บ่วงบาป ตอนที่ 11
หมอไสย์กระอักเลือดนอนบนกองเลือดที่มีหนอนดิ้นหยุบหยับ หมอไสย์ตะลึงช็อก พยายามยันกายลุกขึ้นมา
“โว้ย!”
หมอไสย์ปัดของบนหิ้งแตกกระจาย รำพึงตกใจไม่แพ้กัน
“เกิดอะไรขึ้น”
“กริชนั่นทำลายอาคมของข้า!”
“แล้วหุ่นราณีกำหนัดล่ะ”
“ทุกอย่างถูกทำลายหมดแล้ว ผัวเจ้าจะไม่ได้เป็นของเจ้าอีกต่อไป”
รำพึงอึ้งรับความจริงไม่ได้
“ไม่จริง...ไม่จริง !”
รำพึงวิ่งออกไป หมอไสย์กระอักเลือดไม่หยุด
ภายในเรือนคุณหญิงมณี เวลากลางคืน จวงสีหน้าร้อนใจเดินงุ่นง่าน แต่เกาปากยิกๆ อยากเมาท์เรื่องขุนพิทักษ์ฆ่าพ่อแม่สมเต็มทน
รำพึงวิ่งเข้ามา จวงปรี่เข้าไปหา
“ทำไมคุณรำพึงกลับมาช้านักล่ะเจ้าคะ”
“คุณพี่อยู่ไหน”
“อยู่ในห้องเจ้าค่ะ ท่านขุนสลบเหมือนตอนโดนคุณหญิงกรอกน้ำมนต์เลยเจ้าค่ะ”
รำพึงตกใจวิ่งขึ้นเรือนไปเลย จวงไม่ทันเห็นยังพล่ามต่อ จวงนึกได้
“หรือว่าไอ้สมมันทำลายของสำเร็จ”
จวงหันไป รำพึงไม่อยู่แล้ว
“อะ...อ้าว ทูนหัวของบ่าวบอกจวงให้รู้หน่อยเถอะเจ้าค่ะ อกอีจวงจะแตกอยู่แล้ว”
จวงวิ่งตามรำพึงไป
รำพึงเปิดประตูเข้ามาเห็นขุนพิทักษ์นอนหมดสติอยู่บนเตียง รำพึงปราดเข้าไปหาขุนพิทักษ์อย่างเป็นกังวล จวงตามเข้ามา
“ตกลงว่าไอ้สมมันแก้ของสำเร็จใช่ไหมเจ้าคะ”
รำพึงพยักหน้า
“อาคมของหมอไสย์ถูกทำลายแล้ว”
“ห๊า!” จวงร้องแล้วลนลานจากรำพึงออกมาที่หน้าห้อง
“งั้น เรารีบหนีกันเถอะเจ้าค่ะ ก่อนที่ท่านขุนจะฟื้นขึ้นมากแล้วรู้ตัวว่าโดนเสน่ห์จากคุณรำพึง ถึงเวลานั้น...หัวเราจะต้องหลุดออกจากบ่าแน่ๆ เจ้าค่ะ”
รำพึงพยายามหลอกตัวเอง
“ไม่มีทาง! คุณพี่ไม่ทำแบบนั้นกับข้าแน่”
“น้อยไปสิเจ้าคะ ขนาดครอบครัวนังชุ่ม ท่านขุนยังฆ่าล้างบางมาแล้วเลย”
รำพึงหันขวับ
“เมื่อกี้เอ็งว่าอะไรนะ”
“ไอ้สมมันบุกเข้ามาช่วยพ่อแม่มัน ท่านขุนโกรธก็เลยฆ่าซะ แต่อยู่ๆท่านขุนก็สลบไปตอนที่จะฆ่านังชุ่มพอดีเจ้าค่ะ นังชุ่มมันเลยรอดไปได้”
“ดวงแข็งนักนะนังชุ่ม”
“แต่เราคงไม่ดวงแข็งเหมือนมันหรอกเจ้าคะ รีบหนีเถอะเจ้าค่ะ” จวงบอก
“ข้าไม่หนี ถ้าเราหนี เราจะต้องหนีไปตลอดชีวิต ข้าจะต้องสู้ เอ็งไปบอกทาสทุกคนว่าคุณพี่มีคำสั่งว่าให้ตามล่านังชุ่ม”
จวงงง
“ท่านขุนพิทักษ์สั่งตอนไหนเจ้าคะ”
รำพึงผลักจวงอย่างรำคาญ
“เมื่อไหร่เอ็งจะเลิกโง่สักที ถ้าไม่มีอีชุ่มอยู่บนโลกใบนี้ ถึงแม้คุณพี่จะหลุดจากมนต์เสน่ห์ไปแล้ว มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่ข้าจะใช้มารยาให้คุณพี่กลับมารักข้าอีกครั้ง”
“เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วจะนั่งหัวโด่อยู่ทำไม รีบไปสั่งไอ้พวกทาสสิ บอกพวกมัน ถ้าใครอยากได้อิสระ ต้องการหลุดพ้นจากการเป็นทาส ให้เอาหัวนังชุ่มมาให้ได้ก่อนฟ้าสาง !”
รำพึงสีหน้าร้าย
ภายในเรือน แจ่มนอนซม จับคอที่ปวดอยู่ ที่หน้าเรือน ทาสชายถือดาบเดินฉับๆ เมียวิ่งตามมาดึงแขน
“ชุ่มมันเป็นคนดี พี่จะฆ่ามันได้ลงคอจริงเหรอ”
“แต่ถ้าชีวิตมันแลกกับการที่เราไม่ต้องเป็นทาสใครอีก ข้าก็จะทำ!”
ภายในเรือน แจ่มได้ฟังก็ตกใจ พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น
แจ่มหน้าซีดด้วยพิษไข้ สภาพโทรมๆ วิ่งร้องไห้เรียกชุ่ม แต่แทบไม่มีเสียงลอดออกมาจากปากเลย นอกจากสำเนียง “อุ้ม” ในลำคอ
ขุนพิทักษ์นอนหมดสติ รำพึงจูบบนหน้าผากขุนพิทักษ์แล้วกอด
“ถ้าไม่มีนังชุ่ม น้องเชื่อว่าคุณพี่จะต้องกลับมารักน้องเหมือนเดิม”
ภายในป่า แจ่มวิ่งเหนื่อยหอบมองหาไปรอบๆ ร้องเรียกชุ่ม
“อุ้ม... อุ้ม...”
พวกทาสชายถือดาบวิ่งผ่านมา แจ่มรีบหลบหลังต้นไม้ ทาสชายคนหนึ่งมองไปไกลๆ เห็นอะไรบางอย่าง แล้วตะโกนบอก
“นั่น นังชุ่ม !”
พวกทาสชายวิ่งไป
แจ่มตกใจรีบวิ่งตามไปโบกมือห้ามพวกทาส แต่สะดุดก้อนหินล้มลง คมหินบาดเท้าเป็นแผลฉกรรจ์เลือดไหลนอง แจ่มพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ไม่ไหว พวกทาสชายวิ่งหายไปในความมืดแล้ว แจ่มร้องไห้โฮ หมดหนทางที่จะช่วยชุ่ม ได้แต่ยกมือขึ้นพนม
“คุณหญิงเจ้าขา... ชุ่มกำลังถูกตามล่า คุณหญิงช่วยปกป้องคุ้มครองนังชุ่มด้วยนะ เจ้าคะ”
บริเวณกำแพงโบสถ์ ในเวลากลางคืน ชุ่มนั่งคู้เข่าแอบอยู่หลังกำแพง พลางร้องไห้สะอื้น ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวและเสียใจที่สุดในชีวิต “ใครบางคน” เคลื่อนเข้ามาหาชุ่มจากทางด้านหลัง
ชุ่มรู้สึกได้ว่ามีคนเดินมาจึงหันขวับไปมอง หลวงตามั่นยืนมองชุ่มมาด้วยความเมตตา
“หลวงตา”
ชุ่มเหมือนเจอที่พึ่งสุดท้ายของชีวิต ก้มลงกราบแล้วปล่อยโฮทันที
บริเวณศาลาวัด ชุ่มนั่งบนพื้น ใบหน้ายังเปื้อนคราบน้ำตา
“พี่สมเคยเตือนห้ามไม่ให้ข้ารักท่านขุน ถ้าข้าทำได้ ครอบครัวของข้าก็คงไม่ต้องมาตายแบบนี้ ข้าทำบาปกับทุกคน ทำไมไม่เอาชีวิตข้าไปแทน ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
“อย่าลืมว่าโยมยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่โยมต้องดูแล ต้องปกป้อง”
ชุ่มมองหลวงตาอย่างไม่เข้าใจ
“ลูกของโยมกำลังจะได้มาเกิด ถ้าโยมตาย ลูกก็ต้องตายไปด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย มันยุติธรรมกับเขาแล้วเหรอ”
ชุ่มหยุดร้องไห้ ลูบท้องเบาๆ นิ่งคิด
“ลูก ข้าต้องมีชีวิตเพื่อลูก”
“เหมือนที่พ่อกับแม่ทำเพื่อเจ้า...”
“เจ้าค่ะ...”
“ท้ายป่ามีกระท่อมร้าง อยู่ห่างไกลผู้คน เจ้าไปอยู่ที่นั่นก่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ ในเวลานี้ข้าไม่อยากเจอหน้าใครอีกแล้ว”
หลวงตารู้ว่าหมายถึงขุนพิทักษ์
“ใครทำบาปใดไว้ เวรกรรมย่อมตามสนองเขาเอง ฉะนั้นเจ้าอโหสิกรรมให้เขาเถอะ หยุดอาฆาตพยาบาท อย่าผูกบ่วงบาปให้ตัวเองกับลูก อาตมาขอบิณฑบาตได้ไหม”
สีหน้าของชุ่มอ่อนลง ฟังคำสอนของหลวงตามั่น
ภายในห้องนอน วันใหม่ เวลากลางวัน ขุนพิทักษ์นอนสลบ แต่ฝันร้าย เป็นภาพที่ขุนพิทักษ์ฆ่าพ่อแม่ชุ่ม ภาพรำพึงหยดเลือดที่ปาก ขุนพิทักษ์ดิ้นต่อสู้
“ใจเป็นของกู ตัวเป็นของกู เสพสมกายกู เสน่หาเพียงกู”
“เจ้าจะทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้!”
ขุนพิทักษ์นอนกระสับกระส่ายมากขึ้น
ขุนพิทักษ์เงื้อดาบจะฟันชุ่ม ชุ่มร้อง
ขุนพิทักษ์สะดุ้งตื่น
ขุนพิทักษ์ตื่นเต็มตาแต่ไม่สบายใจและมีอาการ ปวดหัว
“ชุ่ม... ฝันเหรอ โอ้ย !”
ขุนพิทักษ์หลับตาล้มตัวลงนอนอย่างหอบเหนื่อย รำพึงเปิดประตูเข้ามาเห็นขุนพิทักษ์พลิกตัวหันหลัง จึงเข้าใจว่าขุนพิทักษ์ยังไม่ฟื้น รำพึงยิ้ม แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้ามาในห้อง จวงก็วิ่งเรียกรำพึงที่หน้าห้อง
“คุณรำพึงเจ้าขา บ่าวมารายงานเรื่องนังชุ่มเจ้าค่ะ”
ขุนพิทักษ์ได้ยินและรู้สึกแปลกใจ รำพึงถอยออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลง ขุนพิทักษ์ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูได้ยินเสียงรำพึงกับจวงคุยกันจากหน้าห้อง
ที่หน้าห้อง รำพึงคุยกับจวง ขณะที่ขุนพิทักษ์ที่แอบฟังอยู่ในห้อง
“ว่าไง”
“ยังไม่มีใครได้หัวนังชุ่มเลยเจ้าค่ะ”
รำพึงโกรธ
“ไอ้พวกโง่! แค่นังชุ่มคนเดียวก็จัดการฆ่าไม่ได้”
ขุนพิทักษ์ตะลึง
“ชุ่ม!”
“หรือว่าผีพ่อผีแม่ ผีไอ้สมมันช่วยบังตาไว้เจ้าคะ”
ขุนพิทักษ์ตกใจเมื่อรู้ข่าวการตายของครอบครัวชุ่ม
“อุ้ย ยังมีผีคุณหญิงมณีอีกคนด้วยเจ้าค่ะ โดยเฉพาะผีคุณหญิงเนี่ยมันฉลาด มันต้องรู้ว่าคุณรำพึงเป็นคนสั่งฆ่ามัน”
ขุนพิทักษ์ช็อกหนักกว่าเดิมที่รู้ว่าเป็นฝีมือของรำพึงทั้งหมด
“มันจะต้องรวมตัวกันมาหักคอแก้แค้นเราแน่ๆเจ้าค่ะ”
“เพ้อเจ้อ! ถ้ามันทำอะไรเราได้ เอ็งกับข้าไม่ได้มายืนกันอยู่อย่างนี้หรอก เอ็งกลับไปบอกไอ้พวกทาส ใครล่าหัวนังชุ่มมาได้ คุณพี่จะเพิ่มรางวัลให้อย่างงาม หรือถ้าใครอยากลิ้มรสนังชุ่มก่อนฆ่ามัน...ก็ตามสบาย”
ขุนพิทักษ์โกรธจัด เปิดประตูออกไป
“ใครแตะต้องชุ่มแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะฆ่ามันทั้งโคตร!”
รำพึงกับจวงตกใจแล้วสบตากันเลิ่กลั่ก รำพึงแก้สถานการณ์เข้าไปจับแขนขุนพิทักษ์
“คุณพี่ คุณพี่ฟื้นแล้วหรือคะ”
ขุนพิทักษ์ปัดรำพึงออกอย่างรังเกียจและมองด้วยความเจ็บแค้น
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า นี่หรือผู้หญิงที่มีเชื้อสายพระยา แต่จิตใจเลวทรามยิ่งกว่าพวกไพร่ทาส!”
“คุณพี่พูดเรื่องอะไร น้องไม่เข้าใจ”
“ข้าได้ยินทุกอย่างที่เจ้าพูด!”
รำพึงและจวงตะลึง จวงตัวสั่นกลัว แน่ใจว่าความซวยมาเยือนแน่ ขุนพิทักษ์พุ่งไปบีบแขนรำพึง กระชากด้วยความโกรธ
“เจ้าฆ่าแม่ข้า ทำไมเจ้าถึงเลวได้ขนาดนี้ ”
รำพึงสะบัดออก
“ไม่จริง น้องไม่ได้ฆ่าคุณแม่ ไอ้สมมันเป็นคนฆ่า”
ขุนพิทักษ์ตบหน้ารำพึงเต็มแรงจนล้มกลิ้งไปบนพื้น
“ทูนหัวของบ่าว!”
“ยังมีหน้ามาโกหกอีก แค่ความเลวที่เจ้าทำไว้ บาปกรรมก็ติดตัวเจ้าไปไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว”
รำพึงแตะมุมปากตัวเองพบเลือดไหลออกมา
“ถ้าน้องต้องได้รับผลกรรม คุณพี่ก็ไม่รอดเหมือนกัน เพราะคุณพี่เป็นคนฆ่าไอ้สม ฆ่าพอแม่มัน”
ขุนพิทักษ์อึ้ง ตะลึงที่เพิ่งได้รับรู้ข้อมูลใหม่
“ข้าเป็นคนฆ่า”
“ใช่! ป่านนี้นังชุ่มที่คุณพี่รักนักหนาคงเกลียดคุณพี่ยิ่งกว่าอะไร เจ็บหรือคะ ดี คุณพี่จะได้รู้บ้างว่าเวลาโดนคนที่รักชิงชังมันเจ็บปวดแค่ไหน” รำพึงพูดพลางหัวเราะอย่างสะใจ
ขุนพิทักษ์เงื้อมือจะตบรำพึง รำพึงเชิดหน้าใส่
“เอาสิคะ ฆ่าน้องให้ตาย ตายไปพร้อมกับนังชุ่ม”
ขุนพิทักษ์ข่มอารมณ์สุดๆ
“ใครอยู่แถวนี้ มาเอาตัวนังหญิงชั่วไปขัง”
ทาสชายสามคน บ่าวผู้หญิงหนึ่งคนวิ่งขึ้นมาบนเรือน พวกทาสชายคว้าแขนรำพึง จวงดิ้นสุดฤทธิ์
รำพึงดิ้นบอก
“อย่าแตะต้องตัวข้า”
ขุนพิทักษ์สั่งทันที
“จับมันไป!”
รำพึงดิ้นรน แต่ทาสไม่ปล่อย
“น้องเป็นเมียคุณพี่ คุณพี่จะทำกับน้องอย่างนี้ไม่ได้”
“อย่าพูดให้อายบ่าวไพร่เลยดีกว่า สำหรับข้าในเวลานี้ เจ้าเองก็ไม่ต่างจากพวกหญิงงามเมือง แต่หญิงพวกนั้นยังดีกว่าเจ้าด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เคยต้องใช้วิธีสกปรกเพื่อจับชายใดมาเป็นผัวตัวเอง”
รำพึงทั้งอาย โกรธและตะโกนลั่น
“คุณพี่ดูถูกน้องมากเกินไปแล้ว”
“ข้าเคยดูเจ้าผิด ชีวิตข้าถึงต้องอัปยศเช่นนี้ ต่อไปนี้ข้าจะมอบแต่ความอัปยศให้กับชีวิตของเจ้า เอาตัวมันไปขัง อย่าให้มันออกทำมาระยำได้อีก”
พวกทาสลากรำพึงออกไป รำพึงกับจวงร้องดิ้นโวยวายจนลับตาไป
“คุณพี่อย่าทำแบบนี้ คุณพี่”
ขุนพิทักษ์สั่งทาสที่เหลืออยู่
“เอ็งไปบอกไอ้พวกที่ตามหาชุ่ม ให้ตามหาชุ่มต่อไป แต่ห้ามแตะต้องชุ่มเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหัวพวกมันจะหลุดออกจากบ่า!”
พวกทาสหิ้วปีกรำพึงและจวงโยนเข้าไปในคุก ทาสล็อกกุญแจ จวงพุ่งเข้ามากระชากประตู
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ ปล่อย พวกเอ็งลืมไปแล้วเหรอว่าคุณรำพึงเป็นใคร นี่เมียท่านขุนพิทักษ์นะโว้ย ปล่อย!”
“ก็ท่านขุนเองไม่ใช่เหรอที่สั่งขังเมียคนนี้”
“ว้าย ! ไอ้พวกบ้า ไอ้พวกขี้ครอก”
ทาสปิดประตูปังแล้วออกไป จวงหันไปหารำพึงหวังปลอบ แต่รำพึงกรีดเสียงร้องอย่างคลุ้มคลั่ง ทุบตีจวง
“ข้าเกลียดคุณพี่ เกลียดๆๆ”
“โอ๊ยๆ คุณรำพึงเจ้าขา จวงเจ็บ”
รำพึงหยุดคลั่งแล้วร้องไห้อย่างอัดอั้น จวงร้องตามด้วย
“ฮือๆๆ ชีวิตอีจวงเกิดมาอาภัพนัก ผัวก็ยังไม่มี แต่สุดท้ายก็ต้องมาแห้งตายอยู่ในคุก แต่จวงก็ยังดีใจนะเจ้าคะ อย่างน้อยอีจวงก็ยังมีบุญวาสนาได้แห้งตายอยู่ข้างๆ คุณรำพึงทูนหัวของบ่าว”
จวงจะกอดรำพึงแต่เจอผลักกระเด็น
“เชิญเอ็งแห้งตายไปคนเดียวเถอะ คนอย่างข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองเป็นหมาจนตรอก เอ็งคอยดูก็แล้วกัน”
รำพึงสีหน้าเคียดแค้น
ขุนพิทักษ์เปิดประตูเข้ามาในห้องคุณหญิงมณีและเปิดประตูทิ้งไว้
“ลูกเป็นถึงท่านขุน เป็นชายชาติทหาร แต่ลูกกลับปกป้องแม่ตัวเองไม่ได้ ลูกไม่สมควรเกิดมาเป็นคน”
ขุนพิทักษ์ทรุดตัวคุกเข่าด้วยความเสียใจ
“คุณแม่ ลูกขอโทษ”
น้ำตาลูกผู้ชายของขุนพิทักษ์ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
แจ่มในสภาพมอมแมมแอบมองขุนพิทักษ์อยู่หน้าประตู แจ่มสะอื้นตามไปด้วย ขุนพิทักษ์หันไปเห็น
“แจ่ม แจ่มรู้ไหมว่าชุ่มอยู่ไหน”
แจ่มส่ายหน้าส่งเสียงอ้อแอ้ว่าไม่รู้
ขุนพิทักษ์ตกใจ ใจหายวูบ
“แจ่ม...แจ่มเป็นแบบนี้เพราะรำพึงใช่ไหม”
แจ่มพยักหน้า
ขุนพิทักษ์โกรธ
“รำพึงจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำไว้กับทุกคน”
แจ่มเขย่าขาขุนพิทักษ์ส่งสายตาอ้อนวอนร้อง “อุ้ม อุ้ม”
“ไม่ต้องห่วงนะแจ่ม ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน ข้าก็จะต้องตามหาชุ่มให้เจอ!”
แจ่มยิ้มดีใจ
บนกุฏิ ชุ่มรับห่อผ้าจากหลวงตามั่น
“เอาไว้กินระหว่างทาง กระท่อมอยู่ไกล กว่าโยมจะไปถึงคงเกือบพลบค่ำ”
ชุ่มก้มกราบ
“ขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ”
“จำไว้นะโยมชุ่ม เมื่อใดที่ปล่อยให้ความโกรธอยู่เหนือใจเรา เมื่อนั้นความทุกข์ก็จะเกาะติดตัวเราไม่รู้จักจบสิ้น”
ชุ่มอึ้งไป
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ไม่ทันอะไรเจ้าคะ”
หลวงตานิ่งไม่ตอบ ชุ่มยังไม่เข้าใจว่าหลวงตาพูดถึงอะไร
ในป่า ขุนพิทักษ์เดินตามหาชุ่ม
“ชุ่ม ชุ่ม เอ็งอยู่แถวนี้หรือเปล่า ชุ่ม”
ขุนพิทักษ์กวาดตามองหาชุ่มไปทั่ว แต่ไร้วี่แวว
ภายในห้องขัง รำพึงนอนหมดสติ จวงร้องโวยวายพลางร้องไห้อยู่กรงข้างๆ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คุณรำพึงเจ้าขาทำใจดีๆ ไว้นะเจ้าคะ ใครก็ได้ช่วยคุณรำพึงด้วย”
ทาสชายวิ่งเข้ามา
“มีอะไร”
“คุณรำพึงเป็นอะไรก็ไม่รู้ ตัวร้อนจัดยังกับไฟ”
รำพึงเพ้อ
“น้ำ...น้ำ...ข้าหิวน้ำ ขอน้ำหน่อย”
“ขอน้ำให้คุณรำพึงดื่มลดไข้สักอึก”
ทาสลังเล จวงยกมือไหว้อ้อนวอน
“ข้าไหว้ล่ะ ขอน้ำให้คุณรำพึง คุณรำพึงแย่แล้ว”
ทาสตัดสินใจออกไป
“คุณรำพึงเจ้าขา ทำใจดีๆ ไว้นะเจ้าคะ”
ทาสกลับมาพร้อมขันน้ำแล้วไขกุญแจเข้าไปยื่นขันน้ำให้รำพึง แต่รำพึงสะโหลสะเหลไม่มีแรง
“เอ็งช่วยป้อนคุณรำพึงหน่อยเถอะ ข้าขอร้อง”
ทาสไขกุญแจ เข้าไปป้อนน้ำให้รำพึงที่นอนตาปรือ
ทันใดนั้นรำพึงก็ลืมตาโตปัดขันน้ำทิ้ง ทาสตกใจแต่ยังไม่ทันตั้งหลัก
“เฮ้ย !”
รำพึงใช้โซ่ที่ล่ามขาตนเองรัดคอทาสชายแน่น ทาสชายตาเหลือกพยายามผลักรำพึงออก แต่รำพึงฝืนไว้เต็มที่
“อีจวงเร็วสิ!”
จวงละล้าละลังคว้าท่อนไม้มากำแน่นก่อนหลับตาใช้ไม้ตีลงไปเต็มแรงที่หัวทาสคนนั้นสลบไปรำพึงหอบเหนื่อย
“รีบหนีเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
รำพึงหยิบกุญแจที่หล่นพื้น
รำพึงกับจวงวิ่งเข้ามาในสวน พอเจอบ่าวไพร่ในบ้านเดินผ่านมา ทั้งสองรีบหลบหลังพุ่มไม้ และมองจนบ่าวไพร่เดินหายไป จวงพารำพึงวิ่งหนีไปจนลับตา
รำพึงกับจวงวิ่งมาที่หน้าประตูเรือน จวงกำลังจะเคาะประตู
“ท่านขุนไว...”
รำพึงคว้าแขนหมับแล้วสั่ง
“เดี๋ยว ! ตบข้า”
จวงตกใจ
“ตบ! ตบทำไมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องถาม ข้าสั่งให้ตบ ตบเดี๋ยวนี้”
จวงเงี่ยมือแต่ละล้าละลังไม่กล้าตบ
“ถ้าเอ็งไม่ตบ ข้าจะตบเอ็ง !”
“ตบแล้วเจ้าค่ะ !”
จวงตกใจกลัวหลับตาปี๋ ฟาดมือตบรำพึงอย่างแรง รำพึงหน้าคว่ำเลือดไหลซึมที่มุมปาก รำพึงแสยะยิ้มพอใจ
จวงเคาะประตู
“ท่านขุนไวเจ้าขา ท่านขุน”
ขุนไวเปิดประตูออกมาเจอสภาพรำพึงหน้าตาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ร้องไห้กระซิกๆ เหมือนจะขาดใจตายอยู่ในอ้อมกอดของจวง
ขุนไวตกใจ
“น้องรำพึง”
“คุณพี่ !”
รำพึงโผเข้าไปหาขุนไวแต่แกล้งทำเข่าอ่อน ขุนไวโผกอดรำพึงแน่นดูสภาพใบหน้า
“เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรน้อง”
“ไอ้ขุนพิทักษ์ค่ะ มันหาว่าน้องทำร้ายนังชุ่ม มันจึงทำร้ายน้อง สั่งขังน้อง”
“ท่านขุนพิทักษ์ยังสั่งให้ไอ้พวกทาสข่มเหงคุณรำพึงด้วยนะเจ้าคะ โชคดีที่จวงได้ยินเข้าก็เลยรีบพาคุณรำพึงหนีมาเจ้าค่ะ” จวงพูดแล้วก็บีบน้ำตา
“ไอ้พิทักษ์ ! มันกล้าทำกับน้องถึงเพียงนี้เชียวรึ ไอ้ชั่ว!”
“ชาติที่แล้วน้องไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ทำไมชาตินี้ถึงต้องถูกคนใจโฉดทำร้ายจิตใจน้องแบบนี้ น้องทุกข์ทรมานเหลือเกินค่ะคุณพี่”
“พี่จะใช้ความตายปลดปล่อยความทุกข์ของน้อง”
รำพึงชะงักยิ้มเข้าแผน
“พี่จะมอบความตายให้ไอ้ขุนพิทักษ์ มันทำร้ายน้องก็เท่ากับมันทำร้ายหัวใจของพี่”
“แต่น้องไม่อยากให้มือของคุณพี่เปื้อนเลือดไปมากกว่านี้”
“มากกว่านี้พี่ก็ทำให้น้องได้ จวง...พาน้องรำพึงเข้าไปพักในเรือน”
“เจ้าค่ะ”
ขุนไวตะโกนเข้าไปในบ้าน
“เอาดาบมาให้ข้า ข้าจะไปเอาเลือดหัวไอ้พิทักษ์มาล้างตีนน้องรำพึง !”
รำพึงในอ้อมกอดจวง ยิ้มสะใจ
ฝ่ายขุนพิทักษ์ยังหาชุ่มไม่พบและยิ่งร้อนใจมากขึ้น
ขุนไวกับลูกน้องคนหนึ่งก้าวเดินฉับๆ เข้ามาถึงเรือนคุณหญิงมณี เจอผาดอยู่แถวนั้น ขุนไวปราดเข้าไปหาผาดพร้อมเอาดาบชี้หน้า
“ไอ้พิทักษ์อยู่ไหน”
ผาดมีท่าทางกลัวบอก
“ทะ...ท่าน...ขุนไม่อยู่เจ้าค่ะ ออกไปตามหาชุ่ม”
“ที่ไหน”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ”
ลูกน้องอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบ
“ท่านขุนขอรับ เจอขุนพิทักษ์แล้วขอรับ”
ขุนไวหันขวับแววตาเหี้ยม
ขุนพิทักษ์เดินตามหาชุ่ม ทางนั้นทางนี้ ทันใดนั้น พวกขุนไวโผล่มาดักหน้า
“หลงเมียทาสจนต้องออกตามหาหัวซุกหัวซุนเลยเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
“ข้าไม่อยากยุ่งกับเอ็ง ถ้าเอ็งไม่มายุ่งกับน้องรำพึงของข้าก่อน”
“รำพึงเป็นของเอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก่อนเอ็ง! รู้เอาไว้ว่าน้องรำพึงเป็นเมียข้าก่อนแต่งง่านกับเอ็ง”
ขุนพิทักษ์อึ้ง ยิ่งเพิ่มดีกรีความเกลียดรำพึงมากขึ้นไปอีก
“น้องรำพึงรัก ข้ากับน้องรำพึงควรจะมีความสุขด้วยกัน แต่เอ็งก็แย่งน้องรำพึงไป”
“ไอ้ไว เอ็งกำลังโดนรำพึงหลอกใช้ ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจกว่าที่เอ็งคิด”
“เอ็งก็เลยต้องทำร้ายน้องรำพึงเป็นการแก้แค้นงั้นเหรอ ข้าจะไม่ปล่อยให้เอ็งมีชีวิตอีกต่อไป เอ็งต้องชดใช้ให้รำพึง”
ขุนไวกับลูกน้องพุ่งเข้าไปฟันดาบใส่ขุนพิทักษ์ที่สู้กลับอย่างไม่คิดชีวิต ขุนพิทักษ์พลาดท่าโดนขุนไวฟันแขนเข้าอย่างจังจนเลือดสาด
ขุนพิทักษ์กัดฟันสู้จนลูกน้องขุนไวกระเด็น ขุนพิทักษ์หาจังหวะถีบขุนไวกระเด็นไปแล้ววิ่งหนี
“ตามมันไป”
ขุนไวกับลูกน้องวิ่งตามไป
ขุนพิทักษ์วิ่งกำแผลที่แขน ขุนไวโผล่มาดักหน้า
“คิดว่าจะหนีพ้นเรอะไอ้พิทักษ์”
ขุนไวพุ่งเข้าใส่ ขุนพิทักษ์สู้กับขุนไวและลูกน้องอย่างดุเดือด
ขุนพิทักษ์จัดการกับลูกน้องขุนไวได้อย่างราบคาบ ต่อมา ขุนไวโดนขุนพิทักษ์ถีบกระเด็น ดาบหลุดมือล้มกลิ้งไปบนพื้น
ขุนพิทักษ์เข้าไปซ้ำ ขุนไวคว้าท่อนไม้ฟาดใส่ ขุนพิทักษ์หลบ แต่สุดท้ายก็พลาดท่าถูกขุนไวฟาดไม้ใส่ที่ทัดดอกไม้ของขุนพิทักษ์เต็มแรง ขุนพิทักษ์ทรุด ดาบหลุดมือ หัวแตกเลือดไหลลงหน้า ขุนไวหยิบดาบบนพื้นแทงท้องขุนพิทักษ์เต็มแรง ร่างขุนพิทักษ์กระตุก ตาเหลือก เลือดไหลออกปาก
“ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง วันที่เอ็งต้องสูญเสียทุกอย่างให้กับข้า ไอ้พิทักษ์”
ขุนไวเงื้อดาบขึ้นสูง ขุนพิทักษ์นึกถึงชุ่ม
“ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน ข้าก็จะต้องตามหาชุ่มให้เจอ”
ขุนไวกำลังจะฟันดาบลงคอขุนพิทักษ์ ฝ่ายขุนพิทักษ์ฮึดสู้พุ่งเข้าไปรวบตัวขุนไวหมายสู้แค่ตาย ขุนไวล้มคว่ำดาบหลุดมือ ขุนพิทักษ์คว้าดาบแล้วฟันแขนขุนไว แม้ขุนไวหลบแต่ก็พลาดโดนฟันจนบาดเจ็บเหมือนกัน ขุนไวทรุดลง ลูกน้องร้องเรียก
“ท่านขุน”
ขุนพิทักษ์วิ่งหนีไป
“ตามไปปั่นหัวมันให้ได้”
ลูกน้องวิ่งตามขุนพิทักษ์ไป ขุนไวมองตามโกรธแค้น
บ่วงบาป ตอนที่ 11 (ต่อ)
ขุนพิทักษ์ร่างอาบเลือดวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา แล้วทรุดตัวล้มลงกับพื้น ชุ่มโพกผ้าถือห่อผ้าเดินปาดเหงื่อมาตามทางแล้วเห็นร่างใครคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ชุ่มชะงักสงสัย
ชุ่มรีบวิ่งเข้าไปดูถึงเห็นว่าเขาคือขุนพิทักษ์
“ท่านขุน”
ขุนพิทักษ์ปรือตามอง เลือดจากหัวแตกไหลนองตา ภาพเบลอๆของขุนพิทักษ์เห็นชุ่มยืนอยู่ตรงหน้า ขุนพิทักษ์ยิ้มอ่อนแรงยื่นมือไปข้างหน้า ตะเกียกตะกายคลานเข้าไปหา
“ชะ...ชุ่ม...ชุ่ม”
ขุนพิทักษ์ทนพิษบาดแผลไม่ไหว หมดสติไป
เสียงลูกน้องขุนไวดังมาไกลๆ
“มันไปทางโน้น”
ชุ่มตกใจ ขยับจะเข้าไปช่วยขุนพิทักษ์แต่นึกได้
“ท่านฆ่าพี่สม ฆ่าพ่อแม่ข้า ท่านสมควรชดใช้ในสิ่งที่ท่านทำ”
ชุ่มหันหลังจะวิ่งไป แต่ชะงัก คำสอนของหลวงตามั่นดังเข้ามา
“เมื่อใดที่ปล่อยให้ความโกรธอยู่เหนือใจเรา เมื่อนั้นความทุกข์ก็จะเกาะติดตัวเราไปไม่รู้จักจบสิ้น”
ชุ่มหันมองพิทักษ์อีกครั้งอย่างลังเล
“เร็วโว้ย เดี๋ยวมันหนีไปไกล”
ชุ่มตัดสินใจ
ลูกน้องขุนไววิ่งเข้ามาตรงที่ที่ขุนพิทักษ์นอนสลบแต่ไม่เห็นใครเลย
“หายไปไหนของมัน”
ลูกน้องคนหนึ่งก้มลงไปเห็นกองเลือดบนพื้น
“เลือด”
“ต้องมีคนช่วยมันไปแน่ๆ ตามไป !” ลูกน้องคนที่สองบอก
ลูกน้องสองคนวิ่งออกไป ชุ่มกอดขุนพิทักษ์อยู่พุ่มไม้ใหญ่
ลูกน้องขุนไวเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เอาไงดี ขืนกลับไปบอกท่านขุนไวว่ามันหนีไปได้ มีหวังหัวหลุดออกจากบ่าแน่”
ลูกน้องคนที่สองคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“งั้นเราก็อย่าบอกสิวะ”
ขุนไวเอาเศษเสื้อพันแผลที่ไหล่ตัวเอง
“ไอ้พิทักษ์ตกหน้าผา”
“ขอรับ กระผมสองคนวิ่งต้อนมันไปจนมุม แต่มันก็ยังสู้อย่างหมาบ้า พวกกระผมก็เลยจัดการส่งมันลงไปอยู่ที่ก้นเหว”
ขุนพิทักษ์ยิ้ม
“ไม่นานแร้งกาก็จะมาจิกกินร่างแหลกเหลวของมันจนไม่เหลือซาก ขุนพิทักษ์ลูกพระยาผู้สูงศักดิ์ สุดท้ายก็ต้องมาตายอย่างน่าสมเพช สะใจข้าเหลือเกิน”
ลูกน้องสองคนสบตาอย่างรู้กัน
ภายในเรือนขุนไว รำพึงใบหน้ามีรอยฟกช้ำเดินไปเดินมาร้อนใจ จวงถือถาดยาเข้ามา
“ประคบสมุนไพรก่อนนะเจ้าคะ หน้าคุณรำพึงจะได้กลับมาสวยเหมือนเดิม”
จวงแปะลูบประคบที่หน้า รำพึงผลักจวงกระเด็น
“อย่ามายุ่งกับข้า”
“คุณรำพึงเป็นอะไรไปเจ้าคะ หรือว่าเป็นห่วงท่านขุนไว ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ท่านขุนไวเก่ง ฝีมือลูกน้องก็ดี”
รำพึงแทรกขึ้นทันที
“ข้าไม่ได้เป็นห่วงขุนไว”
“อ้าว...หรือว่าเป็นห่วงท่านขุนพิทักษ์”
รำพึงเงียบ หันหน้าหนี
ภาพของขุนพิทักษ์แทรกเข้ามา … วันแรกที่ขุนพิทักษ์โอบกอดรำพึง ภาพรำพึงป้อนขนมอาลัว พิทักษ์หอมมือ และภาพขุนพิทักษ์บอกรักรำพึง
ภาพเหล่านั้นทำให้รำพึงน้ำตาคลอ จวงเห็นอาการ
“ทูนหัวของบ่าวยังรักท่านขุนพิทักษ์อยู่ใช่มั้ยเจ้าคะ”
“ผู้ชายคนเดียวที่ข้ารักคือ คุณพี่พิทักษ์เท่านั้น”
จวงทั้งเห็นใจทั้งงง
“แล้วทำไมคุณรำพึงถึงให้ท่านขุนไวไปฆ่าท่านขุนพิทักษ์ล่ะเจ้าคะ”
“เพราะคุณพี่ทำลายหัวใจข้า ถ้าข้าไม่ได้ครอบครองคุณพี่..ใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้”
“จริงเจ้าค่ะ ถ้าท่านขุนพิทักษ์ไม่รักคุณรำพึง ก็อย่าหวังว่าจะได้สมรักกับนังชุ่มเล๊ย!”
“หุบปากได้แล้วนังจวง”
รำพึงปาดน้ำตา ขุนไวกับลูกน้องเดินเข้ามาพอดี รำพึงเห็นผ้าพันแผลที่ไหล่ขุนไว จึงรีบปราดเข้าไปหา
“คุณพี่ ! คุณพี่เป็นอะไรคะ ไอ้พิทักษ์ทำคุณพี่เหรอ”
“แผลเท่านี้แลกกับชีวิตไอ้พิทักษ์ พี่ถือว่ามันเกินคุ้ม”
รำพึงอึ้งไป
“หมายความว่า...”
“ไอ้พิทักษ์มันตกหน้าผาตายไปแล้ว”
รำพึง ใจหายวาบอดเจ็บแปลบไม่ได้
“น้องรำพึงไม่ดีใจหรอกเหรอ”
รำพึงรู้สึกตัว รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ดีใจสิคะ น้องต้องดีใจที่คนใจร้ายตายเสียได้”
รำพึงสวมกอดขุนไว ขุนไวกอดตอบรำพึงแน่นอย่างมีความสุขที่สุด แต่ใบหน้าอีกด้านหนึ่งที่หันออกไป รำพึงหุบยิ้มสีหน้าเศร้า ไม่ได้ดีใจอย่างปากพูดเลย
รำพึงเข้ามาในห้องนอนแล้วเดินไปยืนริมหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไป
“จบสิ้นกันสักทีนะคะคุณพี่พิทักษ์ แต่เพื่อตอบแทนที่คุณพี่ทำให้หัวใจของน้องแตกสลาย น้องจะตามหานังชุ่มให้เจอ แล้วน้องจะส่งมันกับลูกไปเสวยสุขในนรกกับคุณพี่ ”
ดวงตารำพึงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
ผ่านเวลามาหลายวัน ที่กระท่อมท้ายป่า ชุ่มเช็ดตัวให้ขุนพิทักษ์ ลำตัวขุนพิทักษ์พันด้วยผ้าสีขาวเปื้อนเป็นคราบเลือด ตาสองข้างปิดด้วยผ้า
ช่างไม่ต่างอะไรจากภาพที่ชุ่มเคยประคองร่างขุนพิทักษ์ป้อนยาต้ม และชุ่มบดยาอย่างตั้งใจ ขุนพิทักษ์นอนนอนสั่นอยู่บนแคร่ ชุ่มห่มผ้าให้และมองด้วยสายตาทั้งรักและสงสารไม่เปลี่ยนแปลง
ขุนพิทักษ์นอนสลบซมพิษไข้
“น้ำ...น้ำ...”
ชุ่มถือชามใส่ยาเข้ามาได้ยินเข้าพอดีก็วางชามยาลง แล้วประคองร่างขุนพิทักษ์ขึ้นดื่มน้ำจากขัน
ขุนพิทักษ์กินน้ำเสร็จจึงรู้สึกตัวมากขึ้น
“เจ้าเป็นใคร”
ชุ่มอึดอัดไม่ตอบ
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร”
ขุนพิทักษ์ดึงผ้ำพันตาทิ้งและพยายามมอง ชุ่มถอยกรูด ขุนพิทักษ์จับตาตัวเอง
“แล้วทำไมมันมืดอย่างนี้ ตาข้าเป็นอะไร”
จังหวะนั้น ขุนพิทักษ์ไออย่างแรงจนต้องจับท้องเพราะเจ็บแผล ชุ่มรีบเข้าไปประคองขุนพิทักษ์นอนลง พิษไข้ทำให้ขุนพิทักษ์ค่อยๆ สลบไป ชุ่มหยิบผ้าพันตาที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาดู ชุ่มถอนใจทั้งโล่งอก ทั้งกังวลเรื่องตาขุนพิทักษ์ที่มองไม่เห็น
เสียงสวดดังไม่เป็นศัพท์ดังออกมาจากในเรือนหมอไสย์ เวลากลางคืน ภายในเรือน หมอไสย์พนมมือบริกรรมคาถา ดวงตาแข็งกร้าวเพ่งลงไปในอ่างใส่เลือด มีน้ำตาเทียนลอยเหนือน้ำ เลือดในอ่างเริ่มเดือดปุดๆ แต่ทันใดนั้นก็ระเบิดตู้ม
หมอไสย์ทรุดล้มไอกระอักเป็นเลือด หมอไสย์พยุงตัวลุกขึ้น ปัดของใกล้ตัวทิ้งอย่างโมโห
“โธ่โว้ย ! เมื่อไหร่อาคมของข้าจะกลับมาเหมือนเดิมสักที”
สองเดือนผ่านไป... ภายในกระท่อม บาดแผลบนลำตัวขุนพิทักษ์ดีขึ้นแต่ตายังมองไม่เห็น ขุนพิทักษ์คลำทางจะเดินแต่สะดุดล้มลงและเจ็บแผลที่ท้อง
“โอ๊ย”
ชุ่มที่ท้องประมาณห้าเดือนวิ่งเข้ามาเห็นตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคองขุนพิทักษ์ จับมือเขาที่ท้องมาดู เห็นเลือดสดๆ ติดมือก็ตกใจ
ขุนพิทักษ์ถอดเสื้อ ชุ่มทำแผลให้
“เมื่อไหร่ข้าจะหายสักที อยู่แบบนี้ข้าทรมาน”
ชุ่มไม่ตอบ
“ทำไมเจ้าไม่พูดกับข้า”
ขุนพิทักษ์คว้ามือชุ่ม เค้นถาม
“พูดกับข้าสิ ให้ข้าได้คลายความอึดอัด อย่างน้อยข้าก็จะได้ขอบใจเจ้าที่เจ้าช่วยข้า”
ขุนพิทักษ์ชะงักไปทันทีที่จับมือของบุคคลปริศนาแน่น เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชุ่มรีบชักมือออก
“เจ้า...เจ้าเหมือนคนที่ข้ารู้จัก”
ชุ่มรีบเก็บของทำแผลแล้วลุกออกไปเลย
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
ชุ่มออกมาที่หน้ากระท่อมปิดปากร้องไห้เสียใจ
ที่เรือนขุนไว วันเดียวกัน รำพึงผลักจวงอย่างแรงจนกระเด็นติดข้างฝา
“มัวแต่โง่อยู่ล่ะสิ เอ็งถึงตามหานังชุ่มไม่เจอ”
จวงยกมือไหว้
“จวงขอโทษเจ้าค่ะ คุณรำพึงบอกจวงหน่อยเถอะเจ้าค่ะว่าจวงควรทำยังไง ต่อให้จวงต้องมุดรูเข้าไปลากคอมันออกมาให้ จวงก็จะทำเจ้าค่ะ”
รำพึงลดมือลง เดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งลง
“คุณรำพึงเจ้าขา ไหนๆ ท่านขุนพิทักษ์ก็ตายไปเป็นเดือนแล้ว ปล่อยๆ นังชุ่มมันไปเถอะเจ้าค่ะ ตามหาไปก็เหนื่อยเปล่า”
รำพึงบีบปากจวง จวงส่งเสียงร้องเจ็บ
“ข้าไม่ปล่อย ! นังชุ่มมันเป็นต้นเหตุทำให้ข้าต้องสูญเสียคุณพี่ มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
ขุนไวในชุดทำงานเปิดประตูเข้ามา
“คุยอะไรกันอยู่ เสียงดังเอะอะไปถึงข้างนอกเชียว”
รำพึงรีบแก้
“นังจวงมันขัดใจน้องค่ะ”
ขุนไวหันไปถาม
“จวง...”
จวงโง่เลยโพล่งจะบอก
“คุณรำพึงให้บ่าวตามหา...”
รำพึงรีบแทรกขัดขึ้น
“หา...มะดันเปรี้ยวๆ ค่ะ น้องอยากกิน... ไปหามาสิ เร็ว”
จวงงง รำพึงถลึงตามอง จวงเข้าใจทันที
“เจ้าค่ะๆ เดี๋ยวอีจวงจะไปหามะดัน มะม่วง มะยม มะกอก มะนาว มาให้คุณรำพึงกินให้หายเข็ดฟันเจ้าค่ะ”
ขุนไวดีใจตื่นเต้น
“น้องอยากกินของเปรี้ยว หรือว่า...น้องตั้งท้องเราจะมีลูกกันอีกครั้งแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ รอบเดือนน้องเพิ่งมาวันนี้เอง”
ขุนไวหุบยิ้มอย่างเสียดาย รำพึงกอดออดอ้อน
“ใจเย็นๆ สิคะคุณพี่ ขืนน้องท้องตอนนี้มีหวังได้ถูกนินทาแน่”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร ใครๆ ก็รู้ว่าไอ้ขุนพิทักษ์มันตายไปแล้ว น้องจะมีลูกกับพี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่น้องยังไม่อยากมีลูกกับพี่เพราะเรายังไม่ได้แต่งงานกันใช่ไหม”
รำพึงยังไม่ทันจะตอบ ขุนไวจับมือรำพึง
“ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง มิน่าช่วงนี้น้องรำพึงถึงดูหงุดหงิดนัก งั้นเอาอย่างนี้เดี๋ยวเราไปหาหลวงตา ไปขอให้ท่านดูฤกษ์แต่งงานให้เรากันนะ เราจะได้มีลูกกันอย่างไม่ต้องกลัวใครนินทา ดีไหมจ๊ะ”
รำพึงน้ำท่วมปากที่ขุนไวเล่นรวบรัดตัดตอนเองหมด
“ตามใจคุณพี่ค่ะ”
ขุนไวสวมกอดรำพึงด้วยความรัก ต่างจากรำพึงที่ไร้อารมณ์ต่อขุนไวอย่างสิ้นเชิง
บนกุฎิ ชุ่มคุยกับหลวงตามั่น
“โยมจะให้ไอ้เผือกกับไอ้แก้วไปช่วยดูแลโยมพิทักษ์เหรอ”
ชุ่มหลบสายตา
“เจ้าค่ะหลวงตา ข้าท้องโตขึ้นทุกวัน ท่านขุนก็ตัวใหญ่ ข้าดูแลท่านขุนไม่ไหว”
“พูดปดถือว่าเป็นบาปนะ”
ชุ่มจำยอมพูดความจริง
“ข้า...เอ่อ...ข้าจะไปจากชีวิตท่านขุนก่อนที่ท่านขุนจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
“อาตมาเคยขอบิณฑบาตให้อโหสิกรรมให้โยมพิทักษ์เขาแล้วไม่ใช่หรือ”
“ข้าอโหสิกรรมให้เขาแล้วเจ้าค่ะ แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา อยู่ใกล้เขา ข้าจะต้องนึกถึงตอนที่เขาฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพี่สม ข้ากับเขาไม่มีวันกลับมารักกันได้อีก”
หลวงตาถอนใจบอก
“โยมไม่กลัวไอ้แก้วไอ้เผือกมันเที่ยวเอาไปพูดว่า โยมพิทักษ์ยังไม่ตายเหรอ แล้วเมื่อข่าวถึงหูคนที่เคยทำร้ายเขา เมื่อนั้นชีวิตของโยมพิทักษ์ก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง”
ชุ่มเงียบ
“ช่วยเขาแล้วก็ช่วยเขาให้ถึงที่สุดเถอะโยมชุ่ม เพราะเมื่อถึงวันหนึ่งถ้าโยมทั้งสองจะต้องจากกัน โยมจะได้ไม่มานั่งเสียใจภายหลัง”
ชุ่มหนักใจ
บริเวณหน้าวัด ขุนไวกับรำพึงกำลังเดินไปที่กุฎิหลวงตา จวงเดินตามต้อยๆ
“พี่ภาวนาขอให้หลวงตาบอกว่าฤกษ์แต่งงานของเราคือวันพรุ่งนี้”
“อุแหม...จะใจร้อนทำไมเจ้าคะท่านขุนไว ห้องหอก็เข้ากันมาแล้ว” จวงว่า
“นังจวง !”
“อุ้ย ! จวงขอโทษเจ้าค่ะ จวงหุบปากแล้วเจ้าค่ะ” จวงหุบปากหมับ
“พี่หยามเกียรติน้องรำพึงมานานแล้ว ถึงเวลาที่พี่จะต้องคืนศักดิ์ศรีให้น้องรำพึงสักที พี่จะเชิญผู้ใหญ่มางานของเรา ไม่ให้น้อยหน้ากว่าคราวงานของไอ้พิทักษ์เลย”
“คุณพี่อย่าพูดถึงขุนพิทักษ์ได้ไหมคะ น้องไม่อยากได้ยินชื่อเขาอีก”
“พี่ขอโทษ เราเข้าไปกราบหลวงตากันเถอะ”
ขุนไวเดินนำเข้าวัดไป รำพึงหันไปเห็นแจ่มเอาผ้าโพกหน้าเดินก้มหน้าก้มตาถือตะกร้าหวายไปทางข้างวัด รำพึงมองอย่างสงสัย
“นังแจ่ม !”
มุมหนึ่งในวัด รำพึงโผล่มาดักหน้า จวงผลักแจ่มล้มลง ตะกร้าในมือหล่นพื้น ข้าวห่อใบตอง กำดอกบัวกระจายเต็มพื้น
“เอ็งจะเอาของพวกนี้ไปไหน”
แจ่มส่งเสียงอ้อแอ้ชี้ไปที่วัด พนมมือบอกว่าจะมาทำบุญ
“จะไปทำบุญงั้นหรือ”
แจ่มพยักหน้า
“แน่ใจเหรอว่าไม่ได้เอาไปให้นังชุ่ม”
แจ่มส่ายหน้า
“เอ็งรู้หรือเปล่าว่านังชุ่มไปซุกหัวอยู่ที่ไหน”
แจ่มส่ายหน้า
รำพึงพุ่งเข้าไปหา
“แน่ใจ”
แจ่มพยักหน้าอย่างกลัวๆ
รำพึงจิกหัวแจ่มขึ้นมา จวงคอยดูต้นทางให้รำพึง
“ยังจำความรู้สึกตอนที่ยาพิษลงไปในคอเอ็งได้ใช่ไหม ถ้าข้ารู้ว่าเอ็งโกหกข้าเรื่องนังชุ่ม คราวนี้ไม่ใช่แค่คอเอ็งพังแน่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู”
รำพึงผลักหัวแจ่มออก แจ่มลุกขึ้นวิ่งลนลานหนีไป จวงหัวเราะเยาะเย้ยแจ่ม
“มันกลัวคุณรำพึงอย่างกับอะไรดี มันไม่กล้าลองดีกับคุณรำพึงแน่เจ้าค่ะ”
รำพึงพยักหน้านิดๆ เพราะเห็นด้วย
แจ่มวิ่งกลัวลนลาน แล้วชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง
“ขอโทษจ้ะ”
แจ่มกับชุ่มเห็นกัน ชุ่มดีใจ
“น้าแจ่ม !”
ทั้งสองกอดกันด้วยความดีใจจนน้ำตาไหล
“น้าแจ่มเป็นยังไงบ้าง ข้าเป็นห่วงน้ามาก แต่ข้าไม่กล้ากลับไปหาที่เรือน ข้ากลัวพวกเขาจะฆ่าลูกของข้า”
แจ่มนึกเรื่องรำพึงขึ้นมาได้ หันหลังไปมองทางที่วิ่งมา แล้วพยายามลากชุ่มออกไปจากตรงนั้น
“มีอะไรน้าแจ่ม จะพาข้าไปไหน”
แจ่มจูงมือชุ่มวิ่งออกไป
บนกุฎิ ขุนไวนั่งอยู่กับหลวงตามั่น รำพึงกับจวงเข้ามา จวงถือห่อดอกไม้ของแจ่มมา
“ทำไมน้องรำพึงถึงตามขึ้นมาช้าล่ะจ๊ะ”
“น้องไปหาดอกบัวมาถวายพระน่ะค่ะคุณพี่ วันหลังเอ็งอย่าลืมดอกไม้อีกนะจวง”
“เจ้าค่ะ”
“มีดอกไม้ทำบุญ น้องค่อยสบายใจหน่อย ไม่งั้นน้องจะรู้สึกเหมือนว่าทำบุญแต่ไม่ได้บุญ”
“ทำบุญด้วยอะไรก็ไม่ได้บุญเท่ากับทำด้วยใจที่เป็นบุญหรอกโยม”
หลวงตามองรำพึงนิ่ง รำพึงมองหลวงตาอย่างไม่ไว้ใจ
ที่เงียบๆท้ายวัดแจ่มจูงมือชุ่มเข้ามาหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่ แล้วมองกลับไปทางที่เดินมาอย่างหวาดระแวง
“น้าแจ่มหลบใครจ๊ะ”
แจ่มส่ายหน้าไม่อยากพูดถึง แล้วกอดชุ่มแน่นด้วยความคิดถึงห่วงใย
“น้าแจ่มสบายดีใช่ไหม”
แจ่มพยักหน้าแล้วชี้และลูบท้องชุ่ม
“ข้ากับลูกสบายดี”
แจ่มยิ้มแล้วนึกได้ทำหน้าตาตื่น ชี้ตัวชุ่มแล้วจับมือชุ่มมาซบกับหน้าตัวเองทำท่าแสดงความรัก
“น้าแจ่มพูดถึงท่านขุนเหรอ”
แจ่มพยักหน้าแล้วก็น้ำตาไหล ทรุดตัวร้องไห้ ชุ่มสงสารแจ่มตัดสินใจบอก
“ท่านขุนยังไม่ตายหรอกน้าแจ่ม”
แจ่มหันมองด้วยความแปลกใจ
ขุนพิทักษ์นอนอยู่บนแคร่ แจ่มน้ำตาไหลยืนมองขุนพิทักษ์อย่างคาดไม่ถึงว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านขุนยังไม่ตาย เดี๋ยวพวกคนร้ายจะตามมาฆ่าเขา”
แจ่มคุกเข่าจับเท้าขุนพิทักษ์ ร้องไห้ดีใจ
ขุนพิทักษ์รู้สึกตัวตื่น
“เจ้ากลับมาแล้ว”
แจ่มดีใจเผลอร้องอ้อแอ้ ชุ่มแตะนิ้วชี้ที่ปากห้ามแจ่มไม่ให้ส่งเสียง
“ทำไมเสียงเจ้าเป็นแบบนั้น หรือว่าที่แท้เจ้าเป็นใบ้ เจ้าถึงไม่ยอมพูดกับข้า”
แจ่มแปลกใจ
ที่หน้ากระท่อม ชุ่มนั่งคุยกับแจ่ม
“ท่านขุนมองไม่เห็น ข้าก็เลยตัดสินใจไม่บอกให้เขารู้ว่าคนที่ดูแลเขาก็คือข้า เพราะพอท่านขุนหายดี ข้าจะพาลูกหนีไปจากที่นี่”
แจ่มจับมือชุ่มส่ายหน้าห้าม
“แต่เขาเป็นคนฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพี่สม ถึงแม้ว่าท่านขุนจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ข้าก็ทำใจไม่ได้ เลือดพ่อแม่ เลือดพี่สมยังติดตาข้าอยู่จนถึงทุกวันนี้ แล้วอย่างนี้ข้าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาได้ยังไง”
ชุ่มร้องไห้ แจ่มกอดชุ่ม
“น้าแจ่มเข้าใจชุ่มใช่ไหม”
แจ่มลูบไหล่ชุ่มอย่างไม่สบายใจ
ภายในเรือนคุณหญิง เวลากลางคืน แจ่มนำห่อยาฝรั่ง กระปุกขนมแห้งวางบนผ้าแล้วห่อ แจ่มนึกถึงที่รำพึงขู่
“ถ้าข้ารู้ว่าเอ็งโกหกข้าเรื่องนังชุ่ม คราวนี้ไม่ใช่แค่คอเอ็งพังแน่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู”
แจ่มพนมมือ
“คุณหญิงเจ้าขา แจ่มจะดูแลลูกหลานของคุณหญิงตามที่เคยให้สัญญาไว้ แต่ต่อจากนี้ไป..หากเกิดสิ่งใดขึ้นก็สุดแต่โชคชะตานะเจ้าคะ”
แจ่มห่อผ้าต่อด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
ผ่านไปหลายวัน แจ่มโพกผ้าปิดหน้าถือห่อผ้าเพิ่งมาถึง แจ่มเปิดประตูเข้าไปเห็นชุ่มเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ขุนพิทักษ์ก็ยิ้มสุขใจ
ภายในกระท่อม แจ่มส่งชามยาให้ชุ่ม ชุ่มรับไปป้อนขุนพิทักษ์ ชุ่มพอกยาที่ตาให้ขุนพิทักษ์
ภายในห้องนอน ขุนไวกับรำพึงในชุดแต่งงานนั่งอยู่บนเตียง ขุนไวมองรำพึงด้วยความรัก รำพึงยิ้มแล้วทั้งสองก็ล้มตัวลงบนเตียง
กลางคืนของวันใหม่ ขุนพิทักษ์ถอดผ้าพันแผลที่ตัวออกเพราะแผลแห้งแล้ว ขุนพิทักษ์ยิ้มนิดๆ แล้วตัดสินใจดึงผ้าที่ตาออก
ชุ่มท้องโตขึ้นถือชามยาเข้ามาพอดี เห็นขุนพิทักษ์ถอดผ้าที่ตาออกแล้ว ทั้งสองสบตากัน ชุ่มตกใจจนชามยาหล่นพื้น
“เจ้า !”
ชุ่มหันหลังจะวิ่งไป
“ทำไมข้ายังมองไม่เห็น...”
ชุ่มชะงักหันมองเห็นขุนพิทักษ์เดินคลำหาทาง เขายังตาบอด
“เจ้าอยู่ไหน”
ชุ่มเห็นอาการขุนพิทักษ์ที่เดินตุปัดตุเป๋ก็เข้าไปช่วย มือของขุนพิทักษ์ยึดเหนี่ยวชุ่มไว้แน่น
“ข้าตาบอดใช่มั้ย”
ขุนพิทักษ์เสียใจทรุดนั่ง ชุ่มได้แต่กอดปลอบใจขุนพิทักษ์
คืนเดียวกัน ฝ่ายหมอไสย์ยังคงเพ่งลงไปที่น้ำเลือดในอ่าง แล้วบริกรรมคาถา เลือดในอ่างเริ่มเดือดปุดๆ ดวงตาหมอไสย์แข็งกร้าว บริกรรมคาถารัว
เลือดในอ่างไฟลุกพรึ่บ หมอไสย์ยิ้มตาวาวแล้วหันไปเป่าชาม หนอนปรากฏขึ้นในชาม
“ข้าคิดถึงพวกเจ้าเหลือเกิน”
หมอไสย์หัวเราะอย่างสะใจ
ภายในป่า เวลากลางวัน จวงถือตะกร้าไปจ่ายตลาดมา จวงเดินแทะเม็ดมะม่วง ซี๊ดซ้าดเปรี้ยวจี๊ด จวงเห็นกองเลือดหยดเป็นทางยาวหยดไปตามพื้น
“เลือด ! เลือดอะไรวะ”
จวงเดินตามหยดเลือดบนพื้นมาเรื่อยๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าหยดเลือดไปถึงเรือนหมอไสย์ จวงแปลกใจย่องๆ เข้าไปใกล้หน้าต่าง แอบดู เห็นหมอไสย์ชูแมวดำเหนือถ้วยให้เลือดจากแมวไหลลงชาม ก่อนแสยะยิ้มเหี้ยม
“เฮ้ย !”
บนเรือนขุนไว รำพึงคุยกับจวง
“อาคมของหมอไสย์คืนกลับมาแล้ว”
“เจ้าค่ะ หนำซ้ำหน้ามันยังดูเหี้ยมกว่าเดิมด้วยเจ้าค่ะ จวงก็เลยมีแผนเด็ด”
“แผนอะไร”
จวงแบมือยิ้มทะเล้น รำพึงหันขวับส่งตาดุ
“จวงหยอกเล่นเจ้าค่ะ จวงบอกก็ได้ จวงมีแผนว่าถ้าเราตามหานังชุ่มไม่เจอด้วยตาเปล่า เราก็ใช้ตาทิพย์ของไอ้หมอไสยช่วยหา ดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่ดี”
“อ้าว...ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“ไปตามหาทำไมให้เสียเวลา สู้ให้ไอ้หมอไสยส่งของต่ำไปจัดการมันดีกว่า นังทาสชั้นต่ำมันจะได้ตาย โดยที่ข้าไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย!”
รำพึงสีหน้าร้ายกาจ
บ่วงบาป ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในเวลากลางคืน รำพึงกับขุนไวเดินออกมาจากในเรือน จวงตามมาด้วย ขุนไวใส่ชุดไปงาน รำพึงทำหน้าซีดเซียว
“น้องโกรธตัวเองเหลือเกินค่ะ ทำไมต้องมาปวดหัวเอาวันนี้ เลยไม่ได้ไปงานเรือนท่านเจ้าคุณพิชัยกับคุณพี่”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แต่น้องไม่ไปก็ดีเหมือนกัน พี่ไม่อยากให้ใครมองน้อง”
“ไม่มีใครกล้าชายตามองเมียสุดรักสุดหวงของท่านขุนไวหรอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวหัวจะหลุดออกจากบ่า” จวงบอก
“สอดนักนังจวง”
จวงจ๋อย รำพึงพูดต่อ
“คุณพี่รีบไปเถอะค่ะ”
“แล้วพี่จะรีบกลับนะ”
ขุนไวจูบหน้าผากรำพึง ขณะที่รำพึงฝืนยิ้มไม่มีอารมณ์ ขุนไวเดินออกไป จวงชะเง้อมองตามไปจนขุนไวลับตาแล้วกลับมาพูดกับรำพึง
“ไปกันเลยไหมเจ้าคะ”
“ข้าไปแต่เอ็งต้องอยู่ที่นี่ เผื่อคุณพี่กลับมาเร็ว เอ็งจะได้คิดหาทางรับหน้าไปก่อน”
“จวงคิดไม่ออกหรอกเจ้าค่ะ”
“เรื่องแค่นี้ถ้าคิดไม่ออก เอ็งก็รอไปคิดต่อในหลุมได้เลย”
รำพึงเดินออกไปเลย จวงเหวอ
“อ้าว...ไหงโยนบาปมาให้จวงง่ายๆแบบนี้ล่ะเจ้าคะทูนหัวของบ่าว”
ในเวลากลางคืน ชุ่มยื่นชามยาแตะริมฝีปากของขุนพิทักษ์ที่เบือนหน้าหนี
“ข้าไม่กิน”
ชุ่มพยายามป้อนยาขุนพิทักษ์อีก
“บอกแล้วไงว่าข้าไม่กิน ถ้าข้าต้องตาบอดไปตลอดชีวิต ข้าขอตายซะดีกว่า”
ชุ่มทั้งเหนื่อยใจและสงสาร
“ข้าคิดถึงเมียข้า”
ชุ่มชะงัก
“แต่ข้าตาบอดแบบนี้ ข้าจะไปตามหาเมียกับลูกข้าได้ยังไง ข้ามันไม่เอาไหน ไม่เคยปกป้องพวกเขาได้เลย ข้าเกลียดตัวเอง เกลียดๆ”
ขุนพิทักษ์ใช้มือชกกำแพง ชุ่มพยายามจับมือห้าม ขุนพิทักษ์ยังคงชกไม่หยุด
“ข้าอยากตายๆ”
ชุ่มห้ามไม่ไหวตัดสินใจกอดเขาแน่น ขุนพิทักษ์หยุดคลั่ง เพราะคุ้นกับสัมผัสนี้
ขุนพิทักษ์นึกถึงอดีตตอนกอดชุ่ม ตอนเอียงหน้าซบกับผมชุ่ม พร้อมๆ กับยกมือกอดชุ่มตอบแล้วตอนกระชิบรักข้างหูชุ่ม
ขุนพิทักษ์คุ้นกับสัมผัสเอ่ยชื่อออกมาไม่รู้ตัว
“ชุ่ม...”
ชุ่มรู้สึกตัวรีบผละออกจากขุนพิทักษ์ และวิ่งออกไป ขุนพิทักษ์ตะกายมือหา
“ชุ่ม ! เป็นเอ็งจริงๆใช่ไหม? ชุ่ม”
ชุ่มเปิดประตูออกมาที่หน้ากระท่อม พลางทรุดตัวนั่งร้องไห้โฮอย่างอัดอั้น
รำพึงใช้ผ้าคลุมหน้าเดินมาหยุดหน้าเรือนหมอไสย์ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป รำพึงก้าวเข้ามา หมอไสย์นั่งสมาธิอยู่หน้าหิ้ง เขาพูดโดยไม่หันหน้ามามอง
“ไม่เจอกันตั้งนาน คิดว่าเจ้าจะสบายดีเสียอีก”
“ข้าสบายดี”
หมอไสย์หัวเราะในลำคอ
“ถ้าเจ้าสบายดี เจ้าคงไม่มาที่นี่หรอก”
รำพึงชะงักไปเหมือนกัน
“เจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยว่ามาเลย ข้าอยากลองวิชาเต็มทนแล้ว”
รำพึงยิ้มร้าย
เลือดในอ่างพิธีกำลังเดือดปุดๆ หมอไสย์หลับตาบริกรรมคาถา แล้วเป่าลงไปในน้ำ ภาพชุ่มร้องไห้ปรากฏบนผิวน้ำ หมอไสย์ยิ้มแสยะหันมาบอกรำพึงที่นั่งชะเง้อคอย
“ผู้หญิงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่”
รำพึงตาวาว
“มันอยู่ไหน”
หมอไสย์จ้องลงในน้ำอีกครั้งแล้วบอก
“ที่ไหนสักแห่งที่มีบึงน้ำ”
รำพึงโวยวายอย่างใจร้อน
“ก็แล้วมันบึงไหนกันเล่า บึงน้ำมีตั้งเยอะแยะ”
หมอไสย์ตวัดตามองรำพึงอย่างไม่พอใจ
รำพึงชะงักวูบไปเกรงสายตาหมอไสย์
“ถึงข้าจะไม่รู้ชัดว่ามันอยู่ที่ไหน แต่บริวารของข้าต้องตามมันจนเจอได้แน่”
รำพึงมองไปที่หัวกะโหลกที่ดูน่ากลัว
“หมายความว่า...”
หมอไสย์หัวเราะอย่างน่ากลัว
รำพึงสั่งเสียงเหี้ยม
“จัดการให้นังชุ่มมันตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด”
“ได้ แต่ครั้งนี้ เจ้าต้องตอบแทนข้ามากกว่าครั้งก่อน”
“ข้ายินดี”
หมอไสย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วสั่ง
“หยิบโถบนหิ้งมาให้ข้า”
รำพึงลุกขึ้นไปหยิบโถที่วางอยู่มุมหนึ่งของหิ้ง
“ระวังให้ดี ถ้าเจ้าทำดินเจ็ดป่าช้าตกพื้น ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“ดินเจ็ดป่าช้า”
หมอไสย์เปิดฝาโถ เสียงคำรามของภูตผีดังก้องขึ้น หมอไสย์ควักก้อนดินขึ้นแล้วเริ่มปั้น ปากพร่ำบริกรรมคาถาไม่หยุด รำพึงมองอย่างใจจดใจจ่อ
หมอไสย์ปั้นดินเป็นรูปหุ่นผี เอาสายสิญจน์สีดำพันรอบตัวหุ่น ปากบริกรรมคาถาต่อเนื่อง จากนั้นนำมีดพร้ามาจ่อที่หัวหุ่น พลางบริกรรมคาถารัวเร็ว ดวงตาถมึงทึง
“ไปจัดการมัน”
ชุ่มร้องไห้อยู่ที่ท่าน้ำหน้ากระท่อมท้ายป่า หุ่นดินผีล่องลอยมาแต่ไกลแล้วพุ่งเข้าไปหาชุ่มทางด้านหลัง ครั้นจวนจะถึงตัวชุ่ม ก็บังเกิดแสงสีทองบังกายชุ่มไว้ ชุ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หันหลังขวับไปมอง
“ใครน่ะ”
ชุ่มไม่เห็นอะไรมีแต่ความว่างเปล่า
มีดอาคมกระแทกออกจากหุ่นผีอย่างแรง จนหมอไสย์ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
หมอไสย์นิ่วหน้าคิด
“นังผู้หญิงคนนั้นมันท้องอยู่ใช่ไหม”
“ใช่ เกี่ยวอะไรกับที่นังชุ่มท้อง”
“วิญญาณบริสุทธิ์ปกป้องผู้เป็นแม่!”
รำพึงขัดใจหน้าเสีย
ในกระท่อมท้ายป่า ขุนพิทักษ์นั่งครุ่นคิดแล้วยิ้มอย่างแน่ใจ
“ข้าจะพิสูจน์ให้ได้ว่าเจ้าคือชุ่ม”
หมอไสย์ยกมีดอาคม กรีดที่นิ้วบนฝ่ามือของตัวเองอีกข้างหนึ่ง รำพึงมองอย่างใจระทึกและทำหน้าสยอง จากนั้นก็ให้หยดเลือดไหลหยดลงไปที่กลางหุ่น ครั้งนี้มีหุ่นตัวที่สองเพิ่มขึ้นมา
เลือดสีแดงสดถูกหยดลงทั่วตัวหุ่น หมอไสย์ยิ้มเหี้ยมบอกรำพึง
“คราวนี้วิญญาณบริสุทธิ์หน้าไหนก็ปกป้องศัตรูของเจ้าอีกไม่ได้แล้ว”
เสียงคำรามของภูตผีดังแหวกโพรงหญ้า ผ่านต้นไม้มุ่งหน้าไปยังกระท่อมของชุ่มอย่างรวดเร็ว
ชุ่มปาดน้ำตาป้อยๆ แล้วได้ยินเสียงชามแตกดังอยู่ในกระท่อม
“ท่านขุน !”
ภูติผีกำลังลอยพุ่งไปหาชุ่ม แต่ชุ่มลุกเข้าไปในกระท่อม ขุนพิทักษ์นอนอยู่บนพื้น มือเปื้อนเลือด
ชุ่มปราดเข้าไปหา ความตกใจทำให้ชุ่มหลุดพูดออกมา
“ท่านขุน !”
ที่ด้านนอกกระท่อม สัมภเวสียืนตาแดงวาวด้วยความแค้น มือค่อยๆกำแน่นก่อนพุ่งเข้าไปในกระท่อม
ภายในกระท่อม ขุนพิทักษ์รวบมือชุ่มแล้วพลิกตัวมากอดแน่น
“ชุ่ม..เป็นเจ้าจริงๆ เจ้าอยู่กับข้ามาตลอด”
จังหวะที่ขุนพิทักษ์พลิกตัวมากอดชุ่ม ทำให้ร่างขุนพิทักษ์บังชุ่มไว้ สัมภเวสีที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกระแทกเข้าตัวขุนพิทักษ์จนร่างกระตุกไปข้างหน้า บังเกิดเงาดำซ้อนทับร่างขุนพิทักษ์
หมอไสย์ลืมตาแล้วยิ้มร้าย รำพึงถาม
“สำเร็จแล้วใช่ไหม”
“เมื่อเทียนเล่มนี้หมด มันจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
เทียนดำบนหิ้งที่เหลือแค่ประมาณนิ้วชี้ค่อยๆ หมดลง รำพึงยิ้มร้าย
ขุนพิทักษ์ชักดิ้นอย่างทรมานในกระท่อม
“ท่านขุน ! ท่านอย่าหลอกข้าแบบนี้ ไม่งั้นข้าจะไม่ยกโทษให้ท่าน”
แต่ขุนพิทักษ์ยิ่งดิ้นตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด อวัยวะภายในร่างกายคล้ายถูกบีบอย่างแรง
“อ๊าก”
สัมภเวสีกำลังบดขยี้ร่างขุนพิทักษ์ให้ทุกข์ทรมาน แล้วขุนพิทักษ์ก็ถูกอำนาจผีในตัวเหวี่ยงกระเด็นล้มกลิ้งไปนอกกระท่อม
“ท่านขุน !”
ชุ่มรีบตามออกไป
บริเวณหน้ากระท่อม ชุ่มปราดเข้าไปจับขุนพิทักษ์ แต่ถูกผลักกระเด็น ขุนพิทักษ์ลุกขึ้นดิ้นพล่านๆ
“ท่านขุน ท่านเป็นอะไร”
“ข้าปวด !”
ชุ่มเข้าไปจับร่างขุนพิทักษ์ แต่โดนแรงเหวี่ยงกระเด็นไปอีก
เทียนบนหิ้งหมอไสยใกล้จะหมดเล่ม
ขุนพิทักษ์กระอักเลือดร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด ร่างถลาไปกระแทกต้นไม้ ชุ่มตะลึงจะเข้าไปช่วย
“ท่านขุน !”
ร่างขุนพิทักษ์ถลาไปฟาดกับต้นไม้อีกต้น ชุ่มจับไว้ไม่อยู่ได้แต่ร้องไห้มองขุนพิทักษ์
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยท่านขุนด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ร่างขุนพิทักษ์กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้จนหัวแตกเลือดไหลนอง และแน่นิ่งลงไปกับพื้น
“ท่านขุน !”
ขุนพิทักษ์ตัวสั่นเกร็งไปทั้งตัวเพราะผีร้ายกำลังบดขยี้กระดูก ชุ่มร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
เทียนบนหิ้งหมอไสย์เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น รำพึงจ้องลุ้น
ขุนพิทักษ์เกร็งไปทั้งตัว ชุ่มกอดร่างขุนพิทักษ์แล้วร้องไห้อย่างหมดหวัง
เสียงสวดมนต์แผ่เมตตาดังขึ้น ชุ่มหันไปเห็นหลวงตามั่นยืนอยู่ก็ดีใจ
“หลวงตา !”
หลวงตาก้าวเข้าไปใกล้ขุนพิทักษ์ ชุ่มถอยออกไป หลวงตามั่นจิ้มปลายกริชลงบนหน้าผากขุนพิทักษ์ บังเกิดแสงสีทองสว่างวาบจากปลายกริช ขุนพิทักษ์ตาเหลือก อ้าปากตะโกนร้องสุดเสียง
ไฟลุกพรึ่บไหม้หุ่นดินเจ็ดป่าช้าจนมอดไหม้ หมอไสย์โกรธ
“มีคนช่วยมัน!”
“ใคร”
“เป็นคนที่มีบารมีแก่กล้า”
“เป็นใครข้าไม่สน แต่ท่านต้องฆ่านังชุ่มให้ได้”
“ข้าช่วยเจ้าฆ่ามันได้แน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่ข้าต้องการให้มันตายเดี๋ยวนี้ ! อ๋อ...จะเรียกอัฐเพิ่มล่ะสิ... เอาไป”
รำพึงควักถุงเงินจากผ้าถุง ปาลงพื้นให้หมอไสย์
“ข้าบอกว่ายังไม่ใช่ตอนนี้”
“ ไม่ทำ หรือทำไม่ได้”
“รำพึง!ไม่เคยมีใครหยามศักดิ์ศรีข้าแบบนี้”
“งั้นก็ฆ่านังชุ่มเสียสิ แล้วท่านอยากได้อะไร ข้าจะให้ท่านทุกอย่าง”
หมอไสย์เสียงเหี้ยม
“งั้นก็ให้ข้าตอนนี้เลยแล้วกัน”
“ถ้าต้องการอัฐเพิ่ม วันพรุ่งข้าจะเอามาให้”
“แต่สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่เงิน!”
หมอไสย์ย่างสามขุมเข้าไปใกล้รำพึง มองร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า นัยน์ตาเป็นประกาย รำพึงมองอย่างหวั่นใจ ถอยกรูดทันที
“หยุดความคิดชั่วๆ ของเอ็งเดี๋ยวนี้”
“หญิงหลายผัวอย่างเอ็งก็ชั่วไม่แพ้ข้าหรอก”
รำพึงสะดุดล้มลงที่พื้น
“โอ๊ย !”
หมอไสย์ก้าวเข้าไปหา รำพึงคลานถอยด้วยความกลัว
“อย่านะ ถ้าเอ็งทำอะไรข้า เอ็งจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ข้าว่าคุ้ม”
หมอไสย์พุ่งเข้าไปหา เสียงรำพึงร้องกรี๊ด ไฟเผาไหม้หุ่นดินเจ็ดป่าช้า เปลวไฟโชติช่วงดังไฟราคะ
ขุนพิทักษ์นอนสลบอยู่บนแคร่ ชุ่มนั่งอยู่ข้างๆ มองอย่างห่วงใย หลวงตามั่นยืนอยู่
“ท่านขุนจะเป็นอะไรไหมเจ้าคะ”
“เขาปลอดภัยแล้ว ของต่ำมนต์ดำออกจากตัวโยมขุนพิทักษ์หมดแล้ว”
“ทำไมท่านขุนต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ ต้องกลายเป็นคนตาบอด แล้วยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีก”
“ตาบอดแต่ใจสว่าง ดีกว่าคนตาดีแต่ใจมืดบอด และคนใจบอดก็จะแพ้ภัยตัวเอง”
หลวงตามั่นนึกถึงรำพึง
“หลวงตาหมายถึง...”
หลวงตามั่นยังไม่ทันได้ตอบใดๆ ขุนพิทักษ์ขยับรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน
ชุ่มโน้มหน้าดูขุนพิทักษ์
“ท่านขุนฟื้นแล้ว... ท่านขุน”
ขุนพิทักษ์ค่อยๆ ลืมตา
“ท่านขุนเป็นยังไงบ้าง”
ขุนพิทักษ์ยิ้มดีใจ ยื่นมือไปที่หน้าชุ่มตามเสียงที่ได้ยิน
“เป็นเอ็งจริงๆ ด้วย”
ชุ่มดีใจยิ่งกว่า
“ท่านขุน ตาของท่าน ท่านมองเห็นข้าแล้วใช่มั้ย”
“ข้าจำเสียงนี้ได้ไม่เคยลืม”
ชุ่มชะงักหุบยิ้มทันที
“ท่านไม่เห็นข้า!”
ขุนพิทักษ์มองชุ่มที่ก้มหน้าปาดน้ำตาเป็นภาพเบลอๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้น ขุนพิทักษ์ตื่นเต้นอย่างคาดไม่ถึง ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดชุ่ม
“ชุ่ม...”
ชุ่มงง
“ข้าคิดถึงเอ็ง”
ชุ่มพลิกตัวหันมา
“ท่านมองเห็นข้าจริงๆใช่มั้ยเจ้าคะ”
“ใช่ ข้าเห็นเอ็งแล้ว”
ขุนพิทักษ์มองไม่เห็นเพราะโดนขุนไวใช้ไม้ฟาดที่หัว ครั้งนี้... หัวของพิทักษ์ฟาดกระแทกกับต้นไม้อีกครั้ง ทำให้เขากลับมามองเห็นอีกครั้ง
“ชุ่ม ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกิน”
ทั้งสองโผกอดกันอย่างดีใจ
“หวังว่าดวงตาที่ได้กลับคืนมาครั้งนี้จะพาให้โยมพิทักษ์เห็นแต่สิ่งดีงาม”
ขุนพิทักษ์หันไปตามเสียงเห็นหลวงตามั่น ขุนพิทักษ์จะลุกขึ้นแต่ระบมร่างกายไปหมด ชุ่มเข้าช่วย
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ ทำไมหลวงตามาอยู่ที่นี่”
“หลวงตาช่วยข้ากับท่านขุนมาโดยตลอด ไม่เช่นนั้นป่านนี้...”
“มันเป็นชะตากรรมของโยมทั้งสอง อาตมาเพียงแต่เป็นหนึ่งในลิขิตนี้”
หลวงตาส่งกริชให้ขุนพิทักษ์
“อาตมานำกริชมาคืน ถึงเวลาที่กริชจะคืนสู่เจ้าของ คุณหญิงมณีใช้กริชนี้ปกป้องดูแลลูกหลานให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง ถึงเวลาที่โยมพิทักษ์จะต้องรับช่วงต่อไป”
ขุนพิทักษ์สลดไป
“กริชนี้เป็นตัวแทนความดีของต้นตระกูลที่สั่งสมกันมา กระผมเลวเกินกว่าจะรับสืบทอดกริชนี้ได้”
“คนเลวย่อมมีสิทธิ์กลับตัวเป็นคนดีได้ สำคัญที่วันนี้โยมต้องมีสติ และปฏิบัติชอบ ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะทำดี”
ขุนพิทักษ์ซาบซึ้ง ชุ่มพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย ขุนพิทักษ์รับกริชไป
“ขอบพระคุณขอรับ”
ชุ่มกับขุนพิทักษ์ไหว้หลวงตามั่น หลวงตาเดินออกไปอย่างสงบ
ขุนพิทักษ์หันมองชุ่มด้วยสายตาแห่งรัก
“ข้าจะไม่มีวันให้ใครมาแยกเราไปจากกันได้อีก”
“ข้ากับลูกจะอยู่เคียงข้างท่านขุนเสมอ”
ขุนพิทักษ์กอดชุ่มที่กอดตอบ ทั้งสองต่างโหยหาความรักจากกันและกัน
รำพึงผมเผ้าหลุดลุ่ยน้ำตานองหน้า เจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจเดินโซซัดโซเซมากลางป่า เกาะต้นไม้ มือกำแน่นนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
บริเวณเรือน หมอไสย์ที่มีรอยสักเต็มหลังกำลังสวมเสื้อหลังเสร็จกิจแล้ว ที่มุมหนึ่งรำพึงนุ่งผ้าถุงผืนเดียว หน้านิ่งโกรธจนน้ำตาไหล หมอไสย์เดินมาลูบแขนรำพึง
“เสน่ห์ในตัวเจ้ายังมีอยู่เหลือเฟือจริงๆ”
หมอไสย์จะจูบแขน รำพึงผงะออก ตบหมอไสย์เต็มแรง
“ข้าจะคิดว่าทำบุญให้หมามันกิน”
“แต่บังเอิญข้ามันเป็นหมาหิวโซซะด้วยสิ กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม”
หมอไสย์หัวเราะอย่างสะใจ
รำพึงส่งเสียงกรี๊ดดังลั่น
“อีชุ่มเพราะเอ็งคนเดียว เพราะเอ็งคนเดียว”
รำพึงใช้มือเช็ดหน้า ลำคอ แขนอย่างขยะแขยงจากรอยสัมผัสจากหมอไสย์แล้วล้มตัวลงกับพื้น หยุดกรีดเสียงร้อง ใบหน้าโกรธแค้นยกมือขึ้นพนม
“ข้าขอสาบาน ชาตินี้ข้าจะต้องฆ่านังชุ่มด้วยมือของข้าเอง”
มือที่พนมค่อยๆกำแน่น น้ำตาลูกผู้หญิงไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ดูน่าสงสาร
ที่กระท่อมท้ายป่า ชุ่มทายาที่หัวขุนพิทักษ์
“แผลไม่ลึกมาก ไม่กี่วันก็คงหาย”
ขุนพิทักษ์จับมือชุ่มวางที่หัวใจ
“แผลตรงนั้นช่างมันเถอะ แผลตรงนี้หายก็พอแล้ว”
“ไม่ยักรู้ว่าท่านมีแผลที่ใจด้วย”
“เจ้าไม่รู้ได้ยังไง ในเมื่อเจ้าเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น เจ้าไม่ยอมพูดกับข้า ปล่อยให้ข้ากระวนกระวายใจคิดถึงเจ้าอยู่ตั้งนาน”
ขุนพิทักษ์โน้มหน้าพูดกับลูก
“ลูกจ๋า แม่ใจร้ายกับพ่อมากเลย”
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย”
ขุนพิทักษ์ชะงักไปแล้วพูดอย่างจริงใจ
“ชุ่ม ข้าขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ข้าจะไม่โทษว่าเป็นเพราะมนต์เสน่ห์ของรำพึง ข้าจะไม่โทษใครทั้งนั้น ข้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่ข้าสาบาน ต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนดี ข้าจะทำให้เจ้ากับลูกภูมิใจในตัวข้า ให้โอกาสข้านะชุ่ม”
“ข้าให้โอกาสท่าน ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันแล้วเจ้าค่ะ”
ขุนพิทักษ์กับชุ่มกอดกันแน่น
ที่หน้าเรือนขุนไว จวงเดินงุ่นง่านไปมาอย่างร้อนใจ
“คุณรำพึงเจ้าขา...จะครึ่งคืนค่อนคืนเข้าไปแล้ว ทำไมยังไม่กลับอีก ไอ้หมอไสย์พาขึ้นไปทำพิธีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หรือไง”
เสียงคนเดินบันไดดังขึ้น จวงรีบเสนอหน้าวิ่งไป
“กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะคุณรำ...”
ขุนไวเดินขึ้นบันไดมา จวงตกใจ
“ท่านขุนไว”
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้”
จวงรีบแก้ตัว
“เอ่อ...ก็...ก็มารอรับใช้ท่านขุนไวไงเจ้าคะ”
จวงยิ้มเผล่
“น้องรำพึงอยู่ไหน”
จวงคิดหาข้อแก้ตัว
“เอ่อ...อยู่”
ขุนไวรำคาญพลางตะคอก
“ข้าถามว่าน้องรำพึงอยู่ไหน !”
จวงสะดุ้งโหยง
“ไม่อยู่เจ้าค่ะ”
“ไม่อยู่”
“ไม่อยู่...ตรงนี้ แต่อยู่ อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
ขุนไวเดินไปทางห้องทันที
“ให้นังจวงไปนอนรอในหลุมน่าจะง่ายกว่าเยอะเลย...ท่านขุนไวเจ้าขา”
จวงรีบตามไป
ขุนไวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน
“น้องรำพึง...”
ขุนไวไม่เห็นรำพึงอยู่ในห้อง จวงวิ่งตามเข้ามา
“นังจวง ไหนน้องรำพึง”
“เอ่อ...คุณรำพึงไม่ได้อยู่ห้องนี้เจ้าค่ะ แต่อยู่ห้อง....ห้องพระเจ้าค่ะ”
ขุนไวเสียงเข้ม
“นังจวง!”
จวงสะดุ้งโหยง เหงื่อแตก
“เอ่อ...”
ขุนไวดึงดาบออกจากฝัก
“ถ้าเอ็งไม่พูด ข้าจะไม่ให้โอกาสเอ็งได้พูดอีกต่อไป”
จวงเบะหน้าจะร้องไห้
“หึ...หึ...ฮือ คุณรำพึงไป...”
“น้องอยู่นี่ค่ะคุณพี่”
ขุนไวกับจวงหันไปเห็นรำพึงยืนอยู่ที่ประตู จวงโล่งใจ เข่าอ่อนจะเป็นลม
จวงบ่นพึมพำ
“รอดตายแล้วอีจวง”
ขุนไวปราดเข้าไปหารำพึง
บ่วงบาป ตอนที่ 11 (ต่อ)
“น้องรำพึงไปไหนมา”
“น้องลงไปทำข้าวต้มให้คุณพี่ค่ะ เผื่อคุณพี่กลับมาจะหิว น้องให้นังจวงรอรับคุณพี่ แต่น้องได้ยินบ่าวคุยกันว่า คุณพี่กลับมาแล้วก็เลยรีบขึ้นมา ยังไม่ทันได้ต้มข้าวเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ พี่ไม่หิว...”
ขุนไวหันไปเล่นงานจวง
“น้องรำพึงไปเข้าครัว ทำไมเอ็งต้องทำเหมือนมีลับลมคมใน”
“เอ่อคือ...คือ”
รำพึงช่วยจวงทันควัน
“นังจวงมันกลัวโดนคุณพี่ทำโทษที่ยอมปล่อยให้น้องเข้าครัวตอนมืดค่ำ”
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เลยเจ้าค่ะ”
“แต่มันน่าโดนลงหวายซะให้เข็ด น้องรำพึงไม่สบายอยู่ มันยังจะปล่อยให้น้องไปตรากตรำ”
“เอ็งออกไปได้แล้วนังจวง”
“เจ้าค่ะ”
จวงออกไปแล้วปิดประตู ขุนไวกอดรำพึง
“พี่ขอโทษนะที่พี่กลับดึก ท่านเจ้าคุณพิชัยไม่ยอมให้พี่กลับ พี่คิดถึงน้องรำพึงใจแทบขาด”
ขุนไวจะจูบ รำพึงเบี่ยงตัวหลบ
“อย่าค่ะคุณพี่”
“หมู่นี้น้องเป็นอะไรไป ไม่ให้โอกาสพี่ได้ชื่นใจเลยสักคืน”
“คือ...น้องอยากพักผ่อนน่ะค่ะ น้องปวดหัว”
รำพึงเดินเข้าไปในห้อง ขุนไวมองตามพลางถอนหายใจ
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ภายในกระท่อม ชุ่มนอนหลับอยู่บนแคร่ มีเสียงไม้กระทบกันป๊อกๆ
ชุ่มรู้สึกตัวตื่น ข้างตัวว่างเปล่าไม่เห็นขุนพิทักษ์ ชุ่มมองออกไปทางเสียง
เสียงดังป๊อกๆ ยังดังต่อเนื่อง ชุ่มออกมาจากในกระท่อม มองไปทางเสียง ขุนพิทักษ์กำลังผ่าฟืนท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่ดูตั้งใจมาก ข้างๆ มีกองไฟตั้งหม้อข้าว
“ท่านขุน ท่านลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวข้าทำเอง”
“ข้าหายดีแล้ว”
“แต่แผลท่าน...”
“เจ้าดูแลข้ามามากพอแล้ว ต่อไปนี้ให้ข้าได้ทำหน้าที่ดูแลเมียกับลูกของข้าบ้าง”
“แต่...”
ขุนพิทักษ์กอดชุ่ม มองด้วยสายตาวิบวับ
“ถ้าเจ้ายังดื้อ ข้าจะทำโทษเจ้า เจ้าก็รู้จักข้าดี ว่าข้าพูดจริงทำจริง”
ขุนพิทักษ์ยื่นหน้าจะจูบ ชุ่มผละออกจากขุนพิทักษ์ รีบเดินออกไปอย่างอายๆ ขุนพิทักษ์อมยิ้ม มองตาม แล้วฝ่าฟืนต่อ
ผ่านเวลาไปหลายวัน ... เวลากลางวัน ขุนพิทักษ์หน้าเปื้อนถ่านดำเป็นปืด เพราะเป่ากองไฟต้มข้าว ชุ่มมองขุนพิทักษ์แล้วอมยิ้มขำกับหน้าดำๆของขุนพิทักษ์
ขุนพิทักษ์แปลกใจ ลูบหน้าตัวเองถึงรู้ว่า เปื้อนสีดำ
ขุนพิทักษ์เอาสีดำที่มือป้ายหน้าชุ่ม ชุ่มหลบ ทั้งสองหยอกกันไปมาดูมีความสุข
ภายในเรือน เวลากลางคืน ชุ่มกับขุนพิทักษ์นั่งพนมมือสวดมนต์ก่อนนอน ชุ่มท่องก่อน ขุนพิทักษ์ท่องตาม
เวลากลางวันที่หน้าเรือน แจ่มถือตะกร้าใส่ของกินมากมาย ขุนพิทักษ์รีบลุกไปช่วยรับของจากแจ่ม แจ่มมองขุนพิทักษ์อย่างรู้สึกดี
ในเรือนเวลากลางคืน ขุนพิทักษ์กางมุ้งให้ ชุ่มยิ้มปลื้ม ขุนพิทักษ์จับท้องชุ่มแล้วยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
วันใหม่ จวงหิ้วตะกร้าเพิ่งกลับจากตลาด ขณะเดินชมนกชมไม้อย่างอารมณ์ดี หมอไสย์โผล่มาดักหน้า
“ว้าย ! ตาเถร อกอีจวงแหก ท่านหมอไสย์ วันหลังอย่าโผล่มาแบบนี้อีกล่ะ ข้าตกใจ”
“นายเอ็งอยู่ไหน”
“อยู่ที่เรือน ถามทำไม”
“บอกนายของเอ็งด้วย ถึงเวลาจ่ายข้าแล้ว”
“จ่ายค่าอะไร”
“นายเอ็งรู้ดี บอกนายเอ็งด้วย อย่าช้า ไม่งั้นข้าจะให้ขุนไวชดใช้แทน”
หมอไสย์ยิ้มร้าย
ในเวลาต่อมา รำพึงปาของในห้องนอนลงกับพื้น
“ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ข้าเกลียดมัน”
“คุณรำพึงไปติดหนี้อะไรไอ้หมอไสย์เจ้าคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่เจ้าค่ะ แต่จวงว่าคุณรำพึงติดหนี้อะไรหมอไสย์ก็เอาไปจ่ายมันเถอะเจ้าค่ะ สมบัติ เงินทองคุณรำพึงก็มีออกมากมาย ถ้าไม่พอ ที่นาผืนใหญ่ผืนเล็กคุณรำพึงก็มี จ่ายๆ มันซะก็สิ้นเรื่อง”
รำพึงยิ่งโมโห ตบจวงจนล้มคว่ำ
“ถ้าเอ็งไม่หยุดพูด เอ็งได้ตายคามือข้าแน่”
“ที่จวงพูดเพราะจวงเป็นห่วงทูนหัวของบ่าวนะเจ้าคะ จวงไม่อยากเห็นทูนหัวทุกข์ใจเพราะคนอย่างไอ้หมอไสย์”
รำพึงเห็นจวงร้องไห้แววตาก็อ่อนลง อย่างน้อย...จวงก็ยังมีความห่วงใย รำพึงร้องไห้
“ไอ้หมอไสย์มันข่มเหงข้า”
จวงช็อกตาโต
“หา ! คุณรำพึง ไอ้หมอไสย์ ไอ้ชั่ว”
จวงกอดรำพึง
“โธ่...ทูนหัวของบ่าว ทำไมชีวิตถึงได้อาภัพเช่นนี้”
“จวง เอ็งต้องช่วยข้าจัดการมัน”
“จะให้จวงทำอะไรสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ ใครแตะต้องทูนหัวของบ่าว มันต้องตาย”
“ใช่ มันต้องตาย”
รำพึงสีหน้าโกรธแค้น
หมอไสย์ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง รำพึงเปิดประตูเข้ามา หมอไสย์หันไปมองแล้วยิ้ม
“มาเร็วดีนี่”
“แค่ข้ารู้ว่าท่านยังต้องการข้า ใจข้าก็มาถึงที่นี่นานแล้ว”
รำพึงกอดหมอไสย์
“ข้าสารภาพตั้งแต่คืนนั้น ข้าไม่เคยนอนหลับอีกเลย ข้าคิดถึงท่าน”
หมอไสย์ดึงตัวรำพึงออกแล้วจ้องหน้าไม่เชื่อ
“เจ้าคิดจะทำอะไรบอกข้ามาดีกว่า”
“ท่านนั่นแหละทำอะไรข้า ข้าถึงได้หลงท่านถึงเพียงนี้ ข้ายอมรับว่าข้าไม่เคยปรารถนาท่าน แต่ตอนนี้ข้าต้องการท่านยิ่งกว่าชายใด”
หมอไสย์ยิ้มภูมิใจ
“ข้าไม่เชื่อคำพูดเจ้า”
รำพึงกระซิบด้วยน้ำเสียงยั่วยวนข้างหูหมอไสย์
“ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้ท่านเห็นเอง ว่าข้าหลงท่านมากแค่ไหน”
รำพึงมองลึกเข้าไปในดวงตาของหมอไสย์อย่างเชิญชวน ฝ่ายหมอไสย์จ้องตอบพลางกลืนน้ำลายลงคอ
บริเวณทางเดินหน้าเรือนท่านเจ้าคุณพิชัย จวงวิ่งหน้าตื่นเข้ามาเห็นขุนไวกับลูกน้องเดินอยู่ไกลๆ ก็รีบขยี้ผมตัวเองเอาดินมาทาตัวให้เปื้อนๆ ก่อนวิ่งเข้าไปหาขุนไว
“ท่านขุนไวเจ้าคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
ขุนไวตกใจ
ภายในเรือน รำพึงถอดประคำหมอไสย์ออก ฝ่ายหมอไสย์โน้มหน้าจูบรำพึงที่เบี่ยงตัวหลบ
“ไหนว่าจะทำให้ข้าเชื่อ”
รำพึงมองไปที่หิ้ง
“ข้าไม่ชอบที่นี่ ข้ารู้สึกเหมือนมีภูตผีจ้องมองอยู่ตลอดเวลา”
หมอไสย์ตาเยิ้มบอก
“อย่างนั้นเราไปหาความสุขกันที่อื่น”
“ที่น้ำตกดีไหม ข้าจะได้อาบน้ำให้ท่าน”
“เจ้านี่มันร้ายกาจนัก”
หมอไสย์ช้อนตัวรำพึงแล้วอุ้มออกไป
หมอไสย์อุ้มรำพึงมุ่งหน้าเดินไปที่น้ำตก รำพึงโอบรอบคอยิ้มเชิญชวนแต่ตาร้าย จวงวิ่งนำขุนไวเข้ามา
“นั่นเจ้าค่ะ”
“น้องรำพึง”
หมอไสย์ที่อุ้มรำพึงอยู่หันขวับไปมอง จู่ๆ รำพึงก็ส่งเสียงกรี๊ดและดิ้น ดึงทึ้งผมตัวเองให้หลุดลุ่ย
“ช่วยด้วย ปล่อยข้านะ ไอ้คนชั่ว ปล่อย”
หมอไสย์เข้าใจทุกอย่างในทันที
“นังรำพึง!”
หมอไสย์ปล่อยรำพึง ร่างรำพึงหล่นกระแทกพื้น จังหวะนั้น ขุนไวพุ่งเข้าไปฟันหลังและเสียบดาบที่ท้องหมอไสย์เต็มๆ หมอไสย์ล้มลงกระอักเลือด
“น้องรำพึงเป็นอะไรหรือเปล่า”
รำพึงร้องไห้
“ไม่ค่ะ คุณพี่ช่วยน้องด้วย มันจะขู่เอาเงินจากน้อง น้องไม่ให้ มันเลยบอกว่าจะโพนทะนาให้ทั่วว่าคุณพี่ฆ่าครอบครัวขุนพิทักษ์ น้องยอมไม่ได้เข้าทุบตีมัน มันเลยลากน้องมาข่มเหงน้ำใจ”
“ตอแหล !” หมอไสย์โพล่งขึ้น
รำพึงหันไปบอกขุนไวทันที
“น้องจะโกหกให้ได้อะไร”
“ใช่ คุณรำพึงไม่ได้โกหก จวงเป็นพยานได้”
“เพราะเอ็งไม่อยากให้ผัวเอ็งรู้ว่าข้าก็เป็นผะ...”
รำพึงเข้าตบผั๊วะแล้วทุบตีเพื่อเบี่ยงประเด็นทันที
“ไอ้ชั่ว ไอ้เลว”
ขุนไวอึ้งโกรธจัด เข้าไปจับดึงรำพึงออกมา
“ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ น้องคงไม่พ้นโดนนินทาว่าเป็นผู้หญิงสามผัว”
หมอไสย์อ่อนแรงบอก
“นังแพศยา…”
“ไอ้สารเลว !”
ขุนไวแทงดาบเข้ากลางตัวหมอไสย์อีกครั้ง หมอไสย์ตาเหลือก รำพึงยิ้มอย่างสะใจ แต่จวงปิดตา ทนดูไม่ได้
หมอไสย์ตาปรือนอนจมกองเลือด จ้องรำพึงเขม็ง
“อีรำพึง ข้าขอจองเวรกับเอ็งทุกชาติไป”
หมอไสย์หมดสติ รำพึงอยู่ในอ้อมกอดของขุนไว
“น้องกลัวเหลือเกินค่ะคุณพี่”
“พี่จะเอาศพไอ้คนชั่วมันไปทิ้งลงเหว”
“ไม่ต้องค่ะ ทิ้งไว้อย่างนี้ ปล่อยให้แร้งกามาจิกกินให้มันไม่เหลือซาก!”
ขุนไวชะงักกึกไปเหมือนกัน แต่ยอมทำตามรำพึง ร่างหมอไสย์นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
ภายในห้อง เวลากลางคืน ขุนไวกับรำพึงนั่งลงบนเตียง รำพึงทำเป็นร้องไห้กระซิกๆ
“ยังไม่หายตกใจอีกหรือ”
“หายแล้วค่ะคุณพี่”
“แล้วน้องร้องไห้ทำไม”
“ไอ้หมอไสย์แตะต้องเนื้อตัวน้อง น้องกลัวคุณพี่รังเกียจน้อง”
รำพึงร้องไห้โฮ
“พี่ไม่รังเกียจน้อง ไม่มีวันที่พี่จะรังเกียจน้อง!”
รำพึงยิ้ม
ร่างหมอไสย์นอนจมกองเลือดอยู่กลางป่า จู่ๆ นิ้วก็กระดิก
วันใหม่ เวลากลางวัน ขุนพิทักษ์กับชุ่มนั่งกอดกันอยู่ที่ริมบึงน้ำ
“ท่านขุน เมื่อไหร่ท่านจะกลับไปที่เรือน”
“เอ็งผลักไสไล่ส่งข้ารึ”
“เปล่าสักนิด”
“แสดงว่าเจ้าต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่”
ชุ่มยิ้ม
“ก็สุดแล้วแต่ท่านขุนจะคิด”
ขุนพิทักษ์หมั่นเขี้ยว
“เอ็งนี่มันดื้อ ปากแข็งไม่เปลี่ยนเลยนะชุ่ม แค่เอ่ยปากอ้อนวอนให้ข้าอยู่กับเอ็งสักคำ มันยากนักหรือไง”
“ท่านขุนรู้ดีว่าข้าคิดอะไร ทำไมต้องให้ข้าพูด”
ทั้งคู่ต่างคนต่างยิ้มให้กัน
“ถ้าข้าไม่ได้เป็นขุนพิทักษ์ แต่เป็นแค่ไอ้พิทักษ์ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เอ็งจะรักข้ามั้ย”
“ข้ารักท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นอะไร”
“งั้นต่อไปนี้จะไม่มีขุนพิทักษ์ ไม่มีสมบัติ ไม่มีเรือนใหญ่โตให้อยู่ เราจะมีแค่กระท่อมหลังนี้ กระท่อมเล็กๆ ที่เจ้ากับข้าจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าดูลูกของเราเติบโตไปพร้อมกัน ตกลงไหมชุ่ม”
ชุ่มพยักหน้าน้ำตารื้นซึ้งใจ ขุนพิทักษ์จูบหน้าผากชุ่มอย่างแผ่วเบาด้วยความรักและทะนุถนอม
ทั้งสองกอดกันริมบึงน้ำสวยงามเช่นเดียวกับความรักของทั้งคู่
สองเดือนผ่านไป ที่กระท่อมท้ายป่า ขุนพิทักษ์นั่งสานปลาตะเพียนด้วยใบมะพร้าว ข้างตัวมีทลายมะพร้าวที่ยังไม่ได้เอาแกนกลางออก มีมีดเล่มเล็กและปลาตะเพียนสานแล้วหลายสิบตัววางอยู่
ชุ่มเดินท้องโย้ออกมาจากในกระท่อม มองผัวด้วยสายตารักและเอ็นดู แล้วกำลังจะเดินลงบันได
ขุนพิทักษ์เห็นชุ่มแล้วรีบวิ่งเข้าไปประคองลงจากกระท่อม
“ทำไมไม่เรียกข้า เกิดหกล้มขึ้นมาจะทำยังไง”
“ข้าเดินเองไหว”
“ไหวก็ไม่ให้เดิน ข้าห่วงลูกกับเมียข้า”
ขุนพิทักษ์หอมแก้มชุ่มฟอดใหญ่
“ท่านขุน !”
“เป็นไงข้าสานปลาตะเพียนสวยมั้ย”
“ใครสอนท่าน”
“แจ่มสอนข้า ตอนแรกแจ่มจะทำให้ แต่ข้าไม่ยอมหรอก เรื่องอะไร ลูกข้าข้าก็ต้องทำของเล่นให้เองสิ”
ขุนพิทักษ์นำก้านมะพร้าวกับมีดเล็กมาจะกรีดเอาแกนกลางออก แต่สะดุ้ง ถูกมีดบาดที่นิ้ว เลือดไหล ชุ่มอึ้ง กลัวเป็นลางร้าย
“ท่านขุน ข้าใจไม่ดี”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าสะเพร่าเอง”
ชุ่มพยักหน้า แต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
ในเวลาเดียวกัน รำพึงปัดชามข้าวทิ้ง อาละวาดจนจวงสะดุ้ง
“เอาไปให้พ้น ข้าไม่อยากกิน”
“นั่นก็ไม่กิน นี่ก็ไม่กิน คุณรำพึงเป็นอะไรไปเจ้าคะ หรือว่าคิดถึงท่านขุนไว ท่านขุนไวไปราชการแค่เดือนเดียวเหลืออีกแค่ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว อดทนอีกนิดเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้คิดถึงคุณพี่ แต่ข้าไม่อยากกินกับข้าวเอ็ง รสชาติจืดชืด!”
“จืด น้ำพริกกะปิ แกงบอน นี่หรือเจ้าคะจืด งั้นคุณรำพึงว่าอะไรที่จัดจ้าน บอกอีจวงมาเลย อีจวงจะหามาให้เจ้าค่ะ”
รำพึงคิดก่อนตอบ
“ตะลิงปลิง ข้าอยากกินตะลิงปลิงจิ้มกะปิ”
“ที่เรือนท่านขุนไวไม่มีต้นตะลิงปลิง เวลานี้ตลาดก็วายหมดแล้ว รอพรุ่งนี้เช้าได้ไหมเจ้าคะ”
“ไม่ได้ ! ข้าจะกิน เอ็งต้องไปหามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
จวงเซ็ง
ที่ท่าน้ำเรือนคุณหญิงมณี จวงเดินถือตะกร้าเข้ามา
“โชคดีหรือโชคร้ายวะที่เรือนนังคุณหญิงมณีดันมีต้นตะลิงปลิง คุณรำพึงนะคุณรำพึง ไม่เป็นห่วงว่าผีนังคุณหญิง กับผีไอ้สมจะมาหักคอจวงบ้างเล๊ย”
จวงมองไปที่ท่าเรือ เห็นแจ่มถือข้าวของมากมายไปที่ท่าน้ำ จวงกระโดดหลบทันที
“นังแจ่มมันเอาของเยอะแยะไปไหนของมัน”
จวงแจ้นจะตามไป แต่แจ่มลงเรือไปก่อน เรือพายออกไปจากท่า ใบหน้าแจ่มดูของยิ้มระรื่น
“หน้าระรื่นแบบนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ สงสัยต้องไปสืบความจากพวกปากสว่างในตลาดซะหน่อยแล้ว”
จวงหน้าตาสงสัยเข้าขั้นสาระแน
ภายในห้องนอนของรำพึง จวงวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามา รำพึงรีบถาม
“ไหน ตะลิงปลิง”
“ไม่ได้ตะลิงปลิง แต่ได้ตะลึงแทนเจ้าค่ะ”
“อะไรของเอ็ง”
สีหน้าจวงอยากเล่ามาก
ทันทีที่รำพึงฟังจวงเล่าจบ
“นังแจ่มขนของไปฝากใครบางคนงั้นรึ”
“เจ้าค่ะ พวกแม่ค้าในตลาดบอกว่านานๆ ทีนังแจ่มจะมาตลาด มาทีก็ซื้อของสดของแห้งไปเยอะแยะ อ่อ ! แล้วมีคนเคยเห็นนังแจ่มเดินลับๆ ล่อๆ หายไปทางป่าหลังวัดด้วยเจ้าค่ะ เป็นยังไงเจ้าคะ ตะลึงเลยใช่ไหมเจ้าคะ”
รำพึงสีหน้าครุ่นคิด
“มันไปหาใคร”
“สัปเหร่อ ! มันต้องแอบไปกินกับสัปเหร่อแน่ๆ เจ้าค่ะ ต๊าย...ร้ายนักนะ เป็นใบ้แล้วยังไม่เจียม”
“ถ้ามันได้สัปเหร่อเป็นผัว มันพากันไปอยู่ที่เรือนร้างของคุณหญิงมณีไม่ดีกว่าหรือไง นังโง่”
“เออ..จริงด้วย งั้นเราไปเค้นเอาความจริงจากนังแจ่มมันเลยดีไหมเจ้าคะ”
รำพึงชักรำคาญ
“นังจวง คิดว่ามันจะตอบเอ็งเรอะ”
“เออ น่านสิ! แหม..อยากรู้จริงๆว่านังแจ่มมันไปหาใคร”
รำพึงสงสัยไม่แพ้จวง
วันใหม่ แจ่มเดินหิ้วตะกร้าใส่ของมาตามทาง ใครบางคนเดินตามหลังแจ่ม แจ่มรู้สึกได้ หันขวับไปมองแต่ไม่เห็นใคร แจ่มคิดว่าตัวเองคิดไปเอง จึงหันเดินกลับไป
แจ่มหิ้วตะกร้ามาที่กระท่อม ชุ่มท้องโย้ออกมาจากในกระท่อม รีบไปรับแจ่ม
“น้าแจ่ม ข้าช่วยจ้ะ”
แจ่มโบกมือห้าม ที่มุมหนึ่ง รำพึงกับจวงแอบมองอยู่หลังต้นไม้ รำพึงกับจวงอึ้ง จวงเขย่าแขนรำพึง
“นะ...นั่นมัน...นังชุ่ม! คุณรำพึงเจ้าขา นังชุ่มเจ้าค่ะ”
รำพึงสะบัดมือหันไปเอ็ดจวง
“ข้าเห็นแล้ว”
จวงยังมองไปที่กระท่อม ตาโตเป็นสองเท่า
“ผะ...ผะ...ผีหลอก !”
รำพึงหันไปมองตามจวง เห็นขุนพิทักษ์กำลังประคองชุ่มลงบันไดอย่างทะนุถนอม ตามแจ่มไปบนแคร่ รำพึงอึ้งตะลึงงัน
“คุณพี่...”
จวงกระโดดไปยืนหลบหลังรำพึง หลับตาปี๋
“ท่านขุนเฮี้ยนนัก ออกมาหลอกกลางวันแสกๆ พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย”
รำพึงผลักจวง
“หยุดสักทีนังจวง คุณพี่ไม่ใช่ผี คุณพี่ยังไม่ตาย”
“แต่ท่านขุนไวฆ่าท่านขุนพิทักษ์ไปแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“มันต้องมีอะไรผิดพลาด”
รำพึงเห็นขุนพิทักษ์หยอกเล่นกับชุ่มดูมีความสุข รำพึงกำมือแน่นอย่างเจ็บปวดใจ
“ปล่อยให้ข้าทุกข์ทรมานใจ แต่พวกมันแอบมามีความสุขกันอยู่ที่นี่ ข้าจะทำให้พวกมันทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
รำพึงตาวาว ขุนพิทักษ์กอดหยอกล้อกับชุ่ม
ในเวลากลางคืน รำพึงยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ขุนไวเปิดประตูเข้ามาเดินไปสวมกอดรำพึง
“จวงบอกว่าน้องมีเรื่องจะคุยกับพี่ เรื่องอะไรจ๊ะ”
รำพึงดึงมือขุนไวออกจากตัว
“คุณพี่โกหกน้อง”
“โกหก”
“คุณพี่โกหกว่าฆ่าขุนพิทักษ์ ขุนพิทักษ์ตกเหวตายไปแล้ว ทั้งๆ ที่ขุนพิทักษ์ยังมีชีวิตอยู่”
ขุนไวงงแล้วบอก
“ไม่จริง”
“จริง! วันนี้น้องไปเห็นมากับตา ขุนพิทักษ์อยู่ที่กระท่อมท้ายป่ากับนังชุ่ม”
“เป็นไปได้ยังไง ไอ้พวกลูกน้องมันพี่บอกว่าไอ้พิทักษ์ตายแล้ว”
“ลูกน้องบอก แสดงว่าตอนนั้นคุณพี่ไม่ได้เห็นกับตาหรือคะ”
ขุนไวอึ้ง พูดไม่ออก
ลูกน้องขุนไวโดนซ้อมจนล้มลงมากองกับพื้น ขุนไวโกรธจัด รำพึงกับจวงอยู่ด้วย
“พวกเอ็งกล้าดียังไงถึงโกหกข้า”
“กระผมกลัวว่าถ้าท่านขุนรู้ว่าเราปล่อยให้ขุนพิทักษ์หนีไปได้ หัวจะหลุดออกจากบ่าขอรับ”
“แล้วคิดเหรอว่าโกหกข้า หัวพวกเอ็งจะไม่หลุด”
ขุนไวพุ่งไปคว้าดาบ ลูกน้องตะโกนลั่น
“ไว้ชีวิตพวกข้าด้วย”
ลูกน้องก้มกราบขุนไว รำพึงเข้าดึงมือขุนไว
“คุณพี่คะ”
“เอาตัวไอ้สองคนนี้ไปโบยร้อยหวาย”
ทาสคนอื่นมาลากตัวลูกน้องออกไป
รำพึงทำเป็นตัดพ้อ
“คนที่ผิดคือคุณพี่ต่างหากที่หลงเชื่อพวกมัน ปล่อยให้ขุนพิทักษ์รอดไปมีความสุขอยู่กับเมียทาส”
“คราวนี้พี่จะไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตรอดไปอีกแล้ว!”
รำพึงยิ้มเหี้ยม
หลวงตามั่นนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ภาพในนิมิต ขุนพิทักษ์เลือดโชกปริ่มจะขาดใจ ชุ่มอุ้มลูกวิ่งหนี
รำพึงสีหน้าดุดันตอนที่เผชิญหน้ากับชุ่ม เด็กร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน
ฟ้าผ่าเปรี้ยง ! หลวงตามั่นลืมตา สีหน้าบ่งบอกความหนักใจ ล่วงรู้ว่าเหล่านี้คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในเวลากลางคืน ขุนไวกับรำพึงเดินมุ่งหน้าเข้ามาในป่า ขุนไวถือดาบ ทั้งสองสีหน้าเหี้ยม ขุนพิทักษ์นอนหลับอยู่กับชุ่มที่ท้องโย้ ชุ่มเจ็บจี๊ดที่ท้อง
“โอ๊ย !”
ขุนพิทักษ์รีบตื่นมาดูชุ่ม
“ลูกดิ้นเหรอ”
“เจ้าค่ะ ครั้งนี้ดิ้นแรงมากเลย”
ขาดคำ เสียงหลวงตาดังขึ้น
“โยมชุ่ม โยมชุ่ม”
ชุ่มกับขุนพิทักษ์แปลกใจ
ในเวลากลางคืน ที่กลางป่า ขุนไวถือดาบนำขบวน ลูกน้องถือคบไฟในมือเป็นแผง
“ครั้งนี้ห้ามปล่อยให้ไอ้พิทักษ์รอดไปได้ ใครพลาด ข้าเอาตาย!”
รำพึงกัดฟันแน่น
“นังชุ่ม เอ็งจะไม่มีวันได้เสวยสุขกับคุณพี่พิทักษ์ ข้าขอสาบาน”
รำพึงเดินตรงไปข้างหน้า ไม่มีทางที่เธอจะถอยได้อีกแล้ว ฝ่ายขุนพิทักษ์และชุ่ม รีบเก็บข้าวของที่จำเป็น ขุนพิทักษ์หยิบกริชขึ้นมากำไว้แน่น
“รำพึง ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมหยุดสักที”
ชุ่มเก็บผ้าเสร็จมาจับไหล่ขุนพิทักษ์ ทั้งสองคนกอดกัน ประตูเปิดออก ทั้งคู่หันขวับมองไปที่ประตู !
จบตอนที่ 11