉันกำลังอินเลิฟ มีนัดกับนางเอกของฉัน”
“นั่นแน่...พระเอก...หน้าตาอย่างกับรากผักชี...ใครกันนะโชคร้ายจริง”
“นี่...หน้าตาอย่างฉันเนี่ยมันนัดสาวไม่ได้หรือ...ดูถูกกันเกินไปแล้วฉันจะบอกให้นะ ฉันน่ะขุนแผนแห่งบ้านสาง ฉันไม่ได้นัดคนเดียวนะ งานนี้ควงสองเลย...”
ประเดิมหัวเราะชอบใจ หินไม่เชื่อ
“โม้ ฉันไม่เชื่อหรอก”
“ฉันก็ไม่ได้จ้างให้เชื่อนี่...หลีกไป..ฉันต้องไปแล้ว”
ประเดิมรีบเดินจากไปอย่างสบายใจ หินมองตามอย่างสงสัย
“เป็นไปได้ยังไง ไม่น่าเชื่อ...อย่างต้อง....ตามไปดู”
หินแอบตามไปทันที
จงใจค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว แก้วดูแลเอายาให้กิน
“กินยาก่อนจ้ะพี่จงใจ”
“ขอบใจนะแก้ว”
จงใจกินยาเสร็จสมรักษ์เดินเข้ามาส่งยิ้มให้จงใจ แก้วมองหน้าสมรักษ์แววตาบอกว่าอาลัยแล้วรีบก้มหน้าขอตัวจากไป จงใจสังเกตเห็น
“ว่ายังไงคนป่วย...”
จงใจไม่ได้สนใจคำของสมรักษ์ได้แต่มองแก้ว
“มีอะไรหรือ”
“ปะ..เปล่า..ค่ะ”
สมรักษ์ ทรุดนั่งข้างๆแล้วแสดงความห่วงใยแววตาซึ้ง
“ไหนดูแผลซิ...อืม..หายแล้วนี่”
“หมวดเป็นตำรวจหรือเป็นหมอกันแน่เนี่ย...”
“เป็นอะไรก็ได้ที่สามารถปกป้องจงใจได้”
จงใจเขิน ขณะเดียวกัน แก้วยืนฟังทั้งหวานใส่กันก็น้ำตาซึม กินรีเดินผ่านมากำลังจะไปช่วยจัดดอกไม้ให้บาทหลวง
“แก้ว..ทำไมมายืนคนเดียวตรงนี้ล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกเห็นลมมันเย็นดีน่ะ พี่กินรีจะไปไหนหรือจ๊ะ”
“ไปช่วยบาทหลวงจัดดอกไม้น่ะ แก้วจะไปด้วยกันไหม”
แก้วฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไร แก้วจะอยู่ดูแลพี่จงใจ”
“อืม...ดีแล้วล่ะ”
กินรีจากไป แก้วมองตาม มะค่าเห็นกินรีเดินไปแล้ว ขณะที่เดินมาหามะค่า
“แก้ว”
“มีอะไรหรือมะค่า...”
“ไป...ไปเป็นเพื่อกันหน่อย”
“ไปไหน...จะพาฉันไปไหน”
“เออน่า..มาเถอะ”
มะค่าดึงมือแก้วตามกินรีไป แล้วหายในความมืดอีกด้านหนึ่ง
ระรินแต่งตัวอยู่ในห้องนอน แล้วมองผ่านหน้าต่างมาเห็นกินรีเดินผ่านไป
“นังกินรีมันไปไหนของมันมืดๆค่ำ...หรือว่ามันจะเป็นปีศาจจริงๆ...คราวนี้จับได้คาหนังคาเขาแน่ นังแม่มดเอ๊ย...”
ระรินตามกินรีไป ขณะที่ภราดรนอนลืมตาโพลงอยู่ในห้อง อย่างเซื่องซึมและจำอะไรไม่ได้
ประเดิมเดินมาที่ลานไม่กว้างนัก มองหาสองสาวกระเหรี่ยง
“ยังไม่มากันหรือนี่ สงสัยเราจะรีบไปหน่อย...ไม่เป็นไร สวรรค์อยู่ข้างหน้าแล้วนานแค่ไหนพี่ประเดิมก็รอได้....”
ห่างออกไปบริเวณพุ่มไม้ หินซุ่มดูอยู่อย่างไม่เชื่อประเดิม
“ท่าทางจะจริงเว้ย...ดูซิจะเป็นนางฟ้าหรือนางยักษ์”
ประเดิมหันมองไปรอบๆอย่างใจจรดใจจ่อ แต่ยังอารมณ์ดี
“สงสัยคงทำสวยกันอยู่สิท่า...ไม่เป็นไรมีเวลาทั้งคืน...”
ประเดิมหันหน้ามาอีกด้านหนึ่ง แล้วต้องสะดุ้งเพราะกระเหรี่ยงสาวคนหนึ่งปรากฏกายตรงหน้าเขาพอดี
“เฮ้ย...มาเมื่อไหร่เนี่ย...ตกใจหมดเลย...”
สาวกระเหรี่ยงอีกคนมาตบเบาๆที่ไหล่ ประเดิมสะดุ้ง
“เฮ้ย...โธ่...เอาอีกแล้วตกใจหมดเลย...เธอสองคนนี่จริงๆเลย...”
ประเดิมตั้งสติได้ สาวกระเหรี่ยงเอาใจ
“ฉันหัวใจวายไปเธอจะเสียใจนะ..”
“แหม...แค่นี้ทำเป็นขวัญอ่อน ถ้าเจอหนักกว่านี้จะทำยังไงเนี่ย”
“นั่นสิ...แล้วบอกว่าแมน...”
สองสาวกระเหรี่ยงรุมเอาใจ
“แหม...ก็มันเผลอนี่ จริงๆแล้วพี่ประเดิมเนี่ยผ่านมาแล้วร้อยเอ็ด...มหาสารคาม ขอนแก่น.. ไม่ขวัญอ่อนง่ายๆหรอก”
“อย่างนั้นเราไปหาอะไรสยองขวัญทำกันดีกว่า”
ประเดิมเอะใจ สองสาวกระเหรี่ยงจูงมือประเดิมเข้าไปหลังพุ่มไม้ใกล้ๆ หินที่มองอยู่นานแล้วทึ่งมาก
“น้าประเดิมนี่แน่จริงๆ...อย่างนี้ต้องมีของดีดูแน่เลย...”
หินหัวเราะคิกคัก
กินรีเดินมาที่โบสถ์ เธอเดินลับหายไปในเหลี่ยมของความมืด ระรินมัวแต่มองทาง เงยขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว
“มันไปทางไหนแล้วนะ”
ระรินตัดสินใจเดินตามหาไปเรื่อยๆ
กินรีเข้าไปในโบสถ์ แก้วจะเข้าไปมะค่าดึงมือเอาไว้
“เดี๋ยว รอดูไปก่อน”
แก้วพยักหน้ารับแล้วทำตาม ทางด้านกินรีเข้าไปด้านในโบสถ์ เห็นพวกที่มารักษานอนหลับสนิทกันทุกคน
“คุณพ่อคะ...คุณพ่อ”
กินรีเดินเข้าไปกลางโบสถ์ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
“เอ...หรือว่า จะยกเลิก...งั้นกลับดีกว่า”
“ขอโทษทีที่ให้รอ”
กินรีสะดุ้ง หันกลับไปเห็นบาทหลวงกับจอบิยืน เธอรู้สึกว่าบรรยากาศน่ากลัว
“คุณพ่อ...”
“เชิญทางนี้ดีกว่า”
บาทหลวงผายมือไปทางห้องลับ
มะค่ากับแก้วซุ่มดูอยู่ที่นอกโบสถ์ แล้วรู้สึกว่าทั้งคู่เข้าไปนานมากมะค่าจึงชวนแก้วเข้าไป
“เอ..เข้าไปตั้งนานแล้ว...เราลองเข้าไปดูกันดีกว่า”
“เดี๋ยว...มะค่า...มีเรื่องอะไรกันหรือ...ฉันยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“ฉันไม่ค่อยไว้ใจพวกบาทหลวงน่ะ ดูมีอะไรลึกลับแปลกๆ ไป..เข้าไปดูกันดีกว่าฉันเป็นห่วงพี่กินรี”
“ก็ได้..ไป...”
แก้วกับมะค่าออกจากมุมมืดตรงไปที่โบสถ์ เมื่อเข้าไปเห็นว่าข้างในไม่มีใครนอกจากคนป่วยที่นอนอยู่
“อ้าว...ไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังเห็นเข้ามาอยู่เลย”
“นั่นสิ...หายไปไหนนะ ข้างหลังก็ไม่มีทางออก”
มะค่ามองไปรอบๆอย่างผิดสังเกตอะไร แล้วตรงไปดูคนไข้ที่นอนหลับอยู่ คนไข้คนหนึ่งตายไปแล้ว
“เฮ้ย...คะ..คน พวกนี้ตายแล้วนี่”
แก้วมองคนไข้แล้วตกใจ
“อะ..เออ...ตายแล้วจริงๆด้วย”
แก้วไปดูบ้าง พบว่าทุกคนในห้องตายหมดแล้ว
“ไปบอกหมวดสมรักษ์ดีกว่า”
“ต้องหาพี่กินรีให้เจอก่อน”
มะค่าเป็นห่วงกินรีมาก
ระรินเดินมาตามทางแล้วพลาดจากกินรี
“มันหายไปไหนแล้ว...คอยดูนะ ฉันจะตามกระชากหน้ากากแกออกมาให้ได้”
ระรินเสี่ยงเดินไปตามทางที่มืด
ประเดิมชื่นมื่น สาวกระเหรี่ยงสองคนพากันโอ้โลมลูบไล้ไปตามร่างกายของเขา
“พี่ประเดิมนี่หล่อนะ ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่มีเมีย”
ประเดิมเคลิ้มออกลายเจ้าชู้
“โธ่ พี่ไม่มีเมียจริงๆ จะเอาพี่ไปสาบานที่ไหนก็ได้เธอสองคนไม่ต้องระแวงหรอก”
“แหม ของแบบนี้มันก็ต้องระวังกันหน่อยสิจ๊ะ ฉันสองคนมันก็แค่คนบ้านนอกคอกไร่ เสียไปแล้วมันจะช้ำไปทั้งชีวิต
สาวกระเหรี่ยงออเซาะ ประเดิมได้โอกาสโอบกอด
“โธ่ คนดีของพี่ประเดิม พี่ประเดิมสัญญานะว่าจะเลี้ยงดูเธอสองคนให้ดีที่สุด ไม่ให้อด ไม่ให้อยาก มีอะไรพี่ประเดิมประเคนหมดตัวหมดใจเลย”
สาวกระเหรี่ยงถึงกับโอนอ่อนแต่แววตาแข็ง
“ไม่ให้อดให้อยากแน่นะจ๊ะ”
“จ้า...”
สาวกระหรี่ยงกลืนน้ำลายด้วยความหิว ไม่ห่างนักหินแอบมองอยู่ในพุ่มไม้ แล้วเกิดปวดท้องขึ้นมากะทันหัน
“โห...น้าประเดิมต้องมีของดีอะไรแน่เลย ต้องขอมาใช้บ้างแล้ว...อุ๊ย..ทำไมปวดท้องอย่างนี้นะ...อูย...ต้องมาปวดตอนฉากสำคัญด้วย...ไม่ไหวแล้วเดี๋ยวค่อยมาดูต่อนะน้า....ข้าศึกทะลวงฟันมาแล้ว”
หินรีบเลี่ยงไปปลดทุกข์ ประเดิมยังคงเคลิ้มเพราะถูกโอ้โลมอย่างหนัก สาวกระเหรี่ยงทั้งสองคนยังใจเย็น
เสือใจเดินมาคนเดียวตามทางในป่า บริเวณต้นไม้ที่ระรินฝังหุ่น พระธุดงค์ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า เขามองอย่างแปลกใจ แต่ก็คุกเข่าลงแล้วกราบพลางพูดด้วยความห่วงใย
“นมัสการพระคุณเจ้า มืดค่ำป่านนี้ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าจะธุดงค์ไปที่ใด ผมจะขอนิมนต์ให้พระคุณเจ้า พักปักกลดจำวัดที่ตรงนี้เสียก่อนเถอะ”
“เจริญพร อาตมาตั้งใจมาพบโยมนั่นแหละ”
“พบผมหรือ”
“โยมจงจำต้นไม้ต้นนี้ให้ดี”
เสือใจมองไปที่ต้นไม้ที่ระรินฝังหุ่นเอาไว้
“ต้นไม้ต้นนี้มีอะไรหรือครับ”
“อาคมที่โยมได้ร่ำเรียนมาจะบอกโยมเอง อาตมาไปก่อนล่ะ เจริญพร”
พระธุดงค์เดินผ่านไปเสือใจก้มกราบ เงยหน้ามาอีกทีพระธุดงค์ก็หายไปแล้ว
เสือใจสะดุ้งตื่น...
“พระคุณเจ้า...”
เสือใจมองไปรอบข้างเห็นจ่าชิต แวว และหมู่หลับอยู่ จ่าชิตได้ยินเสียงเสือใจ ตื่นขึ้นด้วยความว่องไว
“มีอะไรวะ ไอ้ใจ”
เสือใจยังคงนึกเรื่องราวในความฝัน
“ต้นไม้นั่น...มันมีอะไร”
เสือใจไม่ได้ตอบ จ่าชิตมองเสือใจงงๆ
ภราดรนอนอยู่ในห้องนอน แล้วรู้สึกหิวน้ำจึงเดินออกมาข้างนอกห้อง เขาเดินมาที่ห้องระรินแล้วเรียก
“คุณระริน...คุณระริน...”
ไม่มีเสียงตอบ ภราดรจึงถือวิสาสะเปิดประตูเขาไปในห้องแต่ไม่พบระริน
“ระรินไปไหนของเขานะ”
ภราดรเดินออกไปตามทางเพื่อตามหาระริน
เสือใจกับจ่าชิตลอบเดินมาตามความมืดอย่างระวัง เขาใช้เส้นทางที่จะมาโบสถ์
“ต้นไม้อะไรของเอ็งวะ” จ่าชิตสงสัย
“ไม่รู้แต่พระธุดงค์ท่านมาเข้าฝันข้า เห็นท่าจะเป็นเรื่องสำคัญ”
“เอ็งจะบ้าหรือ ไปเอาอะไรกับความฝัน ข้าฝันเลขหวยเลขไปยังแทงไม่เคยถูกเลย”
เสือใจรู้สึกรำคาญ
“บ่นมาก งั้นเอ็งกลับไปนอนกลับลูกน้องเอ็งเลยไป”
“ไม่ล่ะ แต่ถ้าให้กลับไปนอนกับน้องแววของเอ็งก็ไม่แน่...จ่าชิตล้อเสือใจอีก เสือใจเดินมาใกล้กับต้นไม้ที่ระรินฝังหุ่นเอาไว้ เสือใจจำได้ว่าเป็นต้นไม้ที่พระธุดงค์บอก
“นี่ไง ต้นไม้ต้นนี้แหละ”
จ่าชิตพินิจดูแล้วไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก
“ไม่เห็นมีอะไร ก็แค่ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง”
“พระท่านบอกว่าอาคมที่ข้าร่ำเรียนมาจะบอกข้าเอง”
เสือใจพนมมือบริกรรมคาถาหน้าต้นไม้ บังเกิดลมแรงพัดกรรโชก จ่าชิตมองอย่างไม่เข้าใจ
ภราดรเดินมาตามป่า ทางที่ระรินเดินมาที่ต้นไม้ใหญ่เพื่อฝังหุ่น ขณะที่ลมพัดกรรโชก
“ระริน...คุณระริน..คุณอยู่ที่ไหน”
ภราดรเดินฝ่าสายลมไป ขณะที่เสือใจท่องคาถาเสร็จแล้วเป่าพรวดออกไป ที่โคนต้นไม้ปรากฏผีเจ็ดตนยืนรอบต้นไม้อยู่ แม้ว่าจ่าชิตจะไม่กลัวแต่เมื่อเห็นผีทั้ง 7 ตนก็ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
จ่าชิตเขยิบเข้าไปใกล้เสือใจ ผีทั้ง 7 ตนเดินเข้ามาหาหมายทำร้ายคนทั้งสอง
“นี่มันอะไรกันวะ”
“ผีเจ็ดป่าช้า...แสดงว่าต้องมีดินของพวกมันฝังอยู่ใต้นี้”
จ่าชิตรับรู้แล้วไม่กลัว เสือใจชักมีดหมอออกมาแล้วบริกรรมคาถา สักครู่เสือใจวาดมีดออกไปด้วยพลังอาคม ผีทั้ง 7 ตนร้องกรีดร่างสลายไป จ่าชิตแทบไม่เชื่อสายตา
“โห....เอ็งนี่มันแน่จริงๆ ทำได้ไงวะ”
“เอ็งอย่าเพิ่งถามช่วยกันขุดก่อน”
จ่าชิตพยักหน้ารับแล้วเริ่มลงมือช่วยเสือใจขุด ฟ้าแลบร้องเปรี้ยงปร้าง สักพักเสือใจกับจ่าชิตก็เจอหุ่นที่ระรินฝังเอาไว้ จึงหยิบขึ้นมาดู
“เสน่ห์...”
เสียงภราดรดังมาไม่ไกลนัก
“อ๊าก...อ๊าก..ระริน ช่วยด้วย”
จ่าชิตแปลกใจ
“นั่นเสียงหมอภราดรนี่ ไปก่อนเร็ว”
“แล้ว...นี่...”
“เอาไว้ก่อน ไปช่วยหมอก่อน ไป...”
เสือใจเอาหุ่นใส่ในหลุมแล้วกลบไว้อย่างหยาบๆ เสือใจกับจ่าชิตรีบไปตามเสียง
เสือใจกับจ่าชิตรีบวิ่งมาตามเสียง แล้วพบภราดรนอนสลบอยู่ จ่าชิตรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ
“หมอ...หมอภราดร”
ทั้งคู่เข้าไปประคองร่างภราดรแล้วปฐมพยาบาล จากนั้นเสือใจนั่งบริกรรมคาถาจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไปขุดตุ๊กตาเสน่ห์ขึ้นมา
“ไม่น่าเชื่อว่าระรินจะถึงกับต้องทำเสน่ห์หมอภราดร” จ่าชิตงงมาก เมื่อเสือใจบอกสิ่งที่เห็น
“ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอดอย่างเดียว มันทำให้คนดีๆเป็นคนชั่วได้เลยล่ะ”
“แล้วเอ็งแก้เสน่ห์ได้หรือ”
“ทำไมจะไม่ได้ เพราะเสน่ห์แบบนี้ เป็นวิชาของอาจารย์ข้าเอง ข้าเรียนผูกมาก็ต้องแก้ได้สิวะ อยู่เฉยๆเถอะ”
จ่าชิตเงียบ เสือใจบริกรรมคาถาต่อ ที่ร่างภราดรที่หลับสนิทบังเกิดแสงออกมา ปรากฏเป็นผีเจ็ดป่าช้า จ่าชิตถึงกับตาเหลือกด้วยความตะลึง
“ออกมาแล้วหรือ”
ผีเจ็ดป่าช้ารวมร่างเป็นร่างเดียว
“เจ้ามันแส่ไม่เข้าเรื่อง คงไม่อยากหายใจต่อไปแล้วสิ ได้ข้าจะสงเคราะห์ให้”
ผีตนนั้นตรงเข้ามาใช้อาคมหมายจะทำร้าย เสือใจสู้ด้วยอาคมและมีดหมอ แต่เกือบจะเสียที เกิดมโนภาพของพระธุดงค์ผุดเข้ามาแล้วเตือนสติ
“ตั้งสติเอาไว้โยม สัมพเวสีพวกนี้ไม่ได้มีตัวตนอย่างที่สายตาโยมเห็น จิตเท่านั้นที่จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง”
เสือใจได้สติลืมตาขึ้นรวบรวมพลังและสมาธิ แล้วบังเกิดไฟบรรลัยกัลป์ พุ่งขึ้นมาใส่ผีจนร่างของมันมอดไหม้ ในที่สุดผีเจ็ดป่าช้าก็พ่ายไป ภราดรฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างงงๆ เขามองเห็นจ่าชิตและเสือใจที่เพิ่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิด กำลังหายใจหอบ
“จ่าชิต ผมเป็นอะไรไปเนี่ย”
จ่าชิตมองภราดรอย่างโล่งอก
จ่าชิตเล่าเรื่องราวที่ภราดรถูกระรินทำเสน่ห์ให้ฟัง
“ระรินทำเสน่ห์ผมหรือนี่”
“ใช่...ท่าทางหมอจะเนื้อหอมนะ ลูกสาวเสี่ยรงค์นี่มันร้ายไม่ผิดพ่อมันจริงๆ”
“หมอมาที่นี่ได้ยังไง”
“ผมจำได้เค้าๆว่า ผมกับระริน ประเดิมได้รับคำสั่งให้มาออกหน่วยที่นี่ กินรีมาด้วย แล้วจ่าล่ะ”
“ผมมาตามหาหมวดสมรักษ์ ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ร้ายไปแล้ว ส่วนเสือใจมาตามหาจงใจลูกสาวเขา”
“อ้าว...ไหงเป็นอย่างนั้น”
“ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เสี่ยรงค์แล้วจะมีใคร ไอ้เสี่ยรงค์นี่มันจริงๆเมื่อไหร่จะปราบมันอยู่เสียทีนะ”
จ่าชิตคิดอะไรได้บางอย่าง
“เสี่ยรงค์...ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่โบสถ์รีบไปกันเถอะ”
“หมอ ผมมีเรื่องจะขอร้องหมอสักอย่าง”
ภราดรมองหน้าจ่าชิตอย่างสงสัย
“ผมอยากให้หมอทำเป็นว่าหมอถูกเสน่ห์ และทำตัวกับระรินเหมือนเดิมไปก่อน”
“ทำไมล่ะ”
“ผมอยากให้หมอดูความเคลื่อนไหวของเสี่ยรงค์ ผมอยากได้หลักฐานที่จะทำให้เสี่ยรงค์ดิ้นไม่หลุด ผมใช้เวลาทำเรื่องนี้มาหลายปีแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเลยอยากให้หมอช่วยสักครั้งนึกว่าเป็นแก่ประเทศชาติเถอะ”
“แล้วกินรีล่ะ”
“ให้ทุกคนรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะกินรี เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือพวกมันไหวตัวกินรีนั่นแหละจะมีอันตรายกว่าใครทุกคน”
ภราดรหนักใจ เสือใจตบไหล่แสดงความเห็นใจ
“รักย่อมเข้าใจในรัก หมอ...”
ภราดรพยักหน้าตกลง
บรรยากาศในโบสถ์ชวนขนหัวลุก แก้วเริ่มกลัวขณะที่มะค่าเดินวนหาทาง
“มะค่า กลับเถอะ...เรารีบไปบอกหมวดดีกว่า”
มะค่าส่ายหน้าเธอต้องการจะหากินรีกับให้เจอ มะค่ายืนอยู่ตรงที่หน้าห้องลับแล้วได้กลิ่นกำยานโชยออกมาตามร่องทางลับ เธอทำจมูกฟุดฟิด
“มีอะไรหรือมะค่า” แก้วสงสัย
“มีกลิ่นกำยานออกมาจากในนี้ แสดงว่าตรงนี้ต้องเป็นประตูเข้าไปห้องไหนสักแห่ง”
“อะไรนะ ทางเข้าห้องหรือ”
แก้วมองตามมะค่าไปที่ทางเข้าห้องลับ
บาทหลวงถือตะเกียงกำยานเดินนำมาตามทางในห้องลับ กินรี จอบิเดินตามหลัง
“มีที่แบบนี้ด้วยหรือคะคุณพ่อ”
“ใช่...มันเป็นห้องที่เราเอาไว้ทำพิธีกรรม”
“ทำไมลึกลับจัง”
“มันมีพวกนอกรีด ชอบมาทำลายพิธีของเราน่ะสิ...”
บาทหลวงเดินนำไป
ระรินเดินวนไปมาจนมาถึงโบสถ์ แล้วคิดว่ากินรีคงอาจจะเข้าไปในโบสถ์ลองเข้าไปดู
“หรือว่านังกินรีมันจะเข้าไปในโบสถ์”
อย่างไม่ระวัง หัวหน้ากระเหรี่ยงมาทางด้านหลังแล้วจับตัว
“จะไปไหนหรือน้องสาว...มานี่...”
ระรินตกใจ เมื่อโดนพวกว้ารุมล้อม
“แกเป็นใคร...อย่าทำอะไรฉันเลย”
“แกไม่ต้องรู้...รู้อย่างเดียวตอบคำถามข้ามา”
“แก..แกต้องการอะไร”
“ผู้หญิงที่ชื่อจงใจอยู่ไหน”
ระรินรีบพูดเอาตัวรอด
“โธ่ นึกว่าอะไร ที่แท้ก็จะมาหานังลูกโจร...โน่นมันอยู่ที่บ้านพักตรงโน้น”
ระรินชี้ไปทางที่พักของจงใจ แล้วนึกว่าตัวเองจะรอด
“....เอ้า..ทีนี้ก็ปล่อยฉันไปได้แล้ว”
หัวหน้าหัวเราะ
“ปล่อยไปก็โง่สิวะ สาวๆสวยๆอย่างนี้ ข้าถือว่าเป็นของแถมโว้ย”
ลูกน้องรู้งานตรงเข้ามัดมือมัดปาก ระรินดิ้นรนแต่ไม่รอด
“อย่านะ...”
ระรินโวยวายขณะถูกมัดปาก
“เอามันไว้ที่นี่ เอ็ง เฝ้ามันกับม้าเอาไว้”
หัวหน้าสั่งลูกน้องคนหนึ่งแล้วเดินไปหาจงใจกับลูกน้อง
บาทหลวงพากินรีเข้ามาที่ห้องลับ เห็นแท่นบูชาดูน่ากลัวก็รู้สึกไม่ปลอดภัย
“ไหนดอกไม้ล่ะคะคุณพ่อจะ...ได้รีบจัดให้เสร็จ ...”
บาทหลวงยิ้มแล้วมองไปที่จอบิ
“ยังไงก็ต้องจัดอยู่แล้วล่ะ เพราะต้องใช้ทำพิธี”
“พิธีอะไรหรือคะ”
“พิธีคืนพลังให้พ่อไง เลือดของเจ้า..ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคนที่ข้ารู้จัก จะทำให้พลังที่ข้าถูกทำลายไปกลับคืนมา”
กินรีไม่เข้าใจ
“คุณพ่อพูดอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ เพราะเจ้ากำลังจะหลับไปชั่วนิรันดร์แล้ว”
ทันใด...จอบิพ่นควันออกมาจากกระบอกไม้รวกเล็กๆ กินรีทรุดลงกับพื้นสิ้นสติไป บาทหลวงมองกินรีอย่างพอใจ
“ในที่สุด อำนาจของข้าก็จะกลับมาอีกครั้ง”
งะดินเดมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกินรีจากภาพนิมิตที่ผนัง พะอูมองดูด้วยแล้วบอกงะดินเด
“ท่านต้องช่วยพี่สาวข้า”
“ข้าบอกแล้วไง ว่าพลังของข้ามีไว้เพื่อฆ่าบาเยงโบเท่านั้น”
พะอูเอากำปั้นทุบที่ผนังถ้ำอย่างโมโห แล้วคำรามออกมาเป็นเสียงเสือ
“ท่านมันคนไม่มีจิตใจ”
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกลับมา ไอ้ฝรั่งนอกรีด”
งะดินเดนั้นรู้จักบาทหลวงดีอยู่แล้ว!!
ร่างของกินรีที่หลับสนิทถูกวางบนแท่นบูชา มีเชือกมัดมือและเท้าโยงไว้สี่ด้าน ถัดมาเป็นมะค่า ถูกมัดกองอยู่มุมห้อง บาทหลวงในชุดแด๊กคิวล่า ที่ท่าทางสง่าและน่าเกรงขาม ในมือมีมีดเล่มสวยงามศิลปะยุโรปกลาง จอบิยืนอยู่ข้างๆแกว่งกำยานไปมาอย่างมีสมาธิ
“ข้ารอวันนี้มา 800 กว่าปี ในที่สุดก็ได้เวลาเสียทีงะดินเด...ถึงวันที่ข้าจะได้ล้างแค้นเจ้าแล้ว เลือดของลูกสาวเจ้าจะช่วยทำให้ข้ามีพลังเป็นนิรันดร์”
จอบิมองอย่างพอใจ บาทหลวงหลับตาภาวนาคาถา มีแสงพลังเรืองออกมาจากร่าง...
เมืองพุกาม 800 ปีที่แล้ว...บาทหลวงไมเคิลอยู่ในท้องพระโรง ก้มลงทำความเคารพบาเยงโบที่กำลังว่าราชการ จอบิและลูกน้องอยู่ด้านหลัง
ในท้องพระโรง มีเสนาอำมาตย์อยู่สองข้าง งะดินเดอยู่ข้างบาทหลวง บนบัลลังก์บาเยงโบ ชะเวมะรัต และอิระวดี นั่งลดหลั่นกันมา มหาอำมาตย์กล่าวนำให้บาทหลวง
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ท่านบาทหลวงไมเคิลแห่ง ราชอาณาจักรทัสฮาเนียขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าข้า”
งะดินเดเหลือบมองบาทหลวงอย่างไม่ไว้ใจ บาเยงโบมองบาทหลวง ที่มีท่าทางนอบน้อม
“ท่านมีเรื่องอันใดรึ”
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าบาทหลวงไมเคิล มีความต้องการที่จะเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันเปี่ยมล้นไปด้วยทศพิธราชธรรมพระพุทธเจ้าข้า”
บาเยงโบรู้สึกว่าทำไมบาทหลวงถึงพูดไทยได้ชัด และรู้ธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักอย่างดี
“ท่านทำให้ข้าทั้งทึ่งทั้งแปลกใจ...ท่านเป็นฝรั่งเหตุใดถึงพูดภาษาเราได้คล่องแคล่วอีกทั้งยังเข้าใจในระเบียบเวียงวังเป็นอย่างดี”
บาทหลวงยิ้มอย่างเมตตา
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพุทธเจ้าเป็นมิชชั่นนารีเผยแพร่ศาสนา แห่งคริสจักรโรมันคาทอลิก เดินทางเผยแพร่ศาสนามานานนับสิบปี ตั้งแต่แคว้นสุวรรณภูมิจนมาถึงพุกามแห่งนี้ จึงสามารถพูดและ เข้าใจขนบธรรมเนียมต่างๆได้ดีพระพุทธเจ้าข้า”
เสือสมิง ตอนที่ 11 (ต่อ)
“ท่านต้องการมาเผยแพร่ศาสนารึ” บาเยงโบมองอย่างพิจารณา
“พระพุทธเจ้าข้า”
งะดินเดแทรกขึ้นมาทันที
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ในแว่นแคว้นพุกามและเมืองประเทศราชต่าง มีศาสนาประจำถิ่นและประจำแคว้นอยู่แล้ว หาได้จำเป็นต้องนำศาสนา จากชาติตะวันตกมาผสมปนเปให้เกิดความแตกต่างซึ่งวันหนึ่งมันอาจจะพาไปสู่ความแตกแยกได้ พระพุทธเจ้าข้า”
บาเยงโบรู้สึกเห็นต่างจากงะดินเด เช่นเดียวกับชะเวมะรัต
“แต่ข้ากลับคิดว่าเป็นการดีที่มีศาสนาหลายศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจ ท่านพ่อ ข้าว่าสุดแต่ศรัทธาของบรรดาไพร่ฟ้าประชาชนจะเลื่อมใสเถอะ”
งะดินเดมองชะเวมะรัตด้วยแววตาที่ไม่พอใจ บาทหลวงเหลือบมอง ต่างฝ่ายต่างรู้ในใจของกันและกัน
““ข้าเห็นด้วยกับชะเวมะรัต...หรือว่าท่านมหาราชครูเกรงว่าศรัทธาของผู้คน ที่มีต่อท่านจะเสื่อมคลายลง... มหาอำมาตย์จัดที่พักให้บาทหลวงท่านนี้ กับคณะของท่านตามสมควร...เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้” บาเยงโบตัดสินใจทันที
“พระพุทธเจ้าข้า ขอให้พ่ออยู่หัวบาเยงโบมีพระชนม์หมื่นๆปี”
บรรดาเสนาบดีต่างๆทำความเคารพ ขณะที่งะแงดินไม่พอใจ
งะดินเดกลับมาที่บ้านนั่งจิบน้ำชาอารมณ์ไม่ค่อยจะดี ชะเวโบที่ออกไปข้างนอกมา เข้ามาถาม
“ท่านพ่อ ท่านทราบหรือไม่ว่ามีพระฝรั่งมาที่เมืองเรา”
งะดินเดสงสัย
“เจ้ารู้ได้ยังไง”
“ข้าเห็นชาวบ้านต่างพากันแห่ไปฟังคำสอนและเข้ารีต และรับของแจก...”
“ของแจก”
“ใช่ ใครเข้ารีตก็จะได้ของแจกด้วย”
งะดินเดกังวล
“มันเล่นกันอย่างนี้เลยหรือ...”
ชาวบ้านนั่งล้อมวงฟังบาทหลวงที่อยู่บนท่านไม้สูงกว่าชาวบ้าน ข้างๆมีจอบิและผู้ช่วยคอยดูแล
“พระเจ้าจะต้อนรับผู้ศรัทธาพระองค์ และเมื่อสิ้นลม แล้วท่านจะได้เดินทางไปสู่อ้อมกอดของพระองค์ในสวรรค์ อย่างเป็นสุข”
ชาวบ้านถามแทรกเข้ามา
“แล้วพระเจ้าทำอะไรได้อีก”
บาทหลวงรู้สึกอึ้งในคำถาม ในกลุ่มชาวบ้านด้านหลัง งะดินเดนั่งปนอยู่ด้วย เขาใช้ผ้าคลุมศีรษะอำพราง
“พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง อยู่ที่ว่าลูกจะศรัทธาในพระองค์แค่ไหน” บาทหลวงพยายามอธิบาย
“ถ้าข้าศรัทธาพระองค์ด้วยใจจริง ท่านจะทำให้ข้าเดินได้หรือไม่”
ชายคนนั้นลุกขึ้นแล้ว เขาใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงเวลาเดิน ชาวบ้านทุกคนหันไปดูแล้วส่งเสียงอื้ออึง อยากเห็นศรัทธาในครั้งนี้ งะดินเดมองอย่างมั่นใจว่าบาทหลวงคงไม่มีปัญญา
“สงสัย...ปาหี่กำลังจะจบลงแล้ว...”
บาทหลวงตัดสินใจ...
“งั้นลูกก็เดินมาหาพ่อสิ...พระองค์ทรงเมตตากับผู้ศรัทธาเสมอ”
ชายผู้นั้นเดินโขยกไปที่บาทหลวงท่ามกลางสายตาที่ลุ้นของทุกคน แม้แต่งะดินเด
“หลับตาแล้วภาวนาขอให้พระองค์เมตตา”
ชายผู้นั้นทำตาม บาทหลวงคุกเข่าลง เอามือลูบที่ขาของชายผู้นั้นแล้วกล่าวคำสรรเสริญพระเจ้า
“ข้าแต่พระนาง พระบิดา พระบุตรและพระจิต โปรดรับชายผู้โง่เขลาและเต็มไปด้วยบาปไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ ขอพระองค์โปรดช่วยชี้นำทางสว่าง ตามแต่ศรัทธาที่ชายผู้นี้มีต่อพระองค์ด้วยเถิด อาเมน...”
สิ้นเสียงวิงวอนของบาทหลวง ก็บังเกิดแสงเรืองขึ้นที่ขาของชายคนนั้น ไม้ค้ำหล่นลงนอนกับพื้น ชายคนนั้นยืนได้ เขาลองเดินและเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
“ข้าเดินได้แล้ว...ข้าเดินได้แล้ว”
ชาวบ้านที่อยู่ในที่นั้นต่างอัศจรรย์ใจพากันอื้ออึงและสรรเสริญ
“พระองค์ช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน”
บาทหลวงยิ้มแย้ม
“พระเจ้าย่อมไม่ทิ้งผู้ศรัทธา...ใครอยากเข้าพิธีมิสซาเพื่อเป็นบุตรของพระเจ้า ก็มาหาพ่อได้ที่โบสถ์ทุกวันนะ”
งะดินเดมองบาทหลวงอย่างทึ่งๆ
“ไอ้นี่มันไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”
งะดินเดมองอย่างเครียดๆ
ปัจจุบัน...งะดินเดมองไปทางพะอู
“ใยเจ้าจึงภักดีต่อพี่สาวเจ้าเยี่ยงนัก ทั้งๆที่พี่สาวของเจ้าไม่เคยสนใจพวกเราเลย”
“ไม่จริงพี่กินรี ดูแลรักและข้ามาตลอด”
งะดินเดส่ายหน้า
“ช่างเถอะ เจ้ายังไม่เข้าใจอะไรอีกมาก ตั้งใจนั่งบำเพ็ญเพียรไป ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า อีกมาก”
พะอูในเป็นห่วงกินรี แล้วมองหน้างะดินเด เพื่อหาทางช่วย งะดินเดหลับตาบริกรรมต่อ
ถูกมัดเอาไว้บนแท่นบูชา บาทหลวงบริกรรมคาถาบูชา สิ่งที่ตนเชื่อถือ มีมีดปลายแหลมคมและจอกรองรับเลือดวางไว้ที่แท่น จอบิอยู่ข้างหลังบาทหลวงไม่ห่างมากนัก
ประเดิมเคลิ้มเมื่อสาวกระเหรี่ยงสองคนโอ้โลม ทางด้านหินหินเสร็จกิจจากการถ่ายทุกข์ กลับมาที่เดิมพลางใส่ตะขอกางเกงแล้วต้องปากอ้าตาค้างเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
“นะ...นะ...น้า..ปะ..ประเดิม”
สิ่งที่หินเห็นก็คือ ประเดิมกำลังเคลิ้ม สองสาวกระเหรี่ยงกำลังแยกเขี้ยวจะกัดที่คอของประเดิม
“น้าประเดิม”
หินยืนขึ้นแล้วตะโกนออกไป ประเดิมตื่นจากภวังค์มองมาทางเสียง เห็นหินยืนกุมกางเกงอยู่หน้าตาตื่นยืนขาแข็ง
“เฮ้ย...หิน..มาได้ยังไงเนี่ย...ไปที่อื่นเลยอย่ามาขัดความสุขฉัน”
หินยืนขาสั่นพูดไม่ออก ชี้ไปที่สองสาวกระเหรี่ยงที่กำลังแยกเขี้ยวอยู่ข้างหลัง
“ขะ...ข้าง...หลัง”
ประเดิมหัวเสีย หันไปมองตามที่หินบอก
“ข้างหลังอะไรวะ....”
เมื่อหันไปมองเห็นสองสาวแยกเขี้ยว
“...เออ...สาธุ...ว้าย...ช่วยด้วย...ผีหลอก”
ประเดิมวิ่งแน่บออกมาผ่านหินไป หินยืนขาแข็งก้าวข้าไม่ออก สองสาวกระเหรี่ยงเดินมาที่หินซึ่งหน้าเสียจะร้องไห้
“นะ..นะ...น้าประเดิม ชะ...ช่วยด้วย....ฉัน ก้าวขาไม่ออก”
ประเดิมหันกลับมาเห็นว่าสองสาวกำลังจะมาขย้ำหิน เขาวิ่งกลับไปแล้วอุ้มหินทั้งๆที่ตัวแข็งทื่อหนีออกมาได้ สองสาวกระเหรี่ยงพลาดแล้วหยุดยืนมองอย่างย่ามใจ
“ไหนว่าจะไปขึ้นสวรรค์ด้วยกันไงพี่ประเดิม”
ประเดิมตะโกนกลับมา
“ไม่ไปแล้ว...เธอไปกันสองคนเหอะ...”
“นึกว่าจะหนีพ้นหรือ”
สองสาวหัวเราะ แยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว
พะอูอยู่ไม่ติดเพราะเป็นห่วงกินรี เขาพยายามคิดหาวิธีช่วย งะดินเดท่าทางไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ พะอูคิดหาทางออกได้หยิบมีดสั้นประจำตัวออกมาสีหน้าเด็ดเดี่ยว
“ถ้าท่านไม่สนใจพี่ของข้า ก็ไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
งะดินเดลืมตาเห็นพะอูเอามีดจ่อคอตัวเอง ก็ถอนใจ
“ชะเวโบ...เจ้า...เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงบำเพ็ญเพียร”
“ถ้าท่านคิดว่าข้าสำคัญต่อท่าน พี่สาวข้าก็ต้องสำคัญต่อท่านด้วย”
งะดินเดพูดไม่ออก ได้แต่เจ็บใจ
บาทาทหลวงกำลังสวดทำพิธีอยู่หน้าแท่นที่กินรีถูกมัดนอนหลับอยู่ แล้วลืมตาขึ้น หยุดการบริกรรมคาถา
“มีอะไรหรือครับคุณพ่อ” จอบิถาม
บาทหลวงแววตากร้าว มองไปทางเดิน
“ไม่รู้สิ พ่อรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่าง จอบิลองไปดูสิ”
จอบิพยักหน้ารับแล้วถือมีดเป็นอาวุธเดินออกไป บาทหลวงหยุดบริกรรมชั่วคราว เตรียมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
งะดินเดนิ่งคิด แล้วตัดสินใจ มองพะอูที่พร้อมจะฆ่าตัวตาย
“ได้ ชะเวโบ ข้าจะช่วยพี่เจ้า”
งะดินเดหลับตาภาวนา พะอูมองอย่างพอใจ
สมรักษ์ยังคงอยู่เป็นเพื่อนจงใจ ที่เพิ่งจะกินยาเสร็จ กำลังจะนอน
“กินยาแล้วนอนซะ พักผ่อนเยอะๆนะ จะได้หายไวๆ” สมรักษ์กำชับด้วยความเป็นห่วง
“จ๊ะ...”
สมรักษ์มองไปข้างนอกนึกถึงหิน
“เอ๊ะ...หินไปไหนของเขานะ”
“หมวดไปนอนเถอะจงใจอยู่คนเดียวได้”
สมรักษ์พยักหน้ารับ แล้วกำลังจะเดินออกไป จงใจนึกอะไรขึ้นมาได้
“แล้วแก้วล่ะ”
“อ๋อ...ไปช่วยบาทหลวงจัดดอกไม้กับกินรีน่ะ....เดี๋ยวคงจะมามั้ง”
จงใจอ้ำอึ้งแล้วตัดสินใจถาม
“จงใจหมายความว่า แก้วเป็นยังไงในสายตาหมวด”
สมรักษ์ตอบแบบสบายๆไม่คิดอะไร
“ก็...เห็นเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง จงใจมีอะไรหรือ”
“เปล่าหรอก หมวดไปนอนเถอะ”
“ฉันจะไปตามหินมาอยู่เป็นเพื่อนนะ”
จงใจรับรู้แล้วหลับตานอน สมรักษ์มองจงใจแบบสบายใจแล้วเดินออกไป
ประเดิมหิ้วหินวิ่งมาด้วยความเร็ว และเตลิดเปิดเปิงจนมาหยุดที่กลางป่าแห่งหนึ่งประเดิมหอบแต่ยังอุ้มหินอยู่
“โอย...เหนื่อย”
“สงสัยมันไม่ตามมาแล้วล่ะน้า”
“เฮ้อ...โล่งอกไปที”
ประเดิมยังคงอุ้มหินอย่างไม่รู้ตัว สักพักถึงรู้แล้วโยนหินลง
“เฮ้ย...นี่ฉันอุ้มแกมาตลอดทางเลยหรือ”
“อืม....”
“มิน่าล่ะ โอยเหนื่อย...” ประเดิมหอบ
“น่า...เรารีบไปบอกพวกนั้นกันเถอะ”
“เออ...จริงด้วย..ไป...เอ๊ะ แต่ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนวะเนี่ย”
หินมองไปรอบๆแล้วส่ายหน้า
“วิ่งเพลินจนหลงแล้วสิ...เฮ้อ...”
ประเดิมกับหินหาทางไป
มะค่ายังหาทางเข้าอยู่ แก้วอยู่ข้างๆอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“ฉันว่าเราไปบอกหมวดก่อนดีกว่านะ”
มะค่าพยักหน้ารับ
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
ทั้งคู่ออกไปจากที่นั่น
ระรินยังคงถูกมัดมือมัดปากและผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ในมุมมืดห่างจากโบสถ์ เธอดิ้นรนแต่ไม่มีประโยชน์ ลูกน้องว้าแดงคนหนึ่งเฝ้าเอาไว้ สักครู่มะค่ากับแก้วเปิดประตูโบสถ์ค่อยๆเดินออกมาแล้วเห็นแต่ไกลว่าระรินถูกมัดอยู่ ระรินเห็นพยายามดิ้นรนส่งเสียงร้องให้ช่วย
“อื้อ....อื้อ...”
“แย่แล้ว...คุณระริน...”
“พวกโจร รีบไป....เร็ว...”
แก้วกับมะค่ารีบออกไปจากที่นั่นทันที ระรินดิ้นรนอยู่ในความมืด
จอบิถือคบไฟเดินมาตามทางเดินอย่างระวัง เขาหยุดแล้วมองไปรอบๆ เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจ้องเขาอยู่...ในมุมมืดเห็นมีแววตาของงะดินเดแอบมองเขาอยู่ อย่างไม่ระวังงะดินเดพุ่งเข้าจู่โจมอย่างเร็วจนเสียชีวิต งะดินเดแล้วเดินข้ามคบไฟที่ตกอยู่ไปทันที
สมรักษ์เดินตามหาหิน พบแก้วกับมะค่าพอดี
“หมวด แย่แล้วพวกโจรมันบุกมา จับตัวคุณระรินไว้ด้วย”
“พี่กินรีก็ไม่รู้หายไปไหน”
สองสามบอกอย่างร้อนใจ
“แล้วหมอภราดรล่ะ”
สมรักษ์รีบไปที่บ้านภราดร ทั้งสองคนรีบตาม
ประเดิมกับหินเดินวนเวียนหาทางออก
“ทำไมยิ่งเดินยิ่งมีแต่ป่านะ”
“นั่นสิ...มืดก็มืด ไฟก็ไม่มี”
ทันใด...สาวกะเหรี่ยงยื่นคบไฟมาให้
“เอ้า...ฉันให้ยืม”
หินรับคบไฟมาแบบไม่ได้มองหน้าและไม่เฉลียวใจ
“ขอบใจนะ”
“เออ...มีไฟอย่างนี้ค่อยยังชั่ว”
ประเดิมเอาไฟมาส่องหาทางกลับบ้าน แล้วนึกขึ้นได้
“เฮ้ย...แกไปเอาไฟที่ไหนมา”
หินงงเหมือนกัน
“เออ..นั่นสิ...ใครให้ไฟฉันมาน่ะ”
กระเหรี่ยงสาวสองคนโผล่เข้ามา ไฟส่องใต้คางอย่างน่ากลัว
“ก็ฉันไง...”
ประเดิมกับหินขนหัวตั้งแล้ววิ่งหนีไปสุดชีวิต
“เฮ้ย...”
“แม่จ๋า...ช่วยด้วย...”
สองสาวกระเหรี่ยงวิ่งตามทันที
สมรักษ์มาถึงที่พักของภราดร มะค่ากับแก้วตามมาติดๆ เมื่อเข้าไปในบ้านพบว่าห้องว่างเปล่า
“หมอไม่รู้หายไปไหน...ไปหาจงใจก่อนเร็ว”
มะค่ารู้สึกเป็นห่วงกินรี
“หมวดไปก่อนข้าจะไปตามหาพี่กินรี”
พูดจบมะค่ารีบวิ่งไปทันที สมรักษ์รู้สึกเป็นห่วงแต่ก็ต้องแยกไปหาจงใจที่บาดเจ็บ แก้วตามสมรักษ์ไป
ภราดรเมื่อฟื้นขึ้นมาอาการดีขึ้น จ่าชิตเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“พวกเราได้ยินเสียงหมอร้อง แล้วก็รีบวิ่งมาดูก็เห็นหมอนอนฟุบอยู่นี่แหละ หมอมาที่นี่ได้ยังไง”
ภราดรพยายามคิด
“ผมจำได้เค้าๆว่าผมกับระริน และประเดิมได้รับคำสั่งให้มาออกหน่วยที่นี่ แล้วจ่าล่ะ”
“ผมมาตามหาหมวดสมรักษ์ ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ร้ายไปแล้ว ส่วนเสือใจมาตามหาจงใจลูกสาวเขา”
“อ้าว..ไหงเป็นอย่างนั้น”
“ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เสี่ยรงค์แล้วจะมีใคร ไอ้เสี่ยรงค์นี่มันจริงๆเมื่อไหร่จะปราบมันอยู่เสียทีนะ”
“เสี่ยรงค์เหรอ...ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่โบสถ์รีบไปกันเถอะ”
“ได้...ไป ไอ้ใจ”
ทุกคนรีบรุดไปที่โบสถ์ทันที
สมรักษ์กับแก้ววิ่งหน้าตื่นมาที่บ้านพักจงใจ แล้วรีบขึ้นไปข้างบนบ้าน เปิดประตูพรวดเข้าไปอย่างรีบร้อนและห่วงใย
“มีอะไรหรือหมวด” จงใจแปลกใจ
“รีบไปจากที่นี่เร็ว”
“ทำไม...มีอะไรหรือ”
“รีบไปเถอะพี่...” แก้วย้ำ
สมรักษ์ไม่รอให้เสียเวลา ตรงไปดึงมือจงใจลุกขึ้นแล้วประคองออกไป
“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ไปก่อนเร็ว แก้วไปเก็บข้าวของ”
สมรักษ์พาจงใจเดินออกไปข้างนอก
ในโบสถ์...ศพคนไข้ที่มารักษาค่อยๆลืมตาขึ้น ต่างลุกขึ้นแล้วพากันเดินมาที่ประตูแล้วเปิดออกไป ขณะเดียวกัน ด้านอกโบสถ์ ระรินถูกมัดมือมัดปาก และผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ในมุมมืด เธอดิ้นรนแต่ไม่มีประโยชน์ มีลูกน้องว้าแดงคนหนึ่งเฝ้าเอาไว้
ครู่หนึ่งลูกน้องสังเกตว่าประตูโบสถ์เปิดออก มีศพคนไข้ที่มารักษาเดินออกมาเป็นแถว ทุกคนถือคบไฟ ระรินเห็นพยายามดิ้นรนส่งเสียงร้องให้ช่วย
“อื้อ...อื้อ...”
“แย่แล้ว...ชาวบ้านแห่กันมาจากไหนวะนั่น....อยู่นี่ก่อนนะน้องสาว”
ลูกน้องรีบออกไปทันที ระรินดิ้นรนอยู่ในความมืด
สมรักษ์ค่อยๆประคองจงใจลงมาจากบ้าน ขณะที่แก้วยังเก็บข้าวของอยู่บนบ้าน หัวหน้าว้าแดงออกมาจากมุมมืดดักข้างหน้าไว้
“แหม.....นี่พามาส่งให้หรือ...เหมือนรู้จริงๆ”
“พวกแก...”
สมรักษ์จะชักปืนออกจากเอว อย่างรวดเร็ว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังสมรักษ์เอาพานท้ายปืนกระทุ้งสมรักษ์เข้าที่ท้ายทอยสมรักษ์ถึงกับทรุดลงไปคุกเข่าหน้าทิ่ม หัวหน้าตรงเข้าไปเตะเสยที่ใบหน้าจนหงายไป ปืนกระเด็นไป จงใจทรุดลงไปหาสมรักษ์แล้วร้องด้วยความเป็นห่วง
“หมวด....อย่าทำเขา”
“เอาตัวมันออกมา”
ลูกน้องดึงตัวจงใจออกมาจากสมรักษ์
“อย่า...อย่าทำอะไรฉัน”
สมรักษ์เจ็บจนจะหมดแรง แต่ยังแข็งใจ
“แก....แกจะทำอะไรเธอ...ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
“ได้...”
หัวหน้าเตะเข้าที่ชายโครงสมรักษ์ ลูกน้องรุมอัดจนสมรักษ์น่วม
“ข้าเกลียดไอ้พวกตำรวจอย่างเอ็งมานานแล้ว...”
หัวหน้าชักปืนออกมาจากเอว จ้องไปที่สมรักษ์ที่นอนหายใจรวยริน
“เอ็งเป็นศพตำรวจคนที่ 10 พอดีที่ข้ายิงทิ้ง”
จงใจร้องไห้อย่างใจเสีย
“อย่า....อย่ายิงเขา...”
หัวหน้ากำลังจะเหนี่ยวไกปืน ลูกน้องตะโกนเข้ามา ทำให้เสียจังหวะ
“ลูกพี่...”
ทุกคนหันไปมองลูกน้องวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“มีอะไร”
“แย่แล้ว...พวกชาวบ้านยกโขยงกันมาแล้ว รีบไปกันเถอะ”
หัวหน้าไม่กล้ายิงสมรักษ์ เพราะกลัวเสียงปืนจะพาชาวบ้านมาแล้วตัดสินใจ
“พานังนี่ไป...”
“แล้วไอ้ตำรวจนี่ล่ะพี่ ฉันยิงมันทิ้งเลยนะ”
หัวหน้าเหนื่อยใจ
“เออ...ยิงไปสิ ชาวบ้านจะได้แห่กันมาตามเสียงปืน....ไอ้...ถึกเอ๊ย..เรื่องโง่ไม่ต้องให้สอนเลย ไป...รีบไป”
ทั้งหมดออกไปจากที่นั่น สมรักษ์มองตามนัยน์ตาพล่ามัว ร่างกายสะบักสบอม
“จ...จ..จง...ใจ”
แก้วรีบเข้ามาประคอง
“หมวด...หมวด...”
สมรักษ์สลบไป
ประเดิมกับหินวิ่งหนีสองสาวกระเหรี่ยง มาหยุดพักที่กลางป่า แล้วหาทางไปที่บ้านพัก
“โอย....ไม่น่าตามน้าประเดิมมาเลย...”
“ดี..สม..อยากทะลึ่งนักนี่...ไปให้ผีดูดเลือดพร้อมกันเลย”
“โธ่น้าก็....เฮ้ยนั่น...”
หินหันไปเห็นชาวบ้านถือคบไฟกำลังเดินตามกันไป
“น้า...ชาวบ้าน...เรารอดแล้ว”
“จริงด้วย...เรารอดแล้วหิน...ไป..วู้..ทางนี้ครับ...รอด้วย”
ประเดิมกับหินวิ่งแจ้นไปหากลุ่มชาวบ้านที่เขาเห็น ชาวบ้านหยุดมองประเดิมกับหินสีหน้านิ่ง
“ช่วยด้วยครับ ผีหลอก ผีดิบดูดเลือดครับ”
ชาวบ้านมองสีหน้านิ่งเหมือนไม่มีเลือด
“จริงๆนะครับ รีบหนีเถอะ”
ศพคนป่วยเหล่านั้นไม่สนใจแล้วเดินต่อไป ประเดิมกับหินเดินไปด้วย
“เฮ้อ...โล่งอกไปที อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง”
หินรู้สึกวังเวงยังไงก็ไม่รู้ เขามองชาวบ้านทุกคนแล้วบอกประเดิมอย่างหวั่นๆ
“น้า....ฉันจำได้ว่าพวกนี้เป็นพวกคนไข้ที่มารักษาไม่ใช่หรือ”
“เออ...ใช่...สงสัยหายกันแล้ว จะพากันกลับบ้านมั้ง”
“ฉันว่า...เอ่อ...คนพวกนี้หน้าซีดจัง ตัวก็ซีด เหมือนไม่มีเลือดเลย”
ประเดิมคิดในแง่ดี
“คิดมากน่า...เพิ่งหายป่วยก็อย่างนี้แหละจริงไหมพี่”
ประเดิมเอื้อมมือไปคว้าแขนชายคนหนึ่ง แขนของชายคนนั้นหลุดติดมือประเดิมมา ประเดิมไม่รู้ตัวแล้วหันมาบอกหิน
“เห็นไหม...”
หินปากอ้าตาค้างชี้ไปที่แขนที่หลุดมา
“ขะ....ขะ...แขน...แขนน้า....แขน...”
ประเดิม มองไปที่แขน เห็นว่าแขนชายคนนั้นหลุดติดมือมาเขาถึงกับผมตั้ง
“ผะ...ผะ..ผี...”
ประเดิมโยนแขนทิ้งไป เขากับหินอยู่ในวงล้อมของศพผีดิบ
“ช่วยด้วย...แม่จ๋า...”
มีเสียงสาวกระเหรี่ยงสองคนแทรกเข้ามา
“ถอยไป...”
ศพคนไข้ที่มารักษาแหวกออก สาวกระเหรี่ยงสองคนเดินเข้ามา
“พวกแกกลับไปบ้านของพวกแกได้แล้ว ทางนี้ข้าจัดการเอง”
พวกศพต่างเดินแยกไป ประเดิมกับหินหันหลังชนกันไม่รู้จะหนีไปทางไหนดี สองสาวกระเหรี่ยงแสยะยิ้มแยกเขี้ยว
“หมดเวลาเล่นแล้ว”
สองสาวเดินเข้าหาประเดิมกับหินที่หมดทางหนี
บาทหลวงบริกรรมทำพิธีต่อ กินรีเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกมัดอยู่บนแท่น
“นี่มันอะไรกันคะ คุณพ่อ”
“ไม่ต้องตกใจ หลังจากพ่อได้เลือดเจ้าแล้ว เจ้ากับพ่อ ก็จะเป็นนิรันดร์ตลอดไป ทนอีกนิดเดียว...นะ”
กินรีตกใจ
“ท่านไม่ใช่พระนี่.....ท่านเป็นใครกันแน่”
บาทหลวงไม่ตอบแล้วแสยะยิ้ม ร่างเปลี่ยนเป็นแด๊กคิวล่า
“ท่าน...ท่านไม่ใช่บาทหลวง” กินรีร้องอย่างตกใจ
“ใช่สิ....เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าพระกับซาตานมันมีหลายอย่างที่คล้ายกัน คล้ายกันจนสามารถเป็นคนคนเดียวกันได้ไง”
กินรีพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการถูกมัด
“ท่านจะทำอะไรฉัน ปล่อยฉันไปเถอะ”
“พ่อรอวันนี้มา 800 กว่าปี รอเลือดพรหมจรรย์ของสาวที่มีจิตพิเศษ เจ้าสามารถรักษาคนป่วยให้หายได้ แสดงว่าเจ้าต้องมีอำนาจแห่งพระเจ้า แทรกซึมในเลือดไหลเวียนในตัวเจ้า และเลือดของเจ้าจะช่วยให้พ่อกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม”
กินรีถึงกับสะดุ้งและดิ้นรน เพื่อจะให้พ้นพันธนาการด้วยความกลัว
“อย่านะ..”
บาทหลวงไม่ฟัง ถือมีดที่ใช้ทำพิธีตรงมาหากินรี แล้วตัดสินใจจะจ้วงแทง ทันใดมีแสงบางอย่างพุ่งมากระแทกหลังของบาทหลวงจนกระเด็นไป
“โอ๊ย...ใคร...”
งะดินเดปรากฏร่างขึ้นแววตาดุร้ายยืนจ้องบาทหลวงอยู่
“แก...”
“ท่านบรรพบุรุษ”
บาทหลวงถอยไปตั้งหลักติดผนังอีกด้านหนึ่ง
“เจ้า...”
งะดินเดตระหง่านท้าทาย
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน”
บาทหลวงจ้องใบหน้างะดินเดอย่างแค้นจัด
“ท่านมหาราชครู”
พุกาม 800 ปีที่แล้ว...
บาเยงโบเคลื่อนขบวนนั่งบนเสลี่ยง มาตามถนนกลางตลาด มีหัวหน้าราชองค์รักษ์นำหน้า และทหารห้อมล้อม มีผู้คนรับเสด็จสองข้างทาง
เบื้องหน้ามีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งทั้งลูกเด็กเล็กแดงมาดักขบวนเอาไว้ ทั้งหมดคุกเข้าก้มลงแสดงความเคารพแล้วร้องทุกข์ด้วยน้ำตานองหน้า
“พ่ออยู่หัวช่วยพวกเราด้วย”
หัวหน้าราชองค์รักษ์ตรงเข้าไปขวางแล้วกำราบ
“พวกเจ้ามาขวางขบวนเสด็จด้วยเหตุใด รู้หรือไม่ว่ามีอาญาประหาร”
“พวกข้ารู้แต่ พวกข้าเดือดร้อน หาได้พึ่งใครๆได้นอกจากพ่ออยู่หัว”
บาเยงโบตัดสินใจแหวกม่านออกมาดู
“พวกเจ้ามีเรื่องร้อนรนอันใดรึ”
ชาวบ้านเงยหน้ามองบาเยงโบแล้วบอกเรื่องราว
“คนในครอบครัวของพวกข้าพุทธเจ้า หายไปครอบครัวละคนสองคนพระพุทธเจ้าข้า”
“คนหายหรือ...”
บาเยงโบรับฟังอย่างแปลกใจ
งะดินเดนั่งอ่านคัมภีร์พระเวทอย่างสนใจ ชะเวโบเดินขึ้นมาบนบ้านแล้วสอบถามตามปกติ
“ท่านพ่อกำลังศึกษาตำราสิ่งใดอยู่รึ”
“ตำราที่จะทำให้เจ้ากับข้าเป็นใหญ่ในแผ่นดินไง”
ชะเวโบมองตำราใบลานเก่าๆในมืองะดินเดแล้วไม่ค่อยสนใจ
“เยี่ยงนั้นเลยรึ”
งะดินเดรู้ว่าชะเวโบไม่เชื่อ
“ท่านพ่อมัวใส่ใจกับตำรานี่เอง ถึงหาได้รู้ความเป็นไปภายนอก”
“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ”
“มีชาวบ้านไปร้องเรียนกับพ่ออยู่หัวว่า เพลานี้มีผู้คนหายไปเป็นจำนวนมาก”
งะดินเดรู้สึกสนใจ
เสือสมิง ตอนที่ 11 (ต่อ)
“ข้านึกอยู่แล้ว”
“ท่านพ่อหมายความเยี่ยงไร”
“ไอ้บาทหลวงนั่น”
“พระฝรั่งมาเกี่ยวเยี่ยงไรรึ”
“มันไม่ใช่พระ ข้ารู้สึกได้ถึงพลังของเลือดในกายมัน”
“ผีดูดเลือดรึ”
“คืนนี้ข้าจะกระชากหน้ากากมันออกมาเอง”
ชะเวโบฟังอย่างแปลกใจมาก
บาทหลวงกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง จอบิเปิดประตูห้องเอาถ้วยใส่เลือดสดเข้ามาให้
“เลือดหญิงสาวที่มารักษาครับ”
บาทหลวงรับไปอย่างพอใจ
“แล้วศพนางล่ะ”
“ข้านำไปซ่อนอย่างดีแล้ว”
“ดีมาก ช่วงนี้เจ้าจงระวังหน่อย มีข่าวคนหายหนาหูขึ้นมากแล้ว”
“ขอรับ”
บาทหลวงวางถ้วยเลือดบนแท่นบูชาเล็กๆ
“เมื่อข้ามีพลังอันสมบูรณ์ อาณาจักรนี้ก็จะเป็นของข้า...ข้าไม่มีกิจอันใดแล้วเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
จอบิรับรู้แล้วเดินออกไปอย่างนอบน้อม บาทหลวงหันมาที่ถ้วยเลือดแล้วเตรียมดื่ม พลันมีลมวูบเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงงะดินเดลอดเข้ามา
“เป็นอย่างที่ข้าคิดไม่มีผิด”
“ใคร...”
งะดินเดกับชะเวโบ ปรากฏกายขึ้นด้านหลังบาทหลวงในมุมมืด บาทหลวงสะดุ้งแล้วถอยไปตั้งหลัก
“ท่านราชครู...ชะเวโบ”
ชะเวโบยิ้มเยาะ
“หลอกคนมารักษาแล้วดูดเลือด....ลูกไม่ตื้นๆ”
“แต่มันก็ได้ผล อีกไม่นานผู้คนทั้งหมดที่นี่ก็จะเป็นสาวกของข้า และเมื่อนั้นข้าก็จะครองอาณาจักรนี้”
“เจ้านี่มันมักใหญ่ใฝ่สูงจริงๆ มาอยู่ไม่กี่มะน้อยคิดชิงราชบังลังก์”
“อยู่นานหรือไม่มันไม่เกี่ยว มันอยู่ที่ฝีมือ”
งะดินเดก้าวออกมาในที่สว่างเห็นใบหน้าชัดเจนน่ากลัว
“ข้าอยากจะรู้นักเชียวว่าผีดิบดูดเลือดตาน้ำข้าวอย่างเจ้า มันจะมีฝีมือแค่ไหน”
บาทหลวงวาดลวดลายจู่โจมงะดินเดทันที ทั้งคู่ต่อสู้ในห้อง แล้วกระโจนออกไปนอกหน้าต่าง ต่อสู้บนพื้นดินลานโล่ง
จอบิอยู่ในห้องได้ยินเสียงผิดปกติจึงออกไปดูเห็นบาทหลวง กำลังต้อสู้กับงะดินเด ชะเวโบเข้าไปต่อสู้กับจอบิ แล้วสยบจอบิเอาไว้ได้ งะดินเดต่อสู้ไปไม่นานก็ได้เปรียบ เขาพันธนาการบาทหลวงจนอยู่หมัด
“จะว่าไปฝีมือของเจ้าก็ไม่เบาเหมือนกัน ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์แด่ข้า ยอมมาช่วยงานข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”
บาทหลวงรู้ว่าเสียเปรียบ ตัดสินใจทันที
“ได้...แล้วข้าจะได้อะไรตอบแทน”
“ข้าจะแบ่งเขตแดนให้เจ้าปกครอง มีเลือดให้เจ้าดื่มกินไม่อั้น”
“ตกลง”
งะดินเดยิ้มรับ แล้วปล่อยบาทหลวงจากพันธนาการ
“เจ้าเป็นอิสระ”
งะดินเดหันหลังให้บาทหลวงแล้วพูดโดยไม่มองหน้า
“เจ้าคงรู้นะว่าพรุ่งนี้เจ้าต้องทำอะไร”
“ข้ารู้ดี โดยเฉพาะตอนนี้...”
บาทหลวงชักมีดสั้นออกมาจากเสื้ออย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าหางะดินเดอย่างรวดเร็วหมายจะแทง แต่งะดินเดที่ไม่ค่อยไว้ใจอยู่แล้วไหวตัวทัน เขาหันมาใช้อาคมอันแรงกล้าซัดบาทหลวงกระเด็นกระแทกกับต้นไม้จนกระอักเลือด
“อ้ากกกกก...” บาดหลวงร้องด้วยึวามเจ็บปวด
“คนอย่างเจ้า ฆ่าให้ตายมันง่ายไป ฆ่าจะทำให้เจ้าตายอย่างช้าๆ”
งะดิเดใช้อาคม พุ่งเข้าทำลายตามจุดต่างๆตามร่างกายของบาทหลวง
“บัดนี้อาคมเจ้าหายไปส่วนหนึ่งแล้ว”
บาทหลวงหน้าซีด ทดลองเกร็งพลังแต่ไม่ได้ผล
“อาคมข้า...โธ่....”
“เจ้าไปซะ ช่วงนี้ข้าถือศีล ข้าไม่ฆ่าสัตว์...แล้วอย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”
งะดิเดเดินจากไปแล้วหายตัวไปในความมืด ชะเวโบปล่อยจอบิเป็นอิสระแล้วตามงะดิเดไป บาทหลวงทั้งเจ็บและทั้งแค้น จอบิวิ่งเข้ามาช่วย
“นายท่าน...”
“เราคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองคนตัดสินใจหนีทันที
ปัจจุบัน...งะดินเดจ้องบาทหลวงอย่างจริงจัง
“เสียดายที่วันนั้นฆ่าไม่ฆ่าเจ้า”
“งั้นวันนี้ก็มาชำระแค้นกันเสียสิ”
“ดูเจ้ามั่นใจเสียจริงนะ”
บาทหลวงบอกอย่างมั่นใจ
“แน่นอน เพราะแค่กายทิพย์ของเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
งะดินเดบริกรรมคาถา
“ก็ลองดูสิ” งะดินเดบริกรรมคาถา
“ไม่ต้องท้า...”
บาทหลวงบริกรรมคาถา งะดินเดจ้องบาทหลวงและหาจังหวะจู่โจม
หัวหน้าว้าแดงเดินนำลูกน้อง ฉุดกระชากจงใจมาบริเวณที่มัดระรินไว้ แก้วแอบมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ
“ปล่อยฉันนะ...ช่วยด้วย” จงใจพยายามร้อง
“หยุดแหกปากซะทีได้ไหม”
จงใจถูกพาไปสมทบกับระริน หัวหน้าขึ้นม้าแล้วสั่ง
“เอาตัวมันไปทั้งสองคน ..ไป...”
ทั้งหมดขึ้นม้าวิ่งหายไปในความมืด แก้ววิ่งออกมาดู
“พี่จงใจ....แย่แล้ว...หมวด...”
แก้วนึกถึงสมรักษ์แล้ววิ่งไปที่พัก
ประเดิมกับหินเผชิญหน้ากับสองสาวกระเหรี่ยง ที่แยกเขี้ยวพร้อมจะขย้ำได้ทุกเมื่อ
“เอายังไงดีล่ะน้าประเดิม ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนแล้ว” หินหันซ้ายหันขวาอย่างกลัวๆ
“ไม่รู้สิ....หนีก็ตาย ถ้าสู้อาจจะรอด”
“แล้วจะเอาอะไรสู้มันล่ะน้า”
ประเดิมไม่ตอบ เขาจ้องที่ผีสองสาว ที่กำลังเดินเข้ามาหา
“ยอมพวกเราเถอะแล้วเราจะได้เป็นพวกเดียวกันตลอดไป”
“ไม่มีทาง ฉันยอมตาย มาเข้ามาเลย”
ผีสองสาวเดินเข้ามา ประเดิมมองหาอาวุธรอบกายแล้วไปสะดุดตาที่ท่อนคบไฟกำลังเหมาะมือ
“เอานี่แหละ....เหมาะมือดี”
“ฉันเอาด้วย”
หินพุ่งออกไปหยิบคบไฟทั้งสองอัน แล้วเอามาตีสองสาวทันที ผีสองสาวกระเจิงไป
“มาเลย...เข้ามาเลยน้องสาว พี่จะย่างให้หนังกรอบเชียว...”
บาทหลวงบริกรรมคาถาแล้วชักมีดออกมา
“อยากตายก็เข้ามาเลย”
บาทหลวงพุ่งลำแสงใส่ งะดินเดกระเด็นติดฝาผนัง กินรีตกใจ
“ท่านบรรพบุรุษ....”
งะดินเดตั้งหลักได้แล้วพุ่งเข้าใส่บาทหลวง แต่ตัวเองถูกซัดกระเด็นไป บาทหลวงย่ามใจ
“นึกว่าข้าหมูหรือไง...คนเรามันตั้งพัฒนาบ้างสิ 800 กว่าปีมานี่เลือดและ พลังที่ข้าสั่งสมมามันมีมากพอที่จะขยี้ร่างอันบอบบางอย่างเจ้าได้...เข้ามาเลย”
งะดินเดรวบรวมพลังขึ้นร่างมีแสงเปล่งประกาย
“ข้าประมาทไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”
บาทหลวงตกใจ
“อะไรนะ”
งะดินเดตรงเข้าใส่บาทหลวงด้วยลำแสง บาทหลวงกระเด็นไป จากนั้นงะดินเดเดินวนมาทางกินรีแล้วเอาแสงจากอาคมตัดเชือกที่มันแขนกินรีขาดลง บาทหลวงพุ่งเข้าใส่กินรี
“คิดจะหนีหรือ”
ไม่ทันที่บาทหลวงจะถึงตัวกินรี งะดินเดก็พุ่งเข้ามาซัดจนบาทหลวงกลิ้งไป กินรีหยิบคบไฟวิ่งหนีไป บาทหลวงพยายามจะตามไปแต่งะดินเดกระโดดมาปิดทางเอาไว้
กินรีถือคบไฟวิ่งออกมาตามทางเดินอย่างรีบเร่ง กินรีวิ่งมาถึงกลางทางแล้วสะดุดอะไรบางอย่างจึงเอาไฟส่องดู สิ่งที่เห็นคือศพของจอบิที่ถูกงะดินเดฆ่าอย่างสยดสยอง กินรีรีบหนีไปที่ทางออก แล้วมองไปรอบๆ พอดีกับมะค่าวิ่งเข้ามาในโบสถ์
“พี่กินรี”
กินรีกับมะค่ามองไม่เห็นคนป่วยที่เคยนอนอยู่
“คนป่วยไปไหนหมดเนี่ย”
มะค่ารู้สึกขนลุกในบรรยากาศ
“รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า”
กินรีเห็นด้วยแล้วรีบออกไป แต่พอดีสายตาไปพบกับบาทหลวงที่ปรากฏกายขึ้นข้างหลังอย่างเงียบๆ
“คุณพ่อ...”
งะดินเดปรากฏกายขึ้น แต่บาทหลวงใช้กรงเล็บจิกคอกินรีกับมะค่าไว้เป็นตัวประกัน
“ข้าจำเป็นต้องใช้ตัวช่วยนิดหน่อย...”
พูดจบบาทหลวงพามะค่ากับกินรี ล่องหนกลายเป็นลำแสงพุ่งหายไป
“นึกว่าจะหนีข้าพ้นรึ”
งะดินเดล่องหนเป็นลำแสงตามไป
เสือใจ จ่าชิต และภราดรเร่งเดินมาที่โบสถ์
“หมอเป็นยังไงบ้าง”
“รู้สึกดีขึ้น มีอะไรหรือจ่า” ภราดรสงสัย
“เปล่าหรอก แค่ บางทีผมอาจจะไหว้วานอะไรหมอหน่อย”
“ได้สิ...”ภราดรรับคำทันที
ประเดิมกับหินวาดไฟใส่ผีสองสาวอย่างเมามัน แต่ก็กลัวตาย
“มา...เข้ามาเลย”
ไฟที่คบของหินค่อยๆดับลง หินหน้าซีด
“น้าประเดิม ไฟของฉันจะดับแล้ว...ดะ...ดะ...ดับแล้ว”
ไฟที่คบของหินดับสนิท ผีสองสาวย่ามใจ
“เตรียมตัวบริจาคเลือดได้เลยไอ้หนู”
ประเดิมเข้ามาปกป้องหินอย่างกลัวตาย
“ไม่ต้องกลัว หิน”
ประเดิมวาดไฟใส่สองสาวกระเหรี่ยง แต่แล้วไฟก็ดับลง หินกอดประเดิมแน่น
“ไฟดับแล้ว...ทำยังไงดีล่ะน้า...”
“เอ็งสวดมนต์เป็นไหม”
“เป็น....สวดแล้วผีมันจะไปหรือ”
“เปล่า...เราจะได้ไปสู่สุขคติ”
หินร้องจ้า ผีสองสาวตรงเข้ามากำลังจะขย้ำ แต่ก่อนจะถึงคอประเดิมกับหิน ทั้งคู่ก็หยุดกึก
“นายท่าน...”
ร่างของผีทั้งสองหายวับไป เพราะบาทหลวงหนีไปแล้ว
“เฮ้ย...ทำไมอยู่ดีๆมันหยุดล่ะ....” ประเดิมงง
หินลืมตาแล้วรู้ว่าตัวเองปลอดภัย
“น้าก็ตามไปถามมันสิ...ฉันไม่อยู่แล้ว”
หินรีบวิ่งหนีไป ประเดิมตามไปติดๆ
“เฮ้ย....รอด้วย...”
แก้วแก้ไขจนหมวดสมรักษ์ฟื้น
“หมวด...หมวด....”
สมรักษ์พยายามอึด
“โอย...รีบตามไปช่วยจงใจเถอะ”
ก่อนที่ทั้งคู่จะทำอะไร ประเดิมกับหินก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“หมวด ทุกคน...เฮ้อ...เหนื่อย...”
“แก้ว....โอย แทบเอาชีวิตไม่รอด”
“ประเดิม หนีอะไรกันมา”
“ผีดิบครับหมวด ผีดิบดูดเลือด สองสาวลูกน้องบาทหลวงนั่นเป็นผีดูดเลือด”
สมรักษ์กับแก้วตกใจ
“จงใจกับระรินถูกพวกโจรจับตัวไป พวกเราไปเตรียมตัวเอาอาวุธและของใช้ที่จำเป็นเร็ว”
สมรักษ์มองไปรอบๆแล้วนึกถึงจงใจ
บาทหลวงมาปรากฏกายที่ชายป่า แม้จะเหนื่อยมากแต่ยังใช้อาคมจิกคอกินรีกับมะค่าไว้
“เฮ้อ...นึกว่าไม่รอดเสียแล้ว ดีที่แกสองคนมาช่วยไว้”
ยังไม่ทันสิ้นคำพูดก็มีเสียงเสือคำรามขึ้นอย่างดังดูน่ากลัว บาทหลวงหน้าซีดหันไปมองรอบๆอย่างหวั่น ในใจเริ่มบ้าเลือดแล้ว
“ออกมาสิวะ อย่างดีก็แค่ตาย”
งะดินเดในภาพปีศาจคำรามเป็นเสียงเสือน่ากลัว บาทหลวงหันไปพบเตรียมตัวสู้ มะค่าหลับตาปี๋ ขณะที่กินรีพยายามหาทางหนี
จ่าชิต เสือใจ และภราดรเดินมาตามไปโบสถ์ แล้วต่างก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเสือ
“เสือสมิงหรือเปล่าไอ้ใจ” จ่าชิตสงสัย
เสือใจพยักหน้ารับ
“มันไม่ใช่เสือธรรมดาแน่เพราะป่าแบบนี้ไม่มีเสืออาศัยอยู่หรอก”
“งั้นต้องเป็นเสือสมิง คราวนี้กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่” จ่าชิตบอกแค้นๆ
“แวว...เสียงมาทางนั้น”
จ่าชิตนึกเป็นห่วงแววขึ้นมาทันที
หน้าบาทหลวง งะดินเดยืนจังก้าท้าทายดูน่ากลัว
“แกหนีไม่รอดหรอก”
บาทหลวงหันไปเห็น
“มาสิ....อย่างดีเราก็ตายพร้อมกัน”
บาทหลวงพร้อมสู้ ผลักกินรีกับมะค่าออกไปด้านข้าง
“มา...”
บาทหลวงบริกรรมคาถา พลันมีประกายเรืองแสงออกมาจากตัวบาทหลวงแล้วพุ่งเข้าใส่ งะดินเดกลายร่างเป็นแสงเรืองแล้วพุ่งเข้าต่อสู้กัน
สมรักษ์กับประเดิมเก็บข้าวของที่จำเป็น รวมทั้งยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ แล้วลงมารอข้างล่าง
“มีผีดิบจริงหรือประเดิม” สมรักษ์สงสัย
“จริงสิหมวด ผมไม่โกหกหรอก”
สมรักษ์ยังพึมพำ
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
“ไม่น่าเชื่อว่ามีผีหรือครับ”
“เปล่า...ไม่น่าเชื่อว่านายพูดความจริงเป็นเหมือนกัน”
ประเดิมสะอึกเมื่อเจอมุกนี้ แก้วกับหินเดินเข้ามา นอกจากสัมภาระแล้วยังมีอาวุธครบมือ
“ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม”
ทุกคนพยักหน้าเตรียมตัวแก้วเสริมแล้วมองมาทางหิน
“แก้วเห็นพวกมันขี่ม้าขึ้นไปทางเหนือคงแกะรอยไม่ยาก”
หินพยักหน้ารับแสดงความมั่นใจ ทุกคนรับรู้แล้วเดินทางไป
จ่าชิต เสือใจ และภราดร รีบมาที่ที่แววพักแรมอยู่
“แวว”
เสือใจร้องเรียก ครู่หนึ่งแววเดินมาหา
“พี่เสือ...เด็กล่ะ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ หมอภราดร”
ภราดรพยักหน้ารับ
“พวกนั้นอยู่ที่โบสถ์ คงไม่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“แต่พวกเรานี่สิ”
“มีอะไรหรือ”
“เสือสมิง...เราได้ยินเสียงเสือสมิงแถวนี้”
หมู่หน้าซีดด้วยความกลัว เสือใจหยิบกระสุนอาคมมาใส่ปืนแล้วส่งบางส่วนให้จ่าชิต
“เอ้า...ไอ้ชิตนี่กระสุนอาคม”
“เอ็งมีแบบนี้กับเขาด้วยหรือ”
“อ้าว...ข้าก็ศิษย์มีครูโว้ย แต่กระสุนเนี่ยมันใช้ได้กับเสือสมิงที่อาคมไม่แก่กล้า หรือว่าเสือสมิงที่อ่อนแรง”
“แล้วถ้าเสือสมิงที่มีวิชาแข็งแกร่งล่ะ”
“เอ็งก็จะกลายเป็นเนื้อเสือร้องไห้ทันที”
จ่าชิตพยักหน้ารับรู้แล้วเอาลูกปืนใส่รังเพลิง เสือใจหยิบหญ้ามากำหนึ่งแล้วเสกส่งให้แวว
“เอาหญ้าเสกนี้ไป แล้วหมอ แววกับหมู่ขึ้นไปอยู่บนคบไม้ ไม่ว่าใครจะมาเรียกห้ามลงมาเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ” หมู่งงจ่าชิตเสริมพลางขึ้นลำปืน
“ว่ากันว่าเสือสมิงมันสามารถแปลงเป็นอะไรก็ได้ ระวังไว้ให้ดี”
“อ้าว...ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้าเกิดมันแปลงเป็นจ่า หรือเสือใจล่ะ”
“ให้ดูที่ตามัน นัยน์ตามันจะไม่มีแววไม่เหมือนคน เมื่อหมู่เอาหญ้าที่ฉันเสกให้มันจะกลายร่างที่แท้จริงออกมา”
ภราดรรีบบอก
“ผมไปด้วย”
เสือใจพยักหน้ารับ แล้วส่งปืนสั้นให้ภราดร
“เอ้า...”
แววสั่งด้วยความเป็นห่วง
“ระวังตัวด้วยนะพี่เสือ”
เสือใจพยักหน้ารับ แล้วเดินนำออกไป
บาทหลวงใช้ไม้ตายด้วยพลังครั้งสุดท้ายเข้าใส่งะดินเด บังเกิดเสียงดังและฟ้าคำราม งะดินเดยืนหยัดแล้วซัดพลังกลับไปถูกบาทหลวงกระเด็นไป กระอักเลือดออกมา แทบหมดแรงใจจะขาด
“สิ้นฤทธิ์แล้วหรือ”
“ใครบอกเจ้า”
บาทหลวงลืมตากร้าวด้วยแรงฮึดและแล้วก็ลุกขึ้นมาจู่โจมงะดินเดอย่างรวดเร็ว รุนแรงและเด็ดขาด งะดินเดต่อสู้อย่างหนัก ในที่สุดบาทหลวงก็สิ้นใจ งะดินเดคำรามเสียงออกมาเป็นเสืออย่างน่ากลัวก่อน
ร่างจะหายไป กินรีกับมะค่าปลอดภัยโล่งอก
“เราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” มะค่ามองไปรอบๆ
“ไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”
ทั้งคู่พากันวิ่งหนี
จ่าชิต เสือใจ และภราดรวิ่งตามเสียงเสือมาที่ต่อสู้กันแล้วพบศพบาทหลวง
“ไอ้ใจ ดูนี่” จ่าชิตร้องบอก
“นี่มันบาทหลวงนี่” ภราดรแปลกใจ
“นี่มันคงกินพระฝรั่งสิท่า”
“มันไปทางไหนแล้ว”
เสือใจมองไปรอบๆแล้วเห็นรอยเท้าก็ร้องบอก
“นี่ รอยเท้า..ไปทางนี้...”
ทั้งสามคนรีบตามไป
กินรีกับมะค่ารีบวิ่งมาตามทาง ได้ยินเสียงคนตามมา
“มีคนตามมา” กินรีบอกอย่างกังวล
“สงสัยจะเป็นพวกโจร”
กินรีหน้าเสีย เมื่อได้ยินเสียงใกล้เข้ามา
“แยกกัน มะค่าไปทางโน้น พี่จะล่อพวกมันไปเอง”
“จะดีหรือพี่”
“ไปเถอะน่า ไม่มีเวลาแล้ว”
มะค่าแยกไป กินรีแกล้งทำเสียงสวบสาบ เสือใจได้ยินรีบบิก
“ทางนี้”
เสือใจวิ่งนำไปจ่าชิต กับภราดรตาม
กินรีวิ่งหนี เสือใจเห็นกินรีอยู่ไม่ห่างนัก และเห็นไม่ชัด
“นั่นไง ไอ้ชิต เป็นผู้หญิง”
จ่าชิตยกปืนประทับเล็งแล้วจะยิง แต่กินรีสะดุดล้มลงกลิ้งเข้าไปในพุ่มไม้เสียก่อน
“โธ่เว้ย...มันอยู่ตรงนั้น”
“ระวังนะโว้ย”
เสือใจ จ่าชิต และภราดร ค่อยๆเคลื่อนตัวไปที่พุ่มไม้อย่างช้าและระวัง กินรีเจ็บขาวิ่งไม่ไหววซุ่มอยู่ในพุ่มไม้
จ่าชิตและเสือใจ พุ่งเข้าไปในพุ่มไม้เอาปืนจ่อหมายจะยิง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกินรีนั่งกุมขาที่เจ็บอยู่
“เสร็จข้าล่ะ” เสือใจบอก
ภราดรรีบห้าม
“กินรี....อย่า...นี่กินรี”
“ใช่ กินรีร่างทรงแม่ผีฟ้าหน้าทอง”จ่าชิตยืนยัน
เสือชิตจึงหยุด กินรีโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ภราดรเข้าไปหา...
“กินรี เป็นยังไงบ้าง”
จ่าชิตจ้องภราดรเหมือนเตือนอะไรบางอย่างเบาๆ
“หมอ....อย่าลืมที่ผมขอไว้สิ”
ภราดรเป็นห่วงภราดรแต่จำต้องฝืน
“เอ่อ...จ่าประคองเขาซิ”
จ่าชิตเข้าไปประคองกินรี เสือใจห้ามเอาไว้
“เดี๋ยว...เสือสมิงมันแปลงเป็นอะไรก็ได้ อย่าไปไว้ใจเลย ข้าว่ายิงก่อนแล้วค่อยถามดีกว่า”
“จะบ้าหรือ เขามีแต่ถามก่อนแล้วค่อยยิง...เออจริงว่ะ กินรีมาที่นี่ได้ยังไง”
จ่าชิตลังเล กินรีขยับตัวจะยืน เสือใจกระโดดถอยออกมาอย่างอัตโนมัติ
“ยิงมันเลย...”
จ่าชิตปัดปืนเสือใจ
“ใจเย็นสิวะ...ไอ้ใจ”
“ฉันหนีพวกผีดิบมาจากหมู่บ้านกระเหรี่ยง กับมะค่า แล้วพวกจ่าล่ะ”
เสือใจไม่เชื่อระวังตัวตลอดเวลา
“พวกฉันตามล่าเสือสมิงมา”
กินรีงงๆ
“เสือสมิงหรือ”
เสือใจตรงเข้าแหกตากินรีดูทันที
“ไหนมาดูซิ”
กินรีปัดป้อง
“น้าจะทำอะไรฉันเนี่ย”
“ก็ดูให้แน่ใจน่ะสิ ว่าเอ็งเป็นเสือสมิงหรือเปล่า”
“ฉันเป็นคน”
เสือใจดึงหญ้าขึ้นมาจากพื้นแล้วเสก แล้วปาเข้าใส่กินรี แต่เธอไม่เป็นอะไร เขาจึงยอมรับ
“ข้าเชื่อแล้ว กลับกันเถอะไอ้ชิต ข้าเป็นห่วงแวว”
“แล้วระรินล่ะ เห็นระรินไหม” ภราดรถามด้วยน้ำเสียงเป็นหาวง
“คุณระรินกับจงใจถูกพวกโจรจับขึ้นเขาไป หมวดสมรักษ์กับพวกกำลังตามไปช่วย”
เสือใจ จ่าชิต และภราดรเครียดไปทันที
จบตอนที่ 11