แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 14
พิแสงเดินเข้ามาในบ้าน เขาเดินไปนั่งด้วยความผิดหวังเพราะคิดถึงตอนที่เขมมิกพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเขาที่ฟาร์ม
ภาพตอนที่เขมมิกพูดกับพิแสงย้อนกลับมา
“ฉันจะเปิดคลิปเสียงพีทให้คุณฟัง มันเป็นเรื่อง....”
พิแสงโกรธสุดๆ ที่ได้ยินชื่อพิทยา เขาจึงแย่งมือถือของเขมมิกมา
“คุณพิแสง เอาคืนมาให้ฉัน” เขมมิกบอก
“ใจเธอทำด้วยอะไร ถึงได้ไม่เคยรู้สึกผิดชอบชั่วดี ยังจะมีหน้ามาพูดถึงสามีคนอื่นหน้าระรื่น เพื่อเยาะเย้ยฉัน เธอมันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ไปให้พ้น!”
พิแสงปามือถือเขมมิกไปกระแทกกับต้นไม้จนแหลกไม่มีชิ้นดี
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น พิแสงก็เสียใจที่ไม่ได้ฟังเขมมิกให้จบ
“ฉันขอโทษ....”
พิสินีย์เดินเข้ามาหาพิแสงแล้วยิ้มให้เป็นปกติเหมือนไม่ได้โศกเศร้าอะไร
“มาถึงนานหรือยังคะพี่ใหญ่” พิสินีย์ถาม
“สินีย์....” พิแสงมองพิสินีย์ด้วยความสงสารและเห็นใจเธอในเรื่องพิทยา
พิสินีย์ยิ้มให้ปกติ “ยังไม่ทานอะไรมาแน่ๆเลย สินีย์ไปเตรียมอาหารให้นะคะ”
“พี่ไม่หิว สินีย์...เรื่องพีท....”
พิสินีย์ตัดบท “ดื่มกาแฟสักถ้วยก่อนนะคะ ค่อยคุยกัน ไม่ได้ชงให้พี่ใหญ่ดื่มนานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือตัวเองจะตกหรือเปล่าสิ รอสักครู่นะคะ”
พิแสงจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน “สิ....”
พิสินีย์เดินไปก่อนที่พิแสงจะรั้งตัวไว้ทัน พิแสงสงสารพิสินีย์เพราะรู้ดีว่าน้องสาวกำลังกลบความเศร้าของตัวเองด้วยการทำตัวเป็นปกติ
พิสินีย์เปิดโถกาแฟแล้วตักกาแฟโดยพยายามจะระงับอารมณ์ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาทั้งที่ในใจไม่ไหวแล้ว แต่มือไม้ของเธอสั่นไปหมดทำให้ตักผิดตักถูก พิแสงเดินเข้ามาเห็น
“สินีย์....ไม่ต้องทำแล้ว” พิแสงบอก
พิสินีย์ไม่ยอมหันหน้าให้พิแสงเห็นความอ่อนแอของเธอ “ที่ผ่านมาสินีย์มัวแต่ดูแลคนอื่น” พิสินีย์อึ้งไป “ให้สินีย์ดูแลพี่ใหญ่บ้างเถอะนะคะ”
พิแสงอึ้งไป เขามองดูพิสินีย์ที่พยายามตั้งใจชงกาแฟพลางพูดไปเรื่อยๆ
“สินีย์สงสารคุณพ่อกับคุณแม่มาก ต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ท่านเข้มแข็งมากเลยค่ะ มีสติ ช่วยกันหาทางออก ไม่มีใครทำให้ใครเสียกำลังใจ ว้า...ไม่ได้เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน แย่จัง รอสักครู่นะคะพี่ใหญ่ เอ่อ...ต้มด้วยกาท่าจะเร็วกว่า”
พิสินีย์กระวีกระวาดหากาต้มน้ำร้อนแล้วเติมน้ำก่อนจะนำไปตั้งเตา พิแสงสังเกตน้องสาวอยู่ตลอดเวลา พิแสงเข้าไปจับมือของพิสินีย์เอาไว้เพื่อให้หยุดทำทุกอย่าง
“ตอนนี้ ดูแลตัวเองก่อนเถอะนะ สินีย์”
พิสินีย์มองหน้าพิแสงแล้วยิ้มกลบเกลื่อน “สินีย์ไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะพี่ใหญ่”
“คุณพ่อบอกพี่ว่า...สินีย์เข้มแข็งมาก ไม่มีใครเห็นสินีย์ร้องไห้เลย”
“พี่ใหญ่เคยบอกสินีย์ว่า ถ้าพี่ใหญ่ไม่อยู่ ให้สินีย์เข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้อง เป็นผู้ช่วยของคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้ที่บ้านกำลังยุ่ง ถ้าสินีย์...”
พิสินีย์อึ้ง
พิแสงตัดบท “ร้องไห้ออกมาเถอะ ที่นี่คือบ้านของเรา ที่ๆเดียวที่เราจะร้องไห้ได้โดยไม่ต้องอายใคร ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาซ้ำเติม เพราะทุกคนรักสินีย์ด้วยความจริงใจ ไม่มีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้อง”
พิสินีย์ทรุดลงทันทีแล้วทำนบน้ำตาที่เธอพยายามกั้นเอาไว้ก็พังทลาย พิสินีย์ร้องไห้โฮด้วยหัวใจที่แตกสลาย
“เข้มแข็งไม่ได้แปลว่าให้หลอกตัวเอง ถ้าเจ็บก็คือเจ็บ ร้องไห้เพราะเสียใจ ไม่ใช่เพราะเราอ่อนแอ”
พิแสงลงไปคุกเข่าข้างๆ แล้วกอดปลอบพิสินีย์เอาไว้ด้วยความเห็นใจเพราะใจจะขาดตามน้องไปให้ได้
“พี่ใหญ่....สินีย์เจ็บ....”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
พิสายืนมองพิแสงแล้วกอดปลอบใจพิสินีย์ที่ร้องไห้หนักอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยความสงสารและสะเทือนใจ พิสุทธิ์กับแสงสุดาเดินเข้ามาสมทบกับพิสา พิสาเข้าไปกอดแสงสุดาเอาไว้ แสงสุดาโอบพิสาเพื่อปลอบใจ ทั้งสองต่างพูดไม่ออก ทุกคนต่างสะเทือนใจและสงสารพิสินีย์ด้วยกันทั้งหมด พิแสงกอดปลอบใจพิสินีย์ที่ยังร้องไห้อย่างหนัก
พิแสงเดินออกมาแล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง พิสุทธิ์เดินเข้ามา
“น้องหลับไปแล้วเหรอ ตาใหญ่” พิสุทธิ์ถาม
“ครับคุณพ่อ”
ชายสองคนยืนใกล้ๆกันโดยเงียบกันไปชั่วครู่
“ช่วงนี้ บ้านเราเจอแต่เรื่องวุ่นๆนะว่ามั้ย” พิสุทธิ์พูดออกมา
“ครับ”
“ไม่รู้ว่าทำไม”
“มีคนเคยบอกผมว่า เราอาจจะไม่มีคำตอบให้กับทุกคำถามในชีวิต”
“นั่นสินะ เอาเวลาไปแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นแล้วดีกว่า....”
พิแสงเงียบไป
“ขอบใจนะที่มา”
“ผมมัวแต่หมกมุ่นกับปัญหาของตัวเอง จนไม่ได้สนใจเรื่องของครอบครัว ทั้งๆที่ผมเป็นพี่ชายคนโต ผมควรจะดูแลน้องได้ดีกว่านี้”
“แกก็กำลังทำอยู่....อีกคนหนึ่งที่พ่อต้องขอบคุณคือเขมมิก” พิสุทธิ์บอก
“คงจะทำเพื่อแก้ตัว...” พิแสงว่า
“พ่อว่า...เขมมิกก็เป็นคนดีอยู่บ้างนะ”
“เหรอครับ...แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้...”
“ตาใหญ่...คนเราทำผิดพลาดกันได้ แต่ถ้าสำนึก และไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก ก็ควรจะได้รับการให้อภัย”
“ไม่รู้สิครับ...ตอนนี้ผมเหมือนถูกตีหัว จนมึน งง สับสนไปหมดแล้ว”
“งั้นก็ให้เวลาตัวเองสักพัก....ทำใจให้ปราศจากอคติ แล้วลองมองเขมมิกอีกที”
พิแสงอึ้ง พิสุทธิ์ตบไหล่ให้กำลังใจ
“พรุ่งนี้ ยังมีความจริงให้เราต้องเผชิญอีกหลายเรื่อง เราต้องแข็งแรงที่สุดเท่าที่ทำได้ ในฐานะที่เราเป็นผู้ชายของบ้านนี้”
“ครับ...หมดเวลาที่ผมจะอ่อนแอแล้ว”
ผู้ชายของบ้านทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าบ้านเหมือนเป็นสองเสาหลักให้กับครอบครัวนี้
เนตรนิภาได้ยินเสียงเตือนว่ามีไลน์เข้า ขณะที่กำลังลากกระเป๋าเข้าบ้านหลังจากที่ไปบินมา เนตรนิภาหยุดแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู
เนตรนิภาดีใจ “เขม....”
เนตรนิภาเข้าแอพคุยไลน์กับเขมมิก
เขมมิกกำลังพิมพ์ข้อความคุยกับเนตรนิภาอยู่ในห้องพัก โดยที่ขนิษฐานอนพักอยู่บนเตียง
“ลุทซ์หาที่พักให้พวกเราที่แอลเอได้แล้ว เริ่ดสุดอ่ะ ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง” เขมมิกบอก
เนตรนิภาพิมพ์ข้อความตอบ
“คุณพิแสงโทรถามฉันว่าแกไปไหน ฉันบอกว่าไม่รู้ แต่ฉันว่าเขาไม่เชื่อฉัน” เนตรนิภาบอก
เขมมิกอึ้งแล้วหน้าเศร้าลง เธอก้มหน้าพิมพ์ต่อ
“ช่างเหอะ” เขมมิกบอก
เนตรนิภาพิมพ์ข้อความตอบ
“แล้วเรื่องของแกเป็นไงบ้าง จัดการถึงไหนแล้ว”
เขมมิกพิมพ์ข้อความตอบ
“หมอที่ลุทซ์แนะนำให้ฉันพาแม่มารักษา ก็จะนัดตรวจพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องขึ้นศาล อีกไม่กี่วันแล้ว ฉันต้องเตรียมความพร้อมกับลุทซ์ให้ดี งานนี้...ฉันจัดเต็ม ไอ้พวกที่โกงพ่อฉัน ต้องแพ้คดี!”
เวลาผ่านไป เนตรนิภาซึ่งเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วนอนพิมพ์ข้อความคุยกับเขมมิกบนโซฟา
“เอาใจช่วยนะแก จะได้กลับมาเร็วๆ”
เขมมิกกำลังกัดช็อกโกแลตแท่งยาวในขณะที่ข้างๆมีถุงขนมที่กินหมดแล้ววางเต็มไปหมด เขมมิกพิมพ์ข้อความ
“ขอบใจนะเนตร แต่ฉันไม่คิดว่าฉันจะกลับไปที่เมืองไทยอีก ฉันจะหางานทำที่นี่หรือที่ไหนก็ได้ในโลก ที่ไม่ใช่ที่นั่น”
ขนิษฐาขยับตัว “เขม...แม่หิวน้ำ”
เขมมิกวางช็อกโกแลตแล้วรีบพิมพ์ต่อ
“แค่นี้ก่อนนะ แม่ตื่นแล้ว”
เขมมิกวางมือถือลงแล้วรีบวิ่งไปรินน้ำใส่แก้วก่อนจะวิ่งเอาไปให้ขนิษฐา เขมมิกช่วยพยุงขนิษฐาขึ้นแล้วป้อนน้ำให้ขนิษฐาช้าๆอย่างเอาใจใส่
เนตรนิภาพิมพ์ตอบเขมมิก
“โชคดีแก ฝากหวัดดีแม่ด้วย”
เนตรนิภาวางมือถือลงข้างตัวแล้วถอนหายใจ เธอหันมองซ้าย มองขวาแล้วก็รู้สึกโดดเดี่ยว
“ไม่มีแก ฉันคงเหงามากเลยนะเขม”
เนตรนิภาถอนใจ
ขนิษฐานอนหลับอีกครั้ง เขมมิกนั่งมองขนิษฐาด้วยความเป็นห่วงก่อนจะค่อยๆขยับผ้าห่มขึ้นให้ขนิษฐาอย่างเบามือ
“ตอนนี้ ก็เหลือเราแค่สองคนนะแม่ เขมจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด”
เขมมิกยิ้มให้กับขนิษฐาแต่ก็อดวูบไหวไม่ได้เพราะในใจยังคงคิดถึงพิแสงอยู่ เขมมิกเดินไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองแล้วหยิบโบว์ผูกผมซึ่งเป็นสิ่งยึดโยงปุ๊กลุ้กในอดีตกับพี่เสือขึ้นมาแล้วก็ตัดสินใจบางอย่าง
โบว์เส้นนั้นถูกทิ้งลงชักโครกแล้วถูกกดน้ำทิ้งจนหายไป เขมมิกยืนมองอย่างตัดใจ
“ไม่มีร่องรอยอารยธรรมระหว่างเราเหลืออีกแล้ว...ฉันจะลืมทุกอย่างในชั่วข้ามคืน”
เขมมิกมองตัวเองในกระจกด้วยสายตาและสีหน้าเด็ดเดี่ยว
แสงสุดานั่งคนกาแฟด้วยอาการเหม่อลอยเพราะรู้สึกเครียดเรื่องปัญหาบริษัทและเรื่องพิสินีย์ พิแสงเดินเข้ามาแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาแสงสุดาก่อนจะก้มลงกราบบนตักอย่างช้าๆ
“พิแสง....” แสงสุดางง
“ขอบคุณนะครับ สำหรับความปรารถนาดีที่คุณแม่มีให้ผมเสมอ ผมขอโทษถ้าเคยทำให้คุณแม่ต้องเสียใจ”
“แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ แม่ไม่เคยฟังลูก ไม่เคยเข้าใจลูก บังคับใจให้ทำอย่างที่แม่ต้องการ กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คิดไปเองว่าลูกจะพลาดท่าเสียทีให้กับผู้หญิงที่นั่น ต่อไปนี้แม่สัญญานะ ว่าแม่จะไม่บังคับใจลูกอีก ลูกอยากทำอะไร แม่จะไฟเขียว แม่จะไม่ค้าน ขอเพียงเห็นลูกมีความสุขเท่านั้น”
“ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจผม” พิแสงพูด
พิสาวิ่งร้องลั่นเข้ามา
“คุณแม่ขา พี่สินีย์ค่ะ พี่สินีย์!!”
พิแสงกับแสงสุดาตกใจ แสงสุดาไม่รอให้พิสาเล่าต่อ เธอรีบวิ่งออกไปทันที
“สินีย์เป็นอะไร น้องเล็ก” พิแสงถาม
“สินีย์ ลูก สินีย์!!!” แสงสุดาวิ่งออกไป
“พี่สินีย์เค้า....”
พิแสงรีบตามแสงสุดาไปทันทีโดยไม่รอฟังพิสาให้จบ พิสาวิ่ง
ตามไป
แสงสุดากับพิแสงเดินมาเคาะประตูห้องพิสินีย์
“สินีย์ลูก! สินีย์ เปิดประตูให้แม่ สินีย์!”
“สินีย์! เปิดประตู!”
พิสุทธิ์วิ่งเข้ามา
“เอะอะอะไรกันคุณ!”
“ยัยสินีย์น่ะสิไ แสงสุดาทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหวก็ถึงกับร้องไห้แล้วทรุด “โอย เวรกรรมอะไรของฉัน ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าฉันทำไม่ดี ลงกับฉันสิ อย่าไปลงกับลูก ยัยสินีย์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ฉันจะไม่ไหวแล้ว....”
“คุณแม่...” พิแสงเป็นห่วง
“คุณ ใจเย็นๆก่อน ยัยสินีย์เป็นอะไร อยู่ไหน อยู่ในห้องหรือเปล่า”
“น้องล็อกประตูครับ” พิแสงบอก
พิสาเสียงแหลมขึ้นมา “พี่สินีย์อยู่ในครัวค่ะ!”
ทุกคนตกใจ
“ครัว!!! ตาใหญ่ คุณ! ไปดูลูกเร็ว ในครัวมีแต่ของมีคม สินีย์ อย่านะลูก สินีย์!!! อย่าคิดสั้น สินีย์!!!”
พิสินีย์วิ่งขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นปกติดี
“เรียกสินีย์เหรอคะคุณแม่ มีอะไรคะ”
ทุกคนมองพิสินีย์ด้วยความประหลาดใจ แสงสุดาวิ่งเข้าไปกอดพิสินีย์เอาไว้
“สินีย์ ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยลูก ยัยน้องเล็กบอกว่าลูกอยู่ในครัว ลูกคิดจะทำอะไร! อย่านะ คิดถึงหัวอกพ่อแม่ พี่น้องสิ ว่าจะ...”
พิสินีย์รีบขัด “สินีย์เข้าครัว เตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน คุณแม่คิดว่าสินีย์จะทำอะไรเหรอคะ”
พิแสง พิสุทธิ์ และแสงสุดาอึ้ง
พิแสง พิสุทธิ์ แสงสุดาหันไปมองหน้าพิสา
“ก็ใครมีสติฟังน้องเล็กบ้างป่ะล่ะ เอาแต่โวยวาย จนหาจังหวะแทรกไม่ได้เลย” พิสาว่า
ทุกคนอึ้ง
“ยัยน้องเล็กพูดจนพวกเราคิดว่า สินีย์คิดสั้นทำร้ายตัวเอง”
“คนอื่นทำร้ายสินีย์มาพอแล้ว ไม่มีทางที่สินีย์จะทำร้ายตัวเองค่ะ” พิสินีย์บอก
ทุกคนยิ้มด้วยความโล่งใจ
“แล้วเราจะตกใจทำไม น้องเล็ก แค่สินีย์ทำข้าวต้มกุ้ง” พิสุทธิ์ว่า
“พี่สินีย์ไม่เคยทำกับข้าว จู่ๆก็ลุกมาทำข้าวต้มกุ้ง ไม่น่าตกใจเหรอคะ” พิสาบอก
พิแสง พิสุทธิ์ และแสงสุดาถึงกับเซ็ง
“เอาเถอะๆ ช่างมัน ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว” แสงสุดาเข้าไปกอดพิสินีย์เอาไว้ “ถ้าลูกเป็นอะไรไปอีกคน แม่คงเป็นบ้า”
“สินีย์จะไม่ทำให้คนที่สินีย์รักต้องเสียใจค่ะ”
“แบบนี้สิลูกแม่ เด็ดขาด เข้มแข็ง ล้มแล้วลุกได้เอง ไม่ต้องรอนาน” แสงสุดาชม
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
พิสาอึ้งเพราะรู้สึกว่าแม่กำลังโอ๋พิสินีย์แล้วลืมเธอไป
“ข้าวต้มกุ้งร้อนๆ พร้อมแล้วค่ะ เชิญทุกคนที่โต๊ะอาหารได้เลยค่ะ” พิสินีย์บอก
“ไป...ไปกินข้าวต้มกุ้งเรียกสติกันหน่อย ไปคุณ” พิสุทธิ์ชวน
พิสุทธิ์โอบแสงสุดาเดินไป แสงสุดาจูงมือพิสินีย์เอาไว้ให้เดินตามไปด้วยแล้วคุยอย่างอบอุ่น พิสายืนมองตามแล้วก็รู้สึกน้อยใจ พิแสงสังเกตเห็นท่าทางของพิสา
พิสายืนซึมอยู่ พิแสงเดินเข้ามาหา
“ไง...เป็นอะไร”
“รู้สึกไม่มีตัวตน ไม่มีใครเห็นความสำคัญ ไม่มีคุณค่า เป็นผู้หญิงที่โลกลืม” พิสาบอก
“ไม่มีใครทำให้น้องเล็กรู้สึกอย่างนั้นได้ นอกจากตัวน้องเล็กเอง”
“ไม่เข้าใจค่ะ”
“ทำไมทุกคนถึงแคร์ความรู้สึกของสินีย์มาก” พิแสงถาม
“ชิ...”
“พูดมาเถอะ ไม่ตายหรอกถ้าจะพูดสิ่งที่เรารู้สึกจริงๆ”
“พี่สินีย์เป็นคนน่ารัก ใจดี อยู่ใกล้ๆแล้วเย็นเหมือนอยู่ใกล้...อะไรสักอย่าง สปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ หรือไม่ก็...น้ำตกมั้ง”
“สินีย์เหมือนน้ำ แต่น้องเล็กเหมือนไฟ” พิแสงบอก
“พี่ใหญ่!” พิสาไม่พอใจ
“ฟังพี่ให้จบก่อน แล้วถ้าอยากวีนค่อยวีน”
“ค่ะ!”
“ตั้งแต่เด็กๆ สินีย์จะคิดถึงความรู้สึกของทุกคนก่อนตัวเองเสมอ ยอมที่จะให้พี่ให้น้องเล็กเลือกของเล่นก่อน ไม่เคยเสนอว่าอยากจะไปเที่ยวที่ไหน แล้วแต่พี่กับน้องเล็กทุกครั้ง เลือกเรียนคณะที่จะออกมาช่วยงานคุณพ่อคุณแม่ได้ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ชอบทำธุรกิจ สินีย์ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากใคร แต่จะเป็นคนแรกที่ยื่นมือให้กับทุกคน”
“แต่น้องเล็ก....ชอบเอาแต่ใจ ชอบเรียกร้องความสำคัญ มีแต่จะเอาแต่ไม่คิดจะให้ใครก่อน ใช่มั้ยคะ” พิสาถาม
“ใช่!”
“อ้อมๆบ้างก็ได้ค่ะพี่ใหญ่...ยิงตรงแบบนี้ น้องเล็กเจ็บอ่ะ”
“พี่ไม่อยากยื่นน้ำหวานใส่ยาพิษให้น้องเล็กกิน ถ้าอยากหายจากนิสัยที่ทำให้คุณค่าของตัวเองลดลง น้องเล็กก็ต้องยอมกินน้ำหมักสมุนไพรที่หน้าตาแย่พอๆกับรสชาติ แต่...รักษาเราได้จริง”
“เห็นภาพสุดๆอ่ะ”
“อยากให้คนอื่นรู้สึกยังไงกับเรา ก็จงปฏิบัติอย่างนั้นกับเค้า”
พิสาอึ้งแล้วนิ่ง แม้ในใจยอมรับแต่ยังวางฟอร์ม
“ก็ไม่รู้นะ...ว่าจะทำได้แค่ไหน” พิสาบอก
“มันก็ต้องใช้เวลาบ้างไรบ้าง ขอแค่ได้เริ่มต้น สักวันก็ทำได้”
พิแสงขยี้ผมพิสาด้วยความเอ็นดูทำให้พิสามีกำลังใจขึ้น
ขนิษฐาปาดเหงื่อแล้วหยิบกระดาษทิชชู่ส่งไปทางหนึ่ง เขมมิกรับทิชชู่มาจากขนิษฐามาเช็ดน้ำหูน้ำตาของตัวเองเพราะกำลังร้องไห้ไม่หยุด
“เขมเอ้ย....อีกนานมั้ยลูก”
“เดี๋ยว...ลุทซ์ก็มาแล้ว..จ๊ะ...ฮึด ฮึด ฮึด” เขมมิกร้องไห้
“แม่หมายถึง...จะร้องไห้อีกนานมั้ย”
“ไม่นานหรอกแม่ เดี๋ยวก็หยุด...”
“เหรอ เดี๋ยวน่ะ เมื่อไหร่ ร้องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” ขนิษฐาว่า
“ขออีกสิบนาทีนะแม่....”
“แล้วบอกว่าไม่คิดมากแล้ว ไม่เศร้าเสียใจแล้ว”
“ไม่ได้เสียใจนะแม่ แต่มันเป็นฟิลลิ่งอ่ะ...ฮื้ออ”
“แล้วต่างกันตรงไหน เฮ้อ...ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์จริงๆ แม่ล่ะอยากเจอคุณพิแสงอะไรนี่จริงๆเลย อยากจะถามนัก ว่าแอบทำเสน่ห์ใส่ลูกแม่หรือเปล่าถึงได้ปักอกปักใจลืมยากลืมเย็นได้ขนาดนี้ ต่างกับเคสตาพีท ที่แป๊บเดียวก็ลืมได้แล้ว”
“แม่เคยเห็นเขาแล้วนี่...”
“จำได้...มาช่วยขวางไม่ให้ไอ้เปี่ยมพงษ์มันทำแม่ ทำเขม”
“แมนป่ะล่ะ” เขมมิกถาม
“สุดๆ” ขนิษฐาตอบ
“แค่นั้นหัวใจเขมก็ละลายเหลวลงไปกองแทบเท้าเค้าแล้ว ไม่ต้องทำเสน่ห์หรอก...แม่พูดถึงเขาอีกทำไม เขมเกือบจะหยุดร้องได้แล้วเชียว”
ขนิษฐาถอนใจเฮือกที่พลาดไป ทันใดนั้นลุทซ์ก็เปิดประตูเข้ามา ลุทซ์ตกใจที่เห็นเขมมิกร้องไห้
“เค เค เป็นอะไร!!!”
เขมมิกร้องไห้จ้า “ฮื้ออ!!”
“เฮ้อ!!!! แม่พลาดเอง...ดันไปพูดชื่อผู้ชายที่ทำให้เขมอกหัก” ขนิษฐาบอก
“ฮื้อ!!”
“ปลอบทีเถอะ ลุทซ์” ขนิษฐาบอก
ลุทซ์ยื่นกระดาษปริ้นต์ข่าวสมัครงานให้เขมมิก “อ่ะ”
“อะไร” เขมมิกถาม
“ข่าวเปิดรับสมัครลูกเรือเครื่องบินส่วนพระองค์ของเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งในตะวันออกกลาง”
“เหรอ” เขมมิกหยุดร้องไห้แล้วรีบรับมาอ่านดูอย่างตื่นเต้น
ลุทซ์พูดกับขนิษฐา “คนอย่างเขม ไม่ได้ทำงานแล้วฟุ้งซ่านครับ”
ขนิษฐายิ้มเห็นด้วยก่อนจะมองดูเขมมิกที่อ่านระเบียบการรับสมัครอย่างตั้งใจด้วยความเอ็นดูและเห็นใจเขมมิก
ปริญญ์ หลอด และเสริมมุงดูคนงานที่ยังสลบอยู่บนเก้าอี้
“ผมว่า...จองเมรุเลยมั้ยครับหมอ...ป่านนี้ยังไม่ฟื้น ตายไปแล้วมั้ง” หลอดว่า
ชมพู่วิ่งเข้ามาเพราะมีเรื่องจะโพนทะนา
“ทุกๆคนคะ ข่าวด่วนข่าวใหม่ข่าวร้อน!!”
“ข่าวใครอีกอ่ะ ชมพู่” เสริมถาม
“อูย นังจำปามันเห็น จะจะคาตาเลยนิ....มันไม่อยากไปเล่าให้ใครฟัง นอกจากฉัน เพราะมันกลัวว่าเรื่องนี้จะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้ยากต่อการควบคุม....”
หลอดกับเสริมเซ็ง “โฮ้ย!!! เล่าสักที!!”
“ก็ได้...” ชมพู่จะเล่าแต่พอนึกขึ้นได้ก็เปลี่ยนใจ “อย่าดีกว่า เดี๋ยวนังจำปามันจะโกรธฉัน”
ปริญญ์เดินเข้ามา “ไม่เล่า ไม่รักนะ ชมพู่”
ชมพู่เล่าทันที “น้องน้ำหวานร้องไห้ฟูมฟายกับอีตาต่อลาภที่หน้าฟาร์มเมื่อวานค่ะพี่น้อง....หาว่าได้แล้วทิ้ง อีตานั่นก็เลวเหลือรับประทาน บอกว่า...แล้วจะเก็บไว้ทำไมให้เป็นภาระ น้องน้ำหวานร้องไห้น้ำตาเกือบเป็นสายเลือดเลยนะ ยังไม่แค่นั้น....”
ปริญญ์หน้าเสียเพราะเป็นห่วงวาสินี เขารีบเดินออกไป ในขณะที่ชมพู่ยังเมาน้ำลายเล่าเป็นคุ้งเป็นแควอยู่
วาสินีนอนนิ่งอยู่บนเตียงในบ้านพัก อนงค์เข้ามาโวย
“นังน้ำหวาน สายตะวันโด่งแล้วยังไม่ลุกจากเตียงอีกหรือไง!”
วาสินีนิ่ง
“ไม่สบายหรือเปล่า!”
วาสินีนิ่ง อนงค์เข้ามาแตะตัววาสินี
“ตัวก็ไม่ร้อน เป็นอะไรของแกเนี่ย ถามก็ไม่ตอบไม่พูด”
วาสินีนิ่ง อนงค์ลงไปนั่งข้างเตียงอย่างอ่อนใจ
“นี่....นายหัวไม่อยู่แบบนี้ แกควรจะต้องขยันทำงาน ดูแลงานให้นายหัว ให้นายหัวเห็นว่าแกนี่แหละที่จะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่นายหัวเป็นนายแม่ของที่นี่ได้”
วาสินีน้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจ น้อยใจ กดดัน และโกรธที่แม่เอาแต่ยัดเยียดให้พยายามเป็นนายแม่อยู่ตลอดเวลา
อนงค์พูดต่อ “ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนายแม่ที่นี่มากไปกว่าแก พอแกแต่งงานกับนายหัวแล้ว ทีนี้ นังแสงสุดามันก็จะไม่กล้าดูถูกฉัน ดูถูกแกอีก”
วาสินีขัดด้วยเสียงระโหย “แม่....”
อนงค์ไม่สนยังคงพล่ามถึงความต้องการของตัวเองต่อไป “แกต้องเชื่อแม่นะน้ำหวาน แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ผู้ชายอย่างไอ้ต่อลาภ มันกะล่อน น้ำตาจะเช็ดหัวเข่าซะเปล่าๆ นายหัวต่างหากที่จะเป็นรักแท้ของแก ดูแลแก ให้เกียรติแก ให้....”
วาสินีทนไม่ไหวจึงตวาดออกมา “เลิกหลอกตัวเองซะทีได้มั้ยแม่!”
อนงค์ตกใจ
“นายหัวไม่ได้รักหนู! เค้าไม่มีทางทำอย่างที่แม่ต้องการ!” วาสินีพูด
“แล้วไอ้ต่อลาภมันรักแกหรือไง ให้อย่างที่แกอยากได้หรือไง! ถ้ามันรักแก มันจะเฉดหัวแกทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนี้เหรอ หา!”
“แต่ไอ้ที่แม่พยายามทำอยู่ มันก็ทำให้หนูถูกมองเป็นหมูเป็นหมาเหมือนกัน!”
อนงค์อึ้ง
“เลิกใช้หนูเป็นเครื่องมือบำบัดจิตของแม่สักที หนูถูกไอ้ต่อลาภทำร้ายพอแล้ว แม่อย่าทำร้ายหนูอีกได้มั้ย หนูทนไม่ไหวแล้ว ได้ยินมั้ย ว่าไม่ไหวแล้ว!”
วาสินีร้องกรี๊ดแล้ววิ่งออกไปจากห้อง อนงค์ตกใจจึงรีบตามไป
“แกจะไปไหน!”
วาสินีวิ่งร้องไห้ออกมาจากบ้าน ปริญญ์เดินมาเห็นพอดีก็ตกใจ สักพักอนงค์ก็วิ่งตามวาสินีออกมา
“นังน้ำหวาน แกจะไปไหน!”
“ทะเลาะกันเหรอครับป้า” ปริญญ์ถาม
“มันน่ะสิ บ้าไปแล้ว จู่ๆก็ลุกขึ้นมาร้องไห้ฟูมฟายอะไรไม่รู้ หาว่าฉันไปทำร้ายมัน ทนไม่ไหวแล้ว ! ประสาท!”
“ตามไปกันเถอะครับ อย่าปล่อยคุณน้ำหวานไว้คนเดียวเลย”
ปริญญ์รีบวิ่งตามวาสินีไป อนงค์วิ่งตามด้วยความหงุดหงิดวาสินี
ชมพู่ยังเม้าเรื่องวาสินีอยู่กับหลอดและเสริม
“แล้วน้องน้ำหวานก็ตบหน้ามันไปหนึ่งที”
หลอดกับเสริมตกใจ “ฮ้า!!! แรง!”
“แล้วก็พูดว่า...คนอย่างแก ขอแค่คลำไม่มีหางก็พอใช่มั้ย!”
หลอดกับเสริมตกใจอีก “โห!!!! แรงอย่างแรง!!”
วาสินีวิ่งร้องไห้ผ่านกลุ่มของชมพู่ หลอด และเสริมไป ชมพู่ หลอด และเสริมมองตาค้าง จากนั้นชมพู่ก็หันมาเม้าต่อ
“พอพูดเสร็จ น้องน้ำหวานก็ร้องไห้โฮ วิ่งร้องไห้หนีไป”
หลอดกับเสริมถอนหายใจ “เฮ้ออ!!”
ปริญญ์กับอนงค์วิ่งตามวาสินี ชมพู่ หลอด และเสริมชะงักมองปริญญ์กับอนงค์ที่วิ่งผ่านไป แล้วชมพู่ก็หันมาเม้าต่อ
“จากนั้นหมอปิ๊นกับป้าอนงค์ ซึ่งเข้ามาประสบเหตุเห็นเข้า ก็วิ่งตามไป....”
หลอดกับเสริมรีบเบรก “พอแล้ว!!”
“หยุดโม้เลยนังชมพู่ ไอ้เสริม ตามไปเร็ว มีเรื่องแน่ๆ!” หลอดว่า
หลอดกับเสริมวิ่งออกไป
“เอ๊า ก็ตามไปด้วยแหละ รอด้วย!”
ชมพู่วิ่งตามไป
ในร้านอาหารจีนระดับภัตตาคาร พิสุทธิ์เดินเคียงคู่มากับแสงสุดา โดยมีพิแสงเดินตามหลัง แสงสุดากวาดตามองเข้าไปในร้าน ด้วยสายตาดุดันราวนางพญา พนักงานต้อนรับเดินเข้ามาแล้วผายมือ
“เชิญทางนี้ค่ะ เจ้าสัวรออยู่แล้วค่ะ”
พนักงานเดินนำทุกคนไป
เจ้าสัวลุกขึ้นต้อนรับพิสุทธิ์ แสงสุดาและพิแสง
“เชิญนั่งครับ แหม รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่ครอบครัวพิสุทธิ์เสวีให้เกียรติผมด้วยการมารับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน”
“ขอบคุณครับ” พิสุทธิ์กล่าว
พิสุทธิ์ แสงสุดาและพิแสงนั่งตรงข้ามกับเจ้าสัว พนักงานเข้ามาเสริ์ฟน้ำ
เจ้าสัวสั่งพนักงาน “ออกอาหารได้เลยนะ เหมยฮัว”
“ค่ะ เจ้าสัว”
แสงสุดารีบบอก “ไม่ต้อง!”
เจ้าสัวและพนักงานชะงัก
“พวกเรามาพบเจ้าสัวเพื่อพูดคุยตกลงทำความเข้าใจ แต่ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน” แสงสุดาบอก
“น่าเสียดาย ที่นี่อร่อยขึ้นชื่อติดอันดับหนึ่งในสิบของประเทศนะครับ ผมเป็นคนเลือกวัตถุดิบเข้าร้านด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่ก็มาจากฟาร์มของผม ไม่ชิมถือว่าไม่ให้เกียรติ” เจ้าสัวว่า
“จะอาหารเหลาหรือก๋วยเตี๋ยวข้างทาง มันก็ทำหน้าที่เดียวกันคือเลี้ยงร่างกายให้มีชีวิตอยู่รอด จะเอาเข้าหรือเอาออกก็ทางเดียวกัน” พิแสงบอก
เจ้าสัวชักสีหน้าทันที พิสุทธิ์ แสงสุดา และธรรมศักดิ์หันไปมองพิแสงเป็นตาเดียวเพราะไม่คิดว่าพิแสงจะแรงขนาดนี้
“สิ่งที่ควรคำนึงคือความสะอาดและคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า เรื่องความอร่อย...พวกเราไม่ยึดติด อีกอย่าง..การให้เกียรติกัน แสดงออกได้หลายวิธีครับ...หนึ่งในนั้นก็คือ การพูดความจริงต่อกัน และไม่เล่นตุกติก”
เจ้าสัวอึ้งไป เขามองพิแสงด้วยสายตาคมกริบเพื่อข่มความไม่พอใจที่ถูกเด็กรุ่นลูกตอกกลับ เจ้าสัวรีบกลบด้วยรอยยิ้ม
“ลูกชายของคุณพิสุทธิ์และคุณแสงสุดา หน่วยก้านไม่เลว น่าจะช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจนะ ไม่น่าจะไปเก็บตัวอยู่กับหมู”
“ผมทำธุรกิจไม่ได้หรอกครับ ใจร้อน เจอใครเล่นสกปรก กลัวจะวิ่งไปต่อยปากเค้าซะเปล่าๆ อยู่กับหมูน่ะดีแล้วครับ ถึงใครๆจะชอบคิดว่าหมูสกปรกแต่ก็สกปรกแค่กลิ่น แต่หัวใจของมันเนี่ย...สะอาดกว่าคนบางคนเยอะ” พิแสงพูด
เจ้าสัวหัวเราะชอบใจ “ฮ่ะๆ ไม่เลวๆ นี่สิ...ลูกผู้ชายตัวจริง ฮ่ะๆๆ”
“คิดว่าเราหยุดความบันเทิงไว้แต่เพียงเท่านี้ดีกว่านะครับ ผมจะเข้าเรื่องล่ะ”
เจ้าสัวยกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างเคร่งเครียดแต่พยายามยิ้มรักษาบรรยากาศ
“คุณเองก็รู้จักครอบครัวเรา....ทำไมถึงได้ปกปิดความจริงเรื่องตาพีท อย่าได้ปฏิเสธนะว่าคุณไม่ได้อุปการะตาพีท ผมมีหลักฐานมากพอสำหรับเรื่องนี้” พิสุทธิ์บอก
พิสุทธิ์รับซองเอกสารมาจากพิแสงที่ถือมาด้วยตั้งแต่แรกแล้วส่งให้เจ้าสัว เจ้าสัวรับมาเปิดดูยิ้มๆ ก่อนจะวางลงแต่ไม่พูดอะไร เจ้าสัวจิบน้ำชาไปเรื่อยๆ
“ทำไมตาพีทถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าเราโกงพ่อแม่ของเค้าจนล้มละลาย เค้าเอาข้อมูลนี้มาจากไหน จากคุณหรือเปล่า??? ถ้าใช่ คุณทำแบบนี้ทำไม!” แสงสุดาไม่พอใจ
เจ้าสัวอึ้งและเครียด
พิแสง พิสุทธิ์ แสงสุดาจ้องหน้าเจ้าสัวเขม็ง
วาสินีวิ่งร้องไห้มาหยุดหน้าถนนใหญ่ ปริญญ์กับอนงค์วิ่งตามมา วาสินีหันมองเห็นอนงค์กับปริญญ์วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วก็หันไปมองถนน เธอเห็นรถกระบะกำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ตัดสินใจพุ่งออกมายืนขวางกลางถนนเพราะตั้งใจให้รถชน ปริญญ์กับอนงค์เห็นก็ตกใจ
“น้ำหวาน อย่า!!! ออกมา!!” อนงค์ตะโกนลั่น
หลอด เสริม และชมพู่วิ่งตามมาเห็นเข้าก็ตกใจเหมือนกัน
วาสินียังคงยืนขวางถนน เสียงแตรรถดังลั่น รถวิ่งใกล้เข้ามา วาสินีหลับตาแล้วเตรียมตัวรอรับความตาย
e;แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
อนงค์ ชมพู่ หลอด และเสริมร้องลั่น เสี้ยววินาทีนั้นเอง ปริญญ์วิ่งเข้าไปคว้าตัววาสินีออกจากวิถีรถที่พุ่งมาแล้วหลบเข้าข้างทางได้อย่างหวุดหวิด ปริญญ์กับวาสินีล้มกลิ้งลงไปข้างทาง
รถกระบะวิ่งผ่านไป อนงค์ ชมพู่ หลอด และเสริมคลายจากอาการตกใจ ทั้งหมดรีบวิ่งไปดูปริญญ์และวาสินีทันที
ปริญญ์กับวาสินีล้มอยู่ข้างทาง วาสินีเห็นอนงค์วิ่งมาก็รีบลุกขึ้นแล้วจะวิ่งออกไปที่ถนนอีก ปริญญ์จึงรีบคว้าตัวเอาไว้
“คุณน้ำหวาน อย่า!!”
“ปล่อย! ไม่ต้องมายุ่ง น้ำหวานอยากตาย! ปล่อย!”
วาสินีพยายามจะดิ้นให้หลุดแต่ปริญญ์ก็ไม่ยอมปล่อย อนงค์วิ่งมาถึงก็ตบหน้าวาสินีฉาดใหญ่ วาสินีอึ้ง ปริญญ์ หลอด เสริม และชมพู่ต่างก็พากันอึ้ง
“นังโง่! แกเสียสติไปแล้วหรือไง ถึงได้คิดสั้นแบบนี้ หา!” อนงค์ว่า
“ก็หนูไม่อยากอยู่แล้วไง อยู่ไปก็ถูกแม่บังคับ เหมือนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ตายๆไปซะยังดีกว่า ได้ยินมั้ยแม่!”
“แกเห็นชีวิตแกไม่สำคัญเลยใช่มั้ย”
“ใช่! เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ ไม่เคยทำให้แม่ภูมิใจเลย เหมือนพ่อไม่มีผิด คำก็โง่ สองคำก็ไม่มีสมอง ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ จำได้มั้ย ว่าแม่เคยพูด!”
อนงค์อึ้ง วาสินีร้องไห้โฮ ทุกคนต่างสะเทือนใจและพูดไม่ออกกันไปหมด
“ฉันประชด....ไม่รู้เหรอ....แต่ฉันหวังดี อยากให้แกสบาย มีชีวิตที่ดี” อนงค์บอก
“ไม่ใช่! แม่ทำเพื่อตัวเอง พ่อกับหนูคือความผิดพลาดของแม่ ไม่อย่างนั้นแม่ก็จะได้ทำตามความฝันของแม่ ได้เป็นนายแม่ของฟาร์มที่ไหนสักแห่ง พ่อตายไปแล้ว เหลือแต่หนู ที่อยู่ตอกย้ำความผิดพลาดของแม่....ถ้าไม่ให้หนูตายเอง แม่ก็ฆ่าหนูซะ แม่จะได้เป็นอิสระ เอาสิ เอาเลย!”
วาสินีจับมือของอนงค์มาตบตีตัวเองพลางร้องไห้ฟูมฟาย อนงค์รู้สึกสะเทือนใจจึงยืนตัวแข็ง เพราะเสียใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของลูก
ปริญญ์เข้ามาหยุดวาสินีเอาไว้ “พอเถอะครับ คุณน้ำหวาน”
วาสินีทรุดลงอย่างอ่อนแรงแล้วร้องไห้หนัก “ฮือๆๆๆ”
ปริญญ์กอดวาสินีเอาไว้เพื่อปลอบใจ อนงค์ยืนร้องไห้มองวาสินีอยู่เงียบๆ เธอร้องไห้ให้กับความล้มเหลวในความพยายามที่ทำมาทั้งหมด ทุกคนมองอย่างสะเทือนใจ
เจ้าสัวเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด
“ว่าไงคะ....จะอธิบายคำถามของพวกเราได้หรือยัง” แสงสุดาคาดคั้น
“ผมรู้ว่าพวกคุณเตรียมอัดเสียงของผมเอาไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานกู้เอกราชทางความเชื่อมั่นของพีบูติกแอร์ไลน์”
พิสุทธิ์ แสงสุดา และพิแสงอึ้ง
“เทคโนโลยีสมัยนี้น่าทึ่งนะ...ทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งเยอะ ดีนะที่ผมพอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง” เจ้าสัวบอก
“เจ้าสัวเป็นคนเก่ง เริ่มต้นทำธุรกิจจากห้องแถวเล็กๆ จนกลายเป็นเครือข่ายใหญ่โตระดับชาติได้...ย่อมไม่ธรรมดา” พิสุทธิ์ว่า
“ฮ่ะๆๆ ก็แทบกระอักเลือดเหมือนกัน กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้” เจ้าสัวบอก
“น่าเลื่อมใสนะครับ ถ้าเจ้าสัวเป็นนักธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล” พิแสงพูด
“ไม่คิดว่าผมจะอัดเสียงพวกคุณไว้บ้างหรือไง เป็นหลักฐานไว้ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ”
“ผมระบุประโยคไหนครับว่า...เจ้าสัวไม่ได้เป็นนักธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล”
เจ้าสัวชะงักแล้วจิบน้ำชานิ่ง
“สรุปว่าคุณไม่ตอบคำถามพวกเรา ไม่เป็นไร...ถ้าอย่างนั้น...ก็ไปตอบคำถามกับนักข่าวแล้วกัน หลังจากที่ฉันปล่อยคลิปเสียงของตาพีทลงในโลกออนไลน์” แสงสุดาบอก
“คิดอยู่แล้ว ว่าพวกคุณต้องใช้ไม้นี้”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าสัวก็คงคิดมาแล้วเหมือนกัน ว่าจะต่อรองกับพวกผม” พิสุทธิ์ว่า
เจ้าสัวยิ้มแล้วหัวเราะน้อยๆ อย่างชอบใจ ทุกคนลุ้นเพราะรู้สึกมีแต้มต่อ
เจ้าสัวพูดเสียงแข็ง “ไม่! พวกคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ!”
พิแสง พิสุทธิ์ และแสงสุดาอึ้ง เจ้าสัวจิบน้ำชาแล้วยิ้มอย่างอารมณ์เย็น
พิแสง พิสุทธิ์ แสงสุดา พิสินีย์ พิสา และธรรมศักดิ์นั่งดูทีวีอย่างเคร่งเครียด ในจอทีวีเป็นภาพข่าว การแถลงข่าวของเจ้าสัวยูเอฟซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีไมโ๕รโฟนจากสำนักข่าวต่างๆวางจ่อปาก แสงแฟลชจากกล้องพรึ่บพรั่บ พิแสง พิสุทธิ์ แสงสุดา พิสินีย์ พิสา และธรรมศักดิ์นั่งดูการแถลงข่าวด้วยความแปลกใจและเคร่งเครียดเพราะคิดว่าเจ้าสัวกำลังจะทำอะไรกันแน่
“ขออภัยที่ต้องเชิญพี่น้องสื่อมวลชนอย่างกะทันหัน เพราะอยากจะทำความเข้าใจกับสังคมก่อนที่จะเกิดเรื่องเสื่อมเสีย...ผมทำธุรกิจก่อร่างสร้างตัวและสร้างประโยชน์ตอบแทนคุณแผ่นดินมายาวนาน แต่เป็นธรรมดาของวงการธุรกิจที่ต้องมีทั้งมิตรและศัตรู และบางครั้งศัตรูก็อาจจะใช้วิธีสกปรกเพื่อทำลายผม”
“เจ้าสัวกำลังหมายถึงใครครับ บริษัทในวงการอุตสาหกรรมการเกษตรหรือเปล่า” เจ้าสัวถาม
“ผมกำลังหมายถึง...บริษัทสายการบินโลว์คอร์สในประเทศ!”
พิสุทธิ์ แสงสุดา พิแสง พิสินีย์ และพิสาสะดุ้ง
“มันหมายถึงเราเหรอคะ คุณพ่อ คุณแม่ พี่ใหญ่!” พิสาถาม
“ฟังก่อน!” พิสุทธิ์บอก
ทุกคนจับจ้องไปที่ทีวี
เจ้าสัวพูดต่อ “อย่าให้ผมบอกเลยว่าบริษัทอะไร....”
“หึ...คิดว่าจะแน่” พิสุทธิ์ว่า
เจ้าสัวพูดต่อ “เอาตัวย่อไปแล้วกัน...ตัวพี...!!”
ทุกคนที่บ้านแสงสุดาสะดุ้งตกใจ
“เฮ้ย!!! ตัวย่ออะไร นี่มันตัวตรงเลยต่างหาก!” พิสุทธิ์ว่า
“เราไปเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของเจ้าสัวยูเอฟตั้งแต่เมื่อไหร่ มันคนละวงการเลยนะ” แสงสุดาไม่พอใจ
“ฟังก่อนครับคุณแม่” พิแสงบอก
ทุกคนจับจ้องไปที่ทีวี
เจ้าสัวพูดต่อ “ทุกคนคงจะงง...ผมประกาศให้ทราบตรงนี้เลยละกัน..ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมกำลังจะเทคโอเวอร์กิจการของสายการบินดาว ซึ่งเป็นคู่แข่งของบริษัทพี”
ทุกคนที่อยู่ที่บ้านแสงสุดาตกใจ
“คุณธรรมศักดิ์ รู้เรื่องนี้บ้างมั้ย” แสงสุดาถาม
“ไม่รู้เลยครับ” ธรรมศักดิ์ตอบ
“เจ้าสัวยูเอฟเก่งเรื่องปกปิดหมกเม็ดอยู่แล้วคุณ” พิสุทธิ์ว่า
ทุกคนหันไปสนใจการแถลงข่าวต่อ
“แล้วบริษัทพีที่เจ้าสัวกล่าวถึง ทำอะไรให้เจ้าสัวจนต้องแถลงข่าววันนี้คะ” นักข่าวอีกคนถาม
“ผมถูกขู่...จากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทพี ว่าจะปล่อยคลิปที่จะทำให้ผมต้องเสียชื่อเสียง”
นักข่าวฮือฮา
คนที่บ้านแสงสุดายืนดูอย่างไม่พอใจ
“มันเลี้ยงหมู ปลูกผักอะไร ไร่สะตอหรือเปล่า! พลิกดำให้เป็นขาว! โอ๊ย!” แสงสุดาว่า
แสงสุดาจะปาของใส่ทีวีแต่พิสุทธิ์เข้าไปห้ามเอาไว้ทัน
“อย่าคุณ...แพง”
แสงสุดาหงุดหงิด “ฮื่ย!”
นักข่าวอีกคนถาม “เจ้าสัวแถลงข่าวแบบนี้ ไม่เป็นการกล่าวหาบริษัทพีลอยๆไปหน่อยเหรอคะ มีหลักฐานยืนยันการกระทำครั้งนี้มั้ยคะ”
“ไม่มี เพราะผมไม่ได้ตั้งตัว จู่ๆพวกนั้นก็บุกมาหาผม แต่พนักงานทุกคนที่นี่ยืนยันได้ กล้องวงจรปิดก็มี อยากดูเดี๋ยวจะก็อปปี้แจกให้”
นักข่าวเริ่มคล้อยตาม
แสงสุดาไม่พอใจหนัก
“อื้ยย ตาใหญ่ ไปต่อยปากมันเลย แม่อนุญาต”
“เอ๊า จะส่งให้ลูกไปติดคุกซะงั้น” พิสุทธิ์ว่า
“ใจเย็นก่อนครับ คุณแม่” พิแสงบอก
“ไม่เย็น ฉัน...โกรธ...ฉันเครียด!!! โอย”
แสงสุดาจะเป็นลม พิสุทธิ์ พิสินีย์ และพิสารีบเข้ามาดูแล พิแสงรีบปิดทีวีด้วยความหงุดหงิด
“มันชิงใช้สื่อเป็นเครื่องมือปกป้องตัวเองและสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับเรา เราแถลงข่าวหรือเปิดคลิปไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” พิแสงบอก
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคุณ...รู้ทั้งรู้ว่า...โอ๊ย...ฉันจะกระอักเลือดตาย” แสงสุดาร้อนใจ
“คุณธรรมศักดิ์คะ เอาผิดอะไรพวกนั้นไม่ได้เลยหรือไง” พิสาถาม
ธรรมศักดิ์ส่ายหน้า “เรื่องที่บริษัทเราถูกดิสเครดิต คนของคุณพิทยาสารภาพว่าตัวเองผิดพลาดเองไม่มีการพาดพิงถึงใครเลย โทษคือไล่ออก มุมมองของเรื่องนี้เป็นการบริหารงานที่ผิดพลาดของเรา หรือเรื่องที่เจ้าสัวปกปิดสถานะของคุณพิทยา....ก็เป็นเรื่องของศีลธรรม ว่าด้วยศีลข้อสาม มุสาวาทา ถ้าดูที่เจตนา...ก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะระบุให้แน่ชัดลงไปได้ว่าเจ้าสัวทำไปทำไม สรุป เคสนี้กฎหมายเอาผิดไม่ได้ครับ”
ทุกคนเงียบกันไปหมด
“ถ้ากฎหมายลงโทษมันไม่ได้ ก็ให้สังคมเป็นคนตัดสิน แต่สังคมจะต้องได้รับรู้ข้อมูลสองด้าน ฉันจะแถลงข่าวสู้ และเปิดคลิปเสียงตาพีท!” แสงสุดาบอก
พิสินีย์ทะลุกลางปล้องขึ้นมา “อย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ!”
ทุกคนอึ้งแล้วหันมองพิสินีย์เป็นตาเดียว
“อย่าเอาคลิปไปเปิดเลยนะคะ สินีย์ขอร้อง!”
ทุกคนแปลกใจกับการตัดสินใจของพิสีนีย์
พิสินีย์พูดกับทุกคน
“พีทกลายเป็นเหยื่อของเจ้าสัวไปแล้ว อย่าให้พีทต้องตกเป็นจำเลยของสังคมอีกเลยค่ะ”
“พี่สินีย์จะไปปกป้องคนที่ทำร้ายเราทำไม เราไม่ผิด เราอย่าเงียบสิ!” พิสาว่า
“พีททำผิดเพราะความเข้าใจผิด ถ้าพีทรู้ความจริง ว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้โกง และยังเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นของพ่อแม่เค้าไว้ให้ พีทจะไม่มีทางทำร้ายเราอย่างนี้เด็ดขาด ถึงยังไงสินีย์ก็เชื่อว่า...พีทเป็นคนดี”
พิแสงและทุกคนอึ้ง
อ่านต่อเวลา 09.00 น.
พิสินีย์พูดต่อ “เราแถลงข่าว เอาความจริงมาเปิดเผย สื่อก็จะขุดคุ้ยทุกอย่างมาตีแผ่ ใครเคยทำอะไร ที่ไหน ยังไง
คนที่น่าสงสารที่สุดคือพีท ที่รู้ว่า....คนที่รักเค้ามากที่สุด จริงใจกับเค้าที่สุดไม่ใช่ครอบครัวของเจ้าสัว แต่ไม่มีใครเลย!”
ทุกคนเงียบ
“ไม่ได้หรอกสินีย์” พิแสงบอก “พี่เข้าใจ ว่าพีทน่าสงสาร แต่เรื่องนี้ต้องถูกสะสางเพื่อความยุติธรรมของทุกฝ่าย แม้จะต้องเจ็บปวดด้วยกันหมดก็ตาม...ใครทำอะไรเอาไว้ ก็ต้องรับผลของมัน เราจะปล่อยให้ความรู้สึกสงสารเห็นใจมาอยู่เหนือความถูกต้องไม่ได้! ความจริงต้องถูกเปิดเผยทั้งหมด!”
พิสินีย์อึ้ง “พี่ใหญ่....”
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขออนุญาตจัดการเรื่องนี้....ด้วยวิธีของผม” พิแสงบอก
“วิธีของแก วิธีไหน” พิสุทธิ์ถาม
“วิธีที่ผมถนัดครับ !” พิแสงบอก
“ไปต่อยปากเจ้าสัวเหรอครับ” ธรรมศักดิ์ถาม
“เอาเลย แม่ฝากด้วยอีกสามที” แสงสุดาบอก
พิสุทธิ์กลุ้ม “คุณก็....”
“ไม่ได้ใช้กำลังครับ...” พิแสงมองธรรมศักดิ์ “คุณต้องช่วยผม”
“ผมเหรอครับ??”
พิสินีย์ทรุดลงอย่างใจเสีย พิสาจึงปลอบใจพิสินีย์
“ทำใจนะพี่สินีย์...”
พิสุทธิ์กับแสงสุดามองหน้ากันอย่างเป็นกังวล ส่วนพิแสงมุ่งมั่นที่จะจัดการเรื่องนี้
เนตรนิภากินขนมและดื่มเครื่องดื่มพลางแชทคุยกับเขมมิกผ่าน skype สีเขมมิกตื่นเต้นตกใจอยู่ในจอมินิไอแพดของเนตรนิภา
“เหรอ! แล้วเค้าใช้วิธีไหนจัดการกับเจ้าสัว เนตร!” เขมมิกถาม
“เดี๋ยวก่อน เคี้ยวขนมก่อน” เนตรนิภาบอก
“เร็วๆสิ! ฉันอยากรู้จะแย่”
“คืองี้....ลุงธรรมศักดิ์เล่าว่า....”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา เจ้าสัวเดินออกมาจากร้านเพื่อมาขึ้นรถลีมูซีนที่จอดเทียบอยู่ พิแสงเดินเข้ามาหาพร้อมธรรมศักดิ์
เจ้าสัวผงะเล็กน้อยเพราะกลัวถูกพิแสงต่อย บอดี้การ์ดรีบเข้ามาป้องกัน
“ผมไม่ต่อยหรอกครับ ถ้าเจ้าสัวไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องเป็นวัวสันหลังหวะ” พิแสงบอก
เจ้าสัวรีบโบกมือให้บอดี้การ์ดถอยไป
“มีธุระอะไรกับผมรึ คุณ...” เจ้าสัวถาม
“พิแสงครับ” พิแสงแนะนำตัว
“อ้อ..คุณพิแสง”
“ผมอยากจะมาชิมอาหารที่เจ้าสัวเคยให้เกียรติเชิญผม”
เจ้าสัวพยายามอ่านว่าพิแสงจะมาไม้ไหน พิแสงยิ้มเย็นอย่างไม่เกรงกลัว ในขณะที่ธรรมศักดิ์หายใจไม่ทั่วท้อง
เนตรนิภาหยุดเล่าแล้วโบกมือเรียกพนักงาน
“ขอน้ำเปล่าเพิ่มหน่อยค่ะ”
“ไอ้เนตร...กำลังลุ้น เล่าก่อนไม่ได้หรือไง น้ำเปล่าสำคัญอะไรนักหนา” เขมมิกว่า
“แล้วเรื่องคุณพิแสงสำคัญอะไรนักหนา ไหนแกบอกว่าแกจะลืม ไม่คิดถึง จะตัดให้ขาดเลยชับ ชับ ชับไง”
“ก็....” เขมมิกอึกอัก
“ก็แสดงว่ายังไม่ลืม ทำไม่ได้อย่างที่ปากพูด”
“ก็...”
“ก็ยังรัก ยังคิดถึง ยังเอาใจช่วยเค้าอยู่”
“ก็...ใช่...”
“เฮ้อ...ไอ้เขมเอ๊ย...ถ้าอย่างนั้น แกจะหนีเค้าไปทำไม เค้าอุตส่าห์ตามหาแก อยากคุยกับแก อาจจะมาขอคืนดีก็ได้ใครจะไปรู้ จากการที่แกเอาตัวเข้าเสี่ยงช่วยสืบหาความจริง แต่แกก็ไม่อนุญาตให้เค้าเข้าถึงตัวแกได้ ประสาท!”
“ฉัน...ไม่กล้าสู้หน้าเค้า...ฉันยังรู้สึกผิดกับเค้า ต่อให้เค้าขอคืนดี ฉันก็ไม่แน่ใจว่า...เค้าจะให้อภัยฉันได้หมดใจหรือยัง ฉันไม่อยากให้เค้าขุดคุ้ยความผิดของฉันในอดีตมาทำร้ายฉันในปัจจุบัน เวลาที่เราสองคนทะเลาะกัน”
“เออ...เข้าใจก็ได้”
“เล่ามาเถอะเนตร การอัพเดทสเตตัสของคุณพิแสงให้ฉันฟัง มันคือน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจฉันนะเนตร”
“จะอ้วก พวกชอบทรมานตัวเอง เล่าก็ได้..หลังจากท้าทายกันอยู่หน้าร้าน..”
เขมมิกตั้งใจฟังเนตรนิภาเล่าต่อ
พิแสงใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ทำจากหมู ธรรมศักดิ์กำลังเพลิดเพลินกับอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เจ้าสัวนั่งมองพิแสงโดยพยายามอ่านเกม
“อร่อยมากครับ เจ้าสัวทานอาหารที่นี่ทุกมื้อเลยเหรอครับ” พิแสงถาม
e;แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 14 (ต่อ)
“ก็ถ้าไม่ได้ไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด ผมก็จะประจำการอยู่ที่นี่ เมื่อท้องอิ่มจากอาหารรสเลิศ ช่วยให้สมองผมปลอดโปร่ง คิดงานได้ดี”
“ไม่เข้าใจเลยครับ ว่าเจ้าสัวทานอาหารพวกนี้ให้อร่อยได้ยังไง ทั้งๆที่เป็นของที่ได้จากการหักหลัง คดโกงมาจากคนอื่นทั้งนั้น”
ธรรมศักดิ์วางตะเกียบเพราะกินไม่ลงขึ้นมาทันที
“คุณจะมาหลอกให้ผมพูดอะไรออกมาอีก”
“ไม่ต้องกลัวว่าผมจะบันทึกอะไรเป็นหลักฐานหรอกครับ คนของเจ้าสัวค้นตัวผมและคนของผมแล้ว ไม่พบอุปกรณ์อะไรทั้งนั้นนะครับ”
ธรรมศักดิ์พูดต่อ “เหลือแต่แก้ผ้าให้ค้นแล้วล่ะครับ จะให้ถอดเลยมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไร! ว่าด้วยเรื่องของคุณต่อไปเถอะ คุณพิแสง” เจ้าสัวบอก
“ผมจะบอกว่า...ครอบครัวของผมจะไม่มีการแถลงข่าวใดๆทั้งสิ้น...คลิปเสียงนั่นถูกทำลายไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ต้นฉบับ คุณเลิกกังวลได้”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง” เจ้าสัวถาม
“แสดงว่าคุณกลัวผลกระทบของมัน หากมันถูกเผยแพร่ออกไปจริงๆ” พิแสงบอก
เจ้าสัวนิ่ง
“ถ้าคลิปถูกเผยแพร่ เจ้าสัวฟ้องร้องพวกผมได้ตามแผนที่วางไว้ ว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี พวกผมก็จะมีแต่เสียหาย ตามที่เจ้าสัวคิดเป๊ะ ใช่มั้ยครับ”
เจ้าสัวหัวเราะในลำคอ “หึหึ”
“พีทเดินทางไปต่างประเทศแล้วใช่มั้ยครับ” พิแสงถาม
“คุณรู้?”
“นอกจากการเป็นทนายความแล้ว ผมยังเป็นนักสืบที่เก่งหาตัวจับยากครับ ไม่มีใครหรืออะไรที่ผมหาไม่เจอ” ธรรมศักดิ์คุย
เจ้าสัวเบือนหน้ามองธรรมศักดิ์อย่างเซ็งๆ
“ครับ” ธรรมศักดิ์นั่งนิ่งต่อไป
“เสียดาย ที่ผมไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาเพื่อเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่ก็นั่นแหละ ใครจะมาเชื่อคนนอกที่เกลียดเค้าอย่างผมมากไปกว่าพ่อที่มีบุญคุณล้นหัวอย่างเจ้าสัว” พิแสงว่า
“เข้าใจอะไรง่ายๆแบบนี้ ก็ดี จะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากอีก” เจ้าสัวบอก
“เจ้าสัวส่งพีทไปอยู่ที่โน่น ให้ไปมีชีวิตอยู่กับเรื่องโกหกที่เจ้าสัวสร้างขึ้น”
“ใช่ว่าผมจะไม่รักหรือผูกพันกับพีท เค้าเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ขยันขันแข็ง แต่นั่นแหละ ความอ่อนแอของเขาอาจจะทำให้ผมต้องเดือดร้อนอีก เมื่อผมได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว พีทก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ให้ผมต้องระแวง”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นความจริงที่เจ้าสัวสร้างเรื่องโกหกว่าพ่อแม่ของผมโกงเงินพ่อแม่ของพีท สนับสนุนให้พีทแก้แค้น วางแนวทางให้พีทเข้าไปทำลายครอบครัวของผม เพื่อกรุยทางสู่ความยิ่งใหญ่ของธุรกิจ”
“อุตสาหกรรมการเกษตรมันเริ่มอิ่มตัว ธุรกิจการบินคือเป้าหมายต่อไปของผม แต่ผมไม่ชอบมีคู่แข่ง! พีทคือหมากที่ดีที่สุดที่ผมจะใช้เดินเกม”
เสียงพิทยาดังขึ้น “ป๋าหลอกใช้ผม!...”
เจ้าสัวตกใจที่เห็นพิทยาเดินเข้ามา พิทยาเสียใจมาก พิแสงกับธรรมศักดิ์ยิ้มกริ่มที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“พีท! แกมาได้ยังไง แกควรจะขึ้นเครื่องไปแล้ว!” เจ้าสัวตกใจมาก
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พิทยายืนนิ่งอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างคนที่ไร้วิญญาณ เขาอยู่ที่รถคันหรูซึ่งจะรับเขาไปสนามบิน แต่พิทยายังไม่ยอมขึ้นรถเพราะยังไม่อยากเดินทางจากไป
ทันใดนั้นรถของพิแสงก็วิ่งเข้ามาจอดเทียบพิทยา พิทยาแปลกใจ พิแสงกับธรรมศักดิ์ลงมาจากรถ พิทยาตกใจ พิแสงก้าวมายืนตรงหน้าพิทยา
“มีความจริงบางอย่างที่ฉันอยากจะให้นายรู้” พิแสงบอก
“ความจริงอะไร” พิทยาถาม
“ความจริงที่นายควรจะไปได้ยินกับหู ดีกว่าได้ยินจากปากของฉัน”
พิทยาอึ้งเพราะแปลกใจและอยากรู้ แต่ก็ลังเล
จ้าสัวเดินออกมาจากร้านอาหารจีนพร้อมบอดี้การ์ด พิแสงและธรรมศักดิ์เข้าไปคุยกับเจ้าสัวพิทยาเดินเข้าไปในร้านโดยที่เจ้าสัวมองไม่เห็น
เวลาต่อมา เจ้าสัวกำลังคุยกับพิแสง โดยที่พิทยายืนแอบฟังอยู่ที่มุมทางเข้า
“ใช่ว่าผมจะไม่รักหรือผูกพันกับพีท เค้าเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ขยันขันแข็ง แต่นั่นแหละ ความอ่อนแอของเขาอาจจะทำให้ผมต้องเดือดร้อนอีก เมื่อผมได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว พีทก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ให้ผมต้องระแวง”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นความจริงที่เจ้าสัวสร้างเรื่องโกหกว่าพ่อแม่ของผมโกงเงินพ่อแม่ของพีท สนับสนุนให้พีทแก้แค้น วางแนวทางให้พีทเข้าไปทำลายครอบครัวของผม เพื่อกรุยทางสู่ความยิ่งใหญ่ของธุรกิจ”
“อุตสาหกรรมการเกษตรมันเริ่มอิ่มตัว ธุรกิจการบินคือเป้าหมายต่อไปของผม แต่ผมไม่ชอบมีคู่แข่ง ! พีทคือหมากที่ดีที่สุดที่ผมจะใช้เดินเกม”
พิทยาผิดหวังและเสียใจมาก เขาเดินเข้าไปทันที
พิทยายืนมองเจ้าสัวด้วยสายตาผิดหวังจนเจ้าสัวไม่กล้าสบสายตาประนามของพิทยา
“ป๋าทำได้ทุกอย่างเพื่อคำว่าเงินจริงๆเหรอครับ” พิทยาถาม
“ป๋าจะไม่ยอมกลับไปยากจน กินน้ำต่างข้าว นอนห้องแถว!” เจ้าสัวบอก
“แต่ยอมทำลายศรัทธาของผมที่มีให้ป๋า...ถ้าเลือกได้ ผมขอเลือกไปนอนข้างถนนดีกว่าต้องโตมากับมือของคนที่น่ารังเกียจ”
“ไอ้พีท! ไอ้อกตัญญู! สำนึกไว้ว่าแกโตมาได้เพราะเงินที่น่ารังเกียจของอั๊ว!”
“ผมไม่เคยลืมครับ...ว่าป๋ามีบุญคุณท่วมหัว ป๋าเหมือนเทวดาที่ยื่นมือมาช่วยผมเมื่อผมลำบาก แต่ป๋าก็เป็นซาตานที่ยื่นอาวุธให้ผมทำร้ายคนบริสุทธิ์! ป๋าทำให้มือผมสกปรก เพื่อผลประโยชน์ของป๋า ผมกลายเป็นไอ้เลว ก็เพราะป๋า!”
เจ้าสัวต่อยหน้าพิทยาดังเปรี้ยงด้วยโทสะ พิทยาเลือดกลบปาก พิแสงกับธรรมศักดิ์สะเทือนใจ
“อยากเป็นคนดี ก็ออกไปประกาศให้โลกรู้ ว่าอั๊วมันชั่วยังไง ตอนนี้ลื้อมีโอกาสแล้ว...ไปสิ!” เจ้าสัวไล่
พิทยาค่อยๆทรุดลงก้มลงกราบเท้าของเจ้าสัว
“ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังรักและเคารพป๋าเหมือนพ่อคนที่สองของผมเสมอไม่เปลี่ยนแปลง สบายใจเถอะครับ”
พูดจบพิทยาก็เดินออกไปทันที เจ้าสัวยืนนิ่ง พิแสงกับธรรมศักดิ์อึ้งเพราะคิดว่าพิทยาจะจัดการเปิดโปงแต่กลับไม่ทำ พิแสงกับธรรมศักดิ์เดินตามพิทยาออกไป เจ้าสัวทรุดลงด้วยความเสียใจแต่ก็ทะนงตนเกินกว่าจะแสดงความอ่อนแอออกมา
พิทยาเดินหนีมา พิแสงกับธรรมศักดิ์เดินตาม
“คุณคือคนเดียวที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของพีบูติกแอร์ไลน์” พิแสงบอก
พิทยาหยุดเดิน พิแสงกับธรรมศักดิ์ก็หยุดด้วย
“ผมบาปพอแล้วที่ต้องเป็นคนเลวทำร้ายครอบครัวคุณ อย่าให้ผมต้องบาปหนักมากกว่าเดิมเพราะเป็นลูกอกตัญญูเลย”
พิแสงอึ้ง พิทยาเดินออกไป พิแสงและธรรมศักดิ์มองตามอย่างสิ้นหวัง
หลังจากฟังเรื่องทั้งหมด เขมมิกก็นั่งซึมเพราะสงสารพิทยา เธอมองหน้าเนตรนิภาผ่านจอไอแพด
“สงสารพีท...” เขมมิกบอก
“อืม....โศกนาฏกรรมชัดๆ”
“เหยื่อของหมากเกมนี้คือ...พีท กับคุณพิสินีย์”
“แกกับคุณพิแสง” เนตรนิภาบอก
“แกกับคุณกนธี” เขมมิกเสริม
“เฮ้ย...ฉันกับนายนั่นไม่ได้เกี่ยวด้วยเลย”
“แต่ฉันว่าเกี่ยวนะ ทุกคนมีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกันหมด เมื่อคนหนึ่งขยับตัวทำอะไร มันก็จะส่งผลถึงทุกคน ไม่มากก็น้อย”
“เฮ้อ....ปวดหัวมะ พอเหอะ....ฉันจะกลับไปแพ็คของ” เนตรนิภาบอก
“แกว่าพีทจะไม่คิดทำอะไรเพื่อไถ่โทษให้คนบ้านนั้นบ้างเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้ ได้เรื่องยังไงค่อยคุยกันอีกที บาย!”
“เดี๋ยวก่อน ไอ้เนตร! ...”
เนตรนิภากดปิดจอแล้วเก็บของทันที
เนตรนิภาเดินออกไปจากร้านกาแฟ ก่อนจะชะงักเพราะรู้สึกเหมือนมีใครตามมา เธอหันไปข้างหลังแต่ก็ไม่เห็นใคร เนตรนิภายิ้มขำกับตัวเองแล้วเดินต่อไป สักพักกนธีก็โผล่ออกมาจากเสาแล้วออกเดินตามเนตรนิภาต่อ
กนธีเดินมามองซ้าย มองขวาเพราะไม่เห็นเนตรนิภา
“หายไปไหนแล้ว ไวจริงๆ”
กนธีเดินต่อไป เนตรนิภายืนหลบอยู่ที่ผนังใกล้เหลี่ยมตึกด้วยความตื่นเต้น เธอกลัวแต่ก็ทำใจกล้า
“ไม่มีทางได้แอ้มกระเป๋าฉันหรอก ไอ้โจรกระจอก!”
กนธีเดินมาใกล้ เนตรนิภาโผล่ออกไปฟาดไม่ยั้ง
“จะฉกกระเป๋าฉันเหรอ ไม่มีทาง นี่ๆๆ!”
“โอ๊ย!!! เจ็บๆๆ !!! โอ๊ย!”
เนตรนิภาเห็นหน้ากนธีก็ตกใจจึงหยุดฟาด “นายกนธี!”
“เออ! ผมเอง! ไม่ใช้โจรฉกกระเป๋า!”
เนตรนิภาหน้าเสียและเสียงอ่อย “ขอโทษ”
เนตรนิภานั่งตรงข้ามกนธีแต่ไม่กล้าสบตา พนักงานยืนรอออเดอร์จากกนธีอยู่
“กาแฟอีกมั้ยคุณ” กนธีถาม
“จะให้หัวใจฉันกระเด็นออกมาเต้นข้างนอกหรือไง ไม่เอาแล้ว”
กนธีพูดลอยๆ “กระเด็นออกมา ผมก็เก็บ เอามาเป็นของผม”
“หือ?” เนตรนิภางง
พนักงานแอบอมยิ้ม เนตรนิภาอายจนหน้าแดง
“เขารอนายอยู่ สั่งเร็วๆสิ! ชักช้า!” เนตรนิภาว่า
กนธีพูดลอยๆ “จะได้นั่งมองหน้าไปนานๆไง...”
เนตรนิภาอึ้ง “หือ?”
พนักงานอมยิ้มอีก
เนตรนิภาสั่งแทน “อเมริกาโน่ร้อนค่ะ เหมาะกับคนตัวดำ!”
“อ้าว...เฮ้ย”
พนักงานขำ “ค่ะ”
พนักงานเดินออกไป กนธีเอาเรื่องเนตรนิภา
“คุณ!”
“ก็นายตัวดำจริงป่ะล่ะ!”
“แล้วชอบป่ะล่ะ!”
เนตรนิภาลืมตัว “ชอบสิล่ะ! ชอบมานานแล้วด้วย! ...อุ๊บส์...”
กนธียิ้มกว้างหัวใจพองโต
เนตรนิภาจะลุกหนี กนธีรีบจับมือเนตรนิภาแล้วยึดไว้แน่น เนตรนิภาอึ้ง เธอจะกระชากกลับแต่กนธีก็ยึดเอาไว้อีก เนตรนิภามองหน้ากนธีแล้วก็เห็นแววตาและสีหน้าที่จริงจังอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
“คุณคิดเหมือนผมหรือเปล่า วิ่งตามหาคนที่ใช่...หามารอบโลก หาจนเหนื่อย เหนื่อยจนลืมมอง ลืมสังเกต ว่าคนที่ใช่สำหรับเรา จริงๆแล้วอยู่ใกล้ๆนี่เอง”
เนตรนิภาใจสั่นหวิวเพราะรู้ดีว่ากนธีหมายถึงเธอ กนธีกับเนตรนิภาสบตากัน มองหน้ากันเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกจนเหมือนว่าในร้านกาแฟมีเพียงเราสองคน
“แต่ฉันไม่คิดเหมือนนาย!” เนตรนิภาบอก
โลกสุดโรแมนติกของกนธีกลับมาสู่ความจริง
“ไมอ่ะ!!” กนธีถาม
“ฉันไม่ได้วิ่งตามหาคนที่ใช่ เพราะฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และฉันก็ยังยืนอยู่ที่เดิมเสมอ ไม่คิดจะก้าวออกไปให้แสงไฟส่องฉันเพื่อให้เค้ามองเห็นหัวฉัน ฉันก็เลยไม่เหนื่อย ถ้าเค้าจะมองเห็น ก็ขอให้เห็นเพราะมองฝ่าความมืดเข้ามา มองจนสายตาปรับตัวให้เข้ากับความมืดได้....โดยที่ฉันก็จะยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่หนีไปไหน”
“พูดซะยาว...จะบอกอะไรผมเนี่ย”
“นายรู้ดี ว่าฉันชอบนาย...ชอบตั้งแต่ที่เราเจอกันที่ฮัมบูร์ก แต่นายมองฉันเหมือนดอกไม้ริมทาง...ฉันโกรธ แต่ฉันทำใจได้ และใช้ชีวิตต่อไป แต่ก็ยังไม่เคยเลิกชอบนาย...ซึ่งนายก็รู้ดี จนวันนี้ นายเหนื่อยกับการวิ่งไล่หาความรัก อยากจะพัก แต่ไม่อยากโดดเดี่ยว เลยมองหาของตายเอามาปัดฝุ่นใหม่ และฉันก็คือคนนั้น!”
“ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นของตาย เพราะคุณมันฆ่าไม่เคยตาย พยายามจะไล่ออกไปจากความรู้สึก ก็ไม่ยอมหายไป พยายามจะไม่คิดถึง ก็ยิ่งอยากเจอ....ถ้าไม่รัก” กนธีอึ้งเพราะไม่แน่ใจ “รักป่ะวะ...รักแหละ ถ้าไม่รัก! ผมจะ...”
เนตรนิภาขัดขึ้น “กลับไปถามตัวเองให้แน่ใจก่อนดีกว่า ว่ารู้สึกยังไงกับฉันกันแน่! แต่ที่แน่ๆ ความรู้สึกที่ฉันมีให้นายในตอนนี้ก็คือ....รักนะ”
กนธีดีใจ
เนตรนิภาพูดต่อ “แต่ไม่อยากได้!”
กนธีอึ้ง เนตรนิภาเดินออกไปทันที ทิ้งให้กนธีเสียใจ ผิดหวังแล้วก็ช็อก
พิแสงนั่งเซ็งอยู่ที่บ้านแสงสุดา กนธีนั่งเซ็งและซึมอยู่ข้างๆ
พิแสงตบไหล่ให้กำลังใจ “อดทน! ถ้าแกมั่นใจว่าคุณเนตรคือคนที่ใช่แน่ๆ ก็ต้องอดทนทำให้เธอเห็น ว่าเธอไม่ได้เป็นแค่เครื่องแก้เหงาชั่วคราว”
“ไม่น่าทำตัวเป็นเพลย์บอยเล้ย...เสียความน่าเชื่อถือชิบเป๋งเวลาที่อยากจะหยุดกับใครสักคนจริงๆ”
“หึ...กรรมตามสนองไง ทิ้งเค้า สักวันเค้าก็ต้องทิ้งเรา”
ทั้งสองเงียบกันไป
“แน่ใจเหรอ ว่าจะ...ตัดคุณเขมทิ้งไปจากชีวิต” กนธีถาม
“มันควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ได้รักเรา แล้วยังมาหลอกเราให้รัก...จะเก็บเค้าไว้ทำเพื่อ?”
“แล้วถ้าเกิด...สมมตินะครับสมมติว่าคุณเขมรักแก แกจะให้อภัยแล้วเปิดรับคุณเขมอีกมั้ย”
พิแสงตอบทันที “ไม่รู้!”
“ไม่คิดก่อนตอบสักนิดเหรอวะ”
“คิดมาเยอะแล้ว และได้คำตอบแล้วว่า...ไม่รู้! ตอนนี้คิดแค่วันต่อวัน ทำสิ่งที่ต้องทำ ดูแลครอบครัว งาน เรื่องอื่น...เลิกคิด”
“ฉัน...เสียใจด้วยนะ เรื่องธุรกิจและก็ครอบครัวของแก”
“ขอบใจ...ตอนนี้พวกเราต่างยอมรับว่ามันเกิดจากความผิดพลาดของเราเอง ที่เชื่อใจนายพีทมากเกินไป แล้วก็ช่วยกันทำทุกอย่างเพื่อกอบกู้เครดิตของสายการบิน”
“น้องสินีย์เป็นไงบ้าง” กนธีถาม
“ดีขึ้นมากแล้ว...เพราะทำใจได้และมีสติ มีเรื่องยุ่งๆให้จัดการก็ดี ทำให้น้องสินีย์ไม่ฟุ้งซ่าน”
“นายพีทโผล่มาบ้างมั้ย”
“หายไปเลย คงรู้สึกผิดมาก ที่ทำร้ายพวกเรา แต่ยังไงก็ต้องหาตัวให้เจอ เพราะยังไม่ได้ทำเรื่องหย่ากับสินีย์”
เสียงพิทยาดังขึ้น “สวัสดีครับคุณใหญ่ คุณธี”
พิแสงกับกนธีหันมองด้วยความตกใจ พิทยายืนยิ้มให้กับพิแสงและกนธี