แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 12
ชายหนุ่มนั่งกินข้าวด้วยกัน11 คน ทุกคนกำลังพูดคุยกับธรรมศักดิ์อย่างออกรส ชายคนแรกใส่ชุดที่ดูดี
พวกเราที่ถูกเขมมิกทดสอบ มารวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมคนเกลียดเขมมิกครับ...ไม่เกลียดได้ไงลุง ไอ้เราก็กะว่าเลิกกับแฟนแล้วจะหันมาจีบเขมมิกแทน แม่เผ่นหนีหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ติดต่อเราอีกเลย เจออีกที เจอขู่ด้วยปืน ใครจะกล้า”
“โดนกันหมดครับ นี่ครับ 11 คน ขาดไอ้เพทาย...มันไปเมืองนอกแล้ว” ชายอีกคนบอก
ชายทุกคนหัวเราะกันร่วนแล้วหันมาเม้ากันอย่างสนุกสนาน
“แต่ยังติดใจหุ่นเป๊ะๆอยู่เลยนะ”
“ตัวงี้ห้อม หอม”
“อยากเจออีกสักครั้ง จะเอาเงินล้านปิดปาก ดูซิ จะว่าไง”
“ลุง...นั่งๆๆ แหม อุตส่าห์ตามหาเราเจอ สงสัยโดนมาอีกเหมือนกันใช่มั้ย เป็นรายที่ 13”
ทุกคนหัวเราะร่วน
ธรรมศักดิ์ที่ยืนอยู่ทนไม่ไหวจึงตบโต๊ะดังปัง!!!
“ผมจะเป็นตัวแทนคุณเขม ฟ้องพวกคุณข้อหาหมิ่นประมาทให้ได้รับความเสื่อมเสีย!”
ชายทั้งหมดนั่งอ้าปากหวอ
“ผู้หญิงเป็นเพศแม่ ควรจะได้รับการให้เกียรติมากกว่านี้ ถ้าพี่น้องของคุณถูกกระทำอย่างนี้บ้าง...จะรู้สึกยังไงครับ”
“จะไปฆ่ามัน....” ชายคนหนึ่งบอก
“แต่ผมจะเอาเข้าคุกครับ” ธรรมศักดิ์บอก
ทุกคนสลายตัวทันทีเหลือเพียงธรรมศักดิ์ยืนอยู่คนเดียว
พิสุทธิ์มองธรรมศักดิ์อย่างทึ่งๆ
“คุณแมนมาก” พิสุทธิ์ชม
“ขอบพระคุณครับ”
“ถ่ายคลิปที่พวกนั้นพูดเอาไว้มั้ย”
“ผมลืมครับ มัวแต่ตื่นเต้น กลัวเจอเท้ายี่สิบสองข้าง”
“แล้วผมจะเชื่อคุณได้ยังไงกันเล่า ก็มันไม่มีหลักฐาน มีแค่คำพูดบอกเล่าของคุณ”
“มองตาผมสิครับ...” ธรรมศักดิ์ถอดแว่นแล้วแสดงสายตาที่จริงใจ
พิสุทธิ์มองตาธรรมศักดิ์อึ้งๆ
พิสุทธิ์สะดุ้งเพราะขนลุก “เฮ้ยยยย...บ้าน่าคุณธรรมศักดิ์ นี่คุณ...คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย”
“โธ่! ผมอยากให้ท่านเห็นสายตาที่จริงใจของผม ท่านย่อมรู้ดีว่าผมไม่เคยโกหกคนในตระกูลนี้เลย แค่บอกไม่หมดเท่านั้น”
พิสุทธิ์อึ้ง “ก็จริง”
“และไม่รู้ว่าจะโกหกเรื่องนี้ไปทำไม ผมแค่อยากเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจให้เธอบ้าง....อาจจะโกรธจะเกลียด แต่ขอให้เหลือความเข้าใจสักนิดก็ยังดี”
“นี่บอกผมหรือบอกใคร”
“บอกท่านและอยากให้ผ่านไปถึงคุณพิแสงครับ”
“เฮ้อ...ไม่รู้สิ...ผมก็ไม่แน่ใจ ลูกชายผมมันสุดโต่ง รักแล้วรักเลย แต่ถ้าเกลียดก็เกลียดเข้ากระดูกดำ ไม่มีคำว่าตรงกลาง”
“ผมทราบดีครับ”
“ให้เรื่องนี้มันหายไปกับสายลมเถอะ ในเมื่อเขมมิกยืนยันว่าไม่ได้รักตาใหญ่ ไม่มีประโยชน์ที่จะพูด จะยิ่งสะกิดแผลในใจของตาใหญ่ให้เหวอะหวะ ไม่เอาล่ะ ผมสงสารลูก”
“ครับ ผมเข้าใจ ไม่พูดก็ไม่พูดครับ”
พิสุทธิ์คิดถึงพิแสง
พิแสงโยนกระเป๋าลงบนเตียงแล้วลงไปนอนมองเพดาน เขาพยายามจะหลับแต่ก็ลืมตาขึ้นมาอีก พิแสงลุกขึ้นแล้วเดินงุ่นง่านออกไป
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เขมมิกยืนมองดาวบนท้องฟ้าด้วยความคิดถึงพิแสงใจจะขาด เนตรนิภาเดินเข้ามา
“เขม เข้าบ้านเหอะ”
“ให้ฉันเดา ตอนนี้เขาก็คงกำลังทำแบบเดียวกับฉันอยู่ที่โน่น” เขมมิกบอก
เนตรนิภาอึ้ง เขมมิกยังคงมองดาวบนท้องฟ้า
พิแสงเดินเล่นเรื่อยเปื่อยมาเงยหน้ามองท้องฟ้า เขาเห็นดาวระยิบระยับจึงหยุดมองอย่างอึ้งๆ พิแสงคิดถึงภาพที่เขานั่งมองดาวกับเขมมิก
“ให้ฉันเดา เธอคงไม่ได้คิดถึงฉัน เหมือนที่ฉันกำลังคิดถึงเธอ”
พิแสงตัดสินใจเดินต่อไป
พิแสงเดินหน้าเศร้ามาเจอกนธีที่กำลังเดินเข้ามา กนธีมองพิแสงอย่างเห็นใจก่อนจะเข้าไปกอดเพื่อปลอบใจเพื่อน
“พิแสง...ฉันเสียใจด้วยนะ”
พิแสงอึ้ง “รู้เรื่องแล้วเหรอ”
“อืม....” กนธีตอบสั้นๆ
“อืม...” พิแสงร้องตอบ
กนธีก็ร้อง “อืม....”
“อืม...แล้วก็เลิกกอดฉันได้แล้ว” พิแสงว่า
“ฉันอยากจะปลอบใจแก ฉันรู้ว่าแกเจ็บหนัก”
“ไม่ใช่ตอนนี้ ที่นี่...ที่คนจ้องแกกับฉันกำลังฟิชเจอริ่งกัน”
กนธีผละออกแล้วก็เห็นสายตาลูกค้าที่เดินผ่านมากำลังจ้องมาที่พิแสงกับเขาแล้วยิ้มล้อๆ
กนธีตกใจ “หวาย....”
เขมมิกยิ้มเศร้า เธอหันมามองหน้าเนตรนิภาที่ถอนใจและมีท่าทางซึมๆ เพราะใจหายเรื่องกนธี เขมมิกกอดคอเนตรนิภาเอาไว้
“ฉันรู้ว่าแกเบื่อ ที่ฉันไม่ยอมเลิกพูดถึงเขาสักที พูดทำไมให้ใจยิ่งเจ็บใช่มั้ย” เขมมิกถาม
“อืม...แต่มันอาจจะทำให้แกเลิกเศร้าเร็วขึ้นก็ได้ ยิ่งเจ็บยิ่งย้ำมันจะทำให้ชาแล้วก็หายเจ็บในที่สุด”
“เหมือนฉีดยาชาให้ตัวเอง...” เขมมิกบอก
“เหมือนตอนถูกถอนฟัน”
“จำได้...เกลียดมาก...ขอบใจนะเนตร ที่ฉันยังมีแกในตอนที่ฉันไม่เหลือใคร”
“ไม่จริงอ่ะ”
“ไมอ่ะ”
“แม่แกไง ยังอยู่ทั้งคน เมื่อไหร่จะไปหาแม่ พร้อมหรือยัง”
เขมมิกหน้าหมองลงเมื่อคิดถึงแม่
“พร้อมแล้ว แม่จะเห็นฉันเป็นเขมมิกคนเดิม ก่อนจะไปพัทลุงเป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยน นอกจากหัวใจ...ที่พังยับเยินไม่มีชิ้นดี แต่แม่จะไม่มีทางเห็นว่าฉันบอบช้ำ เพราะการแสดงของฉันจะแนบเนียนมาก” เขมมิกพูด
เขมมิกกอดคอเนตรนิภาเอาไว้ ทั้งสองมองดาวบนท้องฟ้าเป็นเพื่อนรักที่ยังอยู่เคียงข้างกันเสมอ
“เราสองคนคงได้นั่งดูดาวด้วยกัน จนแก่จนเฒ่าเนอะ” เขมมิกว่า
“ไม่เอา...ฉันจะนั่งดูกับซองจุงกิ พระเอกในดวงใจของฉัน แกจะไปแก่ที่ไหนก็ไป” เนตรนิภาบอก
“รักกันมะ?” เขมมิกเซ็ง
ที่บ้านแสงสุดา พิทยายกมือไหว้แสงสุดาในขณะที่พิสินีย์และพิสาอยู่กับแสงสุดา ทั้งหมดกำลังจะเดินทางไปหาดใหญ่
“สวัสดีครับคุณแม่ เดินทางปลอดภัยนะครับ ฝากความปรารถนาดีของผมให้คุณใหญ่ด้วย” พิทยาบอก
“จ๊ะ ทีนี้ตาใหญ่จะได้รู้สักทีว่า...มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นแหละที่ปรารถนาดีกับเค้าอย่างจริงใจ” แสงสุดาบอก
พิสุทธ์เดินออกมา
“ก็มีแต่แม่เค้าเท่านั้นแหละที่ปรารถนาดีแบบแปลกมนุษย์มนาเค้า” พิสุทธิ์แขวะ
“เห็นฉันเป็นยักษ์หรือไง” แสงสุดาถาม
“ตอนอารมณ์ไม่ดีล่ะก็ใช่”
“คุณพิสุทธิ์! คุณกำลังก้าวร้าวกับฉัน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
“ผมไม่ได้ก้าวร้าว แต่ผมกำลังเป็นกระจกสะท้อนให้คุณเห็นตัวเอง อย่างที่ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว...แต่ไม่ได้ทำ เพราะรักคุณเลยยอมคุณอย่างผิดๆ”
แสงสุดาอึ้ง
“คุณพ่อคุณแม่อยากให้น้องเล็กเป็นเด็กมีปัญหาเหรอคะที่ต้องมาเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน” พิสาถาม
“ต่อให้ไม่ทะเลาะ แกก็เป็นเด็กมีปัญหาอยู่แล้ว” พิสุทธิ์ว่า
พิสางอน “คุณพ่ออ่ะ”
“ถ้าพูดกันดีๆไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาพูดกัน ต่างคนต่างอยู่เถอะ” แสงสุดาบอก
“แสดงว่าพูดกันได้ เพราะผมคิดว่าผมพูดกับคุณดีมาก...แต่คุณต่างหากที่พูดกับผมไม่ดี เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะได้ยิน” พิสุทธิ์ว่า
แสงสุดาสะบัดหน้าหนี
“แต่คุณก็ยังอยากจะฟังผมพูด เพราะในใจลึกๆ คุณเองก็รู้สึกว่าตัวเองผิดผมรู้ ไม่งั้นคุณเดินหนีไปแล้ว”
“ก็นี่ไง กำลังจะเดินหนีไปอยู่นี่ไง!”
แสงสุดาเดินหนีออกไปเพราะหงุดหงิดพิสุทธิ์ที่รู้ทันไปหมด
“คุณแม่ รอน้องเล็กด้วย” พิสาเดินตามแสงสุดาไป
พิสินีย์กับพิทยามองหน้ากันด้วยความหนักใจ
“ยังเถียงกันไปอีกนาน พวกเราทำใจไว้หน่อยแล้วกัน...ไปกันเถอะ... แล้วเจอกันตาพีท พ่อฝากงานทางนี่ด้วย” พิสุทธิ์บอก
พิทยารับคำ “ครับ”
“แล้วโทรคุยกันนะคะ พีท” พิสินีย์บอก
พิทยารับคำ “จ๊ะ”
พิสินีย์และพิสุทธิ์เดินออกไป พิทยายืนยิ้มโบกมือส่งแต่ในใจของเขาคิดที่จะไปหาเขมมิกระหว่างที่พิสินีย์และทุกคนไม่อยู่
เขมมิกเข้ามากอดขนิษฐาด้วยความคิดถึง
“แม่จ๋า เขมคิดถึงแม่ที่สุดเลย”
“เขม เขมลูกแม่!!”
เขมมิกพาขนิษฐามานั่ง
“แม่อย่ายืนนาน เดี๋ยวเหนื่อย”
“แม่ไม่เหนื่อย แม่แข็งแรงดี ดูสิ...”
“นั่นสิ แม่ดูสดใส ไม่เหมือนคนป่วยเลย สดใสกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
“เพราะแม่สบายใจ....แม่มีเขมเป็นกำลังใจ ไหนจะคุณธรรมศักดิ์โมเดลลิ่งของเขมอีก ที่ดูแลแม่ดีมาก นี่ก็ไม่ต้องจ้างพยาบาลพิเศษแล้ว”
“ดีจ๊ะ”
“ลางานมาได้เหรอลูก วันนี้ไม่ใช่วันหยุด”
“เขมลาออกเลยล่ะแม่”
ขนิษฐาตกใจ “ลาออก!!!! ทำไมล่ะลูก !!”
เขมมิกคุยกับขนิษฐา
“เขมคุยกับลุทซ์เรื่องคดีหนี้ของพ่อ....ลุทซ์มีหลักฐานที่จะแสดงต่อศาลได้ว่าธุรกิจทั้งหมดที่พ่อทำไว้ แม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และลายเซ็นแม่ในเอกสารต่างๆเป็นลายเซ็นปลอม”
ขนิษฐาดีใจ “จริงเหรอเขม”
“จ๊ะ หนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้น พ่อกับหุ้นส่วนต้องร่วมกันรับผิดชอบ แม่ไม่เกี่ยว” เขมมิกบอก
“ความจริงจะปกป้องเราเอง เห็นมั้ยลูก เมื่อแม่ไม่ได้ทำผิด แม่ก็จะพ้นจากข้อหา”
“ใช่...ถ้าเราเป็นคนหลอกลวง ไม่ซื่อสัตย์ อะไรก็ปกป้องเราไม่ได้”
เขมมิกซึมเพราะคิดถึงเรื่องของตัวเอง ขนิษฐามองอย่างแปลกใจ เขมมิกสังเกตเห็นขนิษฐามองมาก็รีบเก็บอาการ
เขมมิกรีบพูดต่อ “แล้วลุทซ์ก็เจอเจอหลักฐานบางอย่างที่จะสืบสาวได้ว่าเมียน้อยกับหุ้นส่วนของพ่อมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน สองคนนั่นล่อลวงให้พ่อเซ็นเอกสารโอนหุ้นในวันเดียวกับที่พ่อป่วยหนักเข้าไอซียู ลุทซ์จะทำเรื่องให้แม่ฟ้องกลับ เรียกค่าเสียหายเป็นเงินก้อนโตเลยล่ะ”
“หึ...กรรมตามสนองคนเจ้าชู้หลายใจ” ขนิษฐาว่า
“ไม่เอาน่าแม่ อย่าไปอาฆาตพ่อเลย ไหนๆเค้าก็ตายไปแล้ว ยิ่งไปคิดแค้น แม่จะยิ่งไม่สบาย ปล่อยวางเถอะ เลิกราต่อกัน”
ขนิษฐาอึ้งแล้วก็แปลกใจ “คิดอย่างนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเขม”
“ก็...คิดได้ตอนที่ลาออกมานี่แหละ เขมทำไม่ดีกับเจ้านาย เขาก็ไม่คิดจะยื้อเพื่อเลี้ยงเขมไว้ คิดซะว่า เราเคยทำเขาไว้ เขาเลยเอาคืนเรา อย่าไปคิดแค้น จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไง”
“นั่นสินะ ถ้าคิดได้ อย่างน้อยเราก็สบายใจ แม่จะพยายาม แล้วบอกแม่ซิ ลาออกจากงานทำไม เรื่องนี้ไปเกี่ยวอะไร”
เขมต้องช่วยลุทซ์หาเอกสารเพิ่มเติม อาจจะต้องเดินทางไปอเมริกาในวันที่มีการพิจารณาคดีด้วย เลยขอลาออก
“แล้วเจ้านายไม่ว่าอะไรเหรอลูก”
“ไม่หรอกแม่ บอกแล้วไง เขมทำไม่ดีกับเขา เขาดีใจซะด้วยซ้ำที่เขมลาออก”
“แล้วข้าวของของเราล่ะ”
“อ๋อ...อยู่บ้านเนตรจ๊ะ แต่กลับมาคราวนี้ เขมจะมาอยู่กับแม่ ดูแลแม่ เขมจะไม่แคร์คนอื่นอีกแล้ว นอกจากแม่คนเดียว”
ขนิษฐาลูบหัวเขมมิกด้วยความรักใคร่ ทันใดนั้นพิทยาก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับ”
เขมมิกกับขนิษฐาหันไปมองพิทยาด้วยความแปลกใจ
พิทยาเดินคุยมากับเขมมิก
“ผมเดาไม่ผิดว่าต้องหาเขมเจอที่นี่”
“รีบเข้าเรื่องเถอะค่ะ” เขมมิกบอก
พิทยาดึงมือเขมมิกมาจับเอาไว้ทันที
“ผมรู้เรื่องของคุณหมดแล้วนะ ที่คุณรับจ้างแม่ยายผมไปหลอกคุณพิแสงที่พัทลุง”
“คุณพิทยา ปล่อยมือฉัน!” เขมมิกว่า
“ผมไม่ปล่อย เขม! มองหน้าผม!”
เขมมิกหันมามองหน้าพิทยาอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่เคยสนใจว่าคุณจะทำงานทดสอบความรักผู้ชายมากี่คน ทำลายความรักของคนอื่นมากี่คู่ แต่คุณพิแสงสน!”
“เขาเลยเกลียดฉันอยู่นี่ไง ส่วนคุณจะสนหรือไม่สน ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!”
“เกี่ยวสิ ทุกคนบอกว่าคุณไม่ได้รักเขา แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่”
เขมมิกอึ้ง
“ผมรู้ว่าคุณรักเขา ผมเห็นความรู้สึกนั้นในแววตาของคุณ แต่เขาไม่ได้รักคุณจริงๆ เขาถึงได้ปิดประตูใส่คุณ ผมต่างหากที่พร้อมเปิดประตูรับคุณอยู่ตลอดเวลา ผมคือผู้ชายที่รักคุณจริงๆ”
“ฉันไม่คิดจะเปิดประตูเข้าไปหาชายที่เห็นแก่ตัวอย่างคุณอีก!”
เขมมิกสะบัดมือแล้วเดินหนี พิทยาดึงมือเขมมิกเอาไว้
“ผมอยากให้คุณฟังผมให้จบ ผมเต็มใจช่วยคุณเสมอนะเขม ขอแค่คุณบอกผม บอกผมสิ ว่าคุณต้องใช้เงินเท่าไหร่ มากกว่าห้าล้าน ผมก็ให้ได้ เพราะผมรู้ว่าคุณต้องใช้มันรักษาแม่ ! ขอแค่อย่าไปเสียให้กับผู้ชายคนไหนอีก”
“ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ!”
ถาดที่ใส่แก้วน้ำหล่นจนแก้วแตกเสียงดังลั่น เขมมิกกับพิทยาตกใจจึงหันไปมอง ขนิษฐายืนอึ้ง และช็อกอยู่
เขมมิกตกใจ “แม่!”
“ฉันก็ไม่อยากได้เงินบาปของแกมารักษาฉันเหมือนกัน เขมมิก!” ขนิษฐาช็อก
“แม่....”
ขนิษฐาร้องไห้โฮพร้อมกับเดินเข้าไป
“เขม...ผมขอโทษ แม่คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอ...ผมขอโทษ...”
“คุณมันดีแต่เข้ามาเพื่อทำร้ายฉัน ไปให้พ้น ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไป๊!!”
เขมมิกทั้งผลักทั้งทุบจนพิทยาถอยร่น
“ไป ฉันบอกให้ไป ไป๊!!”
พิทยาอึ้งเมื่อเห็นเขมมิกร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ เขาจึงยอมหันหลังเดินจากไป เขมมิกหันกลับเข้าบ้านทันที
ขนิษฐานั่งร้องไห้อยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน เขมมิกค่อยๆเดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าขนิษฐา
“แก...โกหกแม่”
“เขมบอกแม่ไม่ได้ เขมกลัวแม่เสียใจ”
“แต่เมื่อฉันมารู้ทีหลังแบบนี้ มันเจ็บปวดกว่า คนที่แกไม่ควรจะโกหกกับเขา ไม่ว่าจะเรื่องร้ายแรงแค่ไหน ก็คือแม่ เขม แม่!!”
“แม่...เขมขอโทษ เขมจะเล่าความจริงให้แม่ฟังทุกอย่าง เขมขอโทษนะแม่”
เขมมิกก้มลงกราบเท้าของขนิษฐา แต่ขนิษฐาเบี่ยงหลบแล้วเดินหนี เขมมิกอึ้งค้างอยู่ในท่าก้มกราบ ขนิษฐาเดินหนีออกไป เขมมิกทรุดแล้วปล่อยโฮ ธรรมศักดิ์ยื่นมือมาจับมือของเขมมิกเอาไว้
เขมมิกอึ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองธรรมศักดิ์ “ลุง.....”
ธรรมศักดิ์ยิ้มให้อย่างเมตตา “อะไรที่พลาดไปแล้ว จงให้เพียงความเสียใจ แต่อย่าไปเสียเวลากับมัน...คุณยังมีโอกาสแก้ตัวนะ คุณเขม”
เขมมิกพยักหน้าทั้งน้ำตา
แสงสุดาเดินนำขบวนมาในรีสอร์ทของกนธีอย่างร้อนใจ พนักงานยกมือไหว้พวกของแสงสุดาและพิสุทธิ์ ขณะที่เดินผ่าน สาวิกาวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเครียด
“สวัสดีค่ะคุณแม่ คุณอา พี่สินีย์ ไฮ้...คุณเพื่อน”
“ตาใหญ่อยู่ไหนลูก” แสงสุดาถาม
“ทางนี้ค่ะ”
สาวิกาเดินนำ ทุกคนเดินตามไป
สาวิกาเปิดประตูห้องพักเข้ามา แสงสุดา พิสุทธิ์ พิสินีย์ พิสา และสร้อยเพชรเดินตามเข้ามา ทุกคนอึ้งและผงะเพราะได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง พิแสงนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง กนธีนั่งมองพิแสงอยู่ข้างๆ
“กลิ่นอะไรคะเนี่ย” พิสินีย์ถาม
“อ๋อ...กลิ่นเหล้าครับ คุณพ่อก็จิบอยู่บ่อยๆไม่ใช่เหรอครับ” กนธีถามกลับ
“พ่อจิบเพื่อสุขภาพ นิดๆหน่อยๆ แต่กลิ่นเป็นละมุดเน่าขนาดนี้ มันอาบแล้วนะตาธี ทีหลังก็เพลาๆหน่อย”
“ตาธี! ตายล่ะทำตัวแบบนี้ เสียการปกครอง ลูกน้องจะไม่นับถือ” แสงสุดาว่า
“ตายๆ ไม่เอาล่ะ มีเจ้านายแบบนี้ ไม่เจริญแน่ วิกา เดี๋ยวกลับบ้านกับแม่เลย” สร้อยเพชรบอก
“โอ๊ย!!! ไม่ใช่ผมครับที่เมาหัวราน้ำเป็นละมุดเน่า...ไอ้พิแสงครับ ไอ้พิแสง! มันเล่นซะน็อครอบ เพิ่งจะหล่นไปเมื่อกี้เอง”
ทุกคนตกใจ “หา!!”
“แล้วทำไมพี่ธีไม่บอกล่ะคะ!” พิสาว่า
“ก็ทุกคนไม่เปิดช่องให้บอกเลยนี่คะคุณเพื่อน!” สาวิกาตอบแทน
“ขอบใจมากน้อง” กนธีบอก
พิสินีย์เข้าไปดูพิแสง “พี่ใหญ่ ทำไมทำร้ายตัวเองแบบนี้คะ...พี่ใหญ่ไม่เคยเป็นแบบนี้”
“ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าทำไม” กนธีบอก
ทุกคนอึ้ง แสงสุดาสงสารพิแสงจนน้ำตาซึม แต่ก่อนจะให้ใครเห็นความอ่อนแอเธอก็รีบไล่ความรู้สึกนั้นออกไป
“แม่จะพาตาใหญ่กลับกรุงเทพ!!”
ทุกคนต่างมองพิแสงด้วยความสะเทือนใจ
เขมมิกเปิดดูเอกสารแล้วก็ตกตะลึง
“หนูไม่เคยรู้ประวัติพวกนี้ของพีทเลย เขาบอกทุกคนว่ากำพร้าพ่อแม่ แล้วไปอยู่กับญาติ ต่อมาญาติคนนั้นก็เสียไป เลยเหลือตัวคนเดียว”
“เขาปกปิดทุกคนได้มิดชิด โดยความช่วยเหลือของเจ้าสัวยูเอฟพ่อบุญธรรม ซึ่งมีอิทธิพลมาก” ธรรมศักดิ์บอก
“หนูเคยเห็นเขานัดพบกับเซลส์ของยูเอฟที่พัทลุง แล้วคิดไงคะถึงได้ไปสืบประวัติของพีท”
“ผมได้รับคำสั่งให้ตามหาคนๆหนึ่ง...และก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากที่เป็นคนเดียวกับคุณพิทยา คนใกล้ตัวของเราเอง”
“คำสั่งจากใครคะ”
“ผมยังบอกอะไรคุณไม่ได้ จนกว่าจะแน่ใจว่า คุณพิทยามีแผนคิดจะทำอะไรกันแน่ เพราะถ้าหากมันไม่เลวร้ายอย่างที่ผมคิด ก็จะไม่กระทบความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ถ้าหากผมคิดถูก ผมจึงจะกล้าเปิดเผยเรื่องพวกนี้เพื่อเปิดโปงเบื้องหลังเบื้องลึกของคนที่ไม่ประสงค์ดี”
“แล้วมาบอกหนูทำไม” เขมมิกถาม
“มีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะใกล้ชิดคุณพิทยาเพื่อสืบเรื่องเหล่านี้มาให้ได้ ผมรู้ว่าเขายังคอยติดตามคุณอยู่ตลอดเวลา”
เขมมิกอึ้ง
“คุณอยากทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อแก้ตัวให้กับความผิดพลาดที่ผ่านมาหรือเปล่า” ธรรมศักดิ์ถาม
เขมมิกครุ่นคิด
อนงค์เดินมาที่หน้าบ้านพิแสงด้วยท่าทางดูตื่นเต้นดีใจมาก
“สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ ถึงได้เปิดทางให้ฉัน...เพราะวาสนาฉันจะได้เป็นแม่ยายนายหัว เลยทำให้นังเขมมิกกับนายหัวมีอันเป็นไป หึๆๆ ฮะๆๆ”
ชมพู่เดินมาดักอนงค์ไม่ให้เข้าบ้าน
“มาขายตรงน้องน้ำหวานกับนายหัวอีกรอบชิมิป้า”
“เออ! แล้วจะทำไม!” อนงค์ว่า
“ไอ้ย่ะ เป็นคนมีอุดมการณ์ชัดเจนมาก”
“จะแอ๊บทำไม ว่ากันชัดๆไปเลย แอ๊บแล้วอด!”
“เฮ้อ...แต่น่าเสียดายดันเอาความมุ่งมั่นมาใช้ในทางที่ผิด”
“ว่าจะไม่แล้วนะ! นังชมพู่อวดดีมาสั่งสอนฉัน!”
ชมพู่วิ่งหนี อนงค์วิ่งตาม “อย่านะ ป้าทำหนู หนูไม่บอกเรื่องนายหัว!”
อนงค์ชะงัก “เรื่องอะไร”
“จะมาหานายหัวใช่มั้ย”
“เออ!”
“เสียใจ นายหัวไม่อยู่ และก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาอยู่วันไหน”
“นายหัวไปอยู่ที่ไหน” อนงค์ถาม
“อันนี้ไม่บอก เพราะเป็นความลับ..กับป้าคนเดียว แต่กับคนอื่นหนูบอกหมด” ชมพู่ว่า
“นังชมพู่!!! นังบ้า! ชอบกวนประสาทฉันนัก แก!”
อนงค์จะเข้าไปเอาเรื่องชมพู่ ชมพู่ถอยกรูด แสงสุดาเดินออกมาพอดี
“ถ้าหล่อนทำอะไรคนของฉัน....หล่อนได้ออกไปจากที่นี่ตัวเปล่าแน่!”
อนงค์ชะงักด้วยความตกใจ “คุณแสงสุดา...”
“อยากรู้ใช่มั้ย ว่าตาใหญ่อยู่ที่ไหน ตามฉันไปข้างในสิ” แสงสุดาบอก
แสงสุดามองอนงค์อย่างรังเกียจออกนอกหน้าจนอนงค์อึดอัด
ชมพู่กำลังเก็บเสื้อผ้าและของใช้ของพิแสงลงกระเป๋าเดินทาง โดยมีแสงสุดาคอยบงการ อนงค์มองดูด้วยความร้อนใจ
“จัดให้ครบ แต่จะว่าไป เอาไปให้หมดบ้านเลยดีกว่า” แสงสุดาบอก
“นี่กะให้นายหัวไปแล้วไปลับเลยใช่มั้ยคะ!” ชมพู่ถาม
“ลูกฉันไม่ได้ไปตาย!” แสงสุดาเสียงแข็ง
“ขอโทษค่ะ....หมายถึงไปแล้วไปเลยไม่กลับมาอีกเหรอคะ”
“ใช่!” แสงสุดาปรายตาเย้ยอนงค์
“นายหัวไม่มีทางทิ้งทุกคน และทุกอย่างที่ฟาร์มนี้ไปไหนเด็ดขาด!” อนงค์บอก
“เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตาใหญ่จะทิ้งที่นี่ไป คนงานอย่างหล่อนจะเดือดร้อนทำไม ไปหางานใหม่ที่อื่นสิ”
“โอ๊ย เดือดร้อนสิคะ” ชมพู่รีบบอก “แกอยากเป็นแม่ยายนายหัว นายแม่ใหญ่เล่นพานายหัวไปแบบนี้ ป้าแกก็ฝันสลายสิคะ”
“นังชมพู่! ไม่ต้องมาสาระแน!” อนงค์ว่า
“ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ความฝันของหล่อนไม่มีทางเป็นความจริง! เพราะฉันคือตัวดับฝันของหล่อน! รู้ไว้ซะ!” แสงสุดาพูด
อนงค์มองแสงสุดาด้วยความเจ็บใจ แสงสุดาจ้องตาตอบไปอย่างดูถูก
“เชิญหล่อนออกไปจากฟาร์มได้แล้ว! ไปซะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจระงับการจ่ายเงินบำนาญให้หล่อน...หรือว่าอยากจะไปแต่ตัว ??”
“นายหัวคนเดียวเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ไล่ฉันออกไป คนอื่นอย่ามาเห่า!” อนงค์ว่า
แสงสุดาตกใจ “ว้าย!”
อนงค์หันเดินออกไปทิ้งให้แสงสุดาทั้งอึ้ง ที่งตกใจ และเจ็บใจจนพูดไม่ออก
“ป้าอนงค์ด่านายแม่ใหญ่เป็นหมาค่ะ” ชมพู่บอก
“รู้แล้ว! ...นี่แปลว่า ไล่ยังไงมันก็ไม่ไปใช่มั้ย” แสงสุดาถาม
“ปลิงยังเรียกป้าแกว่าพี่เลยนะคะ”
“นังคนนี้มันหน้าด้านหน้าทนจริงๆ! ฉันจะใช้วิธีไหนกำจัดมันดีเนี่ย!”
แสงสุดาเจ็บใจ
อนงค์เดินออกมาด้วยความเจ็บใจ
“ถ้าไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการ ฉันก็จะไม่ไปไหน รู้ไว้ซะ!”
อนงค์หมายมั่นด้วยแรงแค้น
ที่บ้านเนตรนิภา เขมมิกเดินมาทิ้งตัวลงนั่งพลางครุ่นคิดเรื่องที่เพิ่งคุยกับธรรมศักดิ์ไปเมื่อครู่
ภาพธรรมศักดิ์คุยกับเขมมิกย้อนกลับมา
“ถ้าคุณยอมทำงานนี้ เท่ากับคุณได้ช่วยเหลือครอบครัวของคนที่คุณรักให้รอดพ้นจากการถูกทำร้าย” ธรรมศักดิ์บอก
“หนูไม่ได้รักคุณพิแสง” เขมมิกรับปฏิเสธ
ธรรมศักดิ์เพ่งพินิจเขมมิก เขมมิกนิ่งเฉยโดยพยายามไม่แสดงอาการใดๆให้ธรรมศักดิ์จับได้
“แปลว่าคุณยอมได้ถ้าคุณพิทยาประสงค์ร้ายต่อครอบครัวคุณพิแสงจริงๆ และทนดูเฉยๆได้โดยไม่ทำอะไร”
“ค่ะ หนูไม่อยากโกหกหรือหลอกลวงใครอีกแล้ว”
“แต่นี่จะเป็นการทำความดีนะครับ คุณ....”
เขมมิกตัดบท “หนูไม่มีแรงไปกู้โลกให้ใครแล้วล่ะค่ะ การไปพบคุณแสงสุดาเพื่อปิดจ็อบ จะเป็นครั้งสุดท้ายที่หนูจะเกี่ยวข้องกับคนบ้านนั้น ลาล่ะค่ะ”
เขมมิกยกมือไหว้ธรรมศักดิ์แล้วลุกเดินออกไป
ธรรมศักดิ์มองตามเขมมิกอย่างเคร่งเครียดที่เขมมิกไม่ยอมรับข้อเสนอ
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 12 (ต่อ)
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น เขมมิกก็น้ำตาซึม
“แค่ได้ยินชื่อ ฉันก็เจ็บเหมือนใจจะขาด อย่าให้ฉันต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณอีกเลย”
เขมมิกนั่งน้ำตาซึม
พิแสงนั่งเอนหลังบนที่นอนพร้อมกับเหม่อลอย กนธียืนมองพิแสงอย่างอ่อนใจ
“พิแสง...กินอะไรหน่อยมั้ยว้า วันนี้ทั้งวันแกยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนะ”
พิแสงเงียบโดยไม่หือไม่อืออะไรเลย
“ไม่กิน....งั้น...พูดอะไรหน่อยมั้ยว้า ตั้งแต่แกตื่น ขึ้นเครื่องมาที่นี่ จนมานอนเป็นศพอยู่เงี้ย แกยังไม่พูดกับใครสักคำ แม้แต่ฉันที่เป็นเพื่อนรักของแก”
พิแสงค่อยๆหันมามองกนธี กนธีเริ่มมีความหวัง
“ใช่ ฉันเป็นคนที่แกคุยได้ด้วยทุกเรื่อง แกอกหัก ฉันรู้ ทุกคนรู้ และทุกคนก็อยากจะช่วยให้แกหายดี เร็วๆ อย่างน้อยก็พูดระบายมันออกมาบ้าง” กนธีพูด
พิแสงขยับปากเหมือนจะพูด กนธีดีใจ
“พูดเลยเพื่อน พูดออกมา ฉันจะตั้งใจฟังแก”
กนธีลงไปนั่งข้างหน้าพิแสง และเตรียมเป็นผู้ฟังที่ดี แต่พิแสงก็หันหลังหนี กนธีถอนใจด้วยความกลุ้มใจที่กล่อมพิแสงไม่สำเร็จ
กนธีเดินออกมา แสงสุดา พิสุทธิ์ พิสินีย์และพิสารออยู่หน้าห้อง
“ตาใหญ่ยอมกิน ยอมพูดอะไรบ้างหรือยัง” แสงสุดาถาม
“ไม่เลยครับ” กนธีตอบ
พิสุทธิ์ แสงสุดา พิสินีย์ และพิสาอึ้ง
“ฉันจะเข้าไปคุยกับลูกเอง” แสงสุดาบอก
พิสุทธิ์ห้ามเอาไว้ “ยังจะกล้าอีกเหรอ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็คุณนั่นแหละที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ตาใหญ่กลายเป็นศพอยู่ในห้อง!”
แสงสุดาอึ้งแล้วก็หน้าเสีย
“ทุกคนตามพ่อมา...เราต้องประชุมเครียด เพื่อหาทางฟื้นฟูจิตใจตาใหญ่ให้ได้อย่างเร็วที่สุด”
พิสินีย์ พิสา และกนธีรับคำ “ค่ะ /ครับ”
ทุกคนเดินตามพิสุทธิ์ออกไป
แสงสุดาสั่งการ
“ฉันจะให้....”
พิสุทธิ์ตัดบท “คุณอยู่เฉยๆดีกว่า”
“จะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง ในเมื่อตาใหญ่....”
พิสุทธิ์ตัดบท “ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง เพราะถ้าคุณออกโรงอีก ไม่มีทางที่ตาใหญ่จะหายดี กลับจะแย่ลงมากกว่าเดิม”
“ไม่มีทาง ตาใหญ่เค้าบอกแล้วว่าเค้าไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดฉัน เค้าเข้าใจว่าที่ฉันทำลงไปเพราะปรารถนาดีต่อเค้า”
“แต่ตาใหญ่จะไม่ไว้คุณอีกแล้ว” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดาอึ้ง
“คุณแม่ขา คุณพ่อพูดก็ถูกนะคะ คุณแม่เล่นแรงแบบนี้ ถ้าเป็นน้องเล็กนะ ไม่เงียบอย่างพี่ใหญ่หรอก จะอาละวาดให้บ้านพังเลย” พิสาบอก
“ผมอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้พิแสงมันคิดอะไรของมันอยู่” กนธีว่า
พิสินีย์พูดขึ้นมาทันที “คิดถึงคุณเขมมิกไงคะ”
ทุกคนอึ้ง
พิสินีย์พูดต่อ “คุณธีก็รู้...ว่าพี่ใหญ่รักและตั้งความหวังในตัวเขมมิกมากแค่ไหน จู่ๆก็ถูกหักหลังแบบนี้ มันทำใจยากนะคะ”
พิสารู้สึกขัดใจ “โอ๊ย จะรักอะไรคนอย่างมันนักหนานะ”
“คนรักแต่ตัวเองอย่างเรา ไม่เข้าใจพี่เค้าหรอก” พิสุทธิ์ว่า
“ว่าน้องเล็กอีกแระ! เพราะคุณแม่เลย ทำให้น้องเล็กถูกคุณพ่อดุทุกวันอ่ะ” พิสางอน
“เออๆๆ !!! ฉันอยู่เฉยๆก็ได้ จะให้ทำอะไรก็บอกมาแล้วกัน” แสงสุดาบอก
“จะช่วยพี่ใหญ่ได้ยังไงล่ะคะคุณพ่อ พี่ใหญ่เก็บตัวอยู่ในแต่ในห้อง” พิสินีย์อยากรู้
“ยังไม่รู้” พิสุทธิ์บอก
ทุกคนร้องพร้อมกัน “อ้าว!”
“รู้แต่ว่า เราทุกคนจะต้องอยู่เคียงข้างตาใหญ่ ให้เค้าเห็นว่ายังมีพวกเรา ที่รักและจะอยู่เคียงข้างเค้าเสมอไม่ว่ายามดีหรือร้าย กำลังใจจากครอบครัวจะช่วยให้เค้าหายเร็วขึ้น”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับพิสุทธิ์ยกเว้นแสงสุดาที่แอบเบือนหน้าไปแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
แสงสุดาเดินหลบมุมมา พอเช็กว่าปลอดคนเธอก็รีบกดเบอร์มือถือเพื่อโทรออก
“คิดว่าฉันจะยอมอยู่เฉยๆหรือไง...ไม่มีทาง!” แสงสุดารอสาย “รับเร็วๆสิ โอ๊ย ถ้าฉันแก่ ฉันไม่มีทางชักช้าเงอะงะแบบนี้เด็ดขาด...”
พิแสงนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเหมือนคนซังกะตายไม่มีแรงจะทำอะไร เขาหันมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นพระจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า พิแสงนอนมองอยู่อย่างนั้นนิ่งและนาน
เขมมิกยังนั่งอยู่ในท่าเดิม ชุดเดิม และมุมเดิม เนตรนิภาเดินเข้ามาพร้อมถุงของใช้จากซุปเปอร์มาร์เก็ต เนตรนิภาเห็นเขมมิกนั่งอยู่ที่เดิมก็แปลกใจ
“อ้าว...คิดว่าแกจะนอนค้างบ้านแม่”
เขมมิกยังนั่งนิ่ง เนตรนิภาวางถุงลงแล้วเดินเข้าไปหาเพราะรู้ได้ทันทีว่าเขมมิกต้องเจอเรื่องไม่ดีมาแน่ๆ
“เขม....ไปเจอแม่มา เป็นยังไงบ้าง” เนตรนิภาถาม
“ฉันทำให้แม่ผิดหวัง...แม่เกลียดฉันแล้วล่ะ” เขมมิกบอก
เนตรนิภาอึ้ง เขมมิกยิ้มเศร้าให้เนตรนิภา
ขนิษฐานั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพังภายในบ้าน เธอนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตตอนที่คุยกับลูกสาว
“..เขมประมาทเอง...แต่เขมก็ยังมั่นใจนะแม่ ถ้าแม่เป็นกำลังใจให้เขมหางานใหม่”
“แม่อวยพรลูกเสมอ” ขนิษฐาบอก “ขอให้เขมได้งานใหม่ที่ดี อย่าเลือกงานนะลูก ขอเพียงเป็นงานสุจริต แม่สนับสนุนเขมทั้งนั้น”
“ค่ะ แม่ แม่นอนพักเถอะ นะ พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ เนาะ”
เมื่อคิดถึงอดีต ขนิษฐาก็ยิ่งเสียใจ
“ทำไมไม่เชื่อแม่นะเขม ทำไมต้องไปทำงานอย่างนั้น ทำไม....”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เขมมิกและขนิษฐานั่งมองเปี่ยมพงษ์ที่หิ้วกระเป๋าออกจากบ้านไปโดยไม่เหลียวหลัง
“...ไม่มีเขา หรือใคร เราก็ดูแลกันเองได้” เขมมิกว่า
“บางทีเราก็ต้องพึ่งคนอื่นบ้าง” ขนิษฐาบอก
“คนอื่นของเขม ไม่ใช่ผู้ชายเลวๆแบบนั้น”
ขนิษฐายิ่งรู้สึกเสียใจ เธอนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่อง
เปี่ยมพงษ์คว้าซองมาเปิดดู พอเห็นเงินเขาก็ตาโต
เปี่ยมพงษ์รีบเซ็นชื่อ แล้วรีบลุก
“จำไว้นะ ถ้าแกทำผิดสัญญา กลับมารังควานแม่ฉันอีกเมื่อไหร่ ฉันเอาแกตายแน่” เขมมิกขู่
“ไม่ต้องห่วง ฉันไปไม่กลับแน่” เปี่ยมพงษ์บอก
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ขนิษฐาก็คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เขมมิกต้องไปรับจ็อบแบบนั้น เธอนึกโทษตัวเอง
“เพราะแม่ใช่มั้ยเขม....”
เปี่ยมพงษ์เดินเข้ามาข้างหลังขนิษฐา
“คิดถึงฉันอยู่หรือไงจ๊ะ แม่ฐา”
ขนิษฐาสะดุ้งเฮือก พอหันไปเห็นเปี่ยมพงษ์ก็ตกใจ “เปี่ยมพงษ์!”
“แต่คิดว่าคงจะไม่...ไม่เป็นไร แต่ฉันคิดถึงแม่ฐามาก ไม่สิ พูดผิด พูดใหม่ดีกว่า ฉันคิดถึงกระเป๋าเงินของแม่ฐา....มีให้ฉันเอาไปใช้สักสองสามหมื่นก่อนมั้ย”
“ฉันไม่มี!”
“พูดดีๆด้วยแต่บอกไม่มี...หรือว่าอยากให้ฉันพูดด้วยอย่างอื่นถึงจะมี หา!”
ขนิษฐาถอยหนี “ฉันบอกว่าฉันไม่มี!”
“โอ๊ย!! รำคาญคำว่าไม่มีจริงโว้ย!”
เปี่ยมพงษ์ปราดเข้าหาขนิษฐา
เนตรนิภาจูงมือเขมมิกมาที่หน้าบ้านขนิษฐา
“รีบไปคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง” เนตรนิภาบอก
“แต่แม่กำลังโกรธฉัน...รออีกสักวันสองวันดีกว่า” เขมมิกปัด
“แล้วถ้าวันสองวันของแก...ไม่มีแม่ให้แกคุยด้วยอีกล่ะ แกจะทำยังไง”
เขมมิกอึ้ง เสียงแจกันตกแตกดังเพล้งจากในบ้าน
เสียงเปี่ยมพงษ์ดังออกมา “นังฐา!!! ฉันบอกให้เอาเงินมาไง!!”
เสียงเพล้งดังอีกที
เสียงขนิษฐาดัง “ฉันไม่ให้ อย่ามายุ่งกับฉัน!!”
เขมมิกกับเนตรนิภาตกใจ ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
เขมมิกกับเนตรนิภาวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความตกใจและเป็นห่วงขนิษฐาเพราะกลัวว่าขนิษฐาจะถูกเปี่ยมพงษ์ทำร้าย เสียงปาข้าวของยังคงดังต่อเนื่องพร้อมเสียงขู่เข็ญของเปี่ยมพงษ์
“อย่าทำให้ฉันโมโหนะ! นังฐา! บอกให้เอาเงินมาให้ฉัน!”
เสียงขนิษฐาดังออกมา “ฉันไม่ให้! ฮือๆๆ ฉันไม่ให้!!! ฉันไม่มี!!”
“อย่าทำอะไรแม่นะ หยุดนะ!” เขมมิกเสียงดัง
แต่แล้วเขมมิกกับเนตรนิภาก็ชะงักเมื่อเห็นขนิษฐากำลังปาถ้วยชามใส่เปี่ยมพงษ์ไม่ยั้ง โดยที่เปี่ยมพงษ์หลบเป็นพัลวัน
“ฉันเตือนแกดีๆนะ อย่าให้ต้องใช้กำลัง!” เปี่ยมพงษ์ว่า
“มาเลย! คราวนี้ ฉันจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของแกอีกแล้ว พอกันที ไอ้เลว ไอ้ชั่ว!”
ข้าวของในมือขนิษฐาลอยไปโดนหัวเปี่ยมพงษ์อย่างจัง
เปี่ยมพงษ์ร้อง “โอ๊ย!!”
เขมมิกกับเนตรนิภาหันมามองหน้ากันเพราะไม่อยากเชื่อว่าขนิษฐาจะลุกขึ้นสู้แบบนี้ ขนิษฐาวิ่งไปที่มุมหนึ่งของบ้านซึ่งมีกล่องและถุงใส่ข้าวของของเขมมิกที่ถูกส่งมาจากพัทลุงซึ่งถูกเปิดออกแล้ว ขนิษฐาเปิดกล่องหนึ่งแล้วเปิดหยิบปืนออกมา
เขมมิกกับเนตรนิภาตกใจ “ปืน!!”
เปี่ยมพงษ์ก็ตกใจ “เฮ้ย!!! ปืน!!!”
“เออ! ปืนของผัวเก่าฉัน! วันนี้ฉันจะใช้จัดการเห็บหมาอย่างแก ไอ้เปี่ยม!”
ขนิษฐาเล็ง เปี่ยมพงษ์ตกใจจึงวิ่งไปหลบหลังเขมมิกและเนตรนิภา เขมมิกและเนตรนิภาพร้อมใจกันหลีกแล้วดันเปี่ยมพงษ์ให้ไปเผชิญหน้าขนิษฐา แล้วเขมมิกกับเนตรนิภาก็ไปยืนอยู่กับขนิษฐา
“อย่ายิงฉัน แม่ฐา!!! ฉันกลัวแล้ว!!”
“พูดใหม่ซิ!” ขนิษฐาบอก
“ฉันกลัวแล้ว!!”
“คำพูดจากปากของแก มันเชื่อไม่เคยได้ ตอนนี้แกบอกว่ากลัว แต่พอฉันไม่มีปืน แกก็จะกลับมาทำร้ายฉันอีก เพราะฉะนั้น อย่าอยู่เลย!!”
ขนิษฐาทำท่าเล็ง
เปี่ยมพงษ์ตกใจสุดขีด “อย่า!!”
“แม่อย่า!!” เขมมิกร้อง
เสียงเปี่ยมพงษ์ร้องโหยหวนผสมกับเสียงร้องกรี๊ดของเขมมิกและเนตรนิภาดังออกมาจากตัวบ้าน เปี่ยมพงษ์อึ้งจนตาเบิกโพลง เขมมิกกับเนตรนิภาอึ้งค้าง ขนิษฐาหายใจหอบถี่และมีแววสะใจอย่างยิ่งยวด
เปี่ยมพงษ์ค่อยๆก้มลงมองขากางเกงตัวเองจนเห็นว่าฉี่ราดกางเกงจนเจิ่งนองพื้น แถมขายังสั่นพั่บๆ เขมมิกกับเนตรนิภาหันไปมองขนิษฐาที่ลดปืนลงไปแล้ว
“ฉันไม่ได้ใส่กระสุน!” ขนิษฐาบอก
เปี่ยมพงษ์ทรุดตัวลงนั่งในสภาพเข่าอ่อน มือไม้อ่อน ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาทันที “โฮ!!”
ทุกคนมองเปี่ยมพงษ์ด้วยความสังเวช
“เขม เอาปืนไปเก็บ! แม่จะไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือดคนชั่วที่น่าสมเพชอย่างมันเด็ดขาด!”
เขมมิกรีบเอาปืนจากขนิษฐาไปเก็บทันที
“ฮือๆๆ....ทำไมวันนี้เล่นแรง!!!” เปี่ยมพงษ์ร้องไห้
“รอให้คนอย่างแกสำนึก ชาติหน้าก็ไม่มีหวัง มันต้องเล่นกันอย่างนี้!” ขนิษฐาบอก
“จ้า...เปี่ยมไม่ได้ว่า”
เนตรนิภากระซิบเขมมิก
“คนนี้ แม่ตัวจริงของแกหรือเปล่า หรือว่าตัวปลอม”
“เป็นแม่ที่ฉันภูมิใจสุดๆต่างหาก” เขมมิกบอก
เปี่ยมพงษ์ค่อยๆถอยหนี
“จะไปไหน!” ขนิษฐาถาม
“มาทางไหนก็จะไปทางนั้นจ้า”
“ยังไปไหนไม่ได้!” ขนิษฐาเสียงเข้ม
“อยู่ที่เดิมก็ได้จ้า”
“ถ้าแกยังกล้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันจะไม่ใจดีเหมือนวันนี้ วันนั้นจะเป็นวันมรณะของแก”
ธรรมศักดิ์เดินเข้ามาพร้อมตำรวจ
“ไม่ต้องกลัวว่าจะโผล่มาสร้างความเดือดร้อนอีกแล้วล่ะครับ” ธรรมศักดิ์บอก
ทุกคนประหลาดใจที่เห็นธรรมศักดิ์มาพร้อมกับตำรวจ
“ทำไมมาไวเคลมไวอย่างนี้ล่ะคุณตำรวจ ใครไปแจ้งตำรวจตอนไหนเนี่ย! โฮ!!” เปี่ยมพงษ์ร้องไห้
เปี่ยมพงษ์ถูกตำรวจควบคุมตัวออกไปในสภาพคอตก เขมมิกยืนอยู่กับขนิษฐา เนตรนิภาและธรรมศักดิ์
“แม่โทรตามคุณธรรมศักดิ์ให้มาหา เพราะมีเรื่องจะคุยด้วย” ขนิษฐาบอก
“ผมมาถึงก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมาถึงหน้าบ้าน เลยรีบโทรแจ้งตำรวจ สายตรวจอยู่แถวนั้นพอดี เลยมาระงับเหตุได้ไว เรายื่นเรื่องขอคำสั่งศาลไว้ไม่ให้นายเปี่ยมพงษ์เข้าใกล้คุณขนิษฐาอีก” ธรรมศักดิ์เล่า
“กล้าฝ่าฝืนคำสั่งศาลแบบนี้...โดนหนักแน่!” เขมมิกว่า
“แล้วถ้ามันแค้น ออกจากคุก กลับมาเอาคืน จะทำไงคะ” เนตรนิภากังวล
“ผู้ชายแบบมัน ถ้าเราเอาจริง ไม่กล้าหรอก แต่ถ้าเรายอม มันจะยิ่งได้ใจ กดขี่ข่มเหง แสดงอำนาจ” ขนิษฐาบอก
“เพราะลึกๆแล้วผู้ชายแบบนายเปี่ยมพงษ์คือคนที่อ่อนแอ ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เขาจึงต้องมาแสดงอำนาจกับคนในบ้านแทน” ธรรมศักดิ์สรุป
“น่าสมเพชเนอะ” เนตรนิภาว่า
“ในเมื่อผู้ชายของเราเป็นคนที่มาทำร้ายเราซะเอง ผู้หญิงจึงต้องรู้จักลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง อย่าให้มันทำร้ายเราจนเกิดเป็นความเคยชิน ไม่ใช่แค่ในบ้านหรอกนะ ที่ไหนๆก็เหมือนกัน ผู้ชายแบบนี้
มันมีอยู่ทุกสังคม” เขมมิกพูดกับขนิษฐา “แม่เจ๋งมากอ่ะ แม่หายโกรธเขมแล้วเนอะ”
ขนิษฐาตอบทันที “ยัง!!”
“อ้าว..นึกว่าหายแล้ว เห็นคุยกับเขมเป็นวรรคเป็นเวร”
“ฉันยังไม่หายโกรธแกที่แกโกหกฉัน แต่ฉันยังมีสติที่จะอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะฉะนั้น เราทุกคนต้องคุยกันยาว เข้าบ้าน” ขนิษฐาบอก
เขมมิก เนตรนิภา และธรรมศักดิ์มองหน้ากันจ๋อยๆ
พิสุทธิ์ปิดแฟ้มลงจนพิทยาและพิสินีย์ที่กำลังฟังพนักงานสรุปรายงานอยู่ถึงกับชะงักแล้วพากันมองพิสุทธิ์ด้วยความสงสัย พิสุทธิ์ดูเป็นกังวลมาก
พิสุทธิ์เดินออกมาจากห้องประชุม พิทยาและพิสินีย์เดินตามออกมาติดๆ
“พ่อเป็นห่วงตาใหญ่ อยู่คนเดียวที่บ้าน”
“คุณแม่ก็อยู่นะคะคุณพ่อ” พิสินีย์บอก
“ตัวดีเลยนะนั่น เราไปกับพ่อ”
“แต่มีเรื่องรับคนใหม่เข้ามาทำงาน ต้องให้คุณพ่อ...” พิทยาพูดยังไม่จบ
พิสุทธิ์ตัดบท “เฮ้ยย เรื่องเล็กน้อย ตัดสินใจไปเลย โดยตำแหน่งที่พ่อเพิ่งแต่งตั้งเรา เราทำได้ อยู่แล้ว”
“ฝากด้วยนะคะพีท”
“จ๊ะ ไม่ต้องห่วงนะครับคุณพ่อ ผมจะทำให้ดีที่สุด” พิทยาบอก
“ขอบใจมาก ไป สินีย์
พิสุทธิ์รีบเดินออกไปกับพิสินีย์ พิทยามองตามแล้วสายตาของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นความเจ้าเล่ห์
พนักงานคนหนึ่งออกมา
“กำลังจะพิจารณาผู้สมัครผู้อำนวยการสายการเงินและการบัญชีครับ”
“ผมมีคนมาทำงานตำแหน่งนี้แล้ว...ไม่ต้องพิจารณา” พิทยาบอก
“ครับ ท่านรอง”
พนักงานคนนั้นเดินเข้าห้องประชุมไป พิทยายิ้มสะใจ
แสงสุดาเดินนำพาสร้อยเพชรและสาวิกาเข้ามาในบ้าน สาวิกามีท่าทางเซ็งมาก
“เชิญค่ะคุณพี่ หนูวิกา....” แสงสุดาต้อนรับ
“เดี๋ยวค่ะคุณอา” สาวิกาขัดขึ้น
“มีอะไรเหรอจ๊ะหนูวิกา”
“คือ...จะดีเหรอคะ คนอกหักน่าจะต้องการอยู่คนเดียวมากกว่านะคะ” สาวิกาบอก
“หนูเคยอกหักเหรอลูก” สร้อยเพชรถาม
“ไม่เคยค่ะ ได้ยินเค้าว่ากันว่า”
“แล้วไป” สร้อยเพชรว่า
“ไม่ต้องไปเชื่อคนอื่น เชื่ออา...อารู้ว่าตาใหญ่ต้องการเพื่อนคุย หนูเท่านั้นจ๊ะที่จะช่วยให้แผลในใจของตาใหญ่หายเร็วขึ้น” แสงสุดาบอก
สาวิกายิ้มแหยอย่างไม่มั่นใจ ในขณะที่แสงสุดาและสร้อยเพชรยิ้มพออกพอใจ
แสงสุดากับสร้อยเพชรเดินคุยกันมาอย่างอารมณ์ดี
“โอ๊ย วางใจค่ะ แต่งตั้งตาพีทเป็นรองประธาน จะได้ช่วยคุณพิสุทธิ์ทำงานได้เต็มที่ พอตาใหญ่แข็งแรงดีแล้วก็จะมารับตำแหน่งประธานจากคุณพิสุทธิ์ ดิฉันสองคนผัวเมียก็จะวางมือ ไปเที่ยวรอบโลกค่ะ” แสงสุดาบอก
“น่าอิจฉาจังเลย ท่านของดิฉันคงวางมือจากงานไม่ได้ง่ายๆอย่างนี้หรอก” สร้อยเพชรพูด
“เรียนท่านสิคะ วางมือจากงานมาช่วยคุณพี่เลี้ยงหลานตัวน้อยๆดีกว่า”
“ถามจริงๆนะคะ....แผนให้ยัยวิกาของดิฉันเข้าไปดูแลตาใหญ่ตอนนี้...ได้ผลแน่เหรอคะ”
“รับรองค่ะ ตาใหญ่เป็นคนมีความคิด แยกแยะได้ค่ะว่าอะไรเพชรแท้ อะไรแค่พลอยหุง อาจจะเสียใจเสียความรู้สึกไปบ้างก็นิดๆหน่อยๆ เดี๋ยวก็หาย”
เสียงสาวิกาดังขึ้น “พี่ใหญ่คะ ช้าๆค่ะ เบาๆค่ะ”
แสงสุดากับสร้อยเพชรชะงักแล้วหันไป
พิแสงจูงมือสาวิกาเดินเข้ามาด้วยหน้าตาเคร่งเครียดมาก โดยที่พิสาเดินตามพิแสงและสาวิกามาด้วย
“เห็นมั้ยล่ะคะ พูดไม่ทันขาดคำ หายดี จับมือจูงกันเดินมาแล้ว สวีทเชียว” แสงสุดาบอก
“เหรอคะ...แต่ดิฉันว่าไม่นะคะ” สร้อยเพชรว่า
“พี่ใหญ่ ทำกับเพื่อนน้องเล็กดีๆหน่อยสิ!” พิสาเตือน
พิแสงตวาด “ไม่ต้องมายุ่ง!”
พิสาอึ้งกับอารมณ์รุนแรงของพิแสง พิแสงเดินมาหยุดตรงหน้าแสงสุดาแล้วมองแสงสุดาหน้าบึ้ง
“แม่คิดไว้อยู่แล้ว ว่าลูกไม่มีทางเสียเวลาให้กับยัยเขมมิกนั่นนานหรอก หนูวิกาน่ะ...”
พิแสงตัดบท “ผมไม่ต้องการให้วิกามาหาผมที่นี่หรือที่ไหนอีก!”
แสงสุดา สร้อยเพชร และสาวิกาอึ้ง พิสุทธิ์ พิสินีย์เดินเข้ามาพอดี
“อะไรกัน ตาใหญ่!” พิสุทธิ์ถาม
“อยู่กันพร้อมหน้า ดีครับ...อ้อ ยังขาดอีกคน” พิแสงตะโกน “ไอ้ธี อยู่ไหน!”
กนธีวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาโดยที่กำลังคุยมือถืออยู่
“จัดการไปก่อน เดี๋ยวโทรกลับ” กนธีวางสาย “มีอะไรวะพิแสง!”
“ทุกคนฟังให้ดีๆนะครับ!” พิแสงพูด “ผมไม่เคยคิดอะไรกับสาวิกา และจะไม่มีวันคิด คุณแม่และคุณป้าไม่ต้องมายัดเยียดให้ผม”
แสงสุดาโกรธ สร้อยเพชรทั้งโกรธทั้งอาย ส่วนสาวิกาแทบจะแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอายและเสียใจ
“คุณแสงสุดา ผมบอกแล้วไง ว่าให้อยู่เฉยๆ!” พิสุทธิ์ว่า
“ฉันทำไม่ได้!” แสงสุดาบอก
“ขอผมอยู่ของผมคนเดียว!” พิแสงบอก
“พี่ใหญ่โกรธนังนั่น ก็ไปลงกับมันสิ อย่ามาลงกับพวกเรา!” พิสาว่า
พิแสงอึ้ง
พิสินีย์รีบห้าม “น้องเล็ก ไม่ต้องพูด!”
“จะพูด มีปาก จะทำไม ยิ่งพูดน้องเล็กยิ่งเกลียดนังเขมมิก มันทำให้พวกเราต้องทะเลาะกัน” พิสาว่า
“พิแสง....แกลงผิดคนแล้ว” กนธีบอก
พิแสงอึ้ง เขาคิดตัดสินใจบางอย่างแล้วหันหนีเดินออกไป
“ตาธี ตามตาใหญ่ไป อย่าให้อยู่คนเดียว!” พิสุทธิ์สั่ง
“ครับ คุณพ่อ!” กนธีรับคำ
กนธีรีบตามพิแสงไป ทุกคนอ่อนใจกันไปตามๆกัน สร้อยเพชรฉวยข้อมือของสาวิกาเดินออกไป
“ไป วิกา กลับบ้าน!”
“คุณพี่ โกรธน้องหรือเปล่าคะ” แสงสุดาถาม
สร้อยเพชรตอบทันที “โกรธสิคะ!”
แสงสุดาหน้าเสียที่เห็นสร้อยเพชรโกรธมาก
ขนิษฐานั่งอึ้งอยู่ เขมมิก เนตรนิภา และธรรมศักดิ์นั่งก้มหน้าคล้ายนักโทษที่เพิ่งจะสารภาพผิดทั้งสามคน ธรรมศักดิ์สะกิดเนตรนิภาแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้หลบกันไปก่อน เนตรนิภาพยักหน้ารับ แล้วเนตรนิภากับธรรมศักดิ์ก็ค่อยๆขยับตัวเดินออกไปจนเหลือเขมมิกกับขนิษฐาสองคน
“แม่.....”
“เฮ้อ....” ขนิษฐาถอนหายใจ
“เขมขอโทษ”
“สิ่งที่แม่โกรธมากที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่เขมทำ แต่โกรธที่เขมโกหกแม่”
เขมมิกพยักหน้ารับผิด
“มันบาปเหลือเกินนะเขม”
เขมมิกพยักหน้ารับ “เขมก็ชดใช้อยู่นี่แม่....เขมอกหักไม่มีชิ้นดี”
“ยัง เขมยังชดใช้ให้เค้าไม่หมด”
“มีอะไรอีกล่ะแม่ แค่นี้ก็เยินจะแย่แล้ว”
“จะให้แม่บอกจริงๆเหรอ ว่ายังต้องทำอะไร”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 12 (ต่อ)
เขมมิกอึ้งแล้วหลบตา
“แต่เขมไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเค้าอีก ไม่งั้น เขมก็จะ....”
“เจ็บ แต่เดี๋ยวมันก็จะหาย กับการที่ต้องอยู่กับความรู้สึกผิดไปจนตาย แม้ลมหายใจสุดท้ายก็ไม่ลืม...จะเลือกอะไร”
เขมมิกอึ้ง
“เขม....เพราะแม่อ่อนแอมาทั้งชีวิต ต้องพึ่งผู้ชายหรือใครสักคนให้เกาะยึดสุดท้ายชีวิตแม่ก็ต้องจมอยู่กับน้ำตา แต่สิ่งที่ทำให้แม่เจ็บปวดที่สุดก็คือความอ่อนแอของแม่ทำให้เขมต้องใช้ชีวิตที่มีตราบาปติดตัว....”
เขมมิกอึ้ง
“ตอนนี้เขมยังมีโอกาสแก้ตัว อย่าให้เราสองคนต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เลย เราต้องช่วยกันปลดปล่อยความรู้สึกนี้ด้วยกันนะลูก ทำเพื่อแม่ เพื่อตัวเอง...นะ”
“แม่....” เขมมิกโผเข้ากอดขนิษฐา
เขมมิกกอดขนิษฐาเอาไว้แนบแน่น เนตรนิภาและธรรมศักดิ์มองมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน
สร้อยเพชรจูงสาวิกาออกมาจะกลับบ้าน แสงสุดาตามมาง้อ
“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณพี่”
“ไม่เย็นแล้วค่ะ พอกันที แผนของคุณน้องทำให้พี่เสียหน้ามาก” สร้อยเพชรบอก
“ตอนนี้ตาใหญ่กำลังแรง รอสักหน่อยนะคะ”
“รอให้ตาใหญ่มาถอนหงอกพี่อีกเหรอคะ ลูกสาวพี่มีตัวเลือกอีกเยอะแยะมากมาย ไม่จำเป็นต้องมารอตาใหญ่เพียงคนเดียว”
“ตัวเลือกที่ไหนอีกล่ะคะคุณแม่” สาวิกาถาม
สร้อยเพชรดุ “เงียบน่า!”
สาวิกาจ๋อย
“หนูวิกา คุณแม่ไม่รอ หนูรอเองก็ได้นะลูก” แสงสุดาบอก
“ไปออกคำสั่งกับลูกกับผัวตัวเองเถอะค่ะ ไป ยัยวิกา!” สร้อยเพชรว่า
สร้อยเพชรลากสาวิกาออกไป แสงสุดาจ๋อยสนิท แสงสุดาหันหลังจะเดินเข้าบ้านก็เจอพิสุทธิ์ยืนอยู่
“ผมกะไว้อยู่แล้ว ว่าคุณต้องเก็บงำอะไรไว้อยู่”
“ก็รู้แล้วนี่!”
“หยุดได้หรือยัง”
แสงสุดาอึ้ง
“ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็นเถอะ ชีวิตของใครก็ให้คนนั้นเป็นคนเลือกทางเดินเอง เราเป็นพ่อแม่ มีหน้าที่สนับสนุน เตือนสติและประคับประคองเวลาที่เค้าล้ม คอยให้กำลังใจเค้าลุกขึ้นมาเดินต่อไปก็พอนะ” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดาอึ้งแล้วคิดทบทวน
เขมมิกกับธรรมศักดิ์เดินมาตามทางเดินในอเวนิวอย่างมุ่งมั่น
“ตัดสินใจแน่แล้วนะครับ” ธรรมศักดิ์ถาม
เขมมิกตอบทันที “ค่ะ”
“ไม่เสียดายเหรอครับ”
“ไม่ค่ะ”
“ครับ ตามนั้น”
เขมมิกจริงๆ ตื่นเต้น “ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ....ตื่นเต้น...”
“ครับ”
เขมมิกเดินเลี่ยงไปทางหนึ่ง ธรรมศักดิ์ยืนรอ
พิแสงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในอเวนิว โดยมีกนธีเดินตามอยู่ห่างๆ พิแสงหยุดเดิน กนธีก็หยุดเดินด้วย
พิแสงออกเดินต่อ กนธีก็เดินตาม พิแสงหยุด กนธีก็หยุด
“เฮ้ย! จะเดินๆหยุดๆอีกนานมั้ย” กนธีถาม
“ใครใช้ให้แกตามฉันมา” พิแสงถาม
“พ่อแกไง”
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ไม่ได้ คนอกหักห้ามอยู่คนเดียว ความเสี่ยงสูงมากที่จะทำอะไรเพี้ยนๆ”
“เคยอกหักหรือไงวะ ถึงได้รู้”
“ทำไมจะไม่รู้ เพราะเพิ่งหักมาสดๆร้อนๆเลย”
“อะไรนะ แกอกหัก? กับใคร?”
“อย่ารู้เลย รู้แค่เพียง แกต้องมีฉัน และฉันต้องมีแก”
ขมมิกเดินเข้ามาในร้าน เธอมองไปรอบๆ แต่ยังไม่เห็นพิทยา พนักงานเดินเข้ามาต้อนรับแล้วเดินนำไปที่โต๊ะด้านใน เขมมิกเดินเข้าไปโดยหันหลังให้กับทางหน้าร้าน พิแสงเดินเข้ามา พนักงานเข้ามาต้อนรับ พิแสงกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อเลือกทำเลที่จะสังเกตโต๊ะเขมมิกได้โดยที่ไม่สะดุดตา
“ผมขอโต๊ะทางด้านโน้น”
“เชิญค่ะ”
พิแสงเดินไปนั่งโดยหันหลังให้ทางเดิน พนักงานยื่นเมนูให้ พิแสงรับมา เขมมิกนั่งลงที่โต๊ะ เธอพยายามมองหาพิทยาโดยหันมาทางพิแสง พิแสงใช้เมนูบังหน้าตัวเอง เขมมิกมองผ่านเลยไปโดยไม่เห็นพิแสง
พิทยาเดินเข้ามา พิแสงเห็นพิทยาก็อึ้งและตกใจ พิทยาเห็นเขมมิกอยู่ที่โต๊ะด้านใน พิทยาเดินผ่านโต๊ะพิแสงเข้าไปหาเขมมิก พิแสงนั่งหน้าเครียดเพราะคิดว่าพิทยากำลังนัดเขมมิกเพื่อสวมเขาให้พิสินีย์
พิทยานั่งลงตรงข้ามเขมมิก เขมมิกยิ้มสดใสให้พิทยา เธอดูสวยมากท่ามกลางแสงเทียน ดอกไม้ ในร้านหรูโรแมนติกแบบนี้ พิทยาตะลึงในความสวยของเขมมิก เขามองเธอค้างเพราะพูดไม่ออก เขมมิกขำน้อยๆพองาม
“เอาแต่มองแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็เข้าใจผิดเอาหรอกว่าคุณ...กำลังตะลึง” เขมมิกว่า
“ผมยอมรับว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” พิทยาบอก
“ฉันทำให้คุณตะลึงได้ ดีจัง...”
“ดียังไง” พิทยาถาม
เขมมิกเอื้อมมือมาจับมือพิทยา “คุณอาจจะใจอ่อนง่ายขึ้น เมื่อฉันขอโอกาสจากคุณ”
พิทยาอึ้ง นิ่ง และไม่ตอบอะไร เขมมิกแอบลุ้นว่าพิทยาจะเชื่อและใจอ่อนหรือไม่
พิแสงนั่งมองพฤติกรรมของพิทยาและเขมมิกด้วยความไม่พอใจ
“นายพีท...แกสวมเขาให้น้องสาวฉัน”
พิแสงจะลุกเดินมาเอาเรื่อง
พิทยาชักมือกลับแล้วลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปทันที พิแสงชะงักแล้วรีบหันหลังหลบไม่ให้พิทยาเห็นหน้าเขา เขมมิกตกใจและไม่พอใจจึงรีบตามพิทยาออกไปทันที เขมมิกเดินผ่านพิแสงแต่ไม่เห็นพิแสง พิแสงแปลกใจแล้วรีบตามไป
เขมมิกเดินเร่งฝีเท้าตามพิทยามา พิแสงเดินตามเขมมิกมาในระยะปลอดภัย
“พีทคะ เดี๋ยวก่อนค่ะ” เขมมิกเรียก
พิทยาชะงักแล้วหันมา “คุณต้องการอะไรจากผม”
เขมมิกอึ้ง
“ขอโอกาสจากผมเหรอ...โอกาสอะไร...เพื่ออะไร?”
“ฉันเหงา!”
พิทยาอึ้ง พิแสงก็อึ้ง
“ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก กับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำยอมกลายเป็นผู้หญิงลวงโลก โกหก ปลิ้นปล้อน...เพื่อเงิน”
พิแสงถูกกระตุ้นต่อมเจ็บปวดอีกครั้ง
“ฉันไม่ใช่หญิงเหล็ก กินอุดมคติ รักศักดิ์ศรี มีศีลธรรมหรอกนะพีท ฉันสร้างภาพให้คนเห็นว่าฉันเป็นอย่างนั้น เพื่อให้ตัวเองดูดี แต่จริงๆแล้ว ฉันอ่อนแอ ฉันกลัว ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว แต่อยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆฉัน”
พิแสงเจ็บปวดกับคำพูดของเขมมิกแล้วก็รู้สึกขยะแขยง
เขมมิกพูดต่อ “แล้วฉันก็คิดได้ว่า....ฉันไม่ควรปล่อยให้คุณหลุดมือไป พีทคะ...ฉันไม่เคยลืมคุณ ฉันยังรักคุณ คุณคือรักครั้งแรกและจะเป็นรักครั้งสุดท้ายของฉัน”
พิทยาอึ้ง
พิแสงน้ำตาซึม แล้วน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างช้าๆ ด้วยความสะเทือนใจ
ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขมมิกสารภาพรักกับพิแสงย้อนกลับมาอีกครั้ง
ตอนนั้นเขมมิกสบตาพิแสงนิ่งนาน
“ฉันดีใจที่รักครั้งแรก และอาจจะเป็นรักครั้งสุดท้ายของฉัน...เป็นคุณ” เขมมิกบอก
เเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น พิแสงก็ยิ้มเยาะตัวเอง พิทยาจับมือเขมมิกแล้วมองหน้าเขมมิกอย่างลึกซึ้ง
พิแสงลุ้นเพราะกลัวว่าพิทยาจะตอบรับเขมมิก ส่วนเขมมิกยิ้มรอ
“ผมเสียใจด้วยนะเขม” พิทยาบอก
“อะไรนะ?” เขมมิกถาม
“ตอนนี้...ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ ผมขอโทษ”
เขมมิกอึ้งด้วยความรู้สึกผิดหวัง ส่วนพิแสงสะใจ พิทยาเดินจากไปทันทีโดยทิ้งเขมมิกให้ยืนโดดเดี่ยว พิแสงยืนมองแล้วยิ้มเยาะอยู่
เขมมิกหัวเสียมาก
“เหมือนมีหินก้อนเท่าบ้านหล่นใส่เลยอ่ะแม่! ตึง!!”
ขนิษฐานั่งปักผ้าไปหัวเราะไปเพราะขำกับท่าทางของเขมมิก เนตรนิภาเดินเข้ามาพร้อมยื่นแอ๊ปเปิ้ลให้เขมมิก เขมมิกตีหน้าดุใส่
“โทษที ลืมไปว่าแกเกลียดแอ็ปเปิ้ล” เนตรนิภาบอก
“เดี๋ยวนี้ทำบาปไม่ขึ้นไงไม่รู้” เขมมิกว่า
“เอาน่า อย่าเพิ่งถอดใจ มารยาหญิงมีตั้งร้อยเล่มเกวียน แกเพิ่งงัดมาใช้แค่ไม่พี่เกวียนเอ้ง!”
“หรือว่า...พีทจะไม่สนฉันแล้วจริงๆ หรือว่า...จริงๆแล้วพีทเป็นคนดี หรือว่า”
ขนิษฐารีบแทรก “หรือว่าจริงๆแล้วผู้ชายเดี๋ยวนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว จนผู้หญิงอย่างเราตามไม่ทัน”
“แม่หมายความว่าไง” เขมมิกถาม
“ตาพีทอาจจะกำลังเล่นเกม ก่อนหน้านี้เพิ่งจะมาขอโอกาส ยื่นความช่วยเหลือให้เขม เค้ารักและรอเขมอยู่เสมอ แต่จู่ๆ ก็ตัดบัวไม่เหลือใยได้ในเวลาอันรวดเร็ว....มันน่าแปลกมั้ยล่ะ”
“ป้าพูดถูก มีแต่นายหัวของแกนั่นแหละมั้ง ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรกับเค้าเลย คุยด้วยคิดว่าคุยกับไม้บรรทัด” เนตรนิภาว่า
“แต่ก็อย่าไว้ใจ หลังจากอกหักอย่างแรง นายหัวของเขมอาจจะกลายเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักเลยก็ได้” ขนิษฐาบอก
“ถ้าคุณพิแสงต้องกลายเป็นคนที่เขมไม่เคยรู้จักขึ้นมาจริงๆ ก็ขอให้ปากเสียมากกว่าเดิม โรแมนติกน้อยกว่าเดิม เป็นคนดีน้อยกว่าเดิม จะได้ไม่มีใครรัก จะได้เหลือไว้ให้เขมคนเดียว”
“เห็นแก่ตัวสุดๆอ่ะ!” เนตรนิภาว่า
“ถ้าคิดอย่างนี้แล้วสบายใจ ก็ปล่อยให้เค้าคิดไปเถอะหนูเนตร” ขนิษฐาบอก
“แม่อ่ะ...”
“แล้วแกจะทำยังไงต่อเรื่องพีท” เนตรนิภาถาม
“รีบๆเข้านะลูก อย่าลืมว่าเวลาของเราเหลือน้อยเต็มที” ขนิษฐากำชับ
เขมมิกอึ้งแล้วก็หน้าม่อยลง
“เขมไม่มั่นใจเลยว่าเขมจะทำได้”
“ต้องได้! แผนชั่วของเขมจะต้องสำเร็จ เชื่อแม่!” ขนิษฐาบอก
“รู้สึกดีพิลึก ไม่เคยเห็นแม่ที่ไหนให้กำลังใจลูกทำชั่วเหมือนแม่ตัวเองเลย”
“ทำชั่วเพื่อกระชากหน้ากากคนชั่ว ลบกับลบ ผลลัพธ์คือบวก เคยเรียนเลขป่ะ” เนตรนิภาถาม
“ตกเลข! แต่ท็อปอังกฤษ กับพุทธศาสนา” เขมมิกบอก
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น เขมมิก ขนิษฐาและเนตรนิภาประหลาดใจว่าใครมา
พิแสงกำลังจะเคาะประตูห้อง แต่พิสินีย์เปิดประตูห้องออกมาพอดี
“มีอะไรคะพี่ใหญ่”
“พีทล่ะ” พิแสงถาม
“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ วันนี้มีงานแถลงข่าวเปิดตัวเชฟคนใหม่ของสายการบิน พีทต้องเป็นตัวแทนคุณพ่อค่ะ”
พิแสงเซ็งที่คลาดกับพิทยา เขาสังเกตเห็นพิสินีย์หน้าซีด
“ไม่สบายหรือเปล่า” พิแสงถาม
“นิดหน่อยค่ะ จะลงไปหายาทาน แล้วว่าจะนอนพักสักหน่อยค่อยไปออฟฟิศ”
“นายพีทรู้หรือเปล่าว่าเราไม่สบาย”
“ไม่ค่ะ ก็บอกแล้วไงคะว่านิดหน่อย ไม่อยากเอาเรื่องไปรบกวนพีท เค้ายุ่งพอแล้ว”
“สินีย์...” พิแสงเรียก
“คะ”
“กับพีท มีความสุขดีอยู่มั้ย”
พิสินีย์ตอบทันที “ไม่ค่ะ”
พิแสงอึ้ง
พิสินีย์ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข “แต่ดีมากค่ะพี่ใหญ่”
“เอาจริงๆนะ” พิแสงถามย้ำ
“ค่ะ สินีย์มีความสุขทุกวันที่ได้อยู่กับพีท เค้าไม่เคยทำให้สินีย์เสียใจเลย ตั้งแต่ที่เราทะเลาะกันคราวนั้น พีทขอเวลาสินีย์อีกแค่ไม่กี่เดือน แล้วเค้าจะทำงานให้น้อยลง จากนั้นเราวางแผนจะมีลูกกันค่ะ”
“พี่ดีใจด้วยนะ ที่เห็นเรามีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข พี่รักพวกเราทุกคนมากนะ”
พิสินีย์แปลกใจ ที่จู่ๆพิแสงก็บอกความรู้สึกของตัวเองแบบนี้ “ค่ะ สินีย์รู้ พวกเรารักกันมาก”
“และพี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำลายชีวิตครอบครัวของเราเด็ดขาด”
พิแสงมีความคิดบางอย่างที่จัดการกับเขมมิก พิสินีย์ประหลาดใจกับท่าทีของพิแสงมาก
เขมมิกเดินออกมาแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นพิทยายืนอยู่หน้าบ้าน
“พีท...”
“ใช่...ผมเอง”
พิทยายิ้มอย่างดีใจให้เขมมิกซึ่งกำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตก
เขมมิกเดินมากับพิทยา
“มาหาฉันอีกทำไมคะ ในเมื่อคุณ...” เขมมิกงง
พิทยาตัดบท “ผมจำเป็นต้องปฏิเสธคุณ”
เขมมิกไม่เข้าใจ “คะ??”
“คุณพิแสงตามคุณมา รู้ตัวหรือเปล่า”
เขมมิกอึ้งไปเพราะตกใจ
ภาพในอดีตย้อนกลับมา พิทยาเดินคุยมือถือมาแล้วเดินเลี้ยวไปทางหน้าร้านอาหาร
“ผมกำลังจะถึง คุณเข้าไปก่อนได้เลย”
พิทยาวางสายแล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพิแสงกำลังเดินเข้าไปในร้าน พิทยาตกใจและมั่นใจว่าพิแสงต้องตามเขมมิกมาแน่ๆ จึงยืนหาทางออกอยู่ครู่หนึ่ง
พิทยาเดินเข้ามาในร้าน เขาเหลือบเห็นพิแสงนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง พิทยาทำเป็นมองไม่เห็นพิแสงแล้วเดินผ่านโต๊ะพิแสงไป หางตาพิทยาเห็นพิแสงพยายามปิดบังตัวเองอยู่ พิทยาแอบยิ้มเยาะแล้วเดินผ่านพิแสงไปหาเขมมิก
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน เขมมิกยืนอึ้งเพราะไม่คิดว่าพิแสงจะตามมา
“เค้าคงยังไม่ลืมคุณ” พิทยาบอก
เขมมิกคอตกหน้าเสียเพราะเท่ากับสิ่งที่เธอทำยิ่งดูเป็นนางมารร้ายในสายตาของพิแสง
“จบแล้วล่ะ!” เขมมิกบอก
“อะไรจบ..เขม”
เขมมิกรีบแก้ตัว “ฉันหมายความว่า...ถ้าเค้าตามฉันมาขนาดนี้ ได้ยินฉันพูดกับคุณขนาดนั้น....เค้าคงจบกับฉันเรียบร้อย โดยไม่ต้องยืนยันเป็นคำพูด”
“แล้วคุณล่ะ”
“ฉันอาจจะรู้สึกชอบเค้าอยู่บ้าง...แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อเงิน”
“แต่สำหรับผม...ผมไม่เคยจบ”
เขมมิกอึ้ง “พีท....”
“แต่ผมพูดอย่างที่ใจคิดในตอนนั้นไม่ได้ ทั้งๆที่ผมอยากจะกอดคุณ และบอกคุณว่า...ผมพร้อมที่จะเป็นคนๆนั้นของคุณเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะผมรักคุณมาก เกินกว่าจะปล่อยคุณไปได้ มันอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่ผม...ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้เลย”
“พีท....ในเมื่อคุณรักฉันมากขนาดนี้ แล้วคุณทิ้งฉันไปแต่งงานกับคุณพิสินีย์ทำไม”
“ตอนนี้ผมต้องรีบไป.... เราพบกันใหม่อีกครั้งได้มั้ย แล้วผมจะอธิบายเหตุผลทั้งหมดให้คุณฟัง”
“เหตุผลที่เป็นความจริง เพราะฉันอยากให้เราสองคนเลิกโกหก ถ้าหากจะกลับมาคืนดีกัน”
“แต่คุณอาจจะเกลียดผม” พิทยาบอก
“ไม่ค่ะ ฉันจะเข้าใจคุณ เราจะอยู่เคียงข้างกัน เราจะเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะฉันรักคุณ และฉันจะมีแต่คำว่าให้อภัยสำหรับคนที่ฉันรัก”
“เขม....”
พิทยาซาบซึ้งกับคำพูดของเขมมิกจึงดึงตัวเขมมิกเข้ามากอด เขมมิกค่อยๆกอดตอบพิทยาด้วยความรู้สึกสงสารพิทยาเหลือเกิน
เนตรนิภานั่งมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างรอคอยเพราะหวังให้กนธีโทรมาหา ขนิษฐาเดินเข้ามาถามอย่างร้อนใจ
“หนูเนตร...เขมกลับมาหรือยัง โทรมาบ้างมั้ย”
เนตรนิภายังใจจดจ่อกับมือถือจนไม่ได้ยินที่ขนิษฐาถาม
ขนิษฐาเรียกดังขึ้น “หนูเนตร!”
เนตรนิภาสะดุ้ง “คะ?”
“เหม่อคิดถึงใครอยู่ลูก ป้าถามถึงไม่ได้ยิน”
“เอ่อ..คิดถึง...”
“รอสายใครอยู่”
“เอ่อ..รอสาย...เอ่อ...เฮ้อ...บ้าชะมัด หนูทำตัวงี่เง่าแบบนี้ได้ไงเนี่ย รู้ทั้งรู้ว่าเค้าโกรธ เลิกคบ ก็ยังจะหวังให้เค้าโทรมาหา สักนิดก็ยังดี หนูบ้าไปแล้วใช่มั้ยคะป้า”
“คิดถึงคนที่ทำให้เราคิดถึง ไม่ได้บ้าหรอกจ๊ะ”
เนตรนิภายิ้มออก
“แต่ถ้าคิดถึงเค้า แล้วไม่โทรไปทั้งๆที่อยากโทร อาจจะทำให้บ้า เข้าใจมั้ย”
เนตรนิภาอึ้ง “ไม่ค่ะ หนูจะไม่โทร และหนูจะไม่ทำให้ตัวเองเป็นบ้า”
เนตรนิภาหยิบมือถือแล้วเดินออกไป ขนิษฐามองตามเนตรนิภาไปอย่าง ขำๆ
กนธีนั่งมองมือถือของตัวเองเพราะตัดสินใจไม่ถูกว่าจะโทรดีหรือเปล่า
“โทร...ไม่โทรดีกว่า เอ๊ะ หรือว่าโทรดี...อย่าโทรเลย เลิกคบคือเลิกคบ!”
กนธีรู้สึกสบายใจขึ้น เขาหันไปแล้วก็สะดุ้งสุดตัวที่เห็นสร้อยเพชรเดินหน้าเครียดเข้ามา กนธีรีบลุกขึ้นจะเดินหนี
“ตาธี!!! จะหนีไปไหน!”
“ไม่ได้หนีคร้าบบ”
สร้อยเพชรเดินเข้ามาประกบ “ไม่ได้หนี แล้วทำไมเห็นแล้วไม่ไหว้ทำความเคารพ”
“สวัสดีครับคุณแม่ จู่ๆก็มา ไม่บอกไม่กล่าว ผมเลยตกใจ ไหว้ไม่ถูกเลย”
“ฉันต้องการเจอลูกสาวฉัน เอาไปขังล้างสมองอยู่ที่ไหน”
“คุณแม่ครับ วิกาโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วนะครับ”
สร้อยเพชรมองกนธีแบบดุๆ ที่เขาพูดจาหยาบ
“ขอโทษครับ วิกาโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองประมาณหนึ่งแล้ว ไม่มีใครจับไปขังหรือล้างสมองได้หรอกครับ น้องเค้าไม่ยอมหรอก”
“แต่เธอรู้เห็นเป็นใจให้ลูกสาวฉันหนีออกจากบ้านมาที่นี่!”
“ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละครับ จู่ๆก็น้องก็มาเอง เหนื่อยอ่ะ...ไปคุยกันเองดีกว่าครับ
“ฉันยังเคลียร์กับเธอไม่จบ..ฉันจะ...”
กนธีไม่อยากฟังคำบ่นจึงจูงมือสร้อยเพชรเดินลิ่วไปทางหนึ่งทันที
“ตาธี! อย่าคิดว่าลากฉันให้เดินเร็วๆ แล้วฉันจะเลิกด่าเธอนะ ฉันด่าได้!”
กนธีจูงมือสร้อยเพชรที่ยังด่าไม่เลิกไปตามทาง
“รู้ว่าน้องหนีมา แล้วทำไมไม่โทรบอก ทำไมต้องรอให้โทรมา หา!!”
“โอย” กนธีเซ็ง “เยอะครับเยอะ! เยอะ! เยอะ!!”
“อยากให้ด่าเยอะๆ? ได้!! รู้มั้ยว่าฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ หัวใจจะวายตาย &%^$#@*&(())_+(&%%^&^%$@#%&(*)”
พิแสงนั่งใช้ความคิดหาทางจัดการเรื่องของเขมมิกที่อาจจะเข้ามาป่วนชีวิตคู่ของพิทยาและพิสินีย์อยู่ที่มุมหนึ่งในบ้านแสงสุดา แสงสุดายืนมองพิแสงอยู่จากมุมหนึ่งด้วยความเป็นห่วง พิสุทธิ์เดินเข้ามา
“มาแอบดูลูกอยู่ทำไมคุณ” พิสุทธิ์ถาม
“ตาใหญ่เอาแต่นั่งอยู่แบบนั้น ไม่รู้คิดอะไรของเขาอยู่” แสงสุดาบอก
“เรื่องขายฟาร์มล่ะมั้ง....”
“คิดว่าไปพูดกับตาใหญ่ให้เปลี่ยนใจได้แล้วซะอีก”
“เค้าบอกว่า...ไม่รู้จะทำไปเพื่อใครอีกแล้ว สัญญาที่ให้ไว้กับปู่ว่าจะรักษาฟาร์มไว้จนตัวตายก็เป็นโมฆะ เพราะตอนนี้เค้าก็เหมือนคนที่ตายทั้งเป็น”
แสงสุดาอึ้งเพราะนึกสงสารพิแสง
“อ้อ..คุณพี่สร้อยเพชรโทรมาบอกว่า ถึงพัทลุงแล้ว กำลังจะไปคุยกับหนูสาวิกาให้กลับกรุงเทพ ไม่ต้องเป็นห่วง” พิสุทธิ์บอก
“แม่ลูกเค้าจะคุยกันเข้าใจมั้ยคะ”
“หนูวิกาเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย คงเข้าใจได้ไม่ยากหรอก”
“ก็หวังจะเป็นอย่างนั้น”
พูดจบแสงสุดาก็หันมามองพิแสงด้วยความสงสารและเห็นใจเหมือนเดิม พิสุทธิ์ยืนอยู่เป็นเพื่อนแสงสุดาต่อไปเงียบๆ ด้วยความกลุ้มใจ
สาวิกาทะเลาะกับสร้อยเพชร
“วิกาไม่กลับค่ะ!”
“วิกา อย่าดื้อกับแม่นะ!” สร้อยเพชรว่า
“วิกาไม่ได้ดื้อค่ะ แต่วิกากำลังแสดงจุดยืนให้คุณแม่เห็น ถ้าคุณแม่ยังบังคับให้วิกาเดินสายดูตัวกับใครต่อใครอีก วิกาจะไม่กลับบ้าน!”
สร้อยเพชรอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าสาวิกาจะแข็งข้อ สาวิกาพยายามอย่างมากที่จะทำเข้มแข็งต่อหน้าแม่ทั้งๆที่ในใจของเธอตุ๊มๆต่อมๆ กนธีแอบดูอยู่จากมุมหนึ่งแบบลุ้นไปด้วย ปริญญ์เดินเข้ามาหากนธี
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ” ปริญญ์ถาม
“เดือดเลือดพล่านเลย ไอ้หมอเอ้ย!”
กนธีและปริญญ์เฝ้ามองสถานการณ์ต่อไปด้วยความเป็นห่วง เสียงมือถือของกนธีดังขึ้น กนธีสะดุ้งและโมโห
“ใครโทรมาตอนนี้วะเนี่ย จังหวะนรกที่สุด!”
กนธีตะปบมือถือไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา แล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปทิ้งปริญญ์ให้ซุ่มอยู่เพียงคนเดียว
กนธีรีบรับสายโดยไม่ได้ดูเบอร์
“สวัสดีครับ!!! กนธีครับ!!! ใครครับ!!”
ปลายสายเงียบ
“ฮัลโหล??” กนธีแปลกใจแล้วก็ดูเบอร์อีกทีแล้วเขาก็อึ้ง “เนตรนิภา....”
เนตรนิภาที่อยู่บ้านขนิษฐายืนอึ้งเพราะพูดไม่ออก
กนธีก็ยืนอึ้งเพราะพูดไม่ออกเหมือนกัน
ทั้งสองคนต่างยืนอึ้งเพราะพูดไม่ออกอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่มีใครยอมวางสาย
สาวิกาค่อยๆรวบรวมความกล้าเข้ามากราบที่อกสร้อยเพชร
“วิกาขอโทษนะคะคุณแม่....ที่วิกาเถียงคุณแม่ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่วิกากล้าที่จะพูดมันออกมา”
“ใครสั่งใครสอนแกให้กล้าเถียงแม่! หา!”
ปริญญ์สะดุ้ง
“ข้างในของวิกาเป็นคนบอกให้วิกาทำแบบนี้ค่ะ” สาวิกาบอก
“ฉันไม่เชื่อ! มันต้องมีใครเสี้ยม ให้แกแข็งข้อกับแม่ ไม่เชื่อแม่ อยากให้แกแหกคอก ใจแตก เสียคน!”
ปริญญ์ปาดเหงื่อเพราะรู้สึกว่าช่างเป็นข้อหาที่รุนแรงเกินจริง
สาวิกาพูดต่อ “คุณแม่ใจเย็นๆนะคะ ไม่มีใครเสี้ยม หรือสั่งสอนวิกาทั้งนั้น แล้วที่วิกายังไม่อยากจะแต่งงาน ก็เพราะวิกาอยากทำงาน หรือไปเรียนต่อ มันทำให้เสียคนตรงไหนคะ”
ปริญญ์ยกนิ้วโป้งกดไลค์ให้สาวิกา
ทันใดนั้น พ่อของสาวิกาก็เดินเข้ามาหาสร้อยเพชรและสาวิกา
“ลูกมันพูดถูก!”
สร้อยเพชรตกใจ “คุณ!”
“คุณพ่อ!”
ปริญญ์อึ้ง
“มาได้ยังไง ไม่ไปประชุมคณะรัฐมนตรีเหรอคะ” สร้อยเพชรถาม
“ผมแจ้งให้ผู้ช่วยประชุมแทนผมแล้ว”
“คุณจะขาดประชุมทำไม เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า เรื่องที่บ้านฉันจะดูแลเอง”
“ในเมื่อครอบครัวผมเอง ยังดูแลให้เรียบร้อยไม่ได้ แล้วใครจะเชื่อน้ำหน้าผมให้ไปจัดการดูแลเรื่องของบ้านเมือง...ผมควรจะต้องช่วยคุณดูแลลูก”
“ช่วยดูแลหรือก้าวก่ายกันแน่!” สร้อยเพชรว่า
พ่อสาวิกาอึ้ง สาวิกาอึ้ง ปริญญ์ก็อึ้ง ความตึงเครียดหนักบังเกิดขึ้น
กนธีและเนตรนิภายังคงถือมือถือนิ่งเพราะพูดไม่ออกกันทั้งสองคน แต่ก็ยังคงไม่มีใครวางสาย ทั้งสองต่างฟังเสียงหายใจของกันและกันไปอย่างเงียบๆ
สร้อยเพชรเดินหนีสาวิกาและพ่อมา
“เชิญคุณดูแลไปเลยคนเดียว ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีกแล้ว” สร้อยเพชรว่า
“ใจเย็นๆสิคุณ” พ่อสาวิกาบอก
“คุณแม่ขา ขอร้องนะคะ เราสามคนคุยกันดีๆได้มั้ยคะ” สาวิกาขอร้อง
สร้อยเพชรหยุดแล้วหันมา “ได้ ฉันจะใจเย็น ฉันจะพูดดีๆ ฟังนะ กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
ลูกค้าและพนักงานแถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
“ไม่อายชาวบ้านบ้างหรือไง !”
“อายสิ! ถึงได้ให้กลับบ้านอยู่นี่ไง ไปคุยกันที่บ้าน!”
“แต่....คุณแม่ยังไม่ยอมรับความคิดเห็นของวิกา วิกาไม่กลับ!”
สร้อยเพชรโมโห “วิกา!”
สาวิกาทำท่าจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ไม่ยอมเดิน
“ถ้าไม่กลับวันนี้ ก็ไม่ต้องกลับไปอีกเลยนะ!”
สร้อยเพชรเดินออกไป สาวิการ้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ พ่อสาวิกาปลอบใจ
“กลับบ้านก่อนนะลูก”
สาวิกาลังเล “แต่....”
“พ่อสัญญา...ว่าพ่อจะให้ความยุติธรรม การบังคับใจให้ใครทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ จะไม่มีทางเกิดขึ้นในบ้านของเราอีก พ่อสัญญา”