สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 14
กรรณาเดินขรึมๆออกมาหน้าร้าน พงอินทร์รีบตามมา
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้”
“ไม่ได้ๆ ความปลอดภัยของคุณคือความรับผิดชอบของผม”
“ฉันเป็นความรับผิดชอบของนายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
พงอินทร์ทำหน้ากวนๆ
“ตั้งแต่...เราคบกัน”
“ใครคบกะนาย...พูดดีๆนะ”
แต่แล้วจู่ๆน้ำหนึ่งก็วิ่งกลับมาทางหน้าร้าน เจอทั้งคู่พอดี
“โจ้...โชคดีจริงๆที่โจ้ยังไม่ไป ช่อเพชรส่งข้อความกลับมาแล้ว”
กรรณากับพงอินทร์พูดออกมาพร้อมกัน
“จริงเหรอ”
“ค่ะ ช่อเพชรส่งแมสเสจกลับมา” น้ำหนึ่งเอามือถือมากดให้ดูข้อความ “กำลังจะไปธุระที่ดรีมเวิร์ล ให้แมสเซนเจอร์เอามาให้ที่นี่ได้ไหม ขอบคุณค่ะ จากช่อเพชร”
กรรณาร้อนใจ
“ดรีมเวิร์ล...เรารีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“แต่หนึ่งมีประชุม”
“ประชุมอะไร...คุณต้องไปช่วยเรารับหน้าคุณช่อเพชรก่อน”
“หนึ่งกลับไปทำงานเถอะ แค่ช่วยติดต่อช่อเพชรให้ก็ขอบคุณมากแล้ว” พงอินทร์พูดแดกกรรณา “เกรงใจคุณมากจริงๆ”
“แต่...” กรรณาจะแย้ง
พงอินทร์ตัดบท
“เราก็รู้จักหน้าค่าตาช่อเพชร ไปจัดการกันเองน่ะดีแล้ว...ไป”
พงอินทร์คว้ามือกรรณาลากไป น้ำหนึ่งมองตาม สายตามึนๆ
ติณห์รู้เรื่องแปลกใจ
“คุณอยากจะร่วมลงทุนในรีสอร์ทของเรา...จริงเหรอครับ”
มิรันตีอยู่ข้างสมคิด
“จริงสิครับ...ผมชอบที่นี่มาก ออกแบบสวย กลมกลืนกับธรรมชาติ แค่เข้ามาก็รู้สึกผ่อน คลายสบายใจ ยิ่งมาเจอผู้บริหารที่ทั้งสวยและเก่งอย่างคุณแมรี่ด้วย ผมเลยอยากจะอยู่ ที่นี่ต่อไปนานๆ”
มิรันตีเขินๆ
“แขกพิเศษๆอย่างคุณ ฉัน...อุ๊บส์ พวกเรา ก็อยากให้พักนานๆเช่นกันค่ะ”
“ไอ้ติณห์...จิ้งจกทัก คนเขายังหยุดฟัง แต่นี่...ตาเอ็งนะ ไอ้คนนี้ มันไม่ได้มาดีแน่ๆ” หลวงพิชัยภักดีพยายามเตือน
“ผมเห็นว่าที่นี่ยังมีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่อีก ที่ดินข้างๆที่เป็นรีสอร์ทร้างนั่นด้วย” สมคิดกล่อมต่อ
“ที่ดินกำนันพงษ์” มิรันตีเสริม
“ใช่ๆ ถ้าเขาขาย ผมก็อยากจะซื้อลงทุนร่วมด้วย”
“แล้วทำไมคุณไม่ลงทุนทำรีสอร์ทเองเลยล่ะครับ” ติณห์ถามเรียบๆ
“ก็...ผมไม่มีประสบการณ์ เลยอยากจะหาหุ้นส่วนที่มีทัศนคติตรงกันสักคนมาเป็นที่ปรึกษา”
มิรันตียิ้มแย้ม เพราะคิดว่าสมคิดหมายถึงอยากให้ตนเป็นหุ้นส่วนหัวใจ
“แม่ว่าน่าสนใจนะ...ถ้าเราซื้อที่ดินของกำนันพงษ์ได้ เราจะมีที่ดินกว้างมหาศาล ระดับสร้างสนามบินเล็กๆของเราได้เลย เราจะมีเครื่องบินส่วนตัว ขนาดสิบที่นั่ง รองรับนักท่องเที่ยวระดับอภิมหาเศรษฐีจากทั่วโลก พอเขามาถึงไทยแลนด์ปั๊บ เราก็พาขึ้นเครื่องมาลงที่คิดส์แอนด์แมรี่แลนด์ต่อทันที”
ติณห์อึ้ง
“คิดส์แอนด์แแมรี่แลนด์”
“คือ เราจะสถาปนารีสอร์ทเราเป็นประเทศขึ้นมา ชื่อประเทศคิดส์แอนด์แแมรี่แลนด์ มีเวลาเร็วกว่าประเทศไทยหนึ่งชั่วโมง หนึ่งดอลล่าห์คิดส์ เท่ากับหนึ่งร้อยบาท ปกครอง ด้วยระบบคิดส์ธิปไตย” มิรันตีอธิบาย
ติณห์งงว่ามิรันตีเพ้อเจ้ออะไรกันมากขนาดนี้ หลวงพิชัยภักดีเบ้หน้า
“นังเพ้อเจ้อ คิดธิปไปตายอะไรของเอ็ง”
“พอเถอะแมรี่...ยัวร์ซัน ติณห์ท่าทางจะไม่คิดเหมือนกับคุณนะ” สมคิดขัดขึ้น
“จริงเหรอติณห์...ลูกไม่คิดเหรอว่า คอนเซ็ปต์คิดส์แอนด์แมรี่แลนด์ มันเป็นอะไรที่โซ้คูล ลุ่มลึก บัทโคซี่ สบายๆ กันเอง เข้าใจชีวิตและเซ็กซี่ จริงมั้ยเบญจา”
เบญจาเออออตามน้ำ
“ค่ะ หนูชอบ เป็นอะไรที่พิเศษ ไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนพวกรีสอร์ทอื่นๆ”
“ติณห์...ไอเดียลุ่มลึกๆแบบนี้จะเกิดไม่ได้เลยนะถ้าเราไม่มีหุ้นส่วนอย่างคุณรอบบี้” มิรันตีเกลี้ยกล่อม
“ลุ่มตื้นซะมากกว่า นังบ้าบอมิรันตี” หลวงพิชัยภักดีแดกดัน
“ว่ายังไงคะคุณติณห์”
“ไม่อยาก...ข้าตอบแทนให้เลย”
ติณห์ลังเล ไม่อยากรับไอเดียนี้ แต่กลัวมีพิรุธ เขาสบตามิรันตีที สมคิดที เบญจาทีแล้วตัดสินใจ
“ผมขอโทษนะครับ...ไอเดียนี้ผมคงไม่ซื้อ”
สมคิดกับเบญจาอึ้ง หลวงพิชัยภักดีพอใจ
“ให้ได้ยังงี้สิ สมแล้วที่เป็นทายาทหลวงพิชัยภักดี”
มิรันตีหน้าเสีย
“ติณห์...ทำไม”
“ผมทำใจซื้อไอเดียประเทศคิดส์แอนด์แมรี่แลนด์ไม่ได้ครับ แต่ถ้าเป็นประเทศคิดส์ติณห์ แมรี่แลนด์ ผมโอเค”
หลวงพิชัยภักดีหน้าเหวอ
“อ้าว...”
สมคิดยิ้มออก
“คิดส์ติณห์แมรี่แลนด์ ชื่อนี้เยี่ยมเลย”
“แล้วสกุลเงินก็ต้องเป็น ดอลล่าห์คิดส์ติณ”
“อย่างนี้คุณมิรันตีก็ต้องได้เป็นควีนของประเทศ คุณติณห์ก็เป็นรัชทายาท แล้วใครจะเป็น คิงส์ล่ะคะ”
“ก็...” มิรันตีหันมองสมคิด กระมิดกระเมี้ยน “คุณรอบบี้อยากจะเป็นคิงส์คู่ดิฉันมั้ยล่ะคะ คริๆ”
หลวงพิชัยภักดีเป็นคนเดียวที่ตะลึง ช็อค ไม่เข้าใจ
“พวกเอ็งเป็นบ้าไปหมดแล้ว อะไรกันเนี่ย ใครก็ได้ช่วยที”
ติณห์กับสมคิดเข้ากันดี เฮฮา มิรันตีกับเบญจาก็ชอบไอเดียนี้มากๆ ติณห์แอบเครียดสุดๆ
ไตรรัตน์ที่หลับอยู่ ลืมตาขึ้น สายตาของเขาเป็นภาพบรรยากาศป่า ต้นไม้สูงทึบ มีนกบิน ส่งเสียงน่าขนลุก วังเวง หลอนๆ ไตรรัตน์งงว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหนกัน แล้วทันใด ก็มีเสียงเขมือบดังมา เสียงเหมือนสัตว์ป่า มากมายกำลังรุมกระซวกซากสัตว์อยู่ เขาเอะใจ ค่อยๆเหลือบมองไปข้างตัว พบว่ามีภูตผี รุมกัดกินขาตัวเองและมีอีกหลายดวงวิญญาณลอยพุ่งมากัดกินตัว วิญญาณผีพุ่งจากยอดไม้ลงมา อ้าปากแสยะเขี้ยว พุ่งใส่หน้า ไตรรัตน์สยองร้องลั่น
“อ๊าก”
ไตรรัตน์ถูกมัดอยู่ สภาพโทรมมากขึ้น อ่อนแรงลง แต่ยังครวญคราง จากภาพหลอน
“อ๊าก...ออกไป...อย่าทำอะไรฉัน...ไป”
สุคนธรสนั่งอยู่ตรงหน้าพยายามสวดมนต์ให้ฟัง ทั้งน้ำตา โดยมีญาณินกับอรวรรณร่วมสวดด้วย หวังว่าพุทธคุณจะช่วยสะกดอาการคลั่งได้บ้าง ไตรรัตน์อุดหู ทุรนทุราย
“พี่ไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้เลยยัยรส” ณัฐเดชขัดขึ้น
“วิชาของยัยรสยังแก้อาคมไม่ได้...เราไม่มีทางอื่นแล้ว นอกจากเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ บุญบารมีของธรรมะ” ญาณินบอกอย่างมีหวัง
“มันอาจจะดูงมงาย แต่ป้าก็เชื่อนะคะว่าปาฏิหาริย์มีจริง เทวดาต้องเมตตาคนดี”
จิตกำนันพงษ์ที่นั่งสมาธิอยู่อีกด้าน ค่อยๆลืมตาขึ้น ญาณินรีบถาม
“กำนัน เป็นยังไงบ้าง”
“สิ่งที่ผมเห็นในสมาธิ ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยนายไตรรัตน์ได้”
สุคนธรสร้อนใจ
“กำนันเห็นอะไรคะ”
กำนันพงษ์ลำบากใจ
“แต่มันอันตราย...ถึงตาย”
“อันตรายแค่ไหนฉันก็ไม่กลัว บอกมาเถอะกำนัน ฉันต้องทำอะไร” สุคนธรสแววตามุ่งมั่น
“ในนิมิต...ผมเห็นดวงจิตดวงหนึ่งไล่ตามดวงจิตอีกดวงหนึ่ง มันตรงกับความเชื่อ ของชนเผ่าลึกลับบนเทือกเขาในธิเบต ที่พูดถึงการตามดวงจิตของคนรักที่จากไปแล้วให้ กลับเข้าร่าง”
ญาณินคิดตาม
“ใช้จิตไปตามจิตน่ะเหรอ”
ณัฐเดชกับอรวรรณแปลกใจ
“แปลว่าอะไรครับ”
“โดยทั่วไป จิตจะใช้วิญญาณเป็นคูหาเพื่ออยู่อาศัย และเพื่อนำพาจิตไปสู่ที่ต่างๆแต่ตอนนี้จิตของนายไตรรัตน์หลุดออกไปจากวิญญาณ เตลิดไปไม่มีทิศทาง ยิ่งไปกว่านั้น...เซ้นซ์ที่ผมสัมผัสได้ในนิมิต มันคือ...มืด ดำ อันตราย พลัดพราก สูญเสีย และซากศพ”
สุคนธรสกับญาณินหนักใจ กำนันพงษ์หน้าเครียด
“ผมรู้สึกว่า...ผู้ที่ไปตาม จะไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีก”
สุคนธรสเดินแยกออกมานอกบ้าน ญาณินไล่ตาม
“ยัยเจ๊...แกไม่ต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเพื่อฉันหรอก”
“ทีฉันมีปัญหา ฉันยังให้แกช่วย แต่พอเป็นปัญหาแก จะไม่ให้ฉันช่วยเหรอ อย่ามาเห็นแก่ตัวนะ”ญาณินต่อว่า
“ยัยเจ๊...มันอันตราย แกก็รู้”
“ที่ไตรรัตน์เป็นอย่างนี้ก็เพราะช่วยติณห์ แล้วจะให้ฉันอยู่เฉยๆเหรอ...พวกเราเป็นเพื่อนกัน มีชะตากรรมเดียวกัน และไม่เคยทิ้งกัน ถ้ายัยเนตร ยัยกรรณ ยัยแก้มอยู่ด้วย ก็ต้องพูด อย่างเดียวกับฉัน”
สุคนธรสซึ้งใจเพื่อน ณัฐเดชเข้ามา อรวรรณถือธูปตามมา
“ณิน รส รับปากกับพี่ว่าพวกเธอจะระมัดระวังตัวให้มากที่สุด”
สุคนธรสกับญาณินรับคำ
“ค่ะ”
อรวรรณห่วงมาก
“คุณหนู...”
“ป้าออ...หนูรู้ว่าป้าทำได้ ฝากชีวิตเราสองคนด้วยนะคะ” ญาณินฝากฝัง
จิตกำนันพงษ์โผล่เข้ามาทันที
“ได้เวลาแล้ว ฟ้ากำลังเปิด พร้อมหรือยัง”
ญาณินกับสุคนธรสมองหน้ากัน จับมือกันไว้ พร้อมสู้ตาย รับธูปจากอรวรรณ แล้วนั่งไหว้กับพื้น ตั้งจิตแน่วแน่ ก่อนจะปักธูปลงพื้นดินตรงหน้า ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง ญาณินกับสุคนธรสนั่งขัดสมาธิ หลับตา ตั้งสมาธิ ควันธูปลอยเข้าจมูกญาณินกับสุคนธรส กำนันพงษ์กำชับ
“ตั้งสมาธิ...ตั้งจิตถึงจุดหมายที่ปรารถนา หยุดลมหายใจ เพื่อเข้าสู่เส้นเขตแดนของชีวิต และความตาย”
ญาณินกับสุคนธรสกลั้นหายใจควันธูปที่ลอยเข้าจมูก ชะงัก เข้าไม่ได้ ลอยผ่านไป ญาณินกับสุคนธรสยังคงกลั้นหายใจ กำนันพงษ์หลับตาขมุบขมิบปากสวดคาถา ญาณินกับสุคนธรสกลั้นหายใจนานเข้า หน้าเริ่มเขียว ร่างกายเริ่มสั่น แบบคนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจตาย อรวรรณสุดจะทน อยากจะถลาเข้าไปห้าม ณัฐเดชจับเอาไว้ คอยลุ้น อรวรรณเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองความตาย กำนันพงษ์สวดๆ สุคนธรสกับญาณินสั่นๆ แล้วในที่สุด กำนันพงษ์ก็ลืมตาโพลง
“ไป”
ญาณินกับสุคนธรสลืมตาเฮือกขึ้นมา ควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ กลับพุ่งเป็นสายย้อนเข้าไปจมูกทั้งสองคนวื่บๆ พุ่งเข้าๆ ราวกับถูกดูด จนในที่สุดก็กลายเป็นภาพแว่บขาวสว่างจ้า ร่างของญาณินและสุคนธรสล้มลง ไปนอนชักกระตุกเล็กน้อยกำลังจะสิ้นใจ ณัฐเดชรีบเรียกอรวรรณ
“ป้าออ”
ณัฐเดชวิ่งไปที่ร่างของสุคนธรส จัดการทำการปั๊มหัวใจยื้อชีวิต อรวรรณเงอะๆงะๆ แล้วก็ไปปั๊มหัวใจของญาณิน ณัฐเดชคอยกำกับอรวรรณที่ท่าทางตื่น สติจะแตก
“ป้าออ ทำตามผม เป็นจังหวะเดียวกับผมกดแรงๆ แรงอีก...ดี...กดให้แรงอย่างนั้นทุกครั้ง ห้ามหยุด เราต้องยื้อชีวิตรสกับณินไว้ จนกว่าพวกเขาจะกลับมา”
อรวรรณตื่นๆ พยักหน้ารับรู้ไป ปั๊มหัวใจไป ร้องไห้ไป ญาณินกับสุคนธรสหลับไม่ได้สติ
สุคนธรสกับญาณินยืนอยู่ในความมืด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“มืดดำขนาดนี้เชียวเหรอ” สุคนธรสแปลกใจ
ญาณินตัดบท
“เรามีเวลาไม่มาก ก่อนที่ป้าออกับพี่ณัฐจะหมดแรง เราต้องรีบหาจิตของนายไตรรัตน์ ให้เจอ รีบไปเถอะ”
ญาณินเดินนำไป ทันทีที่ก้าวเท้าแรก ภาพที่ใต้ฝ่าเท้าของเธอก็กลายเป็นภาพถนนที่มอง จากมุมยอดตึกสูง ญาณินอึ้ง แล้วก็ร่วงลงไป สุคนธรสตกใจ
“ยัยเจ๊”
สุคนธรสรีบผวาช่วยจับแขนเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองอยู่บนยอดตึกสูงเสียดฟ้า ญาณินกำลังจะร่วงจากตึก สุคนธรสจับมือไว้ และช่วยดึงขึ้นมาจนได้ ญาณินสยอง ขนหัวลุกแล้วภาพก็กลายเป็นที่อื่นๆ...สวนดอกไม้...กลางถนนใหญ่ ที่มีรถเปิดไฟสูงพุ่งเข้ามา ทั้งคู่ที่อยู่กลางถนน รถพุ่งเข้าใส่ ญาณินตกใจ ยกมือขึ้นกัน สุคนธรสหลับตา แต่พอลืมขึ้น ก็พบว่าทั้งคู่ยืนอยู่ในสนามเด็กเล่น ญาณินช็อคสุดๆ
“อะไรกันเนี่ย”
“ภาพที่เราเห็นเป็นไปตามจิตของคนอื่นที่เรารับกระแสเขาได้ ยัยเจ๊ เราต้องหาจิตนายไตรรัตน์ให้เจอตั้งจิตให้นิ่ง ไม่นึกคิด ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งความ ว่างเปล่า”
สุคนธรสนิ่ง ตั้งสติ ตั้งจิต ญาณินท่องออกมา
“จิตคือหลักธรรม จิตคือพุทธะ”
พลันภาพเหล่านั้นหายไปหมด กลายเป็นความมืดมิดอีกครั้ง สุคนธรสเรียกหา
“ไตรรัตน์...ฉันเอง...สุคนธรส ภรรยาของนาย ไตรรัตน์ นายอยู่ไหน”
แล้วในความมืดก็มีเสียงกล่องดนตรีดังมา นิ้งหน่องๆ ญาณินรู้สึกได้
“เราเข้ามาในจิตของไตรรัตน์ได้แล้ว”
สุคนธรสกับญาณินมองหาเสียงพบว่าข้างหน้านั้น มีโมบายขนาดยักษ์รูปสัตว์น่ารักๆพวกกระต่าย แมว สุนัข นก แขวนอยู่ โดยมีร่างของไตรรัตน์นอนหงายจ้องโมบายนั้น ภายใต้แสงไฟดวงเดียว สุคนธรสชะงัก
“ไตรรัตน์”
ณัฐเดชกับอรวรรณยังคงปั๊มหัวใจให้สองสาวอยู่ อรวรรณท่าทางอ่อนแรง
“ป้าออ แรงอย่าตกครับ”
“ค่ะ”
อรวรรณพยายามฮึดสุดๆ แต่จังหวะเริ่มช้าลง แรงเริ่มตก
สุคนธรสกับญาณินเข้ามาหาไตรรัตน์ที่ยังคงนอนนิ่งจับจ้องที่โมบาย ไม่สนใจ ไม่รับรู้สิ่งอื่นรอบตัวเลย
“ไตรรัตน์...” สุคนธรสเรียก
ไตรรัตน์นอนมองโมบาย สีหน้าเคลิ้มสุข ไม่รับรู้โลกภายนอก แต่สักพักก็น้ำตาไหล สุคนธรสจับตัวเขย่า
“นายได้ยินฉันมั้ย...ไตรรัตน์”
ไตรรัตน์แววตายังคงล่องลอยเคลิ้ม จ้องแต่โมบาย ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเป็นอากาศธาตุ ยกเว้นโมบาย
“ไตรรัตน์ มองที่ฉัน นายต้องตั้งสติ ควบคุมจิตของนายให้ได้”
สุคนธรสพยายามดึงไตรรัตน์ขึ้นมากอด แต่เหมือนมีแรงดึงดูดจากพื้นที่รั้งร่างของเขาไว้ เธอพยายามออกแรงอีก แล้วอยู่ๆมีเสียงไตรรัตน์ดังมาจากอีกด้าน
“ใครอนุญาตให้พวกเธอเข้ามา”
สุคนธรสมองไปพบไตรรัตน์ยืนอยู่อีกด้าน ไตรรัตน์คนนี้เป็นแนวโหด แค่แบมือ ก็มีไม้เบสบอล โผล่มาอยู่ในมือได้เอง สุคนธรสอึ้งๆ งงๆ ญาณินจะขยับ
“อย่าขยับ” ไตรรัตน์ตวาด
เท้าญาณินที่ยกก้าวอยู่ ก็หล่นปึ่ง ราวกับถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงไว้ ญาณินกับสุคนธรสก้าว ขาไม่ออกอีกเลย
“นี่จิตของฉันนะจ๊ะคนสวย...เข้ามาทำไม”
ไตรรัตน์วิ่งเข้าหาทำท่าเหมือนจะฟาดใส่สุคนธรส เงื้อจะฟาดสุดแขน สุคนธรสยกมือป้อง แต่แล้วกลับกลายเป็นไตรรัตน์ยื่นดอกกุหลาบให้เธอตรงหน้า พลันภาพสถานที่ก็กลายเป็นสนามหญ้าสวยดอกไม้สวยๆ สุคนธรสอึ้ง คาดเดาอะไรที่นี่ไม่ได้เลย
ณัฐเดชกับอรวรรณยังคงปั๊มหัวใจให้สองสาวอยู่ แต่ครั้งนี้อรวรรณช้าลงมาก
“คุณณัฐ นี่มันนานแค่ไหนแล้ว”
ณัฐเดชเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง
“สองนาที”
อรวรรณหน้าตื่น
“หา...สองนาทีเอง แต่ป้าจะหมดแรงแล้วแขนป้า มันเหมือนจะเป็นตะคริว”
“อดทนอีกนิดเดียวครับป้าออ”
อรวรรณยังพยายามฝืนตัวเองต่อไป
สุคนธรสฮึด ตั้งจิตให้แน่วแน่ เผชิญหน้าไตรรัตน์
“ฉันรู้...ที่นี่คือจิตของไตรรัตน์ แต่แกไม่ใช่ แกก็แค่อาคมสกปรกที่เข้ามาเปรอะ เปื้อนจิตแท้ของไตรรัตน์เท่านั้น”
“หร๋า...”
“ฉันจะสื่อสารกับจิตแท้ของไตรรัตน์ให้ได้”
ไตรรัตน์โผล่แว่บมาด้านหลังสุคนธรส เอาไม้เบสบอลง้างคอไว้จากด้านหลัง ญาณินตกใจ
“ยัยรส”
ญาณินจะเข้าไปช่วยแต่ขยับไม่ได้
“แกมีเวลาไม่มากแล้ว จะสื่อสารอะไรกับจิตแท้...เอาสิ...เอาเลย...หึๆ ฮ่าๆ”
ณัฐเดชกับอรวรรณยังคงปั๊มหัวใจให้สองสาวอยู่ แต่ครั้งนี้อรวรรณช้าลงมาก
“คุณณัฐ...ป้าไม่...ไม่ไหว”
“ไม่ได้ ถ้าหยุดยัยณินตาย”
“แต่...” อรวรรณพยายามจะปั๊มต่อ “แขนป้าล้า ไม่มีแรงแล้ว คุณหนูกลับมาได้แล้ว คุณหนู”
“อดทนอีดนิดเดียว...ป้าออ”
ณัฐเดชสลับปั๊มหัวใจให้สุคนธรสที ญาณินที อรวรรณกัดฟันช่วยณัฐเดชปั๊มหัวใจญาณินต่อ
สุคนธรสพยายามยื้อไม้ไว้ไม่ให้รัดคอมากไปพยายามพูด
“ไตรรัตน์...ไตรรัตน์...ได้ยินฉันมั้ย ฉันมาช่วยนาย แต่นายต้องช่วยฉันด้วย สิ่งเหล่านี้คือมายา จิตของนายถูกปรุงแต่งขึ้นมาด้วยอาคมมนต์ดำที่พวกคนชั่วทำไว้ นายต้องควบคุมมันให้ได้ อย่ายอมแพ้ เข้าใจมั้ย”
“หยุดปากดีได้แล้ว แกไม่มีวันช่วยมันได้หรอก”
ญาณินสงสารสุคนธรส แต่ขยับเข้ามาช่วยอะไรไม่ได้
“ยัยรส...ทั้งหมดนี้ไม่มีอยู่จริง...ทำจิตให้ว่างสิ”
“เวลาอยู่ต่อหน้าแฟน แกทำจิตให้ว่างได้ด้วยเหรอ”
สุคนธรสจ้องเข้าไปในตาไตรรัตน์
“ไตรรัตน์ ฉันรู้ว่าจิตแท้ของนายจะไม่ทำอะไรฉัน”
“เหร๋อ”
ไตรรัตน์บีบคอ สุคนธรสจ้องตา
“ฉันเชื่อในตัวนาย นายไม่มีวันทำร้ายฉัน” สุคนธรสยกมือจับแก้มไตรรัตน์ “ตั้งสติให้ดีไตรรัตน์...ฉันคือภรรยาของนาย...ฉันรักนาย นายได้ยินมั้ย”
ไตรรัตน์ยังคงบีบคอ ญาณินพยายามจะหาทางช่วย เห็นไตรรัตน์ร่างที่นอนดูโมบายอยู่ และสังเกตเห็นว่ามี น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา
“คุณรับรู้ทุกอย่าง...แต่คุณทำอะไรไม่ได้เพราะถูกอาคมสะกดอยู่ ใช่มั้ย คุณต้องทำให้ได้ สิ่งเหล่านี้ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีรูป ไม่มีสังขาร ไม่มีความ รู้สึก ไม่มีแม้กระทั่งความว่างเปล่า...อย่าหลงในมายาของจิตคุณต้องก้าวพ้นออกมาจาก จิตตัวเอง”
ญาณินพูดไม่ทันขาดคำ ร่างญาณินก็ฟึ่บ หายไปดื้อๆ เหลือเพียงจุดแสงสว่างเล็กๆทิ้งท้าย
ไตรรัตน์ที่นอนยังคงไม่ไหวติงไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพียงแต่ดูสงบขึ้น
อรวรรณหมดแรงจะปั๊มหัวใจแล้ว นั่งทรุดยกแขนไม่ขึ้นอีกเลยอยู่ข้างญาณิน หอบแฮ่ก ณัฐเดชตกใจ
“ป้าออ...อย่าหยุด อย่าหยุด”
อรวรรณได้แต่ร้องไห้ รู้สึกผิด แต่ทำไม่ไหวอีกแล้ว ณัฐเดชอึ้ง
ไตรรัตน์โหดกำลังบีบคอสุคนธรสอยู่
“นาย...ไม่เป็นไรไตรรัตน์ นายทำดีที่สุดแล้ว ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่โกรธ ไม่เสียดายที่แต่งงานกับนาย ขอให้นายจำไว้แค่ว่า ฉันรักนาย”
ไตรรัตน์โหดยิ้มหยัน
“ฉันก็รักเธอ หึๆ”
แต่แล้วไตรรัตน์โหดมองผ่านหน้าสุคนธรสไป เห็นว่าไตรรัตน์ดีที่นอนอยู่กำลังค่อยๆลุกขึ้นมา ยืนได้ ไตรรัตน์โหดถึงกับอึ้ง มือที่บีบคออยู่คลายออก สุคนธรสร่วงลงไป
“แก...ออกไป๊ ที่นี่จิตของฉัน” ไตรรัตน์โหดไล่
เกิดคลื่นพลัง แปรปรวนไปทั่วบริเวณ ไตรรัตน์ดีสงบนิ่งไม่ไหวติง
“ไม่ใช่จิตของแก ไม่ใช่จิตของฉัน ไม่ใช่จิตของใคร ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย”
ทันใด เกิดความสว่างสงบจากตัวไตรรัตน์ออกมา แผดจ้าไปทั่วบริเวณ จนกลืนกินความมืดมิด ทุกอย่างหายสิ้นไป กลายเป็นภาพขาวโพลน
สุคนธรสที่ถูกปั๊มหัวใจ ผวาเฮือกลืมตาขึ้นมา
“ไตรรัตน์”
ณัฐเดชเมื่อเห็นว่ารสฟื้นแล้ว ก็แผ่หลาไปเลย หมดสภาพมากๆ สุคนธรสผวาตื่น รีบมองอาการของไตรรัตน์ที่สงบลง เหมือนหลับไป กำนันพงษ์พูดขึ้น
“เขาปลอดภัยแล้ว เธอทำสำเร็จแล้วสุคนธรส”
อรวรรณร้องไห้ไม่หยุด เสียใจ โทษตัวเอง
“คุณรสฟื้นแล้ว...แล้ว...ทำไมคุณหนูยังไม่ฟื้น...คุณหนู” อรวรรณหันมาหาร่างญาณิน “ห๊า...”
อรวรรณสะดุ้งเพราะคนที่ปั๊มหัวใจอยู่ตอนนี้คือติณห์
“กลับมาสิญาณิน กลับมาหาผม...กลับมา”
สุคนธรสตกใจ
“ยัยเจ๊...ยัยเจ๊”
อรวรรณร้องไห้เสียใจ
“คุณหนู ป้าขอโทษ ป้าไม่ได้ตั้งใจ”
ณัฐเดชหันไปหากำนันพงษ์
“กำนันพงษ์ มีคาถาอาคมอะไรช่วยญาณินได้บ้างมั้ย”
กำนันพงษ์หนักใจ เพราะไม่มี
“คุณจะทิ้งผมไม่ได้ ตื่นขึ้นมา กลับมาแต่งงานกับผมก่อน...กลับมา” ติณห์คร่ำครวญ
ญาณินผวาเฮือก ลืมตาตื่น ทุกคนอึ้ง แต่ก็โล่งใจ ญาณินงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อ้าว ติณห์...คุณ...มาได้ไง แล้ว...” ญาณินหันหาสุคนธรส “ไตรรัตน์ปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”
“ได้ยินคำว่าแต่งงานปุ๊บ ฟื้นปั๊บเลยนะ ไอ้เพื่อนบ้า”
สุคนธรสซึ้งใจเพื่อน โผกอดญาณิน ทั้งหมดโล่งอก ผ่อนคลาย
บรรยากาศสวนสนุกเสียงผู้คนกรี๊ดสนั่น กรรณากับพงอินทร์เดินเข้ามามองเครื่องเล่น กรรณาเงยหน้า อ้าปาก ตื่นเต้นกับภาพเครื่องเล่น และบรรยากาศของสวนสนุกต่างๆ
“โว้ว...ย้า...อ๊า...”
พงอินทร์งง ที่เธอดูอินกับเครื่องเล่นมาก
“นี่ๆ เธออยากเสียวมั้ย”
กรรณาหันมาจ้องตาเขียวปั๊ด
“นายโจ้...นายอยากตายเหรอ”
“อ๊าว...ก็ถามจริงๆ เห็นตื่นเต้นโอเว่อร์ยังกับเด็กสิบขวบ อายุเท่าไหร่แล้วป้า”
“ก็ฉันไม่เคยนี่นา”
พงอินทร์ฉงน แปลกใจ
“ไม่เคยอะไร”
“ก็...ตอนเด็กๆ ฉันไม่มีเงินที่จะเอามาจ่ายกับ อะไรที่มันสนุกสนาน เหมือนเด็กอื่นๆน่ะสิ ฉันต้องทำงานหาเงินช่วยแม่ตั้งแต่เด็ก เงินทองที่หามาได้ ก็ใช้ส่งตัวเองเรียน ซื้อข้าวกิน ซื้อเสื้อผ้าใส่”
พงอินทร์สายตาอ่อนลง
“งั้น...อยากเล่นป่ะล่ะ ไปเล่นกันเถอะ มา...เดี๋ยวผมออกตังค์ให้”
“ตลกแระ เรามาทำงาน ให้มันมีความรับผิดชอบหน่อย”
“โอเค งั้นถ้าเสร็จสิ้นเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมจะพาคุณมาเที่ยวนะ”
ทันใดนั้น มีเสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์สวนสนุกดังมา
“คุณน้ำหนึ่ง กรุณามาพบ คุณช่อเพชรที่ประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ”
พงอินทร์กับกรรณาหันขวับมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วกรรณาก็จะวิ่งไปอีกทาง พงอินทร์คว้าแขนเพราะเธอวิ่งผิดทิศ
“ทางนี้...ไม่เคยมายังกล้าวิ่งนำอีก...ไป”
ทั้งคู่รีบไป
พงอินทร์กับกรรณารีบวิ่งมาที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่กลับไม่พบใครที่เคาท์เตอร์ ทั้งสองคนรีบมองหาตัวช่อเพชรกันใหญ่
“ไหนล่ะ ช่อเพชรอยู่ไหน”
พงอินทร์วิ่งเข้าไปถามพนักงานเคาท์เตอร์
“ขอโทษครับ คุณช่อเพชรที่ประกาศให้ญาติมาหา เขาไปไหนแล้วครับ”
“อ้าว เมื่อกี้ยังยืนอยู่” พนักงานมองหา “นั่นไงคะ” พนักงานชี้ไป
พงอินทร์กับกรรณามองไป เห็นหลังของช่อเพชรเดินออกไปไวๆปะปนไปใน หมู่คนครอบครัวที่มาเที่ยวเล่น พงอินทร์กับกรรณารีบตามไป ซึ่งแท้จริงแล้ว น้ำหนึ่งปลอมตัวเป็นช่อเพชรมาปั่นหัวพงอินทร์กับกรรณา
พงอินทร์กับกรรณาวิ่งตามช่อเพชรที่เดินลัดเลาะไปทางนั้นทีนี้ที ทั้งสองตามไม่ทันสักที เหมือนถูกปั่นหัวให้งง พงอินทร์กับกรรณาวิ่งตามหาผ่านหน้าบ้านผีสิง มีผู้คนเดินหัวโกร๋น ผมตั้งออกมา มีคนที่แต่งตัวเป็นผี คอยเดินถ่ายรูปหน้าทางเข้า...บริเวณทางเข้าชมการแสดง พงอินทร์เห็นช่อเพชรปะปนผู้คนเข้าไปในส่วนของการแสดง ฮอลลีวู้ดแอคชั่น เขาคว้ามือกรรณาตามไป ภายในบริเวณอัฒจรรย์ชมการแสดง พงอินทร์กับกรรณาพยายามมองหาว่าช่อเพชรไปนั่งตรงไหน ชะโงกมอง เห็นว่าอยู่อีกมุม พงอินทร์จะแหวกผู้คนเข้าไปหา พอดีการแสดงมีระเบิดตู้ม มีขี่รถพุ่งมาจอดเอี๊ยด แล้วยิงๆ กรรณาตกใจ
“ว้ายๆ เขามีปืนด้วย”
“มันการแสดง”
พงอินทร์ดุกรรณา แล้วหันมาอีกที พบว่าช่อเพชรหายไปจากจุดที่เห็นเมื่อกี้แล้ว มองหาพบว่า ช่อเพชรเดินออกไป ก็รีบตาม
พงอินทร์กับกรรณาวิ่งตามหามารอบทะเลสาบ เห็นช่อเพชรเดินอยู่อีกด้าน ของทะเลสาบ กรรณาจะวิ่งลงเรือ พงอินทร์ลากให้วิ่งอ้อม
บริเวณซูเปอร์สแปลช พงอินทร์กับกรรณาตามมา มองหา แต่ไม่เจอ แล้วอยู่ๆเรือซูเปอร์สแปลช ก็มา พุ่งใส่ เกิดคลื่นน้ำกระเซ็นไปทั่ว กรรณารีบดึงพงอินทร์มาบังตัวเอง เขาจึงเปียกแทน หันหน้ามาฮึ่มฮั่มๆใส่ กรรณายิ้มแหะๆ รีบอ้างว่าไปตามช่อเพชรต่อเร็ว
ทางเดินใต้โมโนเรล...พงอินทร์กับกรรณารีบวิ่งมาบริเวณที่คนพลุกพล่าน พยายามมองหา แต่ไม่เห็น มีรถไฟโมโนเรลแล่นผ่านไป กรรณาเห็นช่อเพชรนั่งในรถนั้น
“นั่น”
พงอินทร์กับกรรณารีบวิ่งตามไปดักยืนรอที่สถานีโมโนเรลถัดมา พอรถมาจอด สองคนรีบรอดูคนที่ออกมา ปรากฏว่าไม่มีช่อเพชรในนั้น แปลกใจ รีบมองหา พบว่าช่อเพชรไปอยู่ด้านล่างสถานีแล้ว ทั้งสองคนถูกปั่นหัวมากๆ ช่อเพชรที่เหมือนหยุดรอให้เห็น พอทั้งคู่ตาม ช่อเพชรก็รีบเดินหนี กรรณากับพงอินทร์รีบตามไปอีก
น้ำหนึ่งที่ปลอมเป็นช่อเพชรเดินผ่านมาบริเวณทางเข้าบ้านหิมะทีแรกจะเดินผ่านไป แต่แล้วชะงัก หันกลับมามอง เพราะที่ด้านหน้ามีป้ายเขียนว่า
“เมืองหิมะปิดปรับปรุงชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก”
เธอตาวาว มีแผนการ แล้วเหลือบเห็น พงอินทร์กับกรรณาตามหามาแต่ไกลพอดี เธอเลยเอาป้ายนั้นออก โยนทิ้งซ่อนไว้แถวนั้น แล้วจงใจเดินล่อทั้งสองเข้าไปด้านในเมืองหิมะ พงอินทร์กับกรรณารีบตามไป
กรรณากับโจ้เข้ามาภายในเมืองหิมะ แต่ไม่พบช่อเพชร ไม่พบใครเลย มีแค่สองคนอยู่ในนั้น พงอินทร์มองไปรอบๆอย่างแปลกใจ ในขณะที่กรรณาตื่นเต้นกับหิมะตรงหน้า
“โห้ว หิมะ”
“ฉันว่ามันแปลกๆนะ เธอดูรอบๆสิ มันไม่มีใครเลย”
“นั่นสิ แล้วช่อเพชรล่ะ ไปอยู่ไหนแล้ว”
สองคนมองหา แปลกใจ
ด้านนอกเมืองหิมะ ช่อเพชรแอบออกมาจากอีกประตูหนึ่ง เดินลัดเลาะไปที่ ห้องควบคุม เมืองหิมะ มองซ้ายมองขวา ไม่มีพนักงาน เลยแอบเข้าไปภายใน ไปที่แผงควบคุม มองสำรวจ พบปุ่มที่มีอักษรเขียนว่า “CLOSE” ช่อเพชรกดปุ่มนั้นทันที ประตูหลักของเมืองหิมะปิด และล็อคทันที กรรณากับพงอินทร์ได้ยินเสียง แปลกใจ เห็นประตูกำลังเคลื่อนตัวปิด ตกใจ รีบวิ่งไป พยายามจะ ดันประตูไว้ แต่ไม่ทัน ประตูปิดสนิท กรรณาพยายามผลักและเปิดประตู แต่ทำอะไรไมได้
“ใครปิดประตู ล็อคด้วย”
“เราถูกหลอก”
กรรณาชะงัก
“ถูกหลอก”
โจ้กับกรรณาอึ้ง ซีด
ไตรรัตน์นอนพักอยู่ที่โซฟา หน้าตาสดใสขึ้น แต่ยังอ่อนแรง สุคนธรสช่วยเช็ดตัวให้อยู่
“ผมเห็นนะ”
สุคนธรสชะงัก
“หือ...เห็นอะไร”
“ตอนที่อยู่ในจิตผมน่ะ ผมรู้ ผมเห็น ผมได้ยินทุกอย่างนะ”
“แล้วยังไง”
“คุณบอกว่าคุณรักผม ไม่เสียดายที่ได้แต่งงานกับผม คริๆ”
สุคนธรสเอาผ้าฟาด
“ฟื้นมาก็ทะลึ่งเลยนะ”
“เอ้า ก็คนรักกันนี่เนาะ”
“เช็ดเองเลยไป ฉันจะไปดูยัยเจ๊”
สุคนธรสทิ้งผ้าใส่ จะไป แต่ไตรรัตน์คว้ามือดึงไว้มานั่งข้างๆ
“รักผมห่วงผมก็พูดออกมาเถอะ สามีภรรยาจะซึ้งๆกันบ้างไม่มีใครเขาว่าหรอก”
“แล้วเพราะอะไรทำให้นายเอาชนะอาคมนั่นได้”
“เออ นั่นสิ”
“อ้าว ไหนบอกว่ารู้เห็นทุกอย่าง”
“ทีแรก...ผมรู้สึกทั้งโกรธ เกลียด กลัว เสียใจสมเพชตัวเอง ความรู้สึกผมมันพลุ่งพล่าน กลับไปกลับมา แล้วอยู่ๆอะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมพอเถอะ ช่างมัน...ทิ้งมันไปไม่ต้องรู้สึกอะ ไรก็ไม่ต้องเจ็บปวด ความรู้สึกพวกนั้นมันเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกวนไปวนมาของมันอยู่อย่างนั้น ผมก็แค่เดินออกไปจากมัน ออกไปจากวงจรของมัน ทุกอย่างก็จบ”
สุคนธรสไม่อยากจะเชื่อ
“รู้มั้ยว่าสิ่งที่นายพูดทางพุทธศาสนาเรียกว่าอะไร”
“อืม...มันปิ๊งๆ เรียกว่าพุทธิปัญญาใช่มั้ย”
“นิพพาน”
ไตรรัตน์อึ้ง
“หือ”
“ต่อให้เป็นแค่นิพพานชั่วคราวก็ยังดีกว่าไม่เคยเลย ไม่น่าเชื่อคนอย่างนายเนี่ยนะจะเข้า ถึงนิพพานได้...บ้าไปแล้ว”
ไตรรัตน์หน้าตื่น
“ฮ้า ไม่นะ ไม่เอาๆ ผมไม่นิพพาน ผมจะอยู่กับคุณ”
“นายควรเอาดีทางนี้นะ บางทีนายอาจจะบรรลุได้เป็นอรหันต์เลยก็ได้”
ไตรรัตน์โวยวาย
“ไม่...คนอื่นอาจมีเป้าหมายคือนิพพาน แต่ผมมีเป้าหมายคือคุณ ผมจะบรรลุถึง คุณให้ได้ สุคนธรส คุณคือนิพพานของผม”
สุคนธรสเดินแยกไป ขำๆยิ้มๆ ไตรรัตน์จริงจังกับการจะไม่นิพพานมาก
อรวรรณเดินถือถาดที่มีน้ำดื่มเข้ามา มือสั่นกึกๆ จนถาดสั่นไปหมด ติณห์ต้องรีบเข้าไปช่วยถือ
“ถ้ายังไม่หายดี ก็พักก่อนเถอะครับป้าออ”
ญาณินยิ้มให้
“ขอบคุณมากนะคะป้าออ”
“โถ ขอบคุณคุณติณห์เถอะค่ะ...ถ้าไม่ได้คุณติณห์โผล่เข้ามา ป่านนี้ป้าคงช้ำใจตายไปแล้ว”
“พอดีผมมีเรื่องอยากจะมาปรึกษาคุณ แต่โทรแล้วไม่มีคนรับ ผมก็เลยแอบมาหา”
“เทวดาคงจะดลใจให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างนี้...คุณติณห์ต้องเกิดมาเพื่อคู่กับคุณ หนูของป้าแน่ๆค่ะ”
ณัฐเดชเข้ามา เพิ่งเสร็จจากการคุยโทรศัพท์
“ณิน...พี่ต้องกลับกรุงเทพแล้ว”
“อ้าว”
“ยัยแก้มโทรมา บอกว่าได้ข้อมูลเพิ่มเติมคดีคุณพิมพิลาศ...อยากจะเอาหลักฐานให้กับมือ พี่โดยตรง ไม่ผ่านใคร”
“ค่ะ ฝากบอกพวกที่บริษัทด้วยนะคะว่าไม่ต้องห่วง ทางนี้เอาอยู่”
“อย่าประมาท...ติณห์ฝากน้องๆฉันด้วย”
ณัฐเดชแยกออกไป ญาณินหันมาหาติณห์
“เมื่อกี้คุณบอกมีเรื่องจะมาปรึกษา เรื่องอะไรคะ”
ญาณินตกใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่ติณห์บอก
“หมอสมคิดอยากหุ้นทำรีสอร์ทกับแม่คุณ...เขาต้องการอะไร แล้วแม่คุณไปหลงเชื่อ เขาได้ยังไง โดนมันทำเสน่ห์หรือเปล่า”
“ถ้าโดนทำเสน่ห์ก็ดีสิ แต่มันไม่ใช่ มัมหลงเสน่ห์หมอสมคิดจริงๆ คุณณิน ไหนคุณบอก ว่าทำพิธีถอนของจากตัวหมอสมคิดหมดไปแล้ว แล้วทำไม นายไตรรัตน์ยังเจออาคม ทำไมผ้ายันตร์ที่เจอในเรือนแกรนด์ปากับผ้ายันตร์ของหมอสมคิดที่คุณรสเจอที่บ้านนาย ไตรรัตน์ ทำไมมันถึงคล้ายกันเหมือนปลุกเสกโดยคนๆเดียวกันหรือว่าหมอสมคิดมันยังมีอาคมอยู่”
ญาณินคิดตาม
“หรือไม่ ก็อาจจะมีใครบางคนที่มีอาคมระดับเดียวกับหมอสมคิด”
ทันใดนั้น มือถือของติณห์ดังขึ้น
“เบญจา...” ญาณินนิ่งไปนิด คิดๆ แล้วหันมา ตาโต
ติณห์กับญาณินโพล่งออกมาพร้อมกัน หันมามองหน้ากัน
“เบญจา”
ติณห์อึ้ง
ค่ำนั้น กรรณาพยายามทุบประตู ตะโกนเรียกให้คนช่วย จนอ่อนแรงเพราะตะโกนมานานแล้ว
“ช่วยด้วยๆ มีใครได้ยินมั้ย เปิดประตูหน่อย มีคนติดในนี้ๆ”
“ไม่ต้องเรียกหรอก นี่มันสามทุ่มแล้ว พนักงานกลับบ้านไปนอนดูละครกันหมดแล้ว” พงอินทร์ขัดขึ้น
“ฉันไม่ยอมติดในนี้ทั้งคืนหรอก มันต้องมียามมีใครอยู่ในนี้บ้างสิ”
กรรณาทุบๆตะโกนเรียกต่อไป ระหว่างนั้น พงอินทร์มองไปรอบๆ แล้วเหลือบเห็นแผ่นอะไรบางอย่าง โผล่พ้นหิมะออกมา เลยเข้าไปหยิบดู เป็นป้ายที่เขียนว่า “ขออภัยในความไม่สะดวก ปิดปรับปรุง” กรรณาทุบไปตะโกนไป
“ไม่รู้หรือไงว่ามีคนติดในนี้ ปิดล็อกได้ยังไง ทำไมสะเพร่ากันอย่างนี้”
“ไม่มีใครสะเพร่าหรอก”
กรรณาหันขวับกลับมาหาเรื่อง
“ทำไมจะ...”
แต่กรรณาต้องชะงัก เพราะพงอินทร์ยืนชูป้ายให้ดู
“ผมเจอป้ายนี้ ทิ้งอยู่ใต้หิมะตรงนั้น”
“อ้าว...ถ้าปิดปรับปรุง แล้วช่อเพชรเข้ามาในนี้ทำไม” กรรณาพยายามทบทวน “เข้ามาแล้วก็ หายไป...แล้วเราก็เลยมาติดในนี้ ยังกับว่า เขาหลอกเราเข้ามา”
“ผมคิดว่า...ช่อเพชรอาจจะรู้ว่าเราตามตัวเขาอยู่ พอรู้ว่าเรามาที่นี่ เขาก็เลยซ้อนแผน หลอกให้เรามาติดในนี้”
“แล้วเขาทำแบบนี้เพื่อ”
“คนที่มีชนักปักหลัง แล้วกำลังจะถูกจับได้ ก็ต้องหาทางกำจัดคนที่มาตามจับเขาไง เราอาจจะประมาทเขาเกินไป”
“โอ๊ย แล้วไง...เราจะทำไง”
“โทรให้คนช่วย” พงอินทร์หยิบโทรศัพท์มา แล้วอึ้ง “แบ็ตหมด ที่ชาร์จก็ไม่ได้เอามา”
“บ้าแล้ว ฉันโทรเอง” กรรณาหยิบโทรศัพท์มากดๆ แล้วอึ้ง “หา...ทำไมไม่มีสัญญาณเลย”
“รอเดี๋ยว...บางที เดี๋ยวสัญญาณอาจมาๆหายๆนะ”
กรรณาอึ้ง งง จ้องหน้าพงอินทร์ แบบเหวอๆ ทำไงดี
“ถ้า...เราต้องติดอยู่ในนี้ แล้ว...แข็งตายล่ะ”
“ไม่ตายหรอก เดี๋ยวอาจมีคนมา พวกพนักงาน หรือช่าง...หรือ...”
“เขาจะมากลางคืนเหรอ”
“อาจจะมาพรุ่งนี้...เช้าๆ”
“แล้วถ้า...ไม่มีคนมาสักหลายๆวันล่ะ”
“ไม่หรอก ที่นี่คนนิยมมาจะตาย เขาต้องรีบซ่อมสิ”
กรรณาดูโทรศัพท์
“สัญญาณก็ยังไม่มา ทำไงดีฉันหนาวแล้วหิวด้วย”
“ผมจะดูแลคุณเอง...ผมเคยไปถ่ายภาพสารคดีที่ยุโรปมาเป็นเดือนๆ ผมรู้วิธีเอาตัวรอด จากหิมะ”
“ขอโทษนะ ถึงฉันจะไม่เคยเข้าสวนสนุก แต่ฉันก็เคยไปเชียงใหม่ เคยอยู่ในอากาศแบบ เดียวกับหมีแพนด้า...ฉันดูแลตัวเองได้”
“นี่คุณเอาเชียงใหม่มาเทียบกับเมืองหิมะเหรอ ฮ่าๆ”
“เออ เชิญหัวเราะเยาะไป ฉันอาจจะเป็นคนช่วยนายก็ได้ย่ะ”
ติณห์รีบร้อนเดินกลับมาบริเวณรีสอร์ท ลับๆล่อๆมองว่าทางสะดวกไหม แล้วก็รีบเดินจะเข้า บ้านพักตัวเอง แต่อยู่ๆเสียงเบญจาดังมา
“ไปไหนมาคะพี่ติณห์”
ติณห์ตกใจ เบญจาเดินเข้ามาหา ติณห์มองภาพเบญจาด้วยความสยอง เป็นคนที่น่ากลัวใน สายตาเขาทันที
“แอบหนีไปไหนมาหรือไปหาใครมาคะ”
“เอ่อ...”
ติณห์อึกอัก ยังไม่ทันตอบ มิรันตีตามเข้ามาท่าทางร่าเริงเบิกบานใจสุดๆ
“ติณห์ๆ แหม แม่กับหนูเบญตามหาตั้งนาน ลูกบอกแม่มาตามตรง ลูกโอเคหรือไม่โอเค ที่มิสเตอร์ร็อบบี้จะมาลงทุนด้วยกับเรา ยังไงลูกก็ลูก แม่ไม่อยากบังคับจิตใจลูกมากไป หรอกนะ”
“โอเคสิครับมัม ไอเดียมิสเตอร์ร็อบบี้เจ๋งจริงๆ”
เบญจาจ้องหน้าคาดคั้น
“พี่ติณห์ยังไม่ตอบเลยนะคะว่าแอบไปไหนมา”
ติณห์สยอง กลัวเบญจาจับได้
“ก็...ผมไปโทรศัพท์หา ทนายสมชาติ จะให้เขาช่วยถามเรื่องซื้อที่ดินกำนันพงษ์ไงครับ”
“โอ้ว ยูอาร์โซคิ้วท์ ไอลัฟยู”
มิรันตีเข้าไปจับแก้มซ้ายทีขวาที
“ผมขอตัวนะครับ ต้องรีบไปเตรียมเอกสารไว้ให้ทนายสมชาติ”
ติณห์จะไป มิรันตีเรียกไว้
“ติณห์...แม่ว่าแม่จัดปาร์ตี้เล็กๆให้มิสเตอร์ร็อบบี้นะ เขาประทับใจสถานที่แล้ว ก็จะได้ประทับใจคนด้วย จะได้ไม่หนีเราไปลงทุนกับคนอื่น เบญจา เธอต้องช่วยฉัน เตรียมงานด้วยนะ”
มิรันตีดี๊ด๊า คิดรูปแบบงานกับเบญจา แยกกันออกไป ติณห์ทำเป็นยิ้มไปด้วย แต่จริงๆโคตรเซ็ง ทำอะไรไม่ได้เอามือถือมากดส่งข้อความหา
“มัมจะจัดปาร์ตี้ให้หมอสมคิด OMG”
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 14 (ต่อ)
กรรณานั่งกอดเข่า ปากสั่นกึกๆ
“ไงล่ะ...ปากเก่ง...สะๆ...สม...”
พงอินทร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน แต่เก็บอาการหนาวได้มากกว่า ยิ้มๆ
“ฉันรู้...นาย...แกล้งทำเป็น...ไม่หนาว...” กรรณาปากสั่นแต่ยังปากดี
“นี่คุณ...พูดไม่เป็นภาษาคนแล้วยังจะปากดีอีก”
พงอินทร์เข้าไปหา แล้วโอบไหล่
“เฮ้ย”
กรรณาดิ้น แต่พงอินทร์พยายามจะโอบเอาไว้ให้ได้
“อยู่เฉยๆน่า ผมจะช่วยให้คุณอุ่นขึ้น”
“ไม่ต้อง...ฉันทำให้ตัวเองอุ่นได้”
“อะไร จะทำอะไร”
“ฉันจะทำให้ร่างกายอบอุ่น ด้วยการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทำให้เหนื่อย แล้วร่างกายจะ ได้อบอุ่น ก็จะไม่หนาว”
กรรณาลุกขึ้นมาขยับแข้งขา เตะอากาศ ต่อยอากาศอย่างจริงจัง ฮึดฮัด พงอินทร์นั่งมองส่ายหน้า แต่อมยิ้ม ดูสิจะไปรอดมั้ย
งานปาร์ตี้อินเดียนไนท์ บริเวณที่จัดงานเป็นสไตล์อินเดียนแดงไนท์ มีกองไฟพุ่งปะทุโชติช่วง มี กระโจมอินเดียนแดง เสาโทเทม มีมุมปิ้งย่าง บาร์บีคิว พนักงานทั้งหมดแต่งตัวเข้าธีมงาน...มิรันตีในชุดอินเดียแดงสาว มัดเปียสองข้าง ทาแถบสีบนแก้ม สวมหมวกที่มีขนนกยาวๆ ห้อยเครื่องประดับที่ทำจากหินสี กำลังเอามือตบบ้องปาก ให้เป็นเสียง โว้ๆ เบญจาแต่งตัวธีมเดียวกันมองชื่นชมมิรันตี
“คุณแม่สวยมากๆค่ะ เป็นอินเดียนเกิร์ลที่มีสง่างามมากๆ”
“เบญจา เบาหน่อยๆ เดี๋ยวใครมาได้ยินจะนึกว่าฉันจ้างเธอมาอวยตัวเอง...”
ติณห์เดิน ตามเข้ามาในชุดธีมด้วย มิรันตี ดี๊ด๊าทักทาย
“โอ้ ติณห์ ยูลุ๊ค...โซคู้ล”
“มัม...มัมอยากปาร์ตี้ก็จัดไป ทำไมต้องบังคับให้ผมแต่งตัวอะไรอย่างนี้ด้วย”
“เอ้า ถ้าปาร์ตี้นี้ไม่มีลูก เดี๋ยวคุณร็อบบี้คิดว่าเราไม่เวลคัมเขามาเป็นหุ้นส่วน”
“พี่ติณห์แต่งอย่างนี้ก็น่ารักดีออกค่ะ จริงๆนะคะ” เบญจาชม
“เบญจา ฉันขอบใจเธอมากนะ เธอเก่งมาก เนรมิตงานปาร์ตี้คืนนี้ได้ถูกใจฉันมากๆ เออ...เบญจา ไปตามคุณโรเบิร์ตมาเร็วๆ”
ขาดคำมิรันตี เสียงสมคิดดังมาก่อนตัว
“ผมอยู่นี่แล้วครับ”
มิรันตีหันมา พบว่าสมคิดแต่งตัวชุดอินเดียนแดงแบบจัดเต็ม ชุดหนังสัตว์ หมวกขนนก ที่สลวยยาวแทบจรดพื้น เขียนหน้าด้วยเฉดสีเดียวกับมิรันตี
“โอว...ร้อนแรงดุจไฟ ละลายแค่เธอ”
มิรันตีมองสมคิดหยาดเยิ้ม ติณห์มองมิรันตีกับสมคิดด้วยความเป็นห่วงกังวล
ญาณินและสุคนธรสย่องเข้ามาในบริเวณรีสอร์ท หลบหลังต้นไม้ ทั้งสองอยู่ในชุดคล้ายธีมอินเดียนแดงสวมหมวกที่มีขนนกห้อยเป็นระบายรอบๆหมวก เพื่ออำพรางใบหน้า
“ถ้าเป็นหมอสมคิดจริง...มันไปอัพเกรดฮาร์ดแวร์มาจากไหน ฉันว่ามันเหนือกว่าเดิมอีกนะ” สุคนธรสกระซิบ
“ยัยรส แล้วแบบนี้พวกเราจะมีปัญญาเอาชนะมันได้ไง”
“เป็นไปไม่ได้ที่คนหมดน้ำยาแล้วอย่างมัน จะมีอาคมขึ้นมาอีกได้ แบบนี้แปลว่าหลวงลุงของพวกเราพลาดเหรอ ต้องไม่สิ”
“แกเป็นคนเดียวที่จะสัมผัสได้ ว่าความจริงแล้ว...หมอสมคิดยังเป็นจอมขมังเวทย์อยู่อีกหรือเปล่า”
อยู่ๆไตรรัตน์เดินสะโหลสะเหลตามเข้ามาแต่ไกล
“คุณรส...คุณรสค้าบ”
สุคนธรสหน้าตื่น
“เฮ้ย นายไตร...มาทำไม นายยังไม่หายดี”
“ผมแอบป้าออออกมา ก็ผมเป็นห่วงคุณอ้ะ ผมอยากมาปกป้องคุณ คุณไม่ต้องห่วง ผมแข็งแรงดีแล้ว”
ไตรรัตน์เซๆไปที่ต้นไม้ ใช้แขนเท้าต้นไม้ค้ำตัวเองเอาไว้ ยิ้มแหะๆ สุคนธรสมองอย่างกังวล
เชือกบ่วงบาศถูกโยนไปคล้องกับเสารัดตวัดแน่นตึง เสียงเชือกดังควั่บ แขกผู้ชายที่โยนเชือกนั้นได้รับเสียงปรบมือจากแขกคนอื่นๆและครูผู้ฝึกสอน มิรันตีควงสมคิดเข้ามา
“ลองโยนบ่วงบาศก์ดูสิคะคุณร็อบบี้ นี่ค่ะๆ” เธอจัดแจงส่งเชือกให้ “แค่ควงเชือก แล้วโยนไป ให้คล้องกับเสาต้นนั้น”
สมคิดรับเชือกมา ทำท่าควงเชือก หลวงพิชัยภักดีโผล่มา คิดจะจับผิดสมคิดให้ได้
“ข้าไม่รู้ว่าเอ็งเป็นใคร...แต่เอ็งไม่ได้อยากลงทุนกับรีสอร์ทนี้จริงๆหรอก แต่มันเป็นแผนชั่วร้ายของเอ็ง เพราะเอ็งมีเป้าหมายที่อะไรสักอย่าง...ใช่มั้ย”
สมคิดไม่ได้สนใจหลวงพิชัยภักดีเลย ควงบ่วงบาศควั่บๆ มิรันตีตื่นเต้นมาก หลวงพิชัยภักดีหมั่นไส้
“หน็อย ระริกระรี้เกินไปแล้ว ข้าจะทำยังไงดี”
สมคิดโยนบ่วงบาศไป แล้วก็คล้องเสาพอดี มิรันตีเฮลั่น สองคนได้ใกล้ชิดกัน ตามองตา ปิ๊ง ด้านหลังมีคนเป่าน้ำมันใส่กระบองเพลิง เปลวไฟฟู่ว์ขึ้นมาพอดี มิรันตีแวววาววิบวับๆ
“ผมต้องได้รางวัลใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ รางวัลใหญ่...บะเร่อบะร่า เมกก้าโปรเจ็คเลย”
สองคนคิกคักกันมากๆ หลวงพิชัยภักดีดีดดิ้น ยอมไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง
“นังมิรันตีกู่ไม่กลับแล้ว ข้าจะทำยังไงดีๆ...ข้าต้องทำอะไรสักอย่างให้ไอ้ติณห์ตาสว่าง และรู้ความจริงว่าไอ้ตัวประหลาดรายใหม่นี้คือตัวภัยร้ายแรงให้ได้”
เบญจายกอาหารมาเสิร์ฟให้ติณห์ที่นั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังที่ข้างกองไฟ ไกลออกมา
“เบญจา...เราแยกออกมาสองต่อสองลำพังอย่างนี้ มันจะดีเหรอ ผมว่าเรากลับเข้าไปในงานอยู่กับ มัมดีกว่านะ”
“แต่นั่งข้างกองไฟแบบนี้ มันโรแมนติกมากนะคะ”
ติณห์กลัวถูกจับได้
“ผมหมายถึง...ผมกลัวมิสเตอร์ร็อบบี้จะหาว่าผมไม่มีมารยาทต่อแขกระดับเอ็กเซ็คคิวทิฟวีไอพีน่ะครับ”
“หรือพี่ติณห์ไม่อยากสวีทวี้ดวิ้ว...กับเบญจา เอ๊ะ แปลกจัง” เบญจาเริ่มสงสัย
ติณห์สะดุ้ง ได้สติ รีบแอ๊คติ้ง
“อ๊า...ทำไมจะไม่อยากสิ อยากที่สุดเลย มา เราไม่ต้องกงต้องกินมันละ พี่มีอารมณ์อยากเต้น...มะ..มาเต้นรอบกองไฟกัน”
เบญจาหัวเราะ
“พี่ติณห์คะ...พี่นี่บ๊องจัง เบญจาหิวแล้วล่ะ พี่ไม่หิวหรือไง”
ติณห์ทำเคลิ้มเว่อ
“พี่ไม่หิวอาหาร พี่หิวเต้นรำ คล้องแขนกันไปมาๆ...นะๆ”
“ม่ายค่า...อ่า...อ้าปาก...อ้ำ”
“อั้มๆ”
เบญจาทำท่าจะป้อนอาหาร แต่อยู่ๆหลวงพิชัยภักดีโผล่มานั่งคั่นกลางทันที
“ชาติหน้าปีมะโว้เถอะโว้ย ฉันไม่ยอมให้แกอั้มกันเด็ดขาด”
ทั้งเบญจาและติณห์ต่างผงะเล็กน้อยแบบสะดุ้งลืมตัว แล้วต่างก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็น ทำเป็นเพิกเฉยใส่หลวงพิชัยภักดี ยิ้มแย้มให้กัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร ผมแค่...เป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆผมก็อยากจะ...หอมแก้มเบญจา ผมเลยต้อง รีบห้ามใจตัวเอง ไม่โกรธผมนะ”
เบญจาเชื่อสนิท ยิ้มที่ติณห์หลงตน
“ค่ะ”
เบญจาแอบฉุนหลวงพิชัยภักดีที่มาโผล่ขัดอารมณ์
“หน็อย หมอสมคิดยั่วแม่ แล้วนังนี่มายั่วลูก เหมือนมากันเป็นทีมเลยวุ้ย แต่ตราบใด ที่มีข้า...หลวงพิชัยภักดี ข้าไม่มีทางให้พวกเอ็งทำอะไรตามอำเภอใจในที่ดินข้าแน่ คอยดู” หลวงพิชัยภักดีไม่พอใจ
เบญจาได้ยินทุกอย่าง แต่ต้องเก็บอาการ ติณห์สังเกตเห็นเบญจามีท่าทางแปลกๆ จึงพยายาม จับอาการของเธอว่ามองเห็นและสัมผัสหลวงพิชัยภักดีได้หรือไม่ หลวงพิชัยภักดีก็ตามเกมเบญจาทัน หันขวับมากระพริบตาให้ติณห์เป็นสัญญาณ ติณห์ทำเป็นไม่เห็น ไม่แสดงอาการ
“เบญจา...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ก็...ไม่มีอะไรค่ะ”
“ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“ไม่เกี่ยวกับติณห์หรอกค่ะ เบญจาแค่รู้สึกรำคาญยุงแถวนี้นิดหน่อย”
“ยุง...ยุงไหน ผมไม่เห็นมี” ติณห์ถามแบบพยายามชี้นำ ยั่วเบญจา
“มีสิคะ ไอ้ยุงชั่ว...ยุงแก่ สาระแนนัก มันวนเวียนไปมา น่ารำคาญ”
หลวงพิชัยภักดีโกรธ
“เอ็งหมายถึงใครเป็นยุง...ข้าเหรอ นี่เอ็งเห็นข้าเหรอ”
หลวงพิชัยภักดีพยายามจ้องหน้า ยื่นหน้ามาขวาง กลางสุดๆ
“เห็นหรือไม่เห็น”
ติณห์พยายามคะยั้นคะยอ
“ยุงไหนครับ...ไหนๆ...เบญจาไหนยุง”
เบญจาพยายามไม่สนใจ แต่หลวงพิชัยภักดีโบกมือไปมาตรงหน้าเธอไม่หยุด ในที่สุด เธอก็เหลืออด ยกมือทั้งสองแปะไปบนหน้าหลวงพิชัยภักดี หน้าหลวงพิชัยภักดีที่ถูกมือทาบนั้น ร้อนเป็นไฟ มีควันพุ่ง
“อ๊าก”
ติณห์เห็นทุกอย่าง แต่ต้องทำเป็นไม่เห็น ทำหน้าใสซื่อ
“เอ่อ...อะไร...ทำอะไรเหรอ”
เบญจายิ้ม
“อ่อ เบญจาปล่อยพลังไล่ยุงค่ะ”
“เหรอ...ยุงโดนพลังตายคามือแล้วมั้ง ยกมือออกเถอะ”
“ยังไม่ตายง่ายๆหรอกค่ะ มันเป็นยุงอดทน”
ติณห์ชะงัก
“ยุงอดทนเหรอ”
หลวงพิชัยภักดีดีดดิ้น ปวดแสบปวดร้อน
“โอ๊ย...ร้อน...”
ติณห์อยากจะห้าม แต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องทำเฉย ยิ้มแย้มกลบเกลื่อนจับที่ข้อมือทั้งสองของเบญจา ให้ปล่อยจากหลวงพิชัยภักดีออกมา จุ๊บๆ แล้วกุมแน่น
“ผมหิวแล้ว ป้อนผมหน่อยสิ นะๆ อย่าเห็นยุงสำคัญกว่าพี่สิคะ”
หลวงพิชัยภักดีกระเด็นไป หน้าพุพอง ควันลอยฉี่ๆ แสบไปหมด รู้เลยว่าเบญจาเห็นตนและมีอาคมร้ายกาจมาก
“เอ็ง...เอ็งมีอาคมสามารถเล่นเตโชกสิณได้ขนาดนี้...เอ็งเป็นระดับเดียวกะกำนันพงษ์หรือเหนือกว่าด้วยซ้ำ”
เบญจาป้อนอาหารให้ติณห์ เสร็จแล้วหันมองด้วยหางตามาที่หลวงพิชัยภักดี ร้ายกาจ คมกริบราวมีดปักอก หลวงพิชัยภักดีได้แต่ซีด สยอง ติณห์ก็ซีด แต่ต้องทำไม่รู้เรื่อง ใสซื่อไป
กรรณาวิ่งกระหืดกระหอบ หลังจากที่พยายามทำร่างกายให้อบอุ่นด้วยการขยับเขยื้อน วิ่งไปวิ่งมา เวลานี้เธอหอบเหนื่อยมากๆ สภาพอิดโรยและมีท่าทางจะหนาวยิ่งกว่าเดิม พงอินทร์ยืนมองสภาพกรรณาเหมือนมองเด็กดื้ออวดเก่ง รอดูหายนะที่เธอสร้างให้ตัวเอง
“ไหวมั้ยคุณ”
“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว”
“ตอนนี้เพิ่งสี่ทุ่มเอง”
กรรณาหน้าตื่น
“ห๊า”
“คุณเพิ่งวิ่งไปมาได้ 26 นาทีเอง กว่าจะเช้า กว่าจะมีคนเข้ามาเจอ ผมว่าน่าจะมีอีกสิบชั่ว โมงอัพ...สู้ๆนะคุณ”
“โอ๊ย อะไรกันเนี่ย” กรรณาทรุดนั่งกับหิมะ หมดอารมณ์ “ฉันไม่ไหวแล้ว”
กรรณานอนแผ่ หมดแรง
“คุณรู้มั้ยว่าเวลาคุณขยับ มันก็อุ่นขึ้นจริงๆ แต่ถ้าหยุดเมื่อไหร่ คุณจะหนาวเป็นสองเท่า เพราะร่างกายอ่อนเพลียสูญเสียน้ำและไขมันที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างหายโดยไม่จำเป็น”
“ไม่ต้องมาขู่ฉันเล...ย...”
ทันใดนั้นจู่ๆก็มีอาการหนาวกะทันหัน เหมือนมีลมพัดแรงๆ ขนลุกไปทั้งตัว ยะเยือกไปถึงตับไต
“นะๆนาย เป่าลม...เหรอ”
“นั่นไง อาการมาแล้ว”
กรรณารีบลุกจากการนอนแผ่ ขึ้นมายืน
“หูย หนาวๆ มีใครลดอุณ...หะ...หะภูมิ...หรือเปล่า...ทำไม...มันหนาวขึ้น...เท้าฉัน...ไม่รู้สึกเลย มันชา”
กรรณาพยายามจะโดดออกไปจากหิมะ แต่เท้าชาเลยเสียหลักจะล้ม พงอินทร์รีบเข้ามาประคองกอดเอาไว้ ทั้งสองคนใกล้ชิดกัน
“ไงล่ะ ทีนี้จะดื้ออีกมั้ย...ถ้าไม่อยากหนาวตายก็เชื่อผม...มานี่”
พงอินทร์ดึงตัวกรรณากึ่งๆจะเป็นอุ้ม ลากไปที่อิคลู
“เข้าไป”
“ในเนี้ย...ในบ้านน้ำแข็ง ไม่ยิ่งหนาวตายเหรอ”
“เออ เข้าไปเถอะน่า”
พงอินทร์ผลัก กดหัวให้เข้าไป กรรณาถูกดันเข้าไป แต่ดื้อจะกลับออกไป ต้องชะงัก เพราะพงอินทร์ตามเข้ามาปิดทางออกไว้ ผลักเธอให้กลับเข้าไป
“เข้าไป”
“ฉันไม่อยากอยู่ในนี้ ในนี้มันหนาว”
“ถ้าสร้างบ้านแล้วหนาวกว่าข้างนอก ชาวเอสกิโมเขาจะสร้างเพื่อ...คิดว่าชาวเอสกิโมเป็น ซาดิสต์เสพติดความหนาวหรือไง บ้ามั้ย บ้านมันก็ต้องอุ่นกว่านอกบ้านสิ คิดหน่อย คิดๆ”
“รู้ใจชาวเอสกิโม นายมีญาติเป็นหมีขาวขั้วโลกหรือไง” กรรณาแดกดัน
“ฟังนะ...ร่างกายเราขับความร้อนออกมาตลอดเวลา ถ้าอยู่ข้างนอก ความร้อนที่ออกจาก ร่างกาย มันก็จะกระจายหายไปหมด แต่ในนี้ ผนังน้ำแข็งมันจะช่วยเก็บกักความร้อน จากตัวเราไม่ให้กระจายหายไป ในนี้จึงอุ่นกว่าข้างนอก”
“ถ้าในนี้อุ่นกว่า แล้วทำไมฉันยังหนาว หนาวมากขึ้นๆ”
“ก็ช่วยหุบปากเก็บความร้อนเอาไว้ในตัวบ้างเซ่”
“นาย...”
กรรณากำลังจะเถียง แต่อยู่ๆกลับวูบ ทรุดลงไปเลย
“กรรณ”
พงอินทร์รีบประคองพบว่าเธอหน้าซีด ปากซีด มีอาการหนาวสั่น
“คุณต้องรีบทำตัวให้อุ่นโดยด่วน ไม่งั้นคุณป่วยแน่”
พงอินทร์เห็นว่าภายในนั้นมีหนังหมีสีขาวที่ใช้เป็นพร๊อพในการตกแต่งอิคลูนั้น เขาเลยรีบไปดึงมา เอามาห่มให้กรรณา
“ห่มซะ”
กรรณาจะผลักออก
“ฉัน...ไม่เป็น...ไร...”
“เลิกดื้อซะทีได้มั้ย เชื่อใจผมที ผมเป็นห่วงคุณ เข้าใจมั้ย”
กรรณาอึ้งๆ ยอมให้พงอินทร์ห่มผ้าให้ จนได้
“อุ่นขึ้นมั้ย”
“อื้อ...แล้วนายล่ะ”
“ผมโอเค...ขอนั่งข้างๆคุณก็พอ ความร้อนในตัวเราจะได้ถ่ายเทซึ่งกันและกันเหมือนนก เพนกวินเวลาเจอพายุหิมะ”
พงอินทร์นั่งข้างๆกรรณา เอาไหล่อิง กรรณาขยับออก
“นั่งข้างๆ แต่ไม่ต้องมาถูกตัวฉัน”
กรรณาขยับออก ไม่ยอมให้นั่งอิงกัน
ญาณินเดินเข้ามาในบริเวณงาน ที่เป็นมุมอาหาร พยายามมองหาว่ามิรันตีอยู่ที่ไหน แต่ไม่พบ
“ต้องหาคุณมิรันตีให้เจอ ถ้าเจอคุณมิรันตีเราก็จะเจอหมอสมคิด”
สุคนธรกำลังแอบหยิบ เสื้อแจ็คเก็ตอินเดียแดงที่วางอยู่บริเวณนั้นให้ไตรรัตน์ มีหมวก เป็นชุดที่ไม่เต็มยศนัก พอแต่งให้เข้ากับธีมงาน
“นายไหวแน่นะ...เดี๋ยวเดินไปเดินมาจะวูบ”
“ผมแบตเต็มร้อย ไม่มีวูบ อย่าว่าแต่เดินเลย กระโดดก็ไหว...ดู”
ไตรรัตน์ตั้งท่าจะกระโดดให้ดู ย่อเข่าลงไปแล้วจะฮึบโดด แต่จังหวะฮึบกลับฮึบไม่ขึ้น กลับเหี่ยวลงไปนั่งยองๆกับพื้นซะงั้น สุคนธรสส่ายหน้า
“กลับไปชาร์ตแบตก่อนมั้ย”
แต่แล้วญาณินก็มองไปอีกด้าน เห็นเบญจากับติณห์กำลังเล่นยิงธนูกันอยู่
“เบญจา...”
ญาณิน สุคนธรส ไตรรัตน์รีบหันหน้าหลบเข้าไปที่ซุ้มอาหาร แล้วคอยเหลือบมอง เบญจาและติณห์เล่นยิงธนู ท่าทางมีความสุข ญาณินได้แต่มองอย่างเฉาๆ
“ยัยเจ๊...ยัยเจ๊...” สุคนธรสเรียกเบาๆ
ญาณินนึกว่าเพื่อนจะเตือนสติเรื่องติณห์
“ฉันรู้ว่าติณห์เล่นละครอยู่ ฉันไม่คิดมากหรอก”
“ไม่ใช่...ฉันจะให้แกดูทางสิบสี่นาฬิกา”
ญาณินหันไปมอง พบว่ากรกฏที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของงาน ราวกับเป็นไลฟ์การ์ดสังเกตการณ์ กำลังมองจ้องมาที่ญาณินกับสุคนธรสเขม็ง ทั้งคู่สบตากรกฏก็สัมผัสได้ว่าคนนี้ไม่ธรรมดา แล้วจึงรีบทำเนียนๆหันมอง ไปทางอื่น สวนทางกับไตรรัตน์ที่เดินพุ่งเข้าหากรกฏ จ้องตอบอย่างหวงก้างคิดว่ามาเหล่ แฟนตน สุคนธรสรีบขัด
“นายไตวาย ทำอะไร”
“ไอ้บ้านั่นจ้องคุณอยู่ได้...ไม่รู้เหรอว่าเจ้าของอยู่ตรงนี้...ฮึ่ม”
กรกฏทำท่าจะเดินเข้ามาหา ญาณินรีบบอก
“หลบก่อนเถอะยัยรส”
ญาณินลากแขนสุคนธรสให้เดินหนีไปก่อน สุคนธรสลากไตรรัตน์ที่ฮึดฮัดไปด้วย กรกฏเข้ามาไม่ทัน ระแวง
ญาณินเดินจ้ำหนีแยกมาอีกทาง สุคนธรสลากแขนไตรรัตน์ตามมาด้วย มาหลบหลังต้นไม้ พอเห็นว่าไม่มีใครตามมาก็ถอนหายใจโล่งอก ไตรรัตน์ฮึดฮัด
“มันเป็นการ์ดของรีสอร์ทเหรอ...หน็อย นี่ คุณณิน บอกแฟนคุณช่วยคัดคนมาทำงานดีๆ หน่อยนะ”
ญาณินกังวล
“ยัยรส...ผู้ชายคนนั้น ไม่ธรรมดาใช่มั้ย ชั้นรู้สึกเหมือนว่ากระแสเขาไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี”
สุคนธรสดีดนิ้ว
“ตรงเผง เหมือนอสูรกายในร่างมนุษย์ แกรู้สึกไม่ผิดหรอกยัยเจ๊”
“งั้นที่นี่ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจน่ะสิ” ญาณินตกใจ เป็นห่วง “ติณห์...”
“ยัยเจ๊ นั่น”
สุคนธรสชี้ไปให้ดูทางด้านหนึ่ง สมคิดกำลังจูงม้าโดยมีมิรันตีนั่งบนหลังม้าผ่าน บริเวณนั้นไป สองคนหัวเราะกันมีความสุข มีจังหวะที่สมคิดหันหน้ามาเต็มๆชัดๆ ญาณินกับสุคนธรสเห็นจะๆครางออกมาแบบไม่รู้ตัว
“หมอสมคิด”
“ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย” สุคนธรสคราง
“ต้องไปตามตำรวจ บอกพี่ณัฐ ยกโรงพักมาจับมันเลย มันโดนตั้งหลายคดี ไหนจะวางเพลิงตลาดผมอีก” ไตรรัตน์บอกแค้นๆ
อยู่ๆหลวงพิชัยภักดีก็โผล่มา ในสภาพบอบช้ำแบบสุดๆ ทรุดไปกองกับพื้นตรงหน้า
“หนูณิน หนูรส ช่วยช้านด้วย นังนั่นๆ มันเห็นฉัน มันจับต้องฉันได้ แล้วใช้เตโชกษิณทำร้ายฉันได้ด้วย”
“คุณหลวง”
ญาณินกับสุคนธรสอึ้งกับสภาพของหลวงพิชัยภักดี
กรรณานั่งห่มผ้า อาการดีขึ้นแล้ว ไม่หนาวสั่นเท่าไหร่ แต่พอมองไปใกล้ๆกัน พบว่าพงอินทร์ที่นั่งหลับตาอยู่ใกล้ๆ มีอาการหนาวสั่น กรรณาสงสาร เห็นใจเพราะตนห่มผ้าอยู่คนเดียว เธอค่อยๆขยับเข้าไป เอาไหล่อิงกับไหล่เขา พงอินทร์ลืมตา แปลกใจ
“ขอบใจสิ ฉันอุตส่าห์มีเมตตา”
“หร๋า”
“เอ้า ห่มด้วยกัน”
กรรณาเสนอให้เข้ามาห่มด้วยกัน พงอินทร์ยิ้ม ขยับเข้านั่งข้างๆ ดึงผ้าคลุมมาคลุมตัวเองไปด้วยคลุมจากด้านหลัง แต่ทั้งสองคนก็ยังหนาว
“ผมว่าคลุมแบบนี้ มันไม่ช่วยอะไรนะ”
“อ้าว ไหนว่าแค่นั่งชิดกันแบบเพนกวินก็พอไง”
“เพนกวินอยู่กันเป็นพันเป็นหมื่นตัว เรามีกันสองคน แค่นั่งข้างๆกันกับผ้าผืนเดียว มันเอาไม่อยู่...ถ้าอยากรอด เราสองคนต้องแบ่งปันความอบอุ่นให้แก่กันและกัน”
“พูดบ้าอะไรของนาย”
“ผมหมายถึงเราต้องกอดกัน ไม่ได้หมายถึงอะไรที่คุณคิด”
“แล้วไป...เฮ้ย ฉันไม่ได้คิด”
พงอินทร์โอบไหล่กอดกรรณา
“เฮ้ย...ไม่ต้องมากอดฉัน ถ้าต้องกอดกับนายทั้งคืนเพื่อให้รอดตาย ฉันยอมตายตอนนี้ เลยดีกว่า”
“คุณ...นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาทิฐิใส่ผมนะ เอาตัวให้รอดก่อนได้มั้ย”
“วิธีอื่น ยังไงฉันก็ไม่กอดกับนาย”
พงอินทร์เซ็ง เอือมๆ แล้วก็ขยับตัว ให้กลายเป็นท่านั่งที่เอาหลังชนกัน กรรณางง โวยวาย
“เฮ้ย อะไรๆ”
“อย่าบอกนะว่าแค่เอาหลังชนกันก็ไม่ได้”
กรรณาทีแรกทำเหมือนไม่ยอม แต่ก็จำใจต้องยอม จึงพูดขู่
“แค่นั่งเอาหลังพิงกันเฉยๆ...ห้ามคิดทำอะไรมากกว่านี้ ไม่งั้นนายตายแน่”
“น่าคิดด้วยตายล่ะ”
พงอินทร์เอาผ้าห่มนั้นคลุมทั้งสองคนไว้ด้วย แต่แล้วเขาก็คิดแกล้งเลยขยับๆแผ่นหลัง เอาหลังเบียดๆสัมผัสๆหลังกรรณามากๆ
“อยู่เฉยๆได้มั้ย” กรรณาโวย
“โทษที ผมแค่ไม่แน่ใจว่าคุณเอาแผ่นหลังหรือแผ่นหน้ามาพิงผม...” พงอินทร์หันมามอง “อื้ม แผ่นหลังจริงๆด้วย ไม่น่าเชื่อ”
“ทะลึ่ง”
กรรณาอยากเพ่นกบาลแต่หนาว จำทน นั่งกอดเข่า เอาหลังอิงกันไว้ พงอินทร์ยิ้มๆ แม้จะหนาวแต่ก็แฮปปี้
หลวงพิชัยภักดีนอนพังพาบ แล้วอยู่ๆหน้าไตรรัตน์ก็ยื่นเข้ามาใกล้หน้ามาก แทบจะจูบกันอยู่แล้ว
“ผีคุณตานายติณห์เหรอ...บาดเจ็บด้วยเหรอ...ไม่เห็นอ่ะ”
หลวงพิชัยภักดีเบือนหน้าหนี กลัวจูบ สุคนธรสดึงไตรรัตน์ออก
“ออกมา”
ญาณินอึ้งๆ
“ฝีมือยัยเบญจาเหรอเนี่ย”
“ยัยนี้โหดเหี้ยมอำมหิตมาก”
สุคนธรสรีบบอก
“ยัยเจ๊...ตอนนี้ยังมีพระจันทร์ ช่วยกันรักษาคุณหลวงก่อนเถอะ”
สุคนธรสกับญาณินจะเข้าช่วยหลวงพิชัยภักดี นั่งประกบคนละด้าน กำลังจะใช้พลังรักษา แต่แล้วอยู่ๆหลวงพิชัยภักดีกลับมีอาการแสบร้อนขึ้นมาอีก
“อ๊าก”
ญาณินกับสุคนธรสแปลกใจ เกิดอะไรขึ้น
“คุณหลวง...ยัยรส คุณหลวงเป็นอะไร”
“คุณรส...”
ไตรรัตน์เห็นว่ามีคนเดินเข้ามาก่อน จึงเรียกญาณินกับสุคนธรส สองสาวมองตามสายตา ไตรรัตน์ไป พบว่าเบญจากำลังเดินเข้ามา โดยมีติณห์เดินตามมา
“พี่ติณห์...ดูสิคะว่าใครมา”
ติณห์เดินตามเข้ามา เห็นญาณินก็แปลกใจที่มาได้ไง เป็นห่วง แต่ต้องแสดงละครต่อ แกล้งขับไล่อย่างรุนแรง เพราะกลัวว่าถ้าต้องสู้กับเบญจาจะเป็นอันตรายแน่
“เธอ...ยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ ไปเลย ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไป”
ญาณินอึ้ง ที่ติณห์จริงจังมาก จนเริ่มไม่แน่ใจว่าไล่จริงหรือเล่นละคร
“ยังมองหน้าอีก หรือจะให้ฉันแจ้งตำรวจว่าพวกเธอบุกรุก ห๊า...ออกไปเดี๋ยวนี้...เฮ้ย ใครอยู่แถวนี้ มาลากตั...ว...”
เบญจาขัดขึ้น
“พี่ติณห์คะ ให้เบญจาจัดการเองดีกว่า”
ติณห์อึ้ง
“เบญจา อย่าดีกว่า...พี่เองนะ”
“เชื่อเบญจานะคะ”
เบญจาเดินตัดหน้าติณห์ไปทันที จ้องเขม็งไปที่สุคนธรสและญาณิน ต่างรู้กันดีว่าต่างก็มีอาคม สุคนธรสรู้ว่าต้องมีการปะทะอาคมกันแน่ เลี่ยงไม่ได้ ก้าวมาเผชิญหน้า พร้อมสู้
“พวกแกหลบไปก่อน”
ไตรรัตน์เป็นห่วง สบตาติณห์ รู้กัน
“อย่า...คุณรส...เราไปกันดีกว่า” ไตรรัตน์ห้าม
“เจ๊ พาสามีฉันไปที คนเจ็บ อย่ามาเกะกะ ขอฉันแก้สงสัยหน่อยซิ” สุคนธรสเสียงดุจริงจัง
ทุกคนอึ้ง
สุคนธรสกับเบญจาเผชิญหน้ากัน ติณห์อยู่ข้างเบญจา ไตรรัตน์จะก้าวเข้าไปยืนข้างสุคนธรส แต่ญาณินดึงตัวไว้
“อย่าเข้าไป อันตราย”
เกิดลมรุนแรงบริเวณนั้น ท้องฟ้าแปรปรวน กลับไปกลับมา เดี๋ยวฟ้าปิดเดี๋ยวฟ้าเปิด แล้วในที่สุดก็มีก้อนเมฆหนาทึบเคลื่อนที่มาบังพระจันทร์จนมิด บริเวณนั้นมืดสนิทลง มีอีกาตัวหนึ่งบินมาเกาะบริเวณนั้น ร้องเสียงดัง เบญจายิ้ม ไตรรัตน์มองฟ้า
“พระจันทร์หายไปแล้ว ยังงี้พลังคุณก็...”
สุคนธรสเอะใจ เหมือนว่าเบญจาจะรู้ว่าพวกตนจะมีเซ้นซ์แก่กล้าเมื่อมีพระจันทร์ ญาณินวิตกไปด้วย สบตากับติณห์ เขาได้แต่ห่วงแต่ทำอะไรไม่ได้ เบญจาร่ายคาถาบางอย่าง วิญญาณผีซอมบี้พุ่งพรวดมาตรงหน้าสุคนธรส บีบคอทันที สุคนธรสผงะ หน้าหงาย คอเกร็ง แดง ญาณินกับไตรรัตน์มองไม่เห็นผี แต่เห็นท่าทางสุคนธรสแปลกๆ
“อะไรมาทำยัยรส ทำไมฉันไม่เห็นอะไรเลย ยัยรส อะไรๆ”
ไตรรัตน์ตกใจ
“คุณรส”
บริเวณมุมพักผ่อนของรีสอร์ท สมคิดกำลังเจรจาเรื่องลงทุนในรีสอร์ทกับมิรันตี
“ชวนแมรี่ออกจากปาร์ตี้มาสองต่อสองอย่างนี้ แน่ใจนะคะว่าจะคุยแค่เรื่องร่วมหุ้น ในรีสอร์ทเฉยๆ ไม่มีเรื่องอื่นซ่อนเร้น”
สมคิดยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อยากให้มีเรื่องอื่นหรือเปล่าล่ะครับ”
“โด้นท์บีเครซี้...อย่ามาทะลึ่งเบเบ๋”
มิรันตียังไม่ทันตอบ สมคิดหันขวับ เงยมองไปบนฟ้า เมฆปกคลุมทุกอย่างสนิท มีอีกาบินโฉบผ่านไป สมคิดเอะใจ สัมผัสได้ถึงเรื่องไม่ดี
“กรกฏ”
“คะ...เรียกชื่อลูกน้องคุณทำไมคะ เขาคงอยู่ที่งานไม่ได้ยินหรอก”
แต่จู่ๆกรกฏโผล่มาจากไหนไม่รู้
“ครับท่าน”
มิรันตีแปลกใจที่กรกฏโผล่มา อึ้ง งง
“เขามาได้ยังไง”
กรกฏแค่สบตากับสมคิดก็รับทราบคำสั่งแล้ว
“รับทราบครับท่าน”
กรกฏเดินออกไป มิรันตียังงง
“ไว้เราค่อยคุยเรื่องรวมหุ้นทีหลังนะครับ”
สมคิดเดินแยกกลับไปเลย มิรันยิ่งงงไปอีก
สุคนธรสพยายามยืนหยัดสู้ผีที่บีบคออยู่ เธอตั้งสติ ตั้งจิตสงบร่ายคาถา จับหมับเข้าที่แขนของซอมบี้ทั้งสองแขน ซอมบี้ผงะ แข็งเป็นหิน แล้วร่วงกราวลงไปกองเป็นเศษดินที่พื้น
เบญจาอึ้ง ที่สุคนธรสอาคมแก่กล้ามาก ขณะเดียวกันนั้นมีใบไม้ร่วงหล่นลงมาตรงกลาง ในระยะสายตาของเบญจา กับสุคนธรส ใบไม้ก็หยุดนิ่งลอยค้างกลางอากาศ สั่นๆ ว่าจะพุ่งไปด้านไหน ราวกับว่าพลังมนต์ขาวของสุคนธรสกับมนต์ดำของเบญจากำลังยื้อพลังกันอยู่ ทั้งสองสู้กันด้วยอาคม เบญจาพยายามต้านทานคลื่นอาคมไว้ ตัวสั่น ใบหน้าสั่น สุคนธรสต้านทานเช่นกัน เส้นผมปลิวไปด้านหลังหมด ญาณินที่มองเหตุการณ์อยู่ เห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปช่วยประกบหลังสุคนธรส เธอใช้มือทั้ง สองข้างแตะหลังสุคนธรส ช่วยส่งพลังเข้าสู่ร่างเป็นพลังแห่งความว่าง ความดี แสงสว่างจากตัวญาณินถ่ายทอดสู่สุคนธรสเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ เบญจาเซแซ่ดมากขึ้น แล้วในที่สุดก็ต้านทานไม่ไหว กระเด็นถอยกราวไป จนหลังไปกระแทก ต้นไม้ ใบไม้ที่ลอยค้าง ร่วงหล่นพื้น เบญจาโดนคลื่นพลังงานอาคมของสุคนรธรสเข้าไป มีอาการกระอัก เลือดออกปาก ทรุดลงที่พื้น ติณห์แอบดีใจ กำมือเยสเบาๆ
กรกฏโผล่มา ถอนเสาโทเทมขึ้นมาจากพื้น ด้วยพลังมหาศาลรอยสักของเขาโผล่พ้นด้านหลังคอ เรืองแสงขึ้นมา แล้วก็เขวี้ยงเสานั้นพุ่งใส่สุคนธรสและญาณิน ติณห์ ไตรรัตน์เห็นก่อน รีบตะโกนบอก
“คุณรส คุณณิน ระวัง”
“ญาณิน”
สุคนธรสกับญาณินต้องกระโจนหลบ รอดฉิวเฉียด หันกลับไปมองโทเทมที่ปักพื้นอยู่ ผงะว่า ฝีมือใคร ยังไง พบว่ากรกฏยืนอยู่ กรกฏวิ่งพุ่งมาเอาไหล่แท็กกระแทกสุคนธรสอย่างแรงกระเด็นไปตกไกล ไตรรัตน์ตกใจ
“คุณรส”
กรกฏจะเข้าซ้ำ แต่ไตรรัตน์วิ่งมาขวาง
“แกทำแฟนฉัน...แกตาย”
ไตรรัตน์ชกๆ กรกฏยืนให้ชก แบบไม่สะทกสะท้าน จนไตรรัตน์เหนื่อย อึ้ง ว่าทำอะไรมันไม่ได้เลย กรกฏชกเปรี้ยงเดียว ไตรรัตน์ไถลไปไกล กระเด็นไปใกล้ๆกับสุคนธรส
“นายไตวาย”
“คุณร...ส...”
ไตรรัตน์สะบักสะบอม
ญาณินจะไปดูสุคนธรส แต่เบญจาที่โดนอาคม กลับฮึดขึ้นมายืน บริกรรมคาถา จะเล่นงานญาณิน แต่ติณห์เห็นเข้า พยายามจะขวาง
“เบญจา...คุณบาดเจ็บ พอแล้วๆ ไปรักษาตัวก่อนเถอะ”
เบญจาผลักติณห์ออก
“หลบไป”
ติณห์จะวิ่งเข้าไปห้ามเบญจา แต่กรกฎขวางเอาไว้ ติณห์ชะงัก เบญจาท่องอาคมต่อ แล้วเสกอาคมนั้นใส่ญาณิน คลื่นอาคมออกมาจากตัวเบญจาแล้วกลายเป็นฝูงอีกาพุ่งกระแทกญาณิน สุคนธรสกับไตรรัตน์นึกถึงสมคิด
“อีกา”
ญาณินกระเด็น ทรุด ลงไปนอนกับพื้น ดิ้นอย่างเจ็บปวด ร้องอย่างโหยหวน ทุกข์ทรมาน เหมือนกับคนถูกไฟฟ้าช็อต
“คุณณิน”
ติณห์เผลอตัว ร้องออกมา แต่ต้องชะงัก ไม่พูดมากกว่านั้น ไม่ขยับเข้าไปหา เพราะรู้ว่าเบญจามองอยู่ ติณห์จำต้องกลับคำพูดตัวเองกลบเกลื่อน
“สมน้ำหน้า...เคยเตือนแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
หลวงพิชัยภักดีอึ้งไป
“อ้าว ไอ้หลานเวร ทำไมซ้ำเติมหนูณินอย่างนี้วะ”
ติณห์จำใจต้องหักห้ามตัวเองไว้
“พี่ติณห์...ช่วยด้วย” เบญจาเลือดออกจากปาก
ติณห์ต้องห้ามใจ หันกลับไปประคองช่วยเบญจาแทน
“เบญจา โถ เจ็บมากมั้ย” ติณห์ทำเป็นโกรธ หันไปด่าญาณิน “เพราเธอคนเดียว คอยดู ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
สมคิดตามเข้ามาถึงบริเวณนั้น มองเหตุการณ์ทั้งหมด
“นี่มันอะไร”
“พวกมัน...พวกมันทำเบญจา” ติณห์ฟ้อง
สมคิดแค้น
“พวกแก”
สุคนธรสเห็นอาการญาณินก็เป็นห่วง
“ยัยเจ๊”
สุคนธรสยันตัวเองขึ้นมา ฮึดจะสู้ กรกฏก้าวมายืนรอ จ้องเขม็ง สุคนธรสพนมมือท่องคาถา ปรากฏเป็นเสือโคร่ง ดุร้าย คำรามน่ากลัว แล้วเสือนั้นวิ่งทะยานเข้ากระโจนจะขย้ำแต่กรกฏยืนนิ่ง ต้านทาน เสือนั้นพุ่งเข้าใส่กรกฏ แล้วกลับสลายหายไป อาคมนั้นทำอะไรเขาไม่ได้ สุคนธรสอึ้งว่าอะไรกัน กรกฏแสยะยิ้ม เบ่งกำลัง กล้ามขึ้น เส้นเลือดปูดชัด แล้วรวมพลังผลักอากาศใส่ สุคนธรสเจอแรงอัดจากอากาศ กระเด็นไปกระแทกผนังร่วงลงพื้น กรกฏตามมาอัดอากาศซ้ำๆอีก สุคนธรสกระแทก ตัวคาผนัง ร่องรอยความรุนแรงที่ผนัง ปริแตกร้าว ไตรรัตน์เอาไม้ท่อนใหญ่ฟาดลงที่หลังกรกฎ แต่ท่อนไม้กลับแตกเป็นเสี่ยงๆ กรกฎหันมาหาแล้วทุบไตรรัตน์ทรุดลงกับพื้น ติณห์ได้แต่ฝืนยิ้มสะใจ แต่ในใจปวดร้าวสุดขีด เห็นคนที่รักทุกคนโดนกระทำ แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ติณห์และญาณินมองตากันด้วยแววตาปวดร้าวแสนสาหัส ติณห์พยายามข่มไม่ได้น้ำตาตนไหลออกมา ตาแดงกล่ำ เอามือกำหัวตัวเอง หาทางจะเอาไงดี หลวงพิชัยภักดีที่นอนทรุดอยู่ ได้แต่มองสุคนธรสและไตรรัตน์ที่โดนกรกฏเล่นงาน
“เจ้าป่าเจ้าเขา เทพยดาที่สิงสถิตในที่แห่งนี้ ใครก็ได้ ช่วยคุ้มครองคนดีด้วย” หลวงพิชัยภักดีวิงวอน
ติณห์ตัดสินใจ กระโดดกอดเบญจาแน่น
“หยุดๆ ทุกคนหยุดได้แล้ว เบญจา คุณเลือดออก คุณต้องหยุด ไปหาหมอๆเร็ว”
เบญจาสะบัด
“ปล่อย พี่ติณห์”
“ไม่...ไม่ปล่อย พอๆได้แล้ว”
หลวงพิชัยภักดีที่นอนแบ็บสิ้นหวังอยู่ จู่ก็พบว่ามีหิ่งห้อยตัวหนึ่งบินผ่านสายตาไป หลวงพิชัยภักดีฉงน มองตามหิ่งห้อย ราวกับจะต้องมีปาฏิหาริย์แน่ๆ
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบรับคำขอร้องของข้าแล้วใช่มั้ย”
ทันใด มิรันตีวิ่งเข้ามา กรี๊ดปรอทแตก
“อ๊าย...นี่มันอะไรกัน”
หลวงพิชัยภักดีแป่ว ผิดหวัง
“ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีจริง ส่งนังนี่มาทำไม”
มิรันตีแหกปาก จัดแจง โวยวายแบบสุดๆ
“ตายแล้ว หนูเบญจาเลือดออก เกิดอะไรขึ้น คุณร็อบบี้เป็นอะไรหรือเปล่าคะ...ปลอดภัยดีนะคะ” มิรันตีตะโกน “มีใครอยู่บ้าง เรียกรถพยาบาลให้ที เร็วๆ”
พนักงานบางคนทยอยกันเข้ามา กรกฏจะขยับหาสุคนธรส สมคิดดีดนิ้ว...กรกฏชะงัก ทั้งๆที่ยังอยากบู๊ต่อ แต่ต้องรับคำสั่ง ติณห์ได้จังหวะ รีบวิ่งเข้าไปขับไล่พวกญาณิน
“ไปเลย นี่เป็นการสั่งสอน ถ้ายังกล้าโผล่หน้ามาเหยียบที่นี่อีก พวกเธอตายแน่”
ติณห์มองญาณินเป็นห่วงมาก เห็นสภาพญาณินแล้วอยากเข้าไปกอด สงสารสุดใจ ไตรรัตน์รีบยันตัวเองขึ้นมา ช่วยสุคนธรสกับญาณินออกไป
“ไอ้ไตร ไปเลย ไป๊” ติณห์ทำเป็นไล่
สมคิดแค้น มองตามพวกญาณินไป
“ไอ้ไตรรัตน์ สุคนธรส...ถึงเวลาแล้ว”
ติณห์อุ้มเบญจาเข้ามาในบ้านพัก โดยมีมิรันตีตามจัดแจงตลอด
“วางเบาๆนะติณห์ เบาๆ...คุณร็อบบี้...ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ปาร์ตี้ต้องล่มกลางคัน เพราะไอ้พวกอันธพาล แพ้แล้วป่วน มันรังแกเราชัดๆ มาแกล้งทำให้งานเราพังอย่างจงใจ” มิรันตีหันกลับไปโวยพนักงาน “ เอ้า ให้ไปเรียกรถพยาบาล...ถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะมา”
สมคิดตามเข้ามา
“คุณไม่ต้องตามรถพยาบาล เดี๋ยวผมจัดการให้เอง พวกคุณออกไปให้หมดก่อน”
“คุณจะรักษายังไง” ติณห์ถามอย่างอยากรู้
สมคิดไม่ตอบหันไปหามิรันตี
“เชื่อผมนะครับแมรี่”
“ค่ะๆ...ไปติณห์...ออกไปๆ”
ติณห์มองสมคิดอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมออกไป
ติณห์กับมิรันตีออกมาด้านนอก
“นังแม่มดของแกมันเล่นแบบนี้แล้วใช่ไหม มันทำร้ายหนูเบญขนาดนี้ แกคงตาสว่างแล้วสิ ว่าใครดี ใครชั่ว”
“ยัยแม่มดไม่ใช่ของผม ผมตาสว่างมาตั้งนานแล้วครับ”
“สงสัยต้องแจ้งความ...ให้ตำรวจจับมันไปให้หมด”
ติณห์กุมหัว อยากร้องสุดเสียง
“อ๊าก...”
มิรินตีตกใจ
“แกเป็นอะไร”
“ผมเป็นห่วง...เอ้อ...ห่วงเบญจี้ของผม ห่วงมากๆ”
“โถๆ...เรื่องนี้ แกทำใจให้สบายเถอะ คุณร็อบบี้เขาเป็นอัจฉริยะ ถ้าเขาบอกว่ารักษาได้ เขาก็ต้องทำได้ หนูเบญจาต้องปลอดภัยแน่ๆ”
“ครับ ผมก็หวังอย่างนั้น อย่าเป็นอะไรเลย” ติณห์หันหลังให้แม่ พึมพำ “นะ...ญาณิน...ของผม”
ติณห์แอบน้ำตาไหล เป็นห่วงญาณินมาก
ไตรรัตน์ประคองสุคนธรสกับญาณินกลับมาที่บริเวณของบ้านกำนันพงษ์ แต่แล้วทั้งหมดก็อ่อนแรง ไตรรัตน์พยุงไม่ไหว หกล้มกันไปหมด อรวรรณวิ่งออกมาเห็นพอดี ตกใจ
“คุณหนู”
อรวรรณรีบทิ้งทุกอย่าง เข้าไปดูแล
เบญจานอนดิ้น มีอาการปวดท้องอยู่ภายใน ดิ้นๆตัวขดงอเป็นกุ้ง สมคิดยืนมองอยู่
“ช่วยด้วย...ช่วย...ด้วย”
“ไม่ต้องร้อง ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเจ้าเอง”
“ช่วย...ด้วย...เจ็บ”
“อย่าอ่อนแอ อดทนแล้วตั้งสติเดี๋ยวนี้”
เบญจาพยายามกัดฟันสู้ คุกเข่า ยกมือขึ้นชูรับพลังเหนือหัว พยายามจะบริกรรมคาถาถอนอาคมของตัวเอง แต่แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะเจ็บปวดเหลือทน งอตัวขด ร้องครวญคราง สมคิดไม่ยอมให้เบญจายอมแพ้
“ถ้าอยากหาย เจ้าต้องทำให้ได้ ตั้งสติเร็ว”
เบญจาหน้าตาทรมานมาก พยายามยืดตัว คุกเข่าหลังตรง ชูมือทั้งสองขึ้น
อ่านต่อหน้า 3
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 14 (ต่อ)
อรวรรณประคองญาณินที่ไม่ได้สติยังมีอาการกระตุกๆอยู่บ้าง
“คุณหนู...คุณหนูเป็นอะไร” อรวรรณกอดเอาไว้ สงสารจับใจ
สุคนธรสกับไตรรัตน์ก็สะบักสะบอมอยู่ตรงนั้น แต่ยังพอฮึดกำลังเอาไว้ได้
“ยัยเจ๊...โดนอาคม”
อรวรรณหน้าตื่น
“ห๊า...คุณหนูของป้า อาคมอะไร จากนรกขุมไหน ทำไมมันสาหัสสากรรจ์ขนาดนี้”
“นรกโลกันตร์เลยล่ะค่ะ...ป้าออ ขอธูปให้หนูก่อน ต้องทำพิธีช่วยยัยเจ๊”
ไตรรัตน์เป็นห่วง
“แล้วคุณไหวเหรอ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว...ไปสิคะป้าออ”
“ค่ะๆ”
สุคนธรสพยายามรวบรวมกำลัง ลุกมานั่งตั้งสมาธิตรงหน้าญาณิน
“เลือดคุณไหล ผมว่าคุณทำแผลก่อนเถอะ” ไตรรัตน์พยายามเตือน
“มันจะไม่ทันการณ์”
“อย่าดื้อสิคุณรส”
สุคนธรสผลักไตรรัตน์ออก
“ปล่อยฉัน”
สุคนธรสหันไปนั่งสมาธิต่อแล้วบริกรรมคาถา พยายามช่วยญาณินที่หน้าซีดเผือด
กรรณานอนหลับคู้ตัวอยู่บนตักพงอินทร์ โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังเอามือของเขามากอดแบบซุกมือเข้าที่ซอกคอให้คออุ่น แล้วสักพัก เธอค่อยๆได้สติ ลืมตาตื่น มองภาพตรงหน้า ก่อนจะพลิกตัวมานอนหงายพบว่าหน้าของพงอินทร์อยู่ตรงหน้า กำลังยิ้มอ่อนโยนให้ แล้วยกมืออีกข้างมากุมมือของกรรณาเอาไว้
“อุ่นขึ้นมั้ย”
กรรณาอึ้งๆงงๆลุกขึ้นมานั่งอย่างเขินๆแปลกใจ ไม่ได้โวยวาย
“นายจิงโจ้...ทำไมฉัน” เธอพบว่าตัวเองเอาผ้ามาคลุมคนเดียวด้วย “แล้วผ้านี่...”
“ฉันเห็นเธอหนาวสั่น ก็เลยยกให้ เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันขอสัญญาด้วยชีวิตของฉัน ว่าจะพาเธอออกไปจากที่นี่ให้ได้ ต่อให้ฉันต้องตายฉันก็ยอมเอาชีวิตแลกเพื่อเธอ”
กรรณาอึ้งมากขึ้นที่อยู่ๆเขาก็กิริยาวาจาสุภาพบุรุษพระเอกมาดแมนสุดๆ พงอินทร์มองใบหน้าของกรรณาอย่างตกในภวังค์ความสวย เธอมองตอบแววตาระริก ตื่นเต้น แล้วเขาก็ค่อยๆแพ้แรงโน้มถ่วง ถูกดึงดูดให้โน้มหน้าเข้าหาเธอหมายจะจูบ กรรณายันอกเขาไว้
“จะทำอะไร”
“ทำสิ่งที่เธออยากจะให้ฉันทำไงล่ะ”
พงอินทร์เอามือกรรณาที่ยันอกออกมากุม แล้วโถมหน้าเข้าไป โน้มตัวจูบต่อ กรรณาตาโต
กรรณาสะดุ้งตื่น ลืมตาโพลงพบว่าพงอินทร์ยังนั่งพิงหลังเธออยู่ เธอเองที่ฝันไป จึงผ่อนลมหายใจโล่งอก ตั้งสติควบคุมใจที่ตื่นเต้นเพราะฝันนั้น
“ฝันร้ายเหรอ” พงอินทร์หันมานั่งข้างๆ “ฝันถึงฉันใช่มั้ยล่ะ”
กรรณาตาโต ว่ารู้ได้ไง
“ฮึ่ย...ไม่...ไม่ใช่...ใครจะไปฝันถึงนาย”
“อย่าหลอกตัวเองเลย กรรณ เราไม่รู้ว่าเราจะรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า เราเลิกทิฐิแล้วพูดความในใจจริงๆกันเถอะ”
กรรณาผละลุกหนี
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย”
กรรณาจะเดินหนีออกห่าง แต่พงอินทร์กรรโชกโฮกฮาก คว้าแขนเธอดึงกระชากเอาไว้
“แต่ฉันมี...ฉันไม่อยากตายไปโดยที่ไม่เคยบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับเธอ” พงอินทร์จับกรรณาดึงกระชับมาใกล้ตัว “กรรณา ฉันรักเธอ”
กรรณาอึ้ง
“เพ้อเจ้ออะไรของนาย”
“นี่เธอไม่เชื่อฉันเหรอ ได้ ถ้าคิดว่าฉันแกล้งรักเธอ ฉันจะพิสูจน์ให้ดู”
พงอินทร์กระชากกรรณามา จับให้หลังไปติดกับผนัง แล้วค่อยๆโน้มตัวจะจูบ กรรณาอึ้งตาโตค้าง
เช้าวันใหม่...กรรณาสะดุ้งตื่น ลืมตาโพลงพบว่าพงอินทร์ยังนั่งพิงหลังเธออยู่ เธอเองที่ฝันไปอีกแล้ว กรรณาอึ้งกับตัวเองพึมพำ
“ฝัน...ฝันอีกแล้วเหรอ” เธอตบหน้าตัวเอง “แล้วนี่ฝันอีกหรือเปล่า”
อยู่ๆเสียงพงอินทร์ดังมา
“ฝันร้ายเหรอ”
กรรณาตกใจที่พงษ์อินทร์หันมานั่งข้างๆตนแล้ว
“เปล่า”
“ฝันถึงฉันใช่มั้ยล่ะ” พงอินทร์แซว
กรรณาตาโต ว่ารู้ได้ไง
“ฮึ่ย...ไม่...ไม่ใช่...ใครจะไปฝันถึงนาย”
“อย่าหลอกตัวเองเลย...กรรณ เราไม่รู้ว่าเราจะรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า เราเลิกทิฐิแล้วพูดความในใจจริงๆกันเถอะ”
กรรณารีบร้องห้าม
“ไม่ๆ ไม่ต้องมาพูดความในใจกับฉัน นายมันคนทะลึ่งทุเรศ วิปริต คิดอกุศลกับสุภาพสตรี” กรรณาโยนผ้าขนสัตว์ใส่เขา “ออกไปห่างๆ”
กรรณารีบหนีไปนั่งอีกมุมห่างๆ กอดเข่า หวงเนื้อหวงตัว กลัวไปเอง พงอินทร์งงๆ
“เพี้ยนอะไรอีกวะ”
กรรณานั่งระแวงบ่นๆ
“ผู้ชายอะไรเอะอะก็โน้มเข้าหาๆ แย่ที่สุด...แต่มันฝันของเรานี่หว่า...แล้วเรา” เธอหันมองไปที่เขา “เราไปฝันถึงอีตานี่แบบนั้นได้ไง” เธอรังเกียจความฝันตัวเอง “อี๋ๆ”
แล้วอยู่ๆก็มีเจ้าหน้าที่สวนสนุก โผล่หน้ามามองที่ทางเข้าอิคลู
“อ้าว พวกคุณ เข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง”
กรรณาตาโต ดีใจ รีบลุก
“ประตูเปิดแล้วเหรอ เย้ๆ”
กรรณาดีใจรีบวิ่งออกมาจากอิคลู มีเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนเปิดให้ใช้บริการ2-3 คน กรรณาเห็นประตูทางเข้าเปิด เห็นแสงสว่าง ดีใจมาก
“เช้าแล้ว...แดด...แดดจ๋า ฉันรักเธอ”
กรรณารีบวิ่งออกไป พงอินทร์ตามออกมาร้องเรียก
“ยัยกรรณ เดี๋ยว อย่าเพิ่งรีบออกไป”
กรรณาไม่ฟังวิ่งออกไปเลย
กรรณารีบร้อนออกมาจากเมืองหิมะ เปิดประตูออกมา แต่แล้วก็ผงะ เพราะเจอแสงจ้า ต้องยกมือขึ้นบังแสง เธอพยายามมองสายตาของเธอมองภาพตรงหน้า เป็นภาพสวนสนุกที่แดดจัดๆ ทำให้ภาพทุกอย่างดูเบลอๆ เป็นคลื่นๆ เวียนๆ หมุนๆ หน้าของเธอเริ่มซีดทันที หน้ามืดกะทันหัน พงอินทร์วิ่งตามออกมาพอดี
“กรรณ”
กรรณาหน้ามืด เป็นลม ล้มลง แต่พงอินทร์วิ่งเข้ามารับได้พอดี ประคองกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
“ยัยกรรณ”
กรรณาสะลึมสะลือ
“หนาวจัดๆมาทั้งคืน ออกมาเจอแดดเปรี้ยง ก็วูบสิ...เฮ้ย นี่ตัวเธอร้อนจี๋เลย”
พงอินทร์ตกใจ ห่วงใย รีบจับเนื้อตัวสำรวจ แล้วก็พบว่ากรรณามีไข้ เขาเป็นห่วง กังวล
“กรรณา...”
กรรณาหน้าซีดเป็นไข้ในอ้อมแขนของพงอินทร์
วรวรรธฟังเรื่องราวช่อเพชรจากเนตรสิตางศุ์ แล้วทบทวน
“ครอบครัวคุณช่อเพชร แม่แทงพ่อตายแล้วแม่ก็เสียใจเลยผูกคอตายในบ้าน...ผมนึกไม่ออก เลยว่าคุณช่อเพชรในวัยแค่นั้น จะรับมือกับโศกนาฏกรรมของพ่อและแม่ตัวเองยังไง”
“แต่ที่เนตรสงสัยคือคุณช่อเพชรมีน้องสาวต่างมารดา ชื่อพลอยที่ป้าแดงเล่าว่าสติไม่ค่อยดีพอพ่อแม่ เสียไปหมด ญาติก็ไม่มีใครอยากรับไปเลี้ยง เลยถูกส่งตัวไปสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เด็ก เนตรอยากรู้ว่าคุณพลอยตอนนี้เธออยู่ไหน ทำอะไร”
“คุณก็เลยอยากให้ผมใช้ความเป็นหมอ หาข้อมูลของคุณพลอย ใช่มั้ยครับ”
เนตรสิตางศุ์ยิ้ม
“เก่งอ้ะ กินอะไรมานะถึงได้ฉลาดแท้”
โกลเดนเบบี๋โผล่แว่บเข้ามา ยืนจังก้าตระหง่าน
“จะไปขุดคุ้ยเรื่องของคนอื่น ถามเขายัง อนุญาตป่าว”
เนตรสิตางศุ์แปลกใจ ทำไมพูดแบบนี้
“มันคืองานเข้าใจมั้ย”
“งานๆ อ้างตลอด...เรื่องราวของคนอื่นถ้าเขาไม่อนุญาตก็เท่ากับละเมิดลิขสิทธิ์ อย่าทำตัวเป็นแผ่นผีซีดีเถื่อนสิคะ”
เนตรสิตางศุ์ไม่สนใจโกลเดนเบบี๋
“หมอ...หมอต้องหาข้อมูลคุณพลอยให้ได้นะคะ ถ้าทำสำเร็จ เนตรจะทำอาหารให้ทานทุกมื้อทุกวันเลย”
วรวรรธหน้าตื่น
“ห๊า”
“แต่ถ้าไม่สำเร็จ เนตรจะไม่ทำอะไรให้ทานอีกเลย”
วรวรรธดีใจ แต่ต้องฝืนแสดงออกตรงข้าม
“จริงดิ...งั้นผมก็ต้องทำให้ไม่ เอ๊ย ต้องสำเร็จสถานเดียวสิเนี่ย”
โกลเดนเบบี๋ตาโต จับเซ้นซ์ได้ว่ามีคนมา โพล่งออกมา
“มีคนมา...” โกลเดนเบบี๋นิ่ง สัมผัส “ฮ้า...พี่แก้มมา”
โกลเดนเบบี๋รีบหายตัวแว่บไป เนตรสิตางศุ์ แปลกใจว่าโกลเดนเบบี๋เป็นอะไร
กรรัมภาเดินนำจุนจีกับลีจองกุ๊กเข้ามาในบริษัท ลีจองกุ๊กจัดแจงที่นั่งให้จุนจีจนเสร็จ รีบเปิดคิวงานรายงาน
“เรามีเวลาคุยเรื่องคดีอยู่ที่นี่แค่สามสิบนาทีเท่านั้นนะครับ เพราะกองถ่ายรออยู่ ซุปเปอร์สตาร์ไม่ควรไปสาย...เว้นแต่จะรับอีเว้นท์”
กรรัมภากำลังรอสายโทรศัพท์ไปด้วย
“ค่า นั่งรอก่อนนะคะ”
ขณะเดียวกันนั้นมีรับสายกรรัมภาพูดสานทันที
“พี่ณัฐอยู่ไหน แล้วคะ...แก้มมาถึงแล้วค่ะ...ค่ะๆ” กรรัมภาวางสาย
ลีจองกุ๊กหันมาถาม
“คุณณเดชมาสายใช่มั้ยครับ”
“คุณลีจองกุ๊กเคยดูหนังไทยมั้ยคะ”
“ทำไมครับ”
“พระเอกนางเอกสู้กับผู้ร้ายแทบตาย ตำรวจในหนังมาสุดท้ายตลอด”
ลีจองกุ๊กงง จุนจีแอบขำที่ลีจองกุ๊กเจอมุขของกรรัมภา
“มุขไทย เกาหลีไม่เก็ท” ลีจองกุ๊กหันมาถามจุนจี “โอปป้าเก็ทป่ะ”
กรรัมภาหันมองไปอีกด้าน เห็นโกลเดนเบบี๋แอบดูอยู่ โกลเดนเบบี๋พอรู้ตัวว่ากรรัมภาเห็นตนแล้วก็ตกใจจ๊าก รีบหายตัวแว่บไป
“รอสักครู่นะคะ”
กรรัมภากำลังจะไป แต่ณัฐเดชเข้ามาเสียก่อน
“แก้ม พี่มาแล้ว...สวัสดีครับคุณปาร์คจุนจี...คุณลีกุ๊กกุ๊ก”
ลีจองกุ๊กเซ็ง
“ลีจองกุ๊กครับ”
กรรัมภาปล่อยโกลเดนเบบี๋ไป เอางานก่อน
จุนจียกน้ำดื่ม ขณะที่ณัฐเดชสรุปเรื่องราวที่ได้ฟัง
“เท่าที่ผมฟังคุณเล่ามา มีสามประเด็น นายอติเทพเอาเครื่องเพชรแท้ของคุณ พิมพ์พิลาศไปขายแล้วเอาของที่ทำเลียนแบบมาหลอกตา นายอติเทพติดการพนันจนเป็นหนี้และนายอติเทพมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณอรวี ผู้ช่วยทนาย”
“ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าคุณคงจะพอช่วยคุณปะติดปะต่อเรื่องราวได้นะครับ ว่าใครคือฆาตกรที่ฆ่าคุณย่า”
ก้องฟ้าอยู่คู่กับเนตรสิตางศุ์ คอยสังเกตการณ์ เขาหันมาถามเนตรสิตางศุ์
“ฆาตกรคือนายอติเทพ”
“เราไม่ควรรีบด่วนสรุปครับ เพราะบางทีคนร้ายอาจจะวางหมากไว้เพื่อให้เรา คิดไปในทางที่เขาต้องการก็ได้” ณัฐเดชแนะ
ก้องฟ้าคิดๆ
“งั้นฆาตกรต้องเป็นคุณอรวี”
“จากประสบการณ์ คดีที่ดูเหมือนง่าย ส่วนใหญ่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากๆทั้งนั้น” วรวรรธบอก
ก้องฟ้าหันมาหาเนตรสิตางศุ์
“ซับซ้อนเหรอ...งั้นคุณพิมพ์พิลาศฆ่าตัวตายชัวร์”
“ข้อมูลพวกนี้เป็นประโยชน์กับคดีมาก แต่...ผมขอ...อย่าทำอะไรเสี่ยงอย่างนี้ อีก...ทั้งแก้มทั้งคุณจุนจี มันอันตรายมากนะสิ่งที่พวกคุณทำ” ณัฐเดชเตือน
จุนจีจริงจังขึ้นมา
“คุณย่าผมยังวนเวียนอยู่ ไปไหนไม่ได้ แล้วคุณจะให้ผมอยู่ เฉยๆงั้นเหรอ”
“ไม่ได้ให้เฉย แต่ให้รอบคอบกว่านี้ คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองกว่านี้ คุณคือทายาทนะครับ ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา แล้วใครจะเดินเรื่องสืบคดีนี้ต่อ”
ลีจองกุ๊กเห็นด้วย
“จริงด้วยจุนจี ปล่อยให้ตำรวจสืบคดีไป ส่วนนายก็เอาเวลามารับอีเว้นท์ เถอะ...เสาร์หน้ามีงานนึง”
“พี่ณัฐ...มีอีกเรื่องที่พี่ต้องรู้...เรื่องคุณอรวี” กรรัมภาโพล่งขึ้นมา
สายตาโกลเดนเบบี๋ที่มองจากมุมสูงทันทีที่ได้ยินชื่อรวี
“แก้มสงสัยว่าคุณอรวีมีอะไรกับนายอติเทพเพื่ออะไร รักจริงหรือหวังผล เพราะที่เราไปเห็นมา...เหมือนกับว่าคุณอรวีไม่ได้มีอะไรกับนายอติเทพคนเดียว ทนายสมชายด้วย”
ณัฐเดชแปลกใจ
“ทนายสมชาย ทนายประจำตัวคุณพิมพ์พิลาศน่ะเหรอครับ”
“ใช่ มันน่าแปลกมั้ยที่คุณอรวีมีอะไรกับคนใกล้ชิดคุณพิมพ์พิลาศทั้งสองคน...”
ทันใดนั้นไฟดับพรึ่บๆ
“ทำไมไม่มีใครถวายของเซ่น หิวแล้ว หิวๆ”
โกลเดนเบบี๋บ่นๆแล้วหายตัวไปมุมนั้นทีมุมนี้ที แกล้งทำชั้นหนังสือคว่ำ ทำกระดาษเอกสารปลิวว่อน ทำให้วุ่นวาย ข้าวของปลิว เนตรสิตางศุ์ส่งเสียงดุ
“กุมาริกา หยุด”
ลีจองกุ๊กคอยกันปกป้องจุนจีสุดฤทธิ์
“จุนจี ก้มหน้าไว้ หน้านี้คือทรัพย์ อย่าเอาไปรับของแข็ง...เราไปกันก่อนเถอะ”
“ผมไปส่งครับ” ก้องฟ้าอาสา
ก้องฟ้า ลีจองกุ๊ก จุนจีพากันออกไป กรรัมภาหันมาโวย
“มันจะมากไปแล้วนะโกลเดน ไม่เห็นเหรอว่าเรามีแขก หยุดเดี๋ยวนี้”
โกลเดนเบบี๋หยุด หน้าตื่นๆกลัวๆ ไม่ได้อยากจะป่วนแต่ต้องทำ
“ทีหลังก็อย่าลืมของเซ่นหนูเซ่”
แล้วโกลเดนเบบี๋ก็หายตัวแว่บไปเลย กรรัมภาโกรธ
ในบริษัทซิกส์เซ้นส์...กรรัมภาตะโกนเรียกหาโกลเดนเบบี๋
“ตัวแสบ...ออกมาเดี๋ยวนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาป่วนฉัน มีปัญหาอะไรก็ออกมา เคลียร์กันให้รู้เรื่อง...ออกมา”
“เครื่องเซ่นพี่ก็ถวายให้เธอแล้วทุกวัน ไม่เคยขาด เธอจะมาใส่ร้ายพี่ๆแบบนี้ไม่ได้นะ” เนตรสิตางศุ์น้ำเสียงไม่พอใจ
กรรัมภาโกรธๆ
“นั่นไง...มันไม่ได้ทำไปเพราะไม่มีเครื่องเซ่น แต่มันจงใจจะแกล้งฉัน”
วรวรรธพยายามห้าม
“ใจเย็นๆก่อนครับคุณแก้ม อย่าโกรธ เดี๋ยวไม่สวย”
“ใช่ หน้าฉัน...ตายๆ ต้องไม่โกรธ เดี๋ยวหน้ายับ” กรรัมภาพยายามระงับอารมณ์
เนตรสิตางศุ์ กวาดตามอง
“โกลเดน พี่รู้ว่าเธออยู่แถวนี้ ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง”
“ถ้าไม่ออกมา ต่อไปนี้จะไม่ได้ของเซ่นอะไรอีก และฉันจะราวีเธอให้ถึง ที่สุด...ฉันจะฟ้องยัยรสให้ลงโทษเธอ เธอจะถูกจองจำไม่ได้เห็นเดือดเห็น ตะวันอีก ถ้าเธอทำอะไรผิดจะผิดเล็กหรือใหญ่ ฉันก็จะใส่ไฟให้ทุกคนโกรธ เธอมากๆ จนเธอไม่มีใครคบ เป็นผีหัวเน่าอยู่โดดเดี่ยวตลอดไป...จะออก มาไม่ออกมา” กรรัมภาข่มขู่
โกลเดนเบบี๋ยังไม่ยอมโผล่มา กรรัมภายิ่งอารมณ์เสีย
“ได้ จะลองดีกับคนสวยและรวยมากอย่างฉันก็ได้เลย”
โกลเดนเบบี๋ซ่อนอยู่มุมหนึ่ง ขดตัวกลัวๆตื่นๆ จำใจต้องทำลงไป พูดกับตัวเอง
“หนูจำเป็นต้องทำเพื่ออรวี แต่พี่แก้มอย่าฟ้องพี่รสนะ...”
สุคนธรสยังคงนั่งบริกรรมคาถาช่วยญาณินที่นอน เล็บดำ ปากดำ เหมือนช้ำห้อเลือด อรวรรณเดินเข้ามาหาสุคนธรสพร้อมไตรรัตน์
“คุณรส ป้าว่ารีบเอาคุณหนูกลับกรุงเทพก่อนเถอะ คุณหนูตัวเริ่มเล็บดำ ปากดำแล้วค่ะ”
ไตรรัตน์เห็นด้วย
“ใช่...คุณนั่งท่องคาถาทำพิธีมาทั้งคืนแล้ว อาการคุณณินดูแย่ลงด้วยซ้ำ ไปเถอะ ก่อนทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้”
สุคนธรสลังเล
“แต่ถ้าหยุด ฉันกลัวว่าทุกอย่างจะไม่ทันการณ์”
“แต่เวลานี้ ดูลักษณะแล้ว เหมือนคาถาทุกอย่างไม่เวิร์คนะคะ สภาพของคุณหนู...เหมือน...เหมือน...คนตาย มากกว่าคนเป็นแล้วนะคะ” อรวรรณแย้ง
สุคนธรสหนักใจมาก เหงื่อตก
พงอินทร์อุ้มกรรณาที่หมดสติเข้าบ้าน จารุณีที่กลับมาจากตลาดเดินมาพอดีเห็นเข้า รีบวิ่งมาแอบดูที่หน้าต่าง
“ตายแล้ว…คุณพงอินทร์ มอมยาสาว แล้วอุ้มเข้าบ้านเลยเหรอ”
พงอินทร์อุ้มกรรณาวางลงบนโซฟา แล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ามองเธอที่นอนหลับไม่ได้สติ มีอาการไข้ กึ่งสมเพชกึ่งสงสาร ก่อนจะค่อยๆจับหน้าผากตรวจดูอาการไข้ จารุณีมองๆ
“จะทำอะไรคิดถึงชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองบ้างนะคะ คุณพงษ์อินทร์ ณ เวียงทับ”
พงอินทร์มองอย่างเป็นห่วง
“ตัวร้อนจี๋เลย...ทีนี้คงหายซ่าแล้วสิยัยกรรณาแว่วเสียงผี”
พงอินทร์จะลุก อยู่ๆกรรณาก็จับมือเขาเอาไว้ เหมือนยึดไว้ ไม่ให้ไป พงอินทร์เห็นสีหน้าซีดๆของเธอแล้วก็อ่อนโยนลง
“เธอเป็นไข้แดด คงเพราะเจอความเย็นจัด แล้วมาเจออากาศร้อน เธอตัวร้อนมาก...ฉันพาเธอมานอนพัก หลับซะ ถ้าตื่นมาแล้วยังไม่หาย ฉันจะพาไปโรงพยาบาล”
“ไม่เอา...ฉันไม่ไป โรงบาล ฉันอยากกลับบ้าน ฉันจะหาแม่”
ขาดคำกรรณาก็วูบหลับไป พงอินทร์ค่อยๆปลดมือเธอออก เอามากุมไว้ มองหน้าอย่างอ่อนโยน แล้วเดินไป จารุณีมองอย่างหมั่นไส้
“ดูทรงแล้วน่าจะเป็นไข้แดดจริตมากกว่า...มุขนี้ละครเกาหลีใช้เยอะ ทำเป็นป่วยกระเสาะกระแสะ จริงๆก็มารยา”
พงอินทร์กลับมาอีกที ยกอ่างน้ำสีขาวใส่น้ำ มาวางเดินไปหาผ้าขนหนูเล็กๆสีขาวมา จารุณีตาโต
“หา...คุณโจ้ เกิดมา ไม่เคยเห็นคุณทำอะไรให้ใครแบบนี้เลยนะ”
พงอินทร์เอาผ้าชุบน้ำ บิดอย่างประณีต ค่อยๆเช็ด ซับหน้า แก้ม หน้าผาก คอ อย่างอ่อนโยน กรรณาหลับไม่รู้เรื่อง พงอินทร์มองๆ แล้วก้มไป จูบหน้าผาก จารุณีตาลุก
กรรณาค่อยๆลืมตาได้สติ มีผ้าปิดอก พอเอาผ้าออก ตนเองก็ยังแต่งตัวปกติ ค่อยๆยันตัวเองขึ้นมานั่ง มองรอบๆว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
“นี่มัน...บ้านนายจิงโจ้”
กรรณาจะลุกยืนแล้วมีอาการวูบ พยายามยืนทรงตัว แต่ยืนไม่ไหวลงไปนั่งตามเดิม พงอินทร์เดินถือชามข้าวต้มเข้ามา
“เอ้า ได้สติปุ๊บก็อวดเก่งปั๊บเลยนะ จะรีบยืนทำไม นั่งลงไป”
“ฉัน...มาอยู่ที่นี่ได้ไง นายทำอะไรฉัน”
“คนอุตส่าห์ช่วยเหลือหวังดี อย่ามาคิดอกุศลกับฉันได้มั้ย เอ้า กินซะจะได้กินยาแก้ไข้ เพราะถ้าฉันให้เธอกินยาตอนท้องว่าง เดี๋ยวมันกัดกระเพาะ”
“นายทำเองเหรอ”
“ใช่”
“ไม่อ่ะ ไม่กิน” กรรณาหันหน้าหนี “นายแอบใส่อะไรแหวะๆ แกล้งฉันแน่ๆ” เธอรีบพูดแล้วรีบหุบปากเม้ม
“บ้าเหรอ ฉันจะใส่อะไร”
“ขี้มูกแห้ง...หรือ...หางจิ้งจก”
“ยัยบ๊อง...ฉันโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ...แหม นึกว่าเธอจะคิดว่าฉันใส่ยาปลุกเซ็กซ์ จะได้ดูแมนๆหน่อย”
กรรณาหน้าตื่น
“หา...แปลว่า เธอใส่ยาปลุกเซ็กซ์เหรอ”
พงอินทร์เซ็ง
“โอ๊ย...ระดับฉันน่ะ ไม่ต้องใช้ยาหรอกย่ะ แค่ถอดเสื้อ แล้วเต้นเพลงระบำชาวเกาะ เธอก็กำเดาพุ่งละ ยัยเบื๊อก มันน่าปล่อยให้อดตายจริงๆ...อ้าปาก”
กรรณาเม้มแน่น
“ไม่”
พงอินทร์จับแก้มกรรณา บีบปาก แล้วตักข้าวต้มบังคับป้อนให้กิน
“อย่าคายออกมา”
กรรณาหน้าแหย
“ฉันต้องตายแน่ๆ หรือไม่ก็ต้องท้องเสีย ต้อง...” แล้วเธอก็ชะงักเพราะอร่อย “เฮ้ย...อร่อย...อร่อยอ่ะ ฝีมือนายจริงๆเหรอ”
พงอินทร์ยิ้ม
“ติดใจเสน่ห์ปลายจวักฉันล่ะซิ๊”
“แหวะ”
ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงฮัมเพลงของพิมอรดังมา กรรณาชะงัก ลุกยืนพรวด เพื่อมองตามเสียงไป แล้วก็หน้ามืด ทรุดนั่งลงไปที่เดิม
“เอ้าๆ เป็นอะไรของเธอจะรีบลุกรีบล้มทำไม”
“คุณพิมอร...เสียง...คุณพิมอร”
พงอินทร์ชะงัก
“พี่พิม”
พิมอรปรากฏร่างลอยผ่านมาหยุดตรงหน้า กรรณารีบบอก
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าเราไปตามช่อเพชรที่สวนสนุกมา แต่เราพลาด...ช่อเพชรหลอกเราไปติดกับ”
พิมอรส่ายหน้า
“ไม่ใช่...คนที่เธอไปตาม...ไม่ใช่ช่อ...เพชร”
กรรณายังป่วยอยู่ สัญญาณที่ได้ยินจึงเป็นเสียงติดๆดับๆ ไม่เสถียร
“คุณว่าอะไรนะคะ”
“เธอถูกหลอก ผู้...หญิงคนนั้น...ไม่ใช่ช่อ...เพชร...ช่อเพชร...ตาย...แล้ว”
กรรณาอึ้งไป
“ตาย...อะไรตายคะ...ช่วยพูดช้าๆชัดๆได้มั้ย” กรรณาพยายามลุก เพื่อจะฟังให้ชัด พงอินทร์ช่วยประคอง “ฉันป่วยอยู่ เซ้นฉันก็ป่วยไปด้วย”
พิมอรเสียงติดๆดับๆ
“ฉันบอกว่า...เธอถูกหลอก...ผู้หญิง...คนนั้น...ไม่ใช่ช่อ...เพชร...ช่อเพชรตายแล้ว...ช่อเพชรตายแล้ว ช่อเพชรตายแล้ว”
กรรณาพยายามจับใจความ
“ผู้หญิง...ตาย...หมายความว่ายังไงคุณพิมอร”
พงอินทร์แปลกใจ
“มีใครตายอีกงั้นเหรอ”
“นายจิงโจ้ เงียบก่อน”
พงอินทร์เงียบ กรรณาตั้งสติ
“คุณพิมอรจะบอกอะไรฉัน”
คราวนี้กรรณาได้ยินขัดขึ้น
“ผู้หญิงที่เธอไปตามไม่ใช่ช่อเพชร เพราะช่อเพชร...”
ทันใดนั้น น้ำหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะก่อน
“โจ้”
พงอินทร์กับกรรณาอึ้ง น้ำหนึ่งอยู่ในสภาพตื่นกลัว มีน้ำตาคลอ ท่าทางหวาดกลัวมากๆ แล้วก็วิ่งเข้าไปกอดพงอินทร์เลย
“โจ้...โจ้ช่วยหนึ่งด้วย”
พงอินทร์งง ปลอบน้ำหนึ่งไป กรรณาหันมาอีกที พิมอรหายไปแล้ว
พงอินทร์อ่านข้อความในมือถือของน้ำหนึ่ง
“หยุดขุดคุ้ยเรื่องช่อเพชร ไม่อย่างนั้นเธอตาย”
กรรณาที่ยังนั่งกินยาไป กินน้ำตามอยู่อีกด้าน คอยฟังเรื่องที่น้ำหนึ่งเล่ามาด้วย
“ไม่ใช่แค่ข้อความนะโจ้ วันนี้ก็มีเบอร์แปลกๆโทรมาหาหนึ่งทั้งมือถือทั้งโต๊ะทำงาน พอหนึ่งรับ ก็เป็นเสียงผู้ชายพูดแบบเดียวกับข้อความนี้ตลอดเลย ทำเสียงยังกะคนเป็นโรคจิต หายใจดังฟืดฟาดๆ โจ้ หนึ่งกลัว”
“เพราะผมแท้ๆที่ทำให้หนึ่งต้องมามีอันตรายไปด้วย”
“คนที่โทรมาเป็นผู้ชาย...งั้นก็ไม่ใช่ช่อเพชรน่ะสิ แล้วใคร ทำไมถึงไม่อยากให้เราขุดคุ้ยเรื่องช่อเพชร” กรรณาถามอย่างสงสัย
“หนึ่งไม่รู้”
พิมอรปรากฏร่างขึ้นที่ด้านหนึ่งของห้อง
“เพราะช่อ...เพชร...ตายไปแล้ว”
กรรณาได้ยินไม่ชัด เลยถามพิมอรซ้ำ
“ว่าไงนะ”
“เพราะช่อ...เพชร..ตายไปแล้ว”
น้ำหนึ่งเข้าใจว่าถามตนตอบสวนขึ้น
“หนึ่งไม่รู้ ก็คือไม่รู้”
“อะไรนะ ฉันได้ยินไม่ชัด”
น้ำหนึ่งกำลังจะตอบอีก กรรณารีบพูดดัก
“เธอเงียบๆได้มั้ย”
“เพราะช่อเพชรตายแล้ว วิญญาณเขาอยู่ที่นี่ คนนั้นเป็นฆาตกรตัวจริง” พิมอรพยายามบอก
น้ำหนึ่งพูดพร้อมพิมอรเลย แต่เสียงดังกว่า
“หนึ่งไม่ได้โกหกนะ หนึ่งช่วยพวกคุณจนตัวเองต้องมาถูกขู่ฆ่าไปด้วย ถ้าคุณไม่เชื่อ หนึ่งก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
น้ำหนึ่งเสียใจ สะบัดหน้าออกไปเลย
“เดี๋ยวหนึ่ง”
พงอินทร์จับมือน้ำหนึ่งไว้ แล้วดึงมากอดปลอบ
“หนึ่งกลัวจะตายอยู่แล้ว หนึ่งจะโกหกทำไม”
พงอินทร์ลูบหัวปลอบ
“ทำใจสบายๆนะหนึ่ง...ใครไม่เชื่อคุณ แต่ผมเชื่อคุณนะ ผมจะไม่ให้คุณมายุ่งกับเรื่องนี้อีก คุณจะได้ปลอดภัยนะหนึ่งนะ”
กรรณาที่เห็นพงอินทร์ปลอบน้ำหนึ่งอย่างสวีทหวาน ได้แต่มองอย่างตะลึง หึงหวง แต่ทำอะไรไม่ได้ คราวนี้เสียงพิมอรดังชัดขึ้นมาเลย แต่กรรณาก็ไม่อยู่ในสมาธิที่จะรับฟังได้
“ช่อเพชรตายแล้ว วิญญาณเขาอยู่ที่นี่ คนนั้นเป็นฆาตกรตัวจริง”
แต่กรรณาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว พิมอรได้แต่ยืนปลงที่สื่อสารอะไรกับกรรณาไม่ได้เลย
กรรณาเปิดประตูเดินสะโหล๋สะเหล๋ออกมาด้านนอกบ้าน พอเจอแสงแดดก็ชะงัก ทรงตัวไว้ ไม่ให้วูบ พยายามแข็งใจเดินออกไป
“เชิญปลอบกันให้สะดวกเลย เชอะ...ฉันไม่อยู่เป็นก้างขวางคอใครทั้งนั้น”
กรรณาเดินออกมา แล้วก็ต้องชะงัก เพราะจารุณียืนอยู่
“เธอจะไปไหน”
“ฉันจะกลับบ้านแล้วค่ะ จะไม่อยู่ให้คุณป้าต้องระแวงสงสัยอีก...พอใจยังคะ...สวัสดีค่ะ” กรรณาประชด
“เดี๋ยว ตามฉันมา เชิญทางนี้...น้อง เอ้อ...ฉันเรียกเธอว่า ออนนี่ได้ไหม”
กรรณาแปลกใจ
อรวีนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค พิมพ์ข้อความบางอย่าง โดยมีอติเทพยืนดูอยู่ด้วย ทั้งคู่ทำอะไรบางอย่างร่วมกัน โกลเดนเบบี๋โผล่มามอง
“นายนี่ใช้ให้น้องทำอะไรที่ไม่ดีๆอีกแล้ว”
“เรียบร้อยค่ะ”
โกลเดนเบบี๋แว่บมาโผล่มองที่หน้าจอ แล้วก็ตะลึง เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของคอนโดอรวี เป็นภาพที่จุนจีกับแก้มยืนคร่อมกันแนบชิดตามที่ต่างๆ ในคอนโด เช่น ในลิฟท์ ลานจอดรถ โถงทางเดินหน้าห้องอรวี
“เฮ้ย นี่มัน...รูปพี่แก้มกับพี่เกาหลีกอดกัน” โกลเดนเบบี๋หันมาหาอรวี “พี่จะทำอะไรพี่แก้ม”
อติเทพยิ้มพอใจ
“ใครจะเชื่อ...ปาร์คจุนจี นักร้องซุปเปอร์สตาร์ของเอเชียมาสะกดรอยนายอติเทพ...แกเห็นฉันเป็นหมูแล้ว คิดจะลากฉันเข้าตะรางเหรอ ฉันจะทำให้แกเจอยิ่งกว่าตะราง อีก...โพสต์เลย”
โกลเดนเบบี๋หน้าตื่น
“อย่านะน้อง ไม่ต้องไปทำตามคำสั่งเขา นายอติเทพเค้าเป็นคนไม่ดี...อย่าทำ...”
อรวีลังเลในทีแรก แต่แล้วก็กด Enter ตามคำสั่ง อติเทพสะใจ โกลเดนเบบี๋กังวล กุมขมับ
ในกองถ่าย...ช่างแต่หน้าดูข่าวจากจอแท็ปเล็ตเป็นข่าวในเว็ปไซต์ จั่วหัวข้อว่า
“โจ๋งครึ่ม ปาร์คจุนจีกับติ่งไทย แฟนตัวจริง”
มีเนื้อข่าวลงรายละเอียดมากมาย และมีภาพประกอบเป็นภาพที่จุนจีคร่อมแก้มเอาไว้ ในลักษณะที่ดูเหมือนทำลามกในที่คอนโด โดยมีภาพที่วงกลมแดงและซูมขยายๆ ให้เห็นชัดว่าคือจุนจีและกรรัมภา และมีรูปในอิริยาบถอื่นๆ กะเทยช่างแต่งหน้าที่ข่าวตัวสั่น ดิ้นๆ มือระรัวพัดๆ หายใจไม่ทัน ราวกับหัวใจจะวายตาย
“อ๊ายๆ”
อีกด้าน ทีมเสื้อผ้า 2-3 คนก็กำลังดูมือถืออยู่เช่นกัน ต่างมีอาการรับไม่ได้
“ไม่จริง...จุนจีของฉันต้องไม่เป็นของใคร...ไม่จริ๊ง” ช่างเสื้อทรุด ร้องไห้
เป้ยดูข่าวนี้ผ่านแทปเล็ต
“โจ๋งครึ่ม ปาร์คจุนจีกับติ่งไทย แฟนตัวจริง...แก...ยัยกรรัมภา”
เป้ยแค้นมากๆ กำลังจะเขวี้ยงไอแพดทิ้ง แต่ช่างเสื้อวิ่งเข้ามาก่อน
“น้องเป้ย นั่นๆ”
ช่างเสื้อชี้ไปพบว่า กรรัมภากำลังเข้ามาในกองถ่าย แต่งตัวพรางนิดๆสวมหมวกใส่แว่น ถือถุงขนมเล็กๆมาด้วย เป้ยมองแค้นๆ
“หน็อย ยังกล้ามาสวีทกันถึงกองถ่ายเลยเหรอ...ยัยหน้าไม่มียางอายไม่รู้ฤทธิ์อีเป้ยซะแล้ว ได้เห็นดีกันแน่”
อรวีกำลังติดตามความเคลื่อนไหวที่หน้าจอ
“ผ่านมาแค่สิบห้านาที มีคนตอบกระทู้ สี่ร้อยกว่าคนแล้วค่ะ...พวกนักสืบก็เริ่มขุดคุ้ยประวัติของกรรัมภาออกมาแฉ ว่าเป็นใคร มาจากไหน การศึกษา ครอบครัวเป็นยังไง”
อติเทพนอนเอกเขนกสบายใจ โกลเดนเบบี๋เครียดมาก
“พอเถอะอรวี เลิกเป็นเบี้ยล่างคนเหล่านี้ซะที พี่ไม่รู้จะปกป้องน้องยังไงแล้วนะ แค่นี้พี่แก้ม ก็โกรธพี่จะแย่แล้ว”
“แค่นี้น่าจะพอแล้วนะคุณอติเทพ”
“ไม่...ปั่นกระแสไปอีกเยอะๆ ให้มันสองคนเจอพวกแฟนคลับแอนตี้แบบหนักๆ จะได้รู้สำนึก”
โกลเดนเบบี๋ครุ่นคิด
“นี่ยัยอรวีกำลังทำลายชื่อเสียงของพี่แก้มด้วยวิธีสกปรกที่สุด ถ้าสิ่งเหล่านี้มันจะนำอันตรายมาให้พี่แก้ม...แล้วเราจะทำยังไงดี เราต้องเลือกเข้าข้างใคร เราสับสนมากๆเลย”
ระหว่างนั้น พิมพ์พิลาศยืนมองเหตุการณ์จากอีกด้าน แววตาเขม็ง กร้าว สงสัยและไม่พอใจ
“อติเทพ...ทำไมเธอทำร้ายจักรแบบนี้ ฉันหลงโกหกตัวเองมาตลอดว่าเธอเป็นคนดี”
โกลเดนเบบี๋รับรู้ถึงพลังงานของพิมพ์พิลาศได้ หันไปมอง สบตากับพิมพ์พิลาศแล้วโกลเดนเบบี๋ก็สยอง กลัวผีเจ้าถิ่น เลยรีบหายตัวไปทันที แม่บ้านของอติเทพเข้ามา
“ขออนุญาตค่ะ...มีตำรวจมาขอพบคุณค่ะ”
อติเทพชะงักอึ้ง
“ตำรวจ”
ณัฐเดชยืนรออยู่ มีตำรวจลูกน้องตามมาด้วยอีก 1นาย อติเทพเดินออกมา
“มีธุระอะไรไม่ทราบครับสารวัตรณัฐเดช”
“ผมขอรบกวนเวลาคุณอติเทพนะครับ...รบกวนด้วยนะครับ”
อติเทพไว้เชิง นั่งลง รอดูว่าจะถามอะไร อรวีเดินตามออกมาด้วย
“อ้าว คุณอรวี” ณัฐเดชทักทาย
อติเทพรีบบอก
“ผู้ช่วยของทนายสมชายไงครับ เขามาตรวจบัญชีทรัพย์สินของพี่พิม...สารวัตรมีธุระอะไรกับ ผมหรือครับ...เชิญว่ามาได้เลย”
ด้านหนึ่ง พิมพ์พิลาศยืนมองอยู่
“คุณรู้จักบ่อนของเฮียอ๋ามั้ยครับ”
อติเทพหัวเราะ
“ใครๆก็รู้จักบ่อนเฮียอ๋า ถามผมทำไม”
“พอดีผมได้ภาพจากวงจรปิดแถวนั้นมา” ณัฐเดชวางภาพตอนอติเทพกำลังแอบเข้าบ่อน “แล้วคอนโดที่อยู่แถวสุขุมวิท...รู้จักมั้ยครับ” ณัฐเดชวางอีกภาพ ที่อติเทพเข้าคอนโด “พอดี ผมได้ภาพจากวงจรปิดแถวนั้นเหมือนกัน”
อติเทพกับอรวีอึ้ง
“สารวัตร...จะสืบเรื่องพี่พิม คุณก็สืบไป แต่อย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม”
“แต่ถ้าเรื่องส่วนตัวของคุณมันเกี่ยวกับคดี ผมจำเป็นต้องยุ่งครับ...คุณอติเทพ คุณคงไม่ติด พนัน แล้วต้องการเงินจำนวนมาก จากกองมรดกคุณพิมพ์พิลาศไปใช้หนี้ใช่ไหมครับ และคุณกับคุณอรวี คงไม่น่าจะมี ความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากไปกว่าเจ้านายกับลูกจ้าง”
อติเทพโมโห
“ไอ้จุนจี...มันสร้างฉากมาปะติดปะต่อ เพื่อใส่ความผม”
“ผมยังไม่ได้บอกเลยครับว่าทราบจากคุณจุนจี ทำไมคุณทราบล่ะครับ แล้วตกลงว่า ข้อสงสัยของผม มันใช่ความจริงหรือเปล่าครับ...คุณอรวี”
ณัฐเดชจ้องคาดคั้นคำตอบ อรวีเลิ่กลั่ก หลบสายตา พิมพ์พิลาศอึ้ง
“เทพ...นี่เธอกับอรวี...เธอสองคน...เธอสองคน...ทรยศฉันเหรอ”
โกลเดนเบบี๋ปกป้องอรวี
“ไม่ใช่ อรวีถูกนายอติเทพหลอกใช้ต่างหาก”
พิมพ์พิลาศหันจ้องด้วยสายตาพิฆาต โกลเดนเบบี๋จ๋อยๆ สยองๆ หัวหด เสียงอ่อย
“จริงๆนะ”
อติเทพอึ้ง ฉุน รู้ได้ทันทีว่าณัฐเดชได้ข้อมูลมาจากจุนจีแล้ว
“ผมไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าคุณสารวัตรณัฐเดชมีหลักฐานแน่นหนาพอ ก็ไปฟ้องร้องแล้วไปเจอกันในศาลเลย ไป...ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว”
“คุณอติเทพ...ผมให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายนะ ถ้าสืบแล้วพบว่าข้อกล่าวหานี้ไม่เป็นความจริง ผมจะฟ้องข้อหาแจ้งความเท็จคุณจุนจีให้กับคุณเอง แต่คุณต้องให้ความร่วมมือผมด้วย ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่มีอะไรต้องกลัว จริงมั้ยครับ”
ณัฐเดชลุก เตรียมจะกลับออกไป แต่ชะงัก หันกลับมาหาอติเทพพร้อมควักรูปออกมาสองใบ
ภาพแรกคือสร้อยเพชรจริงที่อติเทพเอาไปขายคืนร้านเพชร ภาพสองคือสร้อยเพชรปลอมที่อติเทพทำขึ้น
“คุณทราบไหมครับว่าสร้อยเพชรสองเส้นนี้ต่างกันอย่างไร ลองเอาไปพิจารณาเล่นๆยามว่างสิครับ”
ณัฐเดชออกไป ทิ้งภาพสร้อยเอาไว้ให้อติเทพดูต่างหน้า อติเทพแค้น
“มันรู้ทุกอย่างแล้ว”
บริษัทซิกส์เซ้นส์...ก้องฟ้าคุยโทรศัพท์กับกรรัมภา
“พี่แก้ม...กลับมาบริษัทด่วน เดี๋ยวนี้เลย พี่ญาณินอาการหนักมาก พวกพี่ทุกคน ต้องมารวมพลังช่วยกัน”
“พี่จะไปเดี๋ยวนี้...ยัยเจ๊”
กรรัมภารีบวิ่งออกไปเลย ลีจองกุ๊กงงๆ
“อ้าว จะไปไหนครับ...ไม่สั่งอะไรถึงจุนจีหน่อยเหรอ จะรีบไปไหนเนี่ย คุณแก้มๆ มูรูเกซาโย”
ก้องฟ้าวางสายจากกรรัมภา เนตรสิตางศุ์กดโทรอีกเครื่องเดินเข้ามาหาพร้อมวรวรรธ
“ก๊อง พี่สาวเธอไม่รับสายพี่เลย ลองเอาเบอร์เธอโทรดูสิ”
“ได้ครับ”
ก้องฟ้ากำลังจะกดโทร แต่อยู่ๆมีรถของบ้านแผนยุทธแล่นมาจอดที่หน้าบริษัท วรวรรธมองๆ
“ใครมา”
เนตรสิตางศุ์มองสงสัย
“ไม่ใช่รถยัยแก้ม”
ประตูคนขับเปิดออก เป็นจารุณีเดินลงมา ยิ้มแฉ่ง มีการแต่งหน้าทำผมเพิ่มมาให้ดูใสๆเกาหลีๆ
จารุณียิ้มหวานให้ก้องฟ้า เผลอเรียก
“โอ๊ปป่ะ”
ก้องฟ้าอึ้ง เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธงงๆ
“โอ๊ปป่ะ”
จารุณีรีบตีหน้าขรึม
“พอดีว่า...ฉันพาคนป่วยมาส่ง”
วรวรรธชะงัก
“คนป่วย”
ประตูอีกด้านเปิดออก กรรณาเปิดออกมา หน้าตาซีดๆ ซมไข้
“ยัยกรรณ”
เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธรีบประคองกรรณาเข้าบ้าน ก้องฟ้าตาม จารุณีพอเห็นว่าก้องฟ้าหันหลังให้ ลับตาคน ก็ทำท่าระทวยที่ได้เจอเขาอีกที ก้องฟ้าชะงัก หันกลับมามอง จารุณีรีบฟอร์มขรึม เดินตามไป
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 14 (ต่อ)
กรรัมภาเดินแยกออกมา ตรงไปที่รถของตัวเอง แต่อยู่ๆซองซูมาขวางทางไว้
“คุณแก้มชอบ...ในที่สาธารณะเหรอครับ”
กรรัมภางงๆ
“คะ”
“คือผมหมายถึง เอ้าท์ดอร์ นอกสถานที่ กลางแจ้ง คุณแก้มชอบเหรอครับ”
กรรัมภาไม่เข้าใจที่ซองซูพูด เลยตอบๆไปให้จบๆ จะได้รีบไป
“เอ่อ อื้อๆ ชอบก็ชอบ”
ซองซูดีใจ รีบตอบเสียงดัง วิ่งมาขวางหน้ากรรัมภาอีก
“ผมก็ชอบครับ”
กรรัมภางง พยายามปั้นหน้ายิ้มรักษามารยาทไปแล้วประชดๆ
“ค่ะ ดีใจด้วยค่ะคุณได้อยู่กลางแจ้งแล้ว ขอให้เลือดสูบฉีดสุดๆไปเลยนะคะ”
กรรัมภาจะรีบไป ซองซูยังตามมาขวางอีก
“เดี๋ยว...”
กรรัมภาหันมา เสียงแข็ง จริงจัง
“นี่คุณซองซู...ฉันไม่มีเวลามาตื่นเต้นนอกสถานที่กับคุณตอนนี้ เข้าใจมั้ย”
“งั้นว่างๆเราค่อยนัดกันดีมั้ยครับ”
“พูดเรื่องอะไรของคุณเนี่ย”
แต่แล้วเป้ยเดินมาขวาง มีพวกช่างหน้า-ผม-เสื้อผ้าเข้ามาด้วย
“คงจะหมายถึงเรื่องนี้ล่ะมั้ง”
กรรัมภาหันมา เป้ยชูภาพข่าวจากแท็ปเลตให้ดู
“โจ๋งครึ่ม ปาร์คจุนจีกับติ่งไทย แฟนตัวจริง” กรรัมภาสะดุ้ง “เฮ้ยนั่น...มันฉันนี่”
“ใช่ครับ คุณแก้มในที่สาธารณะ” ซองซูทำตาเยิ้ม “หุๆ เหอๆ”
“หา...เฮ้ย...ไม่ใช่แล้ว”
กรรัมภาขยับหนีซองซู ทำท่าจะรีบไป แต่พวกเป้ยขยับตัวขวาง
“เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันหน่อย”
พวกช่างต่างๆเข้าล็อคแขน กรรัมภางง
กรรัมภาถูกผลักมาอีกด้านของกองถ่าย ลับตาคน ซองซูวิ่งตามมา
“คุณเป้ย...คุณจะทำอะไรคุณแก้มครับ อย่าครับ อย่า ผมขอร้อง”
“คุณไม่เกี่ยว อย่ายุ่งดีกว่า...มีคนอยากคุยด้วย”
เป้ยตบมือ แปะๆ กลุ่มแฟนคลับอยู่ๆก็โผล่เข้ามาจากทุกด้าน
ซองซูชะงัก
“เอิ่ม...พอดี...นี่มันคงจะเป็นเรื่องของผู้หญิง แมนๆอย่างผมขอตัวนะครับ...ผมคิดว่าพวกคุณคงมีธุระส่วนตัวจะคุยกันประสาสาวๆ แหะๆ” ซองซูถอยไปหลบด้านหลัง
กรรัมภามองพวกติ่ง พอจะจำได้
“พวกเธอเป็นติ่งของจุนจีใช่มั้ย”
เป้ยยิ้มเยาะ
“เธอยังจำพวกเราได้ด้วยเหรอ...แล้วเธอจำหน้าที่ ขอบเขต และจรรยาบรรณของติ่งได้มั้ย”
“หมายความว่าไง”
“ความสุขของติ่ง คือการจิ้น...จินตนาการ แค่จิ้น ใครๆก็ฟินได้ พวกเรากับจุนจีคือคู่จิ้น ของกันและกัน แต่เธอ...เธอกล้าดียังไงถึงล้ำเส้นข้ามไปเป็นแฟนตัวจริงของจุนจีแล้วต่อ ไปเราจะจินตนาการว่าเป็นแฟนจุนจีได้ยังไง ถ้าลึกๆเรารู้ว่าเขานอนกกใครอยู่ที่บ้าน”
กรรัมภาหน้าตื่น
“เฮ้ย ไม่ใช่นะ ทุกคนเข้าใจผิดแล้ว”
เป้ยไม่เชื่อ
“เธอมัน ติ่งไร้จรรยาบรรณ”
พวกแฟนคลับล้วงของจากกระเป๋าออกมา เป็นไข่ไก่ กรรัมภาผงะ เป้ยตะโกนลั่น
“ลุยเลย”
พวกติ่งเขวี้ยงไข่ใส่ จากนั้นก็วิ่งกรุกันไปรุมกรรัมภา รุมยื้อกระชากเสื้อผ้ากระชากหัว ชุลมุนวุ่นวาย
ซองซูดูอยู่ สยอง ไม่กล้าสอด
ทีมงานคนหนึ่งวิ่งแจ้นเข้ามาในกองถ่าย รีบไปรายงานทีมงานอีกคน
“ตายแล้วๆ”
แล้วพวกทีมงานก็รีบวอร์ถึงกัน ลีจองกุ๊กกำลังเดินคุยโทรศัพท์กับทางบริษัทที่เกาหลีเห็นถึงความวุ่นวายวิ่งพล่านของทีมงาน ก็แปลกใจ พอดีมีทีมงานคนหนึ่งวิ่งผ่านมา ลีจองกุ๊กรีบตะครุบตัวเอาไว้
“เดี๋ยวๆ มีเรื่องอะไรกัน”
“ติ่งตีกันครับ”
ลีจองกุ๊กงงๆ
“ติ่ง...ใครเป็นไส้ติ่ง”
“แฟนคลับคุณจุนจีตีกันครับ...มารุมตบแฟนตัวจริงตัวปลอมอะไรเนี่ยแหละครับ”
ทีมงานคนนั้นวิ่งไปเลย
“แฟนตัวจริง”
ลีจองกุ๊กวิ่งออกไปทันที
กรรัมภาก้มหน้า ยกมือกันหัวไว้ มีมือพวกติ่งเป็นสิบรุมทั้งกระชาก ทั้งตี ชุลมุนๆ กรรัมภาถูกเหวี่ยงไปด้านนั้นที ด้านนี้ที เป้ยยืนกอดอกดูสถานการณ์ อย่างสะใจ ทีมงานและลีจองกุ๊กวิ่งเข้ามาห้าม
“หยุดๆ”
เป้ยพอเห็นว่ามีคนมาก็เปลี่ยนสี เป็นฝ่ายมาห้ามทันที
“อ๊าย...หยุดนะ ขอทีเถอะ...ทำไมทำอะไรรุนแรงกันแบบนี้ พวกติ่งเกาหลีนี่ น่ากลัวจุงเบย...พอได้แล้วพวกเธอ สงสารเขา ช่วยห้ามทีค่ะ เป้ยห้ามคนเดียวไม่ไหว”
ซองซูและพวกช่างแต่งหน้า-ผม-เสื้อผ้า หันมามองเป้ยเปลี่ยนสี อย่างตะลึงและทึ่งในความสามารถ ลีจองกุ๊กตะโกนขึ้น
“ถ้ายังไม่หยุด จะแจ้งตำรวจ”
พวกติ่งยังไม่หยุด ลีจอกกุ๊กตะโกนอีก
“ถ้าไม่หยุด พรุ่งนี้จุนจีจะกลับเกาหลี”
พวกติ่งเหวี่ยงกรรัมภาทิ้งไปอีกด้าน กรรัมภาล้มคว่ำไปกับพื้น พวกติ่งชูมือให้รู้ว่าหยุดลงไม้ลงมือแล้วนะ ลีจองกุ๊กไม่พอใจมาก
“พวกคุณทำอย่างนี้ได้ยังไง อยากให้จุนจีมีปัญหากับกองถ่ายเหรอ นี่เหรอแฟนคลับ .คอยดู ผมจะเล่าพฤติกรรมพวกคุณทุกอย่างให้จุนจีฟัง จุนจีจะต้องเสียใจและผิดหวังกับติ่งไทยมากแน่”
เป้ยรีบบอก
“บอกเขาด้วยนะคะว่าเป้ยเป็นคนเดียวที่คอยห้าม”
ซองซูรีบแทรก
“แต่ผมเป็นคนเดียวที่ยืนข้างๆคุณแก้ม”
ลีจองกุ๊กชะงัก
“คุณแก้ม...อย่าบอกนะว่า ผู้หญิงคนนั้นคือ...”
ลีจองกุ๊กเข้าไปดูว่าคนที่โดนรุมตบคือใคร แล้วก็ต้องช็อค เมื่อกรรัมภาเงยหน้าขึ้นมา
“คุณแก้ม”
กรรัมภาในสภาพหัวกระเซิง หน้าตาเละไข่สด เสื้อลุ่ย รองเท้าหลุดหัก หน้ามีรอยเล็บ ตามต้นแขนมีรอยบีบ รอยช้ำ บอบช้ำ เยินสุดๆ
“คัท” ผู้กำกับสั่ง
จุนจีเดินออกจากฉาก ผู้กำกับตามมาชื่นชม
“เยี่ยมมากเลยจุนจี คุณเป็นมืออาชีพมากๆ แล้วนี่ไม่รีบไปดูแฟนคุณเหรอว่าเป็นยังไงบ้าง”
จุนจีที่เดินผ่านไปแล้วถึงกับชะงัก
“แฟน...แฟนอะไร”
“ก็แฟนคุณมีเรื่องกับพวกแฟนคลับด้านนอก”
ผู้กำกับเดินไป จุนจีงง ยังไม่ทันได้ถาม แต่ก็สังหรณ์ใจว่าจะเป็นกรรัมภา พอหันมาอีกด้าน เจอลีจองกุ๊กเดินเข้ามา รีบไปหา
“ใครมีเรื่องกับแฟนคลับด้านนอกนะ...บอกมาซิ”
ลีจองกุ๊กทำหน้าหนักใจ จุนจีจ้องเขม็ง
จุนจีวิ่งออกมาที่จุดเกิดเหตุ แต่ไม่เจอกรรัมภาแล้ว ไม่มีใครเลย จุนจีได้แต่รู้สึกผิด เป็นห่วงกรรัมภา
“คุณแก้ม”
อรวีปลอบอติเทพที่เดินงุ่นง่าน
“ถ้าตำรวจรู้เรื่องหมดแล้ว งั้นเราก็ไม่ต้องปิดบังอะไรอีก”
“จะให้ฉันยอมสารภาพว่าฉันขโมยสร้อยพี่พิมไปขายใช้หนี้งั้นเหรอ...หยุดความคิด โง่ๆของเธอไว้เลย”
อติเทพเดินออกไปนอกห้อง อรวีตามไป
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องสร้อยหรือเรื่องหนี้สินมากมายของคุณ ฉันหมายถึงเรื่องของเรา...ถ้าตำรวจกับคุณจุนจีรู้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆอีก”
“ฉันบอกว่าให้หยุดพูดอะไรโง่ๆเข้าใจมั้ย” อติเทพตวาดลั่น
“ทำไม...คุณกลัวอะไร หรือว่าคุณไม่ได้รักฉันจริงๆ”
อติเทพไม่ตอบ พิมพ์พิลาศยืนอยู่ข้างอติเทพ อึ้ง เจ็บปวดสุดๆ
“ตอบฉันมาสิ” อรวีคาดคั้น
พิมพ์พิลาศอึ้งตะลึง
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอกับอรวี แอบคบกันมาตลอด แล้วที่เธอทำดีกับพี่ บอกว่ารักพี่ก็คงเพราะหวังสมบัติของพี่ เธอไม่ได้รักพี่เลยสักนิด” พิมพ์พิลาศรู้สึกพังทลาย ก้มหน้าเสียใจสุดๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็กลายเป็นอีกคนที่ดุดัน แค้น อาฆาต “แกมันเลว ฉันอุตส่าห์ดึงแกขึ้นมาจากซากกองขยะ แต่แกมันชั้นต่ำ ทำยังไงก็ไม่สะอาด...แก...อติเทพ”
พลังความโกรธแค้นของพิมพ์พิลาศพลุ่งพล่าน จนแจกันประดับและกรอบรูปบริเวณนั้นสั่นๆ
“หยุดงี่เง่าซะที”
อติเทพตบอรวีที่เซ้าซี้อยู่จนกระเด็นล้มไป โกลเดนเบบี๋รีบถลาไปดูแล
“อรวี...” โกลเดนเบบี๋หันจ้อง “ทำร้ายน้องสาวหนูทำไม”
โกลเด้นท์โกรธแทน ยืนจ้องหน้าอติเทพ
“ถ้าเธอเอาเอกสารไปให้ไอ้จุนจีเซ็นครบตั้งแต่แรก ก็จบไปนานแล้ว...ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความโง่เง่าของเธอ”
“เพราะฉันคนเดียวที่ไหน”
อติเทพเงื้อมือจะตบอีก
“นี่เธอกล้าขึ้นเสียงกับฉันเหรอ”
โกลเดนเบบี๋พุ่งมาขวางประจันหน้า พร้อมเอาเรื่องแน่
“ลองทำอะไรอรวีอีกสิ”
อติเทพยั้งมือเอาไว้ได้ ไม่อยากจะทำอะไร อรวีทรุด ร้องไห้ อติเทพจะเดินขึ้นบันไดไป แต่แล้วพิมพ์พิลาศที่แค้นอยู่ มองจ้องไปที่รองเท้าของอรวีที่ส้นรองเท้าหลุดออกมาตั้งแต่ตอนที่ล้มแล้ว ทันใด รองเท้านั้นก็หลุดออกจากปลายเท้า ไถลไปตรงหน้าอติเทพ ทำให้เขาสะดุดเสียหลัก ล้มตกบันไดไปช่วงหนึ่ง แล้วมือก็สามารถเกาะราวเอาไว้ได้ก่อน พิมพ์พิลาศจ้องไปที่กรอบรูป กรอบรูปหล่นใส่แจกันประดับ กรอบรูปกระเด้ง แล้วมุมของกรอบรูปที่เป็นปลายแหลมก็ไถลตามบันไดลงมา จะทิ่ม อติเทพเงยหน้ามา ตกใจ โกลเดนเบบี๋ร้องห้ามพิมพ์พิลาศ
“หยุดสร้างกรรม”
ชั่วเสี้ยววินาที มุมแหลมกรอบรูปนั้นก็เบี่ยงออกจากทิศทางเดิม จนแค่เฉี่ยวต้นแขนอติเทพไป
พิมพ์พิลาศยืนระงับความโกรธของตัวเอง หายใจหอบหนัก
“พี่รสเคยสอน...กรรมคือบ่วงที่ทำให้คนมีความทุกข์ ทำให้ผีไม่ได้ไปสู่ที่ชอบๆ ถึงเราจะเป็นผี ก็ต้องเป็นผีตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนและประชาชนที่ยังจมปลัก อยู่ในกองทุกข์นะคะ”
พิมพ์พิลาศพยายามสงบสติอารมณ์ อติเทพยังคงสยองอยู่ที่เดิม เกือบตายหวุดหวิด อรวียังคงวิ่งตามมาดูแล
เนตรสิตางศุ์ป้อนยาให้กรรณา พลางถอนใจ
“ถูกหลอกไปติดในบ้านหิมะทั้งคืน...ตัวเองมีสิทธิ์ตายได้เลยนะกรรณ เนตรว่าคดีของตัวเองมัน อันตรายเกินไปแล้ว”
“คุณเนตร...อย่าเพิ่งชวนคุยเลย ให้คุณกรรณพักก่อนเถอะครับ” วรวรรธขัดขึ้น
“เออ แล้วยัยกรรณป่วยยังงี้ แล้วจะมีแรงช่วยยัยเจ๊มั้ยคะหมอ”
เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธกังวล จารุณีที่ยืนตรงนั้น เอาแต่มองหน้าก้องฟ้า
“มาส่งเสร็จแล้ว ผมว่าคุณแม่บ้านก็น่าจะกลับได้แล้วนะครับ” ก้องฟ้าพูดเรียบๆ
จารุณีตาหวานเยิ้ม
“เธออยู่ที่นี่เหรอ”
“เอ่อ ครับ...เชิญครับ” ก้องฟ้าอึกอักผายมือเชิญ
“เป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านที่มีแต่ผู้หญิงเนี่ยนะ เธอไม่คิดว่าเหรอว่ามันไม่เหมาะ มันไม่งาม..ใครรู้เข้าจะคิดยังไง”
“ใครจะคิดอะไรก็คิดไปเถอะครับ...เชิญครับ” ก้องฟ้าผายมืออีก
“เธอต้องคิดถึงใจผู้หญิงที่เธอแคร์จริงๆด้วย เขาจะรู้สึกยังไงที่มาเห็นเธออยู่อย่างนี้”
ก้องฟ้าชะงัก
“ผู้หญิงที่ผมแคร์...ใครครับ”
“มักเน่อ่า”
จารุณีงอนที่ก้องฟ้าไม่รู้เอาซะเลย ทำปั้นปึง เดินออกไป
ก้องฟ้าเดินมาส่งจารุณีที่ด้านหน้าบ้าน
“เชิญครับ หนูนา...เอ๊ย...นูน่า”
จารุณีชะงัก ไม่ยอมก้าวออกไป คาอยู่ตรงประตูพอดี
“อีกก้าวเดียวเองครับ ก้าวสิครับ”
จารุณีตัดสินใจที่จะต้องพูดอะไรออกมา หันกลับมาหา
“ทำไมเธอมีอะไรไม่พูดตรงๆ”
ก้องฟ้างงๆ
“ห๊า”
“อยู่ดีๆเธอก็ไม่กลับไปที่บ้านฉันอีก ปล่อยพี่สาวไปทำงานคนเดียวตั้งหลายครั้งแล้ว เธอรู้มั้ยว่าฉันยังทำความสะอาดห้องไว้รอเธออยู่”
“ครับ...ขอบคุณครับ แต่ผมงานยุ่งจริงๆ บริษัทนี้ มีปัญหาใหญ่ๆมากมาย ที่พนักงานคนสำคัญอย่างผม จะต้องรับผิดชอบแก้ไขให้ลุล่วง ด้วยความสามารถอันสูงส่ง”
“ฉันเข้าใจ ว่าเธอเห็นงานส่วนรวมสำคัญกว่าความสุขส่วนตัว แต่เธออ้างกับนายจ้างว่า จำเป็นต้องไปเป็นเพื่อนพี่สาวก็ได้นี่นะ”
“อ้อ...แหมๆ ทำไมผมถึงนึกไม่ออกนะ เรื่องง่ายๆแค่นี้เอง ครับๆ ผมจะจำไว้”
“ซึน...ทำตัวยังงี้เรียกซึน แปลว่าปากไม่ตรงกับใจ ใจคิดถึง แต่ตัวทำเป็นเย็นชา”
ก้องฟ้างงๆไม่เข้าใจ
“ยังไงนะครับ ผมงงจริงๆนะพี่”
“จะเอายังงี้ใช่มั้ย...ได้” จารุณีประชด “ฉันเกลียดเธอที่สุด ฉันไม่อยากจะเจอหน้าเธออีก แล้ว ต่อไปเวลาฉันมองพระอาทิตย์ ก็จะเห็นเป็นแค่พระอาทิตย์ไม่ใช่หน้าของ เธออีก”
จารุณีโพล่งเป็นชุด แล้วเดินงอนออกไป ก้องฟ้ายิ่งงง
“อารัยของเจ๊หนูนาแว้...”
ก้องฟ้าจะหันกลับเข้าบ้าน แต่แล้วชะงัก เพราะอีกด้านหนึ่ง เห็นกรรัมภานั่งกอดเข่าขดตัว อยู่ตรงนั้น เขารีบเข้าไปดูให้ชัดๆว่าใคร
“เฮ้ย...พี่แก้ม ทำไมมานั่งตรงนี้” ก้องฟ้าเห็นหน้าชัดๆ “เฮ้ย แล้วพี่ไปโดนอะไรมา”
เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธ ตามออกมาเห็นพอดี
“ยัยแก้ม”
เนตรสิตางศุ์ รีบเข้าไปประคองกรรัมภา ทันใดนั้น รถญาณินแล่นมาจอด เอี๊ยด อรวรรณรีบโดดลงมาคนแรก
“ทุกคน มาช่วยกันหน่อยเร็ว...คุณหนูแย่แล้ว”
ไตรรัตน์ลงมา ประคองสุคนธรสลงตามมาด้วย
“ยัยรส เจ๊เป็นอะไร” เนตรสิตางศุ์ถามอย่างตกใจ
“เอ้า หมอ ก๊อง มาช่วยพาคุณณินลงจากรถเร็ว” ไตรรัตน์เรียก
สุคนธรสรีบบอกกับเนตรสิตางศุ์
“ยัยเนตร แกรีบเตรียมของทำพิธีด่วน คืนนี้เป็นคืนเดือนหงายเราต้องช่วยยัยเจ๊ ภายในคืนนี้เท่านั้น ไม่งั้นยัยเจ๊ไม่รอดแน่”
ไตรรัตน์ไปเปิดประตูที่นั่ง เผยให้เห็นญาณินที่นั่งหมดแรงคอตกอยู่ในรถ สภาพเหมือน คนตายแล้ว วรวรรธกับก้องฟ้ากำลังจะเข้าไปถึงกับผงะ
“คุณณิน...”
เนตรสิตางศุ์ตะลึง
“ยัยเจ๊...”
ก้องฟ้าตกใจ
“พี่ณินตายแล้วเหรอ”
ไตรรัตน์เขกหัวก้องฟ้า
“ยังไม่ตาย แต่ถูกอาคมทำให้เป็นยังงี้ เร็ว”
วรวรรธกับก้องฟ้ารีบไปช่วยประคองญาณิน กรรัมภาก็ผงะ กรรณาเดินซวนเซตามออกมามอง สุคนธรสแปลกใจ
“ยัยแก้ม ยัยกรรณ...นี่พวกแกเป็นอะไร”
อรวรรณหนักใจ
“สภาพแต่ละคน...สะโหล๋สะเหล๋ไม่สมประกอบยังงี้ แล้วจะมีพลังเหลือช่วย คุณหนูณินของป้าเหรอคะเนี่ย”
สุคนธรสอึ้งๆแต่กรรัมภากับกรรณาฮึด ไม่ยอมแพ้
“ไม่มี ก็ต้องมี เพื่อนเราทั้งคน” กรรัมภาน้ำเสียงจริงจัง
“เราจะช่วยกันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง” กรรณาแววตามุ่งมั่น
ก้องฟ้าถอนใจ
“เดี้ยงกันเกือบทุกคนแบบนี้...น่ากลัวว่าจะกอดคอกันตายหมดอ่าสิ”
กรรณา กรรัมภา สุคนธรส เนตรสิตางศุ์มองหน้ากันอย่างฮึดสู้เต็มที่ อรวรรณหวั่นๆ
ติณห์ร้อนรนกระวนกระวายด้วยความเป็นห่วงญาณิน ต้องพยายามเดินไป เดินมาตั้งสติควบคุมตัวเองไว้ แต่วิญญาณหลวงพิชัยภักดีกำลังสติแตก…ลอยเข้ามาใช้ไม้ เท้าชี้หน้าติณห์ที่หันจะเดินมาพอดี
“หยู๊ด...แกจะเดินแก้บนอีกนานไหมห่ะ หนูณินจะตายมิตาแหล่ ทำไมแกไม่รีบตามไปดูดำดูดี บางทีมันอาจจะเป็นวินาทีสุดท้ายที่แกจะได้ดูใจเขาก็ได้”
ติณห์ถลาเข้ามาเผชิญหน้ากับหลวงพิชัยภักดี
“Stop แกรนปรานั่นแหละหยุด ญินของไอเข้มแข็ง ญินจะต้องรอด She will survive”
“เออไอ้ฟาย...คิดแบบนี้แล้วแกก็เดินไปเดินมาไม่ต้องทำอะไรว่างั้นเหอะ”
“แล้วแกรนปาจะให้ไอทำอะไร ถ้าตอนนี้ไอไปหาณิน ทิ้งมัมไว้กับไอ้พวกร็อบบี้คิดส์ มัมก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย danger”
“ก็ช่างหัวมันซี มันอยากโง่เอง อยากมีผัวสระอัวใหม่จนตัวสั่น”
“โนๆ ไอต้องมีสติ ไอต้องไม่ทำอย่างงั้น เพราะเท่ากับว่าไอเปิดเผยตัวว่า ไออยู่ข้างณิน แล้วสิ่งที่ไอกับญาณินอุตส่าห์วางแผนทำกันมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า”
หลวงพิชัยภักดีครุ่นคิด
“ถ้างั้นเอางี้ ไหนๆนังเบญจาก็กำลังเจ็บหนัก แกก็ลงมือกำจัดมันซะ”
ติณห์อึ้ง
“จำกัด”
“กำจัด” หลวงพิชัยภักดีย้ำ
“จำกัด” ติณห์พูดผิดอีก
หลวงพิชัยภักดีชักฉุน
“กำจัดโว้ย...ไม่ใช่จำกัดไอ้เบื๊อก”
“แล้วแกรนปาจะให้ไอจำกัดเบญจายังไง”
หลวงพิชัยภักดีส่ายหน้าเซ็งๆ
“เวรกรรม บอกว่ากำจัดๆ จำกัดอยู่นั่นแหละ แกคิดเอาเองก็แล้วกันเว้ย แต่ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ มีโอกาส ฉันจะจำกัด...เอ้ย กำจัดนังเบญจาเอง”
หลวงพิชัยภักดีกระแทกไม้เท้าหายตัวแว๊บไป
“Wait แกรนปา...อย่าทำอะไรวู่วามนะ...แกรนปา”
หลวงพิชัยภักดีหายไปแล้ว ติณห์ทรุดนั่งกุมขมับสุดเครียด นึกขึ้นได้ รีบคว้ามือถือมากดหาเบอร์ไตรรัตน์
หน้าห้องๆหนึ่งในบริษัทซิกส์เซ้นส์...ไตรรัตน์รับสาย ขณะยืนอยู่หน้าห้องกับวรวรรธ สุคนธรส
“ว่าไงวะไอ้ฝรั่ง”
สุคนธรสที่อยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์ เตรียมพร้อมที่จะทำพิธีช่วยญาณินในห้องหันขวับมามองเคืองๆ
“จะโทรมาทำไม อยากรู้ว่ายัยเจ๊มันตายหรือยังเหรอห่ะ”
“ไม่เอาๆที่รัก...อย่าพูดอย่างงั้นซีจ๊ะ...อย่าใช้อารมณ์”
ไตรรัตน์ยื่นนิ้วไปจุ๊ปาก สุคนธรสปัดมือไตรรัตน์ออก
“ญินเป็นยังไงบ้างวะไตร” ติณห์พูดโทรศัพท์ด้วยอาการห่วงญาณินมาก
“เอ่อ...ยังไม่รู้สึกตัวเลยวะ”
“ห่ะ ไม่รู้ตัวเลยเหรอ อาการแย่มากใช่ไหม โธ่...ณิน มายเบบี้” ติณห์น้ำตาคลอ
“แกไม่ต้องเป็นห่วงนะเว้ยติณห์ ตอนนี้ทั้ง 4 สาวมาอยู่ที่นี่ครบแล้ว จะรีบทำพิธีช่วยถอนอาคมให้ญาณินเดี๋ยวนี้เลย ตอนแรกว่าจะรอให้พระจันทร์เต็มดวงคืนนี้ซะก่อน แต่ฉันกลัวว่า...มันจะช้าไป”
“ทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้วครับ” วรวรรธแทรกขึ้น
ไตรรัตน์หันไปมอง เห็นเนตรสิตางศุ์ประคองกรรณาที่ยังมีอาการไข้รุมมึนๆเดินมา กับกรรัมภา ทั้ง 3 อยู่ในชุดขาว
“แค่นี้ก่อนนะเว้ยติณห์ จะเริ่มพิธีแระ เฮ้ย...เพื่อน ฉันเข้าใจแกนะเว้ย”
“Thank youไตร ฝากคุณณินของฉันด้วยนะ ถ้าแกช่วยให้คุณณินหายแกอยากได้อะไร ฉันจะประเคนให้แกทุกอย่าง”
“โอเค๊...” ไตรรัตน์พูดให้กำลังใจ “แกได้ประเคนของให้ฉันแน่ แค่นี้นะ”
ไตรรัตน์กดวางสายไป หันเจอหน้าสุคนธรสมองอยู่
“รส...ติณห์มันก็จะเป็นจะตายเหมือนกันนะ”
“แต่ยัยเจ๊ของเรากำลังจะตายจริงๆ” สุคนธรสน้ำตาทะลัก “แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะ”
ไตรรัตน์สุคนธรสไปกอด
“รสครับ คุณณินต้องไม่เป็นอะไรนะ คุณอย่าจิตตกสิครับ คุณต้องมั่นใจ เราทุกคนจะทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างดีที่สุด ติณห์เองก็ต้องคุมเชิงอยู่ที่นั่น เพราะที่รีสอร์ต ทั้งยัยเบญจา ดอกไม้พิษ กะไอ้โคลนนิ่งหมอสมคิด มันก็อาจจะกำลังทำอะไรที่น่ากลัวกว่านี้ก็ได้”
วรวรรธเข้ามา
“คุณรส ตั้งสตินะครับ คุณเป็นกำลังสำคัญ เป็นผู้นำทีม...คุณจะอ่อนแอไม่ได้นะครับ”
ก้องฟ้าถือถาดเครื่องพิธีเข้ามา
“อุปกรณ์ทุกอย่าง พร้อมตามสั่งแล้วครับ”
ไตรรัตน์จับไหล่สุคนธรส
“สุคนธรส...สู้ๆ”
“จริงของพวกคุณ...เราต้องสู้”
สุคนธรสเช็ดน้ำตา หันไปมองสบตากับอีก 3 สาว
“พร้อมยัง เราจะยอมให้ยัยเจ๊ตายไม่ได้ เราจะสู้ ใช่ไหม พวกเรา”
3 สาวพยักหน้ายื่นมือมาจับด้วย 4 สาวและ 3 หนุ่มยื่นมือมาจับกันแบบทีมกีฬา
“เดอะซิกส์เซ้นส์ สู้ๆ”
ติณห์นั่งน้ำตาตก ภาพญาณินตอนที่มีความสุขอยู่ด้วยกันแว่บเข้ามา และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นปึงปัง
“ติณห์...ติณห์”
ติณห์รีบปาดน้ำตา มิรันตีเปิดประตูเข้ามา ติณห์ลุกขึ้น
“ครับมัม”
“มัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่ แม่ตามหมอมาแล้ว ไปดูอาการหนูเบญจากันเร็ว ถ้าหนูเบญจาเป็นอะไรไป แม่คงทำใจไม่ได้ เขาช่วยแม่ไว้เยอะแยะมากมาย”
ติณห์ฟังแล้วเศร้า ญาณินช่วยรีสอร์ตนี้ไว้มากกว่าหลายเท่า แต่มิรันตีกลับไม่เคย เห็นความดี
“รีสอร์ตนี้ถ้าไม่ได้หนูเบญจาช่วยเนรมิตล่ะก็ มันคงไม่เป็นรีสอร์ตในฝันอย่างที่แม่ต้องการแบบนี้หรอก แล้วอย่างงี้จะไม่ให้แม่รักเขามากได้ยังไง I love her so much ลูกเข้าใจไหม เพราะงั้น...ไปเลย ไปอยู่ข้างๆ เตียงหนูเบญจา เขาจะได้มีกำลังใจ หายเร็วขึ้น เอ๊ะ...หรือว่าลูกไม่เป็นห่วง”
ติณห์จำใจต้องเสแสร้ง
“เอ่อ...เป็นห่วงซีครับมัม me too… ไอก็อยากให้เบญจาหายเร็วๆ ถ้าเบญจาเป็นอะไรไป ไอก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน”
“งั้นก็รีบไปซี Let’s go”
มิรันตีรีบเดินร้อนใจออกไป ติณห์ยืนถอนใจส่ายหน้า
“มัมนะมัม ทำไมไม่เคยเห็นความดีของคุณณินบ้างเลย”
“มัวยืนทำไมอยู่ รีบมาซี ควิกรี่”
ติณห์รีบเดินไป
อรวรรณกับก้องฟ้าช่วยกันประคองร่างญาณินที่นอนตัวเขียวตาลืมค้างขึ้นจากที่นอน มาอยู่ในท่านั่งอยู่บนเตียง ที่พื้นปลายเตียงมีสุคนธรส กรรณา กรรัมภา เนตรสิตางศุ์ในชุดขาวนั่งพับเพียบหลับตา พนมมืออยู่ในสมาธิ ไตรรัตน์จุดธูปไหว้พระอยู่ที่โต๊ะหมู่บูชาเล็กๆ...ก่อนหน้านี้สุคนธรสได้สั่งเอาไว้ก่อนเริ่มทำพิธี
“ยัยเจ๊ถูกอาคมไสย์ดำของยัยเบญจาเข้าไป แต่ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นอาคมอะไร ฉันไม่เคยเห็นคนถูกอาคม แล้วมีอาการแบบนี้มาก่อน ตอนนี้วิธีเดียวที่จะช่วยยัยเจ๊ คือพวกเราทั้ง 4 คนต้องรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวใช้ญาณสัมผัสพิเศษของเราส่งพลังไปช่วยกระตุ้นจิตเจ๊ ให้ต่อสู้กับอาคมที่เข้าไปอยู่ในตัวแล้วขับมันออกมาให้ได้...แต่เรามีเวลาแค่ชั่ว 1 ก้านธูปเท่านั้น...แค่ 1 ก้านธูป...เราต้องทำให้จิตยัยเจ๊ลุกขึ้นมาสู้ให้ได้ ไม่อย่างงั้นก็...หมดหวัง”
ไตรรัตน์ไหว้พระเสร็จ ปักธูปทั้ง 3 ดอก แล้วก้มกราบ นำขดด้ายสายสิญจน์วนรอบ ควันธูป 3 ครั้ง แล้วพันปลายไว้รอบฐานพระพุทธรูปก่อนส่งไปให้วรวรรธเดินไปพันสายสิญจน์รอบมือที่พนมของทั้ง 4 ให้ยาวโยงกันเป็นทอด...เริ่มจากมือ ของเนตรสิตางศุ์ ไปกรรณา ไปกรรัมภาจนมาที่สุคนธรสที่นั่งเป็นคนแรก สุคนธรสส่งใจไปถึงดวงวิญญาณของพระอาจารย์
“ข้าพเจ้าขอโน้มกระแสของพระอาจารย์ปู่...ช่วยให้พวกลูกทำสำเร็จด้วยเถิด”
หลังพันรอบมือสุคนธรสแล้ว วรวรรธก็ดึงไปที่เตียง ไตรรัตน์มาช่วยจับมือญาณินพนม ให้วรวรรธพันสายสิญจน์ให้ เมื่อสายสิญจน์เชื่อมทั้ง 5 สาวไว้ด้วยกันแล้ว ก็ปรากฏพลังไหลจากตัว 4 สาวเป็นประกาย ไหลมาตามสายสิญจน์วิ่งตรงไปหาญาณิน ไตรรัตน์ วรวรรธ ขณะที่อรวรรณ ก้องฟ้าอึ้งมองตามประกายพลังจิตที่ไหลมาตามสายสิญจน์ วิ่งเข้า มาหาญาณินอย่างช้าๆ ธูปทั้ง 3ดอกในกระถางค่อยๆไหม้สั้นลงเรื่อยๆ
ประกายพลังไหลมาถึงมือญาณินที่พันสายสิญจน์ไว้โดยรอบ ทันทีที่พลัง สัมผัสตัว ร่างของเธอก็สั่นอย่างแรง จนไตรรัตน์ วรวรรธ อรวรรณและก้องฟ้าต้องช่วยกันจับไว้ แต่พลังจิตที่เข้าไปในร่างญาณินเจอเข้ากับอาคมของเบญจาที่ต้านเอาไว้ ทำให้เตียงทั้งเตียงสั่นราวกับถูกจับโยก ทุกคนที่มองอยู่ ตกใจอ้าปากค้าง
สุคนธรส กรรรัมภา กรรณา เนตรสิตางศุ์ถูกอาคมไสย์ดำในตัวญาณินต้านกลับ พลัง ประกายที่สายสิญจน์ตรงมือญาณินถูกพลังสีดำดันออกมาจนสายสิญจน์ที่พันรอบมือญาณินเปลี่ยนเป็นสีดำ และดันออกมาเรื่อยๆจนด้ายดำยาวขึ้นเรื่อยๆกำลังย้อนกลับไปหา 4 สาว
ใบหน้าของ 4 สาวเหงื่อกาฬแตกซ่าน ใบหน้าแต่ละคนเริ่มขมวดคิ้ว อึดอัด สีหน้ากรรณา กับกรรัมภาเริ่มไม่ไหวขึ้นทุกที เพราะป่วยและมีอาการบาดเจ็บอยู่รวมทั้งสุคนธรสที่กัดฟันสู้ ทั้งที่ยังเจ็บ
ก้านธูปมอดลงเรื่อยๆใกล้หมด ญาณินยังมีอาการตาค้างไม่กระพริบแต่ร่างกลับสั่นมากขึ้น เตียงแทบกระเด้งขึ้นจากพื้น...อาคมไสย์ดำกินด้ายสายสิญจน์จนดำกำลังจะไปถึงมือสุคนธรส
ทำให้สุคนธรสเริ่มหมดแรงต้าน...มีเลือดไหลออกมาจากจมูกข้างหนึ่ง ตามมาด้วย กรรณามีเลือดไหลออกจากหู กรรัมภามีเลือดไหลซึมออกจากเล็บและตาขาวเนตรสิตางศุ์ เริ่มแดงกร่ำ
เบญจานอนตัวสั่นราวจับไข้อยู่บนเตียง กำลังจะถูกหมอเช็ดแอลกอฮอล์แทงเข็มฉีดยารักษาโดยมีติณห์ยืนมองอยู่ข้างเตียงกับมิรันตี และสมชาติ
สมคิดกับกรกฏยืนมองอยู่ที่ปลายเตียงอย่างเซ็งๆที่มิรันตีพาหมอมาจนได้ เบญจาไร้เรี่ยวแรงเพราะเจ็บปวดภายในตัวแสนสาหัส ได้แต่เหล่มองเข็มฉีดยาอย่างโกรธ
“จะทำอะไรฉัน...อย่าฉีดนะ...อย่า...”
มิรันตีจุ๊ปาก
“ชิ้ว...ไม่เจ็บหรอกเบญจา ให้หมอฉีดยา หนูจะได้หายไงจ๊ะ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน...อย่า...”
เบญจาตะโกนลั่น ติณห์กับสมชาติต้องช่วยกันจับตัวเบญจาไว้ให้นอนนิ่ง
“ยืนอยู่ทำไมล่ะหมอ รีบฉีดเร็วๆเข้าซิครับ” ติณห์เร่ง
หมอพยักหน้า พร้อมกับแทงเข็มลงไป...เข็มแทงลงเนื้อไม่เข้า ราวกับเจอหิน หมอแปลกใจที่กดเข็มไม่ลง เบญจาก็ดิ้น
“อย่า”
“แน่ะ...ยังจะคาเข็มอยู่อีก กดมันลงไปซีหมอ คนเจ็บดิ้นไม่ยอมหยุดอยู่นี่” สมชาติโวย
“เอ่อ...คะๆคือ เข็มมันแทงไม่เข้า”
“จะบ้าเหรอ แทงไม่เข้า กดลงไปซี” มิรันตีโวยวาย
หมออึกอัก
“เอ่อ...คะๆครับ”
กรกฏขยับจะเข้าขวาง แต่สมคิดยกแขนกันให้เฉยไว้ หมอกดเข็ม ทันใดนั้น เข็มก็หัก ตัวหมอก็เหมือนมีแรงผลักกระเด้งหงายหลังล้มหงายเก๋ง มิรันตีตกใจ
“ว้าย อะไรกันเนี่ยะ เป็นอะไรไปหมอ”
ติณห์มองเข็มที่หักคาแขนเบญจา ตะลึง
ก้านธูปมอดจนหมด เป็นขี้เถ้าร่วงลงกระถาง...สุคนธรส กรรณา กรรัมภา เนตรสิตางศุ์ก็ถูกอาคมไสย์ดำที่ผลักออกจากตัวญาณินมาตามด้ายสายสิญจน์จนดำมา ถึงมือสุคนธรสปะทะเข้าตัวล้มหงายลงไปพร้อมๆกับเถ้าธูป ทั้ง 4 สาวร้องลั่น
“อ๊าย”
วรวรรธกับไตรรัตน์ตกใจ
“เนตร รส”
อาคมไสย์ดำจากด้ายวิ่งกลับเข้าร่างญาณินอย่างเดิมทันที ทำให้ร่างญาณินเกร็ง อ้าปากค้าง ตาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ก้องฟ้าหน้าตื่น
“ดูตาเจ๊ญินสิ”
“คุณหนู...คุณหนู...ฮือๆ”
อรวรรณกอดญาณินร้องไห้ ทั้ง 4 สาวลุกขึ้นนั่งเหนื่อยหอบ มองมาที่ญาณินอย่างบอบช้ำและเสียใจที่ช่วยเพื่อนไม่สำเร็จ
สุคนธรสเครียดที่ช่วยญาณินไม่ได้ เดินปาดเลือดที่ไหลออกจากจมูกหนี มาที่ห้องๆหนึ่ง
ไตรรัตน์รีบเดินตามมา
“คุณรส...”
“ไม่ต้องตามมา ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ไม่เอาน่า อย่าทำอย่างงี้ซี ทุกคนต้องการคุณนะ”
“บอกว่าให้ไปไง อย่ามายุ่งกับฉัน”
“รส...รสฟังผมนะที่รัก ผมรู้ว่าคุณกำลังเครียด กำลังเสียใจที่ช่วยญาณินไม่ได้ แต่ถ้าคุณยอมแพ้ แล้วเนตร กรร แก้มอีก 3 นางจะทำอะไรได้ คิดดูซี กรรณก็กำลังป่วย แก้มก็กำลังบาดเจ็บ หรือคุณคิดว่าเนตรคนเดียวจะช่วยญาณินได้ล่ะ”
สุคนธรสยืนร้องไห้
“ใครจะไปอยากยอมแพ้ล่ะ แต่ช่วยยัยเจ๊ไม่ได้จริงๆนี่”
ไตรรัตน์เดินเข้ามากอดปลอบ
“โอ๋ๆ ไม่เอาน่าคนเก่งของผม คุณไม่ใช่ได้แค่สัมผัสพิเศษติดตัวมาแต่เกิด แต่คุณได้ความฉลาดมาด้วยนะ คุณได้ถูกเลือกแล้ว ให้มาช่วยวิญญาณ และมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น...ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ มา...ผมจะช่วย”
ไตรรัตน์จับหัวสุคนธรสขึ้นมา แล้วนวดๆขมับให้
“อย่าเครียด อย่าลน...ไม่ต้องรีบ ค่อยๆคิดช้าๆ เดี๋ยวคุณก็คิดออกว่าจะทำยังไง”
ไตรรัตน์นวดขมับไป พลางมองตาสุคนธรส ยิ้มให้กำลังใจ
“เหมือนกับที่คุณเคยช่วยนายไตวายคนนี้ ให้รอดตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ผมถึงได้รักคุณมาก...รักสุดหัวใจ...รักที่สุดใน 3 โลก...และจะรักตลอดไป”
“นายไตวาย...”
สุคนธรสซึ้ง มองสบตาสามีผู้แสนดี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนิ่งสงบอยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้ และแล้วสุคนธรสก็คิดออก ลืมตาผึงขึ้น
“คิดออกแล้ว”
วรวรรธเช็คชีพจรญาณิน โดยอรวรรณคอยห่วงใยไม่ห่างเตียง ส่วนกรรณากับกรรัมภานั่งพักหมดแรงอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ มีก้องฟ้าคอยดูแลให้ยา
“คุณหนูเป็นไงบ้างคะหมอ” อรวรรณถามอย่างกังวลใจ
“ชีพจรของคุณณิน เต้นผิดปกติ แล้วก็อ่อนมากครับ”
อรวรรณหน้าเสีย
“โธ่...คุณหนู”
วรวรรธใช้ไฟฉายส่องดูที่ตาทั้ง 2 ข้างของญาณิน ต้องผงะ ที่ตาทั้ง 2 ข้างมีแต่ตาดำ
“ม่านตาขยายแบบเหนือธรรมชาติ ที่น่าห่วงที่สุดก็...อุณหภูมิในร่างกาย ขนาดนี้เกิน 40องศา แบบนี้อาจช็อคตายได้”
กรรณากับกรรัมภาได้ฟังก็หันมามองหน้ากันเศร้าๆ พูดอะไรไม่ออก ก้องฟ้าวิ่งไปเขย่าแขนญาณิน
“เจ๊...อย่ายอมแพ้ซิ นอนอยู่แบบนี้จะสู้มันได้ยังไง ตื่นขึ้นมาซิเจ๊ เจ๊เป็นเจ้าของ ของบริษัทซิกส์เซ้นส์นะ เป็นลูกพี่ เป็นนายจ้าง เป็นบอสของพวกเราทุกคน ถ้าเจ๊เป็นอะไรไป แล้วพวก เราจะอยู่ได้ยังไง”
“เจ๊ต้องไม่เป็นอะไร โอ๊ะๆ”
กรรณาไอโขกออกมาจากอาการไข้ กรรัมภาต้องหันมาลูบหลังให้
“อย่าพูดมากซิแก ถ้าอยากจะช่วยยัยเจ๊ นอนนิ่งๆ พักเก็บแรงไว้ก่อน”
เนตรสิตางศุ์เดินถือกะละมังเล็กๆใส่น้ำเข้ามา
“หมอคะ อุณหภูมิที่สูง...อาจลดลงได้ จากการเช็ดตัว ใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว เนตร คุณนี่...แก้ตรงจุดจริงๆ อัจฉริยะมากๆ”
เนตรสิตางศุ์วางกะละมังลง หยิบผ้าขึ้นมาบิดจะเช็ดตัวให้ญาณิน ทันใดสุคนธรสและไตรรัตน์ตามเข้ามาในห้อง
“ฉันหาทางช่วยยัยเจ๊ได้แล้ว”
เนตรสิตางศุ์ชะงัก
“อะไรที่จะช่วยเจ๊ได้”
“ลูกอม”
ทุกคนอึ้ง
“ลูกอม”
สุคนธรสนิ่งไป
“แต่...”
“แต่อะไรคุณรส” อรวรรณถามอย่างร้อนใจ
“หนูจำได้ว่าเก็บไว้ในกล่อง แต่ไม่รู้อยู่ไหน”
“งั้นพวกเราช่วยกันค้นให้เจอด่วนเลยครับ” ไตรรัตน์รีบบอก
“แต่ร่างเจ๊จะไม่ไหวแล้ว” กรรัมภาขัดขึ้น
“งั้นระหว่างนี้ ผมจะหาทางช่วยคุณณินด้วยวิธีทางการแพทย์ไปก่อน น่าจะพอช่วย ได้บ้าง” วรวรรธหันไปสั่ง “ป้าออ ช่วยเช็ดตัว ลดอุณหภูมิ เนตร คุณต้องไปซื้อวิตามินและเกลือแร่...เดี๋ยวผมเขียนใบสั่งยาให้”วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์ออกไป ก้องฟ้าหันมาถาม
“ไอ้รูปร่างหน้าตาไอ้ลูกอมที่พี่รสว่า เป็นยังไงพี่กรรณ”
กรรณาส่ายหน้า
“ไม่รู้...เจออะไรกลมๆเอามาให้หมดนั่นแหละ”
อรวรรณหันมาเช็ดตัวญาณินไป พูดไป ร้องไห้ไป
“คุณหนูขา...อดทนไว้นะคะ ป้าอยู่นี่ อยู่ข้างๆคุณหนู ถ้าป้าเป็นแทนเจ็บปวดแทนคุณหนูได้ ป้าก็จะเป็น...นี่”
สมคิดกระแทกไม้เท้าหัวกะโหลกในมือลุกยืนขึ้น
“ไล่หมอกลับไป เก็ตเอ้าท์”
“ก็คนไม่สบาย ถ้าไม่ให้หมอช่วย แล้วจะให้ใครช่วยล่ะ” มิรันตีแย้ง
“แต่หมอก็ช่วยไม่ได้”
กรกฏหันไปมองหน้า หมอที่ตกใจอยู่แล้วรีบเก็บข้าวของลนลาน
“ไม่ต้องไล่หรอกครับ ผะๆผมไปเอง”
หมอรีบหิ้วกระเป๋าออกจากห้องไปอย่างกลัวๆ
“อาการของเบญจา เกิดจากการวางยาพิษ” สมคิดพูดขึ้น
มิรันตีชะงัก
“ยาพิษเหรอ”
ติณห์หันมอง...รู้ว่าไม่ใช่ สมคิดกำลังโกหกสร้างเรื่อง แต่ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เก็บไว้ ในใจ สมชาติแปลกใจ
“สังเกตจากอะไรครับ”
“ผมเคยศึกษาค้นคว้าด้านพิษวิทยา คราวที่มอบทุนการศึกษาให้กับยูนิเวอร์ซิตี้ หลายแห่งที่ประเทศคองโก”
“แปลว่าคุณรู้วิธีรักษา ว้าว...ยูจีเนียสมากกก...ร็อบบี้” มิรันตีชื่นชม
“รู้แล้วทำไม่รีบรักษาตั้งแต่ทีแรกล่ะครับ” สมชาติขัดขึ้น
สมคิดมองขวับมาที่สมชาติ
“คุณทนาย ปากเหรอที่ถามน่ะ” มิรันตีต่อว่า
“ปากซีครับ ถึงมีหนวด เอ่อประทานโทษครับ ผมไม่มีเจตนาทำให้เคือง”
สมคิดไม่ค่อยพอใจ
“ผมต้องการรอดูอาการให้แน่ใจก่อน คนฉลาดไม่เร่งรีบ ใช้สมองก่อนลงมือทำ มากกว่าใช้ปากทำ...ยูโน”
“ไอโนแล้วครับ โนมาก โนไปทั้งหัว” สมชาติกวนๆ
“Well ถ้าอย่างงั้นสมองอันฉลาดของคุณบอกว่าจะแก้พิษให้เบญจายังไงล่ะครับ” ติณห์ถาม
“Water”
ติณห์อึ้ง
“น้ำ”
สมคิดใช้ไม่เท้าชี้
“ยู อุ้มเบญจา แล้วตามผมมา”
สมคิดหันเดินไป มิรันตีหันมาดุลูกชาย
“อ้าวติณห์ ยืนงงอะไรอีก มิสเตอร์ร็อบบี้ชี้ทางสว่างให้แล้ว รีบอุ้มแฟนแกตามเค้า ไปซี...เร็วเข้า เดี๋ยวหนูเบญจาก็เป็นอะไรไปซะก่อนหรอก ควิกๆ”
ติณห์เลยหันไปอุ้มเบญจาขึ้น เดินตามสมคิดไปกับมิรันตี สมชาติจะตามแต่กรกฏ เอามือยันอกไว้ไม่ให้ไป
“เอ่อ...ไม่ไปก็ได้ครับ”
สมชาติยืนมือจับอก รู้สึกจุกอย่างแรง หันกลับมาพูดกับตัวเอง
“อึ๋ย...แค่มันยันอก ยังกับถูกหินทุบ ทำไมมือมันถึงได้หนักขนาดนี้นะ”
อ่านต่อตอนที่ 15 / 17.00 น.