มณีสวาท ตอนที่ 11
ค่ำคืนเดียวกันนั้น หม่อมภาณีนอนหลับอยู่บนเตียง ท่าทางกระสับกระส่าย เหงื่อแตกพลั่ก ฝันเห็นงูใหญ่ พูดรอดริมฝีปากออกมาเตือนบุตรชาย
“ชาย...ระวัง ชาย...ระวัง”
งูใหญ่ตัวนั้นหันกลับมาอย่างรวดเร็ว มันฉกเข้ามาตรงหน้าหม่อมภาณีอย่างว่องไว แล้วกลายร่างเป็นใบหน้าของเจ้าอุรคา
“ชาย.....”
หม่อมภาณีกรี๊ดสุดเสียง สะดุ้งสุดตัว ลืมตาตื่นลุกขึ้นมา หอบหายใจอย่างตื่นตระหนก กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นกลัว
“ฝัน..เราฝันไป ตาชายนอนกับงู...เจ้าอุรคา!”
หม่อมภาณีฝันร้าย แต่ช่างเหมือนจริงเหลือหลาย สีหน้าประมุขวังนาเคนทร์หวาดหวั่นและเป็นห่วงลูกชายจับใจ
ท่ามกลางความมืดสลัวภุชคินทร์หน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่ก นั่งเนื้อตัวแข็งมองงูตัวใหญ่ขนาดมหึมากำลังเลื้อยลงจากเตียงไปช้าๆ งูตัวนั้นเลื้อยไปทางประตู ก่อนที่ไฟจะถูกเปิดขึ้น สว่างโร่ไปทั้งห้อง เจ้าอุรคาเดินเข้ามา
“เป็นอะไรคะคุณชาย”
ภุชคินทร์คืนสติกลับมาสะดุ้งโหยง “งู...งูเข้ามาในห้อง” พลางกระโจนลงไปจากเตียงคว้าร่างเจ้าอุรคามากอดอย่างห่วงใย
“งูที่ไหนกันคะ? ฉันไม่เห็นมีอะไรเลย”
ภุชคินทร์ละล่ำละลัก “งูมันไปแล้ว...มันเลื้อยออกไปแล้ว”
ภุชคินทร์เดินลิ่วไปยังประตู เห็นประตูปิดสนิท จึงหันกลับมาสบตาเจ้าอุรคา ก็เห็นดวงตาคู่นั้นมองเป็นเชิงถามสงสัย ภุชคินทร์รีบว่า
“ผมเห็นงูจริงๆนะครับเจ้า....มันเลื้อยออกไปทางนี้”
เจ้าอุรคาเดินไปมองที่ประตู ประตูนั้นปิดสนิท ภุชคินทร์เดินไปที่ประตูมองสำรวจ เปิดออกไปเหมือนค้างคาใจมากๆ เจ้าอุรคาเดินตามออกไป
ภุชคินทร์เดินออกมาที่ด้านนอก หน้าห้องพัก เห็นพื้นหญ้าบริเวณนั้นมีสภาพเป็นปกติทุกอย่าง
“ไม่มีอะไรจริงๆ นะคะ”
ภุชคินทร์ทำหน้าเคร่ง “งั้นสงสัยผมคงตาฝาด...หรือไม่ก็ฝันไป” แต่ยังคาใจมากๆ “แต่ตะกี้ผมว่าผมไม่ได้ฝัน แล้วก็ไม่ได้ตาฝาด ผมเห็นงูจริงๆ” ราชนิกุลหนุ่มเดินมองหาตามบริเวณนั้นอย่างสงสัย
เจ้าอุรคาอมยิ้มขำ สัพยอกกลบเกลื่อน “หรือว่า...งูตัวนั้นจะยืนอยู่ตรงนี้คะ”
ภุชคินทร์ยิ้ม “เจ้าก็ช่างพูดเล่น” เข้ามากอดเจ้าอุรคาเดินเล่นด้านนอก “แล้วนี่เจ้าไปไหนมาครับ”
ไไปเดินเล่นมาค่ะ”
“ดีนะครับ ที่ไม่เจองูหรือสัตว์เลื้อยคลานอันตราย ตอนที่เห็นงูผมห่วงมาก กลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตราย” ท่าทีภุชคินทร์ยังคาใจอยู่ ปนสยอง “เพราะงูตัวนั้น ลองถ้ามันรัดหรือฉกใครเข้า ผมว่าไม่มีทางรอด คงตายสถานเดียว”
เจ้าอุรคาหน้าหม่นลงไป แต่แสร้งยิ้มสดชื่นขณะบอก “ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอกค่ะ เพราะฉันคืออุรคาเทวี ผู้ยิ่งใหญ่กว่าอสรพิษใดๆ ทั้งปวง”
“ความรักทำให้ผมเป็นห่วงเจ้า” ภุชคินทร์เอื้อนเอ่ยหวานซึ้ง
“ขอบคุณค่ะที่คุณชายรักฉัน...แต่ฉันอยากรู้...คุณชายรักฉันตรงที่เห็นฉันเป็นอย่างนี้ หรือรักฉันตรงที่ฉันเป็นฉัน”
“ผมรักเจ้าตรงที่ เจ้าคือเจ้าอุรคา”
“แล้วถ้าวันหนึ่ง ถ้าคุณชายเห็นฉันกลายร่างเป็นพญางูใหญ่ล่ะ คุณชายจะยังคงรักมั้ย”
“รักสิ...เพราะถึงตอนนั้น...เราก็คงกลายร่างเป็นพญางูใหญ่ด้วยกัน และครองรักกันตราบจนนิรันดร์”
เจ้าอุรคาฟังแล้วยิ้มอย่างโล่งใจ “ขอบคุณค่ะ”
ภุชคินทร์ตระกองกอดเจ้าอุรคาแน่น สองคนกอดกันนิ่งนานก่อนที่เจ้าอุรคาจะบอก
“เข้าข้างในกันเถอะค่ะ”
ภุชคินทร์กอดประคองเจ้าอุรคาเดินเข้าไปด้านใน
ครู่ต่อมาภายในห้องพัก ภุชคินทร์นอนหลับสนิทในลักษณะกอดเจ้าอุรคาเอาไว้ ท่าทางของภุชคินทร์อบอุ่นเป็นสุขแตกต่างจากเจ้าอุรคาที่นอนลืมตาโพลง เจ้าอุรคาหันหน้ามองภุชคินทร์ ก่อนจะร่ายมนตร์ ยกมือลูบที่หน้าของภุชคินทร์ แล้วลุกขึ้นมา
นาฬิกาบอกเวลาค่อนรุ่ง 5.00 น. ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง ดร.วิชัยสิงห์ท่าทางตื่นเต้นหยิบ
โทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายถึงใครบางคน รอสาย แล้วพลางพูดละล่ำละลักอย่างตื่นเต้นกับตัวเอง
“ความจริงจะถูกเปิดเผย ข้อมูลที่มีการยืนยันด้วยหลักฐาน จากคุณชายภุชคินทร์ว่าเจ้าอุรคามิได้เป็นทายาทผู้สืบเชื้อสายพญานาคเท่านั้นแต่เธอคือพญานาคอย่างที่หลายคนสงสัยกัน”
ทว่า เสียงจากปลายสายดังตู๊ด...ตู๊ดเป็นจังหวะ เหมือนไม่มีคนรับสาย วิชัยสิงห์บ่นงึมงำ
“บ๊ะ! สำนักข่าวอะไรวะ? โทร.ไปตั้งนานไม่มีคนรับ”
ปลายสายโทรศัพท์มีคนรับแล้ว
“สวัสดีค่ะ สำนักข่าวไทยนิวส์ค่ะ”
ระหว่างนั้นพญางูใหญ่ค่อยๆ เลื้อยแล้วชูคอเข้ามายังหน้าต่างห้องพักที่เป็นกระจก งูตัวนั้นจ้องดูวิชัยสิงห์อยู่ไม่วางตา ขณะที่วิชัยสิงห์ละล่ำละลักดีใจ
“ผมดร.วิชัยสิงห์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทวะวิทยาจะเปิดแถลงข่าว พร้อมข้อมูลที่จะช็อกชาวโลก”
“เรื่องอะไรคะ” เสียงนักข่าวซัก
“ตำนานพญานาค...ที่ต่อไปจะไม่ได้เป็นแค่ตำนาน...บุคคลนั้นมีตัวตน มีชีวิตอยู่และจับต้องได้จริงๆ ทันทีที่ผมบอกออกไป จะต้องมีแต่คนตกใจ เพราะ...เธอผู้นั้นคือ...”
ก่อนที่วิชัยสิงห์จะหลุดชื่ออกจากปาก จังหวะงูใหญ่ตัวนั้นพุ่งเข้ามาในห้อง และตรงเข้าไปรัดร่างของวิชัยสิงห์จนล้มลง วิชัยสิงห์ร้องลั่น
เสียงนักข่าวดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ “ด๊อกเตอร์ คะ...เธอผู้นั้นคือใครคะ? ด๊อกเตอร์ ๆ”
ร่างของวิชัยสิงห์ถูกงูยักษ์รัดแน่นขึ้นอีก วิชัยสิงห์ร้องขอความช่วยเหลือ เจ็บปวดแทบหมดลมแล้ว
“ช่วยด้วยๆ”
“ด๊อกเตอร์คะ...ด๊อกเตอร์ เป็นอะไรไปคะ ได้ยินมั้ยคะ?..เธอคนนั้นคือใครคะด๊อกเตอร์”
วิชัยสิงห์รวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้าย “เธอ..คะ..คือ...”
งูใหญ่ตัวนั้นฉกลงมายังลำคอของวิชัยสิงห์จมเขี้ยว เท่านั้นแหละวิญญาณของวิชัยสิงห์ก็หลุดออกจากร่าง ขาดใจตายทันที และเสียงโทรศัพท์ก็หลุดไป ดังตู๊ดๆๆ
เจ้าอุรคาคืนร่างมนุษย์ มองดูร่างของวิชัยสิงห์ที่นอนตายตาเหลือกโพลงด้วยความโกรธ ชิงชังและสาแก่ใจ
“เจ้าคงลืมไปสินะว่าเจ้าสัญญากับข้าไว้ยังไง เจ้าเป็นฝ่ายผิดคำสัตย์เองนะมนุษย์ผู้ละโมบ!”
ในวันต่อมา สองพ่อลูกคุยกันอยู่ในสวน นาถสุดายืนอยู่ท่าทางไม่สบายใจเหมือนเคย ด้านหลังคือพันเอกนรินทร์ นาถสุดาบอกอย่างทุกข์ใจเรื่องญาติผู้พี่
“นาถไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะคุณพ่อ...ว่าพี่สุบรรณจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนั้น...พี่สุบรรณเป็นเหมือนคนที่นาถไม่เคยรู้จัก ดูน่ากลัว น่ากลัวมาก...เหมือนไม่ใช่พี่ชายของนาถคนเดิม”
“คนทุกคนมีด้านมืดของตัวเอง ที่ไม่อยากให้ใครรู้”
นาถสุดาเครียดหนักจนน้ำตาคลอ “งั้น...แสดงว่าเรื่องที่คุณศิษฐ์บอกนาถก็เป็นเรื่องจริง...” หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนบอกบิดาเสียงเครือ “นาถ....นาถจะเปิดใจคุยกับคุณศิษฐ์ค่ะ”
“ก็ดีลูก เพราะการพูดคุยแบบเปิดใจ อย่างน้อยก็ทำให้นาถกับไพศิษฐ์เข้าใจกันมากขึ้น...อีกอย่าง ถ้าคิดอย่างเลวร้ายที่สุด เราก็ยังมีโอกาสได้เตือนสุบรรณ ไม่ให้ถลำลึก ไม่ให้ทำความผิดเหมือนที่ผ่านๆ มา”
นาถสุดามองหน้าพ่อ ก่อนพยักหน้าคล้อยตาม
ที่สถานีตำรวจเวลานั้น แต่ละคนวุ่นวายเหมือนมีเรื่องด่วน ไพศิษฐ์บอกผู้ใต้บังคับบัญชา
“ทุกคนเร็ว รีบไปที่เกิดเหตุ”
“ครับผู้กอง”
ไพศิษฐ์กำลังจะเดินนำออกไป เสียงมือถือดังขึ้น ไพศิษฐ์รับเสียงเคร่ง ท่าทียังคร่ำเคร่งจริงจังอยู่กับการทำงาน
“ว่าไงนาถ”
นาถสุดายังอยู่ที่บ้าน ท่าทางจ๋อยๆ ลง หลังจากที่ผ่านมา งอน ไม่เข้าใจ ต่อว่าไพศิษฐ์เยอะ
“คุณศิษฐ์คะ...นาถมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องพี่สุบรรณค่ะ”
“ตอนนี้ผมยุ่งมาก ต้องไปทำคดีด่วน ไว้วันหลังค่อยคุยกันนะนาถ”
ไพศิษฐ์วางสายไปแล้ว นาถสุดาหน้าจ๋อย ถือมือถือค้าง ด้านไพศิษฐ์สั่งการลูกน้อง
“ไปเร็ว ทุกคน”
จ่าชิดยิ้มเย้า “ก็รอผู้กองนี่ละครับ”
“ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะจ่า ไป”
“คร้าบ...” ลูกน้องในทีมรับคำขำๆ
จ่าชิดและผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ตามไพศิษฐ์ไปรวดเร็ว
ไม่นานต่อมาที่หน้าโรงแรมที่พักของดร.วิชัยสิงห์ เห็นรถจากสำนักข่าวต่างๆ จอดอยู่อย่างมากมาย แสดงให้เห็นว่าทุกสำนักสนใจข่าวนี้มาก
ส่วนด้านในห้องพักของดร.วิชัยสิงห์ เห็นนักข่าวมาทำข่าวและเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเก็บหลักฐาน
“ตรวจหาหลักฐานการตายให้ละเอียด” ไพศิษฐ์สั่งการ
“ครับ” ลูกน้องรับคำ
ร่างของวิชัยสิงห์นอนนิ่ง สภาพศพตาเหลือกลาน ไพศิษฐ์และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจดูอย่างละเอียด และเห็นหน้าต่างบานหนึ่งแตกกระจาย นอกจากนั้นสภาพห้องปกติ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ มีเพียงร่องรอยดิ้นรนของวิชัยสิงห์
สายตาทุกคู่แลเห็นรอยเขี้ยวขนาดใหญ่ที่ลำคอของวิชัยสิงห์
ไพศิษฐ์มองที่รอยเขี้ยวขนาดใหญ่นั้น ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่ นักข่าว ช่างกล้องถ่ายภาพกันอย่างสนใจ
ภาพข่าวจากจอทีวี กำลังนำเสนอข่าวการเสียชีวิตของดร.วิชัยสิงห์
“ส่วนสาเหตุการตายที่แท้จริงของดร.วิชัยสิงห์คืออะไร เจ้าหน้าที่จะทำการหาหลักฐานพิสูจน์
ต่อไป” ผู้สื่อข่าวร่ายงาน
ภิงคารนั่งดูข่าวทีวีกับหม่อมภาณี เฟื่องฟ้าเฟื่องวลี และนารีวรรณ ภิงคารพึมพำ
“ทำไมถึงได้กะทันหันอย่างนี้?”
“บางข่าวก็บอกว่า ก่อนที่ดร.วิชัยสิงห์จะเสียชีวิต เค้าได้โทร.ไปที่สำนักข่าว บอกว่าจะเปิดแถลงข่าวเรื่องตำนานพญานาคด้วยนะคะ เค้าบอกว่าพญานาคมีตัวตนจริงๆ”
ฟังเฟื่องฟ้าว่า ภิงคารนิ่งไป คิดถึงก่อนหน้านั้นที่วิชัยสิงห์มาบอกว่าอยากพบเจ้าอุรคา เฟื่องวลีเสริม
“พยานที่เป็นนักข่าวยังบอกต่ออีกว่า ดร.วิชัยสิงห์...กำลังจะบอกอยู่แล้วเชียว ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ? แต่ดร.วิชัยสิงห์เกิดตายเสียก่อน”
หม่อมภาณีซึ่งที่มีท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่สบาย นั่งดมยาลมยาหอมอยู่ ทำท่าเครียดขึ้นมา
“มีพญานาคเข้ามาเกี่ยวอีกแล้ว”
“อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ครับพี่ภาณี”
“พี่ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ...กำลังมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น” หม่อมบอกอย่างมั่นใจ
“หม่อมพูดเหมือนได้เจออะไรอีกเหรอคะ” เฟื่องฟ้าถาม
“เมื่อคืนดิฉันฝันร้าย”
เฟื่องวลีถามรัวเร็วอยากรู้มาก “ฝันว่าอะไรคะ”
แววตาของหม่อมภาณีรู้สึกหวาดระแวง กลัวอยู่ “ฝัน.ฝัน..ว่า...ตาชายนอนอยู่กับงู...งูใหญ่...งูตัวนั้นเหมือนกับพญานาค”
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีตกใจ ร้องขึ้นพร้อมๆ กัน “พญานาค”
เฟื่องวลีหันขวับมามองเฟื่องฟ้า “คุณแม่”
“อะไรคะคุณลูก?”
เฟื่องวลีพูดรัวเร็วท่าทีตกอกตกใจมาก “งั้น...ที่เราเห็นพี่ชายไปกับเจ้าอุรคา..ก็แปลว่า...”
ทุกคนหันขวับมามองสองแม่ลูกเป็นตาเดียว
เวลาเดียวกันที่ริมสระน้ำในวังนาเคนทร์ นารีวรรณคุยปรับทุกข์กับพะนอฤดีเรื่องที่มารดาฝันแปลก พะนอฤดีทำเสียงตกใจ
“ตายๆๆๆป่านนี้พี่ชายต้องแย่ไปแล้วแน่ๆ”
“บ้าน่า...คุณแม่แค่ฝัน พี่ฤดีอย่าบ้าจี้..ตามคุณฟีบี้ไปหน่อยเลย”
“ก็มันน่ากลัวนี่คะ พี่ฤดีว่าที่คุณแม่หนูนาฝัน ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ...” พะนอฤดีทำสีหน้าท่าทาง และสุ้มเสียงแหยงๆ “ดีไม่ดีป่านนี้พี่ชายอาจจะนอนอยู่กับพญานาคจริงๆ ก็ได้”
“ทำไมพี่ฤดีถึงพูดอย่างนั้น”
“ก็...พี่เคยอ่านหนังสือเจอว่าพญานาค สามารถแปลงร่างเป็นคนเพื่อมาสมสู่กับมนุษย์ได้...ยัยฟีบี้ก็บอกไม่ใช่เหรอ ว่าพี่ชายไปกับเจ้าอุรคา”
นารีวรรรณได้แต่เงียบงัน
คืนนั้นภายในห้องพักที่แสงทองริมโขงรีสอร์ท ภุชคินทร์กำลังปูจัดที่นอน ท่าทีอ่อนโยนแบบไม่ค่อยได้เห็นจากผู้ชาย เจ้าอุรคายืนมอง ดวงตาหมองลงไป เสียงยมนาดังก้องในหัว
“อุรคาเทวี...เจ้าอาจจะกำลังยินดีปรีดากับความสุข แต่ถ้ามนุษย์ผู้นี้ได้รู้ถึงกายหยาบที่แท้จริงของเจ้า เจ้าคิดหรือว่า...เขาจะยอมรับในตัวเจ้าได้”
ภุชคินทร์หันมาเห็น เจ้าอุรคารีบปรับเปลี่ยนสีหน้าท่าทาง ภุชคินทร์ตรงเข้ามากอดเจ้าอุรคา
“เจ้าทำหน้าอย่างนี้อีกแล้ว...คิดอะไรอยู่ครับ”
เจ้าอุรคาฝืนยิ้ม “คิดว่า...นี่ยังเป็นความจริงอยู่ใช่มั้ย ที่เราได้อยู่ด้วยกัน!”
ภุชคินทร์ยิ้มอย่างเอ็นดู “ครับ...เป็นความจริง แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป เพราะผมรักเจ้า”
ภุชคินทร์ยืนโอบเจ้าอุรคาเอาไว้ มือของเจ้าอุรคากุมมือของภุชคินทร์ที่โอบเธอเอาไว้ มือเรียวงามนั้นจับมือของภุชคินทร์แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไป ภุชคินทร์ก้มลงจูบที่ขมับแผ่วเบา
“ผมว่าท่าทางเจ้าจะไม่ค่อยสบาย...เจ้าพักผ่อนนะครับ”
ภุชคินทร์ประคองร่างของเจ้าอุรคาตรงไปยังที่นอน พานอนลงไปก่อนจะผละออกเจ้าอุรคามอง
สงสัย ที่ภุชคินทร์ไม่ได้นอนลงไปด้วย แต่เหมือนจะไปไหน
“ผมจะไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำหน่อย” ภุชคินทร์บอก
“ฉันไปด้วยค่ะ” เจ้าทำท่าจะลุกตามไป
“อากาศข้างนอกเย็น เดี๋ยวเจ้าจะยิ่งไม่สบาย เจ้าพักผ่อนดีกว่านะครับ”
ภุชคินทร์แตะร่างของเจ้าอุรคาให้นอนลงไปใหม่ ยิ้มอ่อนโยน จูบที่หน้าผากอีกทีก่อนเดินออกไป
เจ้าอุรคามองตาม ก่อนจะลุกเดินตามออกไป
เจ้าอุรคาเดินออกไปที่บริเวณด้านนอกรีสอร์ท ทันเห็นด้านหลังของภุชคินทร์เดินไปลิบๆ แต่ภุชคินทร์ไม่ได้เดินไปทางลำน้ำโขง แต่เดินไปอีกทาง เจ้าอุรคาจะตามไป แต่ต้องชะงักเมื่อยมนาปรากฏร่างขึ้น
“ยมนา...ท่านมาที่นี่...มีเหตุอันใด”
“ข้ามาเพื่อเตือนสติท่าน หยุดเถิดอุรคาเทวี ที่ผ่านมาเจ้าได้ทำกรรมมากเกินพอแล้วอย่าได้สร้างวิบากกรรมเพิ่มขึ้นอีกเลย”
“การที่ข้ารักท่านภุชเคนทร์นั่นหรือคือการสร้างวิบากกรรม”
“ใช่”
“ถ้าเช่นนั้นมันก็ควรค่าถ้าหากวิบากกรรมนั้นจะทำให้ข้ากับท่านภุชเคนทร์ได้รักกันทุกภพทุกชาติ” เจ้าอุรคาประชด
ยมนาย้อนถาม “คิดหรือว่าที่ภุชคินทร์มาที่นี่เพราะความรักที่มีต่อเจ้า”
เจ้าอุรคามองสบตายมนา สายตามีความประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในที ยมนาบอกต่อ
“ไปเถิด เจ้าตามไปดูเถิดอุรคาเทวี แล้วเจ้าจะรู้ว่าภุชเคนทร์มาที่นี่เพราะสาเหตุอันใด”
เจ้าอุรคาได้แต่สบตายมนาอย่างคาใจ
ด้านหลวงพ่อเจ้าอาวาสมองมาอย่างอันตั้งมั่น สบตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตของภุชคินทร์ ก่อนถามเสียงอ่อนโยนเพื่อเตือนสติ
“ดึกดื่นขนาดนี้ โยมอุตส่าห์ตามหาอาตมาเพราะต้องการถามหาท่านสุบรรณ”
“ครับพระคุณเจ้า ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา”
“แน่ใจหรือว่าตั้งใจที่จะคุยกัน? การพูดคุย หรือการสนทนาแตกต่างจากการวิวาท”
ภุชคินทร์ฉงน “พระคุณเจ้า รู้ความในใจของผม”
หลวงพ่อมองมาอย่างเมตตา “ถ้ามีทุกข์ ต้องการดับ อาตมาช่วยได้ แต่ถ้ามีทุกข์เพราะต้องการตอบสนองแรงอาฆาต พยาบาท อาตมาว่าไม่ควร”
ภุชคินทร์เถียง ตาวาวโรจน์ “แต่สิ่งที่เขาทำกับผม”
“เวรย่อมระงับด้วยการจองเวรไม่ใช่หรือ” หลวงพ่อยืนนิ่งๆ “ยามวิกาลของฆราวาส ก็คือการนอนหลับพักผ่อน ยามวิกาลของสงฆ์คือ เวลาในการเร่งสร้างความเพียร”
ภุชคินทร์เริ่มรู้สึกตัว “ผมขอโทษ”
“อาตมาไม่ถือโทษ แต่อยากให้โยม ยุติการถือโทษคนอื่นด้วยเช่นกัน”
หลวงพ่อพูดจบ ก็เดินกลับเข้าไปในกุฏิ ภุชคินทร์ยืนหน้านิ่ว ฮึดฮัดอยู่อย่างนั้น
“ผมทำเหมือนท่านยังไม่ได้ เพราะสิ่งที่ไอ้สุบรรณทำกับผม มันรุนแรงเกินกว่าผมจะให้อภัยได้”
ที่มุมหนึ่งตรงด้านหลัง เจ้าอุรคายืนนิ่งน้ำตาไหลพราก รู้เห็น และได้ยินทุกอย่าง
เจ้าอรุคาวิ่งมาที่ลำน้ำโขง ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
“ไม่...ท่านภุชเคนทร์มาที่นี่เพราะรักเรา ไม่ใช่ตามมาเพราะท่านสุบรรณ”
เสียงร้องไห้ครวญคร่ำของเจ้าอุรคาดังก้องท้องน้ำแม่โขง ฟังดูเจ็บปวดเหลือแสน
คืนนั้นที่อำนาจนั่งดูข่าวอยู่ สุบรรณเดินมาหา อำนาจรายงาน
“ผลการพิสูจน์หลักฐานออกมาแล้ว ดร.วิชัยสิงห์ตายเพราะพิษงู แต่ไม่ทราบชนิดเพราะพิษของงูตัวนั้นรุนแรงกว่าพิษงูจงอางถึง100 เท่า”
สุบรรณตั้งข้อสังเกต “ฉันสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรรมอำพราง ฆ่าตัดตอนขบวนยาเสพติด เพราะที่ฉันรู้จากข่าววงในนายวิชัยสิงห์เป็นหนึ่งในขบวนการค้ายาข้ามชาติ แต่เอาเรื่องวิจงวิจัยอะไรบ้าๆ นั่นมาบังหน้า”
“แต่..ใครจะเสี่ยงเอางูพิษขนาดนั้นเข้าไปในห้องของดร.วิชัยสิงห์ล่ะครับนาย น่ากลัวจะตาย แล้วตามข่าว จนท.สันนิษฐานกันว่า งูมันพุ่งมาทางกระจกหน้าต่าง” อำนาจบอก
“งูบ้าที่ไหนจะพุ่งมาทางหน้าต่าง”
“ก็อาจจะเป็นงูบ้าๆ งูขนาดใหญ่เหมือนกับที่ เรา...เคยเจอที่บ้านของเจ้าอุรคา” อำนาจบอกอย่างเกรงใจ
สุบรรณอึ้งไปเมื่อนึกถึงวันนั้น
ด้านไพศิษฐ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องที่สน. ยกมือกุมขมับลักษณะอาการบอกว่าเครียดจัด นาถสุดาแวะมาหา และเอากาแฟมาให้
“กาแฟค่ะ”
ไพศิษฐ์เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าฉงน “อ้าว! นาถ ขอบคุณมาก มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่คุณเอามือกุมขมับแล้วล่ะค่ะ ปวดหัวเรื่องอะไรอีกคะ? หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับนาถนะ”
ไพศิษฐ์อมยิ้มพูดเย้า “นาถไม่เคยทำให้ผมปวดหัว...ที่เราสองคนปวดหัว...ก็มีแต่ทะเลาะกันเรื่องของคนอื่น หรือไม่จริง”
นาถสุดายิ้มบางๆ “ก็จริงค่ะ....” หญิงสาวยืนนิ่งจับมือไพศิษฐ์มากุมไว้ “นาถไม่อยากให้คุณคิดมากเรื่องคดี”
“ไม่ได้หรอกนาถ...ตอนแรกผมพุ่งประเด็นไปที่การฆ่าตัดตอน แต่จากหลักฐานมันไม่ใช่ สภาพภายในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ทุกอย่างปกติ มีเพียงกระจกหน้าต่างที่แตกกระจายเหมือนมีวัตถุขนาดใหญ่พุ่งเข้าชน และดร.วิชัยสิงห์ที่ถูกงูกัดตาย ซึ่งพยานที่เป็นนักข่าวระบุว่า ดร.วิชัยสิงห์กำลังจะบอกว่าใครคือพญานาค”
“แต่เค้าก็ถูกงูกัดตายซะก่อน อย่างนั้นใช่มั้ยคะ”
“ใช่”
นาถสุดาพูดเป็นเชิงถาม “งูมาจากไหน”
“นั่นสิ...งูมาจากไหน เท่าที่เจ้าหน้าที่ชันสูตรตรวจสอบอย่างละเอียด ภายในบริเวณโรงแรมไม่มีร่องรอยของงูเลย มันเหมือนกับ จู่ๆ งูปริศนานั่นก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง” ไพศิษฐ์ตั้งข้อสังเกต
“แปลกจังเลยนะคะ”
“ใช่! แปลกมาก ประหลาดมาก โดยเฉพาะลักษณะของเขี้ยวงูที่เจอ...มันคล้ายกับร่องรอยที่เจอในตัวของนายสุรินทร์กับนายปัญญา”
“ที่ถูกงูใหญ่กัดตายที่บ้านเจ้าอุรคา”
“ใช่”
ไพศิษฐ์พยักหน้ารับ
มณีสวาท ตอนที่ 11 (ต่อ)
หม่อมภาณีเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องโถงวังนาเคนทร์ ท่าทางคิดไม่ตก สีหน้าหนักใจมาก นึกไปถึงความฝันที่เห็นภุชคินทร์นอนกับงูใหญ่ ที่กลายร่างเป็นเจ้าอุรคา
ในที่สุดหม่อมภาณีหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออกอย่างร้อนใจ
เวลาเดียวกันภุชคินทร์เดินมาตามทางจะเข้ารีสอร์ทหน้าเครียดรับสาย
“ครับคุณแม่”
“ชายอยู่ที่ไหนลูก”
“ธาตุพนมครับคุณแม่”
“ชายไปทำไม”
ภุชคินทร์เงียบไม่ตอบ ขณะเดินเข้าภายในห้องพักแล้ว ด้านหม่อมภาณีถามรัวเร็ว
“ชายไปกับเจ้าอุรคาใช่มั้ยลูก”
“ครับแม่”
หม่อมภาณีเว้าวอน “ชายกลับมาได้มั้ยลูก รีบกลับมาบ้าน...แม่เป็นห่วง”
“ไม่มีอะไรน่าห่วงเลยครับคุณแม่...ผมอยู่กับเจ้าอุรคามีความสุขดี”
“แต่แม่...อยากให้ชายกลับ นะลูก..กลับมา” หม่อมภาณีเซ้าซี้ เพราะห่วงลูกชาย
“อีกไม่กี่วันผมก็จะกลับแล้วครับคุณแม่”
“แต่แม่อยากให้ชายกลับมาวันนี้ แม่เป็นห่วง!”
ภุชคินทร์เปิดประตูเข้าห้องพัก กวาดสายตามองหา แต่ไม่มีเจ้าอุรคาในห้อง จึงรีบตัดบท
“ไว้ผมจะรีบกลับนะครับ คุณแม่ครับ...แค่นี้ก่อนนะครับ”
ภุชคินทร์วางสาย ทางฝั่งหม่อมภาณี ยิ่งห่วง พึมพำกับตัวเอง
“ตาชายอยู่กับเจ้าอุรคา....เหมือนกับที่เราฝันจริงๆ”
หม่อมภาณีคว้ากุญแจรถแล้วผลุนผลันออกไปทันที
ไม่นานต่อมาเห็นหม่อมภาณีขับรถออกไปจากวังอย่างรวดเร็ว
ด้านภุชคินทร์มองทั่วห้อง แต่ด้านในห้องว่างเปล่า ไม่มีเจ้าอรุคา
“เจ้า...เจ้าครับเจ้า”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ภุชคินทร์เดินหาเจ้าอุรคาจนทั่วห้อง แต่ไม่เจอ สีหน้าภุชคินทร์เหมือนคิดอะไร
ได้ รีบเดินออกจากห้องไป
ภุชคินทร์เดินลิ่วมาที่ริมลำน้ำโขง เห็นเจ้าอุรคานั่งหันหลังอยู่ ภุชคินทร์สาวเท้าเข้าไป เมื่อใกล้จึงได้ยินเสียงสะอื้น
“เจ้า...”
ภุชคินทร์ตกใจรีบจับตัวเจ้าอุรคาให้หันมา ใบหน้าสวย เลอะไปด้วยหยาดน้ำตา
“เจ้าร้องไห้ทำไม”
“ร้องไห้...ให้กับความโง่เขลาของตัวเอง”
“ทำไมเจ้าถึงพูดอย่างนี้”
“คุณชายไม่ได้มาที่นี่เพราะฉัน แต่คุณชายมาที่นี่ เพราะต้องการมาหาท่านสุบรรณ”
ภุชคินทร์แย้ง “ไม่นะครับเจ้า ผมมาที่นี่เพราะเจ้า”
เจ้าอุรคาเสียงเครือ “แล้วที่คุณชายไปที่วัด ถามหาท่านสุบรรณกับท่านเจ้าอาวาสหมายความ
ว่าอย่างไรคะ”
ภุชคินทร์เงียบไปนิด ก่อนตอบ “มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำไม่ใช่หรือ”
“ไม่น่าเลย ฉันไม่น่าให้คุณชายรับรู้ถึงอดีตเลย เพราะคุณชายไม่ได้ให้ความสำคัญในความ
รักของเรา แต่กลับให้ความสำคัญกับความแค้นแทน”
ภุชคินทร์เสียงเข้มขึ้น “ชีวิตไม่ได้มีแค่อย่างเดียว เจ้าจะให้ผมคิดถึงแต่ความรักเพียงอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้”
ถ้อยความนั้นเสียงแทงหัวใจเจ้าอุรคาเจ็บปวดมาก เสียงยิ่งสั่นเครือ “ใช่...ชีวิตไม่ได้มีแค่อย่างเดียว ฉันเองก็เคยตามมาเพื่อแก้แค้นท่านสุบรรณ แต่เมื่อได้มาอยู่กับคุณชาย ดิฉันลืมความแค้นนั้นจนหมดสิ้น ทุกวินาทีดิฉันมีแต่คุณชาย ได้ยินมั้ยคะ ทุกวินาทีดิฉันมีแต่คุณชาย”
ภุชคินทร์ทั้งตกใจและเสียใจ “เจ้า”
พลางภุชคินทร์เอามือแตะตัวเจ้าอุรคา แต่เจ้าอุรคาสะบัดมือออก
“ผมขอโทษ”
“อย่าขอโทษ ถ้าคุณชายไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ฉันผิดเอง ผิดเองที่รักคุณชาย จนหลงคิดไปว่า คุณชายจะคิดอย่างฉัน รู้สึกอย่างฉัน แต่ไม่เลย...อุรคา...เจ้าบ้าไปเพียงคนเดียว” เจ้าอุรคาร้องเสียงดังด่าว่าตัวเอง “เจ้าบ้าไปเพียงคนเดียว”
เจ้าอุรคากรีดร้อง หันหลังวิ่งลงไปในน้ำ ภุชคินทร์ตามมาคว้าตัวเอาไว้ เจ้าอุรคาสะบัดตัวออก
“ไม่ควรเลย อุรคา..เจ้าไม่น่ามายังโลกมนุษย์เลย”
ภุชคินทร์กอดรัดเอาไว้ “ผมขอโทษครับเจ้า...ผมขอโทษ...ต่อไป...ผมจะไม่คิดถึงอะไรนอกจากเจ้า
อีก ผมจะไม่คิดถึงใครนอกจากเจ้าอีก”
“สัญญา...คุณชายจะลืมท่านสุบรรณ คุณชายจะไม่คิดแก้แค้นท่านสุบรรณอีก”
ภุชคินทร์นิ่งเงียบไป เจ้าอุรคาคาดคั้น
“รับปากกับฉันสิคะ...รับปาก”
“ถ้าเพื่อความสบายใจของเจ้า” ภุชคินทร์พยักหน้าแต่ไม่ได้พูดเป็นคำพูดออกมา ดึงร่างอุรคามา
กอดแทน “ผมรักเจ้า...และสัญญาว่าจะรักเจ้า...ตลอดไป”
เจ้าอุรคากอดตอบ แต่สีหน้ายังมีความประหวั่นไม่แน่ใจ
กลางดึกคืนนั้นภายในห้องพัก ภุชคินทร์นอนกอดเจ้าอุรคาเอาไว้ มือของภุชคินทร์ลูบที่เรือนผมของเจ้าอุรคาแผ่วเบา สายตามีแต่ความเคียดแค้นเกลียดชังสุบรรณ ภุชคินทร์นึกในใจ
“ผมขอโทษเจ้า....แต่ผมทำใจให้อภัยไอ้สุบรรณไม่ได้จริงๆ”
เจ้าอุรคารับรู้สัมผัสจากมือที่เกร็งกระตุกขณะลูบเรือนผม จึงเงยหน้าขึ้นถาม
“คุณชายยังไม่นอน”
“ผมนอนไม่หลับ”
“ถ้าฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณชายนอนไม่หลับ ฉันคงเสียใจมาก”
“ไม่ครับ ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้น...คุณชายนอนซะนะคะ...นอน”
เจ้าอุรคามองภุชคินทร์ด้วยดวงตาเว้าวอน ภุชคินทร์พยักหน้า
“ครับ..ผมจะนอน...เจ้าก็นอนเหมือนกันนะครับ อย่าคิดมาก กังวลอะไรอีก”
“ค่ะ”
เจ้าอุรคารับปาก มองมาที่ภุชคินทร์เขม็ง จนภุชคินทร์จำต้องหลับตาลงก่อน โดยที่เจ้าอุรคามองอยู่อย่างนั้น ไม่นานภุชคินทร์ก็ผล็อยหลับไป
เจ้าอุรคาซบหน้าลงกับอก กอดภุชคินทร์แน่น รักและหวงแหนเหลือแสน
เช้าตรู่ แสงสีทองเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเรืองๆ รถของหม่อมภาณีแล่นเข้ามาจอดที่หน้าแสงทองริมโขงรีสอร์ท หม่อมก้าวลงรถแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะขับรถมาทั้งคืน
ระหว่างนั้นแลเห็นด้านหลังยายสุนีย์ หญิงชราเจ้าของรีสอร์ท เดินช้าๆ มาปิดไฟตามจุดต่างๆ ไฟดับลงทีละดวง หม่อมภาณีเดินเข้าไปหา ยายสุนีย์ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันมาหา หม่อมภาณีถาม
“ที่นี่มีแขกชื่อภุชคินทร์เข้าพักมั้ยคะคุณยาย”
ยายสุนีย์มองไม่ตอบ ดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างสงสัย หม่อมภาณีรีบบอก
“ดิฉันเป็นแม่ของเค้านะค่ะ...พอดีมีธุระด่วน เค้าพักอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
ยายสุนีย์พยักหน้า หม่อมภาณีถามอีก
“ห้องไหนคะ”
ยายสุนีย์ชี้บอกห้องไป โดยไม่พูด
“ขอบคุณค่ะ”
หม่อมภาณีกล่าวขอบคุณ ค่อยๆ เดินไป ตามทาง
หม่อมภาณีค่อยๆ เดินไปตามทางในแสงทองรีสอร์ท ทางเดินนั้นค่อนข้างเงียบ แลดูวังเวง
“น่ากลัวจังเลย”
หม่อมภาณีสาวเท้าไปยังห้องพักของภุชคินทร์ ท่ามกลางความเงียบ เสียงฝีเท้าของหม่อม
กระทบพื้นเป็นจังหวะ ฟังดูน่ากลัว จนหม่อมต้องก้าวเท้าผ่อนๆ เสียง ยิ่งเข้าใกล้ห้องของภุชคินทร์
หัวใจของหม่อมก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ
หม่อมภาณียกมือไหว้ “อย่าให้เจอเหมือนอย่างในฝันเลย”
หม่อมภาณีเดินเข้าไป หน้าต่างห้องพักของภุชคินทร์เปิดแง้มอยู่ ตอนแรก หม่อมสาวเท้าเดินผ่านไป แต่จากหางตาเหมือนเห็นอะไรบางอย่างภายในห้อง หม่อมภาณีจรดปลายเท้าถอยหลังกลับมา มองลอดม่านเข้าไป
ท่ามกลางความมืดสลัวที่เริ่มมีแสงสว่างลอดเข้าไปบ้างแล้ว หม่อมภาณีเห็นภุชคินทร์นอนหลับสนิท มือก่ายกอดงูตัวใหญ่ที่นอนพาดอยู่ข้างๆ งูตัวนั้นซุกหัวที่ซอกคอภุชคินทร์ หัวใจหม่อมภาณีแทบหยุดเต้น หม่อมภาณีร้องกรี๊ดออกมาอย่างสุดเสียง
“อ๊าย... งูๆๆๆๆๆๆๆ”
ด้านในห้อง ภุชคินทร์สะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมา ลืมไปเลยว่าอ้อมแขนของตัวเองกอดอะไรอยู่ ภุชคินทร์กระโดดไปที่หน้าต่างมองออกไป เห็นหม่อมภาณียืนปิดหูปิดตาร้องกรี๊ดๆ อยู่
“คุณแม่”
ภุชคินทร์วิ่งออกไปทันที
ส่วนที่ด้านนอก จู่ๆ ยายสุนีย์ปรากฏร่างขึ้นมา ชนิดที่หม่อมภาณีไม่รู้สึกตัว ถามเสียงเย็น
“มีอะไรหรือคุณ”
หม่อมภาณีหลับหูหลับตาชี้เข้าไปในห้อง “งูยักษ์ งูยักษ์ในห้อง”
ภุชคินทร์วิ่งเข้ามาพอดี “คุณแม่”
“ตาชาย” หม่อมวิ่งมาจับตามเนื้อตามตัว ร้องอย่างดีใจปนตกใจ “ตาชายของแม่ งู...งูมันไม่ได้ทำอะไรลูกใช่มั้ย”
“งู...งูที่ไหนครับคุณแม่”
“ก็งูในห้องลูกไง แม่เห็นลูกนอนกับงู” หม่อมชี้เข้าไปในห้อง
ภุชคินทร์ชะงัก เพราะตนก็เคยเห็น ก่อนจะมองเข้าไปในห้องทางหน้าต่าง ปลอบใจมารดา
“คุณแม่ตาฝาดไปน่ะครับ ในห้องไม่เห็นมีอะไรเลยครับคุณแม่”
“มีสิ...ทำไมจะไม่มี แม่เห็นกับตา”
หม่อมภาณีมองเข้าไปในห้อง แต่บนเตียงนั้นว่างเปล่า ไม่มีงูแต่อย่างใด
“มันอาจจะเลื้อย..เลื้อยหนีไปแล้วก็ได้ หรือไม่ก็ยังอยู่ในห้อง”
หม่อมภาณีบอกรัวเร็ว น้ำเสียงมั่นใจเต็มที่
ภายในห้อง ภุชคินทร์เดินสำรวจอย่างละเอียดโดยที่หม่อมภาณียืนเนื้อตัวสั่นอยู่ด้านหน้า ส่วนยายสุนีย์ยืนเฉยๆ ท่าทางคล้ายกับชรายุไม่มีผิด ยายสุนีย์บอกเสียงเฉียบเย็น
“ไม่เห็นมีอะไร”
“แต่ฉันเห็นจริงๆ นะ” หม่อมย้ำ แล้วหันมาพูดกับภุชคินทร์ “แม่เห็นจริงๆ งูตัวใหญ่นอนอยู่กับลูก”
ภุชคินทร์อึ้งไปยังไม่ทันจะพูดอะไร ยายสุนีย์ก็พูดขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็น
“ที่นี่ไม่มีงู คุณตาฝาด”
ภุชคินทร์อ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง “คุณแม่ คงจะตาฝาด”
หม่อมภาณีเข้ม “แม่ไม่ได้ตาฝาด แม่เห็นจริงๆ ลูกนอนอยู่บนเตียงกับงู” หม่อมละล่ำละลัก “เหมือนที่แม่ฝันไม่มีผิด และงูตัวนั้น...มันก็กลายร่างเป็นเจ้าอุรคา” หม่อมเน้นย้ำอีก “มันกลายร่างเป็นเจ้าอุรคา ไหน..เจ้าอุรคาอยู่ไหน? เจ้าอยู่ไหน”
หม่อมภาณีเดินเข้าไปในห้องแบบลืมกลัว จะหาเจ้าอุรคา แต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงดังขึ้น
“ดิฉันอยู่นี่ค่ะหม่อม”
หม่อมภาณีและภุชคินทร์หันขวับไปมอง ก็เห็นเจ้าอุรคาในชุดลำลองสวยงาม เหมือนตื่นนานแล้วยืนอยู่ ยายสุนีย์ทักทาย
“วันนี้เจ้าตื่นเช้าเสียจริง ยายเห็นเดินเล่นอยู่ที่ริมโขง ตั้งแต่เช้า แต่ไม่อยากไปกวน”
หม่อมภาณีมองเจ้าอุรคาสลับกับยายสุนีย์ด้วยความสงสัย เพราะมั่นใจว่าเจ้าอุรคาเป็นงูตัวนั้น แต่ยายสุนีย์กลับบอกว่าไปเดินเล่น!
เจ้าอุรคาหันมาทอดยิ้มให้ยายสุนีย์ พลางเอื้อนเอ่ยอย่างมีไมตรี เหมือนคนมักคุ้นกัน
“วันหลัง ไม่ต้องเกรงใจ...ไปเดินเล่นด้วยกันนะคะยาย...อากาศที่ริมน้ำโขง ตอนเช้า สบายดี”
เจ้าอุรคายิ้มอ่อนโยนให้หญิงชรา พร้อมกับยกมือไหว้หม่อมภาณีท่าทีนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
หม่อมภาณีถอยหลังกรูดมาบังภุชคินทร์เอาไว้ มองอย่างไม่ไว้ใจ ท่าทีหวาดกลัว ไม่รับไหว้ บอกภุชคินทร์เสียงเข้ม
“กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”
“อะไรครับแม่”
หม่อมภาณีบอกเสียงแข็ง ในท่าทีหวาดหวั่น “แม่บอกให้กลับบ้าน”
“คุณแม่”
หม่อมภาณีมองเจ้าอุรคาเขม็งขณะบอกลูกชาย “ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คน เธอเป็นผี เป็นนังปิศาจ”
“ไม่นะคะหม่อม ดิฉันไม่ใช่”
หม่อมภาณีสวนคำขึ้นมา “เมื่อก่อนฉันเคยสงสัย แต่ฉันยังเชื่อเธอ แต่ตอนนี้ฉันไม่เชื่อ เพราะฉันเห็นกับตาว่าเธอเป็นงูยักษ์ เป็นปิศาจ” หม่อมดึงมือภุชคินทร์ “ชาย! แม่บอกให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้ กลับ!”
ไม่พูดเปล่าหม่อมภาณีออกแรงดึงภุชคินทร์ ร่างของหม่อมภาณีและภุชคินทร์ผ่านเจ้าอุรคาและ
ยายสุนีย์ไป โดยที่หม่อมไม่สนใจมองเลย เจ้าอุรคาหน้าซีด
“หม่อมคะหม่อม..คุณชาย!”
เจ้าอุรคาได้แต่มองตามคุณชายภุชคินทร์ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
หม่อมภาณีเดินดึงมือภุชคินทร์ออกมายังด้านหน้า ภุชคินทร์ร้องบอก
“ใจเย็นๆ ครับคุณแม่ ค่อยๆ คุยกันก่อนครับ”
หม่อมภาณีเสียงเข้ม “มีอะไรไปคุยกันที่บ้าน ไม่ใช่ที่นี่”
“ผมจะทิ้งเจ้าอุรคาไว้ที่นี่คนเดียวได้ยังไง ในเมื่อเธอเป็นภรรยาผม”
หม่อมภาณีอึ้งไป ก่อนจะว่าแรงๆ “ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน มันเป็นผี ชายจะมีเมียเป็นผีไม่ได้”
ภุชคินทร์พยายามใจเย็น “ตอนนี้คุณแม่คงไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไร คุณแม่กลับไปก่อนนะครับ
เดี๋ยวผมจะตามกลับไป”
“แม่บอกว่าไม่ก็ไม่สิ”
หม่อมภาณีกรีดร้อง กระชากแขนของภุชคินทร์สุดแรง มือของภุชคินทร์สัมผัสโดนแจกันดอกไม้
หล่นลงแตก สองแม่ลูกหันขวับ และหม่อมภาณีก็แทบสิ้นสติเมื่อเห็นยายสุนีย์อีกคน งัวเงียตื่นขึ้นมาจากเก้าอี้ไม้โยกที่ตั้งอยู่หลังเคาน์เตอร์
“อ้าว! คุณทำอะไรแตก” หญิงชราร้องทัก สองแม่ลูก
หม่อมภาณีหน้าตื่น ตกใจมาก “ยาย...ยายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ภุชคินทร์มองยายสุนีย์ ช็อกไปเหมือนกัน ยายสุนีย์ตอบเสียงเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป เหมือนเพิ่งเจอกัน
“ก็ฉันนอนอยู่นี่ แล้วนั่นทะเลาะกับลูกมาหรือ ถึงได้มาทำแจกันฉันแตก”
หม่อมภาณีออกอาการกลัวมาก กำมือภุชคินทร์แน่น ทำท่าจะร้องไห้ “ชาย..แม่อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว แม่อยู่ที่นี่ไม่ได้แม่ไม่รู้ว่าใครเป็นผี ใครเป็นคน พาแม่กลับกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้”
ภุชคินทร์ยืนนิ่งลังเล หม่อมภาณีเสียงดังบังคับ
“เร็ว”
หม่อมภาณีออกแรงลาก คราวนี้ภุชคินทร์ยอมทำตามหม่อมภาณีแต่โดยดีด้วยความรู้สึกที่อื้ออึง
“อะไรของเค้า ใครเป็นคน ใครเป็นผี...” หญิงชรามองตัวเอง “เราก็เป็นคนนี่นา”
ยายสุนีย์ได้แต่มองตามอย่างสงสัย
-ตัดไป-
ภายในห้องพัก เจ้าอุรคานั่งร้องไห้อยู่บนเตียงปิ่มว่าจะขาดใจ ด้านล่างมีชรายุนั่งอยู่แทบเท้า
“ขอโทษค่ะเจ้า...ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”
“ท่านภุชเคนทร์บอกว่าจะไม่ทิ้งเรา แต่เขาก็ทิ้งเราไปอีกแล้ว”
“ที่เจ้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อสานรักกับเขา...แต่เจ้าต้องการให้ท่านภุชเคนทร์ถอนคำสาบานมิใช่หรือคะ” ชรายุถาม
“เจ้ากำลังต่อว่าเรา ที่ปล่อยให้ราคะครอบงำตัวเอง ใช่...เรายอมรับ ช่วงเวลาที่อยู่กับท่านภุชเคนทร์เรามีความสุขเหลือเกิน มีความสุขจนลืม ว่าเราเองต้องทำสิ่งใด...” เจ้าอุรคาร่ำไห้อย่างอาดูร “ช่างน่าละอายใจนัก เราจะไปตามท่านภุชเคนทร์กลับมา”
“อย่าค่ะเจ้า”
“อย่าห้ามเราชรายุ เราขอเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนี้เราจะไม่หลงในตัณหาราคะ...เราจะไปขอให้ท่านภุชเคนทร์ถอนคำสัตย์สาบานนั้น!”
สีหน้าของเจ้าอุรคาเด็ดขาดจริงจัง ชรายุได้แต่มองตามเป็นห่วง
ที่แท้ยายสุนีย์คนแรก คือชรายุแปลงกลายมาช่วยเจ้าอุรคาไว้ แต่ไม่สำเร็จ
ทางด้านภิงคารที่นั่งทำงานอยู่ที่กระทรวงฯ มีสีหน้าไม่สบายใจครุ่นคิดถึงคำพูดของ ดร.วิชัยสิงห์ ที่เอ่ยถึงเจ้าอุรคา
“ไม่ใช่ว่าใครจะครอบครองมณีนาคสวาทได้ง่ายๆ ผู้ที่ครอบครองมณีนาคสวาทได้ ต้องสืบเชื้อสายมาจากพญานาคเท่านั้น...ผมทราบมาว่า เจ้าอุรคา ณ ภูจำปาเป็นผู้ครอบครองมณีนาคสวาท”
รวมทั้งคำพูดของเฟื่องวลีก่อนหน้านี้
“พยานที่เป็นนักข่าวยังบอกต่ออีกว่า ดร.วิชัยสิงห์...กำลังจะบอกอยู่แล้วเชียว ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แต่ดร.วิชัยสิงห์เกิดตายเสียก่อน”
ภิงคารพึมพำ
“หรือว่า...เธอคนนั้น..จะเป็นเจ้าอุรคา!”
สายตาของภิงคารเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นยิ่ง ก่อนหยิบมือถือขึ้นมา
“ผู้กอง...ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ไม่นานนัก ภายในร้านกาแฟบรรยากาศโปร่ง มุมหนึ่งด้านนอก สองคนนั่งคุยกันท่าทางซีเรียส ไพศิษฐ์บอกภิงคาร
“ผมไม่เคยรู้มาก่อน ว่าดร.วิชัยสิงห์เดินทางมาที่นี่เพื่อต้องการพบเจ้าอุรคา”
“เค้าเป็นเพื่อนน้าเอง...แต่น้าไม่คิดจริงๆ ว่าดร.วิชัยสิงห์จะจากไปอย่างกะทันหันพร้อมทิ้งปริศนามากมายเอาไว้ โดยเฉพาะอาจจะเกี่ยวพันกับเจ้าอุรคา ทั้งเรื่องการตายเพราะพิษงู...และเรื่องของพญานาค”
“มีเพียงคนเดียวเท่านั้นครับคุณน้าที่จะไขปริศนาทุกอย่างได้ คนที่สนิทสนมใกล้ชิดเจ้าอุรคามากที่สุด” ไพศิษฐ์บอกสุ้มเสียงมั่นใจ
ภิงคารฉงน “ใคร”
“นายชาย! แต่เค้าต้องพร้อมจะให้ความร่วมมือกับเราด้วยนะครับ”
ตกตอนกลางคืน ภุชคินทร์บอกกับหม่อมภาณีเสียงแข็ง
“ไม่ครับคุณแม่...ผมไม่มีวันเลิกยุ่งเกี่ยวกับเจ้าอุรคาอย่างเด็ดขาด”
หม่อมภาณีพูดไปร้องไห้ไป “ชายทำไมพูดอย่างนี้ล่ะลูก ชายรู้ตัวมั้ยลูก ว่าลูกกำลังถูกมนต์ผีปีศาจ ครอบงำ”
ภุชคินทร์เถียง “เจ้าอุรคาไม่ใช่ปีศาจครับคุณแม่”
“แต่เค้าก็ไม่ใช่คน หรือชายจะปฏิเสธ” ผู้เป็นแม่ย้อนถาม
ภุชคินทร์เงียบไป หม่อมภาณีอ้อนวอน
“ชาย..ลูกต้องเข้มแข็ง...ลูกจะใจอ่อนตามเค้าไม่ได้ เค้าไม่ใช่คน เค้ากำลังกลืนกินชีวิตลูก”
“เจ้าไม่มีทางทำร้ายผม...เจ้ารักผม...ผมสัญญากับเจ้าแล้วว่าผมจะไม่ทิ้งเธอไปไหน เธอเป็นภรรยาผมนะครับแม่” ภุชคินทร์เริ่มไม่พอใจ
หม่อมภาณีกรีดร้อง ครวญคร่ำ “แต่จะให้แม่สูญเสียชายไป แม่ไม่ยอม...” ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ “ ชาย...รักเค้า ชายเลือกเค้า แต่ชายกำลังจะฆ่าแม่ ฆ่าตัวเอง”
หม่อมภาณีทรุดตัวลงร่ำไห้อย่างน่าสงสาร นารีวรรณเข้ามากอดหม่อมร้องไห้ไปด้วยกัน
“พี่ชายคะ...เห็นแก่คุณแม่ซักครั้งเถอะค่ะ เชื่อคุณแม่นะคะ ในโลกนี้มีเพียงคุณแม่ที่รักและหวังดีกับพี่ชายที่สุด นะคะพี่ชาย”
ภุชคินทร์มองมายังแม่และน้อง แววตาเสียใจ “ผมขอโทษครับที่ทำให้คุณแม่เสียใจ แต่ผม...เลิกกับเจ้าอุรคาไม่ได้จริงๆ”
หม่อมภาณีหมดแรง ล้มลง กรีดร้องหัวใจสลาย “ตาชาย.....”
ภุชคินทร์เดินออกไป สวนกับภิงคารที่เดินเข้ามา มองตกใจ
“ตาชาย” ภิงคารวิ่งเข้าไปหาหม่อมภาณี “คุณพี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ตาชายกำลังถูกเจ้าอุรคาครอบงำ” หม่อมพูดละล่ำละลัก “ภิงคารช่วยตาชายที เธอต้องช่วยหลาน
นะภิงคาร เธอต้องช่วยหลาน...เธอจะปล่อยให้หลานไปนอน ไปเสพสมกับเดรัจฉานไม่ได้”
ภิงคารงวยงง “พี่พูดอะไรน่ะพี่ภาณี”
หม่อมภาณีละล่ำละลัก พูดซ้ำย้ำอยู่คำเดิม “เจ้าอุรคาเป็นงูผีภิงคาร เจ้าอุรคาเป็นงูผี”
ภิงคารและนารีวรรณตกตะลึง หม่อมภาณีกอดภิงคารและนารีวรรณร้องไห้โฮๆ
ภุชคินทร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ทันทีที่ประตูปิดสนิท ภุชคินทร์ก็ได้แต่เอามือขย้ำศีรษะกลัด
กลุ้ม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ท่าทางเครียดจัด ไม่รู้จะทำอย่างไร
ราตรีอีนเงียบสงัด เจ้าอุรคายืนนิ่งอยู่กลางท้องน้ำในลำน้ำโขง น้ำตาไหล ร่ำไห้ด้วยความเสียใจยิ่ง เสียงของหม่อมภาณีดังก้องขึ้นมาอีก
“เจ้าอุรคาเป็นงูผี...เจ้าอุรคาเป็นงูผี”
“เราไม่ใช่งูผี เราคือพญานาค...ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องน้ำ” เจ้าอุรคาเปล่งวาจาตอบโต้
พลันนั้นเองยมนาปรากฏร่างขึ้น มองเจ้าอุรคาอย่างสังเวชใจ
“เจ้ามิเคยฟังคำเตือนของกัลยาณมิตรเลยนะ”
เจ้าอุรคารู้สึกเสียใจมาก “เรารู้...ตั้งแต่วันนั้น หากว่าเรายุติ พญานาคผู้ยิ่งใหญ่ก็จะไม่ถูกดูหมิ่นดูแคลนว่าเป็นเพียงงูผี ทั้งๆ ที่โดยแท้จริงแล้ว พญานาคคือผู้ใฝ่บำเพ็ญเพียรภาวนา รักในการปฏิบัติธรรมถือศีล แต่เราปล่อยให้ตัณหาราคะครอบงำ ทำให้มนุษย์ประณามไปถึงบรรพบุรุษของเราว่าต่ำต้อย เป็นแค่งูผี บุญของเรากำลังเสื่อมถอย ภพชาติต่อไป เราคงได้เกิดเป็นแค่งูดิน...เดรัจฉานเต็มตัว”
“ตราบใดที่ยังไม่สิ้นลม เจ้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองได้ เร่งสร้างความเพียรเถิดอุรคา อย่าให้เสียภพภูมิ”
สิ้นคำกล่าว ยมนาหายวับไป เจ้าอุรคาทอดสายตามองบนท้องฟ้า ยกมือไหว้พระพุทธองค์ ใบหน้ายิ้มอิ่มเอิบ เสมือนผู้ซึ่งพร้อมจะปลดปลงปล่อยวางแล้ว ร่างของเจ้าอุรคาค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องน้ำโขง กลายร่างเป็นพญานาคตัวใหญ่ในบัดดล ส่วนอีกมุมของท้องน้ำชรายุยืนยิ้มปลื้มปีติ ก่อนที่ร่างของชรายุจะดำดิ่งหายไปในท้องน้ำเช่นกัน
ตอนเช้าๆ ขณะที่สุบรรณล้างหน้าอยู่ในห้องน้ำ สายตาจดจ้องที่กระจกเงา เห็นเงาหัวของตัวเองไม่มี สุบรรณสะดุ้ง
“เฮ้ย”
สุบรรณมองเพ่งมองไปที่กระจกเงา เห็นว่าเงาศีรษะตนยังอยู่เหมือนเดิม แต่ความรู้สึกในใจประหวั่นอยู่เหมือนกัน สุบรรณได้แต่ถามตัวเอง
“หรือไอ้คุณชายมันจะทำอะไรเรา”
มณีสวาท ตอนที่ 11 (ต่อ)
ไม่นานนักสุบรรณเดินออกมายังรถที่หน้าคฤหาสน์ อำนาจเดินตรงเข้ามา รอรับใช้เหมือนเดิม สุบรรณบอก
“วันนี้ฉันไม่เข้าที่ทำงานนะ”
“นายจะไปไหนครับ”
อำนาจถาม สุบรรณไม่ยอมตอบ
ครู่ต่อมาสองข้างทางที่รถสุบรรณแล่นมา แลเห็นวิวทิวทัศน์สวยงาม ราวกับไม่ใช่เมืองไทย สุบรรณบอกตัวเองในใจ
“ผมรู้ว่าบาปกรรมที่ผมเคยทำตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตชาติกับคุณชายภุชคินทร์มันรุนแรงเกินกว่าจะให้อภัย และผมก็ไม่รู้...ว่าตั้งแต่วินาทีนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับผม...แต่สิ่งที่ผมอยากให้เจ้ารู้... ไม่ว่าจะภพชาติไหน ผมก็จะรักเจ้าตลอดไป เจ้าอาจจะรำคาญ แต่ผมก็อยากจะไปบอกกับเจ้า เพราะครั้งนี้อาจจะเป็นการบอกรักครั้งสุดท้ายของผม แม้เจ้าอาจจะไม่สนใจฟังมันเลยก็ตาม”
สุบรรณขับรถตามทางไปอย่างมาดหมาย จุดหมายคือเฮือนภูจำปา
สุบรรณขับรถมาจอดยังบริเวณที่เคยเป็นเฮือนภูจำปา สุบรรณก้าวลงมาทำหน้าฉงน เมื่อภาพที่อยู่
ตรงหน้า มีแต่ป่ารกครึ้ม ไม่มีเฮือนภูจำปาแต่อย่างใด จังหวะนั้นภุชคินทร์ขับรถมาจอดทางด้านหลังของสุบรรณ ก้าวลงมา ภุชคินทร์ไม่เห็นเฮือนภูจำปาเช่นกัน
สองหนุ่มหันมามองหน้า เขม่นกันอยู่ในที แต่ท่าทางของภุชคินทร์วู่วามมากกว่า ไม่พูดพล่ามทำเพลง พุ่งตรงเข้าไปชกหน้าสุบรรณอย่างแรง โดยไม่ให้ตั้งตัว จนสุบรรณล้มลง ภุชคินทร์ชี้หน้าตะคอกด่า
“เพราะคุณ ทำให้เจ้าต้องพรางบ้าน รู้ทั้งรู้ว่าเจ้ารังเกียจคุณแค่ไหน คุณก็ยังจะตามมาอีก”
“ถึงเจ้าจะรังเกียจผม มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” สุบรรณเน้นคำ “เพราะมันเป็นเรื่องของผมกับเจ้า”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของผม เลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเจ้า ไม่อย่างนั้นจะเจ็บตัวมากกว่านี้”
ภุชคินทร์กำหมัดชกเข้าที่หน้าของสุบรรณอีกที สุบรรณหันหน้ากลับมา หัวเราะเยาะ แววตากร้าว แข็งก่อนผลักร่างของภุชคินทร์ออก แล้วลุกขึ้นกระชากคอเสื้อคืน
“เมียแล้วไง...ถ้าฉันชอบ ฉันจะแย่ง! แย่ง..เหมือนกับที่เคยแย่งแก เมื่อชาติก่อนไง ไอ้คุณชายภุชเคนทร์”
สุบรรณคำรามเย้ยเยาะ พร้อมกับปล่อยหมัดซัดเข้าที่หน้าของภุชคินทร์อย่างแรง ภุชคินทร์ล้มลงสุบรรณตามไปซ้ำ กระชากคอเสื้อขึ้นมาอีก
“แกนี่มันรนหาที่จริงๆ ...จำไม่ได้เหรอ ชาติก่อนน่ะ ก่อนตายแกมีสภาพยังไง??
ภาพพญาครุฑฉีกร่างนาคาภุชเคนทร์ จนกระอักเลือดตาย ผุดขึ้นมาในหัวทั้งคู่
ที่ใต้ท้องน้ำ เจ้าอุรคานั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่ ท่าทางร้อนรุ่ม เมื่อแลเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
“เย็นไว้อุรคา เย็นไว้”
เจ้าอุรคาพยายามหลับตาข่มใจเจริญภาวนา แต่ดวงตาที่หลับอยู่กลับเต้นระริก
ส่วนที่บริเวณเฮือนภูจำปา ดวงตาของภุชคินทร์มองสุบรรณอย่างคั่งแค้น ขณะที่ดวงตาของสุบรรณเต็มไปด้วยแววเยาะหยันและดูแคลน
“แกอยากมีสภาพแบบนั้นอีกใช่มั้ย”
สุบรรณซัดเข้าที่ใบหน้าของภุชคินทร์อีกหลายหมัด ภุชคินทร์ทรุดลงกับพื้น เลือดไหลออกมาจากมุมปาก ดูยังไงก็รู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ถึงฉันจะตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าอุรคาก็ไม่มีวันรักแก”
“ไม่รักก็ช่าง เพราะฉันก็จะตามไปทำลายความรักของแกทุกชาติไปเช่นกัน ไอ้ภุชคินทร์”
สุบรรณต่อยอีก ภุชคินทร์เริ่มหมดแรง
“กระดูกคนละเบอร์ มวยคนละรุ่น ยังไงแกก็ไม่มีทางเอาชนะฉันได้ รู้ไว้ไอ้ภุชคินทร์”
สุบรรณลุกขึ้นเตะเสยปลายคางเต็มแรง ร่างของภุชคินทร์ลอยละลิ่วแล้วเซล้มลงกับพื้นหมดสติไป
ใต้ท้องน้ำยามนั้น ดวงตาเจ้าอุรคาลุกโพลงขึ้นข่มความโกรธไม่อยู่แล้ว นัยน์ตาคู่นั้นฉายประกายเป็นสีแดงเข้ม อันเป็นดวงตาของพญานาคีนั่นเอง
ทั่วทั้งลำน้ำโขงค่ำคืนนั้น เกิดเหตุการณ์ประหลาด อากาศแปรปรวน ท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นสีดำทะมึน ลมพัดแรงจนท้องน้ำกระเทือนเลื่อนลั่น ราวกับฟ้าจะพิโรธ
เจ้าอุรคาทะยานโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ดวงหน้าดุดัน ได้แต่กรีดร้องอย่างโกรธแค้นสุดขีด ดวงตาเหลือกลานพร้อมจะทำลายสุบรรณทุกขณะจิต เจ้าอุรคาตะโกนก้อง
“แก...ไอ้พญาสุบรรณ...” เจ้าอุรคาพูดน้ำเสียงเข้มกว่าเดิม กระแทกเสียงอย่างอาฆาตพยาบาทสุดขีด “ไอ้พญาสุบรรณ!”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่พญาสุบรรณฉีกร่างภุชเคนทร์ผุดขึ้นมาเพิ่มความแค้นในใจนางพญานาคี
ท้องน้ำสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับบ้าคลั่ง เหมือนความโกรธแค้นในใจของเจ้าอุรคายามนี้
คำเตือนสติของยมนาที่ต่อว่าต่อขานเจ้าอุรคาว่าไม่รับเคยฟังกัลยาณมิตรก้องในหู เจ้าอุรคายกมือกุมศีรษะ เจ็บปวดรวดร้าวกับการต่อสู้ในใจ
ภาพสุบรรณทำร้ายภุชคินทร์ผุดขึ้นมาหลอกหลอนอีก เจ้าอุรคาทนไม่ไหวโกรธแค้นสุดแสน ว่ายน้ำจะเข้าฝั่ง ระหว่างนั้นเหล่าพญานาคในร่างมนุษย์สวมชุดขาว ด้านบนสวมมงกุฎสีแดง ซึ่งแท้จริงคือหงอนที่กำลังล่องลอยในลำน้ำโขง หลบเลี่ยงหลีกลอยห่างจากเจ้าอุรคาไปราวกับไม่อยากเสวนา
เจ้าอุรคาพึมพำเสียงแผ่ว ดวงตาแสดงความเสียใจเป็นอย่างมาก
“พวกเขารังเกียจเรา”
ยมนาปรากฏร่างขึ้นในบัดดล “พวกเขาพากันถอยห่างเจ้า เพราะไม่มีใครอยากแปดเปื้อน เจ้าคงจำได้ เจ้าทำให้พวกเขาต้องมัวหมอง”
คำพูดของภาณีที่ด่าทอต่อว่าเจ้าอุรคาเป็นงูผี ขณะที่เจ้าอุรคาเถียงกลับว่าตนไม่ใช่งูผี แต่เป็นพญานาคที่ยิ่งใหญ่ ดังก้องขึ้นอีกครา
เจ้าอุรคาเสียใจนัก ครวญครางเสียงแผ่ว “แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีผู้ใดเป็นมิตรกับเราเลย”
“เจ้าต้องยอมรับในผลกรรมและหยุดมัน จำได้ไหม เจ้าบอกกับข้าว่าอย่างไรเจ้าอุรคา” ยมนาย้อนถาม
เจ้าอุรคาจำได้ตอนที่เตือนสติตัวเอง ทุกวาจากระแทกในใจ
ยมนาย้ำอีก “ตราบใดที่ยังไม่สิ้นลม เจ้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองได้ เร่งสร้างความ
เพียรเถิดเจ้าอุรคา อย่าให้เสียภพภูมิ” เสียงยมนาดังก้อง “อย่าให้เสียภพภูมิ”
เจ้าอุรคายืนนิ่งกลางท้องน้ำ หอบหายใจระรัว ความรู้สึกอื้ออึงอัดอั้นในใจ
แลไปเห็นยอดปรางค์ของพระธาตุพนมสูงเด่นสวยสง่า เจ้าอุรคามองจ้องที่ยอดพระธาตุนั้นเหมือนกำลังดึงสติกลับมา ดวงหน้าของเจ้าอุรคานิ่ง ท่าทางเย็นลง ก่อนที่ร่างงามจะค่อยๆ เดินลงไปในน้ำ แล้วหายไปใต้ท้องน้ำ
ไม่นานต่อมาที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครพนม ด้านในอุโบสถเห็นเหล่าอุบาสก อุบาสิกาในชุดนุ่งขาวห่มขาวนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ หนึ่งในนั้นคือชรายุ และเจ้าอุรคาที่เดินเข้ามานั่งอย่างสงบ
ชรายุลืมตาขึ้นมามองเจ้าอุรคาด้วยความยินดี แล้วหลับตาลงไปใหม่ เจ้าอุรคานั่งหลับตาลง ตั้งมั่นอยู่กับบำเพ็ญเพียรภาวนา ด้วยท่าทางยังไม่สู้ดี หอบหายใจแรง เหมือนกำลังต่อสู้กับใจตัวเองอย่างหนักหน่วง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ร่างของเจ้าอุรคาก็นิ่งลง เข้าสู่ญาณสมาธิ เจ้าอาวาสมองเจ้าอุรคาด้วยความยินดี
คืนเดียวกันนั้น ภายในบ้านของคุณยายอติศรีที่กรุงเทพฯ ภุชคินทร์นั่งอยู่กับไพศิษฐ์ สภาพภุชคินทร์บอบช้ำมีร่องรอยแผลทั่วตัว ภุชคินทร์เอ่ยขึ้น
“ขอบใจมากนะศิษฐ์ที่ช่วย”
“นายจะไม่กลับบ้านจริงๆ เหรอ”
ภุชคินทร์พยักหน้า “ฮื่อ! ฉันไม่อยากให้คุณแม่เป็นห่วง”
“ความมุทะลุ ไม่เคยแก้ไขปัญหาอะไรได้” ไพศิษฐ์บอก
“แล้วถ้าเป็นนาย นายจะทำยังไง ปล่อยให้คนที่มันย่ำยี คอยเหยียดหยามเราชาติแล้วชาติเล่าอย่างนั้นเหรอ”
ไพศิษฐ์ฉงน “ชาติแล้วชาติเล่า แปลว่าอะไร”
“นายจำที่ฉันบอกได้ใช่มั้ย? ว่าฉันไปกับดร.วิชัยสิงห์”
ไพศิษฐ์จ้องภุชคินทร์ตาแทบไม่กะพริบ
ภุชคินทร์ยังจดจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี “ปาฏิหาริย์มันได้เกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ศิษฐ์ ฉันรู้แล้วว่า
อดีตชาติฉันคือใคร เกี่ยวข้องกับเจ้าอุรคาและไอ้สุบรรณยังไง? และนี่มันก็คือผล ว่าทำไม ฉันต้องไปจัดการไอ้สุบรรณ!”
ภุชคินทร์พูดอย่างกราดเกรี้ยว เจ็บแค้น และอาฆาตพยาบาท
คืนนั้นไพศิษฐ์อยู่ในห้องนอนแล้ว หน้าตาเคร่งเครียดกังวลเรื่องเพื่อนซี้ เสียงของภุชคินทร์ดังก้อง
“ปาฏิหาริย์มันได้เกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ศิษฐ์ ฉันรู้แล้วว่าอดีตชาติฉันคือใคร เกี่ยวข้องกับเจ้าอุรคาและไอ้สุบรรณยังไง? และนี่มันก็คือผล ทำไม ฉันต้องไปจัดการไอ้สุบรรณ!”
ไพศิษฐ์ ดวงตากร้าว นึกถึงภาพที่อำนาจฆ่าลูกน้องขณะที่ให้ไปเก็บเซฟในห้องลับ
“เราต้องหาทางเปิดเผยให้ได้ว่าเบื้องหลังของท่านสุบรรณ คืออะไร”
สีหน้าของไพศิษฐ์จริงจัง กระหายใคร่รู้ ต้องการค้นหาเพื่อพิสูจน์
ภายในห้องโถงของคฤหาสน์ สุบรรณยืนดื่มอยู่ด้วยหน้าตาเคร่งเครียด เหตุการณ์ที่ทำร้ายภุชเคนทร์ ซึ่งแสดงถึงความร้ายกาจของตนผุดขึ้นมาหลอกหลอน โดยเฉพาะคำสาบานของนาคาภุชเคนทร์ดังก้องในหัวของสุบรรณ
“ถึงอย่างไร ก็พ่ายแพ้แก่พญาครุฑอยู่ดี ข้าจะไม่เกิดเป็นพญานาคอีก... ข้าขอสาบาน ข้าจะไม่เกิดเป็นพญานาคอีก”
ตอนที่มองตัวเองในกระจกแต่กลับไม่มีเงาหัว
นึกถึงตอนนี้ ดวงตาที่แสดงความโกรธแค้นของสุบรรณดูจางลง ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือกลัวในความตาย ท่าทางเหมือนจะยอมรับผลกรรมได้แล้วในระดับหนึ่ง
“คุณชาย...ผมขออโหสิกรรม” สุบรรณบอกตัวเองเสียงแผ่ว
ระหว่างนั้น อำนาจเดินเข้ามาบอกเรียบๆ แต่โกรธแทนเจ้านาย
“นายไม่น่าต้องลงมือเองเลย น่าจะให้ผมจัดการคุณชายแทน”
สุบรรณพูดเหมือนจะบอกตัวเองด้วย “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ครับไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะคุณชายไม่ได้อยู่ในสายตาของนาย แต่ถ้านายปล่อยเอาไว้ คุณชายก็จะยิ่งเหิมเกริม ครั้งที่แล้วก็มาตะโกนด่าหน้าบ้าน ครั้งนี้ยังหาเรื่องอีก” อำนาจเคียดขึ้ง
“ไม่เป็นไร ก็แค่เห่าหอน ทำให้ฉันรำคาญใจบ้าง..ก็เท่านั้น” สุบรรณว่า
“เหมือนคุณชายจะแค้นอะไรนาย?” อำนาจเอ่ยขึ้น
สีหน้าของสุบรรณรับรู้ ความรู้สึกข้างในยิ่งไม่อยากเอาเรื่อง อำนาจว่าต่อ
“ผมกลัวคุณชายจะย้อนกลับมาทำร้ายนายอีก แบบหมาลอบกัด”
“ก็ถ้าหมาตัวนั้น มันจะมาลอบกัดฉันจริงๆ ฉันจะเตะปากมันเอง”
“ช้างยังล้มได้เพราะมด ผมไม่อยากให้นายประมาทในศัตรู” อำนาจบอก
“ขอบใจมากอำนาจที่หวังดีกับฉัน แต่ฉันพยายามให้สติตัวเองว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
“แต่คุณชายทำเหมือนจะจองเวรนายไม่จบไม่สิ้นนะครับ”
สุบรรณถอนใจ “ถ้าถึงคราวที่มือของฉันมันต้องเปื้อนเลือดจริงๆ ก็คงต้องยอม”
สุบรรณตัดบทท่าทางไม่ยี่หระ แต่น้ำเสียงมีความกังวลอยู่ในนั้น อำนาจมองอย่างเป็นห่วง
คืนนั้นท่ามกลางความมืดในห้อง แลเห็นแสงประกายของเพชรส่องวิบวับระยิบระยับ ซึ่งสุบรรณยืนถือหีบเพชรอัญมณีมากมายบรรจุอยู่ในนั้น สุบรรณยิ้มมองดูเพชรอย่างระแวง สายตานั้นบอกว่า มันไม่ใช่ของตัวเอง
ส่วนที่ด้านหลังยามนั้น หน้าต่างที่ปิดสนิทถูกผลักเข้ามาอย่างแผ่วเบาและเงียบเชียบ แล้วร่างๆหนึ่งก็กระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว โดยที่สุบรรณไม่รู้ตัว ร่างนั้นย่องเข้ามาพร้อมเส้นเชือกในมือถูกขึงออก และโดยที่สุบรรณไม่ทันตั้งตัว มือแข็งแรงตวัดเชือกรัดที่ลำคอของสุบรรณแน่น สุบรรณร้องได้คำเดียว
“โอ๊ะ!”
แล้วร่างของสุบรรณก็ล้มลงดิ้นทุรนทุราย พยายามเอามือแกะเส้นเชือกนั้นออก แต่สุบรรณกลับ
ชะงักเมื่อเส้นเชือกนั้นกลายเป็นกุญแจมือพร้อมโซ่ตรวน สุบรรณหันขวับ เห็นใบหน้าของไอ้โม่งคนนั้นคือไพศิษฐ์ที่ยิ้มแสยะอย่างน่ากลัว
รุ่งเช้านาถสุดาสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจกลัว หอบหายใจระรัวกับความฝันอันน่ากลัว
“พี่สุบรรณ!”
สิ่งแรกที่นาถสุดาทำ คือหยิบมือถือขึ้นมารวดเร็ว
ครู่หนึ่งนั้นสุบรรณเองก็สะดุ้งตื่นกับเสียงโทรศัพท์
สุบรรณอยู่ในอาการงัวเงีย “มีอะไรนาถโทร.หาพี่แต่เช้า”
นาถสุดาถามอย่างเป็นห่วง “พี่สุบรรณอยู่ที่ไหนคะ”
“ก็อยู่บ้านน่ะสิ” สุบรรณงงและเริ่มเอะใจ “มีอะไร”
นาถสุดากังวลอยู่ แต่ปฏิเสธ “ไม่มีอะไรค่ะ ไว้ว่างๆ นาถไปหานะคะ”
สองคนวางสาย ด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน สุบรรณเองก็รู้สึก
“หรือว่านาถจะมีเรื่องอะไร”
สุบรรณได้แต่พึมพำกับตัวเองด้วยความกังวล ผุดลุกเดินออกไป
เช้านั้นพันเอกนรินทร์กับนาถสุดาใส่บาตร ถวายอาหาร ดอกไม้ ธูปเทียน พระให้พรก่อนเดินจากไป สองพ่อลูกเดินเข้ามากรวดน้ำที่ต้นไม้ ท่าทางของนาถสุดาไม่ค่อยสงบ สีหน้าหมองหม่นทุกข์ใจ ก่อนที่นาถสุดาจะบอกพ่อด้วยน้ำเสียงไม่ดีเลย
“เมื่อคืนนาถฝันร้ายค่ะคุณพ่อ”
ผู้พันหันมามอง นาถสุดาพูดต่อ
“ฝันว่า คุณศิษฐ์ ลอบเข้าไปทำร้ายพี่สุบรรณ”
พันเอกนรินทร์พูดปลอบ “นาถคิดมากเกินไปหรือเปล่า ฝันก็คือฝัน”
“นาถก็อยากให้มันเป็นแค่ความฝันค่ะ เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง นาถคง...รับไม่ได้ นาถกลัวว่า...มันจะเป็นลางบอกเหตุ”
“ก็เป็นไปได้” ผู้เป็นพ่อว่า
นาถสุดาตกใจ “คุณพ่อหมายความว่า...”
“คนที่มีจิตผูกพัน จะเชื่อมโยงสัญญาณกรรม ต่อกันได้ง่าย ถึงนาถจะกลัว แต่ถ้ามันจะเกิดมันก็ต้องเกิด” ผู้พันบอก
ได้ฟังนาถสุดายิ่งกลัว “คุณพ่อ...แล้วเราจะช่วยพี่สุบรรณได้ยังไงคะ”
“ช่วยไม่ได้หรอก เพราะถ้าเค้ามีเวรมีกรรมต่อกัน เค้าก็ต้องตามมาทวงกรรม”
“นาถไม่ยอม” นาถสุดาเสียงเครือสั่น แต่เข้มแข็ง “นาถไม่ยอมให้คุณศิษฐ์มาทำร้ายพี่สุบรรณอย่างเด็ดขาด”
“เจ้ากรรมนายเวรคนนั้นอาจจะไม่ใช่ไพศิษฐ์หรือใช่ก็ได้”
นาถสุดาลอบถอนใจ
ที่สุดพันเอกนรินทร์กลับบอกให้ลูกสาวให้อภัย
“แต่ถ้าใช่...นาถก็ต้องให้อภัย”
“จะให้นาถให้อภัยคนที่ทำร้ายครอบครัวของนาถ นาถคงทำไม่ได้”
ผู้พันนรินทร์เตือนสติ “ต้องได้ เพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่อย่างนั้นตัวของนาถเองนั่นแหละที่จะผูกกรรมต่อไป และจะกลายเป็นกงเกวียนกำเกวียนไม่มีที่สิ้นสุด”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงคะคุณพ่อ ที่จะให้อภัย” นาถสุดาถาม
“พ่อรู้ว่ามันยาก” น้ำเสียงผู้พันฟังดูหม่นเศร้าขณะพูดประโยคต่อมา “ที่คนที่ถูกกระทำ จะให้อภัยคนกระทำได้ง่ายๆ มันถึงต้องมีคำว่าจองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมไงล่ะนาถ”
พันเอกนรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงปลดปลง อย่างคนที่รู้ซึ้งในสัจธรรม
ภุชคินทร์ยืนมองที่หน้ากระจกในห้องพักบ้านคุณยาย ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นภาพบาดแผลร่องรอยฟกช้ำต่างๆ
นึกถึงอดีตชาติที่พญาครุฑสุบรรณทำร้ายจนกระอักเลือดออกมา และตอนที่ถูกสุบรรณทำร้าย หมาดๆ ดวงตาของภุชคินทร์มีแต่ความเจ็บปวด สมเพชตัวเอง เพราะมันหมายถึงความพ่ายแพ้ อัปยศอดสู
ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะวาวโรจน์ขึ้นมาอีก บ่งบอกถึงความแค้น ชิงชังในตัวสุบรรณอย่างที่ไม่มีทางให้อภัย
เช้าวันต่อมา สุบรรณเดินเข้ามาที่หน้าบ้านของพันเอกนรินทร์ ในขณะที่นาถสุดากำลังเดินออกมา เพื่อไปยังร้านขายของเก่าพอดี หญิงสาวชะงักไปทันทีที่เห็นสุบรรณ
“พี่สุบรรณ”
สุบรรณพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ พี่ขอโทษ”
นาถสุดามองสุบรรณอย่างซึ้งใจขณะถาม
“ทำไมต้องขอโทษนาถด้วยคะ”
“ก็พี่อาจจะเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีเวลาให้นาถ แต่วันนี้พี่เคลียร์ทุกอย่างเพื่อน้องสาวของพี่”
นาถสุดามองมาอย่างซาบซึ้ง จนน้ำตาคลอ “พี่สุบรรณ”
“มีอะไร ถึงได้โทร.มาหาพี่ตั้งแต่เช้า มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้ พี่ช่วยนาถได้ทุกเรื่อง”
นาถสุดามองสุบรรณด้วยดวงตาซาบซึ้ง และชั่งใจ
สองคนอยู่ที่ร้านขายของเก่าของนาถสุดาแล้ว ทั้งคู่เดินอยู่ด้วยกัน นาถสุดาจับไม้สลักรูปพญานาคขึ้นมา
“เมื่อหลายเดือนก่อน นาถได้ไม้แกะสลักพญานาคมาจากคุณยายของคุณศิษฐ์”
สุบรรณจ้องมองไม้แกะสลักพญานาค แล้วนึกแสลงใจ เพราะคิดถึงเจ้าอุรคาขึ้นมา นาถสุดาพูดต่อ
“คุณยายบอกว่า ท่านได้มาจากเจ้าอุรคา”
สีหน้าสุบรรณยิ่งสนใจ นาถสุดาว่าต่อ
“แค่รู้ว่าไม้แกะสลักชิ้นนี้เกี่ยวพันกับเจ้าอุรคา นาถก็รู้สึกรัก ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักตัวตนของเจ้ามาก่อน...และไม่ใช่แค่นาถรู้สึก...พี่สุบรรณก็รู้สึกเช่นเดียวกับนาถใช่มั้ยคะ...หรือไม่ก็อาจจะมากกว่า”
สุบรรณนิ่งไปนิด ก่อนพยักหน้ารับ “เจ้าเป็นคนมีเสน่ห์”
นาถสุดาพูดนิ่งๆ เรื่อยๆ อย่างชื่นชม “ก็คงจะจริง ไม่เช่นนั้นคุณชายคงไม่รักตัวเจ้าและก็เป็นโชคดี
ของคุณชายนะคะ ที่เจ้าก็รู้สึกกับคุณชายเช่นเดียวกัน”
สุบรรณมองนาถสุดา สายตาของนาถสุดาเหมือนจะบอกอะไร สุบรรณตัดบทน้ำเสียงห้วน
“พี่อยากให้นาถคุยเรื่องธุระของนาถ ไม่ใช่คุยเรื่องคนอื่น”
“นี่ล่ะคือเรื่องสำคัญของนาถ”
สุบรรณถามเสียงห้วน “มันสำคัญกับนาถยังไง”
“สำคัญเพราะพี่สุบรรณกำลังเข้าไปเป็นมือที่สามของเค้า พี่สุบรรณเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ด้วยตำแหน่งและศักดิ์ศรี นาถไม่อยากให้พี่สุบรรณต้องมัวหมอง”
สุบรรณปกปิดความรู้สึกตัวเองด้วยเสียงเยาะหยัน “พี่ไม่ทำให้ตัวเองต้องมัวหมองเพราะเรื่องพรรค์นี้แน่นอน”
นาถสุดามองมาท่าทีจริงจัง “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ค่ะ” นาถสุดาเน้นคำพูดเป็นนัย “แต่ทุกๆ เรื่อง”
สุบรรณมองจ้องหน้านาถสุดาเขม็ง เหมือนวัวสันหลังหวะ นาถสุดาพูดต่อ
“พี่สุบรรณเป็นคนดี นาถศรัทธาในตัวพี่ นาถไม่อยากให้พี่แปดเปื้อนไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม นาถอยากเห็นพี่สุบรรณสง่างามในเกียรติของตัวเอง”
นาถสุดามองจ้อง ขณะที่สุบรรณยืนนิ่ง ท่าทางของนาถสุดาเหมือนรู้อะไรบางอย่าง
“ไม่มีใครสง่างามไปทุกเรื่องหรอกนาถ”
นาถสุดาผิดหวัง “พี่สุบรรณ”
“แต่ยังไงพี่ก็เป็นพี่ชายที่ดีของนาถเสมอ เชื่อพี่เถอะ”
สองคนมองจ้องตากันนิ่งนาน นาถสุดาหวาดระแวงกลัวสุบรรณจะไม่เปลี่ยนความคิด ขณะที่สุบรรณรู้สึกสะท้อนใจ เหมือนวัวสันหลังหวะ
มณีสวาท ตอนที่ 11 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้นหลังจากสุบรรณกลับมาที่คฤหาสน์ ก็ยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ในห้องนอน คาใจเรื่องที่นาถสุดาพูด
“พี่สุบรรณเป็นคนดี นาถศรัทธาในตัวพี่ นาถไม่อยากให้พี่แปดเปื้อนไม่ว่าเรื่องไหนๆ
ก็ตาม นาถอยากเห็นพี่สุบรรณสง่างามในเกียรติของตัวเอง”
สุบรรณยิ่งคิดยิ่งเครียดพลางพึมพำออกมา “นาถไปรู้อะไรมา”
สุบรรณเดินพรวดออกจากห้องทันที
ครู่ต่อมาสุบรรณเดินลิ่วมายังบริเวณห้องลับใต้ดิน ทันทีที่มาถึงอำนาจก็เปิดประตูออกให้สุบรรณเดินเข้าไปในห้อง เห็นหีบเครื่องเพชร เครื่องประดับมากมายอยู่ในนั้น สุบรรณถอนหายใจแบบโล่งอก ก่อนถาม
“แล้วศพของไอ้พวกนั้นล่ะ”
“ผมจัดการหมดแล้วครับนาย”
“อย่าให้ใครตามกลิ่นได้” สุบรรณเสียงเข้ม
“ครับ” อำนาจมองสงสัย “มีอะไรหรือครับ”
“ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจ กลัวว่าจะมีคนรู้เรื่องของเรา”
อำนาจหลบตา นึกถึงตอนที่ตนถูกคนปริศนาทุบเข้าที่ต้นคอ สุบรรณมองจ้องเหมือนรู้ ถามเสียงแข็ง
“ทำไม”
อำนาจหลบตา “ปะ...เปล่าครับ”
สุบรรณพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ รู้ทันที “มีคนลอบเข้ามาใช่มั้ย”
อำนาจนิ่ง แต่แสดงอาการว่าหลบตาอย่างมีพิรุธ สุบรรณตะคอกถามเสียงดัง
“มีคนลอบเข้ามาใช่มั้ยอำนาจ?”
อำนาจตกใจ อาการออกพยายามหลบตา
สุบรรณตะคอกอีก “ใช่มั้ย?” พร้อมตวัดหลังมือเข้าที่หน้าของอำนาจอย่างแรง
อำนาจซวนเซ ท่าทางเจ็บ ตื่นกลัว สุบรรณจ้องเขม็ง อำนาจตอบเสียงสั่น
“ไม่มีครับนาย”
สุบรรณกระชากคอเสื้อ ถามเสียงเหี้ยม “ฉันเป็นนายแก แกมีพิรุธขนาดนี้ คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง มันเป็นใคร? ทำไมแกไม่รายงานฉัน?”
“ผม...ผมไม่ทราบครับ”
“ไม่ทราบ” สุบรรณยกเท้ายันอย่างแรง
อำนาจล้มลงกับพื้น สุบรรณชี้หน้า
“คนลอบเข้ามาในบ้าน แต่ไม่คิดจะติดตามว่ามันเป็นใคร แสดงว่า มันเป็นพวกของแก”
อำนาจละล่ำละลัก “เปล่าครับนาย ผมสาบานได้ ผมซื่อสัตย์ต่อนาย ที่ผมไม่กล้ารายงาน
เพราะผมกลัวความผิด ที่จับคนร้ายไม่ได้ ผมเช็คกล้องวงจรปิดทุกตัวแล้วก็ไม่มีภาพมัน”
สุบรรณฟีงแล้วเครียด “แสดงว่า มันต้องรู้ทางหนีทีไล่ที่นี่เป็นอย่างดี...แกไปตามสืบมาให้ได้ ว่ามันเป็นใคร”
“ครับนาย!”
อำนาจรับคำเสียงเข้มแข็งจริงจัง
แยกจากสุบรรณอำนาจเดินกลุ้ม ได้แต่เอามือกุมหัว นึกถึงตอนที่ตนถูกมือลึกลับทุบล้มลงไปอีก อำนาจเอามือคลำบริเวณต้นคอ เหมือนจำความเจ็บปวดได้ อำนาจครุ่นคิด
“ฝีมือมันใช่ย่อย มันถึงลอบเข้ามาที่นี่ได้”
เสียงสุบรรณดังก้องในหัว
“แสดงว่า มันต้องรู้ทางหนีทีไล่ที่นี่เป็นอย่างดี”
อำนาจพึมพำ “คนที่รู้ทางที่นี่ต้องเคยมาที่นี่ เป็นคนที่มีฝีมือ...ใครวะ? พวกไอ้สุรินทร์ก็ตายกัน
ไปหมดแล้ว แล้วจะมีใครอีกที่เคยมาที่นี่”
อำนาจครุ่นคิด แล้วคิดไปถึงไพศิษฐ์ และภุชคินทร์ที่เข้าไปตามเรื่องทำร้ายเจ้าอุรคา อำนาจพึมพำ
“คุณชายภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ ต้องเป็นหนึ่งในสองคนนี้แน่”
ท่าทีของอำนาจดูมั่นใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าใคร
เวลาเดียวกันไพศิษฐ์อยู่บนสถานีตำรวจ จ่าชิดเดินเข้ามาถาม
“ตกลง...ท่านสุบรรณเอาเรื่องที่คุณชายภุชคินทร์ไปบุกบ้านมั้ยครับ”
ไพศิษฐ์ก้มหน้าก้มตาทำงาน บอกเรียบๆ แต่น้ำเสียงกวนๆ “แล้วจ่าได้ข่าวมั้ยล่ะ”
“ไม่ครับ...ทุกอย่างเงียบเชียบ เงียบสนิท เหมือนกลืนหายไปกับสายน้ำ ราวกับไม่เคยมี
เรื่องนั้นเลย”
“ก็คงเป็นอย่างนั้น”
“แล้วเรื่องของดร.วิชัยสิงห์ล่ะครับ?...สรุปว่าอย่างไร” จ่าชิดถาม
ไพศิษฐ์ทำงานต่อ ขณะถาม “แล้วที่จ่ารู้มา...สรุปว่ายังไง”
“ก็..ดร.วิชัยสิงห์เสียชีวิตด้วยพิษของงูที่มีฤทธิ์มากกว่างูเห่าร้อยเท่า แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นงูชนิดใด เพราะโลกนี้ยังไม่มีงูชนิดนั้นปรากฏ”
ไพศิษฐ์บอกคำเดิม “ก็...คงเป็นอย่างนั้น”
จ่าชิดงวยงง สงสัย “แล้วผู้กองว่า มันเป็นงูชนิดไหนครับ”
ไพศิษฐ์เรียกเสียงดัง “จ่า”
จ่าชิดรีบตะเบ๊ะแข็งขัน “ครับ”
“ผู้เชี่ยวชาญ คนที่เค้ามีหน้าที่ เค้าก็ไปศึกษาค้นคว้ากันอยู่ว่าเป็นงูชนิดไหน”
“อ๋อ! คนมีหน้าที่ เค้าก็ทำหน้าที่”
“ฮื่อ! เพราะฉะนั้น จ่ามีหน้าที่อะไร ก็รีบไปทำสิ ไป๊”
“ครับ”
จ่าชิดยิ้มเผล่รีบเดินจากไป ไพศิษฐ์หน้าเครียด บ่นพึมพำ
“ทุกเรื่องต้องรอการพิสูจน์ แม้แต่คนก็ต้องรอการพิสูจน์เหมือนกัน คนเลวไม่ควรมีอำนาจ คนที่มีอำนาจแต่เป็นคนเลว ก็ไม่ควรมีอีกต่อไป”
ไพศิษฐ์ก้มลงมอง หนังสือพิมพ์ที่มีภาพข่าวสุบรรณยิ้มอยู่ในนั้น
ส่วนสุบรรณนอนหลับตานิ่งอยู่ในห้องนอน พยายามข่มความรู้สึกเจ็บแค้นชิงชัง
“ผมพร้อมทำทุกอย่าง เพื่อที่ผมจะตัดกรรม...จากเจ้า...จากคุณชาย”
ภาพจำในความคิดของสุบรรณ เห็นเป็นภาพเจ้าอุรคากับคุณชายพลอดรักกัน ที่คนเคยเห็นจังๆสุบรรณหลับตา แล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ เหมือนว่ากดข่มความรู้สึกริษยาได้ยากเย็นเหลือเกิน ก่อนพึมพำ
“ถึงมันจะยากเย็น..แต่ผมจะพยายามทำ ฉันต้องพยายามทำ”
สุบรรณบอกตัวเองด้วยดวงจิตที่ตั้งมั่น
วันต่อมาสองหนุ่มอยู่บ้านคุณยายอติศรี จังหวะหนึ่งระหว่างรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ไพศิษฐ์บอกภุชคินทร์ท่าทีนิ่งๆ แต่จริงจัง
“ฉันอยากให้นายไปแจ้งความ”
ภุชคินทร์หัวเราะหยัน “แจ้งความเพื่อเอาผิดกับท่านสุบรรณนี่นะ ฉันจะไปสู้อะไรกับคนที่มีอำนาจระดับนี้ได้ โลกนี้ คนที่มีอำนาจในมือเปลี่ยนขาวให้เป็นดำ เปลี่ยนดำเป็นขาวได้เสมอ”
“นายไม่เชื่อความยุติธรรม!”
“หรือไม่จริง” ภุชคินทร์ย้อน
“เราผิด เขาผิด จะมากจะน้อย มันก็ต้องมีพยาน มีหลักฐานมาพิสูจน์ ให้เห็นว่าความจริงคืออะไร ไม่ใช่แค่คำพูด หรือความรู้สึก ฉันอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แม้ฉันจะเป็นเพื่อนนาย แต่ไม่ใช่จะเข้าข้างเห็นดีเห็นงามไปทุกเรื่อง ความยุติธรรมมันมีเสมอ ชาย
“ก็ใช่...แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน รวมทั้งฉัน ถึงต้องมีศาลเตี้ยยังไงล่ะ”
“นายกำลังใช้อารมณ์ ฉันไม่อยากให้นายทำอะไรรุนแรง”
“พูดยังกับฉันชอบใช้กำลัง ไม่ต้องห่วง...ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะ รับรองคนอย่างท่านสุบรรณ คนที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ต้องกระอักเลือดตาย!”
ภุชคินทร์พูดดุดัน ดวงตาวาวโรจน์และดูน่ากลัว
เจ้าอุรคาอยู่ที่นครบาดาล ลืมตาโพลงขึ้นมาด้วยดวงตาที่มีแต่ความเสียใจ เจ็บปวด บอกตัวเองเสียงสั่นเครือ
“ภุชเคนทร์ เราขอโทษ...ที่เป็นคนจุดประกายไฟแค้นในใจท่านให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ภพชาตินั้นมันจบไปแล้ว บุญที่เกิดจากการบำเพ็ญเพียรของเราครั้งนี้ขอส่งให้ถึงท่าน เพื่อลดทอนไฟอาฆาตที่อยู่ในใจท่านให้เบาบางลงด้วยเทอญ”
เจ้าอุรคาเดินภาวนา บนโขดหินที่ทอดตัวยาวอยู่กลางลำน้ำด้วยอาการสงบนิ่ง พร้อมแผ่เมตตา
ระหว่างนั้นยมนาปรากฏร่างขึ้นพึมพำเบาๆ
“บางสิ่งมันอาจไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด กรรมที่เจ้าทำ ตอนนี้มันกำลังส่งผล ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องรับกรรมแล้วล่ะเจ้าอุรคา”
ยมนาได้แต่มองเจ้าอุรคาด้วยแววตาแห่งความเวทนา
คืนหนึ่ง ภุชคินทร์ขับรถมาจอดที่บริเวณหน้าเฮือนภูจำปา แต่ไม่เห็นมีบ้านแต่อย่างใดภุชคินทร์กวาดตามองไปรอบๆ ตัว เอ่ยออกมาเหมือนต้องารสื่อไปถึงเจ้าอุรคา
“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน แต่ผมรู้ว่าเจ้ามองผมอยู่”
ใต้ท้องน้ำแห่งนั้น เจ้าอุรคาซึ่งนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาลืมตาขึ้น รับรู้ สีหน้าโหยหา ทุกข์ใจ
“ผมคิดถึงเจ้า ผมรักเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงทิ้งผมไปอย่างนี้ ไหนเราสัญญากันแล้วว่าจะไม่ทิ้งกัน แล้วทำไม เจ้าถึงทำกับผมอย่างนี้ ทำไม?ทำไม” ภุชคินทร์ครวญคร่ำ
เจ้าอุรคาพึมพำเบาๆ “เพราะเราไม่อยากสร้างกรรมให้เราทั้งสองมากไปกว่านี้ ภุชเคนทร์”
ภุชคินทร์ไม่ได้ยินไม่รู้เรื่อง ตะโกนลั่น “เจ้าอยากให้ผมจดจำ แล้วพอผมจดจำได้ ทำไมเจ้าถึงทิ้งผมไป” ภุชคินทร์เสียงเข้มขึ้น “ทำไมเจ้าถึงทำร้ายผมขนาดนี้ เจ้าไม่รักผมแล้วรึไง เจ้าๆ…”
เจ้าอุรคารำพึงเบาๆ “เพราะเรารักท่าน รักจนยอมทำร้ายตัวเอง แต่ถึงเวลานี้ เราต้องยุติไม่อย่างนั้น
ท่านนั่นแหละที่จะต้องเจ็บปวด จากผลกรรมที่เราก่อ” เจ้าอุรคาสะอื้น ร่ำไห้ “และท้ายที่สุดท่านสุบรรณ...ท่านสุบรรณก็จะต้องตามจองเวรจองกรรมต่อท่านไม่มีที่สิ้นสุด”
ภุชคินทร์ไม่รับรู้ถ้อยคำดังกล่าว เสียงสั่นเครือ “หัวใจผมกำลังสลาย เจ้ากำลังทำให้ผมต้องตายทั้งเป็น
เจ้าอุรคาร้องไห้อยู่อย่างนั้น “เราขอโทษ...เราขอโทษภุชเคนทร์”
“กลับมาหาผมเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ผมจะไปตามเจ้าเอง”
ดวงตาของเจ้าอุรคาเบิกโพลง ขณะที่ภุชคินทร์ตะโกนก้อง
“ถ้าไม่มีเจ้า ชีวิตผมก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ผมจะไปหาเจ้า...”
พูดเท่านั้นภุชคินทร์ก็วิ่งสุดฝีเท้าออกไป เจ้าอุรคาเบิกตากว้างตกใจ
“ท่านภุชเคนทร์”
ที่ด้านหลังของภุชคินทร์ สุบรรณขับรถมาจอด เห็นภุชคินทร์วิ่งไปในระยะที่ไกลลิบตาแล้ว สุบรรณมองไปยังบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งเฮือนภูจำปา แต่ไม่มี
สุบรรณวิ่งตามภุชคินทร์ไป
ครู่ต่อมาภุชคินทร์วิ่งไปที่บึงน้ำ บริเวณใกล้เฮือนภูจำปาที่เคยพบรอยพญานาค กระโจนลงไปอย่างบ้าคลั่ง ร้องตะโกน
“เจ้าอุรคา ได้ยินมั้ย ผมรักเจ้า ถ้าเจ้าไม่มาหาผม ผมจะไปหาเจ้าเอง เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงนั่งแทบไม่ติด
“ภุชเคนทร์ ท่านอย่าทำอย่างนี้ ภุชเคนทร์”
ภุชคินทร์ตะโกนก้อง “ได้...ถ้าเจ้าไม่ยอมมา” ภุชคินทร์เปลี่ยนเสียงเป็นเข้ม “ผมจะไปหาเจ้าเอง”
พูดแค่นั้น ภุชคินทร์ก็กระโจนลงไปในน้ำ เหมือนจงใจจะฆ่าตัวตาย ไม่ว่ายหนี ไม่ตะเกียกตะกาย ร่างค่อยๆ จมดิ่งลงไป
เจ้าอุรคาตกใจจะโผขึ้นมา แต่ชรายุ เข้ามาห้ามเอาไว้
“อย่าค่ะเจ้า”
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ชรายุ ท่านภุชเคนทร์จะฆ่าตัวตาย
“เขาเลือกเช่นนั้น ปล่อยให้เป็นวิถีแห่งกรรมเถอะค่ะเจ้า”
“ไม่ได้! เขาจะตายเพราะเราเป็นต้นเหตุไม่ได้ การที่เรานั่งบำเพ็ญภาวนา แต่สิ่งที่เห็นต่อหน้าคือบาปมหันต์”
“นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด แต่มันอาจไม่ใช่เป็นความจริง”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ชรายุ”
“เจ้าลองหยุดเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันกับสิ่งที่กำลังเกิด แต่จงปล่อย แล้วเพ่งมอง แล้วเจ้าจะเห็นชีวิตที่เป็นของเขาเอง”
เจ้าอุรคานิ่งฟัง แต่ดวงหน้าของเจ้าอุรคาสุดแสนจะร้อนรน
ภุชคินทร์ทนไม่ไหว ก่อนจะจะหมดลมในเฮือกสุดท้าย ด้วยสัญชาตญาณอยากมีชีวิต จึงตะเกียกตะกายขึ้นมาเหนือน้ำ เพราะไม่ได้ตั้งใจฆ่าตัวตายจริงๆ เพียงอยากให้เจ้าอุรคากลับมาเท่านั้น
ภุชคินทร์หอบเอาอากาศหายใจเข้า ก่อนตะโกนขู่อีก
“ได้...ถ้าเจ้ายอมเห็นผมตายต่อหน้าได้ ผมจะทำให้เจ้าดู”
ภุชคินทร์กระโจนลงไปในน้ำใหม่ สุบรรณที่วิ่งตามมางุนงง ถามตัวเอง
“เกิดคลั่งอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย”
สุบรรณมองดูอยู่ เห็นภุชคินทร์ปล่อยตัวในน้ำให้จม ดูก็รู้ว่าจะฆ่าตัวตาย สุบรรณได้แต่สบถ
“บ้าเอ๊ย”
พูดแค่นั้นสุบรรณก็รีบวิ่งตามลงไปในน้ำ ดำตามลงไป
ที่ใต้ผืนน้ำแห่งนั้นเห็นร่างภุชคินทร์แน่นิ่ง สุบรรณว่ายตรงไปคว้าตัวขึ้นมา ทันทีที่รู้ตัว ภุชคินทร์สะบัดสุบรรณออก สองคนสู้กันในน้ำ สุบรรณไม่ยอมลากตัวภุชคินทร์ขึ้นมาจนได้ ทันทีที่เห็นหน้าสุบรรณ ภุชคินทร์ก็ตะคอก
“ปล่อย! อย่ามายุ่งกับฉัน ปล่อย”
“แล้วจะมาฆ่าตัวตายทำไม”
“มันเรื่องของฉัน” ภุชคินทร์ต่อยเข้าหน้าสุบรรณเต็มๆ
สุบรรณผงะแต่ไม่ยอมหนี “โง่! คนที่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาคือคนโง่ คนสิ้นคิด”
“แต่คนสิ้นคิดคนนี้คือคนที่ถูกเลือก” ภุชคินทร์พูดเสียงเยาะเย้ย “เจ้าอุรคาเลือกฉัน”
สุบรรณพยายามใจเย็น “เจ้าอุรคาเลือกคุณ แต่คุณเลือกที่จะตายเพื่อจะไปหาเจ้าอุรคาน่ะ
หรือ? ไม่จำเป็น...ที่ผมมาที่นี่เพื่อจะบอก ต่อไปผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความรักของพวกคุณอีก เชิญรักกันให้พอใจ จะได้ไม่ต้องสร้างเวรสร้างกรรมต่อกัน ถ้ารู้แล้ว คุณจะเลือกความตายก็เชิญ
ภุชคินทร์มองสุบรรณ สองคนมองตาท้าทายกัน แล้วภุชคินทร์ก็กระโดดลงไปในน้ำอีก สุบรรณสบถ
“เออ..เชิญบ้าให้พอ อยากตายก็ตาย”
ส่วนภุชคินทร์ที่อยู่ใต้น้ำ ทุรนทุราย เหมือนจะหมดลมหายใจไปจริงๆ เจ้าอุรคาร้อนรนแทบทนไม่ไหว
“ท่านภุชเคนทร์ อย่าท่านภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคาร้อนรน จะโผขึ้นมาอีก ชรายุห้าม
“อย่าค่ะเจ้า ข้าขอร้อง เจ้าอย่าเข้าไปข้องเกี่ยว” ชรายุเสียงเข้ม “แต่จงเพ่งมอง แล้วเจ้าจะเห็น”
“เห็นความตายของท่านภุชเคนทร์อีกครั้งน่ะหรือ” เจ้าอุรคาครวญ
ชรายุนิ่งไม่ตอบ ส่วนภุชคินทร์ทนไม่ไหว กระเสือกกระสนขึ้นมาหอบหายใจเหนือน้ำ
เจ้าอุรคาร้องไห้โฮ อย่างปลื้มปิติ
“ท่านไม่ตาย...ภุชเคนทร์ท่านไม่ตาย”
ชรายุพูดนิ่งๆ “ทุกชีวิตล้วนรักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่มีใครจะสละชีวิตได้เพื่อใครค่ะเจ้า”
เจ้าอุรคาอึ้ง ได้คิดในทันที
ส่วนสุบรรณลากภุชคินทร์ขึ้นฝั่ง
“ไหนว่าอยากตาย แล้วกระเสือกกระสนขึ้นมาทำไม?”
ภุชคินทร์ไม่มีแรงโต้ตอบ หมดแรงลงไป สุบรรณต้องลากขึ้นมาบนฝั่ง ร่างของภุชคินทร์นอนหงาย
สุบรรณกดน้ำออกมาจากท้อง น้ำพุ่งออกมาจากปากภุชคินทร์ สำลักน้ำออกมา และไม่ตาย
“ผมคืนชีวิตให้คุณ เป็นการชดเชยอดีตชาติที่ผมเคยคร่าชีวิตคุณ อโหสิกรรมให้กันนะคุณชายภุชคินทร์”
สุบรรณเดินหนีไป ภุชคินทร์มองตาม ภาพตอนถูกพญาสุบรรณฆ่าอย่างโหดเหี้ยม จนกระอักเลือด แถมถูกเยาะเย้ย ผูดขึ้นมาหลอกหลอน มันเจ็บแค้นเกินจะให้อภัย ยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยิน สุบรรณให้ชีวิตอีกแล้ว ชีวิตตกเป็นรองตลอด
ภุชคินทร์ได้แต่ตะโกนก้องอย่างเจ็บปวดและบ้าคลั่ง
“ไม่...ม่าย.....”
ภุชคินทร์มองตามสุบรรณอย่างเคียดแค้น สายตาคู่นั้นไม่มีวันให้อภัย
ภุชคินทร์ยังคงพักอยู่ที่บ้านยายอติศรี เช้านี้เขานั่งชันเข่าสีหน้าหม่นหมอง อย่างคนหมดสภาพ ภุชคินทร์บอกไพศิษฐ์เสียงแปร่งปร่า ดวงตาเจ็บช้ำ มีน้ำตาคลอ
“นายเข้าใจใช่มั้ยศิษฐ์ ความรู้สึกของคนพ่ายแพ้ คนที่โดนเหยียบย่ำ คนที่ต้องเป็นรองมันเป็นยังไง ฉันไม่คิดเลยจริงๆ ว่าชาตินี้ ตอนนี้ ฉันยังต้องมาเจ็บปวดเพราะไอ้สุบรรณอีก แล้วมันยังบอกให้ฉันอโหสิกรรม มันไม่ง่ายไปเหรอศิษฐ์ มันไม่ง่ายไปเหรอ”
ภุชคินทร์เจ็บปวด เสียใจ คร่ำครวญ ไพศิษฐ์มองอย่างเวทนา บอกเหมือนปลอบใจ
“ฉันเชื่อว่า ใครทำอะไรไว้ สุดท้ายก็ต้องได้อย่างนั้น”
“ก็แล้วเมื่อไหร่ คนเลวๆ อย่างมันถึงจะได้รับกรรม”
“คนเลว ที่วันนี้เขายังได้ดีอยู่ เพราะเขายังมีบุญจากอดีตชาติคอยหนุนนำอยู่ แต่ถ้าเค้าเป็นคนเลว เค้าไม่ยอมต่อบุญ ซักวันบุญก็ต้องหมดไป”
ภุชคินทร์พูดแผ่วๆ “ก็แล้วมันเมื่อไหร่”
“ฉันไม่อยากให้นายเจ็บแค้น เพราะความแค้นจะทำให้นายทำลายตัวเอง”
ภุชคินทร์บอกเสียงกร้าว “แล้วนายจะให้ฉันให้อภัยไอ้สุบรรณน่ะเหรอ? ไม่มีทาง!”
“ฉันรู้ว่านายเจ็บ แต่วิธีที่จะทำให้ท่านสุบรรณเจ็บ มันไม่ได้มีแค่การจองล้างจองผลาญหรือแก้แค้นแค่วิธีเดียว มันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น และเราสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ภายใต้คำว่ากฎหมาย”
ไพศิษฐ์มองหน้าภุชคินทร์ บอกอย่างจริงจัง
“ฉันไม่ยอมให้นายเจ็บคนเดียวหรอกชาย”
ไพศิษฐ์กอดปลอบเพื่อนรักแน่น ภุชคินทร์อัดอั้นร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อาย ไพศิษฐ์ได้แต่สงสาร
คืนนั้นขณะที่หม่อมภาณีเดินเล่นอยู่ในสวนวังนาเคนทร์ ท่าทางของหม่อมไม่สบายใจมีเรื่องคิดหนัก หม่อมกวาดมองไปรอบๆ นึกถึงตอนที่เจอรอยพญานาคเกิดรอบๆ วัง หม่อมภาณีได้แต่พึมพำเหมือนตำหนิตัวเอง
“ทำไมฉันถึงไม่เฉลียวใจ ตั้งแต่ตอนนั้น...ทำไม” หม่อมหลับตาลงแบบเหนื่อยอ่อนก่อนเรียก “ตา
สิน..ตาสิน”
ตาสินวิ่งเข้ามา “ครับหม่อม”
“จัดการ ถางหญ้าออกให้หมด อย่าให้งูเงี้ยวเขี้ยวขอตัวไหนมาหลบอยู่ได้”
“หมดเลยเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ...หรือจะปล่อยให้งูยักษ์มันไปทักตาสินถึงห้อง อ้อ! ถางหญ้าเสร็จแล้ว เอากระเบื้องมาปูแทนหญ้าไปเลยนะ ต่อไปที่นี่จะไม่มีสนามหญ้าอีก” หม่อมภาณีเดินเข้าตึกไป
“อ้าว! ก็เมื่อก่อนหม่อมชอบสวน ชอบต้นไม้ แล้วทำไมวันนี้เปลี่ยนไปซะได้”
ตาสินบ่น ได้แต่มองตามเกาหัวยิกๆ งูตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของต้นไม้ผงกหัวขึ้นมาดู ตาสินมองเห็นตกใจร้องจ๊ากพลางไล่
“ไปๆ ชิ้วๆ อย่ามาอยู่แถวนี้ เดี๋ยวก็ถูกฆ่าตายหรอก”
งูตัวนั้นจ้องมองมา แต่ไม่ไปไหน ตาสินยิ่งไล่เสียงดัง
“ไปสิ...ไป ชิ้วๆๆๆ”
งูตัวนั้นไม่ไปอีก ยังชูคอมองนิ่ง ตาสินได้แต่ทำปากจิ๊จ๊ะ อย่างหงุดหงิด ก่อนเดินไป
หม่อมนั่งอยู่ในสวนหน้าวัง ทอดสายตามองไปสีหน้าไม่สบายใจ ตาสินเดินมาพร้อมเสียม หม่อมบอกเมตตา
“ไม่ต้องทำเดี๋ยวนี้ก็ได้ ตาสิน มันดึกแล้ว”
“ผมจะเอาไปไล่งูน่ะครับ ไล่ยังไงมันก็ไม่ยอมไป ผมกลัวมันจะเข้าไปข้างใน”
หม่อมภาณีตกใจมาก “ในสวนมีงูเหรอ”
“ครับงูอยู่ในสวน ตัวเบ้อเริ่มเลย!”
หม่อมภาณีโกรธ “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ไม่พูดเปล่าหม่อมภาณีแย่งเสียมในมือตาสิน เดินฉับๆ ไปเลย ตาสินมองงงได้แต่ตะโกน
“อย่าครับหม่อม อันตราย เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ตาสินรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
หม่อมภาณีถือเสียมกระชับในมือแน่น ค่อยๆ ย่องเข้าไปในสวนท่าทางระแวดระวัง ขณะกวาดตามอง
หม่อมภาณีเสียงสั่น กลัวจับใจแต่ทำเป็นไม่กลัว “ไหนตาสิน งูอยู่ไหน”
ตาสินชี้จุดที่เห็น “อยู่ตรงนั้นครับ” แต่ไม่เห็น “อ้าว! ไม่มี สงสัยมันจะหนีไปแล้วครับหม่อม”
หม่อมภาณีหงุดหงิด “ไม่น่าเลย ถ้ามันอยู่ ฉันจะได้ฟาดให้มันตาย”
ตาสินบอกอย่างเกรงใจ “ปกติ แม้แต่มดซักตัวหม่อมยังไม่ฆ่า แล้วทำไมหม่อมถึงอยากจะฆ่างู
นักล่ะครับ”
“ก็ถ้าฉันไม่ฆ่ามัน มันก็จะมาฆ่าลูกฉัน นังงูผี”
“งูผี”
ตาสินตกใจ มองงงๆ ท่าทีอ้ำอึ้ง ด้วยที่ผ่านมาไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วย และยังไม่เคยเห็นหม่อมเป็นอย่างนี้มาก่อน หม่อมภาณียังกวาดตามอง พร้อมพูดท้าทาย
“นึกว่าจะแน่จริง ฮึ! ที่แท้ก็กลัวจนหัวหด ฉันบอกแกเอาไว้เลยนะ ฉันไม่มีทางยอมให้แกทำอะไรลูกฉันแน่”
ตาสินมองงงไปใหญ่ ฉับพลันก็มีเสียงบางอย่างแหวกพงหญ้าขึ้น หม่อมภาณีหันขวับท้า
“แน่จริงก็ออกมาสิ ออกมา”
ทั่วทั้งบริเวณเงียบ ยินเพียงเสียงหายใจตื่นเต้นของหม่อมภาณีและหัวใจที่เต้นรัว เห็นจิ้งเหลนตัว
หนึ่งวิ่งออกมา หม่อมภาณีเงื้อเสียมทำท่าจะฟาด ตาสินร้องห้าม
“จิ้งเหลนครับหม่อม...ไม่ใช่งู”
หม่อมภาณียืนหอบตัวแข็ง จริงๆ ก็กลัวเหมือนกัน แต่โกรธ ระแวงมากกว่า ตาสินบอกอีก
“ผมว่างูตัวนั้นมันหนีไปแล้วล่ะครับ หม่อมเข้าข้างในเถอะ...ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ตาสินค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงเสียมมาจากหม่อมภาณีแบบเกรงใจ แต่ยังไม่ทันที่เสียมจะหลุดออกจากมือ ก็มีเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวตัวอีก สองคนหันขวับไปมอง ท่ามกลางต้นไม้ที่ร่มครึ้มเขียวชอุ่ม แลเห็นงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งชูคอมองอยู่ สองคนตกใจ หม่อมภาณีมองจ้องร้องกรี๊ด พอตั้งสติได้ก็ว่าตะโกนด่าเสียงสั่น
“มาแล้วเหรอนังงูผี...ดี! ฉันจะได้ฆ่าแกให้ตาย”
หม่อมภาณีแย่งเสียมคืนมาจากตาสิน ฟาดเต็มแรงไปที่งูตัวนั้น เสียมกระทบพื้นโดยไม่ได้ถูกต้องตัวงูแม้แต่น้อย หม่อมภาณียิ่งโกรธ คลั่ง หลับหูหลับตาฟาดไปที่งูตัวนั้น โดยมีตาสินร้องห้าม
“อย่าครับหม่อม อย่า”
“ไม่ต้องมาห้ามตาสิน ฉันจะฆ่ามัน” ตะโกนก้อง “ฉันจะฆ่ามันๆๆ”
หม่อมภาณีกระหน่ำเสียมตีลงไปอย่างบ้าคลั่ง นารีวรรณอยู่ด้านในวังมองเห็นก็ตกใจ
“คุณแม่!”
นารีวรรณรีบวิ่งออกมา
นารีวรรณวิ่งออกมามา เห็นหม่อมภาณีเอาเสียมกระหน่ำฟาดลงที่พื้นจนเหนื่อยหอบ
“คุณแม่คะ...คุณแม่ตีอะไรคะคุณแม่?”
หม่อมภาณีได้ยินเสียงหนูนาก็หยุด เหนื่อยจนหอบ มองไปเห็นแต่พื้นดินพื้นหญ้าเป็นรอย ปราศจากร่องรองงูถูกตีแต่อย่างใด หม่อมภาณียืนอึ้งตะลึง หนูนาถาม
“มีอะไร? คุณแม่ตีอะไรหรือคะ”
หม่อมภาณีเหนื่อยหอบ “งู...แม่ตีงู”
“ไม่เห็นมีอะไรเลยค่ะ”
หม่อมภาณีกวาดตามอง ไม่มีซากงูอย่างที่คิด ตาสินว่าเสียงอ่อยๆ
“งูมันเลื้อยหนีไปตั้งนานแล้วครับหม่อม”
หม่อมภาณีได้แต่ยืนนิ่ง ความรู้สึกภายในอื้ออึง ซึ่งงูตัวนี้ไม่ได้บริวารของเจ้าอุรคา เป็นแค่งูธรรมดาตัวหนึ่งในสวนเท่านั้น หม่อมภาณีคิดมาก และหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเจ้าอุรคา จึงโกรธ เกลียดงูทุกตัว
นารีวรรณประคองหม่อมภาณีนอนลงบนเตียง พลางถามอย่างห่วงใย
“ให้หนูนานอนเป็นเพื่อนมั้ยคะคุณแม่”
“ไม่เป็นไรลูก แม่อยู่คนเดียวได้”
“งั้น..คุณแม่นอนหลับให้สบายนะคะ อย่าคิดมาก...หนูนาเป็นห่วง”
“ขอบใจจ้ะ”
“ฝันดีค่ะ”
นารีวรรณกอดหอมหม่อมภาณีที่แก้มแล้วเดินออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง หม่อมก็พึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วๆ
“มันต้องเป็นงูผีแน่ๆ มันมาเพื่อข่มขู่เรา เจ้าอุรคา ฉันไม่กลัวเธอหรอก ฉันไม่กลัว”
หม่อมภาณีล้มตัวลงนอน ข่มตาหลับอย่างยากเย็น
ทั่วท้องฟ้าเหนือวังนาเคนทร์ตอนกลางดึก พระจันทร์คืนเดือนมืด เห็นแต่เมฆดำทะมึน และหากใครมีจินตนาการหน่อย อาจจะมองเห็นเมฆหมู่นั้นเป็นผู้หญิงผมยาวคล้ายเจ้าอุรคา ก่อนที่จะเป็นงูตัวขนาดใหญ่เลื้อยตรงลง ตรงเข้าไปในวังนาเคนทร์ มันเลื้อยตรงไป ๆ และเห็นประตูห้องของหม่อมภาณีถูกเปิดออกอย่างช้าๆ และแผ่วเบา แทบไม่มีเสียง
หม่อมภาณีนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง จู่ๆ ผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ก็ถูกดึงลงอย่างช้าๆ หม่อมภาณีสะดุ้งรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมา ประมุขวังนาเคนทร์ชำเลืองมองที่ปลายเท้าด้วยอาการใจเต้นระทึก แล้วหม่อมภาณีก็ได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น
หม่อมภาณีร้องออกมาเสียงสั่น “งู”
งูตัวนั้นมองจ้องหม่อมภาณีอย่างท้าทาย ขณะที่หม่อมนอนหายใจหอบถี่ มันเลื้อยผ่านร่างไปยัง
ประตูแล้วเลื้อยออกไป หม่อมรวบรวมสติหันขวับมองตาม เห็นชัดว่ามันเลื้อยไปทางห้องนอนภุชคินทร์
“มันเลื้อยไปห้องตาชาย
แค่ชื่อนั้นก็มีพลังมากพอ ที่จะทำให้หม่อมภาณีคว้าปืนที่ซ่อนไว้ใต้หมอน ลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความมืดสลัว หม่อมภาณีถือปืนเดินไปที่ห้องของภุชคินทร์ ประตูห้องเปิดอ้าออกแล้ว
เสมือนมีบางสิ่งเข้าไปอยู่ก่อนหน้า หม่อมเดินเข้าไปด้วยหัวใจเต้นระรัว แล้วหัวใจก็แทบหยุดเต้น เมื่อเห็นเจ้าอุรคานอนกอดภุชคินทร์อยู่บนเตียง
สายตาที่มองมายังหม่อมภาณีทั้งเย้ยหยันระคนยั่วยิ้ม มือของเจ้าอุรคาค่อยๆ ลูบไล้บนหน้าอก และใบหน้าของภุชคินทร์อย่างแสนรัก ก่อนที่ใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว จะก้มลงจูบที่แก้มภุชคินทร์อย่างแผ่วเบา หม่อมภาณีใจหายวาบ ร้องกรี๊ด
“อย่า แกอย่าแตะต้องลูกฉัน”
เจ้าอุรคาก้มลงจูบยั่วอีก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหม่อมภาณีพูดช้าๆ น้ำเสียงเยียบเย็น
“เค้าเป็นของฉัน”
หม่อมภาณีถือปืนเล็งนิ่ง กรีดร้องอย่างคนสติแตก ทั้งรักทั้งห่วง หวง แทบจะขาดใจ “ไม่...เค้าไม่ใช่ของแก เค้าเป็นลูกฉัน ออกไป”
เจ้าอุรคามองมาอย่างไม่กลัวเกรง หนำซ้ำกลับเอาหน้าแนบลงแผงอกแกร่งภุชคินทร์ แล้วเอามือภุชคินทร์มากอดก่ายตัวเอง
หม่อมภาณีแทบทนไม่ไหว ร้องลั่น “ตาชาย...ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ตาชาย”
ทว่าภุชคินทร์ไม่สนใจหม่อมแม่เลย กลับกอดจูบซุกไซร้เจ้าอุรคาราวกับต้องมนต์ เจ้าอุรคาหันมามองเหยียดเย้ย
หม่อมภาณีชอกช้ำใจมาก คำรามเสียงกร้าว “แก นังงูผี แกตายซะเถอะ”
หม่อมภาณียิงปืนใส่ร่างของเจ้าอุรคาทันที แต่ใบหน้าของหม่อมกลับซีดเผือด เมื่อปรากฏว่ากระสุนด้าน เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม ค่อยๆ ก้มหน้าลงซุกไซร้ที่ลำคอของภุชคินทร์ หม่อมภาณีร้องกรี๊ด
“บัดสีบัดเถลิง ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ หยุด!”
ร่างของเจ้าอุรคาหยุดแล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นริมฝีปากงามแดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ
หม่อมภาณีตะลึง ขณะที่ริมฝีปากเจ้าอุรคาแย้ม มีเขี้ยวขาววาววับยื่นออกมา
เจ้าอุรคาพูดย้ำขึ้นมา “เค้าเป็นของฉัน” พลางก้มหน้าลงตรงซอกคอภุชคินทร์อีก และใช้มือขย้ำตามเนื้อตัว
หม่อมภาณีหัวใจสลาย ด่าทอต่อว่าสลับกับร้องเรียกบุตรชาย
“นังงูผี แกกำลังดูดกลืนเค้า ตาชายลุกขึ้นมาสิ ตาชาย ลุกขึ้นมา! ตาชาย...”
หม่อมภาณีกรี๊ดสุดเสียง ขณะที่เขี้ยววาววับของเจ้าอุรคาพุ่งเข้าหาหม่อมภาณีอย่างว่องไว
กลางดึกคืนนั้นหม่อมภาณีสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย หอบหายใจระรัว ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ หม่อมนั่งหน้าซีด
“ฉันกลัว...ว่ามันจะไม่เป็นแค่ฝัน ได้โปรด อย่าทำร้ายลูกฉันเลย ฉันขอล่ะ”
หม่อมภาณีน้ำตาไหลพราก ได้แต่พึมพำร้องขอจากหัวอกแม่ ที่รักและห่วงสายโลหิตเหลือเกิน
โปรดติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 12