สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 13
เณรป๋องถูกโบตั๋นหลอกซะร้องลั่นหูตาเหลือก
“อ๊าก”
“เอาไอ้หม้อเนี่ย...มาเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกันดีกว่าหมอ หนูเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงนะแล้วหมอเป็นคนซื้อ เข้ามาสิคะ หมอต้องทำแบบนี้นะ ตะล็อกต๊อกแต๊ก”
วิญญาณโบตั๋นนั่งหน้าเละ ถือหม้อดินเล่น อยู่ในกองตุ๊กตาโดยรอบๆตัวตุ๊กตากำลังขยับ หัวหัวเราะได้
“ทำท่าเคาะประตูสิคะ พูดสิคะว่าตะล็อกต๊อกแต๊ก...แล้วหนูจะถามว่า มาทำไม มาสิคะ มาเคาะสิคะ เล่นกันๆ ถ้าไม่เข้ามา งั้นหนูไปหานะ”
ว่าแล้วตัวโบตั๋นก็ลอยขึ้น เณรป๋องผวาร้องลั่น
“อย่าเข้ามานะ...อย่าเข้ามา”
เณรป๋องโยนเทียนข้าวของมาใส่โบตั๋นอย่างเสียขวัญ โบตั๋นลอยขาไม่ติดพื้นเข้ามาหาเณรป๋อง
เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง อาม่า อาอี้ที่ยืนฟังอยู่นอกประตูตกใจ อ้าปากค้าง ทิพย์ตะโกนสั่ง
“สู้มันซีอาจารย์ งัดเอาวิชาอาคมออกมาสู้มัน”
“ลูกกงลูกกรอก ควายธนู วิญญาณภูติผี ที่อาจารย์โฆษณาว่าเลี้ยงไว้เยอะนะ ปล่อยของออกมาสู้มันซี” เคที่โวย
เณรป๋องตะโกนออกมา
“ไม่มีเว้ย แต่ฉันมีพระสมเด็จองค์เป็นล้านนะ อย่าเข้ามา”
เณรป๋องควักสร้อยพระที่สวมไว้ในเสื้อออกมายื่น โบตั๋นจ้องหน้า
“แกมันดีแต่ห้อยพระ แต่ในใจไม่เคยเคารพ พระที่ไหนจะคุ้มครองคนชั่วอย่างแก”
เณรป๋องหน้าตื่น
“ห่ะ ไม่จริง ไม่จริ๊ง”
“จริงจ้ะ ไอ้หมอผีปลอม ตะล็อกต๊อกแต๊ก มาทำไม มาซื้อข้าวแกง บอกให้เล่นขายของกันๆ ก็ไม่เล่น นี่แน่ะๆ”
โบตั๋นลอยเข้ามาบีบคอเณรป๋องทันที โดยสร้อยพระไม่ช่วยอะไรได้
“อ๊าก”
“ห้อยพระแต่ดันยกแก้วเหล้าข้ามหัวพระทุกวัน แกตาย”
เณรป๋องปล่อยสร้อยจากมือร่วงลงพื้น ดิ้นสุดแรงหลุดจากมือผีโบตั๋นได้ ก็โกยอ้าวออกจากห้อง
“โกยเถอะโยม”
เสี่ยจำเริญหน้าตื่น
“จะอยู่ทำไมล่ะเรา โกยตามไปซี”
เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง อาอี้ ช่วยกันพยุงอาม่าหนีตามหลังเณรป๋องไปขณะที่ผีโบตั๋นหันไปมองที่เคที่กับทิพย์ที่ยืนกอดกันอยู่ ด้วยตาที่โบ๋วๆ
“แก...ยัยปอดบวม คิดจะเอาหมอผีมาจับหนู แล้วแย่งพี่ไตรไปจากหนูชิมิๆ”
เคที่โบกไม่โบกมือส่ายหน้าอย่างกลัวสุดๆ
“ปละๆ ปล่าว”
ทิพย์กลัวตัวสั่น
“ฉันก็ปล่าวนะ”
“หนูเกลียดผู้ใหญ่ขี้โกหก...หนูเสียใจแล้วนะ”
โบตั๋นลอยเข้าไปจะบีบคอ เคที่กับทิพย์กรี๊ดลั่นรีบวิ่งหนีไปทันที
เณรป๋องวิ่งชนประตูเปิดออก ล้มกลิ้งออกมาจากบ้าน ก่อนลุกวิ่งหนีกระเผลกไป เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง อาอี้พยุงอาม้าวิ่งตามออกมาจากประตู ไปยืนแอบอยู่ที่มุมหนึ่งแล้วก็ได้ยินเสียงเคที่กับทิพย์ร้องกรี๊ดลั่นออกมาจากบ้าน ก่อนจะเห็นตัวทั้งคู่วิ่งหนีหูตาเหลือก ออกมา เสียงโบตั๋นดังไล่หลังมา
“อย่าเอาหมอผีมาไล่หนูซะให้ยากเลย...นี่บ้านหนู หนูจะอยู่ที่นี่”
“โธ่...โบตั๋นลูกแม่”
เจ๊หญิงกอดอาม่าร้องไห้ เสี่ยจำเริญยืนน้ำตาตก อาอี้ถึงกับน้ำตาคลอ
“หนูจะไม่ไปไหน...หนูจะรอพี่ไตรอยู่ที่บ้าน”
สิ้นเสียงโบตั๋น...ประตูก็ปิดเอง ปั้ง
เสียงไตรรัตน์ ร้องโวยวายลั่น ขณะถูกจับมัดไว้กับเก้าอี้กลางบ้าน มองเห็นสุคนธรส ญาณิน ติณห์ ณัฐเดช อรวรรณที่ยืนมองกลุ้มกันอยู่เป็นกลุ่มผีเป็นโขยง
“ไอ้ผีใจบาป...มาจับฉันไว้ทำไม ถ้าแกกินฉันนะ แกจะไม่ได้ไปผุดไปเกิดแกจะต้องตกนรก”
สุคนธรสมองอย่างสงสาร
“โธ่เอ้ยนายไตวาย...นี่ถ้านายใส่สร้อยพระที่ฉันให้ไว้ติดตัวตลอดเวลา นายคงไม่โดนอาคมแบบนี้ ทำไมถึงได้สะเพร่านักนะ”
ไตรรัตน์สวนทันที
“แกไม่ต้องมาด่าฉันนังผีแม่ม่าย”
อรวรรณส่ายหน้า
“เอาเข้าไป”
ไตรรัตน์โวยวายต่อ
“ตอนที่แกยังไม่ตาย แกคงจะทำให้สามีเสียใจมากล่ะซิท่า คอยข่มเหง รังแกเอะอะก็ด่าเขาแกก็เลยต้องตายเป็นผีตามมหาสามีแบบนี้”
สุคนธรสสวนทันที
“จะบ้าเหรอฉันไปขมเห่งรังแกนายที่ไหนกัน ที่ฉันด่านายทุกวันก็เพราะรักต่างหากล่ะ”
ญาณินเข้าห้ามเพื่อน
“ไม่เอาน่ายัยรส นายไตรวายกำลังโดนอาคมแกก็รู้ จะถือสาอะไร”
ณัฐเดชหนักใจ
“แล้วทีนี้จะแก้กันยังไง นายไตรโดนอาคมอะไรเข้าไปก็ไม่รู้”
“พิษผงวิญญาณหลอน”
จิตกำนันพงษ์เอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนอึ้งฟัง สุคนธรสหันไปหากำนันพงษ์
“พิษผงวิญญาณหลอน มันคืออะไรคะกำนัน ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“มันเป็นวิชาไสย์ดำของพ่อหมอหมอผีในชนเผ่าโบราณ ที่ใครโดนเป่าผงใส่เข้าไปแล้วจะถูกฝังการหลอนลงไปในหัวจนกระทั่งเสียสติและบ้าไปเลย”
สุคนธรสเครียด
“ฝังการหลอน...ฟังแล้วน่ากลัวจริงๆ ไม่รู้ว่าฉันจะช่วยนายได้ยังไง นายไตวาย”
ญาณินถอนใจ
“ศาสตร์ลี้ลับแบบนี้ ไม่ควรจะเกิดขึ้นในโลก”
“มันคล้ายกับการทำเสน่ห์ ที่ปกติ ทำให้เห็นภาพของหญิงชายที่อยากให้หลงรักแต่พิษผงวิญญาณหลอนจะให้ผลตรงกันข้าม จะทำให้เห็นแต่ภาพภูตผีปีศาจราวกับอยู่ใน ขุมนรกเลยทีเดียว มันเป็นไสยศาสตร์ที่น้อยคนนักจะรู้จักยกเว้นพวกคนเล่นของ ที่ชอบเลี้ยงผีและปลุกวิญญาณ” กำนันพงษ์อธิบาย
“กำนันอธิบายคล่องคอขนาดนี้ แสดงว่ากำนันเคยใช้ผงนรกนี่มาก่อน ไอเดาถูกมั้ย” ติณห์ถาม
กำนันพงษ์พยักหน้า ติณห์ดีดนิ้วทันที...นั่นไง ณัฐเดชคิดตาม
“ถ้าอย่างงั้น กำนันคงจะรู้แล้วนอกจากกำนันแล้ว ยังมีใครอีกที่มีวิชานี้ติดตัวไว้ใช้”
“เท่าที่ผมรู้...ก็ศิษย์ร่วมอาจารย์ของผม...หมอสมคิด”
“แต่ที่นายไตรโดนผงหลอนนี่เข้าไป มาจากกระเป๋าของเบญจา งั้นก็แสดงว่าเบญจาก็เป็นอีกคนนึงที่มีวิชานี้” ญาณินออกความเห็น
กำนันพงษ์พยักหน้า
“เด็กผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ รูปแบอาคมที่เขาใช้ มันมากมายจนคาดเดาไม่ได้เลย”
ณัฐเดชตัดบท
“แต่ตอนนี้เราหยุดคิดเรื่องเบญจากันก่อน มาหาวิธีช่วยนายไตรกันก่อนเถอะ”
กำนันพงษ์หนักใจ
“ฉันบอกตรงๆว่ายังมองไม่เห็นทาง”
“แต่ทางไสยศาสตร์ของทุกอย่างมีทางแก้อาถรรพ์เสมอ” สุคนธรสคิดๆ แล้วนึกได้ “ยันต์เกราะเพชรที่ฉันให้คุณติณห์ไปไง อาจจะช่วยได้”
“อ๋อ...ยันต์อยู่นี่”
ติณห์ล้วงยันต์จากกระเป๋าเสื้อออกมาส่งให้สุคนธรส
“ป้าออค่ะ ช่วยจัดดอกไม้ ธูปเทียนให้ฉันหน่อย”
“ได้ค่ะ”
อรวรรณรีบไปจัด สุคนธรสเดินถือยันต์เข้าไปมองไตรรัตน์ใกล้ๆอย่างมีหวัง แต่สายตา ไตรรัตน์กลับเห็นสุคนธรสกำลังเดินแลบลิ้นยาวเฟื้อยเข้าฟันคอตัวเอง
“อย่า...อย่า...อ๊าก”
เบญจาแต่งตัวสวยเฉี่ยว อารมณ์ดีเดินขึ้นบ้านติณห์ เดินผ่านแม่บ้าน เบญจายิ้มๆให้เปิดประตูโผล่หน้าเข้าไปดูในห้องทำงานของติณห์
“ติณห์คะ”
เบญจากวาดตามองทั่ว งงๆว่าทำไมไม่อยู่ เดินไปเปิดห้องนอนดูก็ไม่พบ เธอเดินวนไปหลังบ้าน พบแต่ความว่างเปล่า เบญจาเดินกลับออกมาที่หน้าบ้าน เริ่มไม่สบอารมณ์ เหลียวมองรอบๆ แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่รีสอร์ท เข้าไปถามพนักงาน
“เธอ...เธอ...”
พนักงานสะดุ้ง หันมา
“คะ มีอะไรคะคุณเบญจา”
“คุณติณห์ไปไหน”
“ม...ไม่ทราบสิคะ ไม่เห็นแต่เช้าแล้วค่ะ”
“อะไรนะ” เบญจาตาลุก ฉุนจัด “แล้วนี่เขาไปไหนแต่เช้า ทำไมฉันไม่รู้...ทำงานประสาอะไร เจ้านายหายไปไหน ไม่รู้”
พนักงานยืนหน้าเสีย อึ้งๆอยู่
“ใช้ไม่ได้ จะไปไหนก็ไป จะมายืนอยู่ทำไมอีก”
สมชาติเดินถือเอกสารมา
“มีอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น”
“คุณทนาย...” เบญจาเปลี่ยนโหมด น้ำเสียงอ่อนทันที “คือ เบญจาจะมาปรึกษาเรื่องงานด่วนกับพี่ติณห์แต่ไม่รู้เขาหายไปไหน ไม่รู้คุณทนายเห็นเขาหรือเปล่าคะ เรื่องสำคัญเสียด้วย เฮ้อ” เบญจาทำเป็นถอนใจหนักใจ
“อืม ผมก็ไม่เห็นนะ ทำไมไม่ลองโทรหาดูละครับ”
เบญจายิ้มขึ้นมาทันที
“ใช่คะ...เอ่อ แต่เบญจา ไม่ได้เอาโทรศัพท์มาน่ะสิคะ”
เบญจามองอย่างออดอ้อน สมชาติมองรู้ว่าจะบอกอะไร
ไตรรัตน์ซึ่งถูกมัดติดกับเก้าอี้ตาคล้ำลึกโหลมากกว่าเดิม นั่งคอเอียงตกขณะที่สุคนธรส กำลังนั่งขัดสมาธิถือยันต์เกราะเพชรไว้ในมือ ปากก็สวดคาถายันต์เกราะเพชรไป อรวรรณสะกิดญาณินให้ดูไตรรัตน์
“ดูคุณไตรซีคะ อาการไม่ค่อยดีเลย”
สุคนธรสท่องคาถา
“อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโร ถินัง ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธภะสัมสัม วิสาเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ วาโธโนอะมะมะวา อะวิชสุนุตสานุติ”
สุคนธรสท่องเสร็จก็ลุกเดินถือยันต์เข้าไปจะแปะที่ตัว ไตรรัตน์ร้องลั่น
“แกจะทำอะไร อย่านะ...อย่า”
ไตรรัตน์พยายามดิ้นหนีจนแทบจะล้มจากเก้าอี้
“ฉันกำลังจะช่วยนายนะ ไม่ต้องกลัว มาช่วยกันจับเขาให้อยู่นิ่งๆหน่อยเร็ว”
ติณห์กับณัฐเดชรีบเข้ามาจับไตรรัตน์ให้นั่งอยู่กับเก้าอี้นิ่งๆ
“ไอ้ไตรใจเย็นๆนะเว้ย เดี๋ยวแกก็หาย” ณัฐเดชปราม
“แฟนแกเก่ง ยูวิลโอเค” ติณห์ยอ
“พวกแกจะทำอะไรฉัน ปล่อยฉ้าน” ไตรรัตน์โวยวาย
ญาณิน อรวรรณ และจิตกำนันพงษ์มองลุ้นโดยเฉพาะกำนันพงษ์มีสีหน้ากังวล เพราะไม่มั่นใจว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผล สุคนธรสเดินเข้ายันต์มาแปะที่หน้าผาก ไตรรัตน์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“อ๊าก”
หน้าผากมีควันออกมาคล้ายเนื้อที่ถูกทาบด้วยเหล็กร้อนๆ ทำเอาสุคนธรสตกใจ กำนันพงษ์รีบบอก
“มันใช้ไม่ได้ผล ถอนยันต์ออกมา”
สุคนธรสตกใจถอนยันต์ออกมา ไตรรัตน์ถึงกับคอพับไม่สลบแต่ตาลอย สุคนธรสถึงกับปล่อยโฮเข้ากอดไตรรัตน์ไว้
“นายไตวาย...ฉันพยายามจะช่วยนายนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายเจ็บตัวเลย”
ญาณินหันมาถามกำนันพงษ์
“ทำไมคะกำนัน ยันต์เกราะเพชรที่ว่าป้องกันคุณไสย์ได้ทุกชนิดถึงช่วยอะไรนายไตรไม่ได้”
“ยันต์มีไว้ป้องกันคุณไสย์ แต่เมื่อคุณไสย์เข้าตัวไปแล้ว คงช่วยอะไรไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนมาหาวิธีเอาคุณไสย์ออกมาขืนเอายันต์เข้าไปสู้อาจปลุกให้ของต่อต้านจนร่างคนที่มีของอยู่ ลมปราณแตก สติฟั่นเฟือน จิตวิปลาสไปเลยก็ได้” กำนันพงษ์อธิบาย
สุคนธรสหน้าเครียดกังวล
“ถ้าเป็นอย่างงั้นก็หมายความว่าเครื่องรางของขลังที่ฉันมีอยู่กับตัว ก็ไม่สามารถช่วย นายไตวายได้เลยสักอย่างน่ะซิกำนัน แล้วฉันจะเรียนคาถาอาคมมาเพื่ออะไร ถ้าฉันช่วยอะไรคนที่ฉันรักไม่ได้ เพื่ออะไรกัน”
ณัฐเดชต้องเข้ามาจับไหล่สุคนธรสปลอบ
“ใจเย็นๆย่ายัยรส พี่มั่นใจว่าเธอต้องมีทางช่วยนายไตวายได้ ไปนั่งพักก่อนเถอะ เราเหนื่อยมากแล้ว อย่าเป็นอะไรไปอีกคน เชื่อพี่นะ ไปนั่งพักตรงโน้น มีเราคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยนายไตรได้”
“พี่ณัฐ...”
สุคนธรสโผกอดณัฐเดชที่เหมือนเป็นพี่ชายร้องไห้ อรวรรณน้ำตาไหลตาม บอกกับญาณิน
“นี่เป็นครั้งแรกนะคะที่ป้าเห็นหนูรสร้องไห้”
ญาณินเลยเดินเข้าไปกอดสุคนธรสอีกคน ติณห์เข้ามาตบไหล่สุคนธรสเบาๆให้กำลังใจ
“I’m sorry เพราะอยากจะช่วยไอแท้ๆ เลยทำให้พวกคุณต้องมาลำบากขนาดนี้”
ญาณินเห็นใจเพื่อนมาก
“ฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้แกต้องเหนื่อยขนาดนี้”
“พูดอะไรอย่างนั้น ฉันตั้งใจและเต็มใจมาช่วยพวกแกนะ”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ติณห์ดังขึ้น เขาสะดุ้งมองไปที่ญาณิน...หวั่นๆว่าจะเป็นที่รีสอร์ทโทร ตามองว่าเป็นใครก่อนรีบกดรับอย่างกังวล
“ฮัลโหล มีอะไรคุณสมชาติผมกำลังยุ่ง”
ทนายสมชาติเหลือบมองเบญจาที่ยืนมองคอยฟังอยู่ใกล้ชิดข้างๆ
“ออ ครับ...นี่คุณติณห์อยู่ไหนครับนี่”
ติณห์มองที่ญาณิน คิดคำพูดโกหก
“ก็...คือผม อยู่ในตัวเมือง มาซื้อของ...คุณมีอะไรด่วน ถ้าไม่มีค่อยกลับไปคุย แค่นี้ก่อน”
ติณห์วางสาย ญาณินถามทันที
“มีอะไรหรือคะ”
“นายสมชาติโทรมาตามน่ะ...ไม่มีอะไร”
“ฉันว่าเบญจาเป็นคนใช้ให้ทนายสมชาติโทรมามากกว่า”
ญาณินมีความอดทนกับเบญจาน้อยลงเรื่อยๆ
เบญจาครุ่นคิด สมชาติที่เพิ่งวางสายลงมองๆ
“ปกติ พี่ติณห์ก็ไม่เห็นจะไปซื้อของในเมืองเองนี่” เบญจาหันมาหาสมชาติ “ใช่มั้ยคะ”
“อืม...ทุกทีก็เป็นอย่างนั้น ไม่ฝากผมก็ฝากแม่บ้านไปซื้อมาให้แต่คุณติณห์ก็คงอยากได้อะไรส่วนตัว เลยไปเลือกดูของเขาเองเป็นเรื่องปกตินี่ครับ แต่เดี๋ยวแกก็คงมา”
“เหรอคะ”
“คุณเบญจามีธุระด่วนอะไรปรึกษาผมก็ได้นะครับ”
เบญจาชำเลืองหาตาใส่ ไม่ได้ฟังที่สมชาติพูด เธอมองอย่างไม่เชื่อ ก่อนเดินหงุดหงิดๆไป
เบญจาแววตาเคืองขุ่น คิดๆ เดินมาที่มุมหนึ่งของรีสอร์ท
“ต้องไปอยู่กับนังแม่มดตัวร้ายแน่ เอาซี้...นังตัวดี”
เบญจาแววตามาดร้าย ยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดเปิดรูปถ่ายคู่ตนกับติณห์ก่อนกดส่งรูปออก ไปเป็นชุดๆ เบญจาสะใจสุดๆ
หน้าประตูรั้วคฤหาสน์พิมพ์พิลาศ...ถุงมือสีชมพูหวานแหววโผล่เกาะๆ แอบๆที่รั้วบ้านหมวกกันน็อกวินมอเตอร์ไซค์ สีชมพูหวาน ค่อยๆโผล่ตามขึ้นมาด้อมๆชะแง้แลเข้าไปภายในคฤหาสน์เห็นรถอติเทพคันหรูจอดนิ่งอยู่ ก่อนหลุบลงไปนั่งแอบต่อ รอๆ จนออกอาการหงุดหงิดๆ ก้มควักดูโทรศัพท์สีหวานขึ้นมาตรวจดูไม่พบข้อความหรือการติดต่อใดๆพลางถอนใจดัง กรรัมภาลุกขึ้นไปหันด้อมๆแอบๆมองต่อ พลันมีมือมาคว้าหมับเข้าที่เอว เธอสะดุ้งโหย่งบ้าจี้อุทานออกมา
“ว้าย...รวยๆ สวยๆ เจริญรุ่งเรืองๆ”
กรรรัมภาหันขวับไปหัวชนเข้ากับวินมอเตอร์ไซค์ลึกลับอีกคนเข้าอย่างจัง
“โอ้ว...”
ต่างหงายเค้เก้กันทั้งคู่ กรรัมภาลุกมาสวดเป็นชุด
“คนบ้า วิปริต ไอ้วิตถาร”
วินมอเตอร์ไซค์ลึกลับรีบโผพรวดเข้าไปคว้าตัวเธอหลุบลงมาอย่างเดิม พยายามเอามือ ล้วงหมวกกันน็อกเข้าไปปิดปากไม่ให้โวยวาย
“ว้ายๆ...ช่วย...ช่วยด้วยค้า”
กรรัมภาดิ้นสุดชีวิต พยายามปัดป่ายตะกายรั้วขึ้นไปร้องให้คนช่วย แต่โดนกระชากตัวกลับ ลงมาอีก
“เงียบ เงียบ...จะร้องไปทำไม” จุนจีดุ
กรรัมภาตื่นกลัว
“อย่านะ อย่าทำ...”
ป้าคนหนึ่งใส่ชุดขาวเดินผ่านมาในมือหิ้วของจะไปทำบุญ เห็นวินมอเตอร์ไซค์สองคนกำลังขึ้น คร่อม ดันหน้ากันไปมาตกใจตาลุกของในมือหล่น คิดว่ากำลังวิวาทกัน โยกมองลุ้นตามไปมา จุนจีพยายามบอก
“นี่คุณ...ผมเอง”
จุนจีก้มเข้าไปใกล้ๆรีบเปิดหน้าให้เห็น กรรัมภาเซอไพรส์ตะลึงอ้าปากค้างตาเป็นประกาย เปลี่ยนโหมดทันทีเสียงอ่อนทันที
“อย่าทำอะไรบ้าๆอย่างนี้ซิคะ...ต๊ายแล้วทำไมใจมาตรงกันเยี่ยงนี้เลือกเป็นคนขับมอไซค์เหมือนกันดั้ว” กรรัมภาม้วนเขิน นึกได้ “วุ้ยๆ มะได้ละ”
กรรัมภารีบคว้าคอจุนจีหมับดึงเข้ามาใกล้หน้า จุนจีที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าทิ่มเอียงลงมา กรรัมภายกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาเล็ง กดรัวถ่ายไปมาแบบจุนจีไม่ทันตั้งตัวจนพอใจ
“โอ้ปป๊าน่ารักที่สุด อะ พอละๆ ต่อไปจะทำอะไรก็ทำ...บ้าจริง”
พลันประตูอัตโนมัติคฤหาสน์เปิดเลื่อนออก รถอติเทพวิ่งเลี้ยวพรวดออกไป กรรัมภากับจุนจี รีบหันมอง ลุกขึ้นพรวดทันที
“เฮ้ย...นั่นๆ นายอติเทพ” กรรัมภาชี้ตามรถไป “เร็วคุณ ไปเร็ว”
“หา...”
จุนจีมองตามรถอติเทพงงๆ กรรัมภาร้อนใจ
“ไปซิคะ เร็ว”
จุนจีไปที่รถตน ป้าชุดขาวเข้ามาสะกิด
“คือ ฉัน ฉันจะไปวัดม่วง...บางรัก”
จุนจีหันมาบอก
“ไม่ไปครับ ผมกำลังรีบ”
“อ้อ...คือเราไม่ใช่” กรรัมภาจะพูดว่าวินมอเตอร์ไซค์แต่นึกได้รีบหยุด “เอ่อ ไม่ว่างคะ เรากำลังติดพัน...เอ้ยติดธุระ”
กรรัมภาโดดซ้อนจุนจี ที่ออกรถไปอย่างแรง ป้ามองตามงงๆ
“ไรเนี่ย...มอไซค์วินซ้อนมอไซค์วินกันเองแล้วทิ้งผู้โดยสารเนี่ยนะ...เออ”
รถอติเทพแล่นออกปากซอยไป สักพักรถมอเตอร์ไซค์กรรัมภากับจุนจีตามมา จุนจีบิดแซงคันแล้วคันเล่าแซงปาดหน้าชอนไชรถที่แล่นขวางอย่างชำนาญ กรรัมภาหลุบหน้าไม่กล้ามองทาง ก้มกอดเอวจุนจีแน่นปึ๋ง รถอติเทพแล่นไป มอเตอร์ไซค์จุนจีที่ตามมาติดไฟแดงหัวแถวพอดี อติเทพมองไปข้างหน้า หมกมุ่นอะไรอยู่ ไม่มองรอบๆเลย จุนจีหันมามอง กรรัมภาห่วงๆ
“กลัวมากเหรอ”
“เสียวดิ...ขับเร็วขนาดนี้ ต้องยัยเนตรสิ เขาซ้อนมอไซค์เก่ง ฉันมันไม่เคย”
“งั้นผมจะบอกเคล็ดลับให้ ง่ายนิดเดียว”
“อะไร”
“ไว้วางใจคนที่คุณซ้อน...ว่าอยู่กับเขา ยังไงคุณปลอดภัยแน่ๆ”
กรรัมภาอึ้ง มองจุนจีในภาคที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไฟเขียวพอดี รถอติเทพออกตัว จุนจีรีบตาม กรรัมภากอดแน่น หน้าตาตื่นเต้นตลอดๆแล้วค่อยๆพยายามไว้วางใจ
“ไว้วางใจๆ จุนจีต้องพาฉันไปตลอดรอดฝั่ง และปลอดภัยแน่ๆ”
จุนจีไซ้โค้ง กรรัมภาร้องลั่น
“อร๊าย...”
รถแล่นผ่านบ้านเรือนแบบชาวเลไม้ๆของชาวประจวบอยู่สองข้างทาง พงอินทร์ขับรถ กรรณาทำหน้าที่คอยดูแผนที่อยู่ข้างๆ วรวรรธกับ เนตรสิตางศุ์นั่งคู่กันอยู่เบาะหลัง ช่วยกันมองหาบ้านช่อเพชร
“แถวนี้บรรยากาศดูแปลกๆ มันหดหู่ๆ ทรุดโทรมๆยังไงไม่รู้นะครับ” วรวรรธกวาดตามอง
“ดีนะ ที่เนตรไม่ลืมเอาแว่นตามาด้วย หมดสิทธิ์เห็นสิ่งไม่พึงประสงค์แน่นอน”
วรวรรธหันมามองหน้าเนตรสิตางศุ์ที่ยิ้มแป้นสวมแว่นดำอยู่
“เนตรน่ะหมดสิทธิ์เห็นผี แต่ผมซิหมดสิทธิ์เห็นตาสวยๆของเนตรเลยอ่ะ”
พงอินทร์เหล่มองความหวานของทั้งคู่ทางกระจกหลัง แอบขำ
“อือ...อยู่กันได้ ไม่อ้วกใส่กันแฮะ...คนเรา”
อยู่ๆกรรณาก็ตะโกนโหวกเหวกขึ้น
“นี่ๆ...จอดเลยจอด”
“ห่ะ”
พงอินทร์ตกใจ เหยียบเบรกเอี๊ยดเสียจมมิด ทำเอาหัวทิ่มกันทั้งคัน หมูหมากาไก่แถวนั้น ตกใจหนีกระเจิง เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธร้องลั่น
“อร๊าย / เฮ้ย”
วรวรรธโอบกอดตัวเนตรสิตางศุ์ไว้ได้ทัน หน้าตัวเองเลยกระแทกอยู่กับหลังนุ่มๆของเธอแทน วรวรรธยิ้มพริ้ม เนตรสิตางศุ์กัดปากอย่างเขิน แต่คู่ข้างหน้ารถกำลังปะทะคารมกัน
“เบรกยังไงของคุณเนี่ยะ ถ้าไม่คาดเข็มขัด หัวฉันทิ่มทะลุกระจกไปแล้ว” กรรณาโวย
“ก็ใครล่ะตะโกน จอดเลย จอดเลย นึกจะให้จอดก็จอด” พงอินทร์เถียง
“ลืมหูลืมตาดูโน่นซะก่อน บ้านยัยช่อเพชรอยู่นั่นไง นายไม่จอดแล้วนายจะไปตามหาแมวที่ไหนเหรอหะ”
รถจอดอยู่หน้าบ้านไม้ 2 ชั้นที่เก่าพอดิบพอดี กรรณาชี้ไปนอกรถ...พงอินทร์หยุดโวย หันมองตามกดกระจกลง มองออกไปเห็นสภาพบ้านทรุดโทรมริมทะเลราวกับไม่มีใครมาอยู่มานานมากแล้ว เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธกดกระจกลง โผล่หน้าออกมามองหน้าแหยๆ พงอินทร์มองๆ
“มาผิดที่รึเปล่า นี่มันบ้านร้างชัดๆ”
พงอินทร์กดถ่ายรูปด้วยกล้องทำงานประจำตัว ก่อนจะหันกล้องหามุมถ่ายรูปต่อ ส่วนวรวรรธ เนตรสิตางศุ์ กรรณายืนอยู่หน้าประตูรั้ว ไม้เตี้ยๆหน้าบ้านที่มีเถาตำลึงเลื้อยขึ้นพันรก วรวรรธกับกรรณาถือไฟฉายอยู่ในมือ
“ต้นไม้เลื้อยขึ้นพันประตูรั้วรกขนาดนี้ แสดงว่าไม่มีใครเข้าออกบ้านหลังนี้มานานมากแล้ว” วรวรรธออกความเห็น
เนตรสิตางศุ์มองไปรอบๆ
“คุณช่อเพชรที่เธออยากเจอ คงไม่เคยกลับมาที่นี่หรอกยัยกรรณ”
“แต่ในบ้านอาจจะมีหลักฐานช่วยให้เราตามตัวยัยนั่นเจอก็ได้ เพราะฉะนั้น...มาถึงที่แล้วก็ต้องลุย” กรรณาน้ำเสียงมุ่งมั่น
กรรณาปีนขึ้นประตูรั้วไม้ แต่พงอินทร์รีบดึงไว้
“เดี๋ยวคุณ คุณรออยู่ข้างนอกนี่แหละ ให้ผมเข้าไปเองดีกว่า”
“นายนั่นแหละรออยู่ข้างนอก ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันมีความสามารถพิเศษที่นายไม่มี เกิดเจอผีสางขึ้นมา นายอาจหัวใจวายตายได้”
“แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ห่วงคุณเรื่องผีบ้านร้าง หญ้ารกๆแบบนี้ แต่ความสามารถพิเศษแว่วเสียงผีของคุณมันป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ เสือหมีสิโตหมาป่าที่มาอาศัยอยู่ในบ้าน นั้นได้ป่ะล่ะ”
วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์ที่ยืนจูงมือกัน หันมองสองคนเถียงกันไปมาอย่างเซ็งๆ
กรรณามองหน้าพงอินทร์
“บ้านร้างนะยะ ไม่ใช่เขาดิน...เลิกทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงบอบบางอ่อนแอเหมือน พวกแฟนๆของนายซะที ฉันมันมืออาชีพ งานยากกว่านี้ฉันก็ทำมาแล้ว ไม่ต้องรอ ให้คุณทำเป็นโชว์แมนหรอก”
“แปลว่าคุณไม่กลัวสัตว์เลื้อยคลาน”
“คนที่ชอบเลื้อยคลาน ฉันก็ไม่กลัว”
“เก่งมากม๊าก”
พงอินทร์ทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ กรรณาทำเชิดยิ้มๆยั่ว วรวรรธหันมาบอกเนตรสิตางศุ์
“มา ผมเองดีกว่า”
“แต่...หมอ...”
เนตรสิตางศุ์จะแย้ง วรวรรธจับมือ
“รำคาญคู่นั้นเต็มที่แล้ว”
ระหว่างคู่นั้นยืนเถียงกันอยู่ วรวรรธก็กระโดดข้ามรั่วอย่างเท่ห์แต่ปรากฏว่ารั้วบ้านนั้นล้มโครมคราม ตามแรงโน้มตัวของเขา วรวรรธล้มโครม เนตรสิตางศุ์ กรรณา พงอินทร์พากันร้องตกใจ วรวรรธลุกขึ้นยืนปัดๆเนื้อตัว ฝุ่นตลบ
“เชิญเข้ากันได้แล้วครับ” วรวรรธยิ้มแฉ่งเขินๆ
“หมอ...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า...โธ่ ไม่น่าเลยค่ะ” เนตรสิตางศุ์เป็นห่วง
ทั้ง 4 คน เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านมองบ้านที่ตั้งตระหง่านราวบ้านผีสิงอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นมีลมเย็นๆวูบหนึ่งพัดผ่านมา ทำเอาเสื้อผ้า และผมของทุกคนปลิวสะบัด
“ลมเย็นยะเยือกแบบนี้ ใช่เลยหมอ” เนตรสิตางศุ์ลูบแขนตัวเอง
วรวรรธหน้าตื่น
“ผะ...ผีที่นี่เขากำลังออกมาต้อนรับเราใช่มั้ยครับ”
เนตรสิตางศุ์พยักหน้าแหยๆ ขณะที่หูกรรณาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างผ่านมาที่ท้ายทอย มีเสียงครางของวิญญาณจนต้องเหล่มองด้วยหางตา กรรณาตัดสินใจยื่นมือไปสะกิดเนตรศิตางศุ์
“ยัยเนตร ใส่แว่นอยู่ทำไม ถอดออกซิแก”
เนตรสิตางค์ชะงัก
“จะให้ฉันถอดทำไม เดี๋ยวก็เห็นผีหรอก”
“ต้องได้เห็นแน่ๆ เพราะกำลังยืนครางอยู่ข้างหลังฉันตอนนี้”
ทั้งสามคนตะลึง
“หา”
ทั้งพงอินทร์ เนตรสิตางศุ์ วรวรรธ ตะโกนขึ้นพร้อมกัน พงอินทร์ถอยกรูไปยืนเบียดวรวรรธ
“ไม่วิ่งหนีป่าราบไปเลยล่ะนายโจ้” กรรณาถอนใจ เท้าเอว
พงอินทร์สั่นกลัว
“ก็คุณมืออาชีพเรื่องผีนี่ แต่ผมไม่ใช่”
“เร็วซียัยเนตร ถอดแว่น ฉันอยากรู้ว่าผีที่ไหน ถอดเร็วๆ” กรรณาออกคำสั่ง
“รู้แล้วน่า กำลังถอดอยู่นี่ไง”
เนตรสิตางศุ์ค่อยๆถอดแว่นออก มองไปที่ด้านหลังกรรณาแต่กลับเห็นร่างไพลินวัยราว 30 ผูกคอตาย ลิ้นจุกปากอยู่ที่ต้นลำพูที่อยู่ด้านหลัง เนตรสิตางศุ์สะดุ้งโหยง
“ว้าย”
วรวรรธเข้าโอบไหล่
“ไม่ต้องกลัวนะคุณเนตร บอกผมซิ คุณเห็นอะไร”
เนตรสิตางศุ์เสียงสั่น
“เห็นผู้หญิง ผูกคอตายอยู่ที่ต้นไม้นั่นค่ะ”
พงอินทร์ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมองทันที ไม่เห็นผีอะไร แต่กดถ่ายไปเป็นชุดตอนนั้นเองร่างไพลินเริ่มกระตุก และคอไพลินเริ่มขยับ ลืมตาขึ้น ขยับปากจะพูด เนตรสิตางศุ์หน้าตื่น
“วิญญาณผู้หญิงคนนั้น ขยับแล้ว กำลังจะพูดอะไรก็ไม่รู้”
กรรณาหันหน้ามองไปที่ต้นไม้ทันที ไพลินมองมาที่กรรณากับเนตรสิตางศุ์แล้วพูดออกมา
“เพชร...พลอย...กลับมาหาแม่แล้วเหรอลูก ฮือๆ”
เสียงร้องของไพลินโหยหวนชวนขนลุก น้ำตาของไพลินไหลออกจากตาเป็นสายเลือด เนตรสิตางศุ์กับกรรณายืนมองอึ้งกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 13 (ต่อ)
รถอติเทพแล่นมาจอดเทียบหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีเด็กรับรถมาโบกให้จอดและเลื่อนป้าย ห้ามจอดหน้าร้านออกให้ ราวกับเป็นแขกพิเศษขาประจำ อติเทพลงจากรถ สวมแว่นดำ ใส่หมวกควักทิปให้เด็กรับรถ ก่อนเดินลิ่วตรงเข้าร้านอาหาร รถมอเตอร์ไซค์ของจุนจีแล่นมาจอดกึกห่างจากหน้าร้านและรถอติเทพไม่ไกล กรรัมภาโดดลงมา
“เห็นไหม ว่าผมขับชัวร์แค่ไหน ปลอดภัยปะล่ะ”
“ค่ะ...ก็...นับว่าปลอดภัย”
“ซูเปอร์เซฟเลยล่ะ ผมเป็นพรีเซนเตอร์ของมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่น ผมต้องไปฝึกในสนามแข่งมอเตอร์ไซค์เป็นวันๆเลย ผมน่า ไม่ใช่เล่นๆนะ ผม...ปาร์ค จุนจี ของจริง”
“พอเถอะ นั่นๆ มันหายเข้าไปแล้ว”
ทั้งสองมองหน้ากัน เอาไงดี
อติเทพเดินตรงเข้ามาในร้านอาหารลิ่วๆ คนพลุกพล่านนั่งกันแน่นร้าน จุนจีกับกรรัมภาที่ยังสวมหมวกกันน็อคเดินดุ๋ยตามเข้าร้านมาถึงกับผงะเพราะคนในร้าน ต่างสะดุ้งหันพรึบมามองเป็นตาเดียว ราวกับพวกมือปืนรับจ้างหรือโจรเข้าร้านมาปล้น สองคนเลยหยุดกึก หันหลังมาซุบซิบกันที่หน้าร้านก่อน
“แก้ม เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมคนเขามอง เขาจำผมได้เหรอ”
“บ้า ไม่ใช่หรอก แก้มว่า เอ่อ...”
ทั้งสองยืนมองกันไปมา
“เอาหมวกนี่ออกคงดีขึ้น”กรรัมภาบอก
“โอเค”
ทั้งสองถอดหมวกออก กรรัมภาหันไปมองจุนจี เห็นเขาโพกผ้ามาบนหัวพรางตัวกำลังหยิบแว่นดำมาสวม ซึ่งเหมือนกับตนอีก เลยร้องกรี๊ดดังออกมาทันที
“อร๊ายๆ ทำตัวเหมือนกันอีกแล้ว ใจจะตรงกันไปไหนคะ...โอ๊ปป้า...อ๊าย”
“แก้ม” จุนจีรีบเอามือปิดปากกรรัมภา กระซิบ “เบาๆ...”
จุนจีกับกรรัมภาโบกไม้มือให้คนทั้งร้านว่าไม่มีอะไรนะ อติเทพเดินทะลุต่อเข้าไปข้างในหลังร้าน จุนจีกับกรรัมภา แอบเหลียวๆมองตาม
“น...นั่น มันไปแล้ว”
กรรัมภาหันมาหาจุนจี แต่ไวไม่ทันเขาที่ลุกพรวดกระชากดึงแขนกรรัมภาเดินตามไป
อติเทพเดินลิ่วๆไปด้านหลังร้าน ตรงไปกดลิฟท์ตัวเล็กที่มีอยู่ตัวเดียว หายเข้าไป จุนจีกับกรรัมภา เดินตามมาถึงเห็นหลังไวๆ ทั้งสองมองหน้ากันเอาละซิ เอาไงดี จุนจีมองรอบ หันไปเห็นบันไดที่คนเดินลงมาพอดี...จุนจีเดินก้าวพรวดๆขึ้นบันได ชั้นแล้วชั้นเล่าพยายามตามให้ทันดูว่าลิฟท์ไปจอดที่เลขชั้นไหน ส่วนกรรัมภาเริ่มลิ้นห้อยหอบ ไล่หลังช้าลงจนมาถึงชั้นที่สาม ลิฟท์ก็ยังไม่จอด กรรัมภาหน้าเบ้ จุนจีหันมามอง
“โอ้ย...คุณ” กรรัมภาเสียงหอบเหนื่อย “ไม่เหนื่อยเหรอ ช้าๆหน่อยซิ”
“ไม่ คุณแก้ม...แค่สามชั้นเอง เร็ว”
กรรัมภาหอบเหนื่อย
“โอ้ย...เดี๋ยวตามขึ้นไป เชิญก่อนคะ”
จุนจีดุเข้ม
“ไม่ได้ มา...เร็ว”
จุนจีเข้าไปคว้าแขนกรรัมภา ที่กำลังทิ้งตัวทรุดนั่งหอบที่ขั้นบันได ดึงขึ้นมา
“ฉันรู้ค่ะ ว่าพวกคุณฟิตจริงไรจริง วิ่งกันทุกเช้ายังกับค่ายทหาร แต่...อิฉันไม่ไหวแล้ว”
“แก้ม...อดทน ไอเลิฟยู...ไป”
กรรัมภาถูกจุนจีลากดึงพรวดขึ้นไป
กรรัมภาวิ่งนำจุนจีมา
“ไอเลิฟยูๆ” กรรัมภาทำรูปหัวใจให้จุนจี “ไฮวติ้ง สู้ตาย”
ทั้งสองขึ้นมาถึงชั้นที่สี่ พอดีกับที่ลิฟท์เปิด อติเทพเดินออกมาจุนจีกับกรรัมภา รีบปิดปาก หันหลังขวับหลบยืนนิ่ง อติเทพมองๆ จะเดินเข้าไปข้างในต่อ ก็ชะงักหยุดเดินเข้ามาหา จุนจีกับกรรัมภา ที่ยืนตัวเกร็ง ก้มๆกันอยู่ อติเทพเดินมาคว้าที่ไหล่กรรัมภาหมับเธอสะดุ้งเฮือก
“อ้าว ไอ้น้องที่เห็นข้างล่างเมื่อกี้นี่ ทำไมขึ้นมาถึงก่อนพี่ได้เนี่ย”
จุนจี นิ่งไม่ตอบ ยิ้มแหะ แต่ไม่มองหน้า กรรัมภาหอบแฮ่กไปมาก่อนจะตอบไป
“ก็...เจ๋งอะพี่”
จุนจีสะดุ้งไม่คิดว่ากรรัมภาจะตอบ อติเทพที่กำลังหันไปมองทางประตูห้องหันขวับกลับมา จุนจีสะดุ้งซ้ำ
“แหม ร้อนเงินเหมือนกันอะดิ ตัวเปียกเชียว”
ทันใดนั้นเฮียกุ่ยเปิดประตูออกมา อติเทพร้อนรน
“แต่ของน้องไว้ทีหลังนะ ขอโทษ ที่มาถึงก่อน แต่พี่จำเป็นต้องแซงคิวจริงๆว่ะของพี่มันวิกฤติแล้ว”
อติเทพรีบโผพรวดเข้าไปหาเฮียกุ่ย
“อ้า เฮียกุ่ย สวัสดีงามๆครับ”
“จะมาเคลียร์หนี้ใช่ไหม”
“เอ้อ...ไอ้เคลียร์น่ะ เคลียร์แน่ครับ แต่...วันนี้ เฮียมีให้ผมอีกหน่อยไหม รับรองผมเอามาใช้พร้อมๆกันทีเดียวเลย รับรอง เต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่”
จุนจีกับกรรัมภา พยายามเงี่ยหูฟัง เฮียกุ่ยผงะถอยมามองหน้าอติเทพจ้องงงๆ
“ทำไม มีไรเฮีย อย่างผมดอกเท่าไรก็พร้อมจ่าย”
“แกกำลังจะรับมรดกก้อนใหญ่ไม่ใช่เหรอ เมื่อไหร่จะได้ล่ะ”
“ไม่นานหรอก เฮีย...รอแค่ลายเซ็นอะไรนิดๆหน่อยๆเท่านั้นแหละ นะๆเฮียขอด่วนๆ อีก 2 ล้านเถอะ นะๆ จิ๊บๆเอง”
เฮียกุ่ยคิดๆ จุนจีกับกรรัมภามองหน้ากัน พูดไม่ออก
กรรัมภาและจุนจีแอบหลบมาหลังเสา กระซิบกระซาบกัน
“มันจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ”
“ไม่นึกเลย ว่างานนักสืบจะสนุกแบบนี้ มิน่า คุณถึงชอบ”
“ฉันไม่ได้ชอบเพราะสนุก แต่ชอบ...เพราะเราได้ช่วยคนต่างหาก เราต้องช่วยกันจับฆาตกรที่ฆ่าคุณย่าคุณ”
จุนจีทำหน้าเหี้ยม หันไปมองอติเทพ
“คนเลว จะต้องได้รับกรรม”
วรวรรธและพงอินทร์ใช้ท่อนเหล็กและเสียมเก่าๆขึ้นสนิมที่หาได้แถวๆนั้น ช่วยกันทุบงัดแม่กุญแจขึ้นสนิมที่คล้องอยู่กับสายยูล็อคประตูไม้หน้าบ้านไว้ ขณะที่ 2 สาวยืนรอ พลางมองสำรวจสภาพรอบๆของบ้าน
“เสียงร้องไห้ของวิญญาณผู้หญิงคนนั้นเงียบไปแล้ว” กรรณาบอก
“ฉันก็ไม่เห็นร่างเขาอยู่ที่ต้นไม้แล้ว หายไปไหนแล้วไม่รู้ จะโผล่มาอีกมั้ยนี่”
เนตรสิตางศุ์เกาะกรรณาหันมองไปรอบๆอย่างหวาดๆขณะที่กรรณาคิดๆ
“เพชรกับพลอยที่วิญญาณพูดถึง เพชรนี่จะหมายถึงยัยช่อเพชรรึเปล่านะ”
สองสาวมองหน้ากันคิดๆ สองหนุ่มงัดกุญแจออกพอดี วรวรรธปาดเหงื่อ
“ออกแล้ว เฮ่อ”
“แข็งแรงจังเลยค่ะหมอ ไม่ใช่ผ่าศพเก่งอย่างเดียว ยังงัดบ้านคนเก่งด้วย” เนตรสิตางศุ์เอ่ยชม
วรวรรธที่ทำเป็นเบ่งกล้ามโชว์ถึงกับแป่ว
“อ้าว พูดงี้...จากหมอเท่ๆ ผมกลายเป็นตีนแมวเลยนะเนตร”
“ถ้าเป็นตีนแมว หมอก็คงเป็นตีนแมวที่หล่อที่สุดในโลกค่ะ ฮิๆ” เนตรสิตางศุ์หัวเราะคิก “เหนื่อยมั้ยคะ ดูดิ...เหงื่อซกเลย”
เนตรสิตางศุ์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดๆเหงื่อให้วรวรรธ...ยิ้มหวานให้กัน พงอินทร์มองไปที่กรรณา...
“มีอะไรจะชมผมสักคำมั้ย”
“ทำไม มีอะไรต้องชม”
“เหงื่อผมก็ออกเหมือนกันนะ”
“มิน่า หน้ามัน...เยินเชีย งัดได้แล้วก็หลีกทางดิ ยืนขวางประตูอยู่ได้ ฉันจะเข้าไปข้างใน”
กรรณาดันพงอินทร์ออก แล้วก็ผลักประตูเปิดออก เสียงฝืดของประตูดังก้องน่าขนลุก...ทันทีที่ประตูเปิดออก แสงสว่างส่องเข้าไปภายในบ้านที่มืดมิด กลิ่นอับๆก็โชยออกมาจนทั้ง 3 คน ต้องยกมือยกแขนปิดจมูกเบือนหน้าหนีกัน ยกเว้นหมอวรวรรธ พงอินทร์มองแปลกใจ
“ไม่เหม็นเหรอหมอ”
“ชินแล้วครับ”
“อ่อ...ลืมไป”
“มา...ผมนำเข้าไปเอง”
วรวรรธส่องไฟฉายเดินนำเข้ามาในบ้านที่เหลือตามมาแบบเหม็นๆยังคงอยู่...ข้างในสภาพข้าวของผุพัง หยากไย่เกาะหนาไปหมด
“ฝุ่นเกาะหนาเป็นนิ้ว หยากไย่เป็นม่านแบบนี้ คงไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังนี้มาเป็นสิบๆปีแล้ว” วรวรรธบอก
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังโครมลั่นสะเทือนบ้านไปทั้งหลัง ร่วงอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้านเหนือหัวทั้ง 4 คนจนสะดุ้ง เนตรสิตางศุ์หน้าตื่น
“เสียงอะไรอ่ะ”
พงอินทร์เงี่ยหูฟัง
“ยังกับมีของอะไรหนักๆร่วงอยู่ชั้นบน”
ขณะเดียวกันนั้นหูกรรณาได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังขึ้นตามมาด้วยเสียงกรีดร้องตกใจของผู้หญิง
“อ๊าก”
“อ๊าย”
กรรณาตะลึง
“นั่นไง ได้ยินมั้ย เสียงคนร้องอยู่ข้างบน”
พงอินทร์งงๆ
“เสียงใคร ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
วรวรรธแปลกใจ
“ผมก็ไม่ได้ยิน”
เนตรสิตางศุ์ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนหน้าเสีย มั่นใจว่าที่กรรณาได้ยินไม่ใช่เสียงคนแน่ กรรณามองไปด้านบน
“ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างบนนั่นแน่ๆ”
กรรณาไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่บันไดทันที
“คุณกรรณ เดี๋ยว...คุณกรรณ อย่าขึ้นไปคนเดียวซิ”
กรรณาไม่ฟังรีบวิ่งขึ้นบันไดไปแล้ว พงอินทร์ถอนใจอย่างหัวเสียรีบวิ่งตามไป เนตรสิตางศุ์เรียก
“ยัยกรรณรอด้วย”
“ไป...คุณเนตร... อยู่ใกล้ๆผมไว้ครับ”
วรวรรธรีบจูงมือเนตรสิตางศุ์วิ่งตามไป ทั้ง 3 คน รีบวิ่งตามขึ้นบันไดไปชั้นบนพลางตะโกนเรียกตลอดเวลา
กรรณาวิ่งส่องไฟฉายขึ้นมายังชั้นบน ที่พอมีแสงสว่างจากหน้าต่างผุพังที่หลุดห้อยอยู่ 2 บาน
แต่กลับไม่พบอะไรร่วงอยู่ที่พื้นอย่างที่ได้ยิน กรรณาสะดุดกับกองอะไรบางอย่างที่พื้นล้มลง ไฟฉายหลุดมือ
“อ๊าย”
พงอินทร์ที่วิ่งตามมาได้ยิน ก็ตกใจ
“คุณกรรณ เป็นอะไรครับ”
“ฉันสะดุดบ้าอะไรก็ไม่รู้”
พงอินทร์เข้าไปช่วยดึงกรรณาขึ้น ขณะที่วรวรรธที่พาเนตรสิตางศุ์ขึ้นตามมาส่องไฟฉายไปที่กรรณาเห็นเป็นกองหุ่นโชว์เสื้อผ้าขาวโพลนวางกองเต็มไปหมด...ชวนสยอง บางหุ่นใส่วิกผมบ่งบอกว่าไพลินเป็นช่างรับตัดเสื้อผ้าในยุคคุณแม่ยังสาว
“หุ่นโชว์เสื้อผ้าน่ะครับ เมื่อกี้เสียงดังโครมครามก็คงจะเป็นลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง...ทำให้หุ่นล้มก็เป็นได้...นะครับ”
กรรณาเก็บไฟฉายขึ้นมาส่องไปทั่วชั้น 2 เห็นหุ่นโชว์เสื้อผ้าวางเกะกะไปทุกมุม เนตรสิตางศุ์มองตามแสงไฟฉาย
“มีแต่หุ่นโชว์เสื้อผ้าเต็มไปหมด ต้องมีใครในบ้านหลังนี้เป็นช่างตัดเสื้อผ้าแน่ๆค่ะ”
พงอินทร์เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่หุ่น 2-3 ตัวตรงหน้าที่กรรณาส่องไฟฉายผ่าน
“เอ๊ะ! เดี๋ยวๆ หุ่น 2-3 ตัวตรงนั้นมีรอยเลอะอะไรน่ะ”
วรวรรธส่องไฟฉายไปทันที...แล้ว 2 หนุ่มก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆเห็นที่ตัวหุ่นมีรอยคล้ายของเหลวบาง อย่างกระเซ็นใส่ แต่แห้งกรังไปนานแล้ว หมอวรวรรธลองขูดๆดู ขยี้ที่นิ้ว ดมๆเพียงไม่นานหมอนิติเวชก็รู้ สายตากังวลแต่ยังไม่ยอมพูด ออกมา
“รอยเลอะอะไรเหรอหมอ” พงอินทร์ถามอย่างสนใจ
“เอ่อ...รอยเลือดครับ”
พงอินทร์ชะงัก
“เลือด”
“ครับ ดูจากร่องรอยที่กระเซ็นมาที่หุ่นนี่ ถ้าเป็นเลือดที่เกิดจากบาดแผลก็คงเป็นบาดแผลฉกรรจ์พอสมควร เลือดถึงได้ออกมากขนาดนี้”
ไม่ทันขาดคำวรวรรธ กรรณาก็ได้ยินเสียงทะเลาะรุนแรงดังขึ้น
“ฉันได้ยินเสียง...วิญญาณโผล่ออกมาแล้ว”
ทำเอาพงอินทร์กับวรวรรธชะงัก ยืนตัวแข็ง เงียบไปแล้วเนตรสิตางศุ์ก็เห็นภาพวิญญาณชายหญิงคู่หนึ่งเดินตบตีกันออกมาจากเงามืดของกองหุ่นโชว์ เสื้อผ้า เนตรสิตางศุ์ชี้ไป
“วิญญาณผู้หญิงผู้ชายกำลังทะเลาะตบตีกันอยู่ตรงนั้น”
เนตรสิตารงศุ์ตาเบิกโพลง กรรณาเงี่ยหูฟัง
รถอติเทพแล่นมาจอดมุมหนึ่งของลาจอดรถในห้างสรรพสินค้า สักครู่รถโฟร์วีลคันโตแล่นมาจอดเทียบ ชายสูทดำคนหนึ่งเปิดประตูลงมาตรงมาหา เทพอติเทพเปิดกระจกลง แล้วยื่นส่งซองเงินสีน้ำตาลให้
“อะ...บอกกู๋ด้วย ว่าฉันคำไหนคำนั้น นี่สองล้านตามที่บอก”
ชายชุดดำก้มเปิดซองออกดู พอใจ
“OK...กู๋ก็ฝากมาบอกเหมือนกัน ว่านี่แค่ดอกนะ เงินต้นน่ะยังไม่ได้เลยกู๋รออยู่”
อติเทพนิ่งสะอึกหน้าเสีย ชายชุดดำเดินกลับขึ้นรถที่สตาร์ทรออยู่ แล้วแล่นออกไป อติเทพมีทีท่าไม่ พอใจมองตามไป...ที่หลังเสามุมหนึ่ง กรรัมภากับจุนจีสวมหมวกกันน็อค เปิดหน้ากระจกด้อมๆมองๆเหตุการณ์อยู่ ในมือกรรัมภาใช้มือถืออัดคลิปไว้อยู่รีบผลุบกลับมาหลังเสา
“นายอติเทพกู้รอบตัวเลยหรือเนี่ย”
กรรัมภาครุ่นคิด
“มันไม่ธรรมดาแล้วนะ”
อติเทพเดินลงจากรถปิดประตูล็อค อารมณ์หงุดหงิด เดินลิ่วไป กรรัมภากับจุนจี ที่เยี่ยมหน้าผลุบๆ แวมๆอยู่หลังเสาไม่ไกลมองตาม
อติเทพก้าวเดินฉับๆ จุนจีและกรรัมภา รีบก้าวตาม อติเทพเดินเข้ามาด้านหลังตัวตึกของห้าง ทางเดินเป็นซอกเล็กๆ เขาเดินลิ่วๆมาหยุด นึกขึ้นได้ เหลียวมองๆหาทาง พลันหันหลังขวับเดินย้อนกลับมา
จุนจีกับกรรัมภาถอดหมวกออก เหลือโพกผ้าสวมแว่นดำเดินตามมาติดๆถึงกับตั้งตัวไม่ทันตก ใจจุนจีรีบดึงมือกรรัมภาออกไป
อติเทพเดินผ่านกลับมา ผ่านหนังสือพิมพ์ที่กางลอยอยู่ มีขาคนอยู่สามคนอยู่ข้างหลัง แต่หนังสือ กลับหัวและถูกดึงๆยื้อๆกันไปมา จุนจีกับกรรัมภาอยู่ซ้ายและขวาลุงเจ้าของหนังสืออยู่กลาง ลุงงงๆมองซ้ายขวา จุนจีกับกรรัมภาที่ทำเป็นเถียงกันไปมา ยื้อดึงหนังสือ พิมพ์บังๆหน้าไว้
“มันโรงไหนนะลุง หนูจำไม่ได้ขอดูโปรแกรมหนังหน่อย นี่ๆ” กรรัมภาชี้ๆ
“ไหนน๊า” จุนจีกระซิบลุง “โทษทีนะลุง”
จุนจีพยายามดึงยกหนังสือพิมพ์ขึ้นเพื่อมองลอดไป จนเห็นรองเท้าอติเทพแพลมๆ เดินผ่านหน้ามา
กรรัมภาก็พยายามยื้อดึงกลับไป จนหนังสือพิมพ์ขาดแควกผ่ากลาง อติเทพเดินผ่านมา ตรงหน้าพอดี หันมามอง จุนจีกับกรรัมภา รีบจับส่วนของใครของมันบังหน้าเอาไว้อติเทพเห็นหน้า ลุงยืนเจี๋ยมเจื่อนอยู่ งงเลยเดินผ่านไป จุนจียกหนังสือพิมพ์บังๆมองลอดดูตามรองเท้าจนหายไป หันไปหากรรัมภา
“ไปแล้ว”
“ไปไหน ตามไปเร็ว”
จุนจีแง้มมองเห็น หลังอติเทพเดินลับเข้าไปประตูสังกะสีบานหนึ่งซึ่งเป็นประตูเชื่อมกำแพง คั่นระหว่างบริเวณด้านหลังของห้างกับหมู่บ้านอิฐที่หนาแน่นโทรมๆติดกับห้าง จุนจีถอนใจ อะไรกันนักหนาเนี่ย ไม่ชอบจริง เขายื่นส่งหนังสือพิมพ์คืนให้ลุง
“ขอบคุณนะลุง”
ลุงรับมางงๆ จุนจีและกรรัมภารีบผละตามไป
อติเทพเดินมาตามทางเดินเล็กๆในหมู่บ้านโทรมๆ ขนาบข้างด้วยตึกแถวชำรุดทรุดโทรม จุนจีและกรรัมภา เดินตามมา ผู้คนเดินสวนไปมา คนแก่นั่งใส่เสื้อกล้ามเป่าพัดลมอยู่หน้าบ้านตน
อติเทพเดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาตามมุมตึกต่างๆ โดยมีจุนจีและกรรัมภาตามไม่ห่าง...อติเทพเดินพ้นมุมตึกแห่งหนึ่งหายไป จุนจีและกรรัมภารีบวิ่งตามไปจนพ้นมุมตึกนั้น ทั้งสองหยุดชะงักอยู่กับที่
ทางเข้าบ่อน มีการ์ดสามสี่คนกำลังตรวจค้นอาวุธ และตรวจบัตรสมาชิกเข้ม มีเซียนพนัน 4-5 คนเข้าแถว อติเทพถูกตรวจและผ่านเข้าไปได้ จุนจีรีบดึงกรรัมภาหลบข้างหลังกำแพง แอบถ่ายคลิปอติเทพเอาไว้
“มันกำลังจะเข้าไปในนั้นละ แต่ผมไม่รู้ว่าในนั้นเป็นอะไร”
“ไหนคะ” กรรัมภามองๆสังเกต “แต่แก้มว่า ขืนเราลองเข้าไปก็ ไม่น่าได้เข้า ดูสิแต่ละคนดูเป็นขาประจำกันทั้งนั้น ต้องมีบัตรอะไรนั่นด้วย”
“งั้นเราจะทำไงดี”
จุนจีมองหน้ากรรัมภา อยากหาคำตอบ พอดีมีเซียนพนันสองคนเดินออกมา ผ่านทั้งสองที่ยืนอยู่
“แม่ง...วันนี้ดวงโคตรกุดโดนรวบหมดตูด”
เพื่อนหัวเราะ
“ฮะฮะ ออกมาทีไรเห็นพูดอย่างนี้ทุกที แล้วก็เห็นกลับมาเล่นตลอด”
“โหย...ต้องชนะมันได้สักวันดิวะ ต้องได้กันบ้างละโว้ย”
จุนจีกับกรรัมภา เหลียวมองกัน เข้าใจคำตอบขึ้นมาเลาๆทันที
เนตรสิตางศุ์เห็นภาพผีชายหญิงคู่หนึ่งเดินตบตีออกมาจากเงามืด วิญญาณแมนอยู่ในอาการเมามายถือขวดเหล้า ไพลินร้องไห้ตามมาดึงทึ้งไว้
“แกจะไปนอนกับอีนังแม่หม้าย...ใช่มั้ยไอ้แมน ฉันไม่ให้แกไป ไม่ให้ไป”
แมนหันมาตวัดหลังมือตบ
“อย่ามายุ่ง”
“ว้าย”
“ฉันจะไปนอนกับใคร มันก็เรื่องของฉัน”
ไพลินที่กำลังมึนๆเลือดกบปากโดนแมนด่าซ้ำ
“แกนั่นแหละ อีไพลิน...อีผู้หญิงหลายใจ แกหนีฉันไปอยู่กับไอ้ต้อยทีนึง ไอ้หมายทีนึง ไอ้ดวงสองที ไปมั่วกับใครมาบ้างก็ไม่รู้ พอท้องก็ไม่มีใครรับ แกถึงได้ซมซานกลับมาหาฉัน ให้ฉันรับเป็นพ่ออีพิมพลอย อีหน้าไม่มียางอายเอ้ย”
แมนถีบไพลินล้มชนหุ่นโชว์เสื้อผ้ากระจายอย่างไม่ปราณี
“ว้าย”
“ถ้าแกไม่อยากตาย แกอย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีก ฉันจะไปรับสายใจมาอยู่ที่บ้าน ให้มาดูแลฉัน แกก็อยู่ของแกไป ไว้วันไหนฉันมีอารมณ์ อยากจะกินของเก่าๆ ขึ้นมา ฉันจะเรียกแกมาล้างชามเอง ฮ่ะๆ”
แมนหัวเราะลั่นบ้านพลางยกขวดเหล้าขึ้นกระดกซด
“ไอ้ชาติชั่ว”
ไพลินร้องไห้อย่างเจ็บแค้น ลืมตัวคว้ากรรไกรตัดผ้าที่ตกอยู่ใกล้มือ ลูกพุ่งเข้าเสียบพุงแมน...เนตรสิตางศุ์ยกมือปิดตา
“อร๊าย”
“เกิดอะไรขึ้นครับเนตร” วรวรรธถามอย่างตกใจ
“ผู้หญิงแทงผู้ชายด้วยกรรไกรค่ะ เลือด...เลือด...” เนตรสิตางศุ์บอกอย่างหวาดกลัว
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า 2 คนนี่เป็นใคร” พงอินทร์ถามขึ้น
“ฉันได้ยินแต่ว่าผู้หญิงชื่อไพลิน ผู้ชายชื่อแมน” กรรณาบอกในสิ่งที่เธอได้ยิน
วิญญาณแมนหยุดกึก ตาค้าง มองหน้าไพลินอย่างโกรธและแสนเจ็บปวด
“อีไพลิน...มึง...แทง...กูเหรอ”
ไพลินตกใจ ปล่อยมือจากกรรไกร มองมือที่เปื้อนเลือดของตัวเอง ถอยผละออกมาอย่างตกใจแทบบ้าจนหุ้นโชว์เสื้อผ้าข้างหลังล้มกระจายขณะที่แมนดึงกรรไกรที่เสียบท้องตัวเองจนเกือบมีดด้ามออกพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างแสนเจ็บปวด
“อ๊าก”
กรรไกรถูกกระชากออกจากท้องเลือดกระเซ็นไปที่หุ่นโชว์เสื้อผ้า 2-3 ตัว ตัวที่วรวรรธเพิ่งเข้าไปดูเมื่อครู่ แมนก้มลงดูท้องตัวเองที่เลือดไหลทะลักออกมาราวกับก๊อกน้ำแตก แล้วก็ล้มหงายตึงไปเต็มแรงตาค้างชักกระตุก ก่อนที่จะสิ้นล้มต่อหน้าต่อตาไพลิน
“อร๊าย”
ไพลินกรีดร้องลั่นอย่างเสียสติ ก่อนจะลุกวิ่งลงบันไดไป เนตรสิตางศ์มองตาม
“เร็วยัยกรรณ...ผู้หญิงคนนั้นวิ่งลงข้างล่างไปแล้ว”
เนตรสิตางศุ์กระตุกมือกรรณาพาวิ่งตามวิญญาณไพลินลงบันไดไป วรวรรธตกใจ
“เนตร...ระวังตัวนะครับ...เนตร”
พงอินทร์รีบบอก
“รีบตามเถอะครับ”
สองหนุ่มวิ่งตามลงไป...วิญญาณแมนนอนอยู่ ค่อยกลับลุกขึ้นอีกครั้งเป็นวิญญาณที่วนเวียนอยู่กับการตายของตัวเอง ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เนตรสิตางศุ์จูงมือกรรณาวิ่งตามหลังวิญญาณไพลิน ที่วิ่งลอยวูบๆไปแบบวิญญาณจนมาถึงประตูบ้าน...เนตรสิตางศุ์วิ่งตามออกมา วิญญาณหายไป เธอหยุดวิ่งยืนมองหาอยู่หน้าประตูบ้าน กรรณาชะงักหันมาถาม
“หยุดทำไมเนตร”
“หายไปแล้ว”
เนตรสิตางศุ์หมุนรอบตัว มองหา แล้วดุ้งโหยง เมื่อมองไปที่ต้นลำพู เธอชี้ไป
“อยู่นั่น...ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะ...จะผูกคอตาย”
กรรณามองตามไปที่ต้นลำพู ได้ยินเสียงไพลินร้องคร่ำครวญ ขณะที่กำลังยืนอยู่บนเก้าอี้คล้องคอตัวเองเข้าในวงเชือก
“ฮือๆฉันไม่ได้ตั้งใจนะ...พี่แมน...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพี่...รอฉันด้วยนะพี่...ฉันจะไปอยู่กับพี่...พี่แมน...ฉันจะไปอยู่กับพี่...เพชร พลอยแม่ขอโทษ ดูแลรักษาตัวเองดีๆนะลูก ลาก่อน”
วิญญาณไพลินปล่อยตัวเอง เตะเก้าอี้ล้ม
“ว้าย”
เนตรสิตางศุ์สยดสยองหันหลบกอดกรรณาไม่อยากมองภาพนั้น ขณะที่กรรณาแม้ไม่เห็นภาพ แต่ก็ได้ยินเสียง
“ผู้หญิงคนนั้นเขา...เขา...” เนตรสิตางศุ์ตัวสั่น
“ฉันได้ยินแล้ว...ได้ยินลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขา”
วรวรรธกับพงอินทร์วิ่งตามออกมา เห็นสองสาวยืนกอดกันอยู่ เนตรสิตางศุ์เสียงสั่น
“บ้านหลังนี้ เต็มเป็นด้วยความตาย มีแต่กระแสแห่งกรรมที่พวกเขาก่อขึ้น ใครเข้ามาอยู่ ไม่มีทางมีความสุข ชีวิตจะซึมซับกระแสเหล่านี้และจะต้องเจอแต่ความโชคร้าย มีอันเป็นไป”
“ก็ดีแล้วที่ไม่มีใครมาอยู่ ปล่อยให้เป็นบ้านร้างไปแบบนี้แหละ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ายัยช่อเพชรเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านหลังนี้” กรรณาครุ่นคิดสงสัย
แต่แล้วจู่ๆเสียงแหบๆของผู้หญิงแก่ๆสำเนียงจีนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่”
กรรณาตกใจ แต่พงอินทร์กลับทำเสียงตกใจขึ้นมาก่อน
“เสียงใครน่ะ”
กรรณาหันมามองหน้าพงอินทร์
อ่านต่อหน้า 3
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 13 (ต่อ)
กรรณาหันมามองหน้าพงอินทร์
“นายได้ยินด้วยเหรอนายโจ้”
“ผมก็ได้ยิน อย่าบอกว่าผมมีสัมผัสพิเศษเหมือนพวกคุณ สามารถได้ยินเสียงผีเหมือนกัน” วรวรรธหน้าตื่น
“เฮ้ย...หูแตกหรือไง ฉันถามว่าพวกเธอเข้าไปทำอะไรในนั้น” เจ๊แดงซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนั้นโวยวายขึ้น
ทั้ง 4 คนหันไปมอง เห็นหญิงวัยราว 60 เกล้ามวยสูงแบบคนจีนใส่ผ้ากั้นเปื้อนยืนถือตะกร้าใส่ผักหวานที่เก็บจากริมรั้วยืนเท้าเอวชี้มือด่าปาวๆอยู่นอกประตูรั้ว ทั้ง 4 คนโล่งอก
“ไอ้เด็กพวกนี้เนี่ยะ งานการไม่มีทำหรือไง อยากจะมาลองดีท้าพิสูจน์ผีอีกล่ะซิ เตือนไว้ก่อนนะ ว่าที่นี่เฮี้ยนมากนะเว้ย ไอ้วัยรุ่นกลุ่มที่แล้ว เจอผีหลอกวิ่งหนีซะป่าราบ สติสตังเสียจนไปกระโดดคลองซี้ไป 2 คนแล้ว”
พงอินทร์ยิ้มแหยๆ
“เปล่าหรอกครับเจ๊ เราไม่ได้มาท้าพิสูจน์ผีที่ไหนหรอก ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ ชื่อช่อเพชร”
“ว่าไงนะ มาหานังเพชรเหรอ”
กรรณาดีใจความหวังที่ดับไปแล้ว กลับมามีหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทั้ง 4 คนรีบเดินเข้ามาหาเจ๊แดง
“ใช่เจ๊...ฉันเป็นเพื่อนเขา เจ๊รู้จักเหรอ ตอนนี้ช่อเพชรอยู่ที่ไหนคะ” กรรณาถามอย่างมีหวัง
ทั้ง 4 คนมาที่ร้านเตี๋ยวเรือของเจ๊แดงที่อยู่ริมคลอง....เจ๊แดงวางแก้วน้ำเสิร์ฟให้พลางเล่า
“นังเพชมันไม่ได้อยู่ที่นี่หร๊อก มันไปอยู่กรุงเทพตั้งนานแล้ว”
“แล้วบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่เลยเหรอเจ๊ ทำไมปล่อยให้ร้างแบบนั้น” กรรณาถามอย่างสงสัย
“อืม...”
เจ๊แดงทำเป็นนึก พลางใช้เมนูหุ้มพลาสติกแผ่นเดียวพัดๆตัวเอง วรวรรธรู้ทันทีรีบคว้าเมนูมาดู
“เอานี่เลยเจ๊...ชามเด็ดของร้านเจ๊...เล็กแซ่บแดงซ่า 4 ชาม”
เจ๊แดงหันไปสั่งลูกมือที่กำลังลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่หม้อ
“เล็กแซ่บแดงซ่า4...โต๊ะ1”
“ได้เลยเจ๊”
เจ๊แดงก็หันมาตอบอย่างเต็มใจ
“บ้านนังเพชรน่ะมันร้างมาตั้งเป็นสิบปีแล้ว คนแถวนี้น่ะกลัว เขาเรียกกันว่าบ้านผีสิง ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าไปใกล้ แต่ฉันไปเก็บผักหวานผักตำลึงแถวนั้นบ่อยๆก็เลยไม่กลัว”
ทั้ง 4 คนแอบมองหน้ากัน เพราะไปเจอผีในบ้านมาก่อนแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“เอ่อ...ทำไมเรียกว่าบ้านผีสิงล่ะเจ๊ มีใครตายในบ้านหลังนั้นเหรอ” กรรณาแกล้งถาม
“ก็แม่นังเพชไง...นังไพลินน่ะมันผูกคอตายที่ต้นลำพูหน้าบ้าน”
เนตรสิตางศุ์เข้าใจ
“อ๋อ...แม่คุณช่อเพชรชื่อไพลินเหรอ”
“แล้วไม่ใช่นังไพลินคนเดียวนะที่ตายในบ้านหลังนั้น ไหนจะไอ้แมนอีกคน”
“แมน” พงอินทร์พึมพำ
“ก็ไอ้แมนผัวนังไพลินพ่อนังเพชรนั่นไง”
“อ๋อ...แล้วพ่อช่อเพชรตายยังไงเจ๊” กรรณาถามต่อ
“ก็ถูกนังไพลินแทงตายน่ะซิ ไอ้ผัวเมียคู่นี้มันทะเลาะตบตีกันเป็นประจำ จนชาวบ้านเขาเอือม ไม่มีใครอยากจะยุ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะรุนแรงถึงกับฆ่ากันตาย นังไพลินมันก็เลยผูกคอตายหนีความผิดไง”
เนตรสิตางศุ์หน้าเศร้าสลดลง
“พ่อกับแม่มาตายแบบนี้ เฮ่อ...น่าสงสารลูกนะคะ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปกันยังไง”
“นังช่อเพชรมันกลับมาบ้าน เห็นพ่อกับแม่ตาย ก็ช็อกน่ะซิ แต่ก็มีญาติห่างๆมารับมันไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพตั้งแต่นั้น”
ระหว่างนั้นก็มีก๋วยเตี๋ยวเรือ 4 ชามมาเสิร์ฟ เจ๊แดงยิ้มแย้มนำเสนอ
“อ่ะๆลองชิมสูตรเด็ดของเจ๊นะ เบิ้นได้ไม่ต้องเกรงใจ”
“แล้วพลอยล่ะเจ๊”
เจ๊แดงมองหน้ากรรณา
“หื๊อ...นี่เอ็งรู้จักนังพลอยด้วยเหรอ ฉันอุตส่าห์ไม่เล่า”
เจ๊แดงเล่าเรื่องในอดีต...
“นังพลอยมันเป็นน้องสาวนังเพชร แต่คนละพ่อกัน นังไพลินมันเคยเลิกกับไอ้แมนไปทีนึง ไปมีผัวใหม่ จนท้องมีนังพลอยออกมา แล้วมันก็หอบนังพลอยกลับมาอยู่กับไอ้แมนอีก”
พลอยอายุประมาณ 12 ขวบวิ่งหนีขึ้นบันไดชั้น 2 ที่มืดสลัวมา สักครู่ก็มีเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ทั้งหญิงและชายเดินตามขึ้นมา สภาพชั้นบนของบ้านยังมีคราบเลือดของแมนอยู่ที่พื้นและหุ่นโชว์เสื้อผ้า เจ้าหน้าที่ช่วยกันมองหาพลอยที่แอบซ่อนตัวอยู่ตามหลังหุ่นและกองหุ่นโชว์เสื้อผ้า
เจ๊แดงเล่าต่อ
“นังพลอยมันเป็นเด็กมีปัญหานะ สติสตังมันเพี้ยนๆ ญาติๆไม่มีใครเอาไปเลี้ยง พอนังเพชรถูกรับตัวไปเลี้ยง นังพลอยมันก็เลยถูกทิ้งไว้คนเดียวที่บ้าน จนกระทั่งก็ถูกเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์มาเอาตัวมันไปรักษา”
พลอยวิ่งหลบเจ้าหน้าที่ไปมา ดูหลอนๆ เจ้าที่ช่วยกันกั้นดักทาง ไม่ให้หนี จนพลอยต้องซ่อนตัวอยู่ที่กองหุ่นมุมหนึ่ง เจ้าหน้าที่เรื้อกองหุ่นออกส่องไฟฉายไปต้องตกใจ เมื่อเห็นพลอยกำลังนั่งซุกอยู่กับหุ่นตัวหนึ่ง ในมือถือลิปสติกแท่งหนึ่งกำลังเขียนหน้าเขียนตาหุ่นเสียเละแล้วพลอยก็ค่อยๆหันหน้ามามอง หน้าเธอก็ถูกเขียนด้วยลิปสติกจนเละ บริเวณปากถูกวาดจนกว้างเละ เบ้าตาทาด้วยอายชาโดว์จนเขี้ยวช้ำ เธอหันมากรี๊ดสยอง
“อร๊าย”
เจ๊แดงเล่าต่อ...
“ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยได้ข่าวมันเลย เฮ่อ ป่านนี้นังพลอยมันคงอยู่ในโรงพยาบาลบ้าที่ไหนสักแห่ง”
“หรือไม่ก็อาจจะรักษาหายแล้วก็ได้นะเจ๊ ตอนนี้เขาอาจจะแต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่นไปแล้วก็ได้” เนตรสิตางศุ์ออกความเห็น
เจ๊แดงยิ้มพอใจ
“เออ...นังหนูนี่คิดดี ก็ขอให้เป็นอย่างงั้นเถอะ สงสารมัน”
“แล้วช่อเพชรล่ะเจ๊ ไปอยู่กับญาติแล้วไม่เคยกลับมาบ้านเกิดอีกเลยเหรอ” กรรณาถามอีก
“กลับมาทีนึง”
เจ๊แดงพูดนิ่งๆ ทำเอาทุกคนอยากรู้ กรรณารีบถาม
“เมื่อไหร่เจ๊”
“เมื่อปีที่แล้วนี่แหละ มันแวะมาดูบ้านของมัน เห็นว่าอยากจะประกาศขาย แต่มันก็เงียบไป ไม่เห็นกลับมาทำอะไรเลย”
“แล้วเขามากับใครครับเจ๊ มาคนเดียวหรือว่ามีใครมาด้วย” วรวรรธถามบ้าง
“มันมากับผู้ชายคนนึง นั่งรถคันใหญ่บะละฮึ่ม โก้ซะไม่มี ท่าทางผู้ชายคนนั้นคงจะรวยมาก”
พงอินทร์นึกถึงแผนยุทธขึ้นมาทันที
“ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรครับ เจ๊พอจะจำได้มั้ย”
เจ๊แดงส่ายหน้า
“นังเพชรมันก็บอกนะ แต่เจ๊จำไมได้ นังเพชรมันคุยว่าเป็นผัวมันเป็นถึงดอกเตอร์ซะด้วย”
กรรณากับพงอินทร์มองหน้ากันทันที สีหน้าพงอินทร์ฉุนขึ้นมาทันที ต้องใช่แผนยุทธแน่ๆ เจ๊แดงนึกได้
“เอ่อ...เดี๋ยว...แต่ฉันมีรูป”
“เจ๊ถ่ายรูปไว้ด้วยเหรอครับ” วรวรรธแปลกใจ
“ทำไม ทีร้านอื่นในตลาด เวลามีดารงดารา ส.ส. รัฐมนตรีไปกิน ยังถ่ายรูปติดในร้านได้เลย ทำไมร้านฉันจะถ่ายบ้างไม่ได้”
ทุกคนมองไป เพิ่งสังเกตว่าที่ผนังด้านหนึ่งของร้านมีบอร์ดติดรูปลูกค้าถ่ายแปะไว้เต็ม
“เห็นนังเพชรมันคุยว่าผัวเป็นถึงดอกเตอร์ ฉันก็เลยขอถ่ายรูปกับมันไว้ เกิดต่อไปผัวมันดังขึ้นมา มีรูปติดอยู่ในร้านฉัน จะได้ช่วยโฆษณาให้ร้านฉันดังไปด้วย”
กรรณาร้อนใจ
“แล้วรูปอยู่ไหนเจ๊ ขอดูหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้ๆ แปะอยู่ตรงนั้นแหละ”
เจ๊แดงเดินนำทุกคนไปที่บอร์ดติดรูป มองหาชั่วครู่ก็เจอ ชี้ไป
“นี่ไง...เจอแล้ว”
เจ๊แดงชี้ไป...ทุกคนมองจ้องไปที่รูปเป็นตาเดียว เห็นเป็นรูปช่อเพชรกับแผนยุทธยืนประกบเจ๊แดงที่ชู 2 นิ้วซ้ายขวา เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นหน้าของช่อเพชร
“เจ๊แน่ใจนะคะว่านี่คือผัวเอ่อ...สามีของช่อเพชร” กรรณาถาม
“ไม่รู้ซิ ก็นังเพชรมันบอกแบบนี้ มันบอกว่าไอ้หนุ่มคนนี่แหละ ดอกเตอร์ผัวมัน”
ในบ้านกำนันพงษ์...ติณห์กับณัฐเดชช่วยกันประคองตัวไตรรัตน์ที่แม้ว่าจะไม่สลบ แต่ตาลอยราวไร้ชีวิต หมดเรี่ยวแรงกลับมานอนบนที่นอนในห้อง สุคนธรสกับอรวรรณช่วยกันจัดหมอนให้เขานอนสบายๆ ญาณินคิดๆ
“เราคงต้องคอยดูแลนายไตรอย่างใกล้ชิด ระหว่างที่รอให้กำนันพงษ์ช่วยเราคิดหาวิธีรักษานายไตร”
“หมายความว่าเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากรองั้นเหรอ”
สุคนธรสพูดด้วยหน้าตาเหมือนจะทนไม่ได้ จนณัฐเดชต้องเตือนสติ
“รอให้ชัวร์ ดีกว่ามั่วๆรักษาไป เกิดผิดพลาดนายไตรเป็นอะไรขึ้นมา เราจะมานั่งเสียใจกันทีหลังนะรส ใจเย็นๆสักครั้งเชื่อพี่ พี่จะช่วยเราเฝ้านายไตรเอง”
สุคนธรสพยักหน้าน้ำตาซึมๆอย่างยอมเชื่อ
“ค่ะพี่ณัฐ”
“คุณรส..ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ค่ะ สู้ๆค่ะ”
อรวรรณให้กำลังใจแล้วโผกอด สุคนธรสน้ำตาไหล
ติณห์ ญาณิน อรวรรณ เดินออกมาหน้าห้อง อยู่ๆเสียงข้อความจากโทรศัพท์ติณห์ก็ดังขึ้นเป็นชุดติดๆ ติณห์สะดุ้ง ล้วงโทรศัพท์ออกมากดดู ญาณินหยุดมองหน้าซีเรียส อรวรรณชักใจคอไม่ดี หน้าจอโทรศัพท์ มีแต่รูปคู่ติณห์กะเบญจา แนบชิดอริยาบทต่างๆ ติณห์ผงะเงยไปมองญาณินแบบมีพิรุธ
“มีอะไรหรือคะติณห์”
“เอ่อ...น-โน โน ดาลิ้ง...ไม่มีอะไรจ๊ะ”
ติณห์จะเก็บมือถือ แต่ญาณินไวกว่าคว้าโทรศัพท์ไปจากมือเขาซะก่อน
“ขอเสียมารยาทสักครั้งนะคะ”
“เอ่อ...”
ติณห์ได้แต่ตกใจ ขณะที่ญาณินกดดูรูปอย่างเร็ว เห็นถึงกับอึ้งตะลึง พลิกดูรูปทุกรูปยิ่งเดือดปุดขึ้นมาทันที
“นี่น่ะเหรอคะติณห์ที่คุณบอกว่าไม่มีอะไร”
“มันก็แค่รูปถ่าย...แล้วเบญจา เขาจงใจจะถ่ายเองนะ”
“แล้วนอกจากในรูป ก่อนและหลัง มันจะไม่มีอะไรเอาเลยเหรอคะ นี่แค่ออกมาไม่ถึงชั่วโมงต้องถึงกับส่งรูปมาเตือนความหวานกันเลยหรอคะ”
แล้วญาณินก็ต้องชะงักอยู่ที่รูปๆหนึ่ง...เป็นรูปที่ติณห์กับเบญจาถ่ายแบบหน้าชนหน้ากัน ปากยื่นแทบจะจูบกัน ความหึงหวง ความระแวงแล่นเข้าสู่สมองทำลายสติทันที
“นี่น่ะเหรอไม่เต็มใจ นี่น่ะเหรอเสแสร้งแกล้งทำ นี่หรือ เบญจาจงใจถ่ายเอง...มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอคะติณห์” เธอหันรูปในมือถือให้เขาดู “ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
ติณห์หน้าเสีย
“เอ่อ...คุณณินคือผม...”
“คืออะไรคะ คืออะไร เบญจาเขาสวยออก เด็กก็เด็กนะคะ ไม่ได้หน้าเหมือนปลวก”
“ไม่มีอะไรจริงๆคุณณิน ผมถึงไม่อยากให้คุณเห็น ไม่อยากคุณรับรู้ว่าผมต้องทำอาไร มันก็แค่เรื่องงาน มันคือส่วนหนึ่งของแผนการทั้งหมดไม่ใช่หรือ ดาลิ้งขอมือถือผมคืนเถอะ แล้วจะผมอธิบายให้ฟัง”
“พอเถอะ ฉันไม่อยากฟังไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว ฉันเหนื่อย”
ญาณินยัดมือถือใส่อกเขา แล้วเดินหนีไป
“คุณหนู...จะไปไหนคะ...คุณหนู” อรวรรณเรียกไว้
ติณห์ถอนใจอย่างหนักใจ
“ใจเย็นป้าออ ผมจะไปอธิบายกับคุณณินเอง”
“คุณนั่นแหละต้องใจเย็นๆนะคะคุณติณห์ ตอนนี้คุณหนูของป้าเจอทั้งแม่คุณ เจอทั้งยัยเบญจา เจอทั้งผีทั้งคนจนน่วมไปหมดทั้งตัวแล้ว กำลังเครียดมาก พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ คุณต้องค่อยๆพูดนะคะ อย่าใช้อารมณ์”
“โอเคครับป้า”
ติณห์เดินตามญาณินไป อรวรรณยืนถอนใจ
ญาณินเดินดุ่ยๆ หน้ามุ่ยออกมาคนเดียว ติณห์รีบเดินกึ่งวิ่งตามลิ่วออกมาพยายามใช้เสียงเบา
“ดาลิ้ง...ดาลิ้ง”
ญาณินไม่ฟัง เดินหนี
“ดาลิ้ง...ไม่หาย แองกรี้ไออีกเหรอ”
“หยุด” ญาณินหันมายกมือชี้ “ไม่ต้องตาม ใครให้ตาม”
ติณห์สะดุ้งเล็กน้อย เสียงอ่อนลง
“นี่ดาลิ้ง...ก็ผมรู้ว้าคุณแองกรี้ผมน่ะ ผมก็ต้องตามสิ”
“ไม่ต้อง...เข้าใจมั้ยว่าไม่ต้อง”
“นี่ แต่ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจผิดนะ”
“โน...ฉันบอกคุณเมื่อไหร่ว่าฉันเข้าใจอะไรคุณผิด หา...”
“เอ่อ...”
“ไม่ต้องตอบ พอ...แล้วก็ไม่ต้องตามมา”
ญาณินพูดจบหันเดินลิ่วๆหนีไปไกล ติณห์ได้แต่ยืนมองเธอที่เดินลิ่วๆไปสุดทาง เขากลุ้มใจ...ญาณินเดินไปจนพบว่าไปไหนต่อไม่ได้ ก็หงุดหงิดเลยตัดสินใจเดินย้อนกลับมา ติณห์ดีใจเมื่อเห็นเธอเดินกลับมาหา
“ดาลิ้ง...ผมดีใจจังเลยที่คุณ...”
ญาณินชี้หน้า
“ชัทอัพ ชัทอัพ ชัทอัพ”
ญาณินรีบเร่งฝีเท้าเดินสวนให้ผ่านเขาไปให้เร็วที่สุด ติณห์ที่อึ้งๆทีแรก กลับผันเปลี่ยนสายตาเจ้าเล่ห์มีเลศนัยขึ้นมาทันที
ญาณินดิ้นพรวดพราด โดนยกตัวลอยลิ่ว พยายามร้องโวยวาย ติณห์รวบยกตัวญาณินลอยลิ่วๆ จนมาถึงที่มุมหนึ่งที่มีเก้าอี้วางอยู่
“ชัทอัพ...ชัทอัพ...ชัทอัพ” เขาพามาหยุดยืน “ไม่ทราบว่า ชัทอัพพอหรือยังครับ”
ญาณินพยายามดิ้น ร้องไปมา
“หา...” ติณห์ทำเป็นเงี่ยหูมาฟัง “ยังเหรอ”
ญาณินดิ้นๆ
“โอเค ยังก็ยัง...ถ้างั้นก็ต้อง ชัทอัพแบบถาวร”
ติณห์สายตาเจ้าเล่ห์ขึ้นอีก ญาณินงงว่าอะไรอีก ติณห์มองมาที่เก้าอี้ ก่อนทิ้งตัวลงนั่ง เอาตัวญาณินมาพาดนั่งบนตักแล้วดึงหงายหลังลงวืด จนเธอเหวอตกใจไม่ทันตั้งตัว จังหวะนั้นติณห์ก้มลงประทับริมฝีปากทันที ญาณินอึ้ง ตาโต ติณห์เงยศีรษะขึ้นมา แล้วใช้มือปิดปากญาณินไว้
“ชัทอัพที่หนึ่ง”
จังหวะที่ญาณินยังอึ้งงงนั้น เขาก็ก้มลงจุมพิตริมฝีปากไปอีกครั้ง เธอตาลุก ติณห์เงยศีรษะขึ้นมา แล้วใช้มือปิดกลับไปอีกที
“ชัทอัพที่สอง...แอนด์”
ติณห์จะก้มลงไปจุมพิตอีกนั้น ญาณินรีบเบือนหน้าขวับไปทางหนึ่ง
“พอๆ พอแล้ว”
ติณห์ยิ้มพอใจ
“อาว...ออลไร้ท์ พอก็ได้”
ติณห์ยังก้มหน้าจ้องมองตาเป็นประกายนิ่ง
“ก็ปล่อยสิ”
“อ้ะ...โน เรายังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย ยังไม่ปล่อย”
“นี่ ก็บอกว่าไม่...”
“ไม่อะไรครับ ก็คุณเข้าใจผมผิด แล้วก็มาแองกรี้ผม ยังงี้ผมเสียหาย ผมยอมความไม่ได้ คุณก็ต้องฟังผมให้เข้าใจก่อน แล้วผมถึงจะยอมปล่อย”
ติณห์จะก้มหน้าเข้าไปใกล้อีก ญาณินรีบตอบ
“โอเค โอเค”
ญาณินลุกขึ้นมาแต่ยังคงนั่งตักเขาทั้งสองหันหน้ามองออกไปที่วิวเบื้องหน้าคุยกัน ติณห์กอดประคองไว้
“คุณฟังผมนะ ตลอดเวลาที่ผมต้องอยู่ที่รีสอร์ทโดยไม่มีคุณ ผมไม่เคยนอนหลับเลย ผมจะตื่นมาพร้อมกับความทุกข์ทุกเช้า เพราะต้องคิดว่าวันนี้ผมจะทำอย่างไรต่อไปกับเบญจา ทุกครั้งที่ผมทำกับเบญจา สนิทสนมเหมือน...เอ่อ คนที่รักชอบกัน ก็จะมีหน้าของคุณลอยมาเตือนสะกิดใจผมอยู่ตลอด ผมไม่เคยไขว้เขวหรือแม้แต่จะเผลอนอกใจคุณไปได้เลยแม่แต่วินาทีเดียว”
ญาณินอึ้ง หายโกรธ หายงอน กลับมาเห็นใจและรักเขามากยิ่งขึ้น ทั้งคู่สวมกอดกัน
“งั้นเราดีกันนะ”
ติณห์ยื่นนิ้วก้อยมาข้างหน้า ญาณินทำมองๆเฉยๆทีแรก จนโดนเขากระทุ้งๆ สะกิดๆ ก่อนยอมยกขึ้นมาเกี่ยวก้อยด้วย
“ก็ได้” ญาณินยิ้มๆ
ติณห์ยิ้มมีความสุข กอดแน่น ญาณินยิ้มหน้าแดง
ค่ำนั้น มิรันตีเดินยิ้มหน้าบานชื่นมื่น พาแขกพิเศษชาวอาหรับ 3-4 คนเดินไปส่งนั่งที่โถงล็อบบี้ ก่อนขอตัว มิรันตีหันขวับ ตาถมึงทึงเดินกลับมาที่พนักงานสาว 2 คน ที่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมรออยู่ มิรันตีลืมตัวโวยวายเสียงดัง
“โอ้ยนี่ มันอะไรกัน...” เธอนึกได้ พูดเบาลง “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ หน้าให้แต่งจัดๆ แล้วนี่” เธอชี้จิ้มไปที่ชุดของสองสาว คอเสื้อ กระโปรง “ทำไมแต่งซะมิดชิดขนาดนี้โอ้ยๆ...แกไม่เห็นเหรอ ว่าแขกฉันมันระดับไหน นักการทูต นักการเมืองระดับประเทศทั้งนั้น เขาอุตส่าห์บินมาจากเมืองน่งเมืองนอก จะให้เขามาเห็นอะไรที่มันจืดๆแบบพวกแกหรือไง ไป...ไป จัดการมาใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ”
“คะ คุณมิรันตี”
พนักงาน 2 คนรีบเดินไป มิรันตีพยายามสงบอารมณ์เปลี่ยนสีหน้ากลับเพื่อจะไปต้อนรับแขกกลุ่มเดิม ก่อนที่เธอจะหันเดินกลับไป เบญจาเดินตรงเข้ามาอย่างเร็ว
“คุณแม่คะเดี๋ยวค่ะ”
“อะไร” มิรันตีหันมา “อ้าวเบญจา มีอะไรจ๊ะ”
“มีแขกพิเศษโทรมาขอเข้าพักที่เรือนเอ็กซ์คลูซีฟใหญ่สุดของเราค่ะ”
มิรันตีตกใจ
“หา...ไม่ได้สิ ฉันยังไม่ให้ใครเข้าไปใช้ ไม่ได้”
“อ้าว ทำไมละคะคุณแม่ แขกพิเศษคนนี้ เขาระดับ A-List จากไมอามี่อเมริกานะคะ”
“โอ๊ย บอกเขาไปก่อนว่าเรือน...” มิรันตีเน้นเสียง “เอ็กซ์คลูซีฟ มันยังไม่เรียบร้อย ใช้เรือนอื่นไปก่อน จะยังไงๆ จะให้ใครไปใช้ก่อนฉันไม่ได้เป็นอันขาด เข้าใจมั้ย”
“แต่เขายืนยันขอที่พักสุดเอ็กคลูซีฟเท่านั้นนะคะ เขายินดีจ่ายไม่อั้น”
มิรันตีสะดุ้งเล็กน้อย
“นี่เขาเป็นใครมาจากไหน”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงพวกคนงานดังเข้ามา
“เฮ้ยๆ / โอ้โหเว้ย / สงสัยเป็นเจ้าสัวมา / เสี่ยใหญ่ที่ไหนเนี่ย”
มิรันตีชะงัก
“นั่นเสียงเอะอะอะไรเนี่ย ไม่มีมารยาทจริงพวกนี้”
มิรันตีเหมือนจะบอกเบญจาไปจัดการ เบญจาทำนิ่งๆ มิรันตีชะเง้อมองไปข้างนอก เพราะเสียงคนงานครางหือดังขึ้นอีก มิรันตีส่ายหัว
“มันอะไรกันหนักหนานะวันนี้ ไป...ฉันไปจัดการเอง”
มิรันตีเดินบ่นออกไป
มิรันตีเดินออกมาที่หน้ารีสอร์ท เบญจาเดินคล้อยหลังตามมา เสียงคนงานยังอื้ออึงมิรันตีถึงกับผงะ รถเก๋งตอนยาวดำทะมึนแล่นนวยนาดมาเทียบจอดนิ่งพอดีที่หน้ารีสอร์ท กรกฏชายร่างบึกสวมแว่นดำแต่งตัวสไตล์มิลานแฟชั่นวีคใส่สูทมีสไตล์ ผมไถเป็นลายเส้นบนหัวรีบเปิดประตูตอนหน้าลงมาอ้อมมารีบเปิดประตูตอนหลัง เท้าชายลึกลับรองเท้าหนังมันวับก้าวลงมาเขาคือสมคิดที่ใส่ชุดสูทหนังดำเท่ห์สวมสร้อยเงินเส้นโตแว่นดำในมือมีไม้เท้าหัวกะโหลก มิรันตีตะลึงงันแทบทรุดระทวย
“เอ่อ...โอ...” มิรันตีรีบไหว้ “สวัสดีค่ะ...มิสเตอร์”
“คิดส์...รอบบี้คิดส์ ไนซ์ทูมีทยู” สมคิดยื่นมือจะจับ
มิรันตีไม่ยอมจับ ทำหยิ่งๆนิดๆ
“รอบบี้ คิดส์ คุณชื่อ...รอบบี้...นามสกุล...คิดส์ หรือคะ...ไนซ์ทูมีทยูทู เอ่อ...มายเนมอิสแมรี่ แอมอะซิงเกิ้ลเลดี้...แมรี่”
สมคิดถอดแว่นมอง
“แมรี้...แมรี่ อะซิงเกิ้ลเล้ดี้ เป็นสุภาพสตรีที่อยู่ลำพัง ตัวคนเดียวหรือครับ โอ...ทำไมนะ ผมรู้สึกราวกับว่า ได้เคยพบคุณมาแล้ว ทีไหนสักแห่ง ในพื้นพิภพแห่งนี้”
“เมย์บี...อาจจะเป็น...ซัมแวร์...ที่ไหนสักแห่ง...ที่...ยูไนติ้ดสเตท...ออฟอะเมริค่า หรือเปล่าครับ ที่ใด ในนิวยอร์ค...แอลเอ...ซานฟรานซิสโก้...หรือว่า ฟิลาเดลเฟีย” กรกฎพูดช้าๆ ชัดๆ เน้นๆ
สมคิดหันไปตวาด
“ชัทอัพ...กรกฎ อย่ารบกวนความคิดของฉัน ไม่ใช่ๆ...” สมคิดทำท่าคิด “ที่ๆฉันเคยพบสุภาพสตรีผู้นี้...อาจจะไม่ใช่...ในโลกแห่งความจริง แต่...”
มิรันตีชะงัก
“แต่...”
“เป็นโลกแห่งความฝัน...เราต้องเคยพบกันในฝันแน่ๆ หญิงที่แสนเพอร์เฟ็คท์...สมบูรณ์แบบ ทั้งความงาม บุคลิกภาพ และความสามารถแบบนี้ จะมีตัวตนจริงๆได้ยังไง สมควรที่จะอยู่ได้...เพียงในฝัน ของฉันเท่านั้น”
“บ้าจริงๆ ฉันมีตัวตนจริงๆค่ะ นี่...คุณจะมาแกล้งพูดเล่นมุกว่าฉันคือนางในฝันอย่างนั้นหรือคะ...บ้าๆ”
กรกฏหันมาบอกสมคิด
“นายครับ...นางว่านายบ้า”
“กรกฎ คำว่าบ้า...เป็นคำที่ ผู้หญิงไทย จะพูดเวลาที่เขาเขินต่างหากล่ะ”
กรกฎงงๆ
“เขิน...อาย...งั้นหรือครับ”
สมคิดตวาด
“เงียบ...ไม่ต้องออกความเห็น...กรกฎ”
มิรันตีมองหน้ากรกฎ
“อะไรนะคะ...นายคนนี้...ชื่อ...อะไร...นะ”
“กรกฎ...คุณแม้รี่ อย่าไปสนใจมันสิครับ สนใจผมนี่ ผมเบื่อเต็มที ที่จะหาที่พักสบายๆหรูๆ แต่อยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ผมอยากพักผ่อนนานๆ ในสถานที่ๆเหมาะสม ผมเกลียดกรุงเทพ...นิวยอร์ค ลันดั้น ฮองคอง โซล โทเคียว...ไอเฮท บิ๊กซิตีส์ส์ส์...ผมเกลียดเมืองใหญ่ พลีส...เล็ทมีสเตย์อินยอร์เพลส...ได้โปรดให้ผมพักที่นี่เถอะครับ”
สมคิดส่งสายตาคมกริบหวานเฉียบ มิรันตีระทวยเคลิ้มๆถึงกับเซ เบญจมองมิรันตีแววตาพอใจในที
มุมหลังเสาสงบๆมุมหนึ่ง ตรงข้ามบ่อน กรรัมภานิ่งหลับสัปหงกไปมาจนไหลมาหลับที่ไหล่จุนจีที่พยายามเบิ่งตามองบ่อน แต่จับให้เธอนอนสบายๆ ทันใดนั้นมีเสียงเอะอะโวยวาย การ์ดสองคนหิ้วปีกอติเทพออกมาหน้าประตูทางเข้าบ่อน
“เฮ้ย ปล่อย...ปล่อย ใครบอกว่าคนอย่างอติเทพจับเสือมือเปล่า ฉันมีเป็นร้อยๆล้านเว้ย เฮ้ย ปล่อย”
การ์ดหน้าเหี้ยมเหวี่ยงอติเทพปลิวกลิ้งออกมาจ้ำเบ้าที่หน้าบ่อน...จุนจี รีบเขย่าปลุกกรรัมภาตื่น
“คุณแก้ม คุณแก้ม...ตื่น”
จุนจีรีบโผล่ไปมองที่หน้าบ่อน
อติเทพลุกขึ้นจะวิ่งเข้าไปข้างใน โดนการ์ดคว้าขอเสื้อกระชากเหวี่ยงออกมาที่เดิมอีก
“เฮีย อย่าให้ต้องออกแรงเลยน่า กลับบ้านไปซะ”
การ์ดสองคนเดินกลับหายเข้าไปข้างในปิดประตูปัง
“เฮ้ย เดี๋ยวซิโว้ย...เห้ย” อติเทพลุกขึ้นปากระป๋องน้ำอัดลมไล่หลังไป “มองอะไร” อติเทพชี้หน้ากราด “พวกแกจำไว้เลยนะ ข้าอติเทพ อติเทพเจ้าของพีพีพร้อพเพอร์ตี้เว้ย”
อติเทพลุกเดินโซซัดโซเซออกมา จุนจีแอบโผล่มองๆ กรรัมภางัวเงียโผล่ขึ้นมาดูด้วย จุนจีถอนใจส่ายหน้า
“กู้เงิน การพนัน ถลุงเงินทุกรูปแบบเลย...”
กรรัมภางัวเงีย
“ช่าย...จับเลย ปล่อยไว้ไม่ได้” กรรัมภาพูดทั้งๆที่ไม่รู้เรื่อง
รถอติเทพแล่นมาจอดกึกในคอนโดอรวี อติเทพปิดประตูปังเดินฉับๆเข้าไปในคอนโด รถมอเตอร์ไซค์ จุนจีกับกรรัมภา มาจอดกึกอยู่มุมหนึ่ง มองผ่านเข้าไป
“นี่คอนโดคุณย่าคุณเหรอ” กรรัมภาถามอย่างสงสัย
“ผมไม่แน่ใจ มันเล่นการพนันเสียแล้ว...คราวนี้ จะเจออะไรอีกล่ะ” จุนจีอยากรู้อยากเห็น
อติเทพกดลิฟท์ เดินเข้าไป จุนจีกับกรรัมภาถอดหมวกกันน็อค เดินลิ่วเข้าคอนโด มาหยุดยืนมองลิฟต์ที่ไฟไปจอดที่ชั้น 9 จุนจีพึมพำ
“ชั้น 9”
กรรัมภารีบกดลิฟต์ตาม ลิฟต์เปิดพอดี จุนจีดึงกรรัมภาเข้าลิฟต์ไป
“เร็ว คุณแก้ม”
จุนจีกวาดตามองบนแผงกดมีอยู่ 12 ชั้น เลยเลือกกดที่ชั้น 9 แล้วกดปุ่มปิดประตูลิฟท์ แต่ประตูลิฟไม่ปิด ได้แต่ขยับเข้าแล้วเด้งออกอยู่อย่างนั้น เลยกดซ้ำๆย้ำๆอีก
“อ้าว ไม่ยอมปิด” จุนจีกดย้ำๆ
“ลิฟท์เสียหรือ อะไรอีกเนี่ย”
จุนจีกับกรรัมภา ร้อนรนพยายามปิดลิฟท์ให้ได้ พลันกรรัมภามองไปเห็นมือเล็กๆมือหนึ่งจับที่ลิ้นประตูลิฟท์ไว้ เธอตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“อ๋อ รู้ละ”
จุนจีหันมองกรรัมภาจะทำอะไรหรือ กรรัมภารีบเอื้อมมือไปคว้าจับหมับมือน้อยนั้นแล้วดึงพรวดเข้ามา เป็นโกลเดนเบบี๋ที่ร้องหน้าเหวอถูกดึงเข้ามาในลิฟท์
“เว้ย...”
ประตูลิฟต์ปิดทันที จุนจีดีใจ
“เฮ้...ปิดได้แล้ว เยี่ยมมากแก้ม”
กรรัมภาตาเขียวปั้ดก้มมองบางอย่าง จุนจีมองตามงง ไม่เห็นอะไร กรรัมภาเสียงเข้ม
“โกลเดน มายุ่งอะไรที่นี่”
โกลเดนเบบี๋ตัวลีบ
“พี่แก้ม หนู...”
จุนจีงงๆ
“อะไร แก้ม”
โกลเดนเบบี๋โผพรวดไปกดที่แผงลิฟท์เพื่อทำให้ลิฟท์จอด แต่ไม่รู้กดปุ่มไหน เลยกดหมดทุกปุ่ม
“โกลเดน จะทำอะไร...หยุดนะ”
จุนจีหน้าเหวอ งง มองไปเห็นแผงปุ่มลิฟท์ไฟขึ้นเองเป็นตับ พลันลิฟท์ก็เปิดจอดที่ชั้น 4 โกลเดนเบบี๋เลยรีบออกไปยืนดันขวางประตูลิฟท์ไว้เลย กรรัมภาเข้าไปคว้าฉุดออกแรงดึงดันไปมา จุนจีมองหน้าเหวอ งง ตาแตก
“โกลเดน ปล่อยเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เวลามาเล่นนะ พี่กำลังรีบ ปล่อยเร็ว”
จุนจีอึ้งตะลึง
“กะ...แก้ม คุณทำอะไร คุณคุยกับใคร...แล้ว ล-ลิฟท์ เป็นอะไร”
“โกลเดนเบบี๋ค่ะ เจ้ากุมาริกาตัวแสบ...คุณอยู่เฉยๆ เดี๋ยวแก้มจัดการเอง”
“พี่แก้ม หนูขอร้อง..กลับเถอะ อย่าขึ้นไปเลย นะ นะ...เชื่อหนูนะ”
“ไม่...ปล่อยเดี๋ยวนี้โกลเดน”
“ไม่จ๊ะ โกลเดนไม่ให้พี่แก้มขึ้นไป”
“ปล่อย”
“ไม่”
“โกลเดน จะปล่อยหรือไม่ปล่อย”
จุนจีมองไปมา งงๆ
“แก้ม...ใจเย็น คุณ...ให้ผมช่วยอะไรมั้ย”
“ไม่...พี่แก้มกลับไปเหอะนะ”
“ได้ ฉันจะฟ้องยัยรสแม่เธอให้ทำโทษเธอ ยึดไอแพด ยึดตุ๊กตากลับคืนมาทั้งหมด แล้วจะไม่ให้เธอออกไปไหนมาไหนอีก”
โกลเดนเบบี๋นิ่งตะลึง มองกรรัมภาที่หน้าตาจริงจังสุดๆ จนโกลเดนเบบี๋ค่อยๆเบะปากเสียงอ่อน ปนสะอื้น
“ม-ไม่ ไม่นะไม่เอานะ แง...พี่แก้มใจร้ายๆ”
โกลเดนเบบี๋ร้องไห้ขี้มูกโป่งปล่อยมือ ขยี้หูขยี้ตาแงๆ หายตัววับไป ประตูลิฟท์เลยปิดลง จุนจีดีใจ มองกรรัมภาที่หอบเหนื่อยหลังจากเพิ่งออกแรงไป
“แก้ม นี่คุณพูดกับใคร”
กรรัมภาเหนื่อยๆ
“อะไรของเจ้าโกลเดน” กรรัมภาบ่นแล้วหันมาบอกจุนจี “...ค่ะ ไว้แก้มจะเล่าแล้วกัน ต้องอธิบายกันยาว”
จุนจีงงๆ
“โอเค...นี่คุณโอเคดีนะ”
กรรัมภาพยักหน้า
“ค่ะ กรรัมภาสู้ตายถวายติ่ง” แล้วเธอก็นึกได้ ควักโทรศัพท์ออกมา “มานี่เลยค่ะ เร็ว เดี๋ยวถึงละ แก้มยังไม่ถ่ายชุดผ้าโพกหัวนี่เลย”
กรรัมภาโผเข้าไปชิดหน้าจุนจี และกดถ่ายระรัวไม่ยั้ง
“แก้ม เอาอีกแล้วนะ” จุนจีปราม
“น่านะ ขอแก้มชื่นใจเล็กๆน้อยๆ จะได้มีแรงทำงานต่อ”
จุนจียอมยิ้มเล่นหัวถ่ายโพสไปด้วย กรรัมภายิ้มพอใจ
“อุ้ยๆ...ว้ายๆ...เคเค น่ารักฝุดๆเบย”
จุนจีงงๆ
“หา คุณว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ ตามนั้น แค่นี้ล่ะ...พอละ”
เสียงลิฟท์ดัง ตัวเลขลิฟท์ชั้น 9 โชว์หรา ประตูเปิดออก...จุนจีเดินนำออกจากลิฟท์มา สอดส่ายมองหาทางไปห้องอติเทพที่มีทางเลี้ยวไปทั้งซ้ายและขวา กรรัมภามองซ้ายขวา
“ทางไหนละ”
“ไม่ซ้ายก็ขวาแหละค่ะ”
จุนจีหยุดหันมามอง กรรัมภาที่ยิ้มให้กวนๆ
“อันนั้นน่ะผมรู้” จุนจีประชด
โกลเดนเบบี๋ เดินร้องไห้มากอดกรรัมภา
“ทางขวา...แต่หนูไม่อยากให้พี่แก้มไปยุ่งกะเขา พี่ปล่อยเขาไปเถอะนะคะ เขาน่าสงสารมากค่ะ”
กรรัมภาชะงัก
“อะไรนะ...โกลเดน นายอติเทพมาหาใครที่เธอรู้จักงั้นเหรอ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูโครม ตามด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ชายหนุ่มหญิงสาวดังมา อรวี ร่ำไห้ วิงวอน
“พี่เทพ อย่าคะ...หนูขอเถอะ อย่าเอาไป”
“เฮ้ย...อีนี่ บอกว่าขอยืมๆก่อน พูดไม่รู้เรื่องหรือไง” อติเทพตวาด
“ไม่ค่ะ...พี่เทพ อย่าเอาไป”
จุนจีกับกรรัมภา ที่กำลังจะเดินตรงไปถึงกับผงะ เมื่อเห็น อติเทพพรวดพราดออกจากห้องมา แล้วมีอรวี โผล่ตามออกมา ยื้อแย่งของบางอย่างจากอติเทพ จุนจีกับกรรัมภาเลยรีบผลุบถอยมาแอบเข้าหลืบมุม กรรัมภากระซิบเบาๆ
“เลขาคนนั้นนี่...สองคนนี้อยู่ด้วยกัน เป็นไปได้ยังไง”
“นี่มันอะไรกัน” จุนจีกระซิบเบาๆอย่างไม่เข้าใจ
“โกลเดน เธอรู้อะไรมา บอกมา...เธอรู้จักยัยอรวีเหรอ ทำไม ยังไง ทั้งหมดนี่มันคืออะไร” กรรัมภาคาดคั้น
“อรวีไม่ผิดๆ เขาน่าสงสารมาก...เขาต้องอดทนมามากแค่ไหน ไม่มีใครรู้หรอก...พี่แก้มอย่าทำอะไรเขานะคะ”
อติเทพหันไปตวาดอรวี
“เฮ้ย ปล่อยสิวะ...อยากเจ็บตัวนักหรือไง ปล่อย”
“ไม่ค่ะ”
“อยากใช่มั้ย เฮ่ย”
อติเทพเหวี่ยงหลังมือเข้าที่หน้า อรวีหน้าหัน
“อร๊าย”
อรวีเซถลาล้มกองกับพื้นอติเทพรีบเดินลิ่วไปที่โถงลิฟท์
“คุณอติเทพ...คุณมันย่ำแย่จนตรอกถึงขนาดมาเอาสร้อยที่คุณให้ฉันตอนวันวาเลนไทน์คืนเลยเหรอ...คุณมันเกินเยียวยาแล้วนะ”
อติเทพเลี้ยวมา จุนจีกับกรรัมภาที่กำลังจะโผล่ไปดูอีกทีรีบกลับมานั่งผลุบยองๆก้มหันหน้าเข้าข้างฝา อติเทพเดินผ่านลิ่วไปกดลิฟท์ หันมามองทั้งสองผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนเดินหายเข้าไปในลิฟท์ จุนจีกับกรรัมภาเกร็งขมิบกันสุดๆ ค่อยๆหันไปมองๆที่ลิฟท์ เสียงสะอื้นร่ำไห้ของอรวีดังครางแว่วมา
“โกลเดน...บอกมา เราไปรู้จักยัยอรวี หรือคนพวกนี้มาแต่ชาติปางไหน” กรรัมภาคาดคั้นอีก
โกลเดนเบบี๋หายไปแล้ว กรรัมภาหน้าเหวอ
“อ้าว...หายตัวไปซะละ โกลเดนๆ” กรรัมภาหันมา เห็นอติเทพไปแล้ว “ว้าย...นายอติเทพลงไปแล้วมันลงไปแล้วค่ะ รีบตามไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน”
จุนจีนิ่งอึ้งไปถอนใจส่ายหน้าเบาๆ กรรัมภาดึงมือเขาลุกขึ้นจะไปที่ลิฟท์ จุนจีรั้งดึงไว้ทำหน้าเบื่อ เซ็งๆสุดๆ
“แก้ม...ผมว่าพอเถอะ แค่นี้ผมว่าผมเห็นอะไรต่ออะไรจนรู้ซึ้งกับนายคนนี้แล้ว...นะ”
กรรัมภาตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึง
“เอ่อ...ค่ะ”
จุนจีถอนใจ
อรวีสะอื้นพาตัวเองเข้าห้องปิดประตูไป เธอทรุดลงนั่ง ปิดหน้าร้องไห้ โกลเดนเบบี๋มายืนดู แล้วเอามือไปลูบหัวๆ แต่อรวีไม่รู้ตัว
จุนจีกับ กรรัมภา ค่อยๆเยี่ยมหน้ามาดูจากมุมโถงหน้าลิฟท์สีหน้าสลดใจเล็กน้อย ก่อนหันจะเดินกลับกันไปที่ลิฟท์ พลันลิฟท์เปิดออก สมชายเดินพรวดออกมา กรรัมภาที่เดินนำหน้าจุนจีไปถึงกับผงะ ถอยหมุนตัวจะหนีจนไปสะดุดเท้าจุนจี พากันล้มลงไปที่พื้น กลายเป็นจุนจีนอนหงายเค้เก้ส่วนกรรัมภาล้มทับคร่อมบนตัว สมชายตกใจสะดุ้ง หยุดมองๆ จุนจีมองผ่านศีรษะกรรัมภาไปเห็นหน้าสมชายมอง เลยรีบใช้มือจับหน้ากรรัมภาบังหน้าไว้จนดูเหมือนวินมอเตอร์ไซค์สองคนกำลังจูบกัน สมชายรู้สึกสะอิดสะเอียนบ่นเบาๆกับตัวเอง
“นี่มันคอนโดส่วนตัวนะคุณ...ขึ้นมาได้ยังไงกัน เดี๋ยวผมแจ้งรปภ.เลย...ลงไปเร็ว”
จุนจีกับกรรัมภาถึงสะดุ้ง
“ครับๆ ไปแล้วครับ”
สมชายเดินลิ่วไปทางห้องอรวี จุนจีกับกรรัมภา มองหน้ากันเอาไงดี รีบลุกขึ้น
สมชายมาเคาะประตูห้อง โกลเดนเบบี๋ยังดูแลอรวีอยู่ เธอมีทีท่าดีใจ รีบเปิดประตูห้องออกมา เพราะคิดว่าเป็นอติเทพกลับใจ
“พี่...”
อรวีสีหน้าผิดหวังทันที เมื่อเห็นเป็นสมชาย โกลเดนเบบี๋มองหน้าสมชาย
“อ้าว...อรวี...เป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ...ช-เชิญค่ะ”
อรวีก้มๆรีบเช็ดๆหน้าหลีกทางให้สมชายเดินเข้าไป สมชายหันไปมองที่โถงหน้าลิฟท์ เห็นคู่ วินมอไซค์หายกลับลับเข้ามุมไป
“ยังไม่ไปกันอีกไอ้พวกนี้”
สมชายเดินเข้าห้องไป ประตูห้องปิดลง...จุนจีกับกรรัมภา สุมหัว หลบอยู่ข้างผนังโถงหน้าลิฟท์ ประหลาดใจปนฉงน
“ยัยเลขาอรวี...อะไรกัน...เห็นเงียบๆชายเพียบนะคะ”
“คุณพูดแบบนี้ แปลว่า...อะไร”
“ก็แปลอย่างที่พูดนั่นแหละ”
สมชายมองหน้า เครียดๆส่วนโกลเดนเบบี๋ ก็เดินดูไปรอบๆตัวสมชาย
“ร้องไห้ทำไม ไอ้คุณอติเทพ...มันมาทำอะไร”
อรวีหลบตา
“เปล่า...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“อย่ามาปิดฉันนะ มันมาทำร้ายร่างกายหรือไง หา”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย แค่...แค่...”
“แค่อะไร”
“เขามาเอาทองไป...อาจจะเอาไปจำนำใช้หนี้ หรืออะไรสักอย่าง”
สมชายชะงักแปลกใจ
“หา...คุณอติเทพอับจนขนาดนั้นแล้วเหรอ”
“หนูผิดเอง...ที่...หนูทำให้คุณจักรเซ็นเอกสารไม่สำเร็จสักที” อรวีร้องไห้อย่างหนัก
โกลเดนเบบี๋ปรามสมชาย
“พอแล้วนะ อย่ารังแกอรวี อย่าดุเขา อย่าทำร้ายจิตใจเขาอีกเลย คนใจร้ายอย่างคุณ...ทำไมชอบกดดันคนที่อ่อนแอไม่มีทางสู้กันนักนะ”
สมชายมองๆ แววตาสลด สมเพช ในที่สุด เข้ามา ดึงตัวเธอไปกอด ลูบหลัง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ อดทนอีกนิดนะ อีกไม่นาน...ทุกอย่าง จะประสบความสำเร็จแน่ๆ”
โกลเดนเบบี๋มองอย่างสงสัย ว่าสิ่งที่รอให้สำเร็จนั้น มันคืออะไร
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 13 (ต่อ)
ติณห์ปิดประตูรถปัง เดินหน้าเครียดถือถุงข้าวของชอปปิ้งเต็มสองมือ เดินตรงมาที่เรือน
“ติณห์คะ”
ติณห์หันมา
“เอ่อ...เบญจา”
“พี่ติณห์หายไปไหนมาทั้งวันคะ เบญจามารอตั้งแต่เช้า เดินหาทั่วก็ไม่เจอ ใจไม่ดีเลยไม่เห็นพี่ติณห์” เบญจาเขามาเกาะแขน “เบญจาคิดถึ้งคิดถึง เห็นรูปเราที่เบญจาส่งไปแล้วใช่มั้ยคะ”
“อะ...ออ รูป ครับๆ ได้แล้ว”
“เหรอคะ เป็นไงคะ ชอบมั้ย ยังมีอีกตั้งหลายรูปแน่ะ”
“อ้อ...มะไม่ต้อง เอ่อ ชอบครับชอบสิ...แต่อย่าเพิ่งส่งมาดีกว่า เพราะโทรศัพท์ผมรับรูปอะไรอีกไม่ได้แล้ว”
“ว้า...”
“นี่ ดูนี่สิผมไปช้อปปิ้งมา” ติณห์ยกถุงของในมือทั้งสองให้ดู “นานๆจะได้ไปช้อปทั้งที...นี่ ผมมีของมาฝากเบญด้วยนะ เพียบเลย ผมยังคิดอยู่เลยว่า เอ...รู้อย่างนี้น่าจะชวนเบญไปด้วย เผื่อผมจะได้ออกแรงถือของมากกว่านี้อีกหน่อย”
“แหมๆ เม้าท์...ไม่รู้ล่ะ วันหลังพี่ติณห์ต้องสัญญานะ ว่าจะแก้ตัว พาเบญไปช้อปด้วย”
“เย้...แอบโซลูทลี่ เบนจี้...สัญญาจ๊ะ”
ติณห์จะก้าวเดินไปในบ้าน เบญจายื้อแขนไว้ ติณห์ชะงัก
“แต่ตอนนี้...เบญจาจะพาพี่ติณห์ ไปเจอกับแขกพิเศษคนหนึ่งค่ะ”
ติณห์งงๆ
มิรันตีพูดคุยหัวเราะสนุกสนานได้ ที่กับสมคิดหน้าแดงระเรื่อหยอกเอินกันเบาๆทั้งสองยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่ง
“คุณก็ดูเอาเองก็แล้วกัน...ที่พักนี่ มันยังไม่คอมพลิทถิด ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก โคมไฟของดีไซเนอร์ยังไม่มาถึง แล้วม่าน ก็ยังไม่ใช่ตัวจริง แอนด์และพื้นพรมที่ฉันสั่งก็ยังทอไม่เสร็จ ฉันรู้สึกไม่สบายใจที่จะรับแขก”
“โอ้...ทั้งหมดที่คุณกล่าวมา มันไม่เป็นปัญหาเลยนี่ครับ พรมกับม่านและไฟ เท่าที่เห็นอยู่นี่ผมรับได้หมด ผมไม่สนใจเรื่องสิ่งของหรอกครับ ผมสนใจ...คน มากกว่า”
กรกฏแทรกขึ้น
“เพราะว่า...ถ้าเป้าหมายของเราอยู่ที่ไหน เราก็สนใจที่นั่น”
สมคิดหันไปตวาด
“ชัทอัพ”
มิรันตีสงสัย
“อะไรนะ...นายกรกฏ เขาหมายถึงอะไรคะ เป้าหมาย”
“เป้าหมายของรอบบี้ คิดส์....คือ แอล โอ วี อี...ไงครับ”
“เลิฟ...ความรัก” กรกฏเสริม
มิรันตีหัวเราะ
“เครซี่จริงเชียว นี่คือการพูดเล่นสนุกๆใช่ไหมคะ”
“ไอแอมโซซีเรียส...ผมจริงจัง เป้าหมายของผม...ไม่ใช่แค่ ความรัก แต่ คือเรียลเลิฟ รักแท้ แม้ใครจะเคยพูดว่า มันไม่มีจริงหรอก ผู้หญิงชอบผม เพราะผมรวย แต่ผมไม่เชื่อ ผมเชื่อในสัญชาติญาณของผมมากกว่า ผมกำลังตามหาใครบางคน และคนๆนั้น ก็กำลังรอคอยผมอยู่”
สมคิดยกแก้วไวน์ส่งสายตาหวาน มิรันตียกขึ้นมาชนสบตาหวานเยิ้มกลับ
“ยูอาร์เวรี่โรแม้นติก เบบี้”
“ยูอาร์...เวรี่...แฟนตาสติก...เบบี้”
มิรันตีเขิน กรกฏ หันมา เห็นอะไรบางอย่าง ตาวาว เบญจาพาติณห์เดินมาถึง ตรงทิศทางที่กรกฏมองอยู่ ติณห์มองงงๆ สงสัยในตัวกรกฎ ที่จ้องหน้าตนอยู่ แต่ยังไม่เห็นหน้าสมคิด
“มอมมี้คะ...คุณติณห์มาแล้วค่ะ”
มิรันตีหันมา เห็นติณห์ หยุดท่าทางระริกริกรี้
“อา...มายซัน...ติณนี่...คัมเฮียพลีส”
สมคิดที่หันหลังอยู่ก็หันเพียงหางตาไปข้างหลัง
“ติณห์...ลูกมารู้จัก แขกพิเศษ ที่มอมมี้อยากให้ลูกช่วยเทคแคร์หน่อยจ้ะ”
ติณห์มองๆก้าวเดินเข้าไปใกล้
“สวัสดีครับ”
สมคิดค่อยๆหันหน้ามา
“สวัสดีครับ”
ติณห์ตะลึงงัน สมคิดชะงักเล็กน้อย แล้วค่อยๆทำตาใส ซื่อ เป็นมิตร ยิ้มกว้างเหมือนเกิดมาเพิ่งเจอกันครั้งแรก...สมคิดหันมายิ้มยื่นมือมาให้ติณห์ที่ยืนนิ่งเป็นหิน
“ไฮ...สายัณห์สวัสดิ์ครับ คุณ ชื่ออะไรนะฮะ ผมฟังไม่ถนัด”
กรกฏแทรกขึ้น
“ตอ.อี.นอ..ตีน ใช่ไหมครับ”
มิรันตีรีบขัด
“ชัทอัพจ้ะ...กรกฎ ติณห์ค่ะ ลูกชายฉัน ชื่อติณห์...ตอ.เต่า.สระอิ..ณ.เณร..ห.หีบ การันต์...อ่านว่า ติณห์ สั้นๆ อย่าทำเสียงยาวเด็ดขาด นี่คุณรอบบี้แขกพิเศษของเราจ้ะ”
สมคิดยิ้มสดใส
“ติณห์...เป็นชื่อที่ดีมากๆครับ เพราะมาก ฟังดูแมนมากๆ แปลว่าอะไรครับ”
ติณห์ยังมองเหมือนโดนผีหลอก มิรันตียิ้มแย้มบอก
“แปลว่ากล้าแข็ง หรือแหลมคม...ยังไงคะ เป็นชื่อที่เหมาะกับผู้ชายมากๆจริงๆด้วย”
“เกรท...มายเนมอีสคิดส์...รอบบี้ คิดส์ ทำไมคุณมองผมอย่างนั้นหรือว่า คุณคิดว่าผมเหมือนใครสักคนหรือเราเคยเจอกันมาก่อน หรือในความฝันของคุณหรือไงครับ”
“อุ๊ย...จะไม่ดีมังคะ ถ้าคุณรอบบี้จะมาเป็นชายในฝันของติณห์น่ะ” มิรันตีหัวเราะคิกๆ
“ผมพูดเล่น...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
สมคิดยื่นมือไปใกล้ ยิ้มทักทายเป็นมิตร ติณห์ที่เหมือนโดนสะกดค่อยๆยื่นมือมาจับช้าๆ
“ไนซ์ทูมีทยู...มิสเตอร์...คิดส์”
“เรียกผมว่ารอบบี้ดีกว่า ตกลงเราเคยพบกันหรือเปล่าครับ”
กรกฏแทรกอีก
“เมย์บี อินยุไนติดเสตท...ออฟอะเมริก้า”
สมคิดตวาด
“ชัทอัพ”
ติณห์มองตาสมคิด
“ถ้าคุณมั่นใจว่า...คุณไม่เคยรู้จักผม ผมก็ไม่น่าจะเคยรู้จักคุณเช่นกัน นะครับ”
มิรันตีหัวเราะ
“รอบบี้เขาเพิ่งมาเที่ยวเมืองไทยเป็นครั้งแรกจ้ะลูก ตั้งใจมาเที่ยวที่นี่โดยเฉพาะ บินมาจากไมอามี่ฟลอริด้าเลยนะ”
“ย๊า...ไอดูเลิฟดีสเพลสเวรี่เวรี่มัช”
“เขาเป็นเจ้าของสถานีเคเบิ้ลใหญ่ที่อเมริกาตอนใต้จ้ะ”
สมคิดยิ้มๆผงกศีรษะให้ติณห์ยังตะลึงไม่หาย มิรันตียิ้มปลื้มมาก เบญจามองยิ้มพอใจ
ติณห์เดินหลบมามุมหนึ่งในรีสอร์ทยกโทรศัพท์ขึ้นโทร
“ญาณิน”
ญาณินเดินมาคุยที่มุมหนึ่งในบ้านกำนันพงษ์กดโทรศัพท์ขึ้นรับเสียงแข็งๆงอนๆ
“ค่ะว่าไง”
“ดาลิ้ง...ผมมีเรื่องสำคัญ ด่วนมากนะ”
“เบญจาเขามีอะไรสนุกๆมาท้าทายคุณ...หรือคะ”
“ไม่ใช่เบญจา หมอสมคิด”
ญาณินหน้าตื่น
“หา...ใครนะคะ”
“มันเป็นหมอผีสมคิดแน่ มาพักที่รีสอร์ท มา...ทำท่าเหมือนจะสนใจมอมมี้ผม”
ญาณินคิดรวดเร็ว
“หรือว่า...เรื่องทั้งหมดนี้ เขาคือ คนที่ชักใยอยู่คะติณห์”
“ดาลิ้ง...เราทุกคนต้องเตรียมตัวตั้งรับอย่างเวรี่ๆซีเรียสลี่แล้วล่ะ มันทำเหมือนไม่รู้จักผม และใช้ชื่อใหม่ เป็นคนใหม่ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า...ผมก็ควรจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่ามันเป็นใครมาจากไหนเหมือนกันและคุณกับเพื่อนๆคุณก็ต้องทำอย่างนี้ด้วยเข้าใจนะ เราต้องหาตัวช่วยแล้วล่ะ จะเอาหลวงลุงของสุคนธรส หรือกำนันพงษ์หรือใครดี...เพราะลำพังพวกเรา ผมว่ายาก” ติณห์มองรอบๆ ระแวงๆ “เอาละ...ผมแค่นี้ก่อนนะมิสยูจุ๊บๆ”
“ค่ะบาย” ญาณินวางสายครุ่นคิด
“สมคิดเหรอ...เป็นไปไม่ได้”
ญาณินอึ้งกังวลใจ
จุนจีกับกรรัมภาเปลี่ยนชุดแล้ว นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก จุนจียกน้ำขวดดื่มแก้กระหายไปมา กรรัมภาถอดถุงมือที่สวมอยู่ออกเพราะรู้สึกร้อนเหนียว
“นายอติเทพ มันเป็นคนเลวมาก” จุนจีโพล่งออกมา
“นั่นสิ คุณไม่น่าต้องไปข้องแวะกับคนพวกนี้เลย”
“คนพวกนั้นร่วมสมคบคิดกันหลอกลวงคุณย่า ที่คุณย่าพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือให้ผมช่วยหาความยุติธรรม...ที่แท้ก็เพราะคนรอบล้อมตัวท่าน ใครคนนึง...หรือทั้งหมดนั้น มันคือฆาตกร”
พลันเก้าอี้โต๊ะที่อยู่ใกล้คนทั้งสองไหวไปมา จุนจีกับกรรัมภา มองรอบๆ รู้สึกถึงบางอย่างขึ้นมา ร่างพิมพ์พิลาศปรากฏตัวขึ้น สีหน้าโศกเศร้า สะอื้นไห้คร่ำครวญโหยหวน
“ทำไม...ทำไมเทพถึงทำกับพี่อย่างนี้ เทพใจร้ายที่สุด เทพหักหลังพี่ทำไม ทำไม”
จุนจียกมือขึ้นจับที่หูร้องโอดโอยขึ้นมา กรรัมภาตกใจ รีบเข้าไปจับประคองตัวเขาที่โงนเงนไปมา
“จุนจี คุณเป็นอะไร...จุนจีคะ”
“อ๊าค...โอ๊ย ผม...ผม...อ๊าก”
กรรัมภาตัดสินใจถอดถุงมือ จับที่มือจุนจีทันที ทันใดนั้นราวกระแสไฟฟ้ากระตุกร่าง กรรัมภาได้ยินเสียงพิมพ์พิลาศคร่ำครวญดังชัดเจนขึ้นมาทันที
“จักร หลานต้องช่วยย่า...หลานต้องจัดการไอ้พวกทรยศนี้ทั้งหมดให้ย่า”
จุนจีลงไปดิ้นร้องโอดโอย กรรัมภาไม่รู้จะทำยังไง
“แต่ คุณนายควรปล่อยจุนจีเขาก่อนเถอะคะ จุนจี...เขาเจ็บนะคะ”
พิมพ์พิลาศตกใจ
“ปล่อย...ปล่อยยังไง จุนจีต้องช่วยย่าๆ”
จุนจีร้องลั่น
“อ๊าก...”
กรรัมภาโดดเข้าจับพิมพ์พิลาศ
“ปล่อยเขา...หยุดร้องโวยวาย หยุดพยายามตะโกนกรอกหูเขาไงคะ เขาเจ็บ คุณเข้าใจไหม...คุณพิมพ์พิลาศ คุณอาละวาดแค่ไหน จุนจีก็เจ็บปวดแค่นั้น พอได้แล้ว พอที”
“จุนจี...ทำไม...จุนจี...ย่าขอโทษ ย่า...ย่าขอโทษ”
พิมพ์พิลาศสงบลง หันไปสนใจหลาน ความเกรี้ยวกราดค่อยๆลดลง แล้วความน่ากลัวค่อยๆเลือนไป ภาพย่า ค่อยๆสวยงามขึ้น ทันใดนั้นจุนจีอาการค่อยๆสงบลง หอบๆ
“ฮือ...โอย ดีขึ้นละๆ “เขาสูดหายใจลึกๆ “แต่เมื่อกี้ผมเป็นอะไร ย่าทำอะไรผมเหรอ ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อท”
“คุณย่าคุณ ท่านไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ ท่านไม่ทราบว่าถ้าท่านระบายความเกรี้ยวกราด โกรธแค้นออกมา แรงแค่ไหน ก็มีผลกับคุณมากแค่นั้น”
พิมพ์พิลาศมองกรรัมภา เริ่มรู้สึกดีกับเธอกว่าเดิม กรรัมภาเข้ามาประคองจุนจี
“จุนจี รู้สึกยังไงมั่งคะ ตอนนี้”
จุนจีกระพริบตา มองหน้ากรรัมภางงๆ
“ผม...หายแล้ว ปกติ” เขาเอามือจับหัว หู คลำอก “ทุกอย่างปกติ”
กรรัมภาถอนใจ โล่งอก
“คุณพิมพ์พิลาศคะ กรุณาเถอะนะคะ” กรรัมภาพนมมือ “พยายามตั้งสติ อย่าเอะอะโวยวายบ่อยๆนะคะ เพราะจุนจีเขาสื่อกับอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงของคุณได้”
พิมพ์พิลาศอึ้ง
“อะไรนะ ความรู้สึกของย่า จุนจักรรับรู้ รู้สึกได้ งั้นเหรอ”
“ตั้งแต่แรกเลยค่ะ...แปลกจัง คล้ายๆกับฉันเลยค่ะ ฉันสัมผัสแล้ว จะรู้สึกร่วมกับวิญญาณได้...ที่แท้ จุนจีก็รับสื่อแบบนี้ได้ด้วย แต่อาจจะรับได้เฉพาะจากคุณย่าของตัวเอง ไม่ใช่กับวิญญาณทั่วๆไป”
“ลอง...ขอฉัน คุยกับเขาหน่อยสิ ได้ไหมจ๊ะ”
พิมพ์พิลาศยื่นมือมา กรรัมภาเอื้อมมือไปแตะด้วย เธอตั้งสมาธิ ให้ใจสงบแล้วเอื้อมมือมาหาจุนจีที่มองงงๆ แล้วเข้าใจ แปะมือกับกรรัมภา พิมพ์พิลาศเริ่มสงบ สีหน้าปนเศร้า
“จุนจี...ย่าไม่เคยคิดจะทำร้ายหลาน แต่ย่าแค่ขอให้หลานช่วยย่า ย่าไม่มีใครเลย ตอนเป็นคน ก็ตัวคนเดียว เพราะพ่อแม่และหลานจากไป แล้วตอนนี้เมื่อตายแล้ว ก็เป็นวิญญาณที่โดดเดี่ยว ไม่มีใครเลย ไม่เหลือใครอีกแล้ว หลานไม่ต้องรักย่าหรอก แค่สงสารย่าก็พอ”
กรรัมภาสงสารย่า สื่อความรู้สึกไปให้จุนจี เขารับความรู้สึกที่จริงใจได้ทุกอย่าง ท่าทางค่อยๆอ่อนลง
“คุณย่า...ผม...ผมเสียใจ ผมขอโทษ ที่ตอนแรก ผม...ผมหยาบคายมากๆ”
“หลานทำถูกแล้ว ย่าสิ ที่ต้องขอโทษ สำหรับทุกๆอย่าง”
“คุณย่า...คงทรมานมาก ใช่ไหมครับ”
“ความทรมาน มันคู่กับย่ามาตลอด ตั้งแต่หลานจากไป ย่าเป็นทุกข์เพราะความคิดของตัวเองมาตลอด มีทิฐิ ย่าผิดเอง ย่าไม่ดีเอง”
กรรัมภารู้สึกเศร้าไปด้วย จนน้ำตาคลอ จุนจีสีหน้าเมตตา
“พรุ่งนี้...ผมจะไปทำบุญให้คุณย่านะครับ เผื่อว่า...วิญญาณคุณย่า...จะรู้สึกดีขึ้น”
พิมพ์พิลาศตื้นตัน
“ขอบใจ ขอบใจ...จุนจี กรรมของย่า ย่าจะต้องพยายามแก้ด้วยตัวย่าเอง”
กรรัมภายิ้มออกมา ทั้งน้ำตา
“แล้ว...เรื่องคนพวกนั้น...คุณย่าไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่ให้ฆาตกรลอยนวลไปได้”
“จุนจี หลาน...หลานพูดจริงเหรอ”
“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมไม่รู้ว่ามันสำเร็จแค่ไหน แต่ผมอยากให้ย่ารู้ว่า ย่าไม่ใช่คนหรือวิญญาณ ที่ไม่มีใครเลย ย่ายังมีลูกหลานที่จะทำบุญไปให้ที่จะจับคนที่มันทำกับคุณย่าทุกคนให้ได้ครับ”
“ก่อนอื่นคุณพิมพ์พิลาศต้องลดความพยาบาทก่อนนะคะ ทางโลกพวกเราจะจัดการตามกฎหมายค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ” กรรัมภาแนะ
จุนจี กรรัมภา พิมพ์พิลาศ ซาบซึ้ง สะเทือนใจ ปลื้มปีติ ไปด้วยกัน
รปภ มาเคาะที่ประตูอย่างร้อนรน สักครู่อรวีเปิดประตูอออกมา เห็นเป็นหัวหน้า รปภลูกน้องยืนพร้อมอุปกรณ์ Tablet
จอมอนิเตอร์จากกล้องวงจรปิดที่โต๊ะ รปภ. มีภาพของจุนจีกับกรรัมภาในมุมต่างๆ รปภ. กำลังกดเปลี่ยนไปมาให้ อรวีมายืนดูข้าง สีหน้างงๆ ว่าใคร หรือพวกโจรที่ไหน
“มอไซค์วินสองคนนี่ละ”
“ช่วยกลับไปดูภาพแรกหน่อยค่ะ” อรวีบอก
รปภ.เปลี่ยนภาพไปกล้องแรก อรวีชี้ไป
“นี่ละค่ะ ช่วยหยุดภาพ หรือขยายภาพให้ดูหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ นี่ครับ”
รปภ. หยุดภาพ และซูมภาพให้ อรวีเพ่งพินิจมองดู พลันสีหน้าตกตะลึงหน้าซีด เงียบนิ่งคิดไม่ถึง
อรวีกระสับกระส่ายไปมา อยู่ที่โซฟาห้องรีบยกโทรศัพท์กดโทรออก อติเทพที่กำลังนั่งจิบเบียร์เย็นสบายใจอยู่ เห็นเป็นอรวีทีแรกว่าจะไม่รับ จนรำคาญยกกดรับตวาดดุ
“อะไรอีก...ทำไม จะทวงของคืนรึไง”
อรวีสะดุ้ง
“เปล่า เปล่าคะ ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่เทพ พี่เทพคะฟังอรวีก่อน...มีเรื่องใหญ่ค่ะ คุณจักรกับผู้หญิงคนนั้นปลอมตัว สะกดรอยตามพี่ พี่ไม่รู้ตัวเลย ใช่ไหมคะ”
อติเทพตกใจ
“หา...อะไรนะ”
อตเทพฟังอรวีเล่าๆ ตกใจทวนคำนึกๆ
“มอเตอร์ไซค์วิน”
อติเทพนึกถึงตอนที่เจอจุนจีกับกรรัมภา ตอนเดินเข้าร้านอาหาร...ทักจุนจี กับกรรัมภา หน้าห้องเฮียกุ่ย...หันมอง จุนจีกับกรรัมภา ที่หน้าลิฟท์คอนโดผ่านๆ อติเทพหน้าเคียดแค้น อารมณ์ขึ้นทันที
“เป็นมันสองคนจริงๆใช่มั้ย...บัดซบ มันกล้ามาเหยียบจมูกฉันเหรอ” อติเทพลุกพรวด “เฮ้ย...รีบไปจัดการสั่งสอนมันซะ จะไปทำยังไงก็ได้ ได้ยินมั้ย”
อติเทพวางสายอาฆาตสุดๆ
กรรณาเดินเข้ามาภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง กำลังมองหาน้ำหนึ่งซึ่งเธอนัดเอาไว้ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่า พงอินทร์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขายกมือทักกวนๆ
“ไฮ้ ดาร์ลิ้งก์”
“นาย...”
กรรณาไม่อยากเสียงดังในร้าน จึงระงับคำแล้วเดินบึ่งเข้าไปที่โต๊ะ
“ผมสั่งอาหารไว้ให้แล้ว ทานได้เลย”
“นายมาเสนอหน้าที่นี่ได้ยังไง”
“คิดว่าจะแอบมาเจอกับน้ำหนึ่งสองต่อสองโดยที่ผมไม่รู้ได้เหรอ...ไม่รู้ซะแล้วว่า ผมกับน้ำหนึ่งน่ะลึกซึ้งกันขนาดไหน”
กรรณาชะงัก คอแข็ง
“ทุเรศ กินในที่ลับ แล้วเอามาไขในที่แจ้ง เป็นคนแบบนี้เองเหรอ”
“คุณคิดอะไร...ต้องคิดเรื่องทะลึ่งแน่ๆ ผมหมายความว่า ผมรู้นิสัยน้ำหนึ่งดีแล้วก็พอจะ เดาได้ว่าเขาเป็นคนซับซ้อน จนเราต้องช่วยกันตีความว่าเวลาเขาพูด หรือทำอะไร มันแปลว่าอะไรกันแน่”
“พูดจากำกวม...แบบนี้อย่าเที่ยวเอาฉันไปพูดล่ะ ว่าลึกซึ้งกันอะไรทำนองนี้น่ะ”
น้ำหนึ่งเดินเข้ามาพอดี พงอินทร์รีบบุ้ยไปที่หน้าร้าน
“น้ำหนึ่งมาแล้ว”
กรรณาเลยต้องระงับกิริยา น้ำหนึ่งเข้ามายิ้มแย้ม
“ขอโทษด้วยนะคะที่มาสาย พอดีเตรียมเอกสารการประชุมติดพันอยู่ค่ะ...เป็นยังไงบ้างคะ ไปประจวบได้อะไรเพิ่มเติมมาบ้าง”
“คุณรู้...” กรรณาหันจ้องพงอินทร์
“เอ่อ...เราก็คุยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลบ้างไรบ้าง น้ำหนึ่งเต็มใจที่จะบอกเราทุกอย่าง ที่น้ำหนึ่งทราบ ใช่ไหมจ๊ะ เอ๊ย...ใช่ไหมครับ”
“ถ้าหนึ่งช่วยอะไรโจ้ได้ หนึ่งยินดีช่วยเต็มที่ค่ะ” น้ำหนึ่งทำหน้าหวานๆ ปนเศร้าใส่พงอินทร์ แล้วหันมาทำหน้าขรึมจริงจังกับกรรณา “มีอะไรที่คุณกรรณาอยากถามหนึ่งหรือคะ”
พงอินทร์มองน้ำหนึ่ง พอดีเธอหันมาสบตา เขายิ้มให้แววตาอ่อนโยนแบบให้กำลังใจ ไม่ได้ตั้งใจทำให้กรรณาหึงเลยแม้แต่นิด กรรณาดันมองเห็น แล้วหึงขึ้นมาเอง รีบเมินไป แล้วสะกดใจ หันมามองแต่หน้าน้ำหนึ่ง และถามอย่างจริงจัง
“คุณทราบไหมคะ ว่าเกิดโศกนาฏกรรมอะไรกับครอบครัวคุณช่อเพชร”
น้ำหนึ่งทำหน้างงซื่อๆ ตกใจๆ
“โศกนาฏกรรมเหรอคะ”
“ถ้าตรงไหนไม่ตรงกับความจริง คุณช่วยบอกด้วยนะคะคือฉันทราบมาว่า...คุณช่อเพชร เป็นคนบ้านแตก แม่แทงพ่อตาย แล้วแม่ก็ผูกคอตายตามแล้วคุณช่อเพชรก็ต้องไปอาศัย กับญาติ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเลี้ยงดูดีแค่ไหน อ้อ...เขามีน้องสาวคนละพ่อด้วย ชื่อพลอยเป็นคนสติ ไม่ค่อยจะดี พอพ่อแม่ตายก็ไม่มีใครอยากเอาไปเป็นภาระก็เลยน่าจะถูกส่งไปอยู่ โรงพยาบาลจิตเวช”
น้ำหนึ่งได้ฟังเรื่องราว ถึงกับตัวสั่น น้ำตาคลอๆขึ้นมาพงอินทร์ตกใจ
“หนึ่ง...เป็นอะไร...”
น้ำหนึ่งปาดน้ำตา กลบเกลื่อน
“หนึ่งสงสารคุณช่อเพชร มิน่าเขาถึงไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ครอบครัวให้หนึ่งฟังเลย”
กรรณาเล่าต่อ
“เอ่อ...แล้ว...คุณช่อเพชรกับเจ้านายคุณ ดอกเตอร์แผนยุทธ...ก็แอบคบกิ๊กกัน”
น้ำหนึ่งตะลึง
“อะไรนะ ไม่นะ...ไม่จริง”
กรรณายื่นมือถือที่ถ่ายจากรูปของเจ๊แดงมาอีกที
“คุณช่อเพชรเป็นภรรยาน้อยของดอกเตอร์ แผนยุทธ มีการพากันกลับไปสวีทที่บ้านที่ประจวบด้วยนะจนคนแถวนั้นเขารู้กันทั่ว ว่าดอกเตอร์คือสามีของช่อเพชร...รู้ทั้งรู้ว่าเขามีภรรยาแล้วก็ยังไปยุ่งด้วยอีก...หรือจะเป็น เพราะนางเคยมีวัยเด็กที่โหดร้าย นางเลยสติสตังค์เพี้ยนจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีก็เป็นได้”
“ดอกเตอร์แผนยุทธเนี่ยนะคะจะนอกใจภรรยา พี่สาวคุณ...ทั้งสวย ทั้งดี ไม่ใช่หรือคะ โจ้”
น้ำหนึ่งหันไปกอดแขนพงอินทร์เฉยเลย
“ความสวย ความดี...ช่วยอะไรไม่ได้หรอกหนึ่ง ไอ้แผนยุทธมันสร้างภาพ ปากดีว่ารัก ครอบครัวไปอย่างนั้นแหละครับจริงๆแล้วมันบ้ากามมาก...แล้วที่พี่พิมต้องตายก็เป็น เพราะมันสองคน วางแผนกันฆ่าพี่พิม เพื่อจะได้รักกันอย่างเปิดเผยบนทรัพย์สมบัติ ของพี่พิม” พงอินทร์พูดแค้นๆ
น้ำหนึ่งมองหน้าเขา
“นี่โจ้กำลังจินตนาการเอาเองหรือเปล่าคะ”
“ผมก็สันนิษฐานบนพื้นฐานความน่าจะเป็น...พอพี่พิมตาย ช่อเพชรก็หายไปมันคงจะรอ เวลาให้เรื่องสงบ แล้วค่อยกลับมา...” พงอินทร์สะเทือนใจ “คอยดูผมจะไม่มีวันยอมให้พวกมันมี ลอยนวลเด็ดขาด...ผมไม่ยอมให้พี่พิมตายเปล่าผมจะต้องเอาพวกคนชั่วมารับกรรม ให้ได้” พงอินทร์น้ำตาไหลออกมา
กรรณาหันไปมองปรามๆ
“โจ้...ระงับอารมณ์หน่อย ไม่ต้องบิ๊วโชว์สาวมากนักหรอก”
พงอินทร์ฉุนกึก
“อะไรนะ คุณพูดแบบนี้ได้ไง กรรณา”
น้ำหนึ่งมองพงอินทร์อย่างเห็นอกเห็นใจ เข้าไปกอดไว้
“หนึ่งเข้าใจโจ้ หนึ่งเห็นใจโจ้นะคะ...ถ้าเป็นอย่างนั้น...หนึ่งจะช่วยทำอะไร บอกมาเลยค่ะ หนึ่งยินดี ถึงหนึ่งจะไม่รู้อะไรมาก แต่จะให้หนึ่งร่วมค้นหาอะไร ก็บอกมานะคะ”
กรรณามองอึ้งๆ
มิรันตีกระวนกระวาย ลุ้นๆ ขณะที่เบญจาใช้ไอแพดเข้ากูเกิ้ลค้นประวัติของรอบบี้ คิดส์
“เจอแล้วค่ะ”
“รีบอ่านให้ฉันฟังสิว่าคุณรอบบี้ เป็นใครมาจากไหน มีประวัติด่างพร้อยอะไรหรือเปล่า เร็วๆ”
เบญจามองมิรันตีประมาณว่าอยากรู้มากขนาดนี้เชียวหรือคะ มิรันตีรู้ตัวว่าเยอะเกิน เลยทำฟอร์มๆ เก็บอาการ
“ฉันอยากรู้เพราะถ้าเขาเป็นคนไม่ดี เช่น พ่อค้ายาข้ามชาติ ก็จะได้จัดการ”
“อ้อ ค่ะ...ตั้งใจฟังนะคะ มิสเตอร์รอบบี้ คิดส์ เป็นนักธุรกิจชาวไทยที่ไปลงทุนทางธุรกิจ ในสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจหลากหลาย ที่สำคัญคือสถานีเคเบิ้ลทีวีแล้วยังเป็นผู้ก่อตั้ง มูลนิธิรอบบี้ คิดส์ เพื่อช่วยเหลือเด็กยากไร้ในประเทศโลกที่สามด้วย”
“ช่วยเหลือเด็ก...หล่ออ่ะ...” มิรันตีรีบฟอร์มๆวางท่า “ก็ดี ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ว่าต่อสิ...เขามี ครอบครัวยัง”
มิรันตีลุ้นมาก
“ครอบครัว...อืม มีแล้ว”
มิรันตีอึ้ง
“ไม่จริง”
“แต่...ความรักจบไปหลายปีแล้ว เพราะทัศนคติที่แตกต่าง”
“ทัศนคติที่แตกต่าง โอ...ช่างน่าสงสาร เขาคงเป็นคนที่มีความลุ่มลึกเกินกว่าที่ ผู้หญิงดาดๆ เปลือกๆ พื้นๆ ธรรมดาๆ จะเข้าใจได้ เขาจึงต้องการแสวงหา โซลเหมด หรือ วิญญาณที่เหมาะสมกันหรือเนื้อคู่นั่นเอง”
เบญจาคิดตาม
“โอ้...วิญญาณที่เหมาะสมกัน ฟังดู...น่าสนใจมากค่ะ”
“วิญญาณที่เหมาะสมกับคุณร้อบบี้ น่าจะเป็นผู้หญิงที่ผ่านโลกมามาก เข้าใจชีวิต...ฉลาด มีจินตนาการณ์ และเซ็กซี่...เธอว่าไหม เบญจี้”
เบญจาชะงัก
“หือ”
มิรันตีจ้องหน้า
“ว่าไง...ตอบมาตามตรงเลยและฉัน...ก็คูล แอนด์แมทชั่ว และเวรี่เซ็กซี่ เธอว่าไหม ฉันเจ๋ง เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ฉลาด และเซ็กซี่ ใช่ไหมๆ”
อยู่ๆสมคิดเข้ามาจากทางด้านหลังของมิรันตีพูดเสียงลุ่มลึก
“ไฮ...เซ็กซี่”
มิรันตีตกใจ หันกลับมามอง
“คุณรอบบี้ ตะกี๊...คุณทักฉัน หรือทักเบญจาคะ ที่ว่า...ไฮ...เซ็กซี่น่ะ”
“ผมจะไปทักเบญจาแบบนั้นได้ไงเด็กคนนี้ยังเด็กมาก...หาความเซ็กซี่อะไรไม่เจอเลย แล้วนี่กำลังทำอะไรกันหรือครับ”
สมคิดชะโงกดูในคอม มิรันตีรีบกดปิดหน้าจอ
“ไม่มีอะไรค่ะ...เรากำลังปรึกษางานอะไรกันนิดหน่อย ไฮ...เซ็กซี่ มีอะไรให้รับใช้ เมย์ไอเฮลป์ยูไหมคะ เซ็กซี่”
สมคิดยิ้มหวาน
“ผมชอบ...ให้คุณเรียกผมยังงี้จัง”
“ก็...คุณอยากเรียกก่อนทำไม ฉันก็เรียกคุณบ้างสิคะ เราจะได้หายกัน...เซ็กซี่ๆ ฮิๆ”
เบญจาอมยิ้ม สมใจ
น้ำหนึ่งแปลกใจ...
“จะให้หนึ่งโทรหาคุณช่อเพชร”
พงอินทร์พยักหน้า
“หนึ่งยังติดต่อกับช่อเพชรอยู่ใช่มั้ย”
“ก็...ใช่ค่ะ หนึ่งมีเบอร์โทรศัพท์เขาอยู่”
“เราต้องการเจอตัวช่อเพชร...เขาต้องรู้อะไรเกี่ยวกับการตายของคุณพิมอรแน่ๆ ไม่งั้นเขาคง ไม่โทรศัพท์มาขู่ฉันหรอก จริงมั้ย” กรรณาน้ำเสียงจริงจัง
“หนึ่งช่วยผมได้มั้ย อ้างเรื่องงานหรืออะไรก็ได้ หลอกให้ช่อเพชรมาเจอผม”
น้ำหนึ่งหนักใจ
“คุณช่อเพชรเป็นคนเข้าถึงยาก หนึ่งไม่แน่ใจ”
“ลองดูก่อนได้มั้ยครับ” พงอินทร์อ้อนวอน
น้ำหนึ่งตัดสินใจ
“ก็ได้...หนึ่งจะพยายามช่วยโจ้นะ”
“ขอบคุณมากครับหนึ่ง”
พงอินทร์กับน้ำหนึ่งมองกันอย่างเข้าอกเข้าใจ ให้กำลังใจกัน น้ำหนึ่งหยิบมือถือมากดโทรศัพท์หาช่อเพชร ระหว่างรอสายก็ยิ้มสบตากับเขาตลอด กรรณาอึ้งที่อยู่ๆสวีทกันสองคนซะงั้น
มิรันตีเดินแนะนำบริเวณต่างๆในรีสอร์ทให้กับสมคิดทราบ
“ใช่ค่ะ...ที่คุณเห็นทั้งหมด เป็นฝีมือคุมงานก่อสร้างของฉันเองค่ะ”
“เรียลี่...ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างคุณคุมงานก่อสร้างรีสอร์ทระดับนี้คนเดียว โอ้ว ยู อาร์ โซ อะเมซซิ่งแอนด์คูลเกิร์ล...ช่างหายากเหลือเกิน ผู้หญิงที่เปี่ยมพลัง ลึกซึ้งและสมาร์ท ผม...เซอร์ไพร้ซ์มากเลยหรือว่า ผมฝันไปอีกแล้ว นี่คุณมีตัวจริงใช่ไหม”
“มีสิคะ คุณไม่ได้ฝันไปหรอก ไม่เชื่อ ลองหยิกตัวเองดูสิคะ”
“ผมอยากหยิกคุณมากกว่า...เซ็กซี่”
มิรันตีเขิน
“บ้าๆ”
ทั้งสองหัวเราะ มิรันตีมองไปเห็นรถลีมูซีนของสมคิด ตะลึงทึ่งในรถ โดยที่มีกรกฏอยู่ประจำรอรับใช้แถวนั้น สมคิดมองอย่างรู้ทัน
“ชอบเหรอครับ”
มิรันตีปลื้ม
“รถคุณสวยมาก”
“เอาไว้วันไหนเราไปนั่งรถเล่นกันดีมั้ยครับ หรือถ้าคุณอยากไปไหน ใช้รถผมก็ได้นะครับ” สมคิดกวักมือเรียกกรกฏ “คัมๆ กอ.รอ.กอ.ดอ...มานี่นอกจากคุณจะใช้รถแล้ว ถ้าอยากจะ ใช้งานอะไรเขาก็ใช้ได้เลยนะฮะ เขาเป็นคนสนิทผม เป็นแขนเป็นขา เป็นทุกอย่างให้ผม ลองใช้มันสิครับ สั่งงานมัน อะไรก็ได้ รับรอง มันจะรีบทำให้คุณทันที”
มิรันตีสั่งทันที
“กอ.รอ.กอ.ดอ. ไหนลอง...ถอดเสื้อซิ”
กรกฏรีบถอด มิรันตีหน้าตื่น
“ว้ายๆ สต๊อปๆ ฉันล้อเล่นน่ะ บ้าเหรอ ฉันจะไปกล้าใช้อะไรเธอบ้าๆแบบนั้นล่ะ”
สมคิดยิ้มๆ
“ยูอาร์เวรี้ฟันนี่ เซ็กซี่...กอ.รอ.กอ.ดอ.จำไว้นะ ถ้าคุณแมรี่อยากใช้งานอะไรแกก็ตาม หรือจะใช้รถไปที่ไหน จะขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกก็ตาม แกต้องรับใช้เธอให้สาสมด้วยนะ”
“ครับนาย” กรกฏรับคำ
มิรันตียิ้มหวานเยิ้มให้สมคิด
“คุณสวี้ทมากค่ะ...คุณรอบบี้”
ขณะเดียวกันนั้น พนักงานหญิงถือร่มกันแดดเข้ามากางให้
“มากางให้ฉันทำไม กางให้คุณรอบบี้สิ” มิรันตีดุ
สมคิดยิ้ม
“ผมเป็นคนบอกให้เขาเอาร่มมากางให้คุณเอง แดดเมืองไทยแรงเกิน จะเป็นอันตรายต่อ ผิวหนังที่อ่อนไหวบอบบาง และงดงามเฉกเช่นดอกกล้วยไม้ราคาแพงของคุณ นะครับ”
มิรันตีเขิน
“บ้าๆ เขามีแต่เจ้าของรีสอร์ทดูแลแขก แต่นี่กลายเป็น...คุณดูแลฉัน”
สมคิดยิ้มให้มิรันตี หันมาหาพนักงาน ยื่นแบงก์พันให้ใบนึงเป็นทิป มิรันตีตาโตงงๆ
“ทิปเหรอคะ”
สมคิดยิ้มกว้าง
“ครับ”
“หนึ่งพันบาทเลยเหรอคะ”
“เรามีมากเราก็ให้เขามากหน่อย ถือว่าแบ่งๆกันไปใช้...แต่ผมไม่ได้แจกทุกคนนะครับ พวกที่งอมืองอเท้ารอเงินตกจากฟ้า ไม่ได้เงินผมแน่ผมแจกเฉพาะคนที่ตั้งใจทำงานและมี ความสุขกับงานที่ตัวเองทำจริงๆเท่านั้น”
“โอ้มายก็อด ยูโหน๋ว ฉันก็คิดเหมือนกันเลยค่ะ คุยไปคุยมาเราสองคนนี่ทัศนคติตรงกัน หลายอย่างเลยนะคะ”
“มิน่าผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับคุณมาก เซ็กซี่”
ทันใดนั้น หลวงพิชัยภักดีโผล่แว่บเข้ามา เห็นสมคิดจากด้านหลัง
“แหม นังมิรันตี เห็นผู้ชายรวยหน่อยระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำเชียว” หลวงพิชัยภักดีพยายามมองหน้า แต่ไม่เห็นเต็มๆตา “ไอ้นี่มัน...ใคร”
หลวงพิชัยภักดีแว่บไปโผล่ตรงหน้าสมคิดกับมิรันตี แล้วก็ต้องตะลึง ร่างของหลวงพิชัยภักดีไหวๆเหมือนภาพล้ม
“ทำไม...ทำไมตัวเรามันหวิวๆยังไงไม่รู้ เหมือนกับเจอ ความชั่วร้ายเลวทราม มากๆ”
สมคิดกับมิรันตีเดินผ่านไป
“เราไปทางนั้นดีมั้ยครับ ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับคุณ...ส่วนตัว”
หลวงพิชัยภักดียังยืนอึ้ง งง
น้ำหนึ่งรอสายอยู่ ลดมือถือลง ไม่มีคนรับสาย
“เข้าฝากข้อความ ครั้งที่สิบเก้าแล้ว”
“เขาอาจจะไม่เห็นก็ได้ โทรอีกๆ” กรรณาบอก
“หนึ่งว่าเขาเห็นแต่ไม่รับมากกว่า”
“งั้นยิ่งต้องโทร โทรให้รำคาญ เดี๋ยวทนไม่ได้ก็ต้องรับสายเองแหละ...โทรๆ” กรรณาแนะ
พงอินทร์คิดๆ
“หนึ่งโทรอีกทีเดียว ถ้าเขาไม่รับอีก ก็ฝากข้อความไว้แล้วกันครับ”
“ค่ะโจ้”
“เฮ้ย ทำไมล่ะ...” กรรณาจะแย้งอีก
พงอินทร์สวนทันที
“หนึ่งต้องกลับไปทำงาน เรารบกวนเวลาของหนึ่งมากไปแล้ว มีความเกรงใจบ้าง”
กรรณาจะโวย พงอินทร์เสียงเข้ม
“เงียบ”
พงอินทร์ทำท่าว่าเดี๋ยวเสียงเข้ามือถือ กรรณาจำต้องหุบปาก น้ำหนึ่งรอสาย ยังคงไม่รับเหมือนเคย เธอสายหน้าแล้วฝากข้อความ
“คุณช่อเพชรเหรอคะ น้ำหนึ่งนะคะ พอดีว่า...คุณแผนยุทธซื้อของขวัญมาฝากคุณน่ะค่ะ คุณสะดวกเข้ามารับเอง หรือจะให้หนึ่งจัดส่งไปให้ที่ไหนดีคะ รบกวนติดต่อกลับหนึ่งด้วยนะคะ”
น้ำหนึ่งวางสาย
“ถ้าคุณช่อเพชรติดต่อมาเมื่อไหร่ หนึ่งจะรีบโทรบอกโจ้ทันทีเลยนะ”
“โทรบอกฉันก็ได้นะ” กรรณารีบบอก
“ใช่ หนึ่งสบายใจที่จะโทรหาใคร...ก็โทรได้เลยครับ”
“โจ้อ่ะ...เอ่อ หนึ่งกลับไปทำงานก่อนดีกว่า”
พงอินทร์ขยับจะไปส่ง น้ำหนึ่งขัดขึ้น
“ไม่เป็นไร หนึ่งกลับเองได้ โจ้ไปส่งคุณกรรณเถอะ...ไปนะ”
น้ำหนึ่งเดินเลี่ยงหนีออกไปจากร้าน พงอินทร์ยิ้มส่งจนน้ำหนึ่งออกไปจากร้านลับตา แล้วจึงหันมาหากรรณาที่เผลอจ้องเขาด้วยความหมั่นไส้ แบบลืมตัว
“สายตาแบบนี้ ผมรู้นะว่า คิดอะไรอยู่”
กรรณาได้สติ รีบทำกลบเกลื่อน
“มองอะไร...ฉันก็คิด คิดแค่ว่า นายกะน้ำหนึ่งเลิกกันได้ไงนะ ออกจะเข้าใจกันทุกอย่างขนาดนี้”
พงอินทร์อึ้ง
เบญจาเดินถือถาดผลไม้ออกมา กำลังจะเอาไปต้อนรับสมคิด แต่ติณห์ตามเข้ามาทางด้านหลัง โอบไว้ทำสวีท
“น่ากินจัง...”
เบญจาชะงัก
“คุณติณห์...ทำอะไร”
“ผมหมายถึงผลไม้ เบญจี้จะเอาไปให้ใคร ให้ผมหรือเปล่า”
“ผลไม้ของมิสเตอร์รอบบี้ คิดส์ค่ะ”
“วัท...แล้วทำไมไม่ให้คนอื่นยกไป ทำไมต้องคุณด้วย ผมไม่ยอม คุณจะไปสนิทสนม เอาใจเขาหรือ...ทำไม หรือมอมมี้ใช้คุณ ไม่ควรนะ เด็กๆมีเยอะแยะ ทำไมต้องมาใช้คุณ หรือว่า...คุณเอง อยากไปรับใช้เขาหรือคุณรู้จักเขา...หรือเปล่าครับ”
อยู่ๆหลวงพิชัยภักดีโผล่แว่บมาตรงหน้าติณห์
“ไอ้ติณห์...ปัทโธ่ มัวแต่มาหลงเสน่ห์นังนี่อยู่ได้ มันมีคนแปลกๆมาอีกคนแล้ว ข้ารู้สึกไม่ดีมากๆเลย”
แต่ติณห์กับเบญจาไม่สนใจอะไรหลวงพิชัยภักดีเลย ทันใดนั้นเสียงมิรันตีแปร๋นมาแต่ไกล
“ติณห์ มาอยู่นี่เอง แม่อยากจะคุยอะไรด้วยหน่อยนะ จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องของแม่คนเดียว หรอก ของมิสเตอร์รอบบี้ด้วย”
ติณห์หันไปมองสมคิดที่เดินตามหลังมิรันตีเข้ามา หลวงพิชัยภักดีรีบบอก
“นี่ไง หมอสมคิด เอ็งจำมันได้ใช่มั้ย”
แต่ติณห์กลับเข้าไปทักสมคิดอย่างสนิทสนมกันเอง จับมือพูดจาสุภาพมากๆ
“สวัสดีครับ...ร้อบบี้ สบายดีไหมครับ วันนี้อากาศร้อนนะครับ มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ ผมยินดีทุกอย่าง ไม่ต้องเกรงใจเลยนะฮะนึกซะว่า เราเป็นคนกันเอง เคยรู้จักกันมานาน”
หลวงพิชัยภักดีตะลึง ช็อค
“เฮ้ย”
“อื่ม...ไอแฮฟอะลิตเติ้ลไอเดีย ผมมีความคิดใหม่ๆดีๆบางอย่าง อยากจะปรึกษาคุณติณห์ หน่อยครับ”
ติณห์กอดคอสมคิด ชวนกันไปคุยอีกด้าน
“นี่เอ็งจะดีกะทุกคน ที่ข้าอยากจะเตือน ว่ามันมีสัญญาณอันตราย แต่เอ็งไม่ฟังข้าเลย เอ็งโดนยาเสน่ห์ซ้ำซากไปอีกแล้วหรือไง” หลวงพิชัยภักดีเซ็งจัด
อ่านต่อตอนที่ 14 / 17.00 น.