xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14

อสุนีกัดฟันเมื่อหมองัดกระสุนออกมาจากแผลแบบสดๆ คีบมาวางใส่ในถาดรอง พระเทวีสิริวารตีและแม่นม ทหารอื่นๆ มองลุ้นห่างๆ มิถิลาจับมือพี่แน่นข้างนึง

“พี่มีความอดทนเป็นยอด เราสองคนต้องอดทนไว้นะพี่ ไม่ว่าเราจะเจ็บปวดทั้งใจและกายไปอีกสักเพียงไหนก็ตาม”
“พระเทวี จะกริ้วหม่อมฉันเพียงใด หม่อมฉันก็อยากจะขอทูลว่ากระสุนนัดนี้ ข้าเป็นผู้รับมา จากการเข้าขวางเมื่อไอ้จตุรัสมันยิงองค์ชาย”
“เอาล่ะ อสุนี มิถิลา ข้าขอโทษ ข้า...ว้าวุ่นใจจนคุมสติไม่ได้ น่านปิงนรเทพ ป้าคิดว่า...” พระเทวีสิริวารตีหันมา แล้วชะงัก ตรงที่ชุมนุมกันอยู่นั้น เห็นบราลี สุริยะ กับพวกทหารเครียดๆ
“พ่อคะ ปล่อยหนูเถอะ ให้หนูไปเถอะ” บราลีกระซิบดุสุริยะ สุริยะจับแขนบราลีไว้แน่น
“อย่าเอะอะได้ไหม บรี เอ่อ...ม่านฟ้า ทำตัวให้สงบๆ หน่อย”
พระเทวีสิริวารตีมองหา แต่จ้าวซันและภูสินทรไม่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่ามุมไหน
“พ่อคะ พ่อไม่ห่วงพระองค์เลยเหรอ” บราลีถามสุริยะ
“จุ๊ๆๆ”
“เอ๊ะ องค์ชายน่านปิง หายไปไหน”
อสุนี มิถิลาหันมา มองหาบ้าง ไม่มีจ้าวซัน ไม่มีภูสินทรแล้ว
“หรือว่า..องค์ชาย”
พระเทวีสิริวารตีหัวไว รีบบีบแขนแม่นม
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป”
อสุนี มิถิลาร้อนใจ อยากไปด้วย มิถิลาหันมาสบตาบราลี

จ้าวซันย่องๆ เดินมาหลังท้องพระโรง บริเวณสวนแล้วเดินมาก้มมองดูเห็นตะแกรงที่เป็นโลหะเหล็กดัด ปิดช่องว่างทางระบายอากาศที่ส่วนที่เป็นใต้ถุนของท้องพระโรงช่วงที่ติดกับพื้นซีเมนต์ จ้าวซันก้มตัวลงใช้กำปั้นทุบตะแกรงโลหะเหล็กดัดนั้นเต็มแรง ตะแกรงโลหะนั้นขยับเล็กน้อย
จ้าวซันนั่งลง แล้วงอเข่า ถีบแรงๆ ตะแกรงนั้นหลุดผลั่วเข้าไปข้างใน จ้าวซันมุดตัวเข้าไป ตามทางระบายอากาศ หันกลับมาเอาตะแกรงแปะไว้ แล้วเร่งรีบไป
ในทางระบายอากาศ จ้าวซันมุดๆๆ คลานเข้าไป ในนั้นมีทางแยก จ้าวซันลังเลว่าควรไปทางไหน คำนวณทิศทาง นอนหงาย มองผ่านช่องระหว่างแผ่นกระดานยกพื้นขึ้นไปด้านบน ตามช่องร่องระหว่างแผ่นกระดานบางช่วง เห็นเพดานของหลังคาวัง ก่อนจะมั่นใจว่าต้องตรงไปอีกทางอย่างแน่นอน จ้าวซันรีบคว่ำลง คลานเลี้ยวไป

ที่ท้องพระโรง มาทยาธรเซ็นเอกสารมอบตำแน่งให้ศิขรนโรดมเสร็จ วางปากกา ราชิดกระชากเอกสารนั้นมามองอย่างพึงพอใจสุดขีด ทั้งราชิด จัตุรัส โกศินหัวเราะกันเสียงดัง ระหว่างนั้นมาทยาธรมองหาทางหนีทีไล่
“ทีนี้พวกเจ้าก็ปล่อยตัวศิขรได้แล้ว”
แต่ราชิดกลับยิ้มแสยะ
“ยังก่อน ท่านยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้พวกข้าด้วย”
“อะไรอีก”
ทหารถือถาดที่มีจอกยาพิษวางอยู่เข้ามา
“ท่านรู้สึกคุ้นเคยบ้างมั้ย”
“นี่มัน...”
“ใช่แล้ว สิ่งเดียวกับที่เจ้าหลวงพระองค์ก่อนเสวย ก่อนจะสิ้นพระชนม์”
ศิขรนโรดมฉุกคิดได้
“ยาพิษ...นี่ ท่านจะบังคับให้เสด็จพ่อดื่มยาพิษเหรอ ไอ้พวกชั่ว เสด็จพ่อ อย่าเด็ดขาดนะพะย่ะค่ะ”
จัตุรัสเอามีดมาจ่อที่ศิขรนโรดม
“อยู่เฉยๆ กว่าองค์ชาย”
“พวกแกไม่กล้าทำอะไรชั้นหรอก เสด็จพ่อ อย่าดื่มยาพิษเด็ดขาด ลูกยอมตาย”
“อยากตายแน่ใช่มั้ยองค์ชาย”
จัตุรัสขยับมีดจี้ท้องศิขรจนปลายมีดฝังลงไป
“อย่า”
จัตุรัสชะงักไว้ ราชิดยกจอกน้ำยาพิษเข้ามายื่นให้มาทยาธรตรงหน้า
“ดื่มซะ คีรีรัฐไม่ต้องการพระองค์อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องทรงสละราชสมบัติที่ไม่ใช่ของพระองค์แต่แรกแล้ว”
“สูงสุดคืนสู่สามัญ จบเพื่อเริ่มต้นใหม่ ทุกอย่างคือกงกำกงเกวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้จักจบจักสิ้น”
“ไม่ต้องพล่ามเพ้อเจ้อ ดื่มซะ แล้วไปนอน”
มาทยาธรลังเล แต่แล้วก็ค่อยๆ เอื้อมมือมารับถ้วย
“เสด็จพ่อ อย่า”
ศิขรนโรดมโวยวาย แต่โกศินกับจัตุรัสจับตัวเอาไว้
“ศิขร ถึงเวลาที่พ่อจะต้องชดใช้กรรมของพ่อแล้ว พ่ออยากให้เจ้าจำเอาไว้ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน การปล้นฆ่าต่อสู้ด้วยยุทโธปกรณ์ร้ายแรงแค่ไหน สุดท้ายสิ่งที่เราได้มาครอบครอง มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป อย่าหลงระเริงกับอำนาจ อย่าหลุ่มหลงในสิ่งจอมปลอม เพราะมันจะเป็นตัวกลับมาทำร้ายเจ้าเอง”
มาทยาธรถือจอกยาพิษยกมาจ่อใกล้ที่ปาก แต่ยังไม่ดื่ม ละล้าละลัง
“ดื่มซะทีสิวะ...ดื่ม”
ราชิดเหลืออด เดินเข้าไปใช้มือดันก้นถ้วยให้เข้าปากมาทยาธร แต่มาทยาธรกลับตวัดกลับ สาดยาพิษใส่หน้าราชิดเต็มๆ ทั้งหมด ยาพิษเข้าเต็มหน้าเต็มตาราชิด
“อ๊าก”

จังหวะนั้นมาทยาธรกระชากปืนของราชิดที่เหน็บเอวไว้ออกมาแล้วจ่อยิงทันที...ปัง ราชิดร่วง ล้มไป ดิ้นทุรนทุราย
จังหวะนั้นศิขรนโรดมถีบพวกทหารที่ตกใจช็อก ออก รีบเข้าไปดูแลมาทยาธร
“เจ้าพ่อ”
“เจ้าเล่ห์มากนะไอ้เฒ่า อย่าอยู่เลย”
จัตุรัสเล็งปืนมาที่ศิขรนโรดม กำลังจะยิง แต่แล้วอยู่ๆ จ้าวซันโดดโผล่ขึ้นมาจากช่องใต้บัลลังก์ ตรงหน้าจัตุรัสพอดี จ้าวซันปัดปืนของจัตุรัสขึ้นฟ้า แล้วเอามีดที่พกมาเสียบท้อง...ฉึก
จัตุรัสตาเหลือก ทรุดไปกองข้างราชิด
“พวกแก...”
โกศิณต้องชะงักเพราะภูสินทรถีบประตู แล้วนำทหารลูกน้องตนและสุริยะเข้ามา วิ่งยิงทหารพวกราชิดล้มลงไม่ทันตั้งตัว อสุนี มิถิลา บราลี สุริยะ พระเทวีสิริวารตี แม่นมและทหารอื่นๆ ต่างพากันตามเข้ามา โกศินผงะ กลัว แล้วตัดสินใจจะวิ่งหนีไป อสุนีที่ยังมีแผลที่ผูกมัดไว้ รีบตามไป
“ยอมมอบตัวซะดีๆ”
โกศินบู๊กับอสุนีไปด้วย คุยไปด้วย
“เห็นแก่พ่อเจ้า หลีกทางให้ข้า”
“ข้าไม่หลีก”
มิถิลาเข้ามาช่วยอสุนี
“พวกข้าไม่ใช่กบฏ พวกข้าไม่เหมือนพ่อ และท่านต้องรับโทษ”
แต่มิถิลาเสียท่า ถูกเตะกระเด็นไป อสุนีก็พลาดท่าถูกชกจนคว่ำไป โกศินกำลังจะหนีไปได้ แต่ภูสินทรขยับ ควักปืนขึ้นมา
“ภูสินทร อย่า”
จ้าวซันร้องห้ามแต่ไม่ทัน ภูสินทรยิง...ปัง! กระสุนเข้ากลางหลังของโกศิน ล้มคว่ำไป ตายทันที
“เสด็จพี่”
พระเทวีสิริวาระตี แม่นม รีบไปดูแลมาทยาธร ขณะที่มิถิลากับอสุนีต่างช็อกที่เห็นราชิดนอนสิ้นใจ
“ท่านพ่อ”
อสุนีกับมิถิลาเข้าไปมอง ไม่อยากเชื่อสายตา
จ้าวซันตกใจที่เห็นโกศินตาย รีบเข้าไปดูอาการจัตุรัสที่ยังคงมีแผลที่ถูกแทงเลือดไหล
“นายพลจัตุรัส ไปตามหมอหลวงมา”
“หึๆๆ ฮ่าๆๆ”
จัตุรัสกัดลิ้นทำให้ตัวเองตายต่อหน้าต่อตาจ้าวซัน
“โธ่”
ราชิด โกศิน จัตุรัสตายหมด
“ผู้นำฝ่ายกบฏเสียชีวิตหมดแล้ว พวกเจ้าที่อยู่ตรงนี้ ยังยืนยันจะแปรพักตร์ใช่หรือไม่”
ภูสินทรถาม พวกทหารฝ่ายกบฏ เมื่อเห็นแม่ทัพตายหมดแล้ว ต่างก็กลัวความผิด ลนลาน รีบคุกเข่า ทิ้งอาวุธลง กราบขออภัยตามๆ กันไปเป็นทอดๆ อสุนีที่ยังคงกอดปลอบมิถิลาอยู่ หันมามองจ้าวซันด้วยความสับสน

มาทยาธรกำลังนอนให้หมอหลวงตรวจเช็คอาการ
“ทั้งหมดเป็นเพราะความปรีชาสามารถของเจ้าพี่ ที่มองการณ์ไกลและอ่านเหตุการณ์ออก เราถึงได้สามารถกำราบพวกกบฏในครั้งนี้ได้”
“น่านปิง ป้าต้องขอบใจหลานมาก ที่ช่วยปกป้องราชบัลลังก์ไว้โดยไม่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต”
“น่านปิง ลุง...ลุงขอโทษ”
“เจ้าลุง”
“ถ้าตอนนั้น ลุงไม่หลงเชื่อคำยุแยงของเจ้าราชิด ไม่ละโมบหิวโหยอำนาจ จนก่อการกบฏปล้นราชบัลลังก์จากอนุชาของตนเอง ครอบครัวหลานก็คงมีความสุข ไม่ต้องระหกระเหเร่ร่อน ไปเติบใหญ่ในดินแดนต่างบ้านต่างเมือง เจ้าด้วยม่านฟ้า ข้าขอโทษทุกสิ่งที่กระทำกับครอบครัวของเจ้าเช่นกัน ถึงลุงจะไม่รู้ว่าหลานต้องต่อสู้กับอะไรบ้าง แต่ลุงก็รู้ว่ามันต้องไม่ง่ายแน่ๆ บาปกรรมที่ลุงได้ก่อเอาไว้ ลุงขออโหสิกรรมให้ด้วย”
“หม่อมฉันไม่เคยนึกอาฆาตใดๆ ต่อพระองค์เลย”
“หม่อมฉันก็เช่นกันเพคะ สิ่งใดผ่านไปแล้ว ล้วนย้อนกลับคืนมาไม่ได้เพคะ”
“น่านปิง ลุงยินดีจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของหลานคืน ลุงจะสละตำแหน่งคืนให้หลาน หลานคือเจ้าหลวงตัวจริงของคีรีรัฐ”
“หลานไม่คิดว่าหลานคู่ควรกับบัลลังก์นี้อีกต่อไปแล้ว”
“เจ้าพี่ เจ้าพี่นี่แหละเหมาะสมกับจะเป็นเจ้าหลวงองค์ต่อไป”
“ไม่ใช่พี่ แต่เป็นเจ้าน้องต่างหาก”
“หา”
“ถ้าเจ้าน้องเป็นเจ้าหลวง บ้านเมืองจะต้องสงบสุข เพราะน้องจะเห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นก่อนตัวเองเสมอ พี่เชื่อว่าน้องทำได้”
“เจ้าพี่”
“พี่ฝากคีรีรัฐด้วย”
“น่านปิงนรเทพ ถ้าเจ้าพ่อเจ้าแม่ของหลานยังอยู่ จะต้องภาคภูมิใจในตัวหลานอย่างมาก”
ศิขรนโรดมอึ้ง มาทยาธรเจ็บปวดจากการสำนึกบาป แม่นมมองจ้าวซัน น้ำตาไหลไม่หยุด

ที่บ้านราชิด มิถิลากับอสุนีคุกเข่าลงตรงหน้ารูปราชิด ที่มีธูปปัก ควันโชย
“ท่านพ่อ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”
“มิถิลา จำคำที่พ่อเคยสอนได้มั้ย สิ่งใดที่เราตัดสินใจเลือกทำแล้ว สิ่งนั้นดีที่สุด จงยอมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี เจ้าอย่าเสียใจเลย พ่อไปสงบแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนในวังวนกิเลสอีกแล้ว” มิถิลาร้องไห้ โผกอดอสุนีที่ฝืนเข้มแข็งเอาไว้ “เราควรช่วยกัน ส่งพ่อให้ไปสู่สุขคติครั้งสุดท้าย”
มิถิลาปาดน้ำตาเข้มแข็ง
“แล้วต่อจากนั้น เราสองคนจะอยู่ในฐานะใดอีกพี่”
“ในฐานะ ผู้จงรักภักดีต่อองค์ศิขรนโรดม แต่ผู้เดียวเท่านั้น”
อสุนีบอก ตากร้าว

ฉินเจียงนอนแผ่อยู่ที่โซฟาในมือมีรีโมททีวีกดเปลี่ยนช่องไปมา ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย ท่าทางหงุดหงิดเบื่อหน่าย ลุกยืนอยากจะออกไปนอกบ้าน แต่ซูหลิงถือถาดใส่เครื่องดื่มเย็นและผลไม้เข้ามา
“จะไปไหนคะ”
“เปล่า ผมเบื่อ ตอนอยู่ในคุกก็นั่งๆ นอนๆ เพียงพอแล้ว นี่อยู่นอกคุกผมก็อยากทำอะไรบ้าง ผมว่าจะไปบริษัท”
“ไปทำไมคะ เวลานี้คุณชายจ้าวซันไม่อยู่ไปธุระต่างประเทศ ทิ้งบริษัทให้คุณเหม่ยอิงดูแล แล้วก็ได้ข่าวว่า...”
“ว่าอะไร ยัยเหม่ยอิงบ้าอำนาจสินะ”
“ค่ะ เขาไล่คนเก่าคนแก่ออกไปหลายคนแล้ว จนตอนนี้ไม่มีใครอยากจะอยู่ทำงานที่นั่นอีก”
“นังนี่ มันชั่วจริงๆ”
“ถ้าคุณอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก เดี๋ยวซูหลิงไปด้วยนะคะ แต่ขอเวลาเปลี่ยนชุดห้านาทีนะคะ”
ฉินเจียงพยักหน้า ซูหลิงแยกไปเปลี่ยนชุด
“ยัยเหม่ยอิง คิดจะครองจ้าวฉินเย่ว์เหรอ ไอ้น้องทรพี” ระหว่างนั้นฉินเจียงคิดอะไรได้ คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรศัพท์ออก รอจนมีคนรับสาย “ฮัลโหล แกอยู่ที่ไหน ออกมาเจอชั้นเดี๋ยวนี้”
เกาเฟยรับโทรศัพท์อยู่ที่ห้องทำงาน
“คุณฉินเจียง นี่คุณออกมาจากคุกแล้วเหรอครับ”
เกาเฟยตกใจที่ฉินเจียงออกมาแล้ว

ฉินเจียงยืนรอเกาเฟยอยู่ สักพักรถหรูของเหม่ยอิงแล่นมา ฉินเจียงผงะ มองอย่างตะลึง รอ รถจอดประตูเปิด เหม่ยอิงก้าวลงมา
“ไฮ พี่รอง ดูซูบผอมไปเยอะนะคะ น่าสงสารจัง”
“แก...แกมาได้ยังไง”
“ก็อยากจะพบพี่ คุยกะพี่ซักหน่อย เชิญให้ไปที่บริษัท พี่ก็ไม่ไป”
“นี่ ชั้นนัดพบกับ...”
“เกาเฟย คนรู้ใจ” ฉินเจียงตะลึง “ขอโทษนะคะ ตอนนี้เค้าไม่ใช่คนของพี่อีกต่อไปละ ถ้าจะพูดกันแบบตรงๆ ไปตรงมา เกาเฟยไม่เคยเป็นคนของพี่มาตั้งนานแล้ว”
“อะไรนะ”
“ตลอดเวลาที่พี่ถูกตำรวจตาม จนในที่สุดพี่ก็กลายเป็นอาชญากรตัวฉกาจของฮ่องกง พี่คิดว่ามันเป็นเพราะอะไรล่ะคะ”
“แกเพ้อเจ้ออะไร”
“เหมือนกันหมด ผู้ชายตระกูลจ้าว ในที่สุดก็ต้องประสบหายนะ เพราะมองข้ามศักยภาพของเพศหญิง”
ฉินเจียงมึนงง ทันใดมีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังมา ทั้งสองหันไป เกาเฟยขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด แล้วถอดหมวกกันน็อคออก
“อ้าว ผมอุตส่าห์รีบแทบตาย คุณหนูใหญ่กลับมาถึงก่อนผมอีก ว้า...”
ฉินเจียงมองทั้งสอง งงงัน
“เกาเฟย”
“ผมไม่ได้อยากจะบอกใคร ว่าเรานัดกัน แต่พอดีคุณหนูใหญ่มีบางเรื่องที่อยากจะบอกไท้เผ่ง อู๊ปส์...ไม่ใช่ละ เพราะเวลานี้ ประมุขของตระกูลจ้าว ไม่ใช่คุณชายรองอีกต่อไปแล้ว”
ฉินเจียงหน้าซีด เข้าใจทุกอย่าง ช็อก นิ่งไปพักนึง
“เกาเฟย แก...”
“น้องไม่ทราบนี่นา ว่าจะไปพบพี่ชายรองที่ไหนได้ ห้องพี่น้องก็ไม่เคยไป และไม่ควรไป พอรู้ว่าพี่นัดเกาเฟยเค้าน้องก็เลยรีบมา”
“ไอ้เกาเฟย แกไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนเจ้านาย เมื่อชั้นติดคุก ใช่ไหม”
“เอ ผมไม่เคยเปลี่ยนเจ้านายเลยนะ คุณชายรอง ผมเป็นคนซื่อสัตย์ จงรักภักดี มีเจ้านายแค่คนเดียวมาแต่แรก”
“ใช่ และเจ้านายของเกาเฟย ก็ไม่เคยเป็นพี่เลยนะ ฉินเจียง”
“พอดี ผมชอบทำงานกับนายผู้หญิงมากกว่านายผู้ชายไงครับ”
ฉินเจียงอึ้ง มองทั้งสอง แล้วช้ำใจ มึนชา แล้วอยู่ๆ ก็หันหลังให้ และเดินออกไปอย่างมึนๆ เกาเฟย เหม่ยอิงสบตากัน แล้วเลิกคิ้วน้อยๆ กับปฏิกิริยานั้น

ที่บ้านสี่ฤดู ไทไทหลับอยู่ ผิงอันกำลังเปิดหนังสือพิมพ์ฮ่องกงอ่านข่าวอย่างตั้งอกตั้งใจ อากงกับอาม่าช่วยกันยกตั้งหนังสือพิมพ์อีกตั้งนึงเข้ามาวางให้
“อ่ะ หนังสือพิมพ์ฮ่องกงทุกฉบับ ทั้งรายวันรายสัปดาห์ ทั้งภาษากวางตุ้ง ภาษาอังกฤษ แล้วก็นิตยสารรายสัปดาห์ด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณหนู จะอ่านข่าวอะไรมากมายขนาดนั้น อาม่าไม่ยักรู้ว่าสนใจข่าวสารบ้านเมืองด้วย”
“หนูจะต้องรู้ความเคลื่อนไหวของบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ค่ะ จะต้องรู้ทุกอย่างว่าพี่เหม่ยอิงทำอะไรกับบริษัทบ้างวันไหนที่พี่ชายใหญ่กลับมา ผิงอันจะได้รายงานให้พี่ชายใหญ่ทราบทันที ผิงอันจะไม่ยอมเป็นเด็กเบบี้ให้พี่เหม่ยอิงกดขี่ตลอดไปหรอกค่ะ”
ทันใด ไทไทลืมตาพึ่บขึ้น
“ฉินเจียง”
“ตาย เราเสียงดังจนจ้าวไทไทตื่นจนได้ ไป ออกไปข้างนอกกันเร็วๆ เข้า”
“ละเมอละมั้ง”
แต่ไทไทยลุกนั่งพึ่บ
“ไปตามฉินเจียงมา”
“พี่ฉินเจียง? ยังอยู่ในคุกไม่ใช่เหรอคะ”
“มันออกมาแล้ว ออกจากคุกมาแล้ว ไปตามมันมาพบชั้นเดี๋ยวนี้ ชั้นต้องพบมันด่วน ไปตามมันมา”
“ไทไทมีเรื่องอะไร ปกติเห็นออกจะเกลียดอาฉินเจียงไม่ใช่เหรอ”
“ไปตามฉินเจียงมา ไป”
ไทไทเด็ดขาด เสียงดัง ทุกคนงง สีหน้าไทไทดูเครียด ดุดัน เด็ดขาดมาก

ฉินเจียงเดินเหมือนร่างไร้วิญญาณมาตามทางข้างถนน สักพักมอเตอร์ไซค์ของเกาเฟยขับมาเคลียคลอ
“เดี๋ยวสิครับ คุณจ้าวฉินเจียง จะรีบไปไหน. นายหญิงของผมยังไม่ได้พูดธุระกับคุณเลยนะ” ฉินเจียงเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ เกาเฟยจอดรถ เดินตาม “เออ...แล้วที่คุณตามผมมาเนี่ย ตามมาเพื่ออะไรนะ ผมลืมไปแล้ว บอกกันหน่อยสิครับ” ฉินเจียงน้ำตาแทบทะลัก แค้น แต่ฝืนใจ เดินต่อไป เกาเฟยดักหน้า “คุณฉินเจียง ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณได้ก็บอกมาเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ คุณขัดข้อง หรือขาดแคลนเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือเปล่าครับ บอกกันได้นะ ถ้าผมพอช่วยอะไรได้ ผมก็จะช่วย”
“ไอ้เลว”
ฉินเจียงชกเปรี้ยง เกาเฟยไม่ทันตั้งตัว กระเด็น ฉินเจียงหน้ามืด พุ่งเข้าไปกระทืบๆๆซ้ำ เกาเฟยลุกมา พยายามสู้ ฉินเจียงโถมเข้าไป ใส่ๆๆ ทันใดมีเสียงแกร๊ก ฉินเจียงชะงัก
“พอได้แล้ว พี่รอง” ฉินเจียงหันมา เหม่ยอิงถือปืนจี้มา “พี่รองชอบลุแก่โทสะอยู่เรื่อย นิสัยนี้มันห่วยมากเลยนะ เลิกซะทีเถอะ” เกาเฟยรีบลุกมา เหม่ยอิงออกหน้า เกาเฟยแอบหลัง “สมัยยังรุ่งอยู่ คนอื่นเขาก็จำเป็นที่จะต้องยอมให้พี่ แต่เวลานี้ ขืนพี่ยังทำกร่างไม่เลิก เผลอๆ จะตายอยู่ข้างถนน จับมือใครดมไม่ได้”
ฉินเจียงหอบ ซีด แค้นแทบกระอัก
“ผมไม่อยากทำร้ายเขาหรอกครับ คุณหนูใหญ่ มันจะดูไม่ดี ดูอกตัญญูเกินไปหน่อย”
“อย่างว่าแหละ แกมันคนมีคุณธรรม ไม่สู้เค้าก็ดีแล้ว อย่างน้อย เค้าก็เคยให้เงินทองข้าวของแกมาบ้าง”
“แต่เค้าก็ใช้งานผมหนักแทบกระอักเหมือนกัน นึกอยากจะจิกหัวขึ้นมาตอนไหนก็จิก บางทีก็ใช้ให้ทำอะไรโง่ๆ รับใช้ยัยผู้หญิงชั้นต่ำบ้างอะไรบ้าง เวลาด่า ก็ด่าอย่างไร้เหตุผล ด่าเจ็บๆ หยาบๆคายๆ เหมือนผมไม่ใช่คนเหมือนกัน”
“แต่แกก็ทนมาได้โดยตลอดไม่ใช่เหรอ”
“ผมทน เพื่อรอวันนี้ต่างหาก วันนี้ที่รอคอยคือวันที่คุณหนูเป็นใหญ่ แล้วผมจะได้พ้นจากสภาพเดิมๆ ซะที”
“ได้ยินไหม จ้าวฉินเจียง หมดเวลาของพี่แล้วนะ ต่อไปนี้ ไม่ว่าพี่จะอดอยากขาดแคลนอะไรก็ตาม อย่าได้เดินเข้ามาที่บ้านสี่ฤดู หรือบริษัทฉินเย่ว์กรุปอีก เรื่องต่อสู้คดี ทางเราก็จะไม่ซัพพอร์ทพี่แล้ว ทนายของบริษัท น้องจำเป็นต้องให้เขาไปทำอย่างอื่น พี่ก็ไปใช้พวกทนายของรัฐบาล ที่มีไว้ช่วยคนอนาถาก็แล้วกัน แล้วก็รู้จักทำมาหากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองบ้าง จะได้รู้จักประหยัด ไม่ดีแต่ล้างผลาญเงินกงสีอีก”
ฉินเจียงมองสองคน ตาแทบปะทุ เกาเฟย เหม่ยอิง ยิ้มเย็น สบตากัน

ร้านขายของเก่าของซูหลิงที่เกาลูน ภายในร้านลูกค้าคนหนึ่งเพิ่งซื้อของเสร็จ และกำลังจะเดินออกจากร้านไป
“ขอบคุณมากนะคะ” ซูหลิงนับเงิน แล้วเอาใส่เข้ากล่อง มีความสุข “ถ้าขายได้แบบนี้ทุกวันล่ะก็...”
ซูหลิงหันไปรอบๆ ตัว ไม่เจอใคร เดินหาภายในร้าน ไม่มีใครอีก ซูหลิงเปิดประตูห้องที่อยู่ด้านหลัง เห็นฉินเจียงนอนกอดเข่าอยู่กับพื้นข้างถังขยะ เหม่อ หมดสภาพ ข้างๆ เป็นของเก่าชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางเรียงราย มีถังน้ำและผ้าขี้ริ้วกองอยู่ที่พื้น ซูหลิงตกใจแต่พยายามทำปกติ
“ฉินเจียงคะ ฉินเจียง” ฉินเจียงยังคงนอนนิ่ง ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เลื่อนลอย ซูหลิงเดินเข้าไป จัดการเก็บข้าวของต่างๆ ที่กระจัดกระจาย “คุณหิวหรือยังคะ กลางวันอยากทานอะไร”
ซูหลิงเหลือบไปมองจานข้าวที่วางอยู่ใกล้ๆ ก็ยังมีข้าวอยู่พูนจาน ฉินเจียงส่ายหน้าช้าๆ ไม่สนใจ ไม่หันมามอง
ซูหลิงเก็บผ้าขี้ริ้วกับถังน้ำออกไป
“อยากได้อะไร บอกได้นะคะ”
ฉินเจียงเอื้อมมือคว้าผ้าขี้ริ้วไว้
“ไม่...ผมช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพักผ่อนดีกว่า”
“ไม่...ผมอยากช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉินเจียงฝืนลุกขึ้นยืน ดึงผ้าและถังน้ำออกจากมือซูหลิง ดึงกันไปมาจนถังน้ำหกกระจายรดตัวฉินเจียง ซูหลิงตกใจ จะรีบลงไปเช็ด
“ไม่ต้อง”
ซูหลิงค่อยๆ ปิดประตูลงช้าๆ ทำท่าจะร้องไห้ ถอนหายใจ แต่แล้วจู่ๆ เหมือนคิดอะไรได้ วิ่งไปที่โต๊ะหน้าร้าน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดโทรศัพท์ไล่หาชื่อจ้าวซันจนเจอ ซูหลิงลังเลว่าจะโทรไปดีไหม ในที่สุดก็ตัดสินใจโทรออก
เสียงโทรศัพท์ดังออกมาเป็นแบบไม่สามารถติดต่อได้
“ปิดเครื่อง? แต่คุณชายไม่เคย เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่านะ”

ที่คีรีรัฐ บราลีอารมณ์ดี เดินถือถาดใส่ถ้วยซุปที่มีฝาปิดเดินมาตามทาง มายังห้องเจ้าหลวงองค์ก่อน บราลีเดินมาถึงหน้าประตูห้อง จะเคาะประตู แต่เห็นประตูแง้มอยู่ จึงมองเข้าไป ด้านในจ้าวซันยืนเหม่อดูรูปเจ้าหลวงพีริยเทพประทับยืนและมีพระเทวีศุลีมานทรงนั่งเก้าอี้อยู่ใกล้ๆ
จ้าวซันยืนดูอยู่สักพักก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ปลดรูปลงมา บราลีตกใจ งงว่าจ้าวซันจะทำอะไร จ้าวซันเอารูปออกมาถือไว้สักพัก แล้วปัดฝุ่นเบาๆ
จากมือที่ปัดฝุ่นออกไปอย่างเร็วๆ ก็ค่อยๆ ช้าลงๆ จนกลายเป็นลูบอย่างเบามือ ช้าๆ สักพักจ้าวซันก็น้ำตาไหลออกมา
“เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ลูกคิดถึงเหลือเกิน” บราลีซึ้งอยากจะร้องไห้ตาม ตัดสินใจค่อยถอยหลังออกไป ไม่อยากรบกวน “นั่นใคร”
จ้าวซันรีบวางรูปลง แล้ววิ่งไปผลักประตูให้เปิดออก จ้าวซันออกไป หันมองซ้าย ขวา ไม่เห็นใคร จ้าวซันมองกลับมาที่โต๊ะเล็กๆ หน้าห้อง มีถ้วยซุปวางอยู่ จ้าวซันเปิดฝาออกดู ควันจากซุปในถ้วยก็ลอยขึ้นมา สีหน้าจ้าวซันครุ่นคิด รู้ว่าใคร...

อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14 (ต่อ)

บราลีกำลังนั่งกอดเข่า กลุ้มๆ ทอดสายตาไปมองทิวทัศน์ไกลๆ จ้าวซันเดินเข้ามา บราลีได้ยินรีบลุกเข้ามา มองหน้ากัน แล้วสุดท้ายก็เข้ามากอดจ้าวซัน

“ทรงแก้แค้นสำเร็จแล้ว และคีรีรัฐกับองค์รัชทายาทก็พ้นจากวิกฤติแล้ว เพราะพระปรีชาของเจ้าพี่ เจ้าพี่ควรจะมีความสุข ร่าเริงยินดีสิเพคะ”
“ขอบใจน้อง ที่ช่วยพี่หลายอย่าง ถ้าไม่มีน้อง พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าป่านนี้...พี่อาจจะ เป็นศพ นอนจมดินอยู่แถวนี้แล้วก็ได้”
“แล้วเจ้าพี่จะทำอะไรต่อไปล่ะเพคะ”
“ม่านฟ้าล่ะ อยากทำอะไรต่อไป”
“น้องไม่มีความต้องการสำหรับตัวเอง แต่น้องอยากให้เจ้าพี่ได้พักเหนื่อย ปล่อยวางจากทุกๆ ภาระหน้าที่ แล้ว
ก็หาความสุขสนุกสนานใส่ตัว อย่างคนอื่นๆ เขาบ้าง อยากให้เจ้าพี่ยิ้ม หัวเราะ ไม่เศร้า ไม่เครียด ไม่อยากให้ทรงรับผิดชอบอะไรมากมาย”
“พี่รู้สึกเหมือนว่าน้องไม่ค่อยชอบที่จะอยู่ที่นี่นัก จริงหรือเปล่า แต่คีรีรัฐคือบ้านเกิดเมืองนอนของเรา เราก็ต้องรับผิดชอบ ให้ถึงที่สุด “
“อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวของน้องมาเป็นสาระเลยค่ะ เจ้าพี่อยู่ไหน น้องก็อยู่ด้วย เจ้าพี่ก็คือเจ้าชีวิตของน้อง น้องไม่มีใคร ไม่มีที่ไปอื่นใดให้อยากไปอยู่ทั้งนั้น ชีวิตน้อง...เกิดมาเพื่อรับใช้พี่ หากพี่เห็นดีที่จะกระทำสิ่งใด ขอให้รับทราบว่า น้องจะรับสนองพระบัญชาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าทุกข์ สุข ไม่ว่าเสี่ยงภัยอันตราย หรือสะดวกสบาย สำหรับน้อง ขอให้ได้อยู่เคียงข้างพี่ก็พอค่ะ”
จ้าวซันจับบราลีให้มองสบตา
“ส่วนพี่ก็มีสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่น้อง ที่พวกท่านสละชีวิตเพื่อพี่ ว่าพี่จะต้องทำให้น้องมีความสุข และปลอดภัยเสมอ และพี่ก็จะต้องทำให้ได้เหมือนกัน”
บราลีซึ้งเช่นกัน

พระเทวีสิริวารตีกำลังพยุงให้มาทยาธรเดินช้าๆ มีแม่นมคอยดูแล และมีทหารสี่นายเฝ้าโดยรอบ จ้าวซัน กับบราลีเดินเข้ามา ในมือจ้าวซันมีของบางอย่างในห่อผ้า พวกทหารบังคมกันพึ่บพั่บติดดิน มาทยาธรหันไป ชะงัก พระเทวีสิริวารตี แม่นม มองหน้ากันว่าจ้าวซันมีอะไรหรือเปล่า
มาทยาธรตั้งรับ สายตาที่มอง เต็มไปด้วยคำถาม ปนความรู้สึกผิด
“น่านปิง...ม่านฟ้า”
จ้าวซันรีบทรุดลง กราบที่เท้า บราลีทำตาม มาทยาธรอึ้งๆ น้ำตาคลอ
“อย่ากราบลุงเลย น่านปิง ยิ่งหลานแสดงความเคารพลุงมากเท่าไหร่ ลุงก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งต่ำต้อย ไม่คู่ควร” มาทยาธรทรุดตัวลงไป จ้าวซันตกใจ รีบประคองมาทยาธรขึ้นมา พระเทวีสิริวารตีเข้าช่วยกัน ต่างช่วยกัน พามาทยาธรไปนั่งพัก มาทยาธรมองหน้าจ้าวซัน แล้วค่อยๆ ยื่นมือมาสัมผัส “น่านปิง...ดวงตาของหลาน รอยยิ้ม เวลาพูดจา ช่างเหมือนพีริยเทพสมัยเด็กๆ ไม่ผิด ทำไม...ทำไม...ลุงทำกับพ่อของหลานได้ลงคอ ทั้งๆ ที่ตอนเล็กๆ เรารักกันมาก”
มาทยาธรร้องไห้ออกมาแบบแทบจะขาดใจ
“เจ้าป้า หลานไม่ตั้งใจที่จะทำให้ เจ้าลุงทรงไม่สบายพระทัย”
“ที่จริงถ้าสิ่งที่ลุงทำมันสำเร็จลุล่วง หลานก็คงจะตายไปแล้วตายทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูก” มาทยาธรหันไปทางบราลี “เช่นเดียวกับเจ้า...ม่านฟ้า...เจ้าก็คงตายไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ฮือๆๆ”
“เจ้าพี่ พอเถอะเพคะ”
“ให้พี่พูดเถอะ ให้พี่พูดให้หมด แล้วจะไม่พูดอีก”
“ถ้าเช่นนั้น ก็รับสั่งมาเถอะพะย่ะค่ะ”
“ลุงกำลังจะบอกว่า หากหลานตายไปในวันนั้น วันนี้ที่พวกคนเลวมันคิดทำกับลุง พวกมันก็คงจะสำเร็จไปอย่างง่ายดายเช่นกัน เพราะไม่มีหลานที่จะกลับมาช่วยลุง บางทีนี่คือชะตากรรมของลุง นี่คือการรับกรรม นี่คือการลงโทษของพระเบื้องบน ให้ลุงต้องอยู่เจ็บปวด โดยที่ไม่ต้องบาดเจ็บหรือตาย แต่มีชีวิตอยู่ ด้วยหัวใจที่เป็นแผลลึก แผลที่เกิดจากความชั่วร้ายเลวทรามของตัวเอง”
ทุกคนฟังจนเงียบอึ้งไป
“หลานกลับมา เพื่อประเทศบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อรักษาไว้ ไม่ให้คนเลวเอาไปต้มยำทำแกงเล่น”
“น่านปิง หลานทำเพื่อพวกเรามามากแล้ว แทบจะสละชีวิตด้วยซ้ำ”
“เจ้าป้าตังหากที่ทำทุกอย่างเพื่อหลานมามาก และหลานไม่เคยมองข้าม หลานมีวันนี้เพราะเจ้าป้า ขอให้เจ้าป้าทรงรับทราบ ว่าหลานตระหนักอยู่เสมอ และประการสำคัญน้องชายที่รักของหลาน หลานมีของจะมาให้เขา”
จ้าวซันจับมือพระเทวีสิริวารตีมา วางห่อของนั้นลงไป แม่นมรู้ทันทีว่าคืออะไรรีบขวาง
“องค์ชายน่านปิง แต่สิ่งนั้นคือของๆ พระองค์นะเพคะ”
“ป้าไม่เอานะ น่านปิง ป้าไม่ต้องการ พวกเราไม่ต้องการ”
“หลานต้องการ มอบมันให้คนที่สมควรได้รับ เจ้าลุง เจ้าป้า ช่วยดำเนินการ เพื่อหลานด้วย”
มาทยาธร พระเทวีสิริวารตีเงียบกริบ มองของนั้นเหมือนเป็นของร้อน แม่นมเข้ามากราบเท้าจ้าวซัน แล้วร้องไห้
ทุกคนนิ่ง จ้าวซันบังคมลงต่อหน้าลุงป้าอีกครั้ง บราลีกราบด้วย แล้วจับมือจ้าวซันแน่น มองหน้าอย่างปลาบปลื้ม

วันต่อมาภายในท้องพระโรงเรียงรายไปด้วยอำมาตย์ ทหารชั้นผู้ใหญ่ ท่านครู หมอหลวง ฝ่ายพวกเสนาบดีที่ภักดีจ้าวซันยืนเรียงราย จ้าวซันและศิขรนโรดมเดินเข้ามา
“น้องสบายดีแล้วนะ”
“เจ้าพี่ก็ดูสดใสดี คงมีกำลังใจดีมากนะพะย่ะค่ะ” ศิขรนโรดมมองนำไปที่ด้านนึง จ้าวซันหันไป บราลีและภูสินทรยืนคุยกันอยู่ โดยบราลีถามทุกข์สุข และภูสินทรตอบอย่างนอบน้อมมากๆ
มาทยาธรกับพระเทวีสิริวารตีเสด็จเข้ามา มีมิถิลาคอยดูแล จนพากันประทับนั่งที่บัลลังก์จนเรียบร้อย ด้านนึง อสุนีที่ดูขรึมๆ เดินถือหมายกำหนดการณ์เข้ามา ยืนโดดเดี่ยว ไม่มองหน้าใคร ก้มหน้านิ่ง
“ถวายบังคมองค์เจ้าหลวงและพระเทวีพะย่ะค่ะ”
อสุนีเป็นต้นเสียงพูดนำ ทุกคนพูดตาม
“ถวายบังคมองค์เจ้าหลวงและพระเทวีพะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ ตามสบาย พร้อมหน้าพร้อมตากันก็ดีแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
มาทยาธรหันไปสบตาพระเทวีสิริวารตี พระเทวีสิริวารตีสบตา มองอย่างให้กำลังใจ หลายคนงง มองหน้ากัน สงสัยว่าเรื่องอะไร
“หมดเรื่องร้ายๆ ไปแล้ว คราวนี้ก็ขอเป็นเรื่องดีๆ บ้าง”

มาทยาธรปรบมือให้สัญญาณ ทหารสี่นายเดินถือพานทองเข้ามาจากประตูท้องพระโรง แล้วเอามาวางไว้ที่แท่นด้านหน้าเจ้าหลวง มาทยาธรเอื้อมมือไปดึงผ้าแพรสีทองที่คลุมสิ่งที่อยู่บนพานออก เผยให้เห็นเป็นตราสุรสีหนาท
ทุกคนที่เห็นตะลึง และซุบซิบกันอื้ออึง อสุนีตกใจมองไปทางศิขรนโรดม แต่ศิขรนโรดมไม่ได้มองกลับมา
“ตราสุรสีหนาทนี้ เป็นพระราชลัญจกรประจำองค์เจ้าหลวงที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน จากรัชสมัยหนึ่งสู่อีกรัชสมัยหนึ่ง”
“ทำไมมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
อำมาตย์แก่ซุบซิบกับเพื่อน เพื่อนอำมาตย์ทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางจ้าวซัน อำมาตย์แก่พยักหน้า พอเข้าใจ
“ตลอดยี่สิบปีที่เราครองราชย์มา ไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยมีไว้ครอบครองเลยสักวินาทีเดียว จนวันนี้...” ศิขรนโนดมมองหน้ามาทยาธร ลุ้น มาทยาธรพยายามลุกขึ้น พระเทวีสิริวารตีเห็น เข้ามาประคอง มาทยาธรหยิบตราสุรสีหนาทขึ้นมาชูไว้ ยิ้มกริ่ม “เราได้สัมผัสแล้ว ได้เป็นเจ้าหลวงถูกต้องตามราชประเพณีสักที” ภูสินทรพยายามมองหน้าจ้าวซันเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวซันยิ้ม “เรามาทยาธร เจ้าหลวงแห่งนครคีรีรัฐองค์ปัจจุบัน...” จ้าวซันและศิขรนโรดมมองหน้ากัน “ขอสละราชสมบัติตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอแต่งตั้งให้...” มาทยาธรถือตราสุรสีหนาทไว้ในมือ และพยายามเดินกระย่องกระแย่งไปทางที่จ้าวซันและศิขรนโรดมที่ยืนอยู่คู่กัน โดยมีพระนางสิริคอยประคองไปตลอดทาง “ขอจงทรงรับไว้ เพื่อเป็นเจ้าหลวงองค์ใหม่ของนครคีรีรัฐสืบต่อไป”
มาทยาธรยื่นตราสุรสีหนาทออกไปส่งให้จ้าวซัน จ้าวซันอึกอัก ตกใจ อสุนี มิถิลามองหน้ากันช็อก ภูสินทรยิ้ม พอใจ จ้าวซันหันมองศิขรนโรดม ศิขรนโรดมยิ้มกว้าง พยักหน้าให้ช้าๆ เป็นเชิงว่าเหมาะสมแล้ว จ้าวซันมองไปทางบราลีที่ยืนทำหน้างงอยู่
“แต่”
ศิขรนโรดมตัดสินใจรีบลุกขึ้น
“น้องของแสดงความยินดีกับเจ้าพี่ด้วย ขอจงทรงรับไว้เถิด ทุกอย่างถูกต้องเหมาะสมตามสมควรแล้ว”
“คนที่เหมาะสมกว่าน่าจะเป็น...”
“ลืมไปเลย ต่อไปนี้จะเรียกว่าเจ้าพี่ไม่ได้แล้วสินะ ต้องเรียกว่าเจ้าหลวงน่านปิงนรเทพถึงจะถูก”
“เจ้าน้อง เดี๋ยว”
ศิขรนโรดมรีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ถวายบังคมองค์เจ้าหลวง”
จ้าวซันรีบคว้าตัวศิขรนโรดมให้ลุกขึ้น แล้วหันไปรับตราสุรสีหนาทมาจากมือมาทยาธร อสุนีมอง ตะลึง จ้าวซันถือตราสุรสีหนาทไว้สักพัก แล้วนำมาวางกลับไว้ที่พานตามเดิม
“กระหม่อมคงรับตำแหน่งเจ้าหลวงแห่งนครคีรีรัฐไว้ไม่ได้”
“ใช่ ยังไม่ใช่ตอนนี้ คงต้องรอให้มีการสถาปนาเจ้าหลวงองค์ใหม่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งถ้าดูตามฤกษ์ยามแล้ว...”
มาทยาธรหันไปทางโหรหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“อีกสามวันที่จะถึง เป็นวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำ เหมาะกับการจัดงานมงคลเป็นอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ”
“ดี ตกลงว่าอีกสามวัน นครคีรีรัฐของเราจะมีเจ้าหลวงองค์ใหม่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ”
ผู้คนในห้องต่างปรบมือ ส่งเสียงเซ็งแซ่ ร่วมแสดงความยินดี มาทยาธรเขยิบมาพูดกับศิขรนโรดมและจ้าวซันใกล้ๆ
“เจ้าคงไม่ว่าอะไร” มาทยาธรถามศิขรนโรดม
“ไม่เลยพระบิดา หม่อมฉันยินดีอย่างที่สุด”
จ้าวซันมองหน้าศิขรนโรดม ศิขรนโรดมยื่นมือมาจับ กระชับแน่น ส่งสายตาแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
“แต่”
มาทยาธรพูดกับจ้าวซัน
“ให้เราได้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรสักเรื่องก่อนที่เราจะสิ้นลมบ้างแล้วกัน”
จ้าวซันอึ้งๆ หนักใจ ไม่ค่อยเต็มใจนัก อสุนีไม่พอใจ สบตามิถิลา ก้มหน้าลง บราลีมองจับสังเกตสองพี่น้อง มิถิลาเห็นว่าบราลีเห็น จึงรีบยิ้มกลบเกลื่อน ปรบมือแสดงความยินดีตามคนอื่นๆ ไป บราลีหันไปเห็นจ้าวซันมองมา จึงส่งยิ้มให้แบบมีนัยยะ ว่าควรจะระวังตัวให้มากๆ จ้าวซันมองตอบ แสดงความหนักใจ

ที่ร้านของเก่าของซูงหลิง ฉินเจียงที่หนวดเคราเขียว โทรม นอนเบลอๆ ที่บนเตียง ประตูห้องเปิดออกมา ซูงหลิงเดินนำอากงที่แต่งตัวเรียบร้อยแบบออกไปธุระนอกบ้านเข้ามา อากงเดินเข้ามา มองฉินเจียง เศร้าใจ ฉินเจียงลืมตาขึ้นพอดี ต่างคนต่างนิ่งอึ้งไป
“นึกว่าฝันถึงตอนเด็กๆ ที่ต้องไปอยู่ในบ้านสี่ฤดูซะอีก อากง มาที่นี่เชียวหรือ มีอะไร หรือว่าแม่ใหญ่ตายแล้ว”
อากงส่ายหัว
“ปากนะ ปาก” ฉินเจียงหัวเราะ
“ตกลงไม่มีใครตายใช่ไหม”
“จ้าวไทไท ให้คุณไปหาหน่อย”
“แปลกจริง จ้าวไทไทเกิดรักฉันขึ้นมาเหรอ พอเห็นฉันติดคุกแล้วรู้สึกสงสาร หรือว่า...”
“ไท้เผ่งคะ” ซูหลิงปราม
“ฉันไม่ใช่ไท้เผ่งตั้งนานแล้ว ฉันไม่ใช่อะไรเลยเป็นแค่ตัวตลกตัวนึง ใครจะมาต้องการทำไม” ฉินเจียงนั่งเหม่อ
ซูหลิง อากง สบตากัน กลุ้มใจ

ฉินเจียงที่โกนหนวดเครา แต่งตัวสะอาดเรียบร้อยเดินเข้ามาในห้องไทไท ไทไทนั่งบนเตียงข้างหน้ามีกล่องไม้ใหญ่วางอยู่ อากงตามมา
“เข้าไปสิครับ”
“แม่ใหญ่”
ฉินเจียงโค้ง แล้วยืนห่างๆ ระวังตัวอยู่
“จ้าวฉินเจียง ต่อจากนี้ไป แกจะไม่เหลืออะไร”
“อะไรนะ”
“มานี่สิ” ฉินเจียงงง “บอกให้มานี่ มาดูนี่” ฉินเจียงเดินเข้าไป “เปิดหีบนี่” ฉินเจียงหันไปมองหน้าอากง อากงเข้ามาจะช่วยเปิด “ฉันบอกให้มันเปิดเอง แกไม่เกี่ยว”
อากงจ๋อย ถอยกลับ ฉินเจียงเข้ามา เปิดหีบออก ในนั้นมีกล่องเครื่องประดับเล็กใหญ่หลายกล่อง
“อะไร เครื่องประดับหรือ”
“ลองเปิดดู ซักกล่องสิ”
ฉินเจียงหยิบมา เปิดออก ในนั้นมีสร้อยไข่มุกสายยาว
“ของผู้หญิงนี่ อะไรกัน”
“ของแม่แก”
“อะไรนะ”
“จ้าวฉินเย่ว์ ซื้อของหลายอย่าง ตั้งใจจะให้ผู้หญิงอังกฤษคนนั้น แต่ฉันขัดขวางเอาไว้”
“จ้าวไทไท”
“ฉันมันร้ายกาจใช่ไหม แล้วแกว่าฉันไม่มีสิทธิ์หรือ ในเมื่อฉันเป็นเมียหลวงที่โดนสามีทรยศ”
“แล้วจ้าวไทไทเอาของพวกนี้มาให้ผมดูทำไม”
“ได้ข่าวว่า แกทำร้านขายของเก่าอยู่ไม่ใช่หรอ แล้วของพวกนี้ก็เป็นของเก่าของแม่แก ฉันคิดว่าฉันควรจะคืนมันให้แก เผื่อแกจะเอาไปขายกินได้”
“มันจะมากไปแล้วนะ”
“แกต้องสู้คดีอีกนาน และสู้แล้ว ก็ใช่ว่าจะชนะ ของพวกนี้จะมีประโยชน์กับแกและเมียแกมากกว่าชั้น เอาไป แล้วถ้าขายหมดนี่ แล้วยังไม่พอกิน ก็เข้ามาขอเงินชั้นได้อีก ฉันไม่ได้ใจดำต่อแกมากเกินไป ใช่ไหม” ไทไทหัวเราะสะใจ
ฉินเจียงอึ้ง อากงถอนใจ สลด

ฉินเจียงเดินตัวปลิวออกมา มีอากงแบกหีบไม้นั้นตามมา
“คุณชายรอง ขอร้องล่ะครับ รับหีบนี้ไปเถอะ”
“เอาไปคืนยายแม่มด ชั้นไม่ใช่ขอทาน จะได้มาขอมันกิน”
“โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ นี่มันของๆ คุณชายรอง”
“ใครบอกล่ะ”
“อ้าว ก็จ้าวไทไทเพิ่งบอกแหม่บๆ ว่าเป็นของคุณแม่คุณชาย มันก็ต้องเป็นของคุณชายสิครับ”
“อีแก่มันฮุบไว้นานแล้ว แต่มันคงเห็นว่าชั้นเป็นฝ่ายแพ้แล้วไง มันถึงทำเป็นใจอารี มายกให้ ที่จริง มันต้องการจะตอกย้ำความล้มเหลวของชั้นตังหาก”
“แต่คุณชายเอากลับไปไม่ดีหรือครับ ไทไทจะให้เพราะเหตุผลอะไรก็ช่าง แต่ของๆ คุณชาย คุณชายก็ควรเก็บไว้” อาหลี่เดินเข้ามา อากงดีใจ “อ้อ อาหลี่ มาช่วยชั้นทีเถอะ ช่วยเอารถไปส่งคุณชายรอง แล้วเอาหีบของนี้ไปส่งให้จนถึงร้านคุณซูหลิงด้วย”
“ได้ๆๆ” อาหลี่เข้ามารับหีบไป
อากงส่งให้แล้วบีบแขนไปมา เพราะหนัก เจ็บกล้ามเนื้อที่พยายามยกมา
“คุณชายใหญ่จะกลับเมื่อไหร่ พวกแกรู้กันบ้างไหม” ฉินเจียงถาม อากง อาหลี่มองหน้ากัน “ว่าไง ลับลมคมนัยนักนะ คุณชายใหญ่ไปไหน”
“ไปต่างประเทศครับ”
“ใช่ประเทศคีรีรัฐหรือเปล่า”
ทั้งสองสะดุ้ง
“คุณชายรองทราบได้ยังไง”
“ฉันอาจจะโง่หลายๆ เรื่องในสายตาพวกแก แต่ก็มีหลายเรื่องที่ฉันพอจะปะติดปะต่อเชื่อมโยงได้ จ้าวซัน มีสายสนกลในเกี่ยวกับกับเมืองคีรีรัฐ ถึงได้เดือดร้อนนัก เรื่องที่ฉันไปค้าขายกับนายพลพวกนั้น”
“คุณชายรอง อย่าเดาอะไรไปให้มากนักเลยครับ”
“ฉันเดาถูก พวกแกก็ยอมรับเถอะ พี่ใหญ่ไปคีรีรัฐ จริงไหม”
“คุณชายใหญ่ไปทำ...ธุรกิจ...กับองค์ชายคนนั้น ใช่ครับ แล้วก็...ไปเที่ยว พักผ่อนนิดหน่อยเท่านั้น”
“เที่ยวพักผ่อนนิดหน่อย กับใคร”
“คุณชาย รีบกลับดีกว่าครับ”
“อ๊ะๆ ฉันว่า ฉันรู้แล้ว จ้าวซันไปกับบราลี ภีมะมนตรี ผู้หญิงสวยคนนั้นแน่ๆ” อากง อาหลี่มองหน้ากัน หลบตาฉินเจียง “ฮ่ะๆ พี่ชายใหญ่ คนฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างเขา ไม่มีอะไรที่ตรงไปตรงมาง่ายๆ หรอก เขาต้องยิงปืนนัดเดียว เพื่อได้นกทั้งฝูงแน่ๆ เขาไปคีรีรัฐ ไปทำงานการเมือง ทำธุรกิจ แล้วก็ฉวยโอกาสไปฮันนีมูน มีความสุขกับคนรักแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ ฮ่ะๆๆ”
อากง อาหลี่ถอนใจ ส่ายหัวกัน มุมนึงไม่ไกล เหม่ยอิงยืนแอบฟังอยู่ ผงะ ซีด ช็อกไป

ผิงอันกับแม่สี่กำลังช่วยกันแต่งหน้าคัพเค้กอย่างสนุกสนาน เอาวิปครีบบีบ แล้วมีอาม่าคอยเอาสตรอเบอรี่ตกแต่ง ทันใดเหม่ยอิงเดินเข้ามา หน้าตาซีดเผือด เยือกเย็น ทุกคนหันไป
“คุณหนูใหญ่ วันนี้กลับเร็วจัง มาชิมคัพเค้กของซายหมุยสิคะ”
“ซายหมุย แกรู้ใช่ไหม” ผิงอันงง เหม่ยอิงเข้ามากระชากแขน “บอกมาสิ บอกความจริงมา”
ทุกคนตกใจ
“อะไรกันลูก”
“พี่เหม่ยอิง หนูเจ็บนะคะ”
“ดัดจริต แกมันเลว มิน่าล่ะ แกถึงทำท่าเยาะหยันชั้นอยู่ตลอดเวลา เพราะแกรู้เรื่องนี้มาตลอดใช่ไหม”
“พี่เหม่ยอิงหมายถึงเรื่องอะไรล่ะคะ หนูงง”
“อย่ามาตีหน้าซื่อ แกคงขำชั้น สมน้ำหน้าชั้นอยู่ตลอดเวลาล่ะสิ เพราะอินังนั่นมันเป็นคนที่แกชักพามาให้พี่ชายใหญ่เองนี่นา ตอนนี้แกคงสาสมใจมากใช่ไหม ที่ชั้นเป็นฝ่ายแพ้”
“พี่เหม่ยอิงพูดถึง พี่ชายใหญ่ กับ...บรี? หรือคะ”
“จะหมายถึงใครอีกล่ะ สองคนนั้นไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน แกรู้ใช่ไหม”
“อ๋อ ค่ะ หนูรู้”
“แล้ว แกรู้อะไรอีก”
“ก็รู้ว่าเขารักกันมาก เท่านั้นแหละค่ะ”
“รักกัน...รักกันเหรอ แกใช้คำว่ารักกัน งั้นเหรอ”
ผิงอันตั้งสติได้ เยือกเย็น
“ใช่ค่ะ เขารักกัน บรีรักพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ก็รักบรีมาก แม่ใหญ่...จ้าวไทไทก็รักบรี สั่งเสียให้บรีเป็นคนดูแลพี่ชายใหญ่ด้วยซ้ำ”
“จ้าวไทไทเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“เหม่ยอิง ทำใจเถอะนะลูก ยังไงๆ คุณชายใหญ่ก็เห็นลูกเป็นน้องสาวแท้ๆ ซึ่งแม่คิดว่ามันดีที่สุดแล้วที่เป็นอย่างนี้นะลูก”
“เข้าใจแล้ว ชั้นเข้าใจแล้ว ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน ทุกคนเป็นศัตรูของชั้น ทุกคนร่วมมือกันทำทุกอย่างให้พี่ชายใหญ่เลือกนังนั่น แล้วทิ้งชั้น ใช่สิ เพราะทุกคนอิจฉาชั้น เกลียดชั้น อยากให้ชั้นผิดหวังเสียใจใช่ไหม คอยดู คอยดู ทุกคนจะต้องชดใช้”
เหม่ยอิงร้องไห้ วิ่งออกไป
“เหม่ยอิง” แม่สี่วิ่งตาม ผิงอันเข้าไปดึงแม่ไว้
“แม่ ปล่อยเค้าเถอะค่ะ”
แม่สี่ อาม่า เศร้า เสียใจ ผิงอันเยือกเย็น สมเพช อนาถใจ

เหม่ยอิงเดินไปตามทางด้วยอาการเศร้า เจ็บปวดคิดถึงจ้าวซันในช่วงเวลาต่างๆ ที่เคยทำด้วยกันมาทำให้เหม่ยอิงยิ่งเจ็บปวด น้ำตานอง สะอื้นอย่างพ่ายแพ้
เหม่ยอิงนั่งอยู่ในร้านกาแฟโดยใส่แว่นดำ มือกุมแก้วกาแฟอุ่นๆ ในที่ๆ ดูหนาวเย็น เกาเฟยเดินถือเสื้อโค้ทของเหม่ยอิงไปคลุมไหล่ให้ เหม่ยอิงหันมา แล้วตัวแข็ง เชิดหน้า ทำตัวตรงสง่า
“ชั้นไม่หนาว”
“คลุมไว้เถอะครับ เดี๋ยวไม่สบาย”
“ไม่สบาย ก็ดีสิ บางทีชั้นก็อยากจะเป็นอะไรให้ตายๆ ไปซะเลย”
“คุณหนูใหญ่จะไม่สบายไม่ได้ครับ ตอนนี้คุณหนูใหญ่ต้องแข็งแรงทั้งกายและใจ เพราะคุณหนูใหญ่ยังมีอะไรอีกมากมายนักให้ต้องรีบทำ”
“ทำ ทำไปเพื่ออะไร”
“เพื่อตัวของคุณหนูเอง”
“ถ้าชั้นตาย จะมีใครเสียใจไหม เกาเฟย”
“คุณหนูต้องไม่ตาย จะตายทำไม คนอื่นสิต้องตาย คุณหนูต้องอยู่ อยู่อย่างดี อยู่อย่างผู้ชนะ”
“คนอื่น ต้องตาย”
“ใครที่ทำให้คุณหนูเจ็บ มันต้องตาย”
“ตายมันง่ายไปเกาเฟย ต้องตายทั้งเป็นสิ มันถึงจะสาสม”
“ต้องอย่างนั้นสิครับ”
เกาเฟยยิ้ม ให้กำลังใจสุดๆ

วันต่อมาที่คีรีรัฐ เจ้าหลวงมาทยาทร นั่งสงบ มองดูพระประธานที่อยู่ในโบสถ์ พระเทวีสิริวารตีถือดอกไม้เข้ามา เห็นมาทยาธรก็แปลกใจ ยืนอึ้งอยู่เงียบๆ
“แปลกใจสินะ ที่เห็นข้าที่นี่”
มาทยาธรพูดขึ้นลอยๆ พระเทวีสิริวารตี ก้าวมานั่งเคียง เอาดอกไม้ถวายพระ
“ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นเจ้าพี่ไหว้พระเพคะ”
“พี่กำลังคิดว่า สิ่งที่พี่ทำลงไป มันชดใช้ไม่ได้ ด้วยการถวายแค่ตราแผ่นดินคืนให้น่านปิงเท่านั้น”
“เจ้าพี่”
“อันที่จริง พี่ก็ผิดเท่าๆ หรือมากกว่า ไอ้สามทหารเสือพวกนั้น จตุรัส ราชิด โกศิน พวกนั้นตายไปกันหมดแล้วแต่พี่กลับต้องอยู่ เผชิญทุกอย่าง...คนเดียว”
“เจ้าพี่ เจ้าพี่ไม่ได้อยู่ลำพังพระองค์เดียวนะเพคะ เจ้าพี่ทรงมีน้อง มีลูกของเรา”
จ้าวซันเดินเข้ามาพอดี ได้ยิน รีบแอบบังเงา คอยฟัง
“แต่พี่ก็ยังรู้สึกบาปอยู่ดี จ้าวซันจะขึ้นครองราชย์ แล้วพี่ต้องนั่งมองดูหน้าเขา ในฐานะของคนที่เคยทำให้พ่อแม่เขาตาย แต่เขากลับทำดีกับเราตลอดเวลา พี่รู้สึกว่ามันไม่ถูก พี่อยากให้เขาเกลียดพี่ ด่าพี่ ลงทัณฑ์พี่ จับพี่ขังคุก มันยังจะดีกว่า”
“เจ้าพี่อย่าทรงคิดมาก จะทำให้พระอนามัยทรุดลงไปอีกนะเพคะ”
“หรือความคิดนี้เอง ความบาปกรรมนี้เองที่จะลงทัณฑ์พี่ตลอดไป ทุกครั้งที่พี่เห็นหน้าน่านปิง พี่ก็จะเห็นหน้าของพีริยเทพที่มองหน้าพี่แทนที่”
“เจ้าพี่ ไม่เอาเพคะ ไม่คิดๆ”
“ขอบใจ สิริวารตี ขอบใจ ที่เธอทำทุกอย่างเพื่อช่วยหลาน มันช่วยล้างบาปให้พี่ไปได้บ้าง ไม่หรอก ไม่ได้มากตังหาก ล้างบาปไปได้มากจริงๆ บางคน อาจจะอยากฆ่าพี่ก็ได้ แต่เขาเห็นแก่เธอ เขาก็เลยไม่ทำ”
ทั้งสองกอดกัน จ้าวซันอึ้ง

มุมนึงในวัง ภูสินทรยืนมองภาพเจ้าหลวงพีริยเทพ จ้าวซันเดินเข้ามา ภูสินทรหันมา
“หม่อมฉันคิดว่า เราควรจะรื้อฟื้นพระเกียรติภูมิขององค์เจ้าหลวงพีริยเทพให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง” จ้าวซันอึ้ง “ถึงเวลาจะแก้ไขประวัติศาสตร์ซะที พะย่ะค่ะ”
“จะแก้ ว่าอะไร”
“ก็แก้ไปตามความเป็นจริง เพราะเมื่อพระองค์ครองราชย์แล้วก็ไม่มีใครจะมาขวางได้อีก”
“ก่อนหน้านี้ ในประวัติศาสตร์เขาว่ายังไง”
ภูสินทรร้องไห้ออกมา
“เขาบอกว่า เพราะหม่อมฉันพาเจ้าแม่ของพระองค์หนีไปทำให้เจ้าหลวงเสียพระทัย จนเสวยยาพิษปลงพระชนม์ตัวเอง เขาเขียนกัน แล้วประกาศเรื่องนี้ออกไป ทำให้มีคนเชื่อเช่นนั้น” จ้าวซันอึ้ง
“เลวจริงๆ”
“แม้ราชิด โกศิน และจัตุรัสจะหาชีวิตไม่แล้ว ก็ใช่ว่าจะหมดเสี้ยนหนามที่จะต้องถอนออกให้สิ้นซาก”
“ฉันจากที่นี่ไปนาน นานเหลือเกิน มันคงไม่ง่ายที่จะสะสางความผิดพลาดในอดีตทั้งหมด”
“หากพระองค์จะทำ มันก็ไม่มีอะไรยากเกินไปพะย่ะค่ะ” จ้าวซันอึ้ง

จ้าวซันเดินคิดหนัก ไม่สบายใจหลายอย่าง เข้ามาฝ่ายใน เคาะห้องบราลี
“ม่านฟ้า ม่านฟ้า” เงียบ...ไม่มีสียงตอบ จ้าวซันเปิดเข้าไป ในห้องว่างเปล่า “ดึกป่านนี้ ไปเที่ยวเล่นซุกซนที่ไหนอีกล่ะ”
จ้าวซันบ่น เดินออกมาจากห้อง ทันใดได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของสาวๆ จ้าวซันสงสัย เดินตามไปดู ที่มุมนึง บราลียืนอยู่ พวกนางในเอาเสื้อ เครื่องประดับมาลองให้แล้วหัวเราะตบมือ
“ง้ามงาม คุณม่านฟ้าเนี่ย แต่งอะไรก็งาม เหมาะสมไปหมด”
“ซ้วย สวยนะคะ คุณม่านฟ้า ยังกะเทพธิดา สวยสมกับองค์น่านปิงนรเทพที่สุด เกิดมาไม่เคยเห็นใครสวย ดี เก่งไปทุกๆ อย่าง เหมือนกับคุณม่านฟ้าเลยนะคะ”
“ลองอันนี้หน่อยค่ะ” แม่นมหยิบมงกุฎขึ้นมา
“อู้หู นี่มันทองคำเหรอคะ”
“ค่ะ ทองคำแท้ๆ เป็นเครื่องประดับศีรษะค่ะ ต้องใส่แบบนี้”
บราลีดูในกระจกเงา แล้วรีบถอดออก
“มันอลังการไปไหมคะ ยังกับมงกุฎ มันจะแย่งซีนคนอื่นนะคะ”
“แย่งซีน คืออะไรคะ”
“หมายความว่า มันเด่นเกินไปน่ะค่ะ”
“ต้องเด่นสิคะ คุณม่านฟ้าต้องเด่นที่สุด สวยที่สุดในงานค่ะ”
“จะดีหรือคะ ฉันว่าแม่นมไม่ต้องเหนื่อยหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเองได้ค่ะ ฉันรู้ว่าฉันแต่งยังไงถึงจะเหมาะสม”
พระเทวีสิริวารตีเดินออกมา
“ไม่ได้ วันที่เจ้าหลวงขึ้นครองราชย์ ม่านฟ้าก็จะต้องรับยศเป็นพระคู่หมั้น แล้วจากนั้นก็จะได้อภิเษกเป็นพระเทวี ดังนั้นต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของพวกนี้ที่จะจัดพระภูษาให้เจ้า”

"ต่อไปนี้ คุณไม่ต้องทำอะไรเองเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วนะคะ คุณจะแต่งแบบผู้หญิงธรรมดาทั่วไปไม่ได้ พระเทวีเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก พวกเราจะจัดให้ทั้งหมดค่ะ”

อ่านต่อเวลา 17.00น.

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14 (ต่อ)

แม่นมบอก พระเทวีสิริวารตีเข้ามาโอบตัวบราลี เพื่อจะยืนดูเงาในกระจกคู่กัน
“อีกอย่าง ต่อไปนี้ ม่านฟ้าจะต้องมาให้เราอบรมกิริยามารยาทอย่างสตรีคีรีรัฐผู้สูงศักดิ์ ม่านฟ้าต้องทำตามหมายกำหนดการที่เราจะจัดให้เท่านั้น จะเที่ยวซุกซน ออกไปข้างนอก หรือไปคลุกคลีกับฝ่ายหน้าไม่ได้แล้ว จะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องมาขออนุญาตเรา เพราะเธอเป็นคนสำคัญ ที่เราจะให้เสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด พลาดพลั้งอะไรไป น่านปิงจะมาว่าเราได้ เข้าใจไหม ม่านฟ้า”
“เพคะ”
บราลีตอบรับแบบอึ้งๆ จ้าวซันก็แอบอึ้ง

วันต่อมาที่อาศรมครูเฒ่า
“เรามีวันนี้ได้ มันก็ดีพออยู่แล้ว ขอร้องล่ะ อย่าได้รื้อฟื้นเรื่องบาดหมางกันขึ้นมาอีกเลย” ค
ครูเฒ่าบอกกับภูสินทร หมอหลวง สุริยะ
“พระครูครับ ผมไม่ได้จะไปทำอะไรใครนะครับ แต่มีหลายอย่าง ที่เราควรจะแก้ไขนะครับ”
จ้าวซันฟังเงียบๆ อยู่มุมนึง
“เช่นอะไรบ้างหรือ ภูสินทร”
“เช่น ราชิด โกศิณ จัตุรัส ปลดคนในสกุลที่จงรักภักดีต่อเจ้าหลวงพีริยเทพไปหมด หรือกลั่นแกล้งส่งไปในถิ่นธุรกันดาร แล้วตั้งพรรคพวกของตนเองมาแทน สิ่งเหล่านี้ เวลานี้ พวกนั้นต่างลำบากยากแค้น เราต้องช่วยเค้า”
“แล้วคนที่จงรักภักดีต่อเจ้าหลวงมาทยาธรล่ะ”
“คนไหนที่เป็นพวกของสามคนนั้น เราก็ต้องปลดมันออกไป”
“ทั้งหมดเลยเหรอ”
“ก็แล้วแต่ เราก็ต้องดูเป็นรายๆ ไป”
“ทำแบบนั้น เราก็คงจะไม่ต่างอะไรจากพวกมัน”
“แต่เราต้องเอาคนของเรากลับมา ไม่งั้นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าราชบัลลังก์ขององค์น่านปิง จะไม่มีใครมาคอยเป็นหอกข้างแคร่ในอนาคต”
จ้าวซันคิดหนัก

คืนนั้นจ้าวซันนอนกลิ้งไปมาบนเตียง สักพักก็ลุกเดินไปดูพระจันทร์
“ใกล้วันเพ็ญแล้วสินะ” จ้าวซันเดินมา มองรูปพ่อ แม่ด้านนึง “เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ช่วยชี้ทางให้ลูกด้วย”
จ้าวซันเดินกลับมานอน หลับตา ก่ายหน้าผาก

วันต่อมาจ้าวซันเดินเข้ามาที่ตำหนัก มองหาเห็นทหารสองนายที่ดูแลสถานที่อยู่ พอทหารเห็นจ้าวซัน รีบบังคมติดดิน ศิขรนโรดมเดินออกมาจากตำหนักโดยมีอสุนีวิ่งตาม พร้อมเสื้อตัวนอก
“ฝ่าบาท ทรงสวมฉลองพระองค์อีกชั้นเถอะ วันนี้อากาศออกจะเย็นๆ”
“เย็นอะไรกัน ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
“อากาศเปลี่ยนหลายอย่างในวันเดียว เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว กระหม่อมเกรงว่าจะประชวรแพ้อากาศ”
“อสุนี ทำยังกับเราอ่อนแอขี้โรคซะเต็มประดา น่ารำคาญจริง” ศิขรนโรดมหันมา เห็นจ้าวซันพอดี ดีใจ รีบเข้าไปหา “เจ้าพี่”
“เจ้าน้อง ว่างหรือเปล่า”
“ว่างพะย่ะค่ะ”
“ทรงมีพระราชภารกิจ ต้องเสด็จไปพระราชทานผ้าห่มกับเด็กนักเรียนที่...” อสุนีรีบบอก
“อย่างนั้น ก็เชิญเสด็จเถอะ”
“เรื่องแจกผ้าห่ม เราไม่ต้องไปเองก็ได้ งั้นให้เจ้าทำแทนก็แล้วกัน แล้วเราค่อยหาโอกาสไปพบเด็กๆ วันฉลองปิดภาคเรียน ไปมอบวุฒิบัตรให้เขาก็ได้”
“แต่ว่า...”
“เจ้ารีบไปแจ้งให้หน่อยก็แล้วกัน ว่าเราไม่ว่าง ให้เจ้ามาทำหน้าที่แทน เจ้าพี่...มีอะไรหรือพะย่ะค่ะ” ศิขรนโรดมหันมาถามจ้าวซันต่อ
“พี่อยากไปเฝ้าพระสังฆราช มีบางอย่าง อยากจะขอประทานคำแนะนำเกี่ยวกับพระราชพิธีทางศาสนาบางอย่าง อยากชวนเจ้าไปด้วย”
“โอ้...นั่นสิ น้องก็ไม่ได้ไปเฝ้าพระสังฆราชนานแล้ว ไปสิ เจ้าพี่ ไปกันๆๆ”
ศิขรนโรดมจับแขนจ้าวซัน แล้วพาไปอย่างมีความสุข อสุนีมองตามไป ปวดแปลบใจ
ด้านนึง มิถิลาก้าวเข้ามา จับตามองอย่างข้องใจเช่นกัน

อสุนี มิถิลานั่งลงเคียงกันในมุมสงบสงัด
“จ้าวซันมาที่นี่ เพราะเขาจะกลับมาเป็นเจ้าหลวงซะเอง นี่ไง...เหตุผลที่แท้จริง คำพูดอื่นๆ ที่หรูหราก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นเอง ตอนนี้เจ้าคงเห็นแล้วสินะว่าพี่คิดอะไรแล้วไม่เคยผิด”
“แต่นี่ก็คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ เป็นสิ่งที่พระเทวีต่อสู้มาตลอด ทรงทำทุกอย่างเพื่อให้มีวันนี้”
“พี่ไม่เข้าใจเลย พระเทวีทำไมรักคนอื่นมากว่าลูก มากกว่าพระสวามี”
มิถิลามองรอบๆ
“จุ๊ๆๆ พี่อสุนี ระวังอย่าไปพูดอะไรแบบนี้ให้คนอื่นได้ยินเด็ดขาด”
“แปลว่า เราจะต้องยอมก้มหัว รับเจ้าหลวงคนใหม่อย่างนั้นเหรอ”
“องค์ชายศิขร ทรงมีความสุข สมหวัง มาก นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรานะจ๊ะพี่”
“องค์ศิขร จะมีตำแหน่งเป็นแค่เพียงเจ้าอุปราชเท่านั้น ตลอดไป”
“แต่นั่นก็สิ่งที่ทรงพระประสงค์มาตลอด”
“พี่ไม่ยอม”
“พี่”
“มันไม่ยุติธรรม”
มิถิลามองพี่อย่างวิตก
“แต่ถ้าทรงพอพระทัยแล้ว เราก็ต้องร่วมยินดีกับพระองค์ไม่มีอย่างอื่น”
อสุนีเงียบ คิดหนัก

ช่วงค่ำที่ตำหนักพระเทวีสิริวารตี แม่นมเดินชะเง้อ กระวนกระวายรอ มิถิลาวิ่งขึ้นมา
“ไปไหนมา มิถิลา”
“ไป...ไป...เอ่อ...”
“ไปตำหนักเจ้าน้องมาหรือ” มิถิลาอึ้ง “สมควรแล้วหรือ ที่จะเป็นฝ่ายเที่ยวไปหาผู้ชาย ยิ่งใครๆ รู้ว่าเจ้าน้องโปรดปรานเจ้าฉันคนรัก เจ้าก็น่าจะรู้จักสงวนท่าที ให้เจ้าน้องเป็นฝ่ายเสด็จมาหาเจ้าเองสิ”
“ข้า...ข้าไปพบพี่อสุนี พี่ชายข้าต่างหาก”

“อย่าเอาพี่ชายมาอ้างเลย เจ้าน่ะมันแก่นแก้วนัก ถึงขนาดปลอมตัวเป็นชาย ไปคลุกคลี อยู่ร่วมกับเจ้าน้อง เจ้าก็ยังกล้าหาญที่จะทำนี่นา”

พระเทวีสิริวารตีเดินมากับบราลี โดยบราลีเป็นผู้อัญเชิญพวงมาลัยมาในถาดแก้ว
“จำไว้นะ ต่อไปนี้ข้าขอมอบหน้าที่ถวายดอกไม้ มาลัย แก่พระรูปของเจ้าหลวงและพระเทวีในโกศ ให้เป็นงานของเจ้าแทนนะม่านฟ้า”
“เพคะ”
แม่นมคุกเข่าลง มิถิลาคุกเข่าตาม พระเทวีสิริวารตี บราลีหันมายิ้มให้แม่นมกับมิถิลา แล้วเดินผ่านไป แม่นมหันมาด่ามิถิลาต่อ ลดเสียงเบาลง
“หัดดูตัวอย่างม่านฟ้าเขาบ้าง ขนาดเขาเป็นคนสมัยใหม่ มาจากอเมริกา แต่พอตั้งแต่มาอยู่นี่ เขาก็อยู่ติดตัวพระเทวี ไม่ออกไปเข้าเฝ้าใกล้ชิดเจ้าพี่ให้คนนินทาได้”
“เขาเป็นคนฉลาดมากเจ้าค่ะ ม่านฟ้าคนนี้น่ะ”
“แน่นอนล่ะ เขาฉลาดมาก สวยมาก แล้วก็มีกิริยามารยาทดี นี่ล่ะ สมกับเป็นกุลสตรีคีรีรัฐที่แท้จริง เพราะพ่อแม่เขาดี เขาเลยมีเชื้อสายดีๆ ไม่มีนิสัยแก่นแก้วดื้อรั้นปกครองยากไงล่ะ”
มิถิลาหน้าตึง

ที่ห้องพักบราลี บราลีกำลังเดินถือหนังสือคีรีรัฐมาหาที่นั่งอ่าน บราลีนั่งลง เอนสบายๆ อ่านหนังสือ
“ขยันจริง ศึกษาหลักสูตรเร่งรัด เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นพระเทวีองค์ใหม่ชนิดที่ไม่ยอมให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวเลยนะคะ”
บราลีหันไป ลุกนั่งตรง ยื่นหนังสือให้มิถิลาดู
“นี่เป็นหนังสือนิทานเพื่อนบ้านคีรีรัฐนะ เธอดูได้เลย ไม่ใช่อะไรอย่างที่เธอคิดเลย”
“นิทานเหรอ นิทานนี่แหละที่ทำให้เข้าใจได้ดีเชียวล่ะ ว่าประชาชนมีความคิดอะไร อยากได้อะไร ชอบ ไม่ชอบอะไร มีอุดมคติยังไง คุณฉลาดมาก อย่างที่ใครๆ เขาพูดจริงๆ”
บราลีมองแล้วยักไหล่
“คุณนี่ก็ช่างมองโลกได้ติดลบจริงๆ มีธุระอะไรคะ”
“เปล่า แค่คิดว่า ฉันควรจะฝากเนื้อฝากตัวกะคุณได้แล้ว เพราะคุณจะมาเป็นพระเทวี เป็นสตรีคนสำคัญที่สุดของคีรีรัฐ”
“มิถิลา ฉันเห็นคุณเป็นเพื่อน ไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย”
“จริงเหรอ คุณม่านฟ้าเหรอ เห็นมิถิลาเป็นเพื่อน โอ้...เป็นเกียรติจริงๆ”
“ที่จริงเราสองคน ก็เป็นคนคีรีรัฐเหมือนกัน”
“เป็นคนคีรีรัฐ แต่...ไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง ก็แค่ชั้นต้องไปโตที่อื่นมาหลายปี แค่นั้น” มิถิลาร้องไห้ออกมา
“เวลานี้ ใครๆ ก็รักเธอ แต่เกลียดชั้น เห็นเธอเป็นเทพ แต่ชั้นเป็นมาร ชั้นเกลียดเธอ รู้เอาไว้ซะ” มิถิลากระทืบเท้า แล้ววิ่งออกไป บราลีอึ้ง เสียใจ เหนื่อยใจ

ร้านเหล้าในเมือง พนักงานเสิร์ฟเอาถาดเดินเสิร์ฟเหล้าไปตามโต๊ะ โดยเป็นชุดคือเป็นคนโฑดินเผาตรงกลาง แล้วรอบๆ มีถ้วยทรงกระบอกทำด้วยดินเผาเล็กๆ ใหญ่กว่าแก้วเตกิล้าร์ เหมือนๆกัน เท่าจำนวนคน มีคนนั่งกินอยู่2-3โต๊ะ เป็นชายล้วน ศิขรนโรดมแต่งตัวพรางตนจนดูเหมือนชาวบ้าน พาจ้าวซันเดินเข้ามา สาวเสิร์ฟมาต้อนรับ
“มากันสองคน ขอโต๊ะริมๆ หน่อย”
“จ้ะท่าน ทางนี้เลยจ้า”
สาวเสิร์ฟพอไปนั่ง
“ขอมธุรา แบบพื้นบ้านสำหรับสองคน” สาวเสิร์ฟพยักหน้ารับ แล้วรีบไป
“พี่ดีใจ ที่ได้มาเที่ยวเล่นกับน้องตามลำพัง เหมือนสมัยเราเด็กๆ”
“หม่อมฉันจะพาเจ้าพี่แอบเสด็จไปศึกษาให้ทั่ว ทั้งแหล่งสำราญเช่นนี้และสถานที่อีกหลายๆ ประเภท เจ้าพี่จะได้รู้จักคีรีรัฐดี ภายในเวลาอันรวดเร็ว”
สาวเสิร์ฟเอาเหล้ามาวาง
“นี่มันสถานที่อโคจรนะ” จ้าวซันหัวเราะ
“ที่แบบนี้ล่ะครับ ที่เราจะได้พบประชาชนในแบบที่พวกเค้าเป็นจริงๆ ว่าเขาคิดอะไร กินอยู่กันยังไง”
ทันใด เสียงคนโต๊ะนึงพูดเสียงดัง
“แผ่นดินใหม่กำลังจะมาถึงแล้ว องค์ชายน่านปิงนรเทพได้ปราบปรามไอ้พวกทรราชย์จนสิ้นซาก ต่อไปนี้ คีรีรัฐจะได้เจริญรุ่งเรืองซะที”
“อดทนกะยุคสมัยดำมืดมานานแล้ว ไอ้พวกราชิด โกศิน จัตุรัส มันมีแต่กดขี่ขูดรีดประชาชน”
“ดื่มถวายพระพรองค์ชายน่านปิงนรเทพกันหน่อย พวกเรา ไชโย”
“ไช...โย้”
ชายพวกนั้นยกแก้วกัน ทันใดมีเสียงเขวี้ยงขวดเปรี้ยงอีกโต๊ะนึง ทุกคนลุกขึ้น ล้มโต๊ะ
“เจ้าหลวงมาทยาธรเท่านั้น จึงเป็นเจ้าหลวงของข้า และองค์ชายศิขรนโรดมต่างหาก ที่ทรงน่าจงรักภักดีที่สุด”
จ้าวซันผงะ ศิขรนโรดมหน้าซีด
“องค์ชายน่านปิงนรเทพ เป็นนักธุรกิจต่างชาติจะทรงสู้องค์ชายศิขร ที่เราเห็นมาแต่ทรงพระเยาว์ และทรงน่ารักและแสนดีได้อย่างไร”
“พระเทวีก็ทำอะไรเพื่อนประชาชนมาไม่น้อย ได้นายใหม่ลืมนายเก่าได้ลงคองั้นหรือ น่านปิงดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ นิสัยใจคอเป็นไง ไว้ใจได้หรือ อาจจะแย่กว่าไอ้พวกราชิดก็ได้ อาจจะมากอบโกยทรัพยากรเราไปให้ประเทศอื่นก็ได้”
ศิขรนโรดมโมโห หันไป ระเบิดเสียงดัง
“ไอ้พวกบ้า มาทำเป็นรู้ดีนัก”
ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว จ้าวซันรีบล็อกตัวศิขรนโรดมไว้
“จุ๊ๆ น้องเมาแล้ว ไปกันเถอะ กลับบ้านดีกว่า ขอโทษนะครับๆ”

จ้าวซันรีบเดินไป เอาเงินให้สาวเสิร์ฟแล้วรีบลากศิขรนโรดมออกไป ทุกคนมองตาม สนใจ

จ้าวซันลากศิขรนโรดมมา พอเจอที่ปลอดภัยก็ปล่อย ศิขรนโรดมยังฮึดฮัด
“เกือบไปแล้ว ศิขร เกิดคนพวกนั้นจำเราได้จะว่าไง”
“ดีสิ ให้ทุกคนจำได้ยิ่งดี เขาจะได้รู้ว่าเราสองพี่น้องรักกันขนาดไหน”
“เธอใจร้อนเกินไป เธอต้องรู้จักอดทน รับให้ได้กับคำวิพากษ์วิจารณ์ทุกอย่าง เราจะได้รู้สถานการณ์ที่เป็นจริงด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอรับแต่รายงานปลอมๆ จากพวกที่อยากจะเอาใจเรา แล้วก็เลยพูดแต่สิ่งที่เราอยากฟังเท่านั้น”
“หม่อมฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ เจ้าพี่ อาจเป็นเพราะว่าหม่อมฉันอดทนมาพอแล้ว แล้วตอนนี้ ไม่อยากจะอดทนอะไรอีกแล้ว”
“น้องบอกพี่เองไม่ใช่เหรอ ว่าจะพาพี่มาศึกษาบ้านเมืองของเราแบบถึงที่ ดังนั้นเมื่อประชาชนสะท้อนปัญหา ระบายความรู้สึกของเค้า เธอต้องฟัง”
“ทำไมเราต้องฟังพวกที่ไม่รู้จริง”
“ต้องฟังสิ เพื่อเราจะได้รู้ว่ายังมีอะไรที่เราต้องปรับปรุงแก้ไข หรือจะต้องอธิบาย สื่อสาร ให้ข้อมูลอะไรเขาบ้าง ถ้าเรามีโอกาส”
“จริงของเจ้าพี่”
“เชื่อพี่ แล้วดีเอง ไอ้น้องเอ๊ย” จ้าวซันตบบ่าศิขรนโรดม สองคนหัวเราะกัน

เช้าวันรุ่งขึ้นบราลีกำลังชงกาแฟให้ตัวเองในห้องแพนทรี่ นางในสามคนกำลังเดินซุบซิบกันมาโดยมีฉากบัง
“เครื่องเช้าสำหรับองค์ชายน่านปิง ต้องเป็นของแบบฝรั่งทุกวันเลยหรือ”
“ของฝรั่งพวกนี้ ไม่ใช่ถูกๆ นะ ต้องสั่งซื้อมาจากเมืองไทย เมืองเรามีซะที่ไหน พวกไส้กรอก แฮม ชีส เบค่อน อะไรพวกนั้น”
“กำลังจะขึ้นเป็นเจ้าหลวงคีรีรัฐ แต่เสวยอาหารประจำชาติของเราไม่เป็นนี่ ไม่ไหวเลยนะคะคุณ”
“นั่นสิ ก็ท่านไปทรงเจริญวัยมาจากเมืองนอก เสวยของคีรีรัฐได้ไม่กี่คำก็ทำหน้าเบ้ แล้ววาง “
บราลีได้ยิน โมโห วางถ้วยกึ้ก
“องค์ชายศิขรนโรดมน่ารักกว่าตั้งเยอะ ทรงโปรดของทุกอย่างที่เป็นของคีรีรัฐ”
“ใช่ เสียดาย องค์ศิขรนโรมดมเหมาะจะเป็นเจ้าหลวงมากกว่าตั้งเยอะ องค์ชายน่านปิง โปรดของนอกทุกอย่างไม่มีความเป็นคีรีรัฐเลย เหมือนนักท่องเที่ยวมากกว่า เรื่องก็ม้าก...”
บราลีก้าวออกไป
“ไม่จริง องค์ชายน่านปิงไม่เคยเรื่องมากและโปรดอาหารคีรีรัฐที่สุด” ทุกคนตกใจ พากันย่อตัวลง บราลีโมโห “ทำไมต้องพูดอะไรใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ ถึงจะทรงเติบโตที่อื่นแต่ก็มีคนคีรีรัฐตั้งหลายคนที่ตามไปถวายรับใช้ ใครเป็นคนบอกให้พวกเธอทำอาหารฝรั่ง ที่จริงไม่จำเป็นเลย ถ้าสิ้นเปลืองก็ไม่ต้อง คนที่นี่รับประทานอะไรกัน องค์ชายน่านปิงก็เสวยได้ทั้งนั้น”
แม่นมเดินมา มีคนติดตามสองคน ได้ยิน ตกใจ
“อะไรกันคะๆ”
บราลีหันไปจะบอก แต่รู้สึกเหมือนฟ้องจึงอึ้งไป
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากให้ทราบความจริงว่าองค์ชายน่านปิงเป็นคนง่ายๆ ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครทั้งนั้น อย่าเข้าใจผิด หรือเอาข้อมูลผิดๆ ไปเที่ยวพูด”
“ใคร ใครว่าอะไรองค์ชาย” ทุกคนก้มหน้า “อย่าให้รู้นะ ว่าใครนินทาองค์ชาย แม่จะลงโทษให้หนักเลย ไป รีบไปทำงานทำการได้แล้ว พูดมากนักนังพวกนี้”
สามนางในรีบไปแต่ไม่วายซุบซิบกัน
“แหม เรื่องเล็กๆ แค่นี้ ต้องฟ้องด้วย”
“จุ๊ๆ จะหาเรื่องคอขาดหรือไง เงียบ”
ทั้งสามรีบไป ทำท่ากลัวเว่อร์ตอนเดินผ่านบราลี บราลีเซ็ง ฉุน

ที่ซ้อมอาวุธ ธนูพุ่งมาปักที่เป้า แม่นเป๊ะ ผู้ยิงคือศิขรนโรดม จ้าวซันยิงบ้าง ลูกศรพลาดเป้าไปนิดหน่อย
“ไม่ไหวๆ มือไม่เที่ยงเสียแล้วพี่”
“ทรงออมหัตถ์ให้น้องมากกว่า”
“ไม่ได้ออมจริงๆ แต่พี่สายตาสั้นและเอียงนิดๆ ด้วย” จ้าวซันหันมายิ้มให้มิถิลา “ไหน มิถิลา ลองแสดงฝีมือหน่อยซิ เธอเก่งมาก ไม่ใช่หรือ”
“โอ๊ย เรื่องความเก่งหม่อมฉันคงสู้ม่านฟ้าไม่ได้หรอก”
“ฉันยอมแพ้ มิถิลา ฉันเกิดมาเคยยิงธนูที่ไหนกัน”
“มิถิลาต้องสอนม่านฟ้าสิ ม่านฟ้าจะได้ใช้อาวุธประจำชาติของเราเป็นบ้างไง” จ้าวซันบอก
“โอ๊ย ม่านฟ้าเขาคงไม่อยากมาหัดอาวุธโบร่ำโบราณหรอกเพคะ เขายิงปืนแม่นจะตาย”
ศิขรนโรดมขมวดคิ้ว หันมา
“มิถิลา กราบทูลกับเจ้าพี่แบบนั้นใช้ได้หรือ เจ้าพี่ไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ พูดจาระวังบ้าง” มิถิลาอึ้ง ชักสีหน้า
“ขอพระราชทานอภัยเพคะ เอ้อ หม่อมฉันรู้สึกเหนื่อย ขอพระราชทานอนุญาตไปรอทางโน้นนะเพคะ”
มิถิลาเดินแยกไป จ้าวซัน บราลีสบตากัน อึดอัดใจ ศิขรนโรดมอึ้ง

ศิขรนโรดมดึงมิถิลามามุมนึง
“มาคุยกันหน่อย มิถิลา”
“คุยอะไรเพคะ”
“อย่าทำตัวอย่างนี้สิ”
“หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยแล้ว และองค์ชายน่านปิงก็ไม่ว่าอะไร”
“แต่ฉันว่า”
“อะไรนะเพคะ”
“เจ้าพี่น่านปิงคือคนที่ฉันรักที่สุด บูชาที่สุด เธอก็จะต้องบูชาพระองค์เช่นกัน”
“หม่อมฉันจะพยายาม”
“อะไรนะ”
“หม่อมฉันทูลว่า หม่อมฉันจะพยายาม”
“ทำไมต้องใช้คำว่าพยายาม”
“ใช้คำว่าพยายามก็ผิดหรือเพคะ”
“เจ้าพี่ดีกับพวกเราขนาดไหน เธอไม่รู้สึกสำนึกเลยหรือ” มิถิลาเงียบ “พูดสิ ทำไมเงียบไปล่ะ”
“หม่อมฉันกลัวพูดผิด เงียบเสียดีกว่า”
“เธอนี่มัน...”

ศิขรนโรดมขัดใจ ในที่สุดก็หันเมิน หน้าบึ้งไปอีกทาง

มิถิลาเดินมาที่ริมน้ำแล้วตะโกนออกไปอย่างเหลืออด
“ทนไม่ไหวแล้ววว” มิถิลาก้มลงหยิบหินมาเต็มกำมือ แล้วค่อยๆ ปาลงแม่น้ำทีละก้อน พร้อมพูดใส่อารมณ์ไปด้วยทุกครั้งที่ปา “ทำอะไรก็ผิดหมด ใช่สิ ฉันมันคนเลว ฉันมันลูกกบฏนี่”
จังหวะที่มิถิลาก้มลงหาหินอีก มีหินถูกขว้างลงน้ำตรงหน้ามิถิลา มิถิลาพูดพร้อมหันไป
“ทรงตามมาหาเรื่องหรือองค์ชาย”
มิถิลาเห็นเป็นบราลีที่กำลังมองมาอย่างไม่สบายใจ ชะงัก อึ้ง
“เธอพูดจาแบบนั้น ถ้าใครมาได้ยินเข้าจะไม่ดีนะ”
“ฉันพูดความจริง เวลานี้ ทุกๆ คนในบ้านเมืองนี้ ก็คิดกับฉันแบบนี้ทั้งนั้น” มิถิลาไม่สนใจ เอาใหม่ ก้มลงหยิบหินแล้วขว้างลงน้ำไปอีกสามก้อน “ฉันมันส่วนเกิน...ฉันมันหมดประโยชน์แล้ว...องค์ชายเห็นคนใหม่ดีกว่าคนเก่า”
“พอได้แล้ว จ้าวซันเขาไม่ใช่คนใหม่ เขาคือพี่น้องกัน”
“จ้าวซัน เรียกซะสนิทสนมเลยนะ ทีอย่างนี้ไม่เข้าข่ายจาบจ้วงเหรอ”
บราลีเดินมาเผชิญหน้ามิถิลา
“เธอไม่พอใจอะไรกันแน่ “
“ฉันก็ไม่ได้เอ่ยชื่อใครนี่ ฉันแค่ไม่พอใจตัวของฉันเอง ผิดเหรอ ถึงขั้นโทษประหารไหมล่ะ”
มิถิลาหันหลัง สะบัดหน้าไม่สนใจ จะเดินกลับออกไป บราลีรั้งแขนไว้ อยากจะคุยด้วยต่อ
“เดี๋ยว” มิถิลาสะบัดแขนออก มองหน้าท้าทาย “ปัญหาของเธอ คือความคิดของตัวเธอเอง”
“ไม่ต้องมาสอนฉัน เก็บคำสอนของเธอไว้เตือนสติตัวเองดีกว่า ฉันรับใช้เจ้าหลวงกับพระเทวีมาตั้งแต่เด็ก รู้ดีว่าใครควรให้ความเคารพและใคร...ไม่ต้อง”
“สรุปว่าเธอไม่พอใจจ้าวซันกับฉันหรือ”
“พวกลวงโลก”
“อะไรนะ”
“ไหนว่ามาช่วยองค์ชายปราบศัตรูไง แต่ที่แท้ก็ต้องการยึดครองไว้เสียเอง”
มิถิลาเดินไป บราลีจับแขนไว้ไม่ยอมปล่อย มิถิลาสะบัดไม่หลุด มิถิลาใช้เพลงมวยคีรีรัฐ บราลีสู้กลับด้วยมวยคีรีรัฐที่เคยเรียนมาเช่นกัน
ทั้งคู่ต่อสู้ไปสักพัก มิถิลาถูกฝ่ามือของบราลีฟาดไปที่บ่า เสียหลักเซไปที่ต้นไม้ มิถิลาหักเอากิ่งไม้ออกมาใช้แทนดาบ ตรงเข้าไปโจมตีบราลี
“เก่งนักใช่ไหม เธอควรจะกลับไปในที่ที่เธอมาได้แล้ว”
บราลีคอยหลบ ซ้ายขวา และให้มือปัดป้องเท่าที่ทำได้
“ฉันก็มาจากที่นี่ไง”
บราลีใช้มือรับปลายไม้ของมิถิลาไว้ได้ พยายามจะดึงไปจากมือมิถิลา ทั้งคู่ออกแรงยื้อยุดกันอยู่สักพัก
“ปล่อยนะ”
“ไม่ เธอสิปล่อย”
ทั้งคู่ออกแรงดึงมากขึ้น หมุนวนไปรอบๆ
“เธอมันก็ไม่ต่างไปจากจ้าวซันของเธอ ดีแต่มาแย่งของของคนอื่นเขา” บราลีผงะ ปล่อยมือ มิถิลาเสียหลัก เซล้มลงไปทางด้านหลัง “โอ๊ย”
“เจ้าพี่น่านปิงไม่ใช่คนแบบนั้น เธอกำลังเข้าใจผิด”
มิถิลาลุกขึ้น โยนไม้ทิ้ง
“ใช่ พวกเราเข้าใจผิด เข้าใจผิดคิดว่าจ้าวซันเป็นคนดี ที่แท้ก็ทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นและเอาคืน”
พูดจบมิถิลาก็วิ่งหนีไป ทิ้งให้บราลียืนอึ้งอยู่คนเดียว

บราลีนั่งอยู่ริมน้ำ ถือก้อนหินอยู่ในมือแล้วปาลงแม่น้ำเหมือนมิถิลา
“มานั่งอยู่ที่นี่เอง”
บราลีสะดุ้ง หันกลับไป ทำท่าจะลุกขึ้น
“เจ้าพี่”
“ปล่อยให้หาซะตั้งนาน ถ้ามิถิลาไม่บอกพี่คงหาเธอไม่เจอ”
“มิถิลา”
“จะว่าไปก็น่าสงสาร เด็กผู้หญิงคนนี้กลับต้องมาแบกรับปัญหาอะไรไม่รู้”
บราลีเมินหน้าไปอีกทาง ตัดพ้อแกมงอนๆ
“หม่อมฉันก็แบกรับปัญหาไม่ต่างกัน”
จ้าวซันหันมายิ้ม แล้วเอามือลูบหัวด้วยความเอ็นดู บราลีเบี่ยงศีรษะออก จ้าวซันเอามือค้างไว้สักพัก แล้วเอาลง
“เธอต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่กว่ามิถิลาสิ” บราลีหันมามองหน้า เริ่มทำตาดุ สงสัย ต้องการคำอธิบาย “เพราะเธอจะต้องเป็นพี่สะใภ้ของเค้า” จ้าวซันหัวเราะ บราลีนิ่ง จ้าวซันเงียบ มองบราลีว่าเป็นอะไรหรือเปล่าแล้วถามลองใจ
“องค์ชายน่านปิงนรเทพแห่งนครคีรีรัฐกับคุณชายจ้าวซันแห่งอาณาจักรจ้าวฉินเย่ว์ สองคนนี้เธอรักใครมากกว่ากัน”
บราลีอึ้ง
“หม่อมฉันไม่ทราบ” จ้าวซันหัวเราะ
“แต่คุณชายจ้าวซันไม่มีอะไรเลยนะ อาณาจักรจ้าวฉินเย่ว์ก็ไม่ใช่ของเขา แต่ที่นี่องค์ชายน่านปิงนรเทพมีทุกอย่าง อำนาจ ฐานันดรศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ”
“แล้วเจ้าพี่จะเลือกอะไรล่ะเพคะ”
“ถ้าฉันต้องเป็นเจ้าหลวงขึ้นมาจริงๆ เธอจะยอมมาเป็นพระเทวีไหม”
“หม่อมฉันคงเป็นพระเทวีที่ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าเพราะนอนไม่หลับสักคืน”
“น้องกังวลอะไร”
“คนที่ยังจงรักภักดีต่อองค์ชายศิขรนโรดมมีอยู่มากมาย ถ้าสักวันมีคนมาปองร้ายเจ้าพี่ขึ้นมาอีก”
“ก็จ้างทหารยามคุ้มกันให้แน่นหนาสิ”
“ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเพคะ เป็นเจ้าหลวงต้องดูแลทุกข์สุขของราษฎรเป็นแสนๆ คอยดูแลบริหารประเทศ มันไม่เหมือนกับการทำธุรกิจ ทำบริษัทที่มีพนักงานแค่ไม่กี่ร้อยคน”
“นั่นสินะ”
“เรื่องยุ่งยากวุ่นวายคงมีมาให้แก้ไขไม่เว้นแต่ละวัน”
“กลัวลำบากเหรอ ไหนเคยบอกว่าพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเราตลอดไง”
“ก็พร้อมเพคะ แต่...”
“ถ้าพร้อมก็ไม่มีแต่”
“แต่...”
“ไม่มี”
“น้องคงไม่สามารถไปบังคับจิตใจเจ้าพี่ได้ แล้วแต่เจ้าพี่แล้วกันเพคะ”
บราลีลุกขึ้น แล้วปล่อยหินทั้งหมดในมือลงพื้น แล้วเดินไป
“เดี๋ยว”

บราลีเดินลิ่วไป ไม่หันกลับมามอง จ้าวซันรีบลุกขึ้น ส่ายหน้า “ไม่เข้าใจอะไรเล้ย”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14 (ต่อ)

ส่วนที่ฮ่องกง ที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ เหม่ยอิงยืนเท้าโต๊ะอยู่ ด้านหลังมีกราฟแผนภูมิแบบวงกลมแบ่งออกเป็นส่วนๆ เกาเฟยสไลด์แฟ้มจากปลายโต๊ะประชุมด้านหนึ่งไปยังปลายสุดอีกด้านที่ฉินเจียงนั่งอยู่
“เอาไปดูซะ รายละเอียดอยู่ในนั้นทั้งหมด”
ฉินเจียงหยิบแฟ้มมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน ไม่จริง”
“จะมาไม่จงไม่จริงอะไรอีกล่ะ ต้องให้ฉันอธิบายอีกกี่รอบคนอย่างพี่ถึงจะเข้าใจ”
“เหลือแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์”
“ใช่ แค่นี้ก็มากเกินไปด้วยซ้ำ พี่รองช่วยกรุณาดูกราฟนี้ชัดๆ อีกที แล้วจำไว้”
เหม่ยอิงพยักหน้าให้เกาเฟย เกาเฟยเดินไปหรี่ไฟในห้องลง ไฟจากเครื่องฉายส่องหน้าเหม่ยอิงให้ดูเหมือนปีศาจและน่ากลัวมากกว่าเดิม
“สัดส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ทั้งหมด ส่วนของพี่คือแค่นี้ อยู่ตรงนี้ มองแทบจะไม่เห็น ถือว่าเหมือนเป็นคนนอกแล้ว ไม่มีสิทธิ์มาบริหารอะไรทั้งสิ้น”
ฉินเจียงพลิกดูในแฟ้มอย่างเร็ว
“แล้วบ่อนที่มาเก๊า”
“พี่ไม่เข้าใจคำว่า “ไม่มีสิทธิ์มาบริหารอะไรทั้งสิ้น” ที่ฉันเพิ่งพูดจบไปเมื่อกี้ใช่ไหม นี่พูดอย่างสุภาพแล้วนะ จะให้พูดง่ายๆ แบบบ้านๆ ก็ได้ คือพี่ไม่ต้องมายุ่งกับอะไรกิจการตระกูลจ้าวอีกแล้ว ออกไปจากบริษัทได้แล้ว เชิญ”
เกาเฟยเปิดไฟ
“เฮ้ย ได้ยังไง บริษัทนี้เป็นของเต้นะ จะมาทำแบบนี้”
“เต้ไหน เต้ตายไปนานแล้ว”
“แล้วฉันจะเอาอะไรกิน ตอนนี้เงินสดติดตัวสักนิดก็ไม่มี”
“ก็ให้อีนักร้องบ้านนอกคนนั้นมันหาเลี้ยงบ้างสิ ร้านขาย “ของเก่าของแก่” ของมันน่ะ เดือนๆ นึงก็น่าจะได้กำไรอยู่หรอก” เหม่ยอิงหัวเราะอย่างดูถูก
“ช่วยกรุณาเก็บของแล้วออกไปจากบริษัทภายในวันนี้ด้วยครับ”
“ไอ้เกาเฟย แก...”
“ถ้าพี่ไม่อยากโดนยามที่นี่ลากคอออกไป ช่วยกรุณาสุภาพกับคนของฉันด้วย”
ฉินเจียงลุกขึ้น เขวี้ยงแฟ้มใส่หน้าเกาเฟย แต่เกาเฟยรับไว้ได้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ฉินเจียงจำใจเดินออกไป
“เดี๋ยว ยังมีคอนโดอยู่ไม่ใช่เหรอ” ฉินเจียงมองหน้า “จะขายไหมล่ะ ผมจะช่วยซื้อ เผื่อจะเอาเงินไปต่อยอด”
“ไม่ขายโว้ย ฉันยอมอดตายดีกว่าจะขายให้ขี้ข้าอย่างแก”
ฉินเจียงออกไป ปิดประตูใส่อย่างแรง เหม่ยอิง เกาเฟยยิ้มสะใจ

วันต่อมาที่ร้านซูหลิง เหม่ยอิงในชุดสวยเริ่ด ใส่แว่นกันแดดเดินเข้าไป เกาเฟยตาม เหม่ยอิงผลักประตูเข้าไปในห่องทำงานซูหลิงโดยไม่เคาะ ซูหลิงกำลังทำบัญชีหันมามอง ไม่ทันตั้งตัว เกาเฟยถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ออกมาให้เหม่ยอิงนั่ง เหม่ยอิง วางกระเป๋าถือและถอดแว่นกันแดดออก
“อ๋อ นึกว่าใคร ทีหน้าทีหลังจะเข้ามาก็หัดมีมารยาทซะหน่อยนะ ที่นี่ร้านฉัน ไม่ใช่บริษัทของคุณ”
“ต่อไปก็ไม่แน่”
ซูหลิงมองงงๆ เกาเฟยหยิบซองสีน้ำตาลออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเลื่อนไปข้างหน้า ซูหลิงรับมาเปิดออกดู หยิบเอกสารออกมาอ่าน เริ่มตาลุก มือสั่นก่อนจะเหวี่ยงกระดาษทิ้ง
“โกหก ใครใช้ให้คุณมาเล่นตลกที่นี่ รู้ใช่ไหมโทษฐานการปลอมแปลงเอกสารมันหนักแค่ไหน”
“ก่อนที่ฉันจะอธิบาย ขอพูดอะไรสักอย่าง รู้สึกว่าไอ้กิริยาทั้งหมดที่เธอทำเมื่อสักครู่มันก็ดูเป็นสันดานต่ำๆ ยังไงไม่รู้ หัดซื้อกระจกดีๆ เอาแบบที่มันส่องสันดานได้มาใช้บ้างสิ”
“นี่มันอะไรกัน”
“ก็ตามนั้น อ่านไม่ออกเหรอ ตึกนี้กำลังจะถูกยึด ร้านขายของเก่านี่คงต้องไปหาที่อยู่ใหม่เพราะว่ามีคนเขาซื้อที่ดินตรงนี้ไว้หมดแล้ว และก็กำลังจะเปิดโครงการใหญ่ประมาณเดือนหน้า”
“อาจจะเป็นค็อกเทลเล้าน์ก็ได้ใครจะรู้ สนใจมาทำงานไม่ล่ะคะคุณซูหลิง แม่ค้าขายบริการมือเก่าๆ อย่างคุณน่าจะเรียกลูกค้าได้ไม่ยาก”
“คุณใช่ไหม ที่เป็นคนซื้อที่นี่”
“ฉันแค่มาส่งจดหมายให้เธอ อืม...แต่เรื่องนี้คุณชายจ้าวซันไม่ได้บอกเธอหรอกเหรอ ตอนที่เขาพาเธอมาเปิดร้านน่ะ”
เหม่ยอิงใส่แว่นกันแดด และลุกขึ้นเดินออกไปทันที เกาเฟยตาม เดินเชิดออกจากห้องไป ซูหลิงหน้าซีด

คืนนั้นที่บ้านสี่ฤดู เหม่ยอิงเดินผ่านอากงที่ยืนอยู่หน้าประตูจนเกือบชน
“หลีกไป”
“ใหญ่คับบ้านจริงๆ”
เหม่ยอิงเดินไปที่ห้องไทไท ผลักประตูเข้าไป เห็นไทไทนั่งรออยู่แล้ว
“จ้าวซันใกล้จะกลับหรือยัง”
“ไม่รู้”
“โกหก”
“ไม่รู้”
“ไหนบอกไทไทรู้ทุกอย่างไง ทำไมทีนี้ไม่รู้แล้วล่ะ บอกมา”
เหม่ยอิงเดินเข้าไปประชิด
“ไม่รู้”
“จะตายไม่ตายแหล่อยู่แล้วยังจะมาทำปากแข็งอีก จะบอกหรือไม่บอก”
“ไม่รู้”
เหม่ยอิงหันซ้ายหันขวาเห็นมีดปอกผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ เดินไปหยิบมาถือไว้ในมือ
“จ้าวซันจะกลับมาเมื่อไหร่”
“อีโง่”
“แกสิโง่ จะบอกหรือไม่บอก”
เหม่ยอิงถือมีดขู่
“ฆ่าสิ ฆ่าเลย กล้าหรือเปล่า อีโง่ น้ำหน้าอย่างแกเป็นใหญ่ไม่ได้หรอกเว้ย โหงวเฮ้งมันไม่ให้”
“หุบปาก”
“หน้าผากแบบนี้ คิ้วแบบนี้ ไม่ตายโหงก็ต้องตายในคุก เอาสิฆ่าเลยๆๆ”
เหม่ยอิงเดินย่างสามขุมเข้าไป
“ได้ แกท้าเองนะ”
อากงเข้ามาพอดีเห็นเหม่ยอิงกำลังถือมีดอยู่
“คุณหนู! จะทำอะไรน่ะ”
เหม่ยอิงหันกลับมา ทิ้งมีดลงกับพื้น แล้วเชิดหน้าออกไป ไทไทหัวเราะเสียงดังไล่หลัง
“อีโง่ แน่จริงกลับมาฆ่าข้าสิวะ”

เหม่ยอิงแค้นจัด เดินลงบันไดไป

เหม่ยอิงเดินลงบันไดมาเจอผิงอันเดินสวนขึ้นไป ทั้งคู่หยุดจ้องหน้ากันสักพัก
“พี่ชายของแกติดต่อกลับมาบ้างหรือเปล่า”
“เปล่า”
ผิงอันหลบไปอีกทางเพื่อจะเดินขึ้น เหม่ยอิงเอาตัวมาขวางไว้
“โกหก”
“หนูไม่ใช่คนโกหก”
ผิงอันหลบไปอีกทางเพื่อจะเดินขึ้น เหม่ยอิงเอาตัวมาขวางไว้อีก
“เลิกปิดบังฉันได้แล้ว พี่ชายกะอินั่น จะกลับเมื่อไหร่”
“หนูขอร้องล่ะ เลิกยุ่งกับพี่ชายใหญ่สักที” ผิงอันหลบไปอีกทางเพื่อจะเดินขึ้น เหม่ยอิงเอาตัวมาขวางไว้อีก ผิงอันชักรำคาญ “เท่าที่หนูรู้นะ คือทันทีที่กลับมา พี่ชายใหญ่กับพี่บรีเขาจะแต่งงานกัน”
“แต่งงาน”
“พี่ควรเรียนรู้ ที่จะแสดงความยินดีกับเขาได้แล้ว”
เหม่ยอิงจับที่บ่าทั้งสองข้างของผิงอัน
“บอกมา ฉันจะติดต่อพี่ชายแกได้ยังไง”
“หนูไม่รู้จริงๆ”
“ไม่รู้ใช่ไหม” เหม่ยอิงทำท่าจะผลักผิงอันลงไป แต่มีมืออาม่ามาจับที่บ่าเหม่ยอิงไว้ และบีบอย่างแรง “โอ๊ย”
เหม่ยอิงปล่อยมือจากผิงอัน
“รีบขึ้นห้องไปซะซายหมุย” อาม่าบอกผิงอัน ผิงอันรีบวิ่งขึ้นห้องไป เหม่ยอิงจ้องหน้าอาม่า แล้วสะบัดตัวหลุดออกมา หันกลับไปมองแค้น “คุณหนูใหญ่จะทำอะไรอาม่า ก็เชิญเลย”
เหม่ยอิงจ้อง อาฆาต อาม่าจ้องตอบ ยอมตาย

วันต่อมาเหม่ยอิงเดินไปมาอยู่ในสวนวัดชินหลิน เกาเฟยใส่แว่นดำ ควงกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ เดินเข้ามาจากประตูทางเข้า เดินมองหาเหม่ยอิงไปรอบๆ ทั้งสองคนเดินวนไปรอบๆ แต่คลาดกันไปมา หากันไม่เจอ เหม่ยอิงหงุดหงิด กดโทรศัพท์หา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นใกล้ๆ เหม่ยอิงหันไปตามเสียงก็เห็นเกาเฟยยืนกดรับโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่เห็นกันเพราะต้นไม้บัง
“ไม่ต้องรับแล้ว ฉันอยู่นี่” เกาเฟยรีบวิ่งมาหา “ช้าเหลือเกินนะ”
“ผมไม่คุ้นทางแถวนี้เลย”
เกาเฟยพูดเบาๆ มองไปรอบๆ บรรยากาศดูเงียบๆ ไม่ค่อยมีคน รู้สึกแปลก
“ไปคุยตรงโน้นดีกว่า”
เหม่ยอิงมองไปที่ศาลาไม้เล็กๆ ใกล้ๆ
“นัดผมมาที่แบบนี้ ไม่สมกับเป็นคุณหนูใหญ่เลยนะครับ”
“ทำไม ฉันจะเข้าวัดมาสงบสติอารมณ์บ้างไม่ได้หรือไง”
“แล้วสงบไหมครับ”
“ไม่ ตั้งแต่มาเจอหน้าแกนี่แหละ”
เหม่ยอิงเดินเข้ามาในศาลาแล้วนั่งลง เกาเฟยตามไปนั่งอยู่ห่างๆ
“คุณหนูคิดแผนการดีๆ ออกแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่แผนดีอะไรหรอก แผนชั่วเลยต่างหาก”
“เข้ามาคุยในนี้มันจะดีเหรอครับ”
“เรื่องชั่วๆ นี่ต้องไปคุยที่ไหนเหรอถึงจะเหมาะ คุยมันที่นี่แหละ ชั้นทำดีไม่มีใครเห็นมามากแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนใจมาทำชั่วบ้าง”
“คุณชายจ้าวซันยังไม่รีบกลับมาใช่ไหมครับ”
“ไม่กลับมาก็ช่าง จะไปขึ้นเขาลงห้วยกับอินังแพศยาที่ไหน นานเท่าไหร่ก็เชิญ แต่กลับมาเมื่อไหร่ เค้าจะไม่มีที่ยืนในฮ่องกงอีกต่อไป”
“คุณจะได้เป็นไท้เผ่งอย่างถาวร”
“แล้วชั้นละทำลายมันให้เป็นเสี่ยงๆ โดยมีแกช่วย แกอาจจะไม่ต้องเสี่ยงตายเหมือนครั้งก่อนๆ แล้ว”
“ผมจะได้แต่งชุดนักธุรกิจหรูๆ หรือเปล่า” เหม่ยอิงหัวเราะ
“แกจะได้แต่งแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า แกคอยดูวันที่จ้าวเหม่ยอิงคนนี้ครอบครองทุกอย่าง และก็ยิ่งใหญ่กว่าผู้หญิงคนไหนๆ ที่แกเคยรู้จักมาทั้งชีวิต”
เหม่ยอิงยิ้มเหี้ยมเกรียม

ที่คีรีรัฐ ภูสินทรและพวก เดินนำและแวดล้อมบราลีกับจ้าวซันชมตลาดมา พวกชาวเมืองเห็นพากันเข้ามารุมล้อม
“ทรงเจริญยั่งยืน”
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน”
ทุกคนพากันพูดตามเซ็งแซ่
“น่านปิงนรเทพ จะคุ้มครองพวกเราตลอดไปใช่ไหม”
จ้าวซัน บราลีหันไป
“น่านปิงนรเทพแข็งแกร่งที่สุด น่านปิงนรเทพไม่มีผู้ใดเทียม จริงไหม”
“น่านปิงนรเทพไม่มีผู้ใดเทียม”
ทุกคนเฮกัน ภูสินทรมีสีหน้าปลาบปลื้ม จ้าวซัน บราลี มองหน้ากัน ยิ้มพอใจ ทันใดนั้นมีเสียงนึงแหวกออกมา
“ศิขรนโรดมเท่านั้น ที่จะอยู่ในใจประชาชนเสมอไป” ทุกคนหันไป “ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าถูกสั่งสอนมาให้ภักดีองค์รัชทายาทศิขรนโรดม ข้าไม่สามารถเปลี่ยนใจได้”
เด็กหนุ่มพูดแล้ว วิ่งหนีไป ทุกคนตะลึง
“จับตัวมันมา”
พวกคนของภูสินทรวิ่งแวกคนจะตามไป
“หยุด ไม่ต้องตาม” จ้าวซันบอก บราลีมองจ้าวซันอย่างห่วงใย “เรื่องแบบนี้ เราจะบังคับจิตใจผู้คนไม่ได้”
“องค์น่านปิงนรเทพทรงเมตตายิ่งนัก”
“องค์น่านปิงทรงเจริญยั่งยืนพะย่ะค่ะ” ชาวตลาดรีบตะโกน ทุกคนขานรับ
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน”
“เราคงต้องใช้เวลาหน่อย บ้านเมืองเราตกอยู่ใต้ฝ่ายของเขามานาน”
ภูสินทรบอกกับจ้าวซัน ชาวตลาดรุมกันเอาของมาถวายจ้าวซัน บราลีมองจ้าวซันอย่างเป็นห่วง

วันเดียวกันนั้นที่อาศรมครูเฒ่า สุริยะพูดแบบเป็นกลางอย่างจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
“มันไม่มีอะไรสวยงามเป็นนิทานปรัมปราหรอก เราต้องให้เวลา แล้วให้ความดีงามขององค์น่านปิงนรเทพเอาชนะใจประชาชนให้ได้ในวันหนึ่ง”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เบื้องหลังไอ้พวกที่มาคอยแสดงความคิดเห็นต่อต้านแบบนี้ มันมีอะไรที่เลวร้ายซ่อนอยู่หรือเปล่า”
“เมืองเทพ เอ้อ...ภูสินทร ท่านคงผ่านความยากลำบากมามาก จนไม่ไว้ใจใคร” ครูเฒ่าบอก
“เราทุกคนต่างเคยไว้วางใจบุคคลอื่นเกินไป จนทำให้สูญเสียทุกอย่าง พวกท่านลืมเลือนหมดแล้วหรือ”
“พวกเราไม่มีใครลืมหรอก ท่านภูสินทร แต่ว่าเราไม่ต้องการความเกลียดชังในบ้านเมืองอีกแล้ว พวกเราต่างเบื่อหน่าย และเป็นทุกข์กับความขัดแย้งมานานเกินไป” หมอหลวงบอก

“ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะอยากให้มันมีความขัดแย้งอีก แต่พวกคนที.แสดงความแคลงใจในองค์น่านปิงนั้น ข้าอยากรู้ว่ามีใครคอยยุยงปลุกปั่นอยู่หรือเปล่ามันก็เท่านั้น”

บริเวณที่ซ้อมอาวุธ ภูสินทรต่อย บราลีหลบ ภูสินทรเตะ บราลีหมุนตัวหนี ภูสินทรบุกๆๆ ในแม่ไม้มวยคีรีรัฐต่างๆ บราลีหลบได้อย่างสวยงาม
“เก่งมาก ม่านฟ้า ท่านสมเป็นทายาทองครักษ์อินปงจริงๆ”
บราลียิ้มภูมิใจ และหอบๆ
“ขอบคุณคุณเมืองเทพมากๆ ค่ะ”
“ต่อไปนี้ คุณโจมตีผมบ้าง”
“ได้เลย รับมือ”
บราลีเป็นฝ่ายรุก ภูสินทรถอยๆ สามสี่ท่า ที่สวยงาม สุดท้ายภูสินทรจนมุม แล้วหันมาอีกที ควักมีดออกมาบราลีตกใจ แล้วสัญชาตญาณ เตะที่มือ ภูสินทรปล่อยมีดลอย บราลีตื่นเต้น
“โอโห ม่านฟ้า สิ่งนี้ผมไม่เคยสอนคุณนะ”
“ขอโทษทีค่ะ ฉันทำคุณเจ็บหรือเปล่า”
“เปล่าเลย แต่คุณพอจะเป็นราชองครักษ์ที่ดีของเจ้าหลวงแล้วนะ”
“เย้”
“คุณจะเป็นพระเทวีคนแรก ที่ทำหน้าที่เป็นราชองครักษ์หญิงของเจ้าหลวงคีรีรัฐ”
“เหรอคะ แต่...”
“แต่ อะไร”
“ถ้าองค์ศิขรนโรดมเป็นเจ้าหลวง มิถิลาก็คงเป็นองครักษ์หญิงที่ดีที่สุด” ภูสินทรหน้าหงิก
“อย่าพูดแบบนี้อีก”
“อ้าว”
“สำหรับผม เจ้าหลวงจะต้องเป็นองค์ชายน่านปิงนรเทพเท่านั้น และพระเทวีจะต้องเป็นคุณม่านฟ้า หากใครยกย่องผู้อื่นเสมอองค์ชายน่านปิง ผมจะถือว่ามันเป็นกบฏทุกคน”
บราลีอึ้ง ไม่สบายใจ

คืนนั้นจ้าวซันนั่งเขียนกำหนดการบางอย่างอยู่โดยมีบราลีนั่งพัดข้างๆ จ้าวซันหันมายิ้ม
“น้องไปพักเถอะ ไม่ต้องพัดหรอกพี่อยู่ได้”
“ไม่ได้ค่ะ น้องต้องอยู่ แล้วก็ดูแลเจ้าพี่ด้วยตัวเอง”
“ทำไมล่ะ”
“น้องได้ข่าวว่าถ้าหากเปิดโอกาสให้นางในคนอื่นมาดูแลว่าที่เจ้าหลวง มันจะไม่ดี เพราะที่จริงแล้ว เจ้าหลวงคีรีรัฐอาจจะมีสนมเล็กสนมน้อยได้หลายคน” จ้าวซันหัวเราะ
“จริงเหรอ โอ๊วว...พี่เพิ่งรู้ ดีๆๆ”
“อย่ามาๆๆ น้องล้อเล่นต่างหากล่ะ พระเทวีไม่ให้น้องมาคลุกคลีกับฝ่ายหน้า นอกจากมีหน้าที่อะไรจึงจะอนุญาต น้องจึงต้องมาถวายงานเจ้าพี่ เพื่อเป็นข้ออ้างน่ะค่ะ เพราะ...”
ทันใดทหารสองคนที่ยืนระวังอยู่ แยกตัวออก มีชายคนนึงเดินเข้ามา จ้าวซันหันไป บราลีลุกขึ้น ชายคนนั้นเดินมุ่งเข้ามาบราลีเข้าไปขวาง
“เจ้าเป็นใคร”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาจึงเห็นว่าเป็น
“ผมเอง คุณม่านฟ้า”
“เข้ามาทำไม ในยามวิกาล”
“ผมหายป่วยดีแล้ว เลยรีบกลับมาประจำการในวังเหมือนเดิม จึงจำเป็นจะต้องมาขอถวายบังคมต่อว่าที่เจ้าหลวง” จ้าวซันยิ้ม
“ให้อสุนีเข้ามาเถอะ ม่านฟ้า พี่ก็อยากพบเขาเหมือนกัน”
อสุนีจะเข้า บราลีขยับมาขวางอีก
“เดี๋ยว” อสุนีชะงัก “ขอค้นตัวก่อน”
“อะไรนะ”
“ท่านอาจจะพกอาวุธอะไรมาก็ได้” บราลีเข้ามา ตบๆ ที่แขน สองบ่า จ้าวซันลุกทันที
“บรี! ทำอะไร น้องเป็นสตรีนะ สตรีคีรีรัฐไม่เข้าใกล้ชิดกับบุรุษขนาดนั้น”
“น้องทำหน้าที่ของน้อง”
“พี่ทำเอง”
จ้าวซันปราดมาตรงหน้าอสุนี อสุนีทรุดลง กราบกับพื้นทันที จ้าวซันนั่งลงประคอง
“ลุกขึ้นๆ” อสุนีมองหน้า จ้าวซันยิ้มให้ จ้าวซันมองอสุนี แล้วดึงเข้ามากอด ตบหลังไหล่ บราลีมอง อึ้งๆ “อสุนีขอบใจเธอมาก เธอยอมเสียสละเพื่อพวกเราหลายอย่าง สิ่งที่เธอทำยากมาก ทุกคนรู้ดี แต่เธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลย”
“รับสั่งได้น่าประทับใจจริงๆ..แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำลงไป..เพื่อผู้ใดทั้งสิ้น..นอกจาก..ทำไปตามอุดมคติของตัวเองเท่านั้น “
“ถึงยังไงก็ต้องขอบใจ แล้วก็ขอแสดงความเสียใจกับเธอด้วย”
“ทรงพระกรุณายิ่งพะย่ะค่ะ”
จ้าวซันยิ้ม จับมืออสุนีเขย่า อสุนียิ้ม มองหน้าจ้าวซัน บราลีมอง สังหรณ์

อีกด้านหนึ่งที่ฮ่องกง ที่โต๊ะอาหารภายในบ้านสี่ฤดู แม่สี่กับผิงอันกำลังนั่งถักเสื้อนิตติ้งกันอยู่ อากงยืนดูอยู่ข้างหลังอย่างสนใจ
“นี่มันจะออกมาเป็นอะไร”
“จะเป็นผ้าคลุมไหล่ให้จ้าวไทไท สำหรับหน้าหนาวนี้” ผิงอันบอก
“แน่ใจนะ ว่ามันจะเสร็จทันปีนี้”
“ฉันจะถักให้เสร็จก่อนฉันไปเมืองนอกก็แล้วกันล่ะ”
ทันใดนั้นผิงอันก็หันไปมองที่ประตูทางเข้า สีหน้าตกใจ มือถือไม้นิตติ้งค้างไว้ แม่สี่งง หันไปมองบ้างแล้วก็ตกใจไม่แพ้กัน อาม่าเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับถาดใส่อาหาร
“เดี๋ยวอิฉันเอาสำรับขึ้นไปให้ ไอ๊หยา”
อาม่าตกใจ เกือบทำถาดตก เพราะสิ่งที่เห็นคือฉินเจียงกำลังยืนอยู่หน้าประตู สภาพทรุดโทรม หน้าตาบึ้งตึง
“พี่ชายรอง มาทำอะไร”
“ผมมาหาแม่ใหญ่” ฉินเจียงเดินตรงรี่เข้าไปภายในบ้าน ผ่านอาม่าไป ชะงัก หันหลังกลับมา “กำลังจะเอาไปให้ไทไทใช่ไหม”
“เอ่อ ค่ะๆ”
“ฉันเอาไปให้เอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ คือ...เดี๋ยว ว้ายย”
ฉินเจียงคว้าถาดจากอาม่ามาถือไว้ แล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง ทั้งหมดมองหน้ากันแปลกใจ
“จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า หรือว่า...ตายแล้ว”
“รีบขึ้นไปช่วยไทไทกันดีกว่าค่ะ”
“ไปสิอาม่า เร็ว เดี๋ยวหนูไปด้วย”

“แม่ไปด้วย”

ทั้งหมดลุกขึ้น กำลังจะเดินตามฉินเจียงขึ้นไปด้วยความเป็นห่วงไทไท อากงเดินเข้ามาขวางทางไว้ ท่าทางจริงจัง
“ไม่ต้องครับ คุณนายสี่กับคุณหนูถักไหมพรมกันต่อเถอะ เดี๋ยวผมขึ้นไปดูเอง”
แม่สี่ ผิงอัน อาม่า มองหน้ากัน ยังไม่วายเป็นห่วงไทไท อากงมองขึ้นไปชั้นบนทางห้องไทไท

ฉินเจียงอยู่หน้าห้องไทไทกำลังจะเคาะประตูห้อง
“เข้ามาเลย ไม่ต้องเคาะ” เสียงไทไทดังออกมา ฉินเจียงเปิดประตูห้องเข้าไปพร้อมถือถาดอาหาร ไทไทหัวเราะเสียงดัง “ในที่สุดก็ต้องซมซานกลับมาขอยืมเงินฉัน ใช่ไหมไอ้ลูกหมา”
ฉินเจียงเดินเข้าไปใกล้ๆ เอาถาดข้าววางไว้บนโต๊ะ
“เปล่า เสียใจด้วยครับ คราวนี้แม่ใหญ่ทายผิด”
“หึหึ”
“ถึงผมจะจนตรอกแค่ไหน ถ้าผมยังไม่ตาย ผมจะไม่มีวันก้มหัวให้ใครเป็นอันขาด”
“งั้นแกมาที่นี่ทำไม”
“ผมจะเอาของของผมมาขายแม่ใหญ่”
“ของของแก แกยังมีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออีกเหรอ” ไทไทหัวเราะ
“คอนโดผมที่คอสเวย์เบย์”
“แล้วฉันจะเอาคอนโดแกไปทำอะไร”
“ผมไม่อยากขายของเก่าของแม่ผม ผมขอขายสิ่งที่ผมทำมาหาได้เอง”
ไทไทนิ่ง มองฉินเจียงตาไม่กระพริบ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เหมือนจะอ่านอะไรสักอย่าง ยิ้มเย็น
“ได้ แกจะขายฉันเท่าไหร่”
“ผมขอแค่ล้านเหรียญ” ไทไทหัวเราะ
“คอนโดที่แกรักนักหนา แต่ขายล้านเดียว ไอ้กระจอกเอ๊ย จำไว้นะถึงจะอับจนหนทางหรือสิ้นไร้ไม้ตอกแค่ไหน เต้แกก็ไม่มีวันยอมขายของต่ำกว่าทุนเป็นอันขาด” ฉินเจียงเงยมองไทไทที่สั่งสอน แปลกใจ “ฉันจะโอนเงินให้แกวันพรุ่งนี้ ถือว่าแกมาขายฝากแล้วกัน”
ฉินเจียงคุกเข่าลงไป คำนับแม่ใหญ่อย่างสุดซึ้ง แต่ยังคงไว้ฟอร์มอยู่กลายๆ
“ขอบคุณ แม่ใหญ่”
ฉินเจียงหันหลังและจะรีบเดินออกไป
“เดี๋ยว” ฉินเจียงชะงัก หันกลับมา “เอาอาหารพวกนี้ไปใส่ปิ่นโตให้ฉันที” ฉินเจียงงง ค่อยๆ เดินมาที่ถาดอาหาร
“แล้วแกก็เอากลับไปกินซะ แบ่งให้เมียแกด้วย คนกำลังท้องกำลังไส้ ควรหาอะไรดีๆ ให้กินบ้าง”
ฉินเจียงตกใจ ซาบซึ้ง ทำอะไรไม่ถูก
“หา...แม่ใหญ่ อะไรนะครับ”
“อากง! ออกมาได้แล้ว” อากงที่หลบอยู่หลังประตูเดินเข้ามา “เอาไปจัดการให้มันที”
อากงเดินมารับถาดอาหารจากมือฉินเจียง พร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาฉินเจียงเป็นเชิงยินดีด้วย
“เห็นหน้าแกแล้วฉันกินไม่ลงต่างหาก ไม่ต้องมาทำซาบซึ้งแถวนี้ น่ารำคาญ จะไปไหนก็ไป”
ฉินเจียงเม้มปากยิ้ม ก้มหัว แล้วรีบออกจากห้องไป ไทไทไม่มอง ฉินเจียงปิดประตู ไทไทจึงหันไปมองที่ประตู นัยน์ตามีแววอ่อนโยนลง

ที่คีรีรัฐ จ้าวซันกับศิขรนโรดมวิ่งออกกำลังกายอยู่ในวัง ด้านนึงพวกทหารวังกำลังจับกลุ่ม ท่าทางถกเถียงกัน หน้าตาเอาเรื่อง มีทหารหนุ่มสองคนที่จะพุ่งเข้าใส่กัน แล้วมีเพื่อนดึง ห้าม รั้งไว้ คนละคน ไม่ให้ต่อยกัน จ้าวซันกับศิขรนโรดมหยุด แล้วมองดู
“มีเรื่องอะไรกัน”
“ทำไมไม่มีระเบียบวินัยกันเลย เวลานี้ อะไรๆ มันไร้คนบริหารดูแลไปหมด ไม่มีผู้บังคับบัญชา ไม่มีลูกน้องกันเลย ใครเป็นคนรับผิดชอบ ต้องอบรมกันหน่อย”
ศิขรนโรดมจะเข้าไป แต่จ้าวซันจับไว้
“เดี๋ยว”
จ้าวซันหลบพุ่มไม้ ศิขรนโรดมตามมา ทหารพวกนั้นเดินผ่านกันมา พลางก็ถกเถียงกันมา ทหารที่ดูเป็นผู้ใหญ่ กำราบคนหนุ่มสองคนมาตามทาง
“หน้าที่ของพวกเรา ใครมาเป็นเจ้าหลวง พวกเราก็มีหน้าที่ต้องจงรักภักดีทั้งนั้น”
“ข้าเข้าใจ แต่ข้าก็จงรักภักดีกับเจ้าหลวงมาทยาธร แล้วก็รักองค์ศิขรนโรดม”
“แต่องค์น่านปิงนรเทพต่างหาก ที่ควรเป็นเจ้าหลวงที่แท้จริง ระวังหัวพวกเจ้าไว้ให้ดีก็แล้วกัน หากยังไม่เลิกพูดจาแบบนี้ อย่าหาว่าไม่เตือน”
“พอๆๆ ได้แล้ว ถ้าเจ้าภักดีต่อองค์มาทยาธรและองค์ศิขรนโรดมจริง พวกเจ้าก็ต้องพร้อมที่จะจงรักต่อองค์น่านปิงด้วย เพราะทั้งสองพระองค์แรก ต่างมอบความไว้วางพระทัย ยอมสยบต่อองค์น่านปิงนรเทพอย่างที่สุด”
“ใครที่ยังกระด้างกระเดื่อง ข้าขอประกาศเลยว่าข้าจะจัดการกับพวกมันอย่างเด็ดขาด คีรีรัฐต้องเป็นเอกภาพ ภายใต้เจ้าหลวงน่านปิง เจ้าหลวงองค์ใหม่องค์เดียวเท่านั้น”
พวกทหารผ่านไป จ้าวซันเงียบ ศิขรนโรดมหน้าซีด

จ้าวซันกับศิขรนโรดมเดินเช็ดหน้าตา แล้วจิบน้ำกันมา จ้าวซันดูนิ่งๆ จนศิขรนโรดมร้อนใจ
“คนพวกนี้ มันบังอาจนัก”
“บังอาจยังไง”
“บังอาจมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็ในเมื่อเจ้าพ่อถวายทุกอย่างให้เจ้าพี่ ทุกคนก็ต้องเชื่อฟังและยอมรับสิ ทำไมต้องก่อเรื่องขัดแย้งกันด้วย”
“ใจคนนะศิขร เราต้องเอาชนะใจเขา ให้เขามอบใจให้เราด้วยตัวเอง”
“แต่มันเอาเรื่องแบบนี้มาคุยกัน มันไม่บังควร”
“เขาก็พูดกันในกลุ่มของเขา เราเอง ที่ดันไปแอบฟัง”
“ใครคุยกันเรื่องนี้ในที่สาธารณะ จะเกิดอะไรขึ้น”
“แล้วจะต้องทำไง เอาปืนไปจี้ ให้ทุกคนคิดเห็นเหมือนเราให้หมดหรือ”
“แล้วเราจะทำไง”
“พี่ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง เหมือนสินค้า ต้องทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าของเราดีจริง”
“เจ้าพี่! พูดเป็นเล่น นี่มันไม่ใช่การตลาดนะ”
“จะว่าไปพี่ว่ามันใช่นะ ถ้าผลิตภัณฑ์ของเราดีจริง เราก็ต้องกล้าท้าพิสูจน์ ให้เขาได้ทดลอง ถ้าเขาลองแล้วไม่เอา เราก็ต้องแก้ไข ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง”
“เจ้าพี่”

ศิขรนโรดมเครียด จ้าวซันนิ่งไป

จบตอนที่ 14

อ่านต่อตอนที่ 15 พรุ่งนี้ เวลา 0930น.
กำลังโหลดความคิดเห็น