แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 11
เขมมิกเดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ เธอตัดสินใจออกเดินไปเรื่อยๆ
แสงสุดาเข้ามาถามไถ่พิแสง
“ตาใหญ่ เป็นไงบ้างลูก เจ็บมากมั้ย โถๆๆ แม่หัวใจจะวายพอได้ยินว่าลูกเจ็บสาหัส”
“ไม่ได้สาหัสเลยครับ อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้ ใครบอกคุณแม่กัน” พิแสงถามกลับ
“ก็ยัยน้องเล็ก!” แสงสุดาบอก
“สำหรับน้องเล็ก พี่ใหญ่เป็นอะไรนิดนึง ก็คือสาหัสค่ะ” พิสารีบบอก
“แล้วก็มาทำให้ทุกคนกลัว! กระต่ายตื่นตูม!” แสงสุดาว่า
พิสาจ๋อย
“พี่ใหญ่ไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว..มันเกิดเรื่องขึ้นได้ยังไงคะ” พิสินีย์ถาม
“จู่ๆพวกมันก็เข้ามาทำร้ายพี่กับเขมมิก” พิแสงเล่า
พิสารีบแทรก “ตัวซวย!”
“น้องเล็ก!” พิแสงไม่พอใจ
“ก็มันจริงนี่ ถ้าพี่ใหญ่ยังคบกับมัน จำคำน้องเล็กไว้เลย ว่าชีวิตพี่ใหญ่จะไม่มีทางมีความสุข เพราะผู้หญิงคนนั้นมันเป็นงูพิษ!”
“ถ้ายังไม่หยุดด่าคนอื่นต่อหน้าพ่อ ก็ออกไปข้างนอก!” พิสุทธิ์ว่า
พิสาหนีไปนั่งหน้างอ
พิทยาพูดขึ้น “แต่ผมเห็นด้วยกับน้องเล็กนะครับ เพราะ....”
พิแสงมองพิทยาอย่างไม่พอใจแล้วพูดขัด “นินทาผู้หญิงลับหลัง ผมคิดว่าไม่ใช่นิสัยที่ดีนัก และไม่ยุติธรรมกับคนที่ถูกพูดถึง เพราะเค้าไม่มีสิทธิ์ได้แก้ต่าง”
“แต่คุณใหญ่ก็น่าจะฟังผมไว้บ้าง ในฐานะที่ผมรู้จักเขมมิกมาก่อน ถ้าเขมมิกดีจริง ผมคงไม่ทิ้งเธอมา”
“และถ้ามันดีจริง มันคงไม่ไปรับจ็อบทำลายชีวิตคู่ของใคร!” พิสาเสริม
“พี่ไม่สนใจอดีต!” พิแสงบอก
พิสากับพิทยาอึ้งไป
“ทุกคนเคยพลาด แล้วไง...ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญที่สุด” พิแสงพูด
“พอเถอะๆ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย แม่อยากให้ตาใหญ่พักผ่อนเยอะๆ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง”
พิสินีย์เข้ามาแตะแขนพิทยาเป็นเชิงปลอบให้ใจเย็น พิทยายิ้มรับแล้วพยายามเก็บความไม่พอใจ
“ผมขอตัวก่อนแล้วกัน” พิทยาบอก
พิสินีย์เป็นห่วง “พีทคะ....”
“ผมไม่เป็นไร...ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณใหญ่ดี ผมไม่โกรธหรอก”
พิทยาเดินออกไปทันที พิสินีย์ถอนใจ พิแสงมองตามพิทยาอย่างไม่ไว้ใจ
เขมมิกนั่งซึม พิทยาเข้ามายืนข้างหลังเขมมิก
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ” พิทยาพูด
เขมมิกสะดุ้งแล้วหันไปเห็นพิทยา เขมมิกเดินหนีทันที พิทยาจับแขนของเขมมิกเอาไว้
เขมมิกพูดเสียงเด็ดขาด “ปล่อยค่ะ!”
“ขอโทษ....แต่อย่าเดินหนีผมได้มั้ย”
“ฉันไม่ได้หนี แต่ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับใครตอนนี้”
“อารมณ์เสีย ที่คุณพิสาพูดจี้ใจดำงั้นเหรอ”
“อย่าคิดว่ารู้ดี แล้วมาวิจารณ์”
“งั้นก็ตอบมาให้ผมเข้าใจได้ถูกต้องหน่อยสิ....เรื่องคุณกับคุณพิแสง มันเป็นไปได้ยังไง”
“ในเมื่อเรื่องของคุณกับคุณพิสินีย์มันยังเป็นไปได้ แล้วทำไมเรื่องของฉันกับคุณพิแสงจะเป็นไปไม่ได้”
พิทยาไม่พอใจ “นี่คุณ...”
“แต่ฉันไม่ได้สวมเขาให้คุณเหมือนที่คุณทำกับฉันหรอกนะ ฉันทำเรื่องทุเรศๆอย่างนั้นไม่เป็น” เขมมิกว่า
“คุณลืมความรักของเราได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอเขมมิก”
“ค่ะ ต้องขอบคุณในความเลวของคุณ ที่ทำให้ฉันหายจากอาการอกหักได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ”
พิทยาพูดกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจแค้นมาก “ก็ดี....แต่ก็อย่าตั้งความหวังกับความรักครั้งนี้ของคุณให้มากนักแล้วกัน เพราะมันคงไม่ราบรื่นนัก อย่างที่เห็น”
“ฉันจะทำทุกวันที่ฉันกับคุณพิแสงยังรักกันให้ดีที่สุด” เขมมิกจงใจเย้ยพิทยา “ฉันจะรักและดูแลเค้าอย่างจริงใจ ไม่คาดหวัง ไม่ขออะไรตอบแทน ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของเราสองคนจะลงเอยยังไง”
“คุณรักเค้ามาก” พิทยาถาม
“เค้าเป็นทั้งรักครั้งแรก เป็นรักแท้ และจะเป็นความรักครั้งสุดท้ายของฉัน” เขมมิกบอก
พิทยาอึ้งเพราะรู้สึกเจ็บปวด
“ส่วนคุณ....รักษาชีวิตคู่ในฝันของคุณไว้ให้ดี ตักตวงความสุขไว้ให้เยอะๆ ก่อนที่มันจะหลุดมือไป”
“หมายความว่ายังไง”
“ทำอะไรไว้ล่ะ”
“ผมไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดี”
“ก็ดี....ขอให้การที่คุณกับนายต่อลาภนั่นนัดพบกันเป็นเรื่องที่ดีก็แล้วกัน”
พิทยาอึ้งและตกใจ “คุณ....”
“ฉันเห็น” เขมมิกบอก
“ผมกับนายนั่นก็แค่...”
“ไม่ต้องอธิบาย แค่ฟังฉันเอาไว้...ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ฉันรัก คุณคิดจะทำอะไร ฉันไม่รู้ แต่ถ้าฉันรู้ว่าคุณทำร้ายคุณพิแสงหรือคนในครอบครัวของเค้า รู้ใช่มั้ย ว่าคนอย่างฉัน ทำอะไรได้บ้าง!”
เขมมิกยิ้มเผชิญหน้ากับพิทยาอย่างไม่หวั่นเกรง พิทยาเจ็บใจและไม่ไว้ใจเขมมิกขึ้นมาทันที
กลางดึก เนตรนิภาคุยกับเขมมิกอยู่ที่บ้านพักของพิแสง
“เล่นแหวกหญ้าให้งูตื่นขนาดนี้ แล้วงูที่ไหนมันจะกล้า!!” เนตรนิภาว่า
“ดีสิ..จะได้อยู่เฉยๆ คุณพิสินีย์เป็นคนดีที่รักพีทจริงๆ และไม่ได้ทำอะไรผิด เธอควรจะมีโอกาสได้รักพีทต่อไป” เขมมิกบอก
“ไม่อยากจะเชื่อเลย....ว่ากัปตันพีทจะ...ทำอะไรเลวๆได้”
“รู้หน้าไม่รู้ใจ ฉันยังมีแผนเลวๆกับคุณพิแสงได้ แล้วอย่างพีททำไมจะมีไม่ได้”
“เจอเรื่องแก มันทำให้ฉันไม่ไว้ใจใครเลยรู้มะ เหนื่อยกับการต้องใส่หน้ากากเข้าหากันจริงๆ”
“ตราบใดที่คุยกันแล้วมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ความจริงใจก็ต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน...แล้วหยิบหน้ากากขึ้นมาแทน....จนกว่าจะบรรลุผลประโยชน์...เมื่อนั้นหน้ากากก็หมดความหมาย ตัวตนเป็นยังไงก็คงจะได้เห็นกันหมด”
เขมมิกนิ่งไปเพราะคิดถึงเรื่องของตัวเอง
“ตอนนี้ฉันก็กำลังใส่หน้ากากแฟนที่แสนดีของคุณพิแสง” เขมมิกว่า “ฉันจะรีบสืบเรื่องของพีทกับยูเอฟ ซึ่งฉันมั่นใจมากๆว่า....ต้องเกี่ยวข้องกับคุณพิแสงในทางที่ไม่ดี ฉันจะได้เตือนให้คุณพิแสงระวังตัว”
“ต่อให้แกทำดีกับเค้ายังไง เค้าก็เกลียดแกอยู่ดี เป็นฉัน...อยู่เฉยๆดีกว่า ไม่เหนื่อย ไม่เสี่ยง”
“เค้าจะเกลียดฉันก็ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากรู้สึกผิดน้อยลงบ้าง....แค่นั้นเอง” เขมมิกบอก
เขมมิกหน้าเศร้าลง เนตรนิภาอึ้งเพราะสงสารเพื่อน
“เข้มแข็งไว้นะเขม...อีกไม่นาน มันก็จะจบ”
“อยากจะให้จบซะวันนี้พรุ่งนี้เลยซะด้วยซ้ำ...ยิ่งนับถอยหลังนานเท่าไหร่ มันยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น...”
เนตรนิภาปลอบใจเขมมิก
หลอดกับเสริมเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของพิแสง พิแสงผิดหวัง
“ทำไมเขมมิกไม่มา” พิแสงถาม
“โธ่นายหัว ใจคอจะไม่ให้คุณเขมได้พักผ่อนบ้างหรือไงคร้าบ” หลอดว่า
“แต่ถ้านายหัวเหงา คิดว่าเราเป็นคุณเขมไปพลางๆก่อนก็ได้นะครับ ตัวเอง!” เสริมแซว
พิแสงว่า “ไอ้ทะลึ่ง!”
พิแสงยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ที่ฟาร์มเป็นไงบ้าง”
“เรียบร้อยดีครับ ยกเว้น....” หลอดอึ้งไป
“มีอะไร” พิแสงถาม
“ก็....น้องน้ำหวานหนีออกจากบ้านครับ พวกเราช่วยกันตามหาก็ไม่เจอ” หลอดเล่า
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” พิแสงถาม
“เมื่อเช้าครับ เนี่ย หมอปิ๊นแกกำลังจะพาป้าอนงค์ไปแจ้งความแล้ว”
พิแสงเป็นห่วง “มีเรื่องอะไรกัน...ใครรู้บ้าง”
“ไม่มีใครรู้หรอกครับ....ถามป้าแก ก็ไม่รู้เรื่อง”
“ทำไม” พิแสงถาม
อนงค์เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ส่วนปริญญ์กับชมพู่ยืนอึดอัดอยู่ข้างๆ
“นังลูกไม่รักดี ใจคอมันจะทิ้งแม่ไปจริงหรือไง หา!!! อย่ากลับมานะ เก่งจริงก็ไม่ต้องกลับมา!!! ฮือๆ”
“งั้นก็ไม่ต้องไปแจ้งความแล้วใช่มั้ยป้า” ชมพู่ถาม
“แจ้งสิวะ! ลูกฉันหายไปทั้งคน !” อนงค์บอก
“อ้าว...ตกลง เอาไงกันแน่เนี่ย”
“ก็คนมันเสียใจ ผิดหวัง แกไม่เข้าใจหรอก เพราะแกมันไม่มีผัว ไม่มีลูก ชาตินี้ก็คงไม่มีปัญญาเข้าใจ เพราะคงไม่มีใครเอา!”
“อ้าว เฮ้ย!!! ป้า ลูกป้าหนีออกจากบ้าน แล้วมาเกี่ยวอะไรกับสเตตัสของชมพู่ด้วย”
“ชมพู่ พอเถอะ ป้าแกกำลังเสียใจ และก็ใจเสีย...อย่าไปถือเลย” ปริญญ์ห้าม
“เห็นแก่ความหล่อของหมอปิ๊นนะ ไม่งั้นชมพู่เล่นยาว”
“ป้าครับ...ไปแจ้งความกันเถอะครับ” ปริญญ์แนะนำ
“ไปสิ!!” อนงค์บอก
อนงค์จะเดินไปแต่ก็ทรุดลงไปนั่งร้องไห้อีก
“ฮื้อ!!!! นังลูกเลว ทำแม่เสียน้ำตา คอยดูเวรกรรมมันจะตามทันชาตินี้แหละ ไม่ต้องรอชาติหน้า”
ปริญญ์กับชมพู่เซ็ง
“ไม่เข้าใจอารมณ์อีป้าจริงๆ ว่ามะหมอปิ๊น” ชมพู่ว่า
“เฮ้อ.....” ปริญญ์ถอนหายใจ
อนงค์เป็นลม “โอย...ลมตี..โอย....”
ปริญญ์ปราดเข้าไปดูแลอนงค์ด้วยความตกใจ “ป้าอนงค์!!”
“โอย...มุขเป็นลมเรียกความสนใจอีกอ่ะเด่ะ หมอปิ๊น ไม่ต้องไปช่วย ปล่อยแก!!” ชมพู่ว่า
ปริญญ์เห็นอนงค์มือไม้อ่อนหน้าซีดจริง “แกเป็นจริงๆ ชมพู่”
ชมพู่ตกใจ “หา!!”
“ไปละลายยาหอมก่อน”
“ค่ะๆๆๆ”
ชมพู่วิ่งเข้าบ้านไป ปริญญ์อุ้มอนงค์ไปนอนพัก
ต่อลาภกอดและหอมวาสินีซึ่งนั่งอยู่ที่เตียงในโรงแรมไม่เลิก
“คุณกักตัวน้ำหวานไว้ทั้งวันแล้วนะคะ พอเถอะ พาน้ำหวานไปส่งบ้านได้แล้ว”
“เฮ้อ...อยากให้น้ำหวานอยู่กับผมตลอดไปเลยจริงๆนะ” ต่อลาภอ้อน
“ก็ไปขอกับแม่เลยสิคะ”
“น้ำหวานก็ต้องช่วยให้นายหัวของน้ำหวานเซ็นสัญญากับผมเร็วๆสิ ยิ่งเซ็นได้เร็วเท่าไหร่ เราก็จะได้แต่งงานกันเร็วเท่านั้น”
“นายหัวจะเซ็นหรือไม่เซ็นสัญญา เกี่ยวอะไรด้วยคะ”
“เกี่ยวสิ...สินสอดของน้ำหวานคือเงินค่าคอมมิชชั่นจากสัญญานั่นไง...เป็นล้านๆเลยนะ”
วาสินีอึ้ง หัวใจของเธอพองโตแต่ยังเก็บอาการ
“แล้ววันนั้นเราค่อยเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรา จะได้ไม่มีใครนินทาน้ำหวานได้ว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับงานของผม ดีมั้ย”
“ไม่ใช่หลอกให้น้ำหวานยอมช่วย พอได้อย่างที่ต้องการก็ทิ้งน้ำหวานไปนะคะ”
“ผมไม่ใช่คนเลวอย่างนั้นนะ ที่รัก จะอยู่กินเป็นเมียผัวกันอยู่แล้ว เชื่อใจกันหน่อยสิจ๊ะ”
“ค่ะ น้ำหวานจะเชื่อคุณ แต่ถ้ารู้ว่าคุณหลอกน้ำหวานเมื่อไหร่...คุณตายแน่!”
ต่อลาภสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาเอาจริงของน้ำหวาน เขารู้สึกกลัวขึ้นมาแต่พยายามยิ้มเอาใจเพื่อกลบเกลื่อน
เขมมิกนั่งซึมอยู่ในบ้านพักพิแสง เธอครุ่นคิดหาวิธีสืบเรื่องพิทยาแล้วก็นึกถึงธรรมศักดิ์
“ใช่แล้ว...ลุงธรรมศักดิ์ช่วยได้!!”
เขมมิกรีบหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์หาธรรมศักดิ์แต่ยังไม่ทันได้กดเสร็จก็มีสายเข้ามาพอดี เขมมิกแปลกใจ เธอมองที่หน้าจอก็เห็นเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศเลยรีบรับ
“ฮัลโหล...” เขมมิกดีใจ “ลุทซ์!!”
แสงสุดากำลังจะนอน พิสุทธิ์เข้ามาจ้องหน้า
“คุณเปลี่ยนไป!” พิสุทธิ์ว่า
“อะไร” แสงสุดางง
“คุณไม่โวยวาย ไม่หือ ไม่อือ ไม่อะไรทั้งสิ้นเรื่องที่ตาใหญ่กับเด็กเขมมิกคบกัน”
“ใครบอกว่าฉันไม่หือไม่อือ”
“ก็ผมกำลังบอกอยู่นี่ไง...หรือว่าคุณเปลี่ยนใจ ยอมรับเด็กนั่นให้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้แทนหนูสาวิกา”
“ไม่มีทางง!!”
“แล้วตกลงมันยังไง” พิสุทธ์ืถาม
“ตาใหญ่กำลังรักกำลังหลงแม่นั่น ขืนฉันไปขัดขวางตอนนี้ ตาใหญ่จะยิ่งรั้น ปล่อยไปก่อนค่ะ จนกว่า...”
“จนกว่าอะไร”
“ฉันเชื่อว่าอีกไม่นาน สองคนนั่นต้องเลิกกัน”
“ไปแช่งให้คนเขาเลิกกัน บาปตายชัก”
“ไม่ได้แช่ง แค่ทำนาย! ยังไงก็ไปกันไม่รอด ฉันมีเซ้นส์!”
“จ๊ะ ทำนายก็ทำนาย แต่ถามจริงเหอะ...ถ้าตาใหญ่และเขมมิกรักกันแน่รักกันนาน คุณจะทำยังไง”
“ไม่มีทาง!!!!! บอกแล้วไง ฉันมีเซ้นส์ และเซ้นส์ฉันต้องไม่พลาด”
“แต่ถ้าพลาดล่ะ....เซ้นส์คุณอาจจะแพ้ทางหัวใจสองคนนั่น คุณไม่เห็นเหรอว่าตาใหญ่จริงจังมากขนาดไหน คุณจะยอมรับเขมมิกได้มั้ย”
แสงสุดาอึ้ง
“ถ้าถึงวันที่คุณต้องรักผู้หญิงที่ลูกเรารัก คุณยอมได้มั้ย”
แสงสุดาหวั่นไหวแต่ก็ฝืนพูดหนักแน่น “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีทาง!!”
แสงสุดาหันไปแล้วห่มผ้านอนหันหลังให้พิสุทธิ์ พิสุทธิ์ส่ายหัวระอา
“มันก็รั้นเหมือนกันทั้งบ้านน่านแหละ เฮ้อ!!!”
พิสุทธิ์ปิดไฟนอนแต่แสงสุดายังลืมตาอยู่ในความมืดและเริ่มนึกกลัวว่าแผนตัวเองจะพลาด
ปริญญ์นั่งเฝ้าอยู่อนงค์อยู่พอมองไปก็เห็นชมพู่นั่งสัปหงก
“ชมพู่....” ปริญญ์เรียก
ชมพู่ยังไม่ตื่น
“ชมพู่!”
ชมพู่สะดุ้งตื่น “ขา!!”
“ไปพักเถอะไป เดี๋ยวฉันจะดูแลป้าอนงค์เอง”
“โอย ไม่เอาค่ะ ปล่อยหมอปิ๊นอยู่กับป้าสองต่อสอง เดี๋ยวหมอปิ๊นจะเป็นอันตราย”
“ละครมาแล้วนะ” ปริญญ์บอก
“เอางั้นเหรอคะ ก็ได้ค่ะ”
ชมพู่เดินออกไป ปริญญ์หันไปดูอนงค์แล้วค่อยๆเลื่อนผ้าห่มให้คลุมหน้าอกอนงค์ อนงค์ค่อยๆฟื้นขึ้นมาเห็นปริญญ์
“หมอปิ๊น....”
“เป็นยังไงบ้างครับป้า ดีขึ้นหรือยัง”
อนงค์พยักหน้า
“ป้าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวผมจะไปแจ้งความให้เอง”
วาสินีเดินเข้ามา
“แจ้งความเรื่องอะไรคะ หมอปิ๊น”
อนงค์โกรธวาสินีมากจึงปราดเข้าไปเอาเรื่อง
“จะเรื่องอะไร ก็เรื่องที่แกหายตัวไปไง! นังลูกเลว!”
ปริญญ์พยายามห้ามเอาไว้ “ป้าใจเย็นก่อนครับ!!”
“ทำไมแกไม่เปิดมือถือ ปิดทำไม ไปนอนกับใคร อยู่ที่ไหน! รู้มั้ยว่าทั้งฉัน คนทั้งฟาร์มตามหาตัวแกกันให้ควั่ก จนจะไปแจ้งความอยู่แล้ว” อนงค์ใส่เป็นชุด
“ไม่รู้ มีคนเป็นห่วงหนูด้วยเหรอ” วาสินีถาม
“แม่คุณ และทุกคนเป็นห่วงคุณมากนะครับ น้ำหวาน” ปริญญ์บอก
“ยังจะมาทำลอยหน้าลอยตา จะรู้สึกผิดบ้างเป็นมั้ย”
“แม่เป็นคนไล่หนูออกจากบ้านเอง หนูก็ไปแล้วไง จะเอายังไงกับหนูอีก!”
“บอกมาแกไปนอนกับใคร บอกมา!” อนงค์คาดคั้น
“ไปนอนกับผู้ชาย พอใจหรือยัง!” วาสินีบอก
อนงค์ช็อก ปริญญ์ก็ช็อก
“หนูไปนอนกับคุณต่อลาภ ตอนนี้หนูเป็นเมียคุณต่อลาภแล้ว ได้ยินหรือยัง!”
อนงค์พูดไม่ออกเพราะช็อกจนหมดสติไปอีกรอบ
“ป้าอนงค์!!”
วาสินีเริ่มได้สติ
“แม่.....”
วาสินีรีบเข้าไปดูอนงค์ทันที
เช้าวันใหม่ พิแสงยืนแต่งตัวอยู่ในห้องพักของโรงพยาบาล กนธี หลอด เสริม ยืนมองเซ็งๆ
“จะรีบกลับไปไหนวะ น่าจะนอนพักอีกสักวันสองวัน” กนธีว่า
“ฉันไม่เป็นอะไรมากแล้ว” พิแสงบอก
“คนหรือรถถังกันแน่วะเนี่ย หายเร็วชะมัด ทำไมกลัวหมูหายหรือไง” กนธีว่า
“ไม่ได้กลัวหมูหายหรอกครับ แกกลัวคนหาย” หลอดแซว
เสริมรีบมุก “วันไหนไม่ได้เจอหน้าคุณเขมนะ แกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ”
“กระสับกระส่าย คล้ายจะ...”
พิแสงเสียงดัง “เฮ้ย!!”
หลอดกับเสริมเงียบ
“ให้โทรบอกคุณเขมป่ะ ว่าแกจะกลับบ้านวันนี้” กนธีถาม
“ไม่ต้อง!”
“เอาจริงเด่ะ”
“เออ!”
“ไมวะ”
พิแสงยิ้มๆ “เซอร์ไพรส์”
“ถุย!!!”
พิแสงรีบตีหน้าขรึมเพราะกลัวกนธี หลอด และเสริมจะแซว
เขมมิกเดินออกมากับเนตรนิภา
“ฉันจะบอกทุกคนว่าไปส่งแกที่หาดใหญ่” เขมมิกว่า
“ดูลาดเลาให้ดีก่อนล่ะเขม อย่าให้เหมือนคราวที่แล้ว นี่ถ้ามีเวลาฉันก็อยากจะไปเจอลุทซ์กับแกนะ” เนตรนิภาเตือน
“เออน่ะ ไม่ต้องห่วง ไป”
เขมมิกและเนตรนิภาเดินออกไป
อ่านต่อเวลา 17.00 น.
เขมมิกและเนตรนิภาเดินออกมาแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแสงสุดายืนรออยู่แล้ว
“ท่านรอง.....” เขมมิกตกใจ
เขมมิกและเนตรนิภาไหว้แสงสุดา แสงสุดารับไหว้อย่างไว้ตัว
“ฉันมีเรื่องคุยกับเธอ”
เขมมิกสบตาเนตรนิภา
“ฉันจะไปรอข้างนอกนะ” เนตรนิภาบอก
เขมมิกพยักหน้า เนตรนิภารีบเดินออกไป
แสงสุดาคุยกับเขมมิก
“ชมพู่ไปไหน” แสงสุดาถาม
“เข้าฟาร์มค่ะตามคำสั่งของนายหัว” เขมมิกตอบ
“ดี....เข้าเรื่องเลยละกัน ฉันรู้ว่าตาใหญ่รักและหลงเธอมาก”
เขมมิกพยักหน้าอายๆ
“ฉันโอนเงินงวดที่สองให้เธอแล้ว แต่อย่าลืมข้อตกลง จบงานแล้วเธอต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับตาใหญ่อย่างเด็ดขาด ห้ามมีพันธะผูกพันใดๆทั้งสิ้น”
“ฉันไม่ลืมหรอกค่ะ”
“และขอเตือนว่า อย่าบังอาจแม้แต่จะคิดใช้ร่างกายแลกกับเดิมพันครั้งนี้”
เขมมิกไม่พอใจ “ดิฉันไม่เคยใช้ร่างกายแลกกับเดิมพันครั้งไหนๆทั้งนั้น”
“อมพระมาพูดฉันก็ไม่เชื่อ เพราะประวัติเธอมันไม่ใช่”
เขมมิกพยายามสะกออารมณ์โกรธของตัวเองที่ถูกแสงสุดาสบประมาท
แสงสุดาพูดต่อ “เธอนี่เก่งนะ ทำอีท่าไหนฮึ ตาใหญ่ถึงได้รักเธอมากขนาดนี้ ไม่ยอมฟังใครทักท้วง ต่อให้มีใจกับเธอมาตั้งแต่อยู่เมืองนอกก็เถอะ แต่ไอ้ประวัติผ่านผู้ชายมาโชกโชนอย่างเธอ มันไม่น่าจะทำให้ตาใหญ่มองข้าม”
“ท่านรองคะ....ช่วยข้ามช็อตนี้ไปเลยได้มั้ยคะ จะด้วยวิธีไหนก็ช่างมันเถอะค่ะ ไหนๆเราก็ได้ผลลัพธ์มาแล้ว”
เขมมิกอดกลั้นมาก แสงสุดาพอใจที่ได้กดดันเขมมิก
รถของฟาร์มแล่นเข้ามาถึงหน้าบ้านพักของพิแสง เนตรนิภายืนรออย่างกระวนกระวายพอหันมาเห็นรถเธอก็ไม่คิดว่าพิแสงจะนั่งมาด้วย รถจอด เสริมลงมาเปิดประตูรถให้พิแสงและกนธีก้าวลงมา กนธีรับกระเป๋าของพิแสงมาจากเสริม เสริมวิ่งขึ้นรถ หลอดขับออกไป เนตรนิภาเห็นพิแสงแล้วก็ตกใจ
“คุณพิแสง! ตายแล้ว!”
“เฮ้ย!! ตายแล้วจะกลับมาได้ยังไง แม่คุณ!” กนธีว่า
เนตรนิภาคิดจะไปเตือนเขมมิก “ไอ้เขม...”
เนตรนิภาจะเข้าบ้าน แต่กนธีเข้าไปรั้งเอาไว้
“จะไปไหน” กนธีถาม
“ไปหาเขม เขมอยู่ข้างใน” เนตรนิภาบอก
“จะกลับกรุงเทพไม่ใช่เหรอเรา” กนธีถาม
“ใช่”
“ไป ไปส่ง”
“แต่ฉันจะไปกับเขม”
“เธอน่ะต้องไปกับฉัน ให้คุณเขมอยู่กับแฟนเค้า เราน่ะหมดหน้าที่แล้ว”
“แต่....”
“ไม่ต้องแต่!”
กนธีลากเนตรนิภากับกระเป๋าของเธอปลิวออกไป เนตรนิภาเหงื่อแตก พิแสงคิดถึงเขมมิกมากจึงรีบเดินเข้าไปในบ้าน แต่แล้วชมพู่ก็เข้ามาเรียกไว้
“นายหัวขา!!”
“ว่าไง ชมพู่”
“ทำไมกลับมาแล้วอ่ะคะ หายไวจุงเบย”
“ใจมันสั่งมาให้รีบหาย”
“ว้าย!!! เซี้ยว ฟังแล้วเขิน”
พิแสงจะเดินไป ชมพู่เรียกเอาไว้อีก
“เดี๋ยวค่ะ”
พิแสงทำหน้าเข้ม “อะไรอีก”
“มีเรื่องด่วนรายงานให้ทราบค่ะ ป้าอนงค์แกป่วยมากค่ะ คราวนี้ป่วยจริงๆ”
พิแสงชะงักแล้วเริ่มลังเลระหว่างการไปหาเขมมิกกับอนงค์
แสงสุดานั่งมองเขมมิกที่หน้าเครียดมากด้วยความพอใจ เสียงมือถือของเขมมิกดังขึ้น เขมมิกสะดุ้ง
“จะรับก่อนก็ได้นะ เผื่อเป็นธุระสำคัญ” แสงสุดาว่า
เขมมิกมองหน้าจอมือถือเห็นเป็นชื่อเนตรนิกา เขมมิกกดปิดเครื่องทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องของท่านรองคงใกล้จบแล้ว เนตรรอได้ค่ะ”
“ใช่...ฉันกำลังจะเข้าประเด็นสำคัญพอดี”
เขมมิกหายใจยากลำบากเพราะรู้สึกอึดอัดมากขึ้น
กนธีลากกระเป๋าเนตรนิภาเดินมาตามทางเดิน เนตรนิภาเจ็บใจที่เขมมิกปิดเครื่อง
“ไอ้เขม จะปิดเครื่องทำไม!!! ถึงคราวซวยแล้วยังไม่รู้ตัวอีก!”
กนธียื่นหน้าเข้ามาถาม “ใครซวย!”
“ก็เพื่อนฉันน่ะสิ” เนตรนิภาลืมตัว “กำลังคุยกับท่านรองในบ้าน คุณพิแสงได้ยินเข้าล่ะซวยตายเลย โดนจับได้แหงๆ ว่าถูกท่านรองจ้างมาทำ....” เนตรนิภาชะงักแล้วรีบปิดปาก
กนธีหน้าเครียด “คุณเนตรนิภา...ผมอยากรู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เนตรนิภายังเอามือปิดปากตัวเองแน่นพร้อมกับส่ายหัว
เขมมิกนั่งบีบมือแน่น
“แต่ก่อนจะเข้าประเด็นสำคัญ....ฉันอยากจะถามเธอก่อน...” แสงสุดาว่า
“ค่ะ”
“เธอรักลูกชายของฉันหรือเปล่า”
เขมมิกอึ้ง พิแสงกำลังเดินมาจากมุมหนึ่งโดยยังมองไม่เห็นเขมมิกกับแสงสุดาที่นั่งคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่ง พิแสงเดินผ่านไป
“ว่ายังไง....เธอรักลูกชายของฉันหรือเปล่า” แสงสุดาถาม
เขมมิกตอบอย่างยากลำบากมาก “ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้รักคุณพิแสงเลยแม้สักนิด”
“แล้วอดีตรักฝังใจที่สวิตเซอร์แลนด์ของเธอกับตาใหญ่ล่ะ”
“ฉันก็โกหก...ผู้ชายจะหัวใจพองโตและอ่อนไหว ถ้าได้ยินว่าผู้หญิงยังคงมีเขาอยู่ในหัวใจไม่เคยลืมมาถึงห้าปี”
แสงสุดาปรบมือให้เขมมิก “ชื่นชมเธอในข้อนี้จริงๆ ...จำคำพูดของเธอในวันนี้ไว้ให้ดีๆนะ”
“ฉันไม่ลืมหรอกค่ะ”
“เพราะถ้าเธอลืม และคิดว่าตัวเองแน่ ดื้อด้านจะเอาลูกชายคนเดียวของฉันให้ได้ล่ะก็ ฉันจะแฉเรื่องที่เธอรับงานฉันมาหลอกให้ตาใหญ่หลงรักเพื่อเงิน!”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
เขมมิกอึ้งและพูดไม่ออก เธออยากจะร้องไห้เพราะความเจ็บปวดแต่ก็พยายามฝืนเอาไว้
“ฉันหมดเรื่องแล้ว อย่าลืมแผนการขั้นต่อไป อย่าใช้เวลานานนัก เวลาเธอมีเหลือไม่มาก ใช้ให้คุ้ม....ฉันไปล่ะ ทุกคนรอฉันอยู่ที่สนามบิน”
แสงสุดาลุกเดินออกไปทิ้งเขมมิกให้นั่งอึ้งเหมือนแบกโลกทั้งโลกเอาไว้ พิแสงยืนฟังเรื่องทั้งหมดอยู่ข้างหลังเขมมิกโดยที่แสงสุดาและเขมมิกไม่เห็น เขายืนมองเขมมิกด้วยความผิดหวัง หัวใจสลายแหลก เหลวไม่มีชิ้นดี
เนตรนิภาวิ่งหนีกนธีสุดชีวิตโดยยังเม้มปาก กนธีวิ่งไล่ตามมา
“จะหนีไปไหน มานี่เลย !!”
เนตรนิภายังวิ่งหนี กนธีวิ่งกวดเข้ามาประชิดและตีคู่
“ต๊ะเอ๋!!! ไม่รอดแล้วล่ะตะเอง! โดน!”
กนธีตะครุบตัวเนตรนิภาจนล้มกลิ้งกันไปทั้งคู่
“โอ๊ย!!”
กนธีกับเนตรนิภากลิ้งกันมาโดยเนตรนิภาทับอยู่บนตัวกนธี ทั้งสองคนอึ้งมองหน้ากัน ทั้งสองนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่ทั้งสองคุยกัน
“มีแฟนใหม่แล้ว? นายนี่มันรักง่ายลืมง่ายจริงๆนะ” เนตรนิภาว่า
“ยัง! แต่อีกหน่อยก็จะมี พบเนื้อคู่แล้ว เพิ่งดูเมื่อเช้า...เลยอารมณ์ดีไง” กนธีบอก
กนธีมองเนตรนิภาด้วยหัวใจที่อ่อนไหว แล้วนึกถึงตอนที่เธอคุยกับเขาหลังจากดูดวงกับหมอดู
“หมอยังไม่ได้บอกเลย ว่าเนื้อคู่หนูหน้าตาดีหรือเปล่าคะ” เนตรนิภาถาม
“ดีสิ! หล่อขั้นเทพเลยล่ะ!” กนธีชิงตอบ
“รู้ได้ไง!”
“ก็ที่หมอพูดน่ะ มันตัวฉันชัดๆ!”
ใบหน้าของเนตรนิภาซีดเผือด
กนธีกับเนตรนิภาพูดพร้อมกัน “ไม่จริง!!”
วาสินีคุยกับปริญญ์
“ค่ะ มันไม่จริง น้ำหวานแค่พูดประชดแม่”
ปริญญ์แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะคะ” วาสินีถาม
“ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ คุณไม่ควรไว้ใจผู้ชายคนนั้น” ปริญญ์บอก
“ทำไมคะ”
“ดูคนต้องดูให้นานๆครับ”
“ไม่ใช่เพราะหมอปิ๊นหึง และไม่อยากให้น้ำหวานลงเอยกับคุณต่อลาภเหรอคะ”
“ผมมีเพียงความปรารถนาดีให้คุณในฐานะเพื่อนเท่านั้น คราวหลังอย่าประชดแม่อย่างนี้อีกเลยนะครับ สงสารแก แกเป็นห่วงคุณจริงๆนะครับ”
“เหรอคะ ฉันว่าแม่เป็นห่วงเพราะกลัวว่าสะพานที่จะพาแกไปสู่ความสุขสบายมันจะถูกตัดให้ขาดต่างหาก”
ปริญญ์อึ้ง
เสียงสาวิกาดังขึ้น “ขอโทษนะคะ”
ปริญญ์กับวาสินีชะงักแล้วหันไป
สาวิกายืนหน้าเสีย
“พี่ธีอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ” สาวิกาถาม
กนธีกับเนตรนิภาผละออกจากกันแล้วลุกขึ้นนั่งหันหลังให้กันด้วยความตื่นตกใจ กนธีกับเนตรนิภาหันมามองหน้ากันแล้วก็รีบสะบัดหนี
“อะไรของเธอ ที่บอกว่าไม่จริง” กนธีถาม
“แล้วนายล่ะ ที่บอกว่ามาจริงน่ะอะไร” เนตรนิภาถามกลับ
“ไม่บอก”
“ฉันก็ไม่บอก”
กนธีกับเนตรนิภาลุกขึ้นพร้อมกัน
“แต่เธอมีเรื่องที่ต้องบอกฉัน เรื่องคุณเขม”
“เรื่องอะไร”
“อย่ามาทำไขสือ ไม่รู้ไม่ชี้ แม่ของพิแสงเกี่ยวอะไรกับคุณเขม คุณเขมรับเงินท่านมาทำอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้!”
เนตรนิภาอึ้งเมื่อถูกกนธีคาดคั้นอย่างเอาจริงเอาจัง
เขมมิกเดินเซื่องซึมออกมาเจอพิแสงนั่งอยู่ เขมมิกตกใจ
“คุณพิแสง.....”
พิแสงหันมาหาเขมมิกแล้วยิ้มกว้างให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณออกจากโรงพยาบาลมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เขมมิกถาม
“ดูทำท่าตกใจเข้า ฉันเพิ่งมาถึง” พิแสงบอก
“แต่คุณยังไม่หายดี”
“ฉันรู้ตัวเองดีสิว่าไม่เป็นอะไร หมอเองก็อนุญาตแล้ว”
“คุณจะรีบกลับมาทำไมคะ”
“มาหาเธอไง....มาหาคนที่ฉันรัก และรักฉัน ฉันคิดถึงเธอมากเลยนะเขมมิก”
เขมมิกโผเข้าไปกอดพิแสง พิแสงกอดเขมมิกตอบอย่างเจ็บปวด
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ คิดถึงมาก” เขมมิกบอก
“ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายกับฉัน” พิแสงถาม
เขมมิกงง “คะ??”
เขมมิกสบตาพิแสงด้วยความประหลาดใจ
“ใจร้าย?” เขมมิกงง
“ใช่ เธอใจร้ายกับฉันมาก” พิแสงว่า
พิแสงมองเขมมิกด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่เขมมิกกังวลและรู้สึกไม่ดีต่อเรื่องที่เธอทำกับพิแสง
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ย้อนกลับมา พิแสงเดินหลุดไปโดยไม่เห็นเขมมิกที่คุยกับแสงสุดาอยู่ที่มุมหนึ่ง พิแสงชะงักเพราะได้ยินเสียงแว่วๆ จึงเดินย้อนกลับมา พิแสงเห็นเขมมิกยืนคุยกับแสงสุดาเขาก็แปลกใจจึงจะทัก
เขมมิกกำลังตอบคำถามของแสงสุดาอย่างลำบาก “ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้รักคุณพิแสงเลยแม้สักนิด”
พิแสงชะงักจนขาแข็ง เขายืนฟังต่อไปโดยไม่เข้าไปขัดจังหวะ
“แล้วอดีตรักฝังใจที่สวิตเซอร์แลนด์ของเธอกับตาใหญ่ล่ะ” แสงสุดาถามต่อ
“ฉันก็โกหก...ผู้ชายจะหัวใจพองโตและอ่อนไหว ถ้าได้ยินว่าผู้หญิงยังคงมีเขาอยู่ในหัวใจไม่เคยลืมมาถึงห้าปี”
พิแสงอึ้ง เขามองเขมมิกด้วยความผิดหวังและไม่เชื่อหูตัวเอง
แสงสุดาปรบมือให้เขมมิก “ชื่นชมเธอในข้อนี้จริงๆ ...จำคำพูดของเธอในวันนี้ไว้ให้ดีๆนะ”
“ฉันไม่ลืมหรอกค่ะ” เขมมิกบอก
“เพราะถ้าเธอลืม และคิดว่าตัวเองแน่ ดื้อด้านจะเอาลูกชายคนเดียวของฉันให้ได้ล่ะก็ ฉันจะแฉเรื่องที่เธอรับงานฉันมาหลอกให้ตาใหญ่หลงรักเพื่อเงิน!”
พิแสงเสียใจมากและช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน
เขมมิกถามพิแสงด้วยความแปลกใจและเริ่มกลัว
“ว่าฉันใจร้ายเรื่องอะไรคะ” เขมมิกถาม
“เธอไม่ได้รักฉันเลยใช่มั้ย” พิแสงถาม
เขมมิกอึ้งและใจหายเพราะคิดว่าพิแสงได้ยินสิ่งที่เธอพูดกับแสงสุดา
“คุณ....”
พิแสงพูดต่อ “เธอถึงไม่ไปเยี่ยมฉันเมื่อเช้านี้”
“เอ่อ...”
“คนรักกัน....ไม่ทำร้ายกันอย่างนี้หรอกนะ”
เขมมิกแอบโล่งอก “แหม....คือ....อย่าพูดอย่างนี้สิ ไม่ได้ไปหา ไม่ได้แปลว่าไม่รัก ฉันจะไปส่งเนตรที่หาดใหญ่ก่อน แล้วค่อยแวะไปหาคุณ...รอนิดรอหน่อยไม่ได้หรือไงคะ”
พิแสงมองเขมมิกนิ่งโดยไม่พูดอะไรอีกจนเขมมิกอึดอัด
“เหมือนคุณมีอะไรอยากจะพูดกับฉันอีกนะ” เขมมิกว่า
“เธอไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ย” พิแสงถาม
“ฉันไม่เคยโกหก”
“ทำไมเธอถึงรักฉัน”
“ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย หือ?ใครไปสะกิดต่อมอ่อนไหวเข้าให้ล่ะ” เขมมิกถาม
“ตอบฉันมา! ทำไมเธอถึงรักฉัน!” พิแสงคาดคั้น
เขมมิกตกใจและอึ้งไป
“ตอบความจริง ที่เธอรู้สึกอยู่ตอนนี้ ขณะนี้”
“ความจริงก็คือ......ฉันรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอที่สวิตซ์ รักอย่างไม่มีเหตุผล คุณทำให้ฉันหวั่นไหว ใจเต้นทุกครั้งที่เห็นหน้า แม้คุณจะทำให้ฉันเสียใจ แต่ฉันก็ยังไม่เคยลืมคุณเลยตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา ส่วนตอนนี้ทุกสิ่งที่คุณทำเพื่อฉัน เพื่อคนอื่น ทำให้ฉันตกหลุมรักคุณอีกครั้ง”
พิแสงแค่นยิ้มอย่างเจ็บปวด “เธอทำให้หัวใจของผู้ชายคนนี้พองโตมากรู้มั้ย”
“ฉันรู้ค่ะ...และฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากคุณ”
เขมมิกจับมือพิแสงเอาไว้ พิแสงมองมือของเขมมิกที่เกาะกุมมือของเขาด้วยความเจ็บปวด
“ฉันทำทุกอย่างได้เพื่อคุณ เพื่อตอบแทนความรักของคุณ รักแท้ที่ฉันไม่เคยเชื่อว่ามันจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้”
พิแสงตัดบท “เนตรนิภากำลังรอเธออยู่ไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ”
“ค่ะ ส่งเนตรเรียบร้อยแล้ว ฉันจะรีบกลับมาหาคุณทันที”
เขมมิกเดินออกไป พิแสงมองตามเขมมิกไปอย่างเจ็บปวด
กนธีคาดคั้นเนตรนิภาด้วยท่าทางซีเรียส
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!คุณแม่จ้างคุณเขมมาทำอะไรที่นี่!”
“ถ้าฉันบอก นายจะเชื่อฉันเหรอ” เนตรนิภาถามกลับ
“ไม่เชื่อแล้วจะถามอยู่อย่างนี้เหรอ!”
“ก็ได้ ฉันจะตอบ!”
“ตอบมาเลย รอฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ!”
เสียงแตรรถดังขัดจังหวะ กนธีกับเนตรนิภาหันไปมอง รถกระบะของหลอดแล่นเข้ามาจอด
“คุณเขมให้ตามหาคุณเนตรครับ จะไปกันหรือยังครับ” หลอดถาม
“ไปสิ!” เนตรนิภาจะไปขึ้นรถ
กนธีดึงเนตรนิภาเอาไว้ “ยังไปไม่ได้! ตอบคำถามฉันมาก่อน”
“นี่! เดี๋ยวฉันก็ตกงานหรอก”
“ไม่เป็นไร เลี้ยงเอง!” กนธีว่า
เนตรนิภา หลอดและเสริมตกใจ “เฮ้ย!!”
กนธีรีบแก้ตัว “จะจ้างไปทำงานที่รีสอร์ท ทำไม คิดอะไรกัน!”
“ไม่มีเวลาแล้วนายกนธี ถ้าอยากรู้คำตอบก็ตามไปถามใหม่ที่กรุงเทพ!” เนตรนิภาบอก
เนตรนิภารีบไปขึ้นรถ กนธีวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อน!”
เนตรนิภารีบบอก “หลอด ออกรถเร็ว!”
“ครับ!”
“เร็วๆ!”
หลอดออกรถไปอย่างรวดเร็ว กนธีวิ่งไล่ตามรถกระบะไปแต่ไม่ทัน
“คิดว่าฉันไม่กล้าตามไปหรือไง วะ!”
ปริญญ์เดินมากับสาวิกา วาสินีเดินตามมาอย่างไม่พอใจ
“หมอปิ๊นมีงานต้องไปทำไม่ใช่เหรอคะ”
ปริญญ์กับสาวิกาชะงักแล้วหันมา
“ครับ...แต่คุณสาวิกาต้องการความช่วยเหลือ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้” ปริญญ์บอก
“อุ๊ย หมอปิ๊นต้องทำงานเหรอคะ งั้นวิกาไม่กวนก็ได้ค่ะ” สาวิกาหันมาหาวาสินี “กวนคุณแทนได้มะคะ”
“คงไม่ได้ค่ะ ฉันเองก็มีงานต้องทำเหมือนกัน มีเอกสารเป็นกองรอให้ฉันไปเคลียร์” วาสินีบอก
“คุณลางานวันนี้เพื่อไปดูแลป้าอนงค์ไม่ใช่เหรอครับ”
วาสินีอึ้งแล้วนึกไม่พอใจปริญญ์
“อ้าว...โกหกเอาตัวรอดเหรอคะ ว้า...แย่จัง...ไม่มีน้ำใจเลยอ่ะค่ะ บอกกันตรงๆก็ได้ วิกาไม่ว่าหรอกค่ะ ความจริงไปเองก็ได้ แต่กลัวหลงอ่ะค่ะ ฟาร์มกว๊างกว้าง แล้วก็...”
ปริญญ์ตัดบท “ผมพาไปเอง”
“หมอปิ๊นน่ารักอ่ะ คิดอะไรกับวิกาป่ะคะ คริคริ”
ปริญญ์ถอนใจด้วยความเซ็งปนขำ
“หมอปิ๊นก็ใจอ่อน ชอบช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้วค่ะ คงไม่ได้มีใจอะไรเป็นพิเศษกับคุณหรอก อย่าคิดมาก” วาสินีรีบบอก
“แหม พูดเหมือนหึงวิกาเลยนะคะ เอ๊ะ หรือว่าหมอปิ๊นกับคุณเลขาเป็นแฟนกัน”
ปริญญ์รีบปฏิเสธ “เปล่าครับ...เราเป็นเพื่อนกัน”
“อ๋อ...เพื่อนกัน” สาวิกาพูดกับวาสินี “ไม่ต้องห่วงค่ะ หมอปิ๊นไม่ได้มีใจให้วิกาหรอก แต่ได้ใจวิกาไปเต็มๆ!”
ปริญญ์ตกใจ “เฮ้ย!”
“ก็จริงนี่คะ”
วาสินีเจ็บใจสาวิกาที่แรงในความซื่อใส ปริญญ์มองตามวาสินีแล้วนึกโล่งอกที่วาสินีเดินออกไป
“ไปเถอะ คุณสาลิกา”
“สาวิกาค่ะ หมอปิ๊น”
“สาลิกาเหมาะกว่านะ...พูดมาก” ปริญญ์บอก
ปริญญ์เดินหนี สาวิกาเดินตาม
“อุ๊ย...ชมกันกะทันหันแบบนี้ เขินอ่ะค่ะ”
“ถ้าคิดอย่างนี้แล้วสบายใจ ก็ตามสบายครับ”
“อุ๊ย...เหมือนกำลังถูกประชดอ่ะค่ะ”
ปริญญ์ถอนหายใจ..เฮ้ยย
ปริญญ์พาสาวิกาเดินเข้ามาในออฟฟิศ สาวิกาหน้าแดงตลอดเวลาที่เดินตามปริญญ์มาแต่ก็มองหน้าปริญญ์ไม่วางตาเลยทีเดียว เสริมถือเอกสารเดินออกมา
ปริญญ์เรียก “เสริม...”
“ครับ หมอปิ๊น”
“เห็นคุณธีมั้ย”
“เห็นอยู่กับนายหัวที่บ้านครับ”
“คุณพิแสงกลับมาจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ” ปริญญ์ถาม
“ครับ” เสริมตอบ
เสริมสังเกตเห็นสาวิกาเอาแต่จ้องหน้าปริญญ์พลางยิ้มอาย
“หน้าหมอปิ๊นติดขี้หมูเหรอครับ” เสริมถาม
“เฮ้ย!” ปริญญ์รีบเช็ดหน้า “ไม่นี่ ถ้ามี ก็ต้องได้กลิ่นสิ”
“ก็เห็นคุณคนนั้นเอาแต่จ้องหน้าหมอปิ๊นอยู่นั่น จ้องเหมือนหน้าเปื้อนขี้นิ”
ปริญญ์หันมองสาวิกา สาวิกาสะดุ้งแล้วหุบยิ้ม
“มองผมทำไม หน้าผมเปื้อนอะไร”
“ไม่ได้เปื้อนอะไรค่ะ แต่มองหน้าหมอปิ๊นแล้วเพลินอ่ะค่ะ สบายตา สบายใจ รู้สึกผ่อนคลาย สงบ...” สาวิกาบอก
ปริญญ์อึ้งและเขินจนหน้าแดงจึงรีบตัดบท
“ไปหาคุณธีที่บ้านคุณพิแสงกัน”
“อุ๊ย วิกาพูดอะไรไม่เข้าหูเหรอคะ รอก่อนค่ะหมอปิ๊น” สาวิการีบตามไปด้วยความตกใจ
เสริมมองตามยิ้มๆ “เอาแหล่ว เอาแหล่ว หมอปิ๊นโดนหญิงจีบแล้วเว้ยเฮ้ย”
พิแสงนั่งซึมอยู่เพียงลำพังเพราะคิดถึงภาพในอดีตที่เคยมีความสุขกับเขมมิก
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เขมมิกล้างคอกหมูอยู่กับพิแสง ทั้งสองล้างกันไปกันมาจนกลายมาเป็นแกล้งฉีดน้ำใส่กัน
เขมมิกรับลูกหมูเกิดใหม่มาจากปริญญ์ เขมมิกตื่นเต้นมาก พิแสงยืนมองแล้วอมยิ้ม
พิแสงพาเขมมิกเดินชมสวนสมุนไพร เขาเด็ดใบไม้มากินด้วยสีหน้าปกติแล้วป้อนให้เขมมิกเคี้ยวบ้าง เขมมิกถุยออกมาแทบไม่ทันเพราะรสชาติเหลือจะทน พิแสงหัวเราะชอบใจ
พิแสงแบกเขมมิกขี่หลังเดินมาตามทางเดินที่แสนจะโรแมนติก ทั้งสองคุยกันกระหนุงกระหนิง
เขมมิกนั่งอิงหลังพิงพิแสงดูดวงจันทร์เหลืองนวลและดาวดารดาษเต็มท้องฟ้า
เขมมิกหลับซบอกของพิแสง พิแสงโอบเขมมิกเอาไว้อย่างทนุถนอมแล้วก้มลงหอมผมของเขมมิกด้วยความรัก
พิแสงเดินมาส่งเขมมิกที่หน้าห้อง เขมมิกจะปิดประตูแต่พิแสงดันเอาไว้ไม่ยอมให้ปิด เขมมิกยิ้มอายก่อนจะเขย่งตัวไปหอมแก้มพิแสง พิแสงยิ้มพอใจ เขมมิกจะปิดประตูห้อง พิแสงดันเอาไว้ไม่ให้ปิดอีก เขมมิกถอนใจแล้วเปิดประตูกว้างออกให้พิแสงโน้มตัวมาหอมแก้มเขมมิกอย่างแผ่วเบา เขมมิกยิ้มอาย ทั้งสองคนสบตากันนิ่งนาน พิแสงโน้มตัวเข้ามาจะจุมพิตเขมมิก แต่เจอเขมมิกปิดประตูใส่จนพิแสงสะดุ้ง
เขมมิกยืนพิงประตูห้องแล้วยิ้มกับตัวเอง เขมมิกจับที่หัวใจเพราะรู้สึกว่าเต้นแรงมาก ในขณะที่พิแสงเองก็ยืนพิงประตูห้องเขมมิกแล้วจับที่หัวใจของตัวเองเพราะมันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกทรวงอก พิแสงยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต พิแสงก็น้ำตาซึมออกมาด้วยความเสียใจ เสียงของเขมมิกยังก้องอยู่ในหู
“ฉันไม่เคยโกหก......ฉันไม่เคยโกหก.....ฉันไม่เคยโกหก”
พิแสงร้อนใจจนสุดจะทน เขาตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์
“ฮัลโหล....ไอ้เสริม!”
ปริญญ์เดินหนีสาวิกาเข้ามา สาวิกาหอบเหนื่อย
“โอย..หมอปิ๊นคะ โอย...เดินช้าๆไม่เป็นเหรอคะ โอย...เหนื่อยนะคะ”
“ผมเดินเร็ว คุณไม่จำเป็นต้องเดินตาม” ปริญญ์บอก
“ขืนไม่เดินเร็วๆ วิกาก็ตามหมอปิ๊นไม่ทันสิคะ ถามจริง โกรธอะไรวิกาเนี่ย”
“ไม่ได้โกรธ แต่ผมไม่ชอบ”
“ไม่ชอบอะไรคะ”
“ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ”
สาวิกาส่ายหน้าเพราะไม่รู้จริงๆ “ฮือะ!!!”
ปริญญ์ถอนใจด้วยความเซ็งแล้วก็ยอมบอก “คุณเป็นผู้หญิง ควรไว้ตัว และรักษาท่าที ไม่ควรบอกความรู้สึกหรือชมผู้ชายออกมาต่อหน้าอย่างนั้น”
“เอ๊า ก็วิกาชมหมอปิ๊น วิกาก็ต้องพูดกับหมอปิ๊น จะให้ไปพูดกับพี่ธีเหรอคะ มันคนละคนกันนะค้า!”
“เฮ้อ....” ปริญญ์ถึงกับคอตกที่สาวิกาไม่เก็ต
ชมพู่เดินออกมา
“มาหาใครคะ...อ้าว หมอปิ๊น...”
“ช่วยบอกผมทีเถอะ ว่าคุณธีอยู่ที่นี่ จะได้หมดหน้าที่ ผมจะได้ไปหาหมูผมซะที”
“ไม่อยู่ค่ะ”
“อ้าว...”
สาวิกายิ้มเผล่ให้ปริญญ์ “สงสัยไม่ได้ไปหาหมูแล้วล่ะค่ะ คริคริ วิกาคงได้เดินมองหน้าหมอปิ๊นไปอีกสักพักอ่ะค่ะ”
“ไม่ต้องจริงใจมากขนาดนี้ก็ได้นะครับ”
“ไม่โทรเข้ามือถือแกล่ะคะ”
“เออ นั่นสิ แค่โทรก็จบเรื่องแล้ว”
ชมพู่พูดกับสาวิกาด้วยเสียงเข้มมากเพราะหึง “ฮ้าย!!! เรื่องง่ายๆก็ต้องให้บอก ไม่ได้ยินหรือไงคะ โทรสิคะคุณ!”
“ได้ยินแล้วค่ะ พี่เนี่ย ฉลาดดีนะคะ” สาวิกาชม
“มากค่ะ ไม่งั้นหมอปิ๊นจะมีใจให้เหรอคะ” ชมพู่ว่า
“หา?” สาวิกาตกใจ
“รีบโทรหาคุณธีสิคะ!!” ชมพู่เร่ง
สาวิกาหน้าเสีย เธอรีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกด้วยมือไม้สั่นเพราะตกใจเรื่องชมพู่กับปริญญ์ สาวิกาเดินเลี่ยงไป ปริญญ์แอบขำ ชมพู่เข้ามาควงแขนปริญญ์
“หมูสำคัญกว่าชะนีนะคะหมอปิ๊น นี่ถ้าไม่เห็นว่าเรากำลังจะมีอนาคตร่วมกัน ชมพู่จะเหวี่ยงค่ะ !!! ไปเถอะค่ะ ทางนี้ชมพู่เคลียร์เอง!”
ปริญญ์เดินออกไป ปริญญ์มองสาวิกาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้แต่ก็ยอมไป เพราะชมพู่ตีหน้ายักษ์และเข้ามาขวาง สาวิกาคุยกับกนธี โดยไม่รู้ว่าปริญญ์ไม่อยู่แล้ว
“พี่ธีอยู่ไหนคะ วิกามีเรื่องงานจะปรึกษาค่ะ!!”
เนตรนิภาลากตัวเขมมิกเข้ามาในห้องน้ำด้วยความร้อนรน
“ปวดก็เข้ามาคนเดียวสิ ฉันไม่ปวด!” เขมมิกว่า
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับแกต่างหาก ห้องน้ำหญิงนี่แหละ ปลอดภัยไกลหูนายหลอดที่สุด” เนตรนิภาบอก
“มีเรื่องอะไร”
“ฉันพลาด เกือบหลุดปากพูดกับนายธี เรื่องที่ท่านรองจ้างแกมาที่นี่น่ะ”
“ไอ้เนตร!”
“แต่ไม่ต้องห่วง ฉันเอาตัวรอดมาได้โดยที่นายนั่นยังไม่ได้ข้อมูลอะไรจากฉันไป นอกจากความสงสัย”
“ขอบใจ! ซึ่งนายนั่นย่อมต้องตามมาเคลียร์กับแกอีกแน่ๆ”
“ไว้เป็นเรื่องของอนาคต”
“ไปทำอีท่าไหน หา! ถึงได้พลาดเอาน่ะ”
“ตอนนั้นฉันตกใจนี่ พอแกกับท่านรองเข้าไปในบ้าน จู่ๆคุณพิแสงก็โผล่มาแล้วก็เข้าไปในบ้าน ฉันกลัวว่าเค้าจะไปได้ยินแกกับแม่...เดี๋ยว...แกไม่เจอคุณพิแสงในบ้านเหรอ”
“ไม่เจอ...พอท่านรองกลับไปแล้วสักพัก ฉันออกไป ก็เพิ่งจะเห็นเขามา”
“จริงอ่ะ!”
“ก็จริงสิ”
“แต่ฉันเห็นเขากับนายธีมาด้วยกัน ก่อนท่านรองกลับ แล้วก็...”
“เห็นกับตาแน่หรือเปล่าว่าคุณพิแสงเข้าไปในบ้าน เค้าอาจจะไปที่อื่นก่อนจะเข้าบ้านก็ได้”
“นายธีลากฉันออกไป...เลยไม่เห็นว่าเค้าเข้าบ้านไปตอนไหน”
เขมมิกกังวล “นั่นไง...”
“โอ๊ย!! หลอน นอย!! ฉันไม่ชอบอารมณ์นี้เลย ไม่รู้จะถูกจับได้วันไหน แกรีบปิดจ็อบเหอะ นะ ขอร้อง จะได้ไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่โคตรอึดอัดนี่สักที พ้นจากนายธีนั่นด้วย ทำตัวเป็นเจ้ากรรมนายเวรฉันจริงๆ”
เสียงมือถือของเขมมิกดังขึ้น เขมมิกรีบหยิบมือถือขึ้นมาพอเห็นเบอร์ก็จำได้
“เบอร์ในหาดใหญ่...สงสัยลุทซ์โทรตามแล้วล่ะแก” เขมมิกบอก
“งั้นก็รีบไปเถอะ แต่จะหลอกนายหลอดยังไง ที่แกจะไปหาลุทซ์ที่โรงแรม”
“ไม่เห็นต้องหลอกเลย”
เนตรนิภาแปลกใจ
เขมมิกกับหลอดเดินมาถึงหน้าโรงแรม
“แล้วคุณเขมจะให้ผมมารับกี่โมงดีครับ” หลอดถาม
“พอฉันคุยธุระกับเพื่อนฉันเสร็จ ฉันจะโทรบอก” เขมมิกบอก
“นานมั้ยครับ”
“ทำไมเหรอ”
“ถ้าสักสองชั่วโมง ผมจะได้ไปนอนนวดให้สบายตัวสบายใจ”
“ไปเถอะ ประมาณนั้นแหละ”
“โอเคครับ แล้วกริ๊งกร๊างหาผมนะครับ”
“จ้า จะกริ๊งกร๊างไปนะ”
หลอดเดินออกไป
สายตาของใครสักคนจากมุมหนึ่งกำลังเฝ้ามองเขมมิกอยู่ สายตาคู่นั้นเห็นเขมมิกรีบเดินเข้าไปในโรงแรม
เขมมิกนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้พลางอ่านหนังสือแล้วมองหาลุทซ์ ลุทซ์เดินอย่างเร่งรีบเข้ามาจนเห็นเขมมิกนั่งอยู่
ลุทซ์เรียกอย่างดีใจ “เคเค!”
เขมมิกหันไปเห็นลุทซ์ก็ดีใจจึงเรียกเสียงดัง “ลุทซ์!!”
สายตาของใครคนหนึ่งมองมาจากมุมหนึ่งของล็อบบี้ ลุทซ์เดินเข้าไปจับมือเขมมิก
“มีข่าวดีมาบอก เรื่องคดี เรามีทางจะชนะนะ!” ลุทซ์บอก
“จริงเหรอ!!! ฉันดีใจที่สุดเลย”
เขมมิกโผเข้าไปกอดลุทซ์ด้วยความดีใจ ลุทซ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วกอดเขมมิกตอบ สายตาของใครคนนั้นเห็นเขมมิกกอดกับลุทซ์พลางหัวร่อต่อกระซิก ทันใดนั้นเขมมิกก็หน้ามืดจนวูบไป ลุทซ์ประคองเอาไว้
“เป็นอะไร เขม!”
“ฉัน...หน้ามืด...เหมือนเป็นลม”
“เอางี้ ขึ้นไปพักที่ห้องฉันก่อน ค่อยยังชั่วแล้วเราค่อยคุยกัน”
“โอเค”
สายตาคนที่แอบมองเห็นลุทซ์ประคองเขมมิกเดินไปที่ลิฟท์
ประตูลิฟท์โรงแรมเปิดออก ลุทซ์ประคองเขมมิกที่อ่อนเปลี้ย มือไม้อ่อน และเหงื่อแตกเข้าไปในลิฟท์ เขมมิกซบหน้ากับอกของลุทซ์ มีคนเดินแทรกเข้าไปในลิฟท์พร้อมๆกับเขมมิกและลุทซ์อีกหลายคน ประตูลิฟท์ปิด
เขมมิกซบหน้ากับอกของลุทซ์
“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว” ลุทซ์บอก
เขมมิกถาม “ชั้นไหนอ่ะ ลุทซ์”
“ชั้น 7”
เขมมิกพยักหน้า ลุทซ์มองที่ตัวเลขดิจิตอลแสดงชั้นต่างๆที่ลิฟท์กำลังเลื่อนขึ้นไป พิแสงยืนอยู่ข้างหลังลุทซ์กับเขมมิก พิแสงมองมาที่ลุทซ์และเขมมิกด้วยความเจ็บปวด ลิฟท์เลื่อนไปถึงชั้น 7 ประตูลิฟท์เปิดออก
ลุทซ์ประคองเขมมิกเดินออกจากลิฟท์ พิแสงยืนมองตามอย่างแค้นใจ ประตูลิฟท์ค่อยๆปิดและกำลังจะปิดสนิท มือของพิแสงเข้ามาขวางลิฟท์ พิแสงเดินออกมาเพราะทนไม่ไหวอยากตามไปให้เห็นฉากต่อไป
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
ลุทซ์ประคองเขมมิกเดินออกจากลิฟท์ พิแสงยืนมองตามอย่างแค้นใจ ประตูลิฟท์ค่อยๆปิดและกำลังจะปิดสนิท มือของพิแสงเข้ามาขวางลิฟท์ พิแสงเดินออกมาเพราะทนไม่ไหวอยากตามไปให้เห็นฉากต่อไป
ลุทซ์เปิดประตูห้องแล้วพาเขมมิกเข้าไปก่อนจะปิดประตู พิแสงค่อยๆเดินมาหยุดตรงหน้าห้อง เขามองประตูห้องนิ่งด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เขมมิกนอนบนที่นอน ลุทซ์ห่มผ้าให้
“นอนพักสักครู่นะ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้ เธออยู่ได้นานแค่ไหน”
“สองชั่วโมง” เขมมิกตอบ
ลุทซ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกไป เขมมิกถอนใจแล้วมองนาฬิกาเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือจึงหันมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะหยุดอยู่ที่ประตูห้อง
ตอนที่11.3.1
พิแสงยืนพิงผนังฝั่งตรงข้ามประตูห้อง เขามองที่ประตูเหมือนต้องการจะจ้องให้ทะลุไปให้เห็นถึงข้างใน
กนธีเดินสั่งงานสาวิกาอย่างเร่งรีบ
“คุยกับเอเจนซี่ คอนเฟิร์มว่าจะมีทัวร์มากี่กรุ๊ป”
สาวิกาจดยิกๆ “ค่ะ”
“แล้วประสานกับงามตาให้ดูแลเรื่องห้องพักให้ดี”
“งามตา? ใครคะ” สาวิกาถาม
“ก็งามตาไง”
“แต่วิกาไม่รู้จักอ่ะค่ะ วิกาเพิ่งมาถึงเองนะคะ”
“ก็ถามสิ ว่าใครชื่องามตา ปากน่ะมีหรือเปล่า ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องให้บอก”
สาวิกาอึ้งแล้วน้ำตาคลอ “ก็....”
“ขอโทษๆ พอดี...พี่กำลังหงุดหงิดกับยัย....” กนธียั้งไว้เพราะไม่อยากเอ่ยชื่อ “ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด ฮื่ย!!”
สาวิกาสะดุ้งแล้วน้ำตาจะรื้นออกมาอีก
“นี่ก็บ่อน้ำตาตื้น ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ กลับบ้านไปเลยก็ได้นะ พี่ไม่ว่า แค่นี้นะ แล้วจะโทรมาเช็กความเรียบร้อย พี่ไปล่ะ รีบ”
กนธีเดินออกไปโดยทิ้งสาวิกาให้ยืนเท้งเต้งอยู่คนเดียว
“คุณงามตา....คนไหนอ่ะคะ....”
กนธีเดินเข้ามาอีกรอบ
“แต่ตอนนี้ จองตั๋วเครื่องบินไปกรุงเทพให้พี่ก่อน ด่วน เอาไฟล์ทเร็วที่สุด”
“เอ่อ...กี่ใบคะ” สาวิกาถาม
“พี่ไปคนเดียวก็ต้องใบเดียวสิ! เร็ว!”
“ค่ะ เร็วค่ะ!”
กนธียืนมองสาวิกาลนลาน เธอหยิบมือถือขึ้นมาจะกดเบอร์แต่แล้วสาวิกาก็เงยหน้าขึ้นมาถามอีก
“ต้องโทรไปที่ไหนอ่ะคะ”
กนธีเซ็ง “โอยยย!!”
“ก็ปกติ มีคนทำให้วิกานี่คะ วิกาไม่ต้องทำเอง ตกลงให้โทรไปเบอร์อะไรคะ พี่ธีรีบบอกสิคะ ไหนบอกว่ารีบไง”
“โอย จะรอดมั้ยยยยย...ปกติเวลาหายใจ ต้องใช้จมูกคนอื่นหายใจให้ด้วยมั้ย ไม่ต้องแล้ว!!”
กนธีอยากจะบ้าตาย เขาเดินออกไป สาวิกายืนหน้าเสียอยู่
“แรงอ่ะค่ะ...ก็คนไม่รู้ ไม่เคยทำก็ต้องถามสิคะ ผิดตรงไหนอ่ะคะ”
สาวิกาอยากจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้
อนงค์ต่อว่าวาสินี
“ผิดที่แกใจง่าย ยอมมันง่ายๆ ถ้าเกิดมันหลอกกินแกฟรีๆ แกจะทำไง!”
“หนูก็จะไปฆ่ามันให้ตาย” วาสินีบอก
“สมองแกคิดได้แค่นี้เองเหรอ! ใช่! ชีวิตไอ้ต่อลาภนั่นมันจบ แต่เรื่องคาวๆของแกมันไม่จบ แต่จะเป็นขี้ปากให้คนเอาไปนินทาสนุกปากไปอีกนาน!”
“เอ๊ะ! แล้วแม่จะเอายังไงกับชีวิตหนูเนี่ย สอนให้หนูคบเผื่อเลือก ทีงี้จะมาขวาง”
“มันยังไม่ถึงเวลาเลือก! เรื่องนายหัวยังไม่รู้ว่าหมู่หรือจ่า”
“แล้วจะให้หนูรออะไร รอให้นายหัวเลิกกับนังเขมมิกเหรอ ชาติหน้าหรือไง แล้วถ้าหนูไม่รีบคว้าคุณต่อลาภเอาไว้ล่ะ แม่รู้มั้ยว่ามีผู้หญิงกี่คนจ้องจะงาบเค้าอยู่”
“ไม่รู้เว้ย!” อนงค์ว่า
“ก็รู้ไว้ซะ....อีกอย่างที่แม่ต้องรู้ หมอปิ๊นเองก็ไม่สนใจหนูแล้ว แล้วจะเหลือใครให้หนูถ้าไม่ใช่คุณต่อลาภ!”
“ทำไมชีวิตฉันมันถึงได้ยุ่งยากอย่างนี้ ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆเลย”
“แม่ก็อยู่เฉยๆสิ ไม่ต้องมายุ่งกับหนูอีก มันก็จะง่ายเอง แค่นั่งรอผัวหนูหอบเงินหอบทองมาขอแล้วกัน อีกไม่นานหรอก!”
วาสินีเดินหนีโดยไม่สนใจอนงค์อีกต่อไป อนงค์พลุ่งพล่านมาก
“กล้าพูดคำว่าผัวได้เต็มปาก หน้าไม่อาย !นังน้ำหวาน! นังลูกอกตัญญู มีแกเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน!!”
พิแสงยังยืนมองจ้องไปที่ประตูห้องโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เวลาผ่านไป พิแสงยังยืนรอจากหลายๆมุมบริเวณหน้าห้องลุทซ์ด้วยความทรมานและอดที่จะจินตนาการถึงเหตุการณ์ภายในห้องที่เลยเถิดไปไม่ได้
เขมมิกลุกจากที่นอนหลังจากที่อาการดีขึ้นแล้ว ลุทซ์ถือถุงช็อกโกแลตเข้ามา
“ฉันเห็นเธอหน้าซีดๆตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว แต่ทักไม่ทันซะแล้ว พักผ่อนน้อยหรือทานน้อยหรืออะไร”
เขมมิกพยักหน้า “ฉันเทียวไปเทียวมาระหว่างฟาร์มกับโรงพยาบาลหลายวัน เพราะคุณพิแสงไม่สบาย ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะด้วย บวกกับเมื่อเช้าก็รีบออกมา ไม่ทันได้กินอะไร ก็เลย...ร่วง”
“งั้นก็กินนี่ซะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
“อะไรอ่ะ” เขมมิกถาม
“ของโปรดเธอไง ของฝากจากสวิสซ์”
เขมมิกเปิดถุงออกดูพอเห็นเป็นช็อกโกแลตก็ดีใจจนร้องลั่น “อ๊ายยยยย!!! ขอบใจมากลุทซ์ ฉันรักเธอที่สุดเลย ดาร์ลิ้ง!!”
ลุทซ์หัวเราะร่วน “ฮ่ะๆ!!”
พิแสงยืนกำหมัดแน่นอยู่หน้าห้อง
เสียงเขมมิกดังเล็ดลอดออกมา “ไม่มีใครรู้ใจฉันเท่าเธออีกแล้ว เลิฟที่สุด!!! ยูอาร์เดอะเบสต์!!!!อ๊าย!”
เสียงลุทซ์หัวเราะ “ฮ่ๆๆ”
พิแสงค่อยๆเดินมาที่ประตูห้อง เขาอยากจะเคาะประตูด้วยความแค้นเพื่อเรียกเขมมิกแต่ก็ชะงักไว้ แล้วยืนนิ่งก่อนจะตัดสินใจเดินจากไปอย่างคนที่หัวใจแหลกสลายซ้ำสอง
เขมมิกกัดช็อกโกแลตกินคำแรกด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข
“อืม....ไม่ได้กินมานานแล้ว โอย...สวรรค์ชั้นเจ็ดจริงๆ!”
“ถ้าไม่กลัวอ้วน สิวเขลอะอีก ก็กินเข้าไปเถอะ” ลุทซ์ว่า
เขมมิกอึ้ง
“หรืออยากกลับไปเป็นยัยปุ๊กลุ้กเหมือนเมื่อก่อน”
เขมมิกยิ้มเศร้า “กลับไปได้ก็ดี ฉันจะได้...ไม่ทำตัวเป็นหมูตื่นคน ฉันจะใจเย็น ถามเขาดีๆ ว่าทำไมถึงได้...ถอดเสื้อผ้าฉัน พอเขาอธิบายเสร็จ
ฉันก็จะเห็นผู้ชายในฝันของฉันคุกเข่าตรงหน้า แล้วสารภาพรัก ขอฉันเป็นแฟน เราสองคนคบกันด้วยความจริงใจ ดูแลความรักจนเติบโตแข็งแรงสุกงอม
จากนั้นเขาก็จะรอให้ฉันเรียนจบ เราสองคนจึงแต่งงานกัน...ฉันอาจเป็นเจ้าสาวที่ทำสถิติใช้เนื้อผ้าตัดชุดแต่งงานมากที่สุดในโลก
แต่ก็ไม่แคร์ ฉันไม่เห็นจะต้องผอม เพราะเขารักฉันที่ฉันเป็นฉัน....ฉันเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในสามโลกเลยนะลุทซ์”
ลุทซ์อึ้ง เขมมิกหันมามองลุทซ์ด้วยน้ำตาคลอ
“ช็อกโกแลตของเธอมีมนต์วิเศษที่จะทำให้ฉันกลับไปเป็นปุ๊กลุ้กเหมือนเดิมในวันนั้นได้มั้ย จะได้ไม่มีฉันที่กำลังจะถูกเขาเกลียดเข้ากระดูกดำในวันนี้” เขมมิกบอก
“คงไม่ได้หรอก มีอยู่สองสิ่งที่เราไม่สามารถเรียกมันคืนกลับมาได้ คือเวลาและโอกาส” ลุทซ์บอก
เขมมิกจ้องช็อกโกแลตนิ่ง
“ชีวิตต้องเดินหน้า แม้มันจะเจ็บปวด แต่มันก็จะผ่านไป เวลานั่นแหละจะเยียวยาเธอเอง”
“แต่ตอนนี้....ช็อกโกแลตนี่ต่างหากที่จะเยียวยาฉัน”
เขมมิกสวาปามช็อกโกแลตอย่างมูมมาม เธอกินเพื่อให้ลืมความเจ็บปวด ลุทซ์มองเขมมิกอย่างเห็นใจ เขมมิกกัดกินช็อกโกแลตเคล้าน้ำตา
พิแสงเดินเลื่อนลอยมาตามถนน เขาเดินสวนผู้คนมากมายแต่ความรู้สึกเหมือนอยู่โดดเดี่ยวในโลก พิแสงสิ้นหวังเพราะถูกทำลายความรักและความหวังจนหมด
เขมมิกกัดกินช็อกโกแลตจนแทบจะล้นออกจากปาก ช็อกโกแลตเลอะเต็มหน้า เขมมิกร้องไห้ไม่หยุด ลุทซ์ทนดูสภาพของเขมมิกต่อไม่ไหวจึงค่อยๆเดินมาแย่งช็อกโกแลตจากมือของเขมมิก ตอนแรกเขมมิกไม่ยอม ลุทซ์จึงต้องออกแรงดึงมา
เขมมิกจับมือของลุทซ์เอาไว้เพื่อยึดเป็นหลักก่อนจะร้องไห้หนักขึ้น ลุทซ์ดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาและรอยเปื้อนช็อกโกแลตให้เขมมิก
“ร้องออกมาเถอะเขม....ถ้าไม่ไหว ก็คือไม่ไหว ไม่ต้องเก็บมันเอาไว้”
เขมมิกปล่อยโฮ
“คราวนี้น้ำตาจะช่วยทำให้ฉันเช็ดรอยเปื้อนจากหน้าเธอได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่มีน้ำตา ช็อกโกแลตมันก็จะแห้ง เช็ดออกลำบาก เธอก็จะเจ็บ”
เขมมิกหยุดร้องไห้ “ลำบากมะ ฉันลุกไปล้างหน้าเองก็ได้”
“นี่ไง เขมของฉัน....เธอจะไม่ยอมเป็นภาระให้คนรอบข้างต้องลำบาก แม้ว่าตัวเองกำลังลำบากอย่างที่สุด”
“ไม่จริงอ่ะ ฉันกำลังทำให้เธอลำบากที่ต้องตามคดีให้แม่ฉันนี่ไง”
“ฉันไม่ได้ลำบาก มันเป็นหน้าที่ที่ฉันต้องทำให้น้องสาวฉัน”
“ขอบคุณนะลุทซ์ ขอบคุณจริงๆ”
“และฉันก็มีหน้าที่อีกอย่างที่ต้องทำเพื่อเธอ”
“อะไร”
“ถ้าผู้ชายของเธอเกลียดเธอ ฉันนี่แหละจะไปต่อยหน้าเขา”
“เฮ้ย อย่า!! เขาไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ฉันต่างหาก มันก็ยุติธรรมแล้วที่เขาจะเกลียดฉัน”
“ฉันไม่สน ผิดหรือถูกฉันไม่รู้ ฉันคิดแค่ว่า....เขาไม่ได้รักเธอจริง ถึงได้เกลียดเธอ ถ้าฉันรักใครสักคนมาก ต่อให้เขาทำผิดร้ายแรงแค่ไหน ฉันก็พร้อมจะอภัยให้คนที่ฉันรัก ลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แล้วจับมือกันเดินหน้าต่อไป”
“เธอไม่เคยเจอด้วยตัวเอง เธอไม่รู้หรอกลุทซ์...ว่าถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เธอจะยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเดินหน้าต่อไปได้จริงหรือเปล่า”
เขมมิกซึม ลุทซ์พูดไม่ออก เขมมิกแย่งช็อกโกแลตในมือลุทซ์ไปกินต่อ ลุทซ์แกะแล้วส่งให้อีกอัน
เขมมิกรีบคว้ามาถือรอ ถึงตอนนี้ทั้งสองมือของเขมมิกก็เต็มไปด้วยช็อกโกแลตแล้ว
พิแสงเปิดประตูเข้ามานั่งข้างเสริมที่รออยู่ในรถ
“ไม่ต้องบอกใครเรื่องที่ฉันมาที่นี่ แม้แต่ไอ้หลอด” พิแสงสั่ง
“ทำไมครับนายหัว” เสริมถาม
“ไม่ต้องถาม...แต่รู้ไว้ถ้าบอก...แก...ตาย!”
“ครับๆๆ แล้วจะกลับฟาร์มเลยมั้ยครับ”
“ฉันยังไม่กลับ.....”
เสริมแปลกใจ “แล้วจะไปไหนครับ”
พิแสงไม่อยากกลับฟาร์มไปเจอเขมมิก
เขมมิกนั่งรอพิแสงอยู่ที่บ้าน ชมพู่เดินมาหา
“เย็นแล้ว คุณเขมทานข้าวก่อนมั้ยคะ” ชมพู่ถาม
“ฉันจะรอคุณพิแสงก่อนจ๊ะ....เขาไม่ติดต่อมาบอกบ้างเลยเหรอว่าไปไหน” เขมมิกถามกลับ
“ไม่เลยค่ะ ฝากไอ้เสริมมาบอกแค่ว่า....เดี๋ยวก็กลับ”
“น่าแปลกจัง”
“นั่นสิคะ จู่ๆก็ออกไป จู่ๆก็ไม่กลับ จู่ๆไอ้เสริมก็ไม่รู้เรื่องซะงั้นว่านายหัวไปไหน ปกติต้องรู้ทุกเรื่อง”
“ขอบใจนะ ไปเถอะ ฉันจะรอคุณพิแสงอยู่ตรงนี้”
“ค่ะ” ชมพู่เดินออกไป
เขมมิกยังนั่งรอพิแสงอยู่โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติ
เสริมกำลังกินข้าวอยู่กับหลอด เสริมทำเป็นไม่สนใจสายตาของหลอดที่กำลังจ้องมาเพื่อหาพิรุธ
หลอดเรียก “ไอ้เสริม”
“ว่าไงพี่”
“เอ็งไม่รู้ว่านายหัวไปไหนจริงๆเหรอ”
“ไม่รู้!!!! ถ้ารู้ฉันก็ต้องบอกพี่เด่ะ”
“เออ! แล้วทำไมเอ็งไม่บอกข้าวะ”
เสริมหลุดปาก “บอกได้ไง นายหัวเอาตาย! นายหัวไม่ให้บอก...” เสริมรู้สึกตัวว่าพลาด “อุ๊บส์!”
หลอดวางชามข้าวทันทีก่อนจะเข้าไปเค้นคอเสริม “กูว่าแหล่ววววว!!!! ว่ามึงต้องรู้ บอกมาเลย!!! นายหัวไปไหน แล้วทำไมต้องปิด!”
เสริมสำลักข้าวจนตาเหลือก “ปล่อยก่อน..หาย..ใจ..ไม่..ออก..ค่อก..ๆๆ”
พิสากำลังคุยไลน์กับสาวิกาด้วยไอแพด
พิสาพิมพ์ “เป็นไงบ้าง”
เสียงข้อความตอบกลับดังขึ้นมา พิสาก้มลงอ่าน
“สบายดี พี่ธีใจดีมาก”
พิสาพิมพ์ต่อ “เอาความจริง”
เสียงข้อความตอบดังขึ้นมา พิสาก้มลงอ่าน
“ถูกด่าตลอดเลยอ่ะคุณเพื่อน ทำอะไรก็ผิด” แล้วตามด้วยสติ๊กเกอร์การ์ตูนเสียน้ำตา
พิสาพิมพ์ “กลับบ้านเลย สวยและรวยอย่างเรา ไม่เห็นต้องง้อก็มีกิน”
พิแสงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเครียดมาก พิสาเห็นพิแสงก็ทั้งดีใจและแปลกใจ
“พี่ใหญ่!!”
“คุณแม่อยู่ไหน” พิแสงถาม
พิแสงพูดจบก็เดินเข้าบ้านไปเพื่อตามหาแสงสุดา พิสารีบวางไอแพดแล้วเดินตามไป
พิแสงเดินตามหาแสงสุดา แสงสุดาเดินออกมาเจอ
“อ้าว ตาใหญ่ หายดีแล้วเหรอลูก”
“แผลที่ถูกแทงมันหายแล้ว แต่ผมเพิ่งจะได้แผลใหม่มาสดๆร้อนๆ” พิแสงบอก
“ใครทำอะไรพี่ใหญ่อีกล่ะเนี่ย! เห็นมั้ย น้องเล็กบอกแล้ว ว่านังเขมมันตัวซวย พี่ใหญ่ถึงได้เจ็บตัวไม่หยุด...เลิกกับมันซะเถอะค่ะ ถ้า....” พิสาพูดไม่หยุด
พิแสงตัดบท “น้องเล็ก ออกไปก่อน พี่จะคุยกับคุณแม่”
“แต่....”
พิแสงพูดเด็ดขาด “น้องเล็ก!”
“ก็ได้ค่ะ”
พิสาเดินจ๋อยออกไปแต่ความอยากรู้ยังไม่หมด พิแสงหันมามองแสงสุดาด้วยความเสียใจ
“มีอะไรจะคุยกับแม่ ตาใหญ่” แสงสุดาถาม
“คุณแม่ทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง”
แสงสุดาตกใจที่เห็นพิแสงกราดเกรี้ยว พิสาชะโงกหน้ามาแอบฟังจากมุมหนึ่ง แสงสุดาคว้ามือพิแสงแล้วลากออกไปทันทีเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน พิสารีบย่องตามไป
พิแสงยืนอยู่กลางห้องทำงานของแสงสุดา แสงสุดาปิดประตูแล้วล็อกก่อนจะเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับพิแสง
“ฉันไปทำอะไรแก”
พิแสงมองแสงสุดานิ่งเพราะพูดไม่ออก
“ก็พูดมาสิ!”
“คุณแม่ทำลายความศรัทธาของผมที่มีต่อความรัก”
“ตาใหญ่...แกไปรู้อะไรมา”
“คุณแม่วางแผนให้ผู้หญิงเห็นแก่เงินคนนั้นขยี้หัวใจผมจนไม่เหลือดี เพื่ออะไร!”
แสงสุดาตกใจกับความจริงที่พิแสงกำลังตอกหน้าเธอ ในขณะที่พิสากำลังเอาหูแนบประตูแต่ก็ฟังไม่ชัดจึงหงุดหงิด
“คุยอะไรกัน...คุยกันดังกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้” พิสาบ่น
พิสุทธิ์โผล่หน้าเข้ามาถาม “แอบฟังใครคุยกัน ยัยน้องเล็ก”
“คุณแม่กับพี่ใหญ่ค่ะคุณพ่อ...” พิสาตกใจ “อุ๊ย!”
“เสียมารยาทนะเรา มาแอบฟังคนอื่นคุยได้ไง ไปๆ”
พิสาเดินไปอย่างไม่เต็มใจ “ค่ะ”
พิสาเดินออกไป พิสุทธิ์รอจนพิสาเดินพ้นไปแล้วจึงมาแอบฟังแทน พิสาเดินเข้ามา
“คุณพ่อ!”
พิสุทธิ์ส่งสัญญาณให้เงียบ “ชู่ว์!!”
“ไม่ให้หนูแอบฟัง แต่คุณพ่อกำลังทำซะเองนะคะ”
“เอาน่ะ อย่าโวย มา มาฟังด้วยกัน”
พิสุทธิ์และพิสาแบ่งที่กันแอบฟัง
แสงสุดาที่อยู่ในห้องอึ้งจนพูดไม่ออก
“คุณแม่ทำแบบนี้กับผมทำไมครับ” พิแสงถาม
แสงสุดาพูดไม่ออก “แม่....”
“ผมเป็นลูกชายคุณแม่หรือเปล่า”
“แกเป็นลูกชายคนโตของแม่ แม่รักแกมาก และอยากให้แกมีชีวิตที่ดี ไม่อยากให้แกผิดพลาด อยากให้แกมีความสุขกับสิ่งที่ดีที่สุด”
“สิ่งที่ดีที่สุดของคุณแม่ ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผม”
แสงสุดาอึ้ง
“คุณแม่กำลังยอมรับว่า....คุณแม่และเขมมิกร่วมมือกันวางแผนทำอะไรสักอย่างอยู่ โดยมีผมเป็นหมากตัวหนึ่งของแผนนั้น ใช่มั้ยครับ”
แสงสุดานิ่งงัน เธอทรุดลงไปนั่งเครียดที่แผนถูกเปิดเผยเร็วกว่าที่คิด
พิสุทธิ์และพิสาที่แอบฟังอยู่ที่หน้าประตูมองหน้ากันเพราะได้ยินชัด “แผน!”
-พิแสงลงคุกเข่าตรงหน้าแสงสุดาจนแสงสุดาหัวใจหล่นวูบ
“ถ้ารักผม ก็โปรดบอกผม คุณแม่ให้เขมมิกทำอะไรกับผม”
“ตาใหญ่....”
“ผมสัญญา ผมจะไม่โกรธคุณแม่ เพราะผมรู้ดีว่าเจตนาของคุณแม่มีแต่ความรักและปรารถนาดีต่อผม บอกผมมาเถอะครับ”
“แม่จ้างเขมมิกให้ไปทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแกกับยัยน้ำหวาน ไม่ให้คืบหน้า และทำให้แกหลงรัก ระหว่างนั้นเขมมิกจะต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อให้ฟาร์มหมูของแกเจ๊ง จากนั้น เขมมิกจะต้องหักอกแกและทิ้งแก...ให้แกเจ็บปวดจนไม่อยากอยู่ที่นั่น แล้วกลับกรุงเทพมาดูแลสายการบินให้แม่”
พิแสงอึ้งเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าจะร้ายกาจขนาดนี้
พิสุทธิ์และพิสาที่แอบฟังอยู่ก็ตะลึงและอึ้งไป
“ทั้งหมดนี้ต้องสำเร็จภายในสามเดือน” แสงสุดาบอก
“เขมมิกรับค่าจ้างจากคุณแม่เท่าไหร่ครับ”
“ตอนแรกแม่ขอต่อรอง แต่มันไม่ยอม...ยืนยันเด็ดขาดว่าต้องห้าล้านบาท”
พิแสงเจ็บปวดมาก
พิสุทธิ์กับพิสาตกใจกับจำนวนเงินจึงพลาดตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมกัน
“ห้าล้าน!”
พิแสงกับแสงสุดาสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงของพิสุทธิ์และพิสา
พิแสงเปิดประตูห้องออกมา พร้อมแสงสุดา พิสุทธิ์และพิสายืนตะลึงอยู่ พิสุทธิ์มองแสงสุดาอย่างไม่พอใจ
“คุณแสงสุดา ผมต้องการเคลียร์ เดี๋ยวนี้!”
พิสุทธิ์เดินออกไป แสงสุดาถอนใจแล้วเดินตามไปเพื่อจะเผชิญหน้า ส่วนพิสาเดินเข้ามาหาพิแสง แล้วพูดเสียงอ่อยเพราะเห็นใจพิแสง
“พี่ใหญ่.....”
“จริงๆแล้ว พี่ควรจะเชื่อน้องเล็กเรื่องเขมมิกตั้งแต่แรก” พิแสงบอก
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเห็นแก่เงิน มันทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน มันไม่ได้มีค่ามากมายให้พี่ใหญ่ต้องไปเสียเวลาเสียใจเพราะมัน”
“พี่ไม่มีความรู้สึกอะไรเหลือให้กับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว....นอกจาก....”
พิแสงตาวาวโรจน์ไปด้วยความแค้นที่มีต่อเขมมิก
พิสุทธิ์คุยกับแสงสุดาอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่แสงสุดาไม่มีท่าทางสลด
“คุณใจร้ายกับลูกมาก” พิสุทธิ์ว่า
“มันจำเป็น” แสงสุดาบอก
“คุณคิดเองเออเองอยู่คนเดียวน่ะสิว่าจำเป็น ลองถามผมดูซิ...แล้วผมจะตอบคุณว่ามันไม่ใช่เรื่องของคุณ ! ได้ยินเสียงมนุษย์คนอื่นบ้างมั้ยคุณแสงสุดา รู้บ้างมั้ยว่าโลกนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนไปด้วยมือของคุณเพียงคนเดียว!”
“ทำไมจะไม่ใช่!”
พิสุทธิ์อึ้ง
“ธุรกิจของพีบูติกแอร์ไลน์มั่นคงได้ขนาดนี้เพราะมือของใคร ถ้าไม่ใช่มือฉัน ลูกเต้าเล่าเรียนจนจบ ได้ดีขนาดนั้น...ยกเว้นยัยน้องเล็ก...เพราะมือของใคร!”
“คุณพูดเหมือนไม่มีมือของผมช่วยประคองมือของคุณเลย”
“ช่วยเหรอ?? ก็นั่นไง กลับไปที่คำถามเดิม กว่าที่คุณจะล้างคราบขี้หมูของพ่อคุณจนหมด จนรู้ว่าควรจะช่วยฉันยังไงได้บ้าง เพราะมือของใครอีกล่ะ ทั้งหมดเพราะมือของฉัน!”
พิสุทธิ์อึ้งเพราะเสียใจที่ถูกแสงสุดาดูถูก
“ใช่ คุณเป็นผู้หญิงเก่ง ทั้งนอกบ้านและในบ้าน แต่ความเก่งของคุณ ไม่ได้ทำให้คุณมีอภิสิทธิ์ไปบงการชีวิตลูก ชีวิตผัว ให้เป็นอย่างที่คุณต้องการ!”
แสงสุดาอึ้ง
“อย่าได้หยิ่งผยองไป...ยิ่งคุณบินสูง เวลาตกลงมามันจะยิ่งเจ็บ แผนการครั้งนี้ของคุณไม่มีทางสำเร็จหรอก รู้นิสัยลูกดีไม่ใช่เหรอ...ว่ารั้นเหมือนใคร ก็เหมือนคุณนั่นแหละ!”
พิสุทธิ์เปิดประตูแล้วเดินออกไปก่อนจะปิดโครมด้วยความโมโห แสงสุดาเครียดและเหนื่อยใจ เธอคิดถึงเขมมิก
“เขมมิก!”
เขมมิกนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาโดยยังรอคอยให้พิแสงกลับมา เสียงคนเดินเข้ามาในบ้าน เขมมิกดีใจเพราะคิดว่าเป็นพิแสง แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะคนที่เดินเข้ามาคือชมพู่
“อ้าว...ชมพู่”
“ชมพู่โทรหานายหัวแล้ว แต่แกปิดเครื่องตลอดเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ฉัน....ไม่รอแล้วล่ะ หิว....” เขมมิกบอก
เขมมิกตักข้าวจะเอาเข้าปากแต่ก็กินไม่ลง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ชมพู่รีบวิ่งไปรับ
“ฮัลโหล....” ชมพู่ดีใจ “นายหัว!!”
เขมมิกทิ้งช้อนทันทีเพราะดีใจ
ชมพู่พูดติดพัน “หายไปไหนมา ฮ้าย!!! ทุกคนเป็นห่วงอย่างแรงนิ ยิ่งคุณเขมแล้วใหญ่เลย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จับไข้ “ชมพู่ฟังแล้วก็อึ้งจนจ๋อยไป “ค่ะ...ไปตามคุณเขมมาคุยเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ชมพู่หันไปมองเขมมิก เขมมิกลุกขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล....คุณพิแสง” เขมมิกแปลกใจ “อะไรนะคะ ให้ไปหาที่หาดใหญ่”
ชมพู่หูผึ่งเพราะอยากรู้เรื่องเจ้านาย
“ค่ะ...ไปได้ค่ะ”
เขมมิกวางสาย
“ชมพู่....ฉันต้องรีบไปหาคุณพิแสงที่หาดใหญ่ตอนนี้....”
“ค่ะ! เดี๋ยวชมพู่ไปเรียกไอ้หลอดให้นะคะ”
เขมมิกรีบเดินออกไปกับชมพู่
แสงสุดาโทรหาเขมมิกทางมือถือ
“ทำไมไม่รับสายนะเขมมิก โธ่เอ๊ย!!”
แสงสุดาพยายามต่ออีกรอบ
มือถือของเขมมิกที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องนอนดังต่อเนื่อง
แสงสุดาขัดใจแล้วก็เปลี่ยนใจ
“โทรเข้าบ้าน!”
แสงสุดากดเบอร์บ้านพิแสงแล้วรอสาย โทรศัพท์บ้านพิแสงดังแต่ไม่มีคนรับสาย แสงสุดาโกรธ จึงเหวี่ยงเต็มที่
“ไม่มีคนอยู่บ้าน! นังชมพู่ก็ปิดเครื่อง! โอ๊ย ไปตายกันหมดแล้วหรือยังไง!”
พิแสงยืนรออยู่หน้าโรงแรมที่หาดใหญ่ รถของหลอดแล่นเข้ามาจอด เขมมิกเดินลงมาเห็นพิแสงก็ยิ้มดีใจ พิแสงยิ้มตอบ พิแสงเดินไปคุยกับหลอด
“เอารถกลับไปเลย” พิแสงสั่ง
“ไม่ให้ผมรอเหรอครับนายหัว” หลอดถาม
“ไม่ต้อง”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่! กลับไปได้แล้ว!”
“ครับ”
หลอดงงงวย ส่วนเขมมิกเองก็แปลกใจ หลอดขับรถออกไป พิแสงเดินมาหาเขมมิก
“ให้ฉันมาพบที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” เขมมิกถาม
“มานี่สิ ฉันอยากคุยกับเธอส่วนตัว”
พิแสงจับมือของเขมมิกแล้วจูงเข้าไปในโรงแรม
พิแสงจูงเขมมิกมาถึงเคาน์เตอร์แล้วคุยกับพนักงานต้อนรับ
“ขอกุญแจห้องด้วยครับ ที่จองเอาไว้”
พนักงานถาม “คุณพิแสงนะคะ”
“ครับ”
พนักงานหยิบกุญแจห้องส่งให้พิแสง
“จองห้องด้วยเหรอคะ” เขมมิกถาม
“ใช่!”
พิแสงไม่รอให้เขมมิกถามต่อ เขารีบพาเธอออกไป
พิแสงจับมือเขมมิกยืนอยู่ภายในลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนตัวเพียงสองคน พิแสงจ้องมองหมายเลขชั้นโดยไม่พูดอะไร เขมมิกรู้สึกอึดอัดมาก
“ฉันขอถามได้มั้ย คุณจะคุยอะไรกับฉัน ทำไมต้องพามาที่นี่ ที่...”
ลิฟท์หยุดที่ชั้น 7
พิแสงพูด “ที่ชั้น 7 ....”
เขมมิกอึ้งเพราะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ประตูลิฟท์เปิดออก พิแสงจูงเขมมิกเดินออกไป
พิแสงพาเขมมิกมาหยุดหน้าห้อง เขมมิกมองหมายเลขห้องแล้วหน้าซีด พิแสงมองหน้าเขมมิก
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เหมือนตกใจ” พิแสงถาม
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ตกใจ” เขมมิกบอก
“คุ้นๆมั้ย” พิแสงถาม
เขมมิกหันมองพิแสงขวับ พิแสงยิ้มให้เขมมิก เขาไขเปิดประตูห้องได้ก็รีบพาเขมมิกเข้าไปแล้วปิดประตูทันที
เขมมิกเข้ามายืนกลางห้องแล้วเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ เขมมิกหันไป พิแสงล็อคห้องแน่นหนา
“คุณกำลังจะทำอะไรกันแน่” เขมมิกถาม
“เมื่อกี้ฉันถามเธอว่า...คุ้นๆห้องนี้มั้ย” พิแสงว่า
“ไม่คุ้น! จะคุ้นได้ยังไง ฉันไม่เคยมาที่นี่”
“อะไรกัน ทำไมลืมง่ายขนาดนี้ เมื่อกลางวันห้องนี้ยังเป็นสวรรค์ชั้น 7 ของเธอกับลุทซ์ คู่หมั้นฝรั่งที่เธอบอกว่าเลิกกับมันไปแล้วอยู่เลย”
เขมมิกตกใจ “คุณ..รู้ได้ยังไง”
“มีอะไรที่เธอโกหกฉันแล้วฉันยังไม่รู้อีกมั้ย เขมมิก”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 11 (ต่อ)
พิแสงย่างสามขุมเข้ามาหาเขมมิก เขมมิกถอยกรูดจนไปชนเตียงแล้วก็ไปไหนไม่ได้อีก
“ตอนนี้ผ้าปูเตียงถูกแม่บ้านจัดซะใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนั้น...มันคงยับยู่ยี่ เพราะเธอกับไอ้ฝรั่งนั่นระเริงสวาทกัน”
เขมมิกโกรธมาก “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“เธอบอกว่าเธอเลิกกับมันแล้ว เพราะเธอรักฉัน แต่เธอก็ยังนัดมันมาเจอ นัดมาทำไม หรือความจริงแล้ว เธอไม่ได้เลิกกับมัน เพราะหลังจากที่เธอหักอกฉันแล้ว เธอก็จะหอบเงินห้าล้านของแม่ฉันไปอยู่กับมัน หา!!”
เขมมิกตกใจ
“ฉันรู้หมดแล้วเขมมิก ว่าเธอมันเลวยังไง....ทุกคำที่เธอพูดออกมา มันไม่เคยมีความจริงอยู่เลย เพราะเธอมันผู้หญิงรับจ้าง ทำได้ทุกอย่าง เห็นแก่เงิน!”
เขมมิกอึ้ง เธอเสียใจจนพูดไม่ออก
“ฉันพูดถูกทุกอย่างใช่มั้ย แล้วที่ยัยน้องเล็ก หรือนายพีทแฟนเก่าพูดถึงเธอก็คงจะถูกทุกข้อด้วยเหมือนกัน ฉันมันโง่ รักเธอซะจนตาบอดหูหนวกไม่ยอมฟังใคร ว่าประวัติเธอมันเน่าเฟะ เที่ยวล่าแต้มนอนมั่วกับผู้ชายของคนอื่น เพื่อเงิน!”
“เออ!เงิน เงินเท่านั้นที่ฉันต้องการ แล้วจะทำไม มีอะไรมั้ย!!” เขมมิกเสียงดัง
“เธอมันไม่ต่างอะไรกับโสเภณี ที่ยอมขายตัว ขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
เขมมิกตบหน้าพิแสงเต็มแรง “หยุดได้แล้ว!”
พิแสงยิ่งโกรธจึงเดินหน้าบี้ต่อ “ไม่หยุด! แม่ฉันจ้างเธอห้าล้านใช่มั้ย ถ้างั้นฉันจะแถมให้อีกล้านนึง สำหรับค่าตัวเธอในคืนนี้!”
เขมมิกตกใจ “อย่านะคุณพิแสง คุณจะทำอะไรฉัน อย่านะ!”
เขมมิกวิ่งหนีไปที่ประตู พิแสงตามไปกระชากตัวเธอกลับมา เขมมิกดิ้นไม่ยอม พิแสงอุ้มเขมมิก
เขมมิกดิ้น “ปล่อยฉันนะ ปล่อย!”
พิแสงอุ้มเขมมิกมาทุ่มลงบนเตียง แล้วเข้าไปคร่อมพร้อมทั้งขึงมือเขมมิกเอาไว้
“ฉันขอร้อง อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันจะไปจากคุณก็ได้ เราจบกันก็ได้ ฉันยอมให้คุณด่ามากกว่านี้ก็ได้ แต่อย่าทำอะไรฉันเลย!!”
เขมมิกดิ้นจนอ่อนแรงด้วยความตกใจจึงร้องไห้ออกมา พิแสงมองเขมมิกอย่างสังเวช
“เธอมันไม่มีค่าพอที่ฉันจะทำแบบนั้นหรอก...เขมมิก”
พิแสงผละออกมาจากเขมมิกอย่างรวดเร็ว เขมมิกอึ้งเพราะแปลกใจ
“ฉันขยะแขยงและสมเพชเธอมากต่างหาก...ถ้าไม่รู้ประวัติเธอมาก่อน ฉันคงคิดว่าเธอเป็นสาวซื่อ และอ่อนต่อโลก เสียใจนะ ฉันไม่เชื่อเธออีกแล้ว”
“ถ้าเกลียดฉันแล้ว....ก็ปล่อยฉันไป....อย่าพูดอะไรอีกเลย” เขมมิกบอก
“ไม่ต้องห่วง...นี่จะเป็นคำพูดสุดท้ายจากปากของฉันสำหรับเธอ”
พิแสงหยิบกระเป๋าเงินก่อนจะหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาวางไว้
“นี่เป็นเงินค่าเดินทางกลับกรุงเทพ ไปซะตอนนี้ ไม่ต้องไปเหยียบที่ฟาร์มของฉันอีก ข้าวของทั้งหมดของเธอ ฉันจะให้คนส่งกลับคืนไปให้”
เขมมิกกลั้นความรู้สึกเสียใจและหัวใจแหลกสลายเอาไว้ พิแสงมองเขมมิกด้วยความรู้สึกทั้งรักและทั้งเกลียดก่อนจะตัดใจเดินออกไป เขาปิดประตูกระแทกอย่างแรง เขมมิกปล่อยโฮออกมาอย่างเจ็บปวด เธอจับที่หัวใจเพราะรู้สึกว่ามันแหลกไม่มีชิ้นดีแล้ว
พิแสงยืนพิงอยู่ที่ประตูห้อง น้ำตาลูกผู้ชายของเขาไหลรินออกมา พิแสงจับที่หัวใจตัวเองที่เต้นแรงจนเหมือนจะหยุดเต้น พิแสงพยายามตัดใจแล้วเดินจากมาอย่างเชื่องช้าเหมือนคนไร้วิญญาณ
เขมมิกค่อยๆเอนตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเสียใจและร้องไห้ไม่หยุด
พิแสงเดินมาอย่างเชื่องช้า เขามองไปทางมุมห้องนั่งเล่น ภาพของเขมมิกในชุดทำงานหน้ามอมแมมปรากฏขึ้น ภาพเขมมิกทรุดลงนั่งในสภาพคอพับแล้วค่อยๆหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
พิแสงอึ้งเพราะรู้สึกเจ็บปวด เขาค่อยๆหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่แต่ภาพของเขมมิกก็หายไปแล้ว พิแสงเดินไปนั่งเก้าอี้ที่เขมมิกเคยนั่ง ภาพของเขมมิกเดินเอาน้ำมาให้เขาพร้อมรอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นที่มุมหนึ่งข้างหน้าแล้วค่อยๆหายไป
พิแสงน้ำตาซึมขึ้นมาอีก ภาพของเขมมิกเดินอ่านหนังสือวนไปวนมาอยู่ข้างหน้าพิแสงปรากฏขึ้นแล้วค่อยๆจางหายไป พิแสงเผลอยิ้มออกมา เขาหันไปทางมุมหนึ่งก็เห็นภาพเขมมิกลิ่งไล่จับปุ๊กลุ้กรอบบ้านปรากฏขึ้นแล้วก็จางหายไป พิแสงห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเขมมิกแต่ทำไม่ได้ ความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทรมาน
เขมมิกที่นอนอยู่ร้องไห้โฮออกมา
เช้าวันใหม่ พิแสงยืนมองเข้าไปในห้องเขมมิกก่อนจะตะโกนลั่น
“ชมพู่!”
ชมพู่วิ่งเข้ามา
“คะ นายหัว”
“เก็บของของเขมมิกให้หมด แล้วส่งคืนให้เขา”
“คะ?”
“อย่าให้เหลือแม้สักชิ้นเดียว”
“คะ?”
พิแสงหันมามองชมพู่ตาเขียว
ชมพู่รีบบอก “รู้เรื่องค่ะ”
พิแสงหันหน้าแล้วเดินออกไป ชมพู่ยืนเกาหัวแกรกๆ
“มีเรื่องอะไรกันวะเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ชมพู่สะดุ้ง
แสงสุดาคุยโทรศัพท์กับชมพู่
“เขมมิกอยู่หรือเปล่า”
“นั่นสิคะ ชมพู่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณเขมไปไหน เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับมาพร้อมนายหัว แถมเมื่อกี้นายหัวสั่งให้ชมพู่เก็บของคุณเขมให้หมดไม่ให้เหลือส้ากชิ้น....”
แสงสุดาตัดบท “เพราะว่าตาใหญ่รู้ความจริงหมดแล้วน่ะสิ ว่าเขมมิกทำงานให้ฉัน!”
“หา! ทำไมเร็วงี้ เพิ่งจะรักกันแหมบๆ”
“ก็เพราะตาใหญ่ไม่ใช่คนโง่น่ะสิ”
“มิน่า นายหัวถึงได้เหมือนคนไร้วิญญาณ เพราะอกหักนี่เอง! โธ่เอ้ย นายหัวของชมพู่ ไม่น่าเกิดเป็นลูกของคุณนายเลยให้ตายเหอะ แม่ประสาอะไร วางแผนให้ลูกชายตัวเองอกหัก จะได้ให้ว่าที่ลูกสะใภ้เสียบ
คิดด้าย ใช้อะไรคิด”
แสงสุดาเสียงเข้ม “นังชมพู่!”
ชมพู่จ๋อย “ขา....”
“จัดการตามที่ตาใหญ่สั่ง ถ้าเขมมิกติดต่อมา รีบบอกให้ติดต่อฉัน”
แสงสุดาวางสายด้วยความเครียด ส่วนชมพู่วางสายด้วยความเศร้า
“น่าสงสารทั้งคู่...คุณเขมเอ๊ย ไม่น่าเลย...”
เขมมิกยืนมองเงินของพิแสงที่วางอยู่ เธอตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะฉวยเงินนั้นแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ซองสีขาวที่บรรจุเงินและปิดผนึกเรียบร้อยถูกยื่นให้เจ้าหน้าที่โรงแรม เจ้าหน้าที่โรงแรมรับมา
“ช่วยโทรแจ้งให้คุณพิแสงมารับด้วยนะคะ” เขมมิกบอก
“ค่ะ”
เขมมิกเดินออกไป พอคล้อยหลังเขมมิกเจ้าหน้าที่ก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรออกหาพิแสงทันที
วาสินีนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะทำงาน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วาสินีรับสายอย่างเนือยๆ
“สวัสดีค่ะ ฟาร์มเพื่อนเกษตรค่ะ...ค่ะ ใช่ค่ะ เป็นเบอร์ออฟฟิศของคุณพิแสงค่ะ ดิฉันเป็นเลขา รับเรื่องให้ได้ค่ะ...อะไรนะคะ...คุณเขมมิกฝากเงินคืนคุณพิแสง....”
วาสินีอึ้งไปก่อนจะยิ้มกริ่มออกมา
“ค่ะ แล้วจะรีบไปรับนะคะ ขอบคุณค่ะที่โทรมาแจ้งให้ทราบ”
วาสินีวางสาย พิแสงเดินเข้ามาพอดี
“ใครโทรเข้าออฟฟิศแต่เช้า” พิแสงถาม
วาสินีตกใจที่เห็นพิแสงจึงรีบพูดรีบกลบเกลื่อนทันที “อ๋อ...ปศุสัตว์จังหวัดน่ะค่ะ จะจัดสัมมนาประจำปี เลยโทรมาแจ้งกำหนดการคร่าวๆเอาไว้”
พิแสงพยักหน้ารับรู้แล้วจะเดินเข้าห้อง
วาสินีเรียกไว้ “นายหัวคะ...”
พิแสงชะงักแล้วหันมา
“ขอโทษนะคะที่ถามละลาบละล้วง แต่น้ำหวานเห็นนายหัวท่าทางไม่สบายใจเลย...ทะเลาะกับคุณเขมมิกเหรอคะ”
พิแสงอึ้ง
ชมพู่กับเสริมกำลังช่วยกันขนกระเป๋าเสื้อผ้าและกล่องใส่ของใช้ของเขมมิกมาใส่หลังกระบะรถ หลอดยืนโม้อยู่ที่รถโดยไม่ได้ช่วยอะไร
“กูว่าแหล่วว ว่าต้องมีเรื่อง! สังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แหม้ ทำไม ซื้อล็อตเตอรี่ไม่ถูกยังงี้บ้างว้า” หลอดว่า
“อยากถูกมั้ย” ชมพู่ถาม
“ถูกอะไร”
ชมพู่หยิกแขนหลอด “ถูกหยิกไง!! ช่วยขนของกันบ้างสิ ยืนบ้าน้ำลายกินแรงผู้หญิงอยู่ได้”
หลอดเดินผ่านเสริมเพื่อจะไปช่วยยกของ
เสริมรู้สึกเศร้าสลดจึงเผลอทิ้งกล่องลงเท้าหลอดพอดี “เฮ้อ!!!”
“อ๊ากส์!!! เห็นเท้ากูเป็นพื้นกระบะรถหรือไง ทุ่มลงมาได้”
“ขอโทษ...แต่คนมันเศร้า มือไม้เลยอ่อน เสียใจเรื่องนายหัวกับคุณเขม”
“อย่าว่าแต่แกเลย ฉันก็เศร้า” ชมพู่บอก “รู้ก็รู้ว่าคุณเขมหลอกนายหัว แต่อดลุ้นไม่ได้สองคนนี้เวลาอยู่ด้วยกันแล้ว...น่าร็อกอ่ะ!”
“ไปลุ้นทำไม เราไม่สนับสนุนคนไม่ดี โดยเฉพาะคนที่มาทำร้ายนายหัว” หลอดบอก
“พี่ไม่ชอบคุณเขมเหรอ” เสริมถาม
หลอดร้องโฮ “โคตรชอบเลย เสียด้าย เสียดาย คุณเขมไม่น่าทำอย่างนี้เลย หลอดเสียใจอ่ะ”
ปริญญ์เข้ามาพอดี เขาเห็นข้าวของเขมมิกแล้วก็แปลกใจ
“นี่มันอะไรกัน...ของๆใคร จะเอาไปไหนกัน” ปริญญ์ถาม
“หมอปิ๊นขา!!! ชมพู่อยากมีคนซับน้ำตา”
ชมพู่จะถลาไปหาปริญญ์ แต่ถูกหลอดกระชากเสื้อเอาไว้เสียก่อน ปริญญ์ยังคงแปลกใจ
พิแสงยืนเหม่อมองออกไปด้วยท่าทางนิ่งงัน วาสินีแอบยิ้มพอใจแล้วรีบทำเป็นตีหน้าเศร้า
“น้ำหวานเสียใจด้วยนะคะ ทะเลาะกันเรื่องอะไรคะ ถึงต้องถึงกับ...เลิกกันรุนแรงมากเลยเหรอคะ”
“อย่ารู้เลยว่าเพราะอะไร” พิแสงบอก
“ถ้าไม่สบายใจที่จะเล่า น้ำหวานก็ไม่เซ้าซี้ค่ะ”
“และขอร้อง...กำชับทุกคนในฟาร์มด้วย ห้ามพูดชื่อผู้หญิงคนนี้ให้ฉันได้ยิน”
“ค่ะ”
“วันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอกมั้ย ถ้าไม่มีจะได้เข้าฟาร์มได้ทั้งวัน”
“ไม่มีค่ะ”
พิแสงเดินออกไป วาสินีมองตามด้วยตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
พิสาเม้าท์ให้พิสินีย์และพิทยาฟัง
“พิสาโทรไปเช็กที่ฟาร์ม ชมพู่มันบอกว่า...พี่ใหญ่สั่งให้เอาของมันทุกชิ้นออกจากบ้านไปให้หมด หลังจากที่ไล่มันออกไปแล้ว ไม่เห็นหน้าอีกเลย ฮ่ะๆ สะใจจริงๆ”
พิสินีย์กับพิทยาตกใจ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“คุณแม่ไม่น่าทำอย่างนี้กับพี่ใหญ่ น่าสงสารจังเลย” พิสินีย์บอก
“ผมเคยเตือนคุณใหญ่แล้วนะ ว่าเขมมิกไม่มีทางจริงใจ แต่เค้าไม่เชื่อเอง” พิทยาบอก
“เลวที่สุด อย่าให้เจอนะ จะฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้นๆเลย” พิสาโมโห
“อย่าเลยน้องเล็ก ในเมื่อเค้าถูกจับได้ขนาดนี้ เค้าคงไม่กล้ามายุ่งกับพี่ใหญ่อีกแล้ว ปล่อยเค้าไปเถอะ ถือว่า...หมดเวรหมดกรรมกันไปแล้วกัน” พิสินีย์บอก
“ไม่ได้ค่ะ มันยังไม่ได้รับผลกรรม เลวเว่อร์ขนาดนี้ แต่กลับได้เงินคุณแม่ไปกอดตั้งห้าล้าน มันไม่ยุติธรรม!”
“พี่ว่า ตอนนี้คนที่พวกเราควรจะสนใจไม่ใช่เขมมิกหรอกนะน้องเล็ก คุณใหญ่ต่างหาก...ตอนนี้คงเสียใจปางตาย” พิทยาบอก
“ยิ่งเสียใจ พี่ใหญ่คงยิ่งมุงานที่ฟาร์มอย่างหนัก โอกาสที่จะกลับมาบริหารสายการบินคงยิ่งริบหรี่ คุณแม่วางแผนผิดพลาดแล้วล่ะ” พิสินีย์ว่า
พิสินีย์และพิสาพากันเป็นกังวลและเป็นห่วงพิแสง ในขณะที่พิทยาแอบยิ้มพอใจทั้งเรื่องเขมมิกเป็นอิสระและพิแสงที่น่าจะติดแหง็กอยู่ที่ฟาร์มต่อไป
พิแสงในสภาพมอมแมมเดินมาล้างมือล้างมือทำความสะอาด พิแสงดูเหน็ดเหนื่อย ปริญญ์เดินเข้ามา
“ผมไม่เชื่อว่าคุณเขมไม่ได้รักคุณ” ปริญญ์พูด
พิแสงอึ้งแต่ยังล้างมือต่อไป
ปริญญ์พูดต่อ “คนที่คิดร้ายและไม่มีความจริงใจ จะไม่มีทางทำอย่างที่คุณเขมทำ”
“อย่าพูดชื่อนี้ให้ฉันได้ยินอีก เตือนแกเป็นครั้งสุดท้ายนะไอ้หมอ”
พิแสงเดินหนีไป ปริญญ์เดินตาม
พิแสงเดินหนีปริญญ์มา
“เรื่องนี้มันต้องมีตื้นลึกหนาบาง คุณเขมต้องมีเหตุผลจำเป็นมากๆถึงได้ยอมทำเรื่องแบบนี้” ปริญญ์บอก
พิแสงชะงัก “ฉันบอกว่าอย่าพูดชื่อผู้หญิงคนนั้น!”
“คุณควรให้โอกาสคุณเขมได้อธิบายตัวเอง....”
ไม่ทันขาดคำของปริญญ์ พิแสงก็หันไปต่อยปากปริญญ์เต็มแรง
“ฉันบอกว่าอย่าพูดชื่อผู้หญิงคนนั้น!”
พิแสงมองหน้าปริญญ์ด้วยความเจ็บปวดมาก
“ผมจะพูด เพื่อไม่ให้คุณลืม ว่าคุณเคยพูดกับผมว่ายังไงในตอนนั้น! ตอนที่คุณเพิ่งรู้ว่าคุณเขมคือน้องปุ๊กลุ้ก” ปริญญ์ว่า
พิแสงอึ้ง
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ปริญญ์ยืนมองพิแสงอุ้มปุ๊กลุ้กอย่างทนุถนอมและมีความสุขมาก
“ฉันรอเวลานี้มาห้าปี ในที่สุด ฉันก็เจอเขา...ปุ๊กลุ้ก” พิแสงบอก
“ดีใจด้วยนะครับ” ปริญญ์เอ่ย
“มันคงเป็นพรหมลิขิต ให้ฉันได้แก้ตัวอีกครั้ง” พิแสงพูดกับปุ๊กลุ้ก “และฉันสัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะดูแลรักแท้ของฉันให้ดีที่สุด”
“ผมดีใจที่คุณเจอกับรักแท้ที่รอมานาน”
“บอกไม่ถูกว่ะไอ้หมอ ว่าทำไมฉันถึงรอ รู้แค่ว่า ฉันต้องรอปุ๊กลุ้ก ถึงจะรอจนแก่ตาย ฉันก็จะรอ...ฉันดีใจที่เขมมิกคือปุ๊กลุ้ก แม้เขาจะเปลี่ยนไปมากจนฉันจำไม่ได้ แต่หัวใจข้างใน คือหัวใจดวงเดียวกันที่ไม่เคยเปลี่ยน ฉันรู้สึกได้”
ปริญญ์ยิ้มดีใจไปกับพิแสง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น พิแสงก็อึ้ง
ปริญญ์ถาม “จำได้มั้ยครับ...”
พิแสงเบือนหน้าหนี
ปริญญ์พูดต่อ “สัญญาของคุณ ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณจะดูแลรักแท้ของคุณให้ดีที่สุด คุณบอกว่าคุณรู้สึกได้ ว่าหัวใจดวงนั้นไม่เคยเปลี่ยน”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อตอนนี้ผู้หญิงหลอกลวงคนนั้นไม่ได้รักฉัน แกถูกเค้าหลอกให้เชื่อ! แกตกเป็นเครื่องมือที่ของเค้า! แกตามเค้าไม่ทัน เพราะแกมันโง่ ไอ้หมอ โง่เหมือนฉัน!”
พิแสงมองปริญญ์อย่างเดือดดาล
“เหมือนทุกคน!” พิแสงบอก
“คุณพิแสง....”
“ความรักทำให้คนตาบอดใช่มั้ย นี่ไง...ฉันคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ที่มองว่าจริตมารยา ที่เขาเสแสร้งแกล้งทำคือความจริง! ฉันจะไม่มีวันให้อภัยผู้หญิงเลือดเย็นคนนั้น และก็อย่ามาสร้างฝันเรื่องรักแท้กับฉันอีก มันเป็นเรื่องหลอกเด็ก”
ปริญญ์อึ้ง พิแสงเดินจากไปอย่างเจ็บปวด
เนตรนิภาจะออกไปข้างนอก เธอย่องออกมามองซ้ายมองขวาเพราะกลัวเจอกนธี
“แท็กซี่ยังมาไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย เกินสิบห้านาทีแล้วนะ”
แท็กซี่คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน เนตรนิภาดีใจจึงรีบโบก
“ทางนี้ค่ะ ทางนี้! เฮ้อ..รอตั้งนาน”
แท็กซี่จอดปุ๊บ เนตรนิภาก็เปิดประตูข้างหลังคนขับปั๊บแล้วลงไปนั่ง
“ไป....” เนตรนิภาเหลือบไปเห็นกนธีนั่งยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจ “ว้าย!”
“จะไปเที่ยวที่ไหนเหรอ” กนธีถาม
เนตรนิภาลงจากรถทันที
กนธีจ่ายเงินให้แท็กซี่ “ไม่ต้องทอนครับ”
กนธีลงจากรถ แล้วรถแท็กซี่ก็แล่นออกไป กนธีพุ่งไปหาเนตรนิภาทันที
เนตรนิภายืนเซ็งอยู่ กนธีเดินเข้ามาหาด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“ไม่คุยๆๆ ไม่ต้องถาม” เนตรนิภารีบปัด
“ผมไม่จำเป็นต้องถามอีกแล้ว เพราะผมรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว” กนธีบอก
“ใครบอกความจริงนาย ว่าเขมรับจ้างท่านรองมาทำให้คุณพิแสงหลงรักแล้วจะหักอกทีหลัง”
กนธีอึ้งเพราะตกใจ “อะไรนะ...คุณเขมน่ะเหรอ...หลอกไอ้พิแสงให้รัก”
เนตรนิภาหน้าเสีย “ตกลง...ที่บอกว่ารู้เรื่องทั้งหมด รู้เรื่องอะไรกันแน่”
“ผมหลอกถามคุณ ในที่สุดคุณก็ยอมคายความจริงออกมา”
เนตรนิภาอึ้งและไม่ตอบ กนธีมองเนตรนิภาอย่างผิดหวัง
“แล้วคุณก็ร่วมมือกับคุณเขมหลอกเพื่อนผม”
เนตรนิภาไม่กล้าสบตา
“คุณทำได้ยังไง...รู้มั้ย...ถ้าเพื่อนผมรู้เรื่องนี้ โลกทั้งใบของมันจะต้องพังถล่ม มันจะต้องเสียใจมาก จนเสียผู้เสียคน เพราะมันรักคุณเขมเหลือเกิน รู้ได้ยังไงว่ารักมาก เพราะผมเห็นเต็มสองตา ได้ยินสองหู ว่าสองคนนั่นดูแลกันและกันดีมากแค่ไหน จนทำให้ผมตัดสินใจได้ง่ายมากที่จะเดินออกมา ไม่คิดไปแข่งกับความรักที่พิแสงมีต่อคุณเขม เพราะมันเทียบกันไม่ได้เลยระหว่างความรักไม้จิ้มฟันของผม กับท้องฟ้าที่หาจุดสิ้นสุดไม่เจอของพิแสง!”
เนตรนิภาทนไม่ไหวเพราะเสียใจเหมือนกัน “ฉันรู้! ว่ามันผิด ฉันรู้ไม่ใช่ไม่รู้! ก็จะให้ฉันทำไงล่ะ ในเมื่อเพื่อนฉันต้องการความช่วยเหลือ คุณรักเพื่อนคุณ ฉันก็รักเพื่อนฉันเหมือนกัน!”
“งั้นคุณก็อยู่กับเพื่อนคุณ ผมก็จะไปดูแลเพื่อนผม”
เนตรนิภาอึ้งเพราะรู้สึกคล้ายถูกผู้ชายบอกเลิก
“หมายความว่ายังไง” เนตรนิภาถาม
“ผมขอเลิกกับคุณ คิดว่าผมจะยอมให้ติ่งอย่างพวกคุณเข้ามาในชีวิตได้อีกเหรอ ไม่มีทาง!”
แท็กซี่คันที่เนตรนิภาเรียกแล่นเข้ามาจอด กนธีรีบขึ้นแท็กซี่คันนั้นไปทันทีอย่างรวดเร็ว เนตรนิภายังอึ้งอยู่จนรถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกไป เนตรนิภาค่อยได้สติ
“เฮ้ย!! นั่นมันแท็กซี่ฉัน! หน้าไม่อาย! ไอ้....โอ๊ย!!”
เนตรนิภาเดินเข้ามาในบ้านด้วยความหงุดหงิด
“เสียอารมณ์ ไม่ซงไม่ซื้อกันแล้วของอ่ะ”
เสียงกริ่งประตูดัง เนตรนิภาสะดุ้งโหยงเพราะตกใจ
“ยังจะตามมาอีก! แค้นแท็กซี่นี้ต้องทวงคืน!”
เนตรนิภาหันไปมองหาอาวุธแล้วก็คว้าแจกันดอกไม้ติดมือก่อนจะเดินออกไป
เนตรนิภาถือแจกันเดินออกมาเตรียมเขวี้ยง
“ไหนบอกว่าไม่ยุ่งกันแล้วไง !!”
เนตรนิภาชะงักเพราะเห็นเขมมิกยืนหน้าเศร้าอยู่หน้าบ้าน
“ไอ้เขม!!”
เนตรนิภารีบไปเปิดประตูทันที
เขมมิกนั่งซึม เนตรนิภามองเพื่อนอย่างสงสาร
“เป็นอันว่า...ตอนนี้ทุกคนก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว” เนตรนิภาสรุป
เขมมิกซึมและไม่ตอบ
“อยากร้องไห้ ก็ร้องได้นะ” เนตรนิภาบอก
“ร้องมาพอแล้ว” เขมมิกพูด
“ความจริง...แกก็น่าจะอธิบายให้คุณพิแสงเข้าใจ ว่าจริงๆแล้วแกรักเขา ส่วนเรื่องเงินค่าจ้างของท่านรอง...ก็แค่..ผลพลอยได้ มันอาจจะแฮปปี้เอ็นดิ้งก็ได้นะ เมื่อคนสองคนหัวใจตรงกัน”
“จะเอาอะไรไปอธิบาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันประกอบกัน ทำให้ฉันเป็นผู้หญิงหิวเงิน หลายใจที่สมบูรณ์แบบมาก”
เนตรนิภาคิดถึงตัวเอง “นั่นสิเนอะ พูดยังไงเค้าก็คงไม่เชื่อ รู้สึกแย่เป็นบ้าเลย”
ตอนที่ 11.4.4
เขมมิกเหลือบมองเนตรนิภาก็เห็นเนตรนิภาเศร้า
“แกหมายถึงนายกนธีกับแกใช่มั้ย” เขมมิกถาม
“อืม เค้าขอเลิกกับฉัน...” เนตรนิภาบอก
“นี่พวกแกไปเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“บ้า ไม่เคย! นายนั่นชอบพูดจาพิลึกแบบนี้แหละ ก็ดี เลิกคบได้ก็ดี คนอะไร มาหาว่าพวกเราเป็นติ่ง แถมยังแย่งแท็กซี่ฉันไปอีกหน้าตาเฉย เลิกพูดเรื่องฉัน มาว่าเรื่องแกเถอะ จะเอาไงต่อ”
“กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เป็นคนอกหักและตกงาน และคงตกอีกนาน เพราะต้องโดนแทงบัญชีดำต่อไป”
“ทำไมล่ะ”
“อย่าลืมสิ ฉันยังทำให้ฟาร์มเค้าเจ๊งไม่ได้”
“อีกหน่อยก็เจ๊ง” เนตรนิภาบอก
“แกรู้ได้ไง”
“คุณพิแสงหัวใจสลาย ทนอยู่ในที่เดิมๆที่เต็มไปด้วยร่องรอยอารยธรรมของแกไม่ได้หรอก ไม่พยายามกำจัดทิ้งก็ต้องหนีไปจากมัน”
เขมมิกอึ้ง พอคิดถึงพิแสงเธอก็ยิ่งปวดใจ
พิแสงอุ้มปุ๊กลุ้กส่งให้ปริญญ์ ปริญญ์รับมาอย่างงงๆ
“เอาไปเลี้ยงในฟาร์ม” พิแสงบอก
“แต่คุณรักมันมาก” ปริญญ์ว่า
“ไม่อีกต่อไปแล้ว”
“โกรธคนแต่มาลงกับหมู หมูไม่ผิด”
“ผิด เพราะมันชื่อปุ๊กลุ้ก พอมั้ยที่มันจะผิด..ชมพู่!!! กระเป๋า!!”
ชมพู่หิ้วกระเป๋าของพิแสงวิ่งออกมา
“มาแล้วค่ะ”
“จะไปไหนครับ”
“ฉันนอนที่นี่ไม่ได้” พิแสงบอก
พิแสงเดินออกไปทันที ปริญญ์กับชมพู่มองตามพิแสงอย่างแปลกใจและเป็นห่วง
เขมมิกตักข้าวเข้าปากอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทางเศร้าซึม เนตรนิภาคอยตักกับข้าวให้เขมมิก เขมมิกเอาเข้าปากโดยไม่มองทำให้กลายเป็นป้อนโดนจมูกตัวเอง เนตรนิภาจับช้อนให้เลื่อนมาที่ปากเขมมิก เขมมิกอ้าปากงับแล้วเคี้ยวหยับๆ อย่างหมดอาลัย
“เอาน่าเขม ถึงจะเป็นคืนเดือนมืด ไม่เห็นแสงดาว แต่เราก็ยังมีแสงจันทร์” เนตรนิภาปลอบ
“แสงจันทร์..อะไร” เขมมิกงง
“แกยังมีเงินที่ท่านรองโอนมาให้เป็นล้านแล้ว คงอยู่ได้อีกนาน ส่วนฉันก็หมดกรรมหมดเวรกับนายธี ชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะ”
เขมมิกอึ้งแล้วยิ้มเศร้า
“รู้สึกเกลียดตัวเอง สมน้ำหน้าตัวเอง มันคงเป็นผลกรรมในอดีตของฉัน ที่ทำลายความรักความฝันของใครหลายคู่ เมื่อฉันมีความรักเป็นของตัวเอง มันเลย....” เขมมิกอึ้งเพราะพูดไม่ออก น้ำตาของเธอซึมออกมา
“ไหนบอกว่าจะไม่ร้องไห้อีกไง”
“ฉันขำตัวเองจนน้ำตาเล็ดต่างหาก ฮ่ะๆๆ สมน้ำหน้าว่ะ ฮ่ะๆๆ”
เขมมิกแค่นหัวเราะทั้งน้ำตาและตักข้าวเข้าปากไปด้วย เนตรนิภาสงสารเพื่อนอย่างที่สุด
“สงสัยบ้าไปแล้วแหงๆ” เนตรนิภาว่า
แสงสุดานั่งคุยกับธรรมศักดิ์ด้วยความร้อนใจ
“ใช่ ร้อนใจจนจะเป็นบ้าอยู่แล้วเนี่ย ฉันติดต่อใครไม่ได้เลย แม้แต่เพื่อนสนิทของเขมมิก ไม่รับสายฉันเลย ให้คนที่ออฟฟิศติดต่อทั้งวันก็ไม่ได้ ไม่รับสายเหมือนกัน”
“เป็นธรรมดาครับ ในยามวิกฤติ อุปสรรคที่เราไม่ได้เชิญจะถาโถมเข้าหาเป็นว่าเล่น เหมือนแกล้ง”
“ตามหาเขมมิกให้เจอ ฉันต้องการปิดจ็อบแม่นั่นให้เป็นเรื่องเป็นราว” เนตรนิภาสั่ง
ธรรมศักดิ์รับคำ “ครับท่าน”
ธรรมศักดิ์ลุกขึ้นโค้งให้แล้วเดินออกไป แสงสุดากระวนกระวายใจและร้อนใจที่ตามหาเขมมิกไม่เจอ
ธรรมศักดิ์เดินออกมาจากห้องของแสงสุดา เขามองซ้ายมองขวาเพราะกลัวเจอพิสุทธิ์
“ทางปลอด...และขอให้ปลอดคุณพิสุทธิ์”
ธรรมศักดิ์จะเดินออกไป พิสุทธิ์เดินมาเห็นก็รีบเรียกไว้ด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“คุณธรรมศักดิ์!”
ธรรมศักดิ์สะดุ้งโหยงและแอบเซ็ง เขาหันไป “ครับ”
“เข้ามาคุยกับผมหน่อย เรื่องเด็กเขมมิก!”
พิสุทธิ์เดินออกไป ธรรมศักดิ์ปาดเหงื่อ
“เรื่องที่ไม่เคยคาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ...โดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว”
ธรรมศักดิ์ตั้งสติแล้วเดินตามพิสุทธิ์ไป
พิสุทธิ์ชูพระเครื่องของตัวเอง
“สาบานต่อหน้าพระเครื่องผมนี่...ว่าทั้งหมดที่คุณเล่าให้ผมฟังเรื่องเด็กเขมมิกเมื่อกี้ เป็นความจริง”
ธรรมศักดิ์ยกมือไหว้พระเครื่องพิสุทธิ์ “ผมสาบานครับ”
“เฮ้อ...ไม่น่าเลย”
“คุณเขมเป็นเด็กดี แต่ที่ทำไปทั้งหมด เพราะมีความจำเป็น ผมเองก็มีส่วนส่งเสริมให้เธอรับงานนี้ เพราะไม่อย่างนั้น เธอคงไม่มีเงินมารักษาโรคมะเร็งของแม่”
“แล้วไอ้เงินที่เค้าไปรับจ๊อบพิลึกๆนั่นล่ะ หรือไม่ก็ความช่วยเหลือจากผู้ชายหลายต่อหลายคนที่เค้าไปมีความสัมพันธ์ด้วย”
“ผมสืบประวัติและเช็กข้อมูลมาอย่างรอบด้านแล้ว...ที่คุณเขมรับจ๊อบพิลึกนั่นเพราะเจตนาดี ไม่อยากให้เพื่อนผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของผู้ชายเจ้าชู้นิสัยเลวเหมือนประสบการณ์เลวร้ายที่เธอเคยเจอมา...ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นกับพ่อตัวเอง พ่อเลี้ยง คุณพิแสงเมื่อตอนที่อยู่เมืองนอก หรือกับคุณพิทยา ลูกเขยท่านเอง”
พิสุทธิ์สะอึก
“ค่าตอบแทนครั้งล่ะหนึ่งหมื่นห้าพันบาท คูณสิบรองรายในระยะเวลาสองปีหลังจากที่เลิกกับคุณพิทยา เป็นเงิน...เอ่อ...” ธรรมศักดิ์อึกอัก
พิสุทธิ์ยื่นเครื่องคิดเลขให้ธรรมศักดิ์
ธรรมศักดิ์รับมา “ขอบพระคุณครับ” ธรรมศักดิ์กดเครื่องคิดเลข “เป็นเงินหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท”
“แต่มะเร็ง รักษากันเป็นล้านๆ” พิสุทธิ์บอก
“และเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายเหล่านั้น อย่างที่ใครๆเอาไปเม้ามอยกัน” ธรรมศักดิ์ย้ำ
พิสุทธิ์ถาม “แน่ใจ?”
“ครับ....”