แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 11
พเยียกลับเข้าห้องนอนเครียดจัด ผุดลุกผุดนั่งอยู่ในห้อง ท่าทางกลัดกลุ้มกระวนกระวายใจ
“ถ้าคุณแม่บอกตำรวจว่าเรากับพี่นพรู้จักกัน เราจะทำยังไงดี ขืนบอกให้ตำรวจไปจับพี่นพ มันต้องซัดทอดถึงเราแน่”
พเยียคิดเครียดอยู่อย่างนั้น
“แต่ถ้าไม่บอก ตำรวจก็ต้องสงสัยว่าเราเป็นพวกเดียวกับมัน” คิดหนักจนปวดหัว “โอ๊ย ปวดหัว จะทำยังไงดีวะ”
พเยียคว้ายาแก้ปวดหัวมากินเข้าไปหลายเม็ด แล้วทิ้งตัวลงกับเตียง กลุ้ม
“แค่นังกอหญ้าคนเดียวก็ยุ่งพอแล้ว ถ้าเรื่องถึงตำรวจ อีพเยียไม่รอดแน่จะทำยังไงดีๆๆๆๆๆ”
พเยียมุดหัวลงไปใต้หมอน เครียดจัด
ฝ่ายนภัสรพีใช้ความคิดอยู่คนเดียว ตอนที่ตนโต้เถียงกับนภาจรี และถูกนภาจรีเตือนว่าพเยียเป็นอันตราย ซักวันจะทำให้เดือดร้อน
นภัสรพียิ่งคิดยิ่งเครียดถอนใจยาว พลางรำพึง
“พี่ผิดเอง หญิงนภา ที่ไม่เชื่อเธอ...พี่ประมาทเกินไป”
นภัสรพีเดินกลับมาที่โต๊ะ ตัดสินใจ
“มันถึงเวลาแล้ว ที่พี่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
นภัสรพียกโทรศัพท์ขึ้น โทรออก
“สวัสดีครับ ผมหม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ ผมต้องการพูดกับตำรวจที่ทำคดีนางชื่น จิตมั่น” คุณชายฟังครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไรครับ ถ้าผู้หมวดออกมาจากห้องสอบสวนแล้ว ให้เขาโทรกลับมาหาผมด้วย ผมจะรอ…เรื่องอะไรเหรอครับ...บอกเค้าว่า ผมมีเบาะแสของคดีฆาตกรรมนางชื่น...ขอบคุณครับ”
นภัสรพีวางสาย แววตามุ่งมั่นมาดหมาย
เวลาเดียวกัน ภายในครัวของวัง เห็นมือใครบางคนเทขวดไซยาไนด์ ออกมาหนึ่งช้อนชาพูนๆ เอาไว้ในโถน้ำเชื่อม ที่เป็นแก้วใสใบเล็กๆ เห็นยาละลายในน้ำเชื่อมจนหมด
ที่แท้เป็นพเยียเทยาอีกช้อนอย่างตั้งใจ เอาผสมลงในโถนมสด ซึ่งเป็นแก้วใสแบบเดียวกัน คนจนละลายหมด พเยียเอาพลาสติกใสปิดโถทั้งสองไว้อย่างเรียบร้อย เอาไปแช่ตู้เย็น
ไม่นานนักศรีเดินปิดไฟทางเดิน ตรวจตราหน้าต่างประตูแทนแม่ชื่น แล้วหันมาเห็นพเยียยืนมองอยู่
“คุณหนู! มายืนมืดๆ ศรีตกใจหมด...จะเอาอะไรหรือเปล่าคะ”
พเยียบอกเสียงอ่อนโยน “ศรีคงเหนื่อยมากนะ ที่ดูแลทุกอย่างแทนแม่ชื่น”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนู ศรีเต็มใจ”
“ทุกคืนแม่ชื่นปิดบ้านเสร็จแล้ว จะต้องชงชาไปให้คุณตาดื่มก่อนนอน ป่านนี้คุณตาคงคิดถึงแม่ชื่นแย่แล้ว ศรีว่าไหม”
ขณะเดียวกันพวยกามีควันพลุ่งขึ้นมา เสียงการ้องหวีดดังลั่น กอหญ้ายกกาลงจากเตา ปิดไฟ ศรีเดินเข้ามาพอดี
“อ้าว คุณกอหญ้า ทำอะไรคะ”
กอหญ้าหันมายิ้ม
“กำลังจะชงชาก่อนนอนให้ท่านน่ะค่ะ”
ศรีเห็นกอหญ้าเตรียมชาใส่กาเอาไว้แล้ว บนถาดมีถ้วยชาวางเรียบร้อย
“ใจตรงกัน ศรีว่าจะมาทำอยู่พอดีเลย …ศรีช่วยไหมคะ”
กอหญ้าเอาน้ำร้อนเทใส่ในกา
“ไม่เป็นไรจ้ะ เสร็จแล้ว ศรีไปพักเถอะจ้ะ”
ศรีเดินออกไป
กอหญ้าจะยกถาดออกไป แล้วนึกได้
“อ้อ นมกับน้ำตาล เกือบลืมไป”
กอหญ้าเปิดตู้เย็น เห็นโถแก้วทั้งสองอัน กอหญ้าหยิบออกมาแกะพลาสติกที่ปิดออก บรรจงวางในถาด
“ศรีเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยเชียว น่ารักจริง”
กอหญ้ายกถาดน้ำชาเดินออกไป
นภัสรพีนั่งรอโทรศัพท์ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ขออนุญาตค่ะ”
นภัสรพีหันไป เห็นกอหญ้าถือถาดน้ำชาเดินเข้ามาวางไว้ให้ที่โต๊ะ
“น้ำชาค่ะท่าน”
“ขอบใจมาก หนูกอหญ้า”
กอหญ้ารินน้ำชาใส่ถ้วยให้ คุยไปด้วย น้ำเสียงห่วงใย
“ท่านนอนดึกมาหลายคืนแล้วนะคะ”
“ฉันมีเรื่องราวต้องสะสางมากมายหลายเรื่องเหลือเกิน”
“มีอะไรที่เด็กอย่างหนูช่วยได้ไหมคะ”
นภัสรพีมองกอหญ้าอย่างเอ็นดู
“แค่ชงชาอร่อยๆ ให้ฉันก็ขอบใจมากแล้ว”
“ปรุงไหมคะ”
“น้ำตาลอย่างเดียวก็พอ หวานหน่อยก็ดี ช่วงนี้เหนื่อยเหลือเกิน”
กอหญ้าเทน้ำเชื่อมลงไป “น้ำตาลจะทำให้สดชื่นค่ะ”
กอหญ้าเลื่อนถ้วยชาไปให้ นภัสรพียิ้ม แล้วยกขึ้นจิบ
กอหญ้ามองนภัสรพีอย่างห่วงใย ผูกพัน “อีกไม่นานหรอกค่ะ ทุกอย่างจะดีขึ้น”
“ฉันก็เชื่ออย่างนั้น” นภัสรพีคิดถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำ “อย่างน้อย สิ่งเลวร้ายที่มันฝังตัวอยู่ในบ้านหลังนี้ จะต้องถูกกำจัดออกไป”
นภัสรพีเห็นกอหญ้ามองงงๆ เลยยิ้มให้
“คนแก่ก็บ่นเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก” พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดัง “เอาละ หนูไปนอนเถอะ ฉันมีธุระสำคัญต้องทำ”
“ค่ะ”
กอหญ้าเดินออกไป
นภัสรพีจิบชาอีกหนึ่งคำ แล้วรับโทรศัพท์
“ผมนภัสรพีพูด ใช่แล้วครับ ผู้หมวด ผมคิดว่ามีคนคนนึง ที่จะเชื่อมโยงไปถึงตัวคนร้ายที่ฆ่าแม่ชื่น แต่ผู้หมวดต้องรับปากผมก่อน ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบที่สุด ผมไม่ต้องการให้มีข่าวออกไปทางไหนทั้งนั้น...”
นภัสรพีนิ่งฟังทางปลายสาย
“จำเป็นมากครับ ที่มันต้องเป็นความลับ เพราะคนที่ผมสงสัย เป็นคนในวังศิวาลัยของผมเอง”
ขณะที่กอหญ้าอยู่ตรงทางเดิน ห่างออกมาจากห้องสมุด แล้วได้ยินเสียงแก้วแตกดังเพล้งออกมาจากห้องสมุด ตามด้วยเสียงเหมือนอะไรล้ม โครมคราม กอหญ้าตกใจ ชะงัก
“คุณชาย”
กอหญ้าวิ่งกลับไปที่ห้อง เห็นนภัสรพีล้มกลิ้งอยู่ที่พื้น โทรศัพท์ยังคามืออยู่
“คุณชายคะ คุณชาย คุณชายเป็นอะไรคะ”
นภัสรพีหอบหายใจ แล้วตาค้าง หมดสติไป
กอหญ้าตกใจมาก “คุณชาย”
กอหญ้างงทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังมาจากโทรศัพท์ กอหญ้าดึงออกมาจากมือนภัสรพี
“ฮัลโหล” กอหญ้าฟังว่าทางนั้นเป็นใคร “ตำรวจเหรอคะ ช่วยมาที่นี่ด่วนเลยค่ะ คุณชายนภัสรพี” มองดูนภัสรพีที่นอนนิ่งอยู่ เอื้อมมือไปจับชีพจร “ท่านสิ้นแล้วค่ะ”
กอหญ้านั่งมองร่างไร้วิญญาณของนภัสรพี ดวงหน้าซีดเผือด น้ำตาคลอเบ้า
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างของนภัสรพีออกมา นำขึ้นรถ หมอประจำรถพยายามจะช่วยกู้ชีวิตของนภัสรพี
“ให้ยากระตุ้นหัวใจ แล้วปั๊มหัวใจด่วน” หมอสั่งการ
กอหญ้ายืนอึ้งๆ ยังตกใจอยู่ พเยียประคองนภดาราที่หน้าซีดปากสั่นตามไปยื้อยุดจนถึงรถ
“คุณพ่อ คุณพ่อต้องไม่เป็นไรนะคะ” นภดาราบอกกับหมอ “ช่วยคุณพ่อด้วย ช่วยคุณพ่อด้วยนะคะ คุณพ่อต้องไม่ตาย”
พเยียคุมสติ พูดอย่างเยือกเย็น ไม่ลนลานสักนิด “ปล่อยเค้าเถอะค่ะ คุณแม่ ให้เค้าพาคุณตาไปนะคะ”
ประตูรถปิด เห็นรถพยาบาลเคลื่อนออกไปจากหน้าตึก นภดาราเหมือนใจจะขาดตาม พเยียกับกอหญ้าช่วยกันประคองไว้
“ทำใจดีๆ ก่อนค่ะ คุณอา”
นภดาราพึมพำ “คุณพ่อต้องไม่ตาย คุณพ่อต้องไม่ตาย”
พเยียพูดปลอบอย่างอ่อนโยน “เราตามไปดูคุณตาที่โรงพยาบาลดีกว่าค่ะ คุณแม่”
นภดาราพยักหน้า ทั้งสองประคองนภดาราออกไป
ศรีกับคนใช้คนอื่นๆ ที่ยืนเกาะกันกลุ่มอยู่ห่างๆ หน้าเสีย น้ำตาไหล ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ไม่นานต่อมา นภดารา พเยีย และกอหญ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล อิศรเดินตรงมาหาอย่างเร่งร้อน
กอหญ้าหันไปเห็นก็ดีใจ “คุณอิศร”
อิศรเข้าไปไหว้นภดารา “คุณอาครับ” ชายหนุ่มกุมมืออย่างห่วงใย “เข้มแข็งไว้นะครับ” แล้วหันมาทางกอหญ้า “อาการเป็นยังไงบ้าง”
“ท่านหยุดหายใจไปแล้วค่ะ แต่หมอกำลังพยายามแก้ไขกันอยู่”
“ทำใจดีๆ ไว้ครับ คุณอา หมอเวรที่ดูแลคุณชายนภัสเป็นเพื่อนผมเองมันเก่งมาก”
ขาดคำหมอวิชาญเดินหน้าเครียดออกมาจากห้องฉุกเฉิน พุ่งตรงมาที่พวกนภดารา
“คุณนภดาราใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“ผมเสียใจด้วยนะครับ คุณชายท่านสิ้นใจตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาลทางเราพยายามปั้มหัวใจ แล้วก็ใช้ยาช่วยอย่างเต็มที่แล้ว” หมอวิชาญมองนภดาราอย่างเห็นใจ “ผมเสียใจจริงๆ”
พเยียตาเป็นประกาย แอบระบายลมหายใจเบาๆ อย่างโล่งใจ กอหญ้าพูดไม่ออก น้ำตาคลอเงียบๆ
“คุณพ่อ”
นภดาราเจ็บหน้าอกแปลบ แล้วช็อก เป็นลมล้มตึงไป อิศรรับไว้ได้ทัน
“คุณอาครับ คุณอา”
กอหญ้าได้สติ รีบบอก “คุณอาดาราเป็นโรคหัวใจค่ะ คุณหมอ”
หมอวิชาญบอกกับอิศร “ตามฉันมา”
หมอวิชาญเดินเร็วๆ เข้าไปในห้องฉุกเฉิน อิศรอุ้มนภดาราตามไป พยาบาลรีบเดินตามหมอวิชาญไป
หมวดพิภพ นายตำรวจคนที่พูดโทรศัพท์กับนภัสรพีเดินเข้ามา ถามพยาบาล
“คนไข้ชื่อหม่อมราชวงศ์นภัสรพีอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ”
“อยู่ที่ห้องฉุกเฉินทางด้านโน้นค่ะ”
หมวดพิภพ เดินไป
คืนนั้นตรงทางเดินหน้าห้องฉุกเฉิน อิศร กอหญ้า พเยีย เดินออกมาพร้อมกับหมอวิชาญ
“คุณนภดาราปลอดภัยแล้ว แต่ระวังกันหน่อยก็ดีนะครับ หัวใจของเธออ่อนแอมาก”
กอหญ้าบอก “คุณอาอาการไม่ค่อยดีตั้งแต่คุณหญิงนภาเสียแล้วค่ะ แล้วไหนจะแม่ชื่นแล้วคุณชายยังมาเสียไปอีกคน”
ตำรวจทั้งสองเดินเข้ามา
“คุณหมอวิชาญใช่ไหมครับ”
หมอวิชาญงงๆ “ครับ”
“ผม ร้อยตำรวจโทพิภพ ศรีภิญโญครับ ก่อนจะหมดสติไป คุณชายนภัสรพีกำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับผม ...ไม่ทราบว่า ท่านเสียชีวิตเพราะอะไรครับ”
หมอวิชาญลังเลนิดนึง “มีอาการ ...หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันครับ”
“ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต มีผู้หญิงคนนึงอยู่กับท่านเป็นคนสุดท้าย…”
ทุกคนหันไปมองกอหญ้า
“ฉันเองค่ะ ฉันชื่อกอหญ้า...ฉันแค่เอาชาเข้าไปให้ท่านเท่านั้น”
“แล้วท่านก็ตาย”
พเยียพูดเสียงเรียบ แต่แฝงนัยแปลกๆ ตำรวจมองหน้ากอหญ้า กอหญ้ามีสีหน้าลำบากใจ
เวลาผ่านไปสักระยะ อิศรเดินเข้ามาในห้องของหมอวิชาญในโรงพยาบาล ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน หมอวิชาญยกชาสองถ้วยมาวางตรงหน้า เปรยขึ้นมา
“คุณกอหญ้าอยู่กับคุณชายเป็นคนสุดท้าย คงต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรก”
อิศรที่กำลังยกชาขึ้นจิบ สำลักพรวด
“ไอ้บ้า” พลางวางถ้วยชา โวยวายเสียงดัง “เหลวไหล! กอหญ้าไปเกี่ยวอะไร กะอีแค่ชงชาไปให้กิน” อิศรเปลี่ยนเสียงเป็นประชด “ถ้าคุณชายนภัสฯ สำลักน้ำชาตายก็ว่าไปอย่าง”
หมอวิชาญพูดเป็นมีนัย “ไม่แน่...บางทีน้ำชาถ้วยเดียวก็ฆ่าคนได้”
อิศรนึกเอะใจ “แกหมายความว่าไง ไอ้หมอ”
“คุณชายนภัสรพีไม่มีประวัติการเป็นโรคหัวใจ จริงๆ แล้ว จากประวัติทางการแพทย์ที่ฉันได้รับมา ท่านเป็นคนที่มีสุขภาพดีมากคนนึงทีเดียว”
อิศรตกใจ “ไอ้หมอ แกกำลังจะบอกฉันว่า...”
“ฉันยังบอกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เอาไว้ฉันแน่ใจเมื่อไหร่ แกก็รู้เอง”
หมอวิชาญพูดยิ้มๆ พลางมองถ้วยชาในมือ ทำท่าราวกับนักสืบที่สนุกกับคดีของตัวเอง
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 11 (ต่อ)
ตอนกลางดึก ภายในห้องโถงวังศิวาลัย ศรี ทองมา วิชัย และคนใช้ทั่งหมดนั่งๆ ยืนๆ หน้าตากังวลรอฟังข่าว พเยียกับกอหญ้าเดินกลับเข้ามาในห้องโถง ท่าทางเครียดทั้งคู่
“คุณหนู คุณกอหญ้า คุณชายเป็นยังไงบ้างคะ” ศรีถาม
กอหญ้ามองหน้าพเยียเป็นเชิงให้ตอบ พเยียตอบเสียงเรียบ
“คุณตาสิ้นใจก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล หมอช่วยไม่ทัน ท่านจากพวกเราไปแล้ว”
ทุกคนหน้าสลด บางคนถึงกับอุทานเบาๆ
“แล้วคุณดาราล่ะครับ คุณดาราไปไหน ทำไมไม่กลับมากับคุณหนู” ทองมาถาม
“คุณแม่เสียใจมาก อาการโรคหัวใจเลยกำเริบขึ้นมา ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” พเยียพูดพลางเชิดหน้า พูดอย่างทรงอำนาจ “ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันที่นี่ก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องพูดหลายหน”
กอหญ้ามองพเยียอย่างแปลกใจ ว่าพเยียจะพูดอะไร
“ตอนนี้ คุณตาคุณยายไม่อยู่แล้ว คุณแม่ก็ป่วยหนัก หมอสั่งไม่ให้มีอะไรมารบกวนจิตใจ... เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้ไป ฉันคือเจ้านายของพวกเธอ”
บรรดาคนใช้ยังงงๆ กอหญ้าตกใจกับการกระทำของพเยีย ที่ดูเหมือนยึดอำนาจกลายๆ
“คุณพเยีย!” กอหญ้าท้วง
พเยียมองกอหญ้า แววตาและน้ำเสียงวางอำนาจ “ในฐานะทายาทคนเดียวของคุณแม่ ทุกคนที่อยู่ในวังศิวาลัย จะต้องเชื่อฟังฉันทุกอย่าง” พลางกวาดตามองคนใช้เรียงตัว “และทำตามคำสั่งของฉันคนเดียวเท่านั้น!”
สายตาพเยียหยุดที่หน้าศรีเป็นคนสุดท้าย
“ศรี ตามฉันมานี่”
พเยียพูดจบก็เดินเชิดออกไปทางด้านห้องสมุด ศรีกับคนใช้คนอื่นๆ ยังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยังงงๆ กอหญ้ามองตามพเยีย เริ่มจะเข้าใจลางๆ ว่าพเยียทำร้ายทุกคนเพื่ออะไร
พเยียเดินเข้าไปในห้องสมุด เศษถ้วยน้ำชาที่ตกแตกยังเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้น ถาดที่มีกาน้ำชาและโถใส่นมกับน้ำเชื่อมยังทิ้งคาอยู่ที่โต๊ะ พเยียยิ้ม เอามือกวาดทั้งหมดลงมาแตกกระจาย
ศรีเดินตามเข้ามาพอดี ตกใจ
“อุ๊ย”
พเยียสั่ง “เก็บไปทิ้งให้หมด แล้วเก็บกวาดห้องนี้ให้สะอาดเรียบร้อย”
“ค่ะ”
พเยียหันตัวเดินออกไป เผชิญหน้ากับกอหญ้าที่ยืนอยู่หน้าประตู จังหวะเหมือนเจอผี พเยียผงะ กอหญ้าจ้องตา มองพเยียอย่างค้นหาความจริง
พเยียเชิดใส่ แล้วเดินจากไป กอหญ้ามองดูเศษถ้วยชาและโถน้ำเชื่อมที่ศรีเก็บใส่ถังขยะ แปลกใจ ว่าพเยียมาสนใจเรื่องเก็บกวาดบ้านทำไมในเวลานี้ สายตากอหญ้ามองเศษแก้วในถังขยะอย่างสนใจ
เช้าวันต่อมา นภดารานั่งหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น ท่าทางอ่อนแอ พยาบาลกำลังเช็คอาการทั่วไป พเยียและกอหญ้าเปิดประตูเข้ามา พเยียเข้ามากอดแขนประจบ กอหญ้ายืนอยู่อย่างเรียบร้อยที่ปลายเตียงด้านหนึ่ง ห่างออกไป
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณแม่”
“หายแล้วจ้ะ”
“เดี๋ยวคุณหมอวิชาญจะมาดูอาการให้อีกทีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อน ก็คงกลับบ้านได้” พยาบาลบอก
“ดีค่ะ คุณอากลับบ้านเร็วๆ ก็ดี”
พเยียตวัดตามองหน้ากอหญ้าอย่างไม่พอใจ กอหญ้าไม่หลบตา หมอวิชาญเปิดประตูเข้ามา ในมือมีถาดใส่เข็มฉีดยา
พเยียกะกอหญ้าทักพร้อมกัน “คุณหมอ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” หมอวิชาญบอกกับนภดารา “ฉีดยาบำรุงหัวใจหน่อยนะครับ”
หมอฉีดยาให้ นภดาราถามไปด้วย
“ฉีดยาเสร็จแล้ว ฉันขอออกไปเลยได้ไหมคะ หมอ...ฉันจะต้องรีบไปจัดงานให้คุณพ่อ
หมอวิชาญฉีดยาเสร็จพอดี “คุณดาราจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านก็ได้ครับ แต่เรื่องคุณชายนภัสรพี ผมคงยังอนุญาตให้เอาศพออกไปไม่ได้”
ทุกคนมองหน้าหมอ ท่าทีแปลกใจ
“ทำไมล่ะคะ”
หมอวิชาญค่อยๆ พูด ระมัดระวังไม่ให้นภดาราตกใจ
“เพราะจากผลชันสูตรศพ เราพบว่าคุณชายนภัสรพีไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ แต่ท่านได้รับยาพิษ”
นภดาราแทบช็อก “ยาพิษ!”
“ครับ มีร่องรอยว่าท่านได้รับสารไซยาไนด์เข้าไป ทำให้หัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตทันที”
พเยียไม่คิดว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้ ตกใจ มือที่จับแขนนภดาราอยู่ เผลอบีบอย่างแรง
นภดาราเจ็บ แปลกใจท่าที “พเยีย ลูก”
กอหญ้านึกได้ ถึงถ้วยชาเมื่อคืน มองหน้าพเยีย ตาวาววับ
“คุณพเยีย”
พเยียคิดหาทางเอาตัวรอดไว้แล้ว จ้องกลับไปที่กอหญ้า
“นังกอหญ้า” พเยียชี้หน้า “แกเป็นคนเอาชาไปให้คุณตากิน แกวางยาพิษฆ่าคุณตา”
“ไม่! ไม่ใช่ฉัน”
ยังไม่ทันที่กอหญ้าจะพูดอะไรต่อไป หมวดพิภพ ตำรวจคนเดิมและลูกน้องเดินเข้ามา ท่าทางขึงขัง ทุกคนหันขวับไป
“ตำรวจ”
“ขออนุญาตครับ ผมขอเชิญคุณกอหญ้า ไปให้การที่สถานีตำรวจ ในฐานะที่คุณเป็นผู้ต้องสงสัย ในคดีฆาตกรรมหม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ครับ” หมวดพิภพว่า
กอหญ้าอึ้ง นภดาราตื่นตกใจ ส่วนพเยียมีแววตาสะใจ
ขณะเดียวกันที่ห้องรับแขกบ้านชิษณุพงษ์ ทุกคนตกใจกับข่าวการตายของนภัสรพี
“ผมไม่อยากเชื่อเลย ว่าคุณปู่จะเคราะห์ร้ายอย่างนี้”
“ไม่ใช่เคราะห์ร้าย ท่านตายเพราะได้รับสารไซยาไนด์เข้าไป”
“ถูกวางยาพิษงั้นเหรอคะ...ใครคะ ใครเป็นคนทำ” เจ้ามลุลีถามอย่างตื่นเต้น
เจ้าแสงโชติมองชิษณุพงษ์ แล้วพูดอย่างลำบากใจ
“คนที่วังศิวาลัยเล่าว่า ท่านดื่มชาก่อนนอนเข้าไป แล้วก็ล้มลง หัวใจวาย” เจ้าแสงโชติเน้นชัดๆ “และคนที่ชงชาเข้าไปให้ท่านก็คือ หนูกอหญ้า”
ชิษณุพงษ์ตกใจมาก ไม่เชื่อเลย
“ไม่ ไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้”
ที่สถานีตำรวจ กอหญ้าให้ปากคำกับหมวดพิภพ มีอิศรให้กำลังใจอยู่ข้างๆ
“ฉันชงชา แล้วก็ยกไปให้ท่านตามปกติเหมือนทุกคืน ถ้าฉันคิดฆ่าท่านจริงๆ ฉันคงไม่ยกไปให้ท่านด้วยมือของฉันเองหรอกค่ะ”
“คุณคิดว่ามีคนอื่นในบ้านที่ต้องการฆ่าคุณชายนภัสงั้นหรือ” ตำรวจซัก
“ค่ะ” กอหญ้าบอกอย่างมั่นใจ
“คุณคิดว่าเป็นใคร”
กอหญ้าคิด ชั่งใจ อิศรให้กำลังใจ
อิศรบอก “พูดไปสิ กอหญ้า”
“ฉันไม่มีหลักฐานค่ะ”
“แล้วคนคนนั้น ต้องการฆ่าคุณชายเพราะอะไร”
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน” ตำรวจทำหน้าไม่เชื่อถือ “แต่เชื่อฉันเถอะค่ะ ฉันรักและเคารพคุณชายนภัสเหมือนญาติผู้ใหญ่ ท่านเมตตาฉันมาก ถ้าฉันวางยาท่านได้ ฉันก็ไม่ใช่คนแล้ว”
“ถ้ามีเหตุจูงใจที่มากพอ ต่อให้รักกันขนาดไหน ก็ฆ่ากันได้ ผมเห็นมาเยอะแล้ว” ตำรวจบอก
อิศรไม่พอใจคำพูดกำกวมแฝงนัยยะของตำรวจ “แล้วอะไรคือแรงจูงใจล่ะครับ กอหญ้าจะได้อะไรจากการที่คุณชายนภัสรพีตาย”
“ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านโทรศัพท์มาหาผม ท่านบอกว่า ท่านรู้ตัวคนคนนึง ที่จะเชื่อมโยงไปหาคนร้าย ที่ฆ่านางชื่นครับ”
อิศรกับกอหญ้ามองหน้ากัน กอหญ้าปะติดปะต่อเรื่องราวได้
พเยียโวยวายกับนภดารา ที่นั่งนิ่งอยู่ สีหน้าครุ่นคิด ไตร่ตรอง
“คุณแม่ต้องเอานังกอหญ้าเข้าคุกให้ได้นะคะ ให้เค้าประหารชีวิตมันไปเลยยิ่งดี”
ชิษณุพงษ์ที่มาเยี่ยมถามข่าว เถียงด้วยอารมณ์แรง
“ผมไม่เชื่อว่ากอหญ้าเป็นคนวางยาพิษคุณปู่” ชิษณุพงษ์พูดกับนภดารา “คุณอาต้องไม่เชื่อนะครับ”
“ไม่ใช่แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะคะ ก็มันเป็นคนชงชาให้คุณตาเองกับมือ” พเยียเถียง
“คนในวังมีตั้งเยอะแยะ” ชิษณุพงษ์ประชด “อาจจะเป็นคุณก็ได้นี่”
พเยียโกรธจนตัวสั่น “ไอ้บ้า ฉันเป็นลูกคุณแม่ ฉันจะฆ่าคุณตาของฉันเองทำไม”
“เพื่อปิดปากไง” เสียงกอหญ้าดังขึ้น ขณะเดินเข้ามาพร้อมอิศร
“เพราะคุณชายกำลังจะแฉ ว่าคุณกับฆาตกรที่ฆ่าแม่ชื่นรู้จักกัน คุณเลยต้องฆ่าท่านซะก่อน ใช่ไหม”
“นังกอหญ้า!”
พเยียโถมเข้าไปเค้นคอกอหญ้า กอหญ้าล้มลงกับพื้น พเยียเค้นคออย่างโกรธจัด
“แกนั่นแหละฆาตกร แกนั่นแหละเป็นคนฆ่าคุณตา”
“โอ้ย ปล่อยนะ คุณพเยีย ปล่อย”
นภดาราลุกขึ้นห้าม “หยุดนะ พเยีย”
อิศรกับชิษณุพงษ์เข้าไปห้าม เอาพเยียออกมาจากกอหญ้าได้ ชิษณุพงษ์ล้อกตัวพเยียไว้
พเยียดิ้นเร่าๆ
“ปล่อยฉันนะ แกมาห้ามฉันทำไม ฉันจะฆ่ามัน นังกอหญ้ามันฆ่าคุณตา มันฆ่าทุกคน”
นภดาราทนไม่ไหว รวบรวมแรงตวาดพเยีย
“หยุดนะ พเยีย หยุดบ้าได้แล้ว”
พเยียโกรธ น้อยใจ “คุณแม่”
“พอได้แล้ว อย่าพูดเหลวไหล อย่ากล่าวหาใครพล่อยๆ”
พเยียมองนภดาราอย่างโกรธแค้น นภดาราเอามือกุมหน้าอก แล้วซวนเซลงนั่งหอบ อิศรกับกอหญ้าเข้ามาประคอง
“คุณอาคะ”
“พาฉันไปพักที หนูกอหญ้า”
กอหญ้าประคองนภดาราไป อิศรยืนมองตาม ห่วงใย พเยียที่ยังโดนชิษณุพงษ์จับไว้ ฮึดฮัด มองทั้งสองเดินไปด้วยกันด้วยความแค้น
ส่วนกอหญ้าประคองนภดาราลงนั่งพักที่เตียง ใบหน้านภดาราขรึมเศร้า ครุ่นคิด กอหญ้าคุกเข้าลงตรงหน้า
“คุณอาคะ”
นภดารามองหน้ากอหญ้า
“ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่คุณอา และทุกคนที่นี่ ก็รักและเมตตาหนูเหมือนกับลูกหลาน หนูสาบาน ว่าหนูไม่มีวันคิดทำร้ายคุณชายนภัสรพีเป็นอันขาด”
“ฉันเชื่อหนูจ้ะ กอหญ้า ฉันเชื่อว่าหนูไม่ได้ทำ”
กอหญ้าถามเหมือนเตือนสตินภดาราอย่างระมัดระวังไม่ให้สะเทือนใจ “แล้วใครทำล่ะคะ คุณอา”
สีหน้านภดาราแน่วนิ่ง ครุ่นคิด ด้วยความสะเทือนใจ
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 11 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้นภายในผับเล็กๆ บรรยายมืดสลัว พเยียสวมชุดพรางตัวนั่งหลบมุมคุยกับนพดล
“ตกลงว่านังนภดารามันสงสัยพเยียเหรอ”
พเยียกังวล “ฉันก็ไม่แน่ใจอ่ะ พี่ เค้าก็นิ่งๆ เฉยๆ ฉันเดาไม่ออก”
“คิดมาก ประสาท มันเชื่อว่าพเยียเป็นลูกของมันนะ ใครจะคิดเอาผิดลูกตัวเอง อีกอย่าง มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรนี่”
พเยียนึกขึ้นได้ ตกใจ
“หลักฐาน! ตายล่ะ ขวดไซยาไนด์ยังอยู่กับฉัน พี่นพ”
นภดาราเดินมาถึงหน้าห้องพเยีย ในมือมีกุญแจพวงใหญ่ ศรีเดินสวนขึ้นมา นภดาราชะงัก
“คุณหนูยังไม่กลับใช่ไหม ศรี”
“ค่ะ คุณดาราต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
นภดาราส่ายหน้า “เปล่าจ้ะ” แล้วนึกได้ “อ้อ แต่ถ้าเห็นรถคุณหนูกลับมา ศรีรีบขึ้นมาบอกฉันด้วยก็แล้วกัน”
ศรีรับคำแล้วออกไป พอลับตา นภดาราก็ไขกุญแจ เปิดเข้าไปในห้องพเยีย นภดาราเข้ามาในห้อง มองไปรอบๆ คิดถึงคำพูดของหมอวิชาญ ขณะที่ส่งรายงานทางการแพทย์ให้นภดาราเมื่อตอนกลางวัน
“สารที่ทำให้คุณชายนภัสรพีถึงแก่ความตายคือ โปแตสเซียม ไซยาไนด์ครับ”
นภดาราอ่านรายงานทางการแพทย์ เห็นลายมือหมดตวัดยุ่ง มีคำว่า Potassium cyanide (KCN)
นภดาราเปิดตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักต่างๆ ทั่วห้อง ปัง! ปัง! ปัง! ไม่พบอะไร จนมาถึงลิ้นชักที่พเยียล็อกกุญแจไว้ เป็นลิ้นชักที่เก็บขวดไซยาไนด์ นภดาราชะงัก
ด้านพเยียเดินกลับเข้าบ้านมา แล้วชะงัก เมื่อเห็นศรีนั่งอยู่กับพื้น เผลอหลับ เอนซบกับบานประตู พเยียกับตัวเอง
“มานอนอะไรตรงนี้”
พเยียเหมือนจะเข้าไปปลุก แล้วชะงัก เปลี่ยนใจ เดินขึ้นบ้านไป
นภดาราพยายามเปิดลิ้นชักไม่สำเร็จ ในขณะที่พเยียเดินขึ้นมาถึงหน้าห้อง ไขกุญแจ
นภดาราได้ยินชะงัก หันรีหันขวาง ไม่รู้จะหนีไปทางไหน
พเยียเปิดเข้ามา แปลกใจ ที่เห็นไฟในห้องสว่าง เหลียวมองทั่วห้อง
“เอ๊ะ ใครมาเปิดไฟไว้”
พเยียสังหรณ์ใจ วิ่งไปที่ลิ้นชักทันที เห็นยังล็อกอยู่ พเยียเอากุญแจดอกเล็กออกจา กระเป๋าถือ ไขเปิดลิ้นชัก เห็นขวดไซยาไนด์ยังอยู่ดี
พเยียถอนหายใจ โล่งอก
“เราคิดมากอย่างที่พี่นพว่าจริงๆ” มองขวดยาในมือ “เอาทิ้งไปให้หมดเรื่องดีกว่า”
พเยียถือขวดไซยาไนด์เดินไปที่ห้องน้ำ
พอพเยียเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ แล้วชะงัก เมื่อเห็นนภดารายืนแอบอยู่ พเยียตกใจสุดขีด
“คุณแม่”
นภดาราตกใจ แล้วมองไปที่ขวดในมือพเยีย เห็นป้าย KCN ชัดเจน
“พเยีย...ลูก”
นภดาราแทบช็อก ตัวสั่น มือสั่น ชี้ไปที่ขวด
“ขวดนั่น”
พเยียตกใจ แก้ตัวไม่ถูก “คุณแม่” พยายามเปลี่ยนเรื่อง “คุณแม่แอบเข้ามาให้ห้องหนูทำไมคะนี่”
นภดาราช็อก ตัวสั่น ยังคงปักใจอยู่ที่เรื่องเดิม
นภดาราชี้ขวดยา “หนู...หนูเป็นคนฆ่า...” น้ำตาไหลพราก
“ไม่ ...ไม่ใช่”
พเยียมือไม้สั่น รีบเทยาลงชักโครก ฉีกฉลากยาขยำลงไปด้วยแล้วกดทิ้งแล้วโยนกระปุกยาทิ้งลงถังขยะอย่างว่องไว
นภดาราใจเต้นระริก เจ็บปวด
“หนูฆ่าคุณพ่อของแม่ คุณตาแท้ๆ ของหนู หนูทำได้ยังไง ทำได้ยังไง”
นภดาราทรุดฮวบลงกับพิ้นห้องน้ำ แน่นิ่งไป พเยียยืนมอง ใจสั่นไปหมด ทำอะไรไม่ถูก
ด้านกอหญ้านั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารคนเดียว รอนภดารา รู้สึกแปลกใจ สาวใช้เดินเข้ามา กอหญ้าหันไปถาม
“คุณอาดารายังไม่ลงมาอีกหรือจ๊ะ”
“ยังค่ะ เห็นพี่ศรีบอกว่า เมื่อคืนท่านอาการกำเริบ ลงมาทานอาหารเช้าไม่ไหว คุณหนูสั่งให้จัดขึ้นไปให้ข้างบน”
กอหญ้าได้ยิน รู้สึกเป็นห่วงนภดารา ลุกขึ้นทันที
กอหญ้าเดินเข้ามาในครัว ศรีจัดผลไม้ใส่จานเล็ก กำลังจะเตรียมเครื่องดื่ม
“อาหารเช้าของคุณอาเหรอจ๊ะ ศรี”
“ค่ะ”
กอหญ้าเห็นศรีหันไปเปิดตู้เย็น แล้วหยิบเอานมขวดใหญ่ ที่เปิดแล้วออกมา กำลังจะเทใส่แก้ว
“เดี๋ยวจ้ะ ศรี”
กอหญ้าเข้าไปหยิบนมทั้งขวดโยนทิ้งถังขยะ พูดนิ่มๆ
“เปิดขวดใหม่ดีกว่าจ้ะ”
กอหญ้าหยิบนมสดขวดใหม่มาเปิด จะรินใส่แก้ว พเยียเข้ามา
“หยุดนะ กอหญ้า!”
กอหญ้าชะงัก พเยียเดินเข้ามา แย่งขวดนมไป
“ถอยไป อย่ามายุ่ง” พเยียเสียงดัง “ต่อจากนี้ไป อาหารการกินของคุณแม่ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
กอหญ้าเสียงแข็ง ระแวง “คุณคิดจะทำอะไร”
“ฉันจะปกป้องคุณแม่ของฉัน จากคนร้ายที่มันแฝงตัวอยู่ในบ้านหลังนี้” ประกาศลั่น “ฟังไว้นะศรี นับจากนี้ไป นอกจากฉัน ห้ามไม่ให้ใครไปยุ่งกับคุณแม่เด็ดขาด ห้ามทุกคน เข้าไปในห้องคุณแม่ ถ้าฉันไม่อนุญาต”
พเยียมองหน้ากอหญ้า ดวงตาวาววับ
“ถ้าใครบังอาจขัดคำสั่งฉัน ฉันจะเฉดหัวมันออกจากวังศิวาลัย”
นภดารานั่งอยู่ที่โซฟาในห้อง ท่าทางยังอ่อนแรง หยิบกระดิ่งแก้วอันเล็กๆ มาเขย่า รอสักครู่ ไม่มีใครมา จึงร้องเรียกเบาๆ
“ศรี ศรีจ๊ะ”
ประตูเปิด ปรากฏว่าเป็นพเยียถือถาด มีนมสด 1 แก้ว และจานเล็กๆ ใส่ผลไม้สด นภดารามองพเยียด้วยสายตาผิดหวัง เย็นชา
พเยียพูดด้วยเสียงอ่อนโยนปกติ “อาหารเช้าค่ะ คุณแม่”
พเยียวางถาดลงที่โต๊ะข้างๆ โซฟา
นภดาราไม่มองหน้า พูดเบาๆ แต่เย็นชา “เอาออกไป”
พเยียถอนใจเบาๆ อ่อนใจ แล้วหยิบแก้วนมสดส่งให้ นภดารามองพเยีย มองนมสดในมือพเยีย หวาดๆ
“ดื่มนมซักคำก็ยังดีค่ะ คุณแม่ คุณแม่ผอมไปเยอะแล้ว”
นภดารานิ่ง พเยียมองตา เอาแก้วนมยัดใส่มือ แต่ก็ยังจับมือไว้ เชิงบังคับ
พเยียพูดเสียงหวาน แต่จริงจัง “ดื่มค่ะ...นะคะ”
นภดาราเห็นพเยียไม่ปล่อยมือ รู้ว่าไม่มีทางรอด เลยพยักหน้าอย่างจำใจ
พเยียมองดู ลุ้นให้นภดาราดื่มนม ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงกอหญ้าตะโกน
“อย่าค่ะ”
นภดาราฉวยโอกาสหยุดมือ กอหญ้าวิ่งเข้ามา พเยียลุกขึ้นตวาด ไม่พอใจ
“กอหญ้า เข้ามาทำไม”
“คุณอาอย่าดื่มนมเลยค่ะ” กอหญ้าจ้องตาพเยีย ไม่กลัว “คุณหมอวิชาญสั่งเอาไว้ว่า ให้คุณอาทานอาหารให้ได้มากๆ เพราะร่างกายอ่อนแอมาก”
กอหญ้าเข้าไปประคองนภดารา
“ลงไปทานข้าวดีกว่านะคะ”
นภดาราอ่อนแรงเต็มที “ไปจ้ะ”
นภดาราขยับจะลุก พเยียดึงแขนกอหญ้า แล้วดันเต็มแรงให้ถอยออกไป
“คุณแม่ไม่สบายมาก เดินยังไม่ไหว จะทรมานท่านทำไม”
พเยียประคองนภดาราแกมบังคับให้ลงนอนที่เดิม
“นอนพักผ่อนดีกว่าค่ะ คุณแม่ พรุ่งนี้จะได้หาย เพราะจะมีแขกมา”
“ใคร!? ใครจะมา”
“ทนายความที่บริษัทของคุณตาค่ะ พเยียนัดให้เค้ามาพบคุณแม่ เรื่องพินัยกรรมของคุณตา”
กอหญ้ามองพเยีย เข้าใจเหตุผลทุกอย่าง
นภดาราหน้าซีดเผือด เพิ่งรู้ถึงเหตุผลในการฆ่าของพเยีย ทั้งหวาดกลัว ทั้งเสียใจ
อิศรใส่กางเกงนอนตัวเดียว นอนคุยโทรศัพท์กับกอหญ้า ย้อนถามเสียงจริงจัง
“เธอคิดว่าพเยียจะทำอะไร”
“คุณดารารู้ว่าคุณพเยียรู้จักกับฆาตกร คุณพเยียอาจจะกลัวว่าเธอจะบอกตำรวจ คุณพเยียอาจจะ”
อิศรสวนออกมา “ฆ่าปิดปากงั้นเหรอ แต่เค้าเป็นแม่ลูกกันนะ กอหญ้า”
“คุณชายนภัสก็เป็นคุณตาของเค้านะคะ แล้วยังมีอีกอย่างที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ
“อะไร”
“คุณพเยียสนใจเรื่องพินัยกรรมของคุณชายนภัสรพีมาก ถึงกับเร่งให้ทนายมาเปิดพินัยกรรมด่วน อยากรู้ว่าสมบัติที่มีอยู่เป็นอะไรบ้าง แล้วจะตกทอดมาถึงคุณนภดาราที่เป็นทายาทมากแค่ไหน”
อิศรฉุกคิด
เช้าวันต่อมาที่ริมระเบียง อิศรแต่งตัวชุดทำงาน เซ็นเอกสารไปด้วย คุยกับสุบรรณไปด้วย
สุบรรณบอกอย่างมั่นใจ “ตามกฏหมาย ทรัพย์มรดกทุกอย่างของคุณชายนภัส ก็ต้องเป็นของหม่อมหลวงนภดาราอยู่แล้วครับ เพราะเธอเป็นลูกสาว เป็นทายาทคนเดียวตามกฎหมาย”
“แล้วพเยียล่ะ หลานสาวน่ะ”
“เป็นแค่หลาน ถ้าผู้ตายไม่ได้ระบุเอาไว้ในพินัยกรรม ก็คงยังไม่ได้หรอกครับ”
อิศรเงยหน้าขึ้น คิดๆ
“งั้นที่กอหญ้าคิดเป็นห่วงเรื่องคุณพเยีย มันก็อาจจะเป็นไปได้”
สุบรรณไม่รู้ว่าอิศรหมายถึงอะไร นึกว่าพูดเรื่องพินัยกรรม รีบแย้ง
“จะห่วงคุณพเยียเรื่องอะไรครับ วันนี้ไม่ได้วันหน้าก็ได้เอง คุณพเยียก็เป็นลูกสาวคนเดียวเหมือนกัน คุณนภดารามีอันเป็นไป สมบัติก็เป็นของเธอทั้งหมดอยู่ดี”
อิศรยักคิ้วกวนๆ ให้สุบรรรณ “ก็นั่นแหละ ที่กอหญ้าเค้ากลัว กลัวคุณอาดาราจะมีอันเป็นไปก่อนเวลาอันควร”
สุบรรณได้ยินแล้วตกใจ นึกไม่ถึง
วันต่อมา ภายในห้องรับแขกของวังศิวาลัย นภดาราหน้าตาซูบซีด ดูป่วยหนักและอ่อนแอจนเกือบจะกลับไปเป็นเหมือนสมัยก่อน เจ้าแสงโชติ เจ้ามลุลี และชิษณุพงษ์เดินเข้ามา ในมือเจ้าแสงโชติ มีกระเป๋าเอกสารใบหนึ่ง
“พี่แสงโชติ พี่มลุลี” นภดาราไหว้ “น้องขอโทษนะคะ ที่รบกวนแต่เช้า”
“ไม่เป็นไรหรอก น้องดารา คืนนี้พวกเราก็จะไปอเมริกาแล้ว จัดการให้เรียบร้อยไปเสียก็ดี” เจ้ามลุลีว่า
นภดาราถามชิษณุพงษ์ “ชิษณุพงษ์ก็ไปด้วยหรือจ๊ะ”
ชิษณุพงษ์ยิ้มจืดจ๋อย “ครับ แต่ผมไม่อยากไปเลย เป็นห่วงกอหญ้า แล้วก็ห่วงคุณอาด้วย”
เจ้ามลุลีแอบค้อนลูกชาย ห่วงกอหญ้าล่ะไม่ว่า
ระหว่างนั้นพเยียเดินนำทนายเข้ามา ท่าทีสง่า เยือกเย็น
“เชิญทางนี้ค่ะ คุณวินัย” หันไปยกมือไหว้เจ้าแสงโชติและเจ้ามลุลี “สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” พลางหันมาทางทนาย “พยานมากันครบแล้ว จัดการเปิดพินัยกรรมได้เลยค่ะ”
ทุกคนนั่งรวมกันที่โซฟาชุดใหญ่ ทนายชี้แจง
“คุณชายนภัสรพีได้ทำพินัยกรรมไว้สองฉบับ ซึ่งมีข้อความตรงกัน ฉบับหนึ่งอยู่ที่ผม”
ทนายหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาเปิดหยิบเอกสารในซองขึ้นมา
“อีกฉบับท่านได้มอบไว้ให้เจ้าแสงโชติ มหาวงศ์เป็นผู้เก็บรักษาไว้”
เจ้าแสงโชติหยิบซองจดหมายสีขาวออกมาจากกระเป๋าที่วางไว้ตรงหน้า เปิดซองหยิบกระดาษสีขาวเนื้อหนาอย่างดีขึ้นมาเพียงแผ่นเดียว
ทนายความเริ่มอ่านข้อความในกระดาษ
“ทำที่วังศิวาลัย เมื่อวันที่...”
ทนายเริ่มอ่านข้อความในพอนัยกรรม ส่วนห้องข้างๆ กอหญ้ายืนอยู่ในระยะที่จะได้ยินได้ชัด ตั้งใจฟังทุกอย่างภายในห้องรับแขก
ทนายความกำลังอ่านข้อความสำคัญ
“หากข้าพเจ้าถึงแก่กรรม ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามี ให้เป็นของหม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์ แต่เพียงผู้เดียว และหากหม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์ ได้ถึงแก่กรรมไป จะด้วยสาเหตุใดก็ตามทรัพย์สินทั้งหมด ให้ตกเป็นของทายาทของหม่อมหลวงนภดารา...”
พเยียระบายลมหายใจอย่างโล่งอก แอบยิ้มในสีหน้า
ทนายอ่านต่อ “...ที่มีหลักฐานการตรวจสารพันธุกรรมมายืนยัน ว่าเป็นทายาทโดยสายเลือดที่แท้จริงเท่านั้น”
พเยียสะดุ้งเฮือก หน้าเปลี่ยนสี นึกไม่ถึงว่านภัสรพีจะระบุข้อความนี้ในพินัยกรรม
เจ้ามลุลีกับเจ้าแสงโชติมองหน้ากันงงๆ
นภดาราฉงน “อะไรนะคะ คุณทนาย”
เจ้าแสงโชติอ่านทวนข้อความในฉบับของตัวเอง
“ทรัพย์สินทั้งหมด ให้ตกเป็นของทายาทของหม่อมหลวงนภดารา ที่มีหลักฐานการตรวจสารพันธุกรรมมายืนยันว่าเป็นทายาทโดยสายเลือดที่แท้จริงเท่านั้น” เจ้าแสงโชติเงยหน้าขึ้น “ท่านเขียนไว้อย่างนี้จริงๆ น้องดารา”
ทนายกระแอม แล้วอ่านต่อ “นอกเสียจากว่า หม่อมหลวงนภดาราจะระบุชื่อบุคคลอื่นใด ลงไปในพินัยกรรมซึ่งทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าขอระบุให้ ทรัพย์มรดกของข้าพเจ้า ตกเป็นของสาธารณะกุศลทั้งหมด”
ชิษณุพงษ์ เจ้าแสงโชติ และเจ้ามลุลีมองหน้ากันไปมาอย่างแปลกใจ
นภดาราหันมองหน้าพเยีย เห็นพเยียหน้าซีด กำมือแน่น เหมือนพยายามสะกดกลั้นอารมณ์
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 11 (ต่อ)
ไม่นานหลังจากนั้นกอหญ้าเดินอย่างเร่งร้อน ตรงเข้าไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง อิศรกับสุบรรณยืนรออยู่
“ทางนี้ครับ คุณกอหญ้า”
กอหญ้ารีบเข้าไปหา
ทุกคนนั่งฟังกอหญ้าเล่าเรื่องพินัยกรรมของนภัสรพี
สุบรรณเปิดประเด็น “ทำไมต้องระบุเรื่องตรวจดีเอ็นเอ...เขียนแบบนี้เหมือนกลัวสมบัติจะตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริง”
“พินัยกรรมฉบับนี้ ท่านเขียนก่อนที่คุณพเยียจะลงมากรุงเทพฯ ท่านคงคงไม่คิดน่ะค่ะ ว่าท่านจะอายุสั้น เลยไม่ทันได้แก้พินัยกรรม” กอหญ้าว่า
“แก้หรือไม่แก้มันก็เหมือนกัน พินัยกรรมก็ระบุเอาไว้ชัด ว่าลูกของคุณอาดาราที่ผ่านการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์แล้ว จะได้รับมรดกตกทอดไป คุณพเยียแกเป็นลูกคุณดาราไม่ใช่เหรอ แล้วเค้าจะเดือดร้อนไปทำไม”
อิศรพูดจบแล้ว ทั้งอิศรทั้งสุบรรณก็เอะใจขึ้นมา หันมองหน้ากอหญ้า
“หรือว่าพเยีย ไม่ใช่...”
“ฉันก็สงสัยเหมือนกันค่ะ มีทางไหนไหมคะ ที่เราจะรู้ได้ ว่าคุณพเยียเป็นลูกของคุณอาดาราจริงๆ หรือเปล่า”
อิศรกับสุบรรณมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า ยิ้มออกมา
นภดาราเดินหนีเข้ามาในห้องนอน พเยียเดินตามมาถามอย่าง เกรี้ยวกราด
“มันหมายความว่ายังไงคะ คุณแม่ คุณตาทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”
นภดาราไม่สนใจอาการของพเยีย “วันที่คุณตาเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ มันก่อนที่พเยียจะมาที่นี่ ตอนนั้นท่านคงไม่คิดว่าปราบจะไปเจอตัวหนู”
“งั้นคุณแม่ก็ต้องแก้พินัยกรรมซะ”
“ทำไมแม่จะต้องทำ”
พเยียแทบจะกรี๊ด “เพราะพเยียไม่พอใจ คุณแม่ต้องแก้พินัยกรรม ใส่ชื่อพเยียลงไปด้วย”
นภดาราบอกเสียงแข็ง “ไม่”
พเยียเข้าไปประชิดตัวนภดารา กระชากไหล่สองข้างเข้ามา จ้องมองอย่างเอาเรื่อง
“คุณแม่ต้องทำ”
นภดาราเสียงแข็ง “ถ้าแม่ไม่ทำ พเยียจะทำอะไรแม่” มองพเยียอย่างน้อยใจ เสียใจ “จะฆ่าแม่ เหมือนอย่างที่ฆ่าคุณตางั้นหรือ”
พเยีย ผลักนภดาราออก นภดาราเซล้มลงนั่งบนเตียง
“อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ”
นภดาราโกรธและเสียใจ พรั่งพรูออกมา น้ำตาคลอ
“แม่จะพูด จะทำไม พเยียเป็นคนฆ่าคุณตา คนที่วางยาฆ่าคุณตาคือพเยีย ไม่ใช่กอหญ้า” นภดาราอัดอั้นร้องไห้โฮ “ทั้งคุณตา คุณยายเล็ก แม่ชื่น เป็นฝีมือของพเยียทั้งนั้น”
พเยียกรี๊ด ตวาดแว้ด “หยุดนะ! หยุด!”
นภดาราดังขึ้นอีก “พเยียฆ่าคุณตา เพราะเห็นแก่สมบัติของท่าน ทำไม...พเยียเป็นลูกของแม่ เป็นหลานของคุณตา พเยียต้องได้ทุกอย่างอยู่แล้วทำไมต้องฆ่า ทำไม ทำไม”
พเยียกรี๊ด “ฉันบอกให้หยุด”
พเยียโถมเข้าไปอุดปากนภดาราเต็มแรง นภดาราล้มหงายลงบนเตียง พเยียกดร่างของนภดาราเอาไว้กับหมอน จ้องตาข่มขู่ กัดฟันกระซิบ
“หยุดพูดนะ คุณแม่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใครมีหลักฐานอะไรทั้งนั้น”
“ยาพิษขวดนั้นไง”
นภดาราเถียง ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ น้ำตาไหล
“มันไม่อยู่แล้ว! ไม่มีใครเอาผิดพเยียได้ เพราะฉะนั้น คุณแม่อย่าพูดพล่อยๆ แบบนี้อีกเป็นอันขาด” พเยียบอกเสียงดุ “เข้าใจไหมคะ คุณแม่”
นภดาราน้ำตาไหลริน อาการโรคหัวใจกำเริบ เริ่มหายใจไม่ทัน พเยียยกมือที่อุดปากออก
นภดาราเอื้อมคว้าขวดยา พเยียชิงเอาไปถือไว้ มองนภดาราที่นอนหายใจหอบถี่อยู่บนเตียง ไม่มีแรงต่อสู้ ด้วยสายตาโกรธเคืองแกมสมเพช
นภดาราตกใจ กลัว “พเยีย...ลูก”
พเยียนิ่ง
นภดาราเอื้อมมือไปจะหยิบกระดิ่งที่ใช้เรียกคน พเยียชิงคว้าเอาไป แล้วสั่ง
“นอนสงบจิตสงบใจไปก่อนดีกว่าค่ะ คุณแม่ ไม่ต้องเรียกหาใครหรอก...จากนี้ไป พเยียจะดูแลคุณแม่เอง”
พเยียเดินออกไป ทิ้งให้นภดารานอนหอบหายใจรวยริน น้ำตาไหลพรากอยู่บนเตียงด้วยความเสียใจเพียงลำพัง
ครู่ต่อมาพเยียเดินเข้ามาที่ห้องโถง มือสั่นกระดิ่งไปด้วย กอหญ้าเดินกลับเข้าบ้านมา เห็นพเยียกลางห้อง ก็ชะงัก ศรี และคนใช้อื่นๆ เดินมาจากทุกทิศทุกทาง มาที่โถงกลางที่พเยียยืนเด่นเป็นสง่าอยู่
“มีอะไรเหรอคะ คุณพเยีย” ศรีถามแทนคนอื่นๆ
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบ คุณแม่อาการกำเริบอีกแล้ว ท่านต้องการพักผ่อนอย่างสงบ จากนี้ไป ฉันขอสั่งห้าม ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนท่าน”
กอหญ้าไม่เชื่อ “ฉันขอขึ้นไปดูอาการท่านหน่อยนะคะ”
พเยียขวางไว้ “ไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่ ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้าใกล้ท่านอีกเป็นอันขาด”
“คุณไม่มีสิทธิ์”
“ฉันเป็นลูกของคุณแม่ ฉันมีสิทธิ์ทุกอย่าง ฉันขอไล่แกออกจากบ้าน”
“บ้านนี้เป็นของคุณนภดารา! ไม่ใช่ของคุณ” กอหญ้าผลักพเยียเซไป “ฉันจะไปถามคุณอาดารา”
กอหญ้าจะขึ้นบันได พเยียกระชากไว้ ผลักกระเด็น ศรีและบรรดาคนใช้ตกใจแตกตื่น ทำอะไรไม่ถูก
“ทุกคน จับมันโยนออกไปนอกบ้าน” ทุกคนลังเล “ทำซี ไม่งั้นฉันไล่ออกทำ จับมันโยนออกไป”
บรรดาสาวใช้ละล้าละลัง แต่ไม่มีใครกล้าจับตัวกอหญ้าจริงจัง
พเยียร้องกรี๊ด
“เอามันโยนออกไปเดี๋ยวนี้ อยากให้มันฆ่าคุณแม่อีกคนหรือไง” บรรดาคนใช้ยังลังเล พเยียกรี๊ด “จับมันโยนออกไป ไม่งั้นฉันจะไล่ออกหมดนี่แหละ เอาซี”
ศรีไม่กล้า แต่สาวใช้คนอื่นๆ ตัดสินใจจับกอหญ้าดึงออกไป
“ปล่อยฉันนะ ปล่อย” กอหญ้าตะโกนดังลั่น “คุณอาคะ คุณอา คุณอาดารา”
พเยียคุมคนให้ลากตัวกอหญ้าออกไป
บรรดาคนใช้ลากตัวกอหญ้าออกมาถึงหน้าประตูบ้าน พเยียยืนสำทับ
“ไสหัวมันออกไป”
กอหญ้าสะบัดหลุด มองพเยียอย่างไม่พอใจ
“ไม่ต้องค่ะ ฉันไปเองก็ได้”
“แล้วอย่ากลับเข้ามาอีกล่ะ” พเยียสั่งคนใช้ “ใครอย่าให้มันเข้ามาในวังศิวาลัยอีกเป็นอันขาด ไม่งั้นฉันจะถือว่าขัดคำสั่ง เข้าใจไหม”
คนใช้ทุกคนก้มหน้า จำใจรับคำ กอหญ้ามองพเยียอย่างวิงวอน จริงจัง
“ฉันจะไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยก็ได้ แต่คุณรับปากฉันได้ไหม ว่าคุณจะไม่ทำอะไรคุณนภดารา”
พเยียกัดฟันพูด “ออกไป”
“คุณไม่รับปาก ฉันก็ปล่อยคุณไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น เราต้องได้เจอกันอีกแน่ คุณพเยีย”
ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่มีใครยอมใคร
เจ้ามลุลีกับเจ้าแสงโชติแต่งตัวใหม่พร้อมเดินทาง เดินลงมาที่ห้องโถง แตงคุมสาวใข้ขนกระเป๋าเดินทาง 2-3 ใบออกมาวางเรียง เตรียมตัวเดินทางคืนนี้
“ครบแล้วเหรอ แตง” เจ้ามลุลีถาม
“จ้ะ ของเจ้า 2 ใบใหญ่ แล้วนี่ของคุณณุ”
“แล้วชิษณุพงษ์ไปไหน” เจ้าแสงโชติถาม
เจ้ามลุลีตอบอย่างเคืองๆ
“อยู่บนห้องค่ะ ตะกี๊ขอออกไปทำธุระข้างนอก น้องไม่ยอมให้ไป ก็ไม่ฟังน้องเลยยื่นคำขาด สั่งไม่ให้ออกจากห้องไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะถึงเวลา”
“ดีๆ ไอ้ลูกคนนี้มันดื้อนัก พูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องไม้แข็งกันบ้าง”
เจ้าแสงโชติพยักหน้าเห็นดีด้วย
แตงแอบเหลือบมองไปข้างบนอย่างเห็นใจ หน้าตาเจ้าเล่ห์
ที่หน้าต่างห้องนอนชิษณุพงษ์ มีบันไดไม้พาดอยู่ ชิษณุพงษ์กำลังปีนออกมาจากหน้าต่าง มีแตงดูต้นทางอยู่อยู่ที่ด้านล่าง ชิษณุพงษ์กระโดดตุ๊บลงมา
“ขอบใจมากนะ แตง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่ว่า คุณณุจะไปไหน” แตงดูนาฬิกา “มีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”
“ฉันจะไปหาคนคนนึง เค้าน่าจะบอกเราได้ ว่าทำไมคุณปู่นภัสรพีถึงทำพินัยกรรมประหลาดแบบนั้น”
ไม่นานหลังจากนั้นชิษณุพงษ์พาตัวเองมานั่งอยู่ในห้องที่มีรูปถ่ายของปราบที่ผนัง และเห็นอร ภรรยาของปราบนั่งอยู่ที่โซฟากับแตง และชิษณุพงษ์
“เท่าที่ดิฉันทราบ คุณชายท่านหมดหวังเรื่องการตามหาทายาทตัวจริงไปนานแล้ว ท่านถึงได้ทำพินัยกรรมเอาไว้แบบนั้น”
“อ้าว แต่คุณปราบเพิ่งได้ตัวคุณพเยียมาเมื่อไม่กี่เดือนนี่เองนี่ครับ”
“ท่านรักคุณนภดารามากค่ะ ทนเห็นลูกสาวคนเดียวตรอมใจไม่ไหวที่ท่านใช้ให้คุณปราบขึ้นไปเชียงใหม่คราวนั้น เพื่อไปหาเด็กกำพร้าผู้หญิงที่เหมาะสม มาอุปโลกน์เป็นลูกของคุณนภดารา”
แตงงง “ไปหาทายาทตัวปลอม”
“ค่ะ แค่ไปหาเด็กผู้หญิงดีๆ ซักคนที่จะทำให้คุณนภดารามีความสุข แต่ปาฎิหารย์มีจริง คุณปราบไปเจอทายาทตัวจริงของท่านโดยไม่ตั้งใจ”
ชิษณุพงษ์สงสัย “รู้ได้ยังไงครับ ว่าเป็นตัวจริง”
“เด็กผู้หญิงคนนั้นมีของเป็นเครื่องยืนยันค่ะ เธอมีทั้งสร้อยล็อกเก็ตประจำตระกูล และแหวนเพชรที่เป็นรูปดาว” อรบอก
ชิษณุพงษ์ตื่นเต้นตกใจมาก “แหวนรูปดาว!”
แตงงง “ยังไงเหรอ คุณณุ มีอะไรรึเปล่า”
ชิษณุพงษ์ไม่ตอบ ถามอรต่ออย่างตื่นเต้น “แหวนรูปดาววงนั้น หน้าตามันเป็นยังไงครับ คุณอร คุณอรเคยเห็นไหม”
อรส่ายหน้า เพราะเธอเองไม่เคยรู้เรื่องนี้
ขณะเดียวกันนพดลมองแหวนรูปดาวในมือ ขณะเอาแหวนมานั่งดู ใคร่ครวญ เสียงเคาะประตูดัง
นพดลซ่อนแหวน แล้วรีบไปเปิดประตู เห็นพเยียเดินเข้ามา หน้าตาเครียด
“พเยีย มีอะไร ทำไมมาเอาป่านนี้”
“มันรู้แล้วพี่ มันรู้แล้วว่าฉันเป็นคนทำ”
พเยียมาระบายกับนพดลที่บ้านเช่า เรื่องทะเลาะกับนภดารา พเยียกลัวมาก
“คุณแม่พูดออกมาชัดๆ เลย ว่าฉันฆ่าคุณตา ฉันจะทำยังไงดี”
“ตอนนี้มันอยู่ไหน”
“ฉันขังมันเอาไว้ในห้อง ไม่ให้ใครไปยุ่ง แต่คงห้ามได้ไม่นานหรอกพี่ บ่าวไพร่ออกเต็มบ้าน ทั้งแม่ครัว แม่บ้าน คนทำความสะอาด ถ้าฉันไม่ให้ใครเข้าไปในห้องนั้นเลย คนก็คงจะสงสัย”
นพดลชักกังวล “มันรู้ว่าพเยียเป็นคนฆ่าพ่อมัน มันไม่ปล่อยพเยียไปแน่”
“ก็นั่นน่ะซี พี่ ตอนแรกฉันก็ว่าจะฆ่ามันปิดปากไปซะ แต่ไอ้พินัยกรรมบ้าบอนี่ซิ มันเป็นปัญหา ถ้ามันตายไป ฉันก็อด ไม่ได้อะไร”
นพดลคิดไปคิดมาแล้วสั่งพเยีย
“งั้นก็ต้องบังคับให้มันแก้พินัยกรรมก่อน” นพดลหยิบปืนพกส่งให้ “แล้วค่อยจัดการมันทีหลัง”
พเยียมองปืนพกในมือ ใจสั่นๆ
ติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 12