สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 15
บ้านพักของเบญจา...สมคิดผลักประตูห้องน้ำขนาดใหญ่ มีอ่างแบบลอยตัว อยู่กลางห้อง
ติณห์ที่อุ้มเบญจาเดินมากับมิรันตีพากันหยุดมองแปลกใจ สมคิดเดินนำมาหยุดยืนที่อ่างอาบน้ำที่บัดนี้มีน้ำอยู่เต็มอ่าง ใช้ไม้เท้าเคาะไปที่อ่าง
“วางเบญจาลงไป”
ติณห์มองอย่างสงสัย
“หึ อย่าบอกนะว่ายูจะใช้วิธีนี้แก้พิษ”
“บอกให้วางก็วางลงไปเถอะน่า ไม่ต้องถามมาก” สมคิดดุ
มิรันตีหันมามองหน้าลูกชาย
“หรือว่าแกอยากจะลงไปในอ่างด้วยตาติณห์”
“หึ มุกมัมก็ไม่ตลกเลย”
ติณห์วางเบญจาหย่อนลงไปในอ่างที่มีน้ำเย็นยะเยือกอยู่อย่างช้าๆ ทันทีที่ตัวสัมผัสน้ำ เบญจาก็สะดุ้งเฮือก ตาเบิกโต มือยึดแขนติณห์ไว้ตอนนั้นเองที่ติณห์นึกถึงคำของหลวงพิชัยภักดีแว๊บขึ้นมา
“ไหนๆนังเบญจาก็กำลังเจ็บหนักแกก็ลงมือกำจัดมันซะ…กำจัดมันซะ…กำจัดมันซะ...กำจัดมันซะ...”
ตาติณห์นิ่งคิดเหมือนตกอยู่ในภวังค์กดตัวเบญจาลงไปในอ่างช้าๆ... แต่แล้วติณห์ก็ต้อง สะดุ้ง เมื่อหัวไม้เท้าหัวกะโหลกตีหน้าอกเขาเบาๆ
“ถอยไป”
ติณห์หันกลับไปก้มลงมองเบญจาในอ่าง เห็นว่าเธอยังคงนั่งแช่อยู่ในอ่างอย่างดี
“เฮ้ยู ไอบอกให้ถอยไป ไม่ได้ยินหรือไง แมรี่...ยูพาลูกชายออกไปก่อน ปล่อยให้ เป็นหน้าที่ของไอจะช่วยถอนพิษให้เอง”
“ติณห์ลูก...ไม่ต้องห่วงเบญจาหรอก อยู่ก็เกะกะเปล่าๆ ออกไปก่อนเถอะ”
มิรันตีดึงแขนติณห์ไป พลางหันมาบอกสมคิด
“ฉันจะออกไปรอหน้าห้องนะคะ ถ้าต้องการอะไรหรือว่าเกิดอะไรขึ้นตะโกนเรียกได้ เลยนะคะ ฉันจะรีบเข้ามาทันที”
มิรันตียื่นมือไปจับแขนสมคิดบีบ ติณห์เห็นอย่างนั้นก็รีบดึงมือมิรันตีกลับทันที
“มัมๆ ไหนบอกว่าอยู่ก็เกะกะเค้า รีบออกไปเถอะมัม”
“แหม ทียังงี้ล่ะมาเร่งๆ” มิรันตีหันไปยิ้ม “ฉันออกไปก่อนนะคะ ซียูอะเกน”
“ระหว่างที่ผมถอนพิษให้เบญจา ห้ามใครเข้ามารบกวนเด็ดขาด...เข้าใจนะครับ”
สมคิดปิดประตูปั้งทันที ติณห์หันไปมองที่ประตู...อยากรู้เหลือเกินว่าร็อบบี้จะรักษาเบญจายังไง
พงอินทร์เดินมาที่หน้าออฟฟิศ หน้าตาเลือดร้อน เจอพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ด้านหน้ากำลังต่อสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล...คุณแผนยุทธคะ อัยการนทีโทรมาค่ะ รับสายมั๊ยคะ...ค่ะ...เดี๋ยวคุณ แผนยุทธโทรกลับนะคะ”
พนักงานวางสายเสร็จหันมาที่พงษ์อินทร์
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ”
“บอกคุณแผนยุทธ ว่าน้องเขยมาขอพบครับ”
พนักงานมองตื่นๆ
วิญญาณช่อเพชรนั่งผมปิดหน้าปิดตาเฝ้าแผนยุทธอยู่ไม่ห่าง แผนยุทธนั่งหน้าตาหมองคล้ำ เพราะถูกผีตามมานาน กำลังถือหูโทรศัพท์ โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
“น้องเขยเหรอ...หึ...บอกมันว่าฉันไม่ว่าง”
แผนยุทธวางกระแทกหู นั่งขบกรามโกรธ
“มันจะมาทำไมวะ”
วิญญาณช่อเพชรเข้ามาปลอบประโลม สองมือจับประคองหน้าเขา
“ไม่ต้องกลัวนะคะที่รัก ถ้าใครมาทำอะไรคุณ ฉันจะปกป้องคุณเอง”
แผนยุทธรู้สึกเย็นวาบที่หน้า สะดุ้งลุกขึ้นปัดพัลวันจนข้าวบนโต๊ะของกระจาย
“โว้ย...อีผีบ้านี่ก็เหมือนกัน จะตามกูไปถึงไหน เมื่อไหร่จะไปให้พ้นๆกูซะที”
พงอินทร์ผลักประตูผัวะเข้ามาในห้องทำงานแผนยุทธ โดยมีเสียงห้ามของพนักงาน สาวที่ตามมา
“เข้าไม่ได้นะคะคุณ...เข้าไม่ได้”
แผนยุทธที่กำลังนั่งจับขมับอยู่ที่โต๊ะทำงาน เงยหน้าขึ้นมองพงอินทร์ไม่พอใจ
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ฉันบอกว่าฉันไม่ว่างเจอแก”
“แต่ผมเจอคุณช่อเพชร”
แผนยุทธหยุดกึก วิญญาณช่อเพชรก็โผล่ลอยเข้ามาทันที พงอินทร์มองหยัน
“หึๆ พี่อยากรู้แล้วล่ะซิ ว่าผมเจอคุณช่อเพชรที่ไหน”
“แกจะบอกก็บอกมาเถอะน่า อย่ามาเล่นลวดลายกับฉัน”
“จะให้บอก พี่ก็ยอมรับมาก่อนซี ว่าคุณช่อเพชรเป็นเมียเก็บของพี่”
“ไอ้เวรเอ้ย มันจะมากเกินไปแล้ว แกเอาอะไรมาพูด”
“ปากแข็งแบบนี้ เห็นทีต้องเชิญคุณช่อเพชรออกมาแล้ว”
แผนยุทธกวนๆ
“ไหน...ช่อเพชรมาเหรอ...ไหน...ช่อเพชรอยู่ไหน”
วิญญาณช่อเพชรมีท่าทางโกรธ คำรามในคอ
“ฮึ่ม”
พงษ์อินทร์ล้วงเปิดกระเป๋าหยิบรูปถ่ายออกมา
“นี่ไงครับคุณช่อเพชร ผมเจอพี่อยู่กับเธอที่บ้านเกิด”
พงอินทร์ตบรูปลงบนโต๊ะ แผนยุทธมองรูปถ่ายตัวเองโอบเอวจับมือถ่ายกับช่อเพชรอย่าง หวานชื่น
“แกไปเอารูปนี้มาได้ยังไง”
แผนยุทธจะคว้ารูปไป แต่พงษ์อินทร์ไวกว่า คว้ารูปไปเสียก่อน
“เจ้านายกับเลขาธรรมดาๆคงไม่ไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้ แถมยังบอกกับป้าเจ้าของร้านก๋วยเดี๋ยวนี้ด้วย ว่าเป็นผัวเมียกัน”
ถึงตรงนี้แผนยุทธก็จนแต้ม เถียงไม่ออก
“แล้วทำไม ฉันกับผู้หญิงคนนี้จะเป็นอะไรกัน มันเกี่ยวอะไรกับแก”
พงอินทร์โกรธ ปราดเข้าไปชกทันที แผนยุทธลอยตามหมัดกระเด็นไปกระแทกโต๊ะทำงาน เลือดออกจมูก
“ไอ้บ้ากาม แล้วพี่สาวฉันล่ะ แกเคยเห็นใจพี่พิมอรมั่งมั้ย”
พนักงานสาวที่ยืนดูอยู่ตกใจ รีบวิ่งผละไป พงอินทร์กำลังเดือด พุ่งเข้าไปจับคอเสื้อแผนยุทธแน่น
“แกยอมรับแล้วใช่มั๊ย ว่าแกนอกใจพี่พิม ทำให้พี่พิมเจ็บช้ำน้ำใจ”
ช่อเพชรหน้าตื่น
“อย่าทำอะไรผัวฉัน...อ๊าย...ไม่มีใครรับรู้เลย ไม่มีใครได้ยินช้านเลย”
พนักงานสาวรีบวิ่งกลับมา เจอกับน้ำหนึ่งที่เพิ่งเข้าออฟฟิศมา
“แย่แล้วคุณน้ำหนึ่ง เกิดเรื่องแล้ว”
“มีเรื่องอะไร”
“น้องเขยเจ้านายบุกมาน่ะซิ กำลังมีเรื่องกันอยู่ในห้องทำงาน”
“ห่ะ”
น้ำหนึ่งทำเป็นตกใจ แล้วรีบวิ่งไปขณะที่พนักงานสาวรีบไปกดโทรศัพท์
“รปภ.รีบขึ้นมาที่ออฟฟิศคุณแผนยุทธเร็วเข้า มีคนบุกรุกกำลังจะฆ่ากันแล้ว”
วิญญาณช่อเพชรกำลังร้องกรี๊ดๆ
“นายโจ้ อย่ามาทำคุณแผนยุทธนะ อย่า...อย่าทำผัวช้าน”
ขณะที่พงอินทร์กับแผนยุทธกำลังปล้ำชกกันอยู่ พงอินทร์ด่าไปด้วย
“แกมันไอ้ผู้ชายเฮงซวย...หลอกลวงพี่พิมอย่างที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด โกหกสร้างภาพ จนคุณย่าคิดว่าแกเป็นคนดี รักเดียวใจเดียว หลงไว้ใจยกพี่พิมให้แต่งงานกับปีศาจอย่างแก”
“ช่วยไม่ได้ พี่สาวแกอยากโง่มารักฉันเอง”
“ไอ้สารเลว”
พงอินทร์ต่อยแผนยุทธจนล้มกลิ้ง ช่อเพชรร้องลั่น
“อ๊าย...ปล่อยผัวเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นแกตาย”
วิญญาณช่อเพชรลอยเข้าไปบีบคอ เจอสร้อยพระ ส่องรัศมีพุ่งเข้าใส่ จนตัวลอยออกไป
“อ๊าย”
พงอินทร์กับแผนยุทธไม่รู้เรื่องอะไร พงอินทร์ขึ้นคร่อม
“แกสารภาพมาซะ ว่าแกกับยัยช่อเพชรเมียเก็บของแกรวมหัวกันฆ่าพี่พิม”
น้ำหนึ่งที่ตามมายืนมองที่ประตูห้องตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่ได้ทำ พิมขับรถไปคว่ำตกน้ำตายเอง มันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ”
“ไอ้โกหก”
พงอินทร์เงื้อหมัดจะต่อยอีก แต่นึกอะไรได้ ปล่อยคอเสื้อแผนยุทธ
“ไม่เป็นไร ฉันมีหลักฐานเด็ด ที่วิญญาณพี่พิมบอกกับฉันที่จะทำให้ตำรวจ สาวไปถึงตัวคนที่ฆ่าพี่พิม”
คำพูดของพงษ์อินทร์ทำเอาแผนยุทธที่นอนเช็ดเลือดที่ปากอยู่ กับน้ำหนึ่งชะงัก พงอินทร์ยิ้มมุมปากแค้นๆ
“หึ ไม่นานหรอก เราก็จะได้รู้กัน ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันแน่”
“อย่ามาพูดมั่วๆนะ หลักฐานอะไร พิมอรบอกอะไรกับแก บอกมานะ” แผนยุทธโวยวาย
“บอกก็ไม่ใช่หลักฐานเด็ดสิ แต่รับรองได้ว่า หลักฐานชิ้นนี้จะขยายผลไปถึงตัวคนที่อยู่บนรถกับพี่พิมในวันที่ตายได้แน่ๆ”
แผนยุทธตะลึง เพราะอยากรู้เหมือนกัน
“คนที่อยู่บนรถกับพิมงั้นเหรอ”
ขณะที่น้ำหนึ่งยกมือขึ้นปิดปากเล็กน้อย ท่าทางเหมือนตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องลับ แต่จริงๆแล้วกำลัง ตกใจที่พงอินทร์อาจจะเข้าใกล้ตัวเธอทุกที พนักงานสาวพารปภ.ร่างใหญ่3คนเข้ามา
“นั่นไงคะ นายคนนั้นบุกรุกเข้ามาทำร้ายเจ้านายฉัน”
แผนยุทธรีบสั่งทันที
“จับมันเลย จับมันส่งตำรวจเลย”
รปภ.ทั้ง 3 ปรี่เข้ามาจับตัวพงอินทร์
“มาจับฉันทำไม ปล่อยนะเว้ย”
พงอินทร์ถูกรปภ.ทั้ง 3 ล็อคแขนคลุมตัวเดินออกจากห้องมา โดยมีน้ำหนึ่ง แผนยุทธและเหล่าพนักงานเดินตามออกมาดู แผนยุทธหยุดยืนอยู่ข้างน้ำหนึ่ง วิญญาณช่อเพชรยืนขวางทางประตูอยู่ด้านหลังแผนยุทธและน้ำหนึ่งแล้วก็เริ่มกรีดร้องแหลม โหยหวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณโจ้...ฆาตกร...แกมันฆาตกร ฆาตกรอยู่ทีนี่ ทำไมไม่มีใครได้ยินช้าน คุณโจ้กลับมาก่อน”
แผนยุทธและเหล่าพนักงานทั้งหญิงและชายยืนอยู่มากหน้าหลายตา ฆาตกรยืนอยู่ในกลุ่มไทยมุงแต่เป็นใครกัน รปภ.พาตัวพงอินทร์เดินออกไป
ติณห์เดินหลบมามุมหนึ่ง แอบโทรหาไตรรัตน์เพราะเป็นห่วงญาณินมาก แต่ไตรรัตน์ไม่ รับสาย ติณห์หงุดหงิดตัดสินใจวาง เขาทำอะไรไม่ถูก เดินไปเดินมา
ในบริษัทซิกส์เซ้นส์...ทุกคนช่วยกันหาลูกอมที่สุคนธรสหมายถึง ก้องฟ้าหยิบบางอย่างขึ้นมา
“อันนี้ใช่ไหม”
“นั่นมันยางลบ ไอ้บ้า” กรรณาด่า
ไตรรัตน์หาเจอแล้วชูขึ้นถาม
“นี่ล่ะ ใช่ยาอมปะ”
สุคนธรสพยักหน้า
“ใช่”
ทุกคนดีใจ สุคนธรสสวนขึ้น
“แต่มันคือยาอมแก้ไอ...ยัยกรรณ เอาไปอมเลย จะได้เลิกไอซะที”
“โหย...”
ทุกคนเซ็งแล้วช่วยกันหาต่อยังไม่พบสิ่งๆนั้น แม้จะเหนื่อยแต่ก็ไม่ยอมหยุดหา จนกระทั่งเสียงอรวรรณดังลั่นบ้าน จึงชะงักหยุดหากัน
“คุณรส...คุณกรรณ...ช่วยด้วย”
ไตรรัตน์หน้าตื่น
“เจ๊”
ทุกคนตกใจรีบวิ่งเข้าไปในห้องที่ญาณินอยู่...ทุกคนวิ่งเข้ามา ตะลึง เมื่อพบว่าญาณินตัวกระตุกไม่ยอมหยุด อรวรรณนั่งร้องไห้สติแตกอยู่ข้างๆ
“ช่วยคุณหนูด้วย”
ทุกคนตกใจ
“ยัยเจ๊...”
ไตรรัตน์กับก้องฟ้าเข้าไปจับญาณินไว้ให้หยุด แต่เธอไม่หยุดกระตุก สุคนธรสมองอย่างสงสาร
“ยัยเจ๊...อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ฉันกำลังหาทางช่วยอยู่”
กรรณาร้อนรน
“ทำไงดียัยรส”
กรรัมภายกมือท่วมหัว
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยด้วยค่ะ อย่าให้คนดีๆต้องตายเลย”
ทันใดนั้น วรวรรธและเนตรสิตางศุ์ พุ่งเข้ามาพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ และยาเต็มขนาด
“ผมเอง...คุณไตรรัตน์ ก๊องจับคุณณินให้แน่น คุณสองคน คุณแก้ม คุณกรรณจับขาไว้คนละข้าง ผมจะฉีดไดอาซีแปม ยาคลายกล้ามเนื้อและทาม้อล ยาแก้ปวดให้คุณณินสงบลงก่อน”
วรวรรธแกะยาออกมา ดูดยาเข้าเข็ม ก่อนจะหันไปสั่งอรวรรณ
“ป้าออ เอาขวดน้ำเกลือแขวนไว้กับโคมไฟครับ แล้วห้อยสายน้ำเกลือมาให้ผม”
อรวรรณทำตาม เนตรสิตางศุ์รีบวิ่งเอาเครื่องวัดชีพจร และความดันเสียบปลั๊กที่ใกล้ที่สุด
“ไอ้หมอ...คุณณินจะไหวไหมวะ” ไตรรัตน์ถามอย่างกังวล
วรวรรธเริ่มฉีดยาให้ญาณิน
“ผมจะฉีดยาแก้ปวด ยากล่อมประสาทและยานอนหลับให้ เผื่อข้างในคุณณินจะทำงานช้าลง หวังว่าคงถ่วงเวลาได้บ้าง”
เนตรสิตางศุ์รีบเสียบที่วัดชีพจรเข้าที่นิ้วญาณิน และที่วัดความดันกับแขน ทุกคนมองอย่างลุ้นระทึก
ในกองถ่ายละคร...ผู้กำกับกำลังยืนคุยกับผู้ช่วย
“เดี๋ยวถ่ายเจาะเก็บพระเอกกับไอ้ตัวโกงให้หมดเลยนะ มันไม่มีคิวให้”
ผู้ช่วยแปลกใจ
“จุนจีน่ะเหรอพี่ไม่มีคิวให้ อ้าว...ก็ไหนว่ามาเมืองไทยเทคิวให้เราหมดเลยไง”
“ไอ้ตัวโกงที่มึงหามาให้นั่นแหละ มันไม่มีคิวให้ มันรับอยู่ 5 เรื่อง”
ผู้ช่วยชะงัก
“อึ๋ย”
ผู้กำกับเดินผละไปแล้ว ลีจองกุ๊กกำลังเดินหนีจุนจีเข้ามา
“ไม่ได้ ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้นายไปเด็ดขาด”
“เว...”
“ก็นายกำลังถ่ายละครอยู่น่ะซิ นายถึงไปไม่ได้”
“แต่คุณแก้มกำลังบาดเจ็บ เพราะเขาช่วยฉัน สืบเรื่องคุณย่าก็เลยถูกคนปล่อยข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นผู้หญิงของฉัน”
“ใช่ ตอนนี้มันเป็นแค่ข่าวลือ แต่ถ้านายไปหาเขา แล้วเกิดมีนักข่าวไปจ๊ะเอ๋เข้ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงทันทีนะจุนจี”
“หมายความว่า...ไม่ว่ายังไงนายก็ไม่ให้ฉันไปใช่มั๊ย ไอ้กุ๊ก”
“ฉันจะจัดช่อดอกไม้อย่างดี ไปเยี่ยมคุณแก้มแทนนายเอง”
“นายไม่เข้าใจ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งของ”
“แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร”
“ความรู้สึก”
“เดี๋ยวพอถ่ายละครเรื่องนี้จบ จัดการเรื่องมรดกคุณย่านายเสร็จ นายก็ต้องกลับไปเกาหลี นายคงจะไม่ได้เจอกับคุณแก้มอีกแล้ว นี่ต่างหากที่ฉันเข้าใจ”
ลีจองกุ๊กหันเดินผละไป ทิ้งให้จุนจียืนหงุดหงิด ผู้กำกับเดินเข้ามาตาม
“คุณจุนจีครับ ฉากต่อไปคุณต้องซิ่งบิ๊กไบค์หนีตัวร้ายนะครับ”
“บิ๊กไบค์”
จุนจีชะงัก หูผึ่งขึ้นมาทันที
“คร๊าบ...คันนั้นไงครับ”
ผู้กำกับชี้ไปที่มอร์เตอร์ไซด์บิ๊กไบค์ ที่ทีมงานกำลังเข็นเข้ามาใช้ในฉาก
ล้อบิ๊กไบท์สปินเต็มที่ ควันขึ้น จุนจีขับบิ๊กไบท์ทะยานออกไปเสียงดังสนั่น ผู้กำกับหน้าเหวอ
“อ้าวเฮ้ย...นั่นจุนจีจะซิ่งมอร์ไซด์ไปไหน คุณจุนจีครับ อย่าไป กลับมา”
ทีมงานพากันช่วยกวักมือเรียก ลีจองกุ๊กได้ยินเสียง รีบวิ่งออกมาดู เห็นหลังจุนจีซิ่งบิ๊กไบค์ไปแว๊บๆก็รู้ทันที
“โธ่เอ้ยจุนจี หาเรื่องไปจนได้ เฮ่อ”
ญาณินสงบลงจากอาการกระตุก ทุกคนเป่าปาก เหนื่อยอ่อนตามๆกัน
“คุณณินสงบลงแล้วนะครับ แต่ชีพจรยังอ่อนอยู่ อาการยังน่าเป็นห่วง” วรวรรธบอกเสียงเครียด
“ผมว่า...เราต้องรีบหาเม็ดลูกอมนั่นให้เร็วที่สุด” ไตรรัตน์แนะ
เนตรสิตางศุ์หันมาหาสุคนธรส
“แกไว้ตรงไหนยัยรส พยายามนึกหน่อย”
สุคนธรสคิดๆ
“กำลังพยายามอยู่ ฉันไม่ได้ใช้มานานแล้ว ไม่รู้ไปเก็บไว้ไหน”
อรวรรณหน้าเศร้าหมอง
“รีบหาเถอะค่ะ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”
ทุกคนฮึดอีกรอบ ลุกออกไปจากห้อง เหลืออรวรรณกับวรวรรธและเนตรสิตางศุ์ ที่คอยดูแลญาณิน
“อย่าห่วงเลยเนตร คุณรสต้องหาลูกอมเจอ คุณณินจะต้องหายแน่ๆ” วรวรรธปลอบ
เนตรศิตางศุ์หันมามองวรวรรธทั้งน้ำตา
“จริงนะคะหมอ หมออย่าแกล้งโกหก ปลอบใจเนตรนะ”
“ผมไม่โกหกเนตรหรอก และไม่มีวันจะโกหกด้วย คุณณินช่วยคนมาเยอะแยะมากมาย ความดีของคุณณิน จะต้องช่วยให้คุณณินรอดปลอดภัยแน่นอน อย่าร้องไห้เลยนะ”
วรวรรธยื่นมือไปเช็ดน้ำตา
“เดี๋ยวเนตรจะไม่สบายไปอีกคนนึง ดวงตาที่มีสัมผัสพิเศษคู่นี้ยังต้องช่วยเหลือใครต่อใครอีกเยอะ”
“หมอ...”
เนตรสิตางศุ์สะอื้นอย่างซึ้งใจ วรวรรธก้มจูบที่ดวงตาของเนตรศิตางศุ์แล้วกอดปลอบไว้
กรรัมภาเดินเศร้า กระเผลกเจ็บขาเล็กน้อยออกมานั่ง เธอพยายามหาลูกอม แม้จะไร้วี่แวว แต่ก็ไม่ยอมแพ้
“ตอนนี้ไม่มีใครจะช่วยพวกเราได้ พวกเราทั้ง 5 คนต้องช่วยเหลือกันและกัน แต่...ตอนนี้สิ่งที่แก้มอยากจะได้ก็แค่...แค่...กำลังใจจาก...”
กรรัมภาหลับตาประสานมือกับอก น้ำตาร่วงเพราะกำลังใจจากคนนั้นคงไม่มี เพราะเขา ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ ทันใดนั้นเสียงมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์ดังมาแต่ไกลใกล้เข้ามาๆ
แล้วจุนจีก็ขี่บิ๊กไบค์มาจอดเอี๊ยดที่หน้าบ้าน กรรัมภาหันไปมองถึงกับอึ้งทั้งน้ำตา จุนจีลงจากรถวิ่งข้ามา กรรัมภาลุกขึ้นยืนมองแต่จุนจีกลับมาหยุดยืนทิ้งระยะห่างไว้ด้วยฟอร์ม
“คุณร้องไห้”
“แล้วนายมาทำไม กลับไปซะ”
กรรัมภาหันเดินหนี แต่จุนจีก้าวตามไปคว้ามือไว้
“มีอันฮัมนีดา” จุนจีพูดขอโทษ
กรรัมภาหยุดชะงัก...ร้องไห้ ค่อยๆหันกลับมามองเขา
“ผม...ขอโทษ...ที่ไม่มีโอกาสได้ปกป้องคุณจาก คนที่ดุร้ายพวกนั้น”
กรรัมภาหันมากอดเขาร้องไห้ จุนจียืนอึ้ง...แต่แล้วจุนจีก็โอบสองมือกอดตอบ
“ผมอยากแค่มาเห็น ว่าคุณเป็นอะไรมากไหม ขอให้ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็พอใจละ”
จุนจีตบหลังเธอเบาๆปลอบ กรรัมภาฟังแล้วยิ้มทั้งน้ำตา
“คัมซัมนีดาจุนจี...ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ”
จุนจียิ้ม
เย็นนั้น สุคนธรสกับไตรรัตน์กำลังรื้อข้าวของตามตู้ลิ้นออกมากระจุยกระจาย
“เจอหรือยังนายไตวาย”
ไตรรัตน์โผล่หัวยุ่งๆออกมาจากตู้
“ไม่เห็นเจอเลย อยากเห็นจริงๆว่าไอ้ลูกอมที่คุณว่า มันเป็นยังไง”
ตอนนั้นเองที่สุคนธรสปีนขึ้นไปที่หลังตู้ คว้าพานทองเหลืองเก่าๆอันหนึ่ง แล้วก็หงายหลัง ร่วงลงมา ไตรรัตน์ตกใจ
“รสระวัง”
สองแขนไตรรัตน์ไปรองรับไว้ทัน ขณะที่สุคนธรสยิ้มออก หยิบกล่องใสที่ใส่ ลูกอมที่เหลี่ยมกรอบทองไว้อย่างดีขึ้นมาจากพานที่มีพวงมาลัยแห้งๆบูชาไว้
“เจอแล้ว...ลูกอมผงพรายกุมารมหาภูติ หลวงปู่ทิม”
ไตรรัตน์มองทึ่ง...จ้องไปยังเครื่องรางของขลังลูกกลมๆเหมือนยาลูกกลอนปิดทองอร่ามไปทั้งลูกในมือสุคนธรส
“มันคืออะไร”
“เครื่องรางของขลังประเภทเครื่องอม สร้างจากเนื้อชานหมากที่พระเกจิอาจารย์ เคี้ยวจนจืด นำมาปั้นผสมกับผงกะโหลกเด็กชาย...ผีตายท้องกลม แล้วนำมาปลุกเสก มีอิทธิฤทธิ์แรง เมตตามหานิยมและแคล้วคลาด สมัยโบราณนิยมอม ไว้ในปากยามออกศึกสงคราม มีอานุภาพมหาอุดคงกระพันชาตรี ช่วยกำบังตาล่องหนหายตัว และที่สำคัญ ลูกอมจะช่วยเหลือคุ้มครองรับคาถาอาคมสิ่งชั่วร้ายแทนเรา”
ทั้งสองมองลูกอมผงพรายอย่างมีหวัง
เบญจาซึ่งบัดนี้เนื้อตัวสั่นขาวซีด ปากซีดขาวจนเป็นกระดาษ ขอบตาแดงด้วย เลือดคั่งราวกับศพ นั่งอยู่ในท่าประสานมือเพียรภาวนาแช่อยู่ในน้ำ โดยมีสมคิดยืนถือคัมภีร์คาถาภูติด้วยมือข้างเดียว ทำหน้าที่อ่านนำคาถาภูติภาษา ประหลาดๆ กรกฏยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู มองจ้องมา ที่เบญจา
“อาวาราคิซา ฟาจาคิซา กิโยคิซา ด้วยเวทย์มนต์คาถาที่เจ้ามี...กับคัมภีร์ภูติเล่มนี้ จงใช้น้ำเป็นสื่อนำวิญญาณ สูบเอาพลังผีป่า โหงพราย วิญญาณชั่วร้ายทุกดวงที่อยู่ที่นี่ มายังร่างของเจ้า สูบเอาความชั่วร้ายของมัน มาต่อต้านมนต์คาถาของนังสุคนธรสออกไป”
เบญจาดวงตาแข็งกร้าวขึ้นมา ปากท่องคาถามขมุบขมิบ
“อาวาราคิซา ฟาจาคิซา กิโยคิซา อาวาราคิซา ฟาจาคิซา กิโยคิซา”
นอกห้อง...ติณห์เอาแต่นั่งนิ่งเงียบ ตามองที่มือถือในมือรอฟังข่าวญาณิน ตลอดเวลา
“โธ่เอ้ย...ไม่มีใครส่งข่าวมาบอกบ้างเลย ทำอะไรกันอยู่”
ติณห์โพล่งออกมาใส่มือถือ ทำเอามิรันตีที่เดินไปเดินมา มองไปที่ประตูห้องน้ำอย่าง ร้อนใจคิดว่าติณห์ห่วงเบญจา
“ใช่...ทำอะไรกันอยู่ มิสเตอร์ร็อบบี้ช่วยถอนพิษให้หนูเบญจายังไงเนี่ยอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงๆแล้ว ไม่มีเสียง ไม่ได้ยินอะไรเลย”
ทันใด ประตูหน้าต่างถูกลมข้างนอกตีเข้ามาเปิดผัวะๆ มิรันตีสะดุ้ง
“ว้าย...อะไรกันเนี่ย”
ติณห์ลุกเดินไปดูที่หน้าต่าง เห็นบรรยากาศภายนอกดูมืดลง ท้องฟ้ามีเมฆดำปกคลุม และลมพัดแรง ปั่นป่วนไปทั่วรีสอร์ท
“รีสอร์ตของเรา กำลังเจอกับอาเพศแล้ว”
“อาพงอาเพทอะไร ฝนมันจะตกน่ะซิ ลมถึงได้แรงขนาดนี้ เชื้อบ้าไสยศาสตร์งมงายของแม่นั่นยังหลงเหลืออยู่ในสมองของแกอีกเหรอ สงสัยต้องให้มันตายจากแกไปเลยมั้ง แกถึงจะหายขาด”
ติณห์ลืมตัวกำหมัดแน่นหันมาตวาดมิรันตีอย่างโกรธจัด
“มัม”
“อุ้ยตาย ตวาดแม่ ทำไมยะ โกรธเหรอ”
มิรันตีมองจับผิด ทำให้ติณห์ได้สติ รีบกลบเกลื่อน
“เอ่อ...เย่ ผมโกรธ...ผมไม่อยากได้ยินชื่อญาณินอีก ทีหลังมัมไม่ต้องมาด่ามาว่า มาพูดถึงญาณินให้ไอได้ยินอีกนะ”
แล้วลมก็ปะทะหน้าต่างประตูโครมครามเข้ามาอีก ทำเอามิรันตีถลาเข้าเกาะติณห์ อย่างตกใจ
“ว้าย”
ติณห์โอบปกป้องแม่ของเขาไว้ ตามองกวาดไปทั่ว แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมองไปที่ประตู ห้องน้ำ เขาเห็นเหล่าวิญญาณผีต่างๆจากภายนอกถูกดูดเข้าไปตามช่องใต้ประตู บานพับแต่ละวิญญาณหวีดร้องโหยหวนอย่างน่าสงสาร แต่ตามิรันตีไม่สามารถมองเห็นเหมือนเขา
“เป็นอะไรไปติณห์ ลูกตกใจอะไร”
ติณห์ไม่อยากบอก บอกไปมิรันตีก็ไม่เชื่ออยู่ดี
“เอ่อ...no…ไม่มีอะไรมัม”
ติณห์มองไปที่ประตูห้องน้ำอย่างสยอง เห็นวิญญาณถูกดูดเข้าไปเรื่อยๆ
วิญญาณถูกดูดลอดเข้ามา ผ่านขากรกฏ ไหลไปที่น้ำในอ่างน้ำที่ใสค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ
สมคิดยืนมองอย่างพอใจ ขณะที่เบญจายังคงอยู่ในสมาธิบริกรรมคาถาภูติ
“อาวาราคิซา ฟาจาคิซา กิโยคิซา อาวาราคิซา ฟาจาคิซา กิโยคิซา”
วิญญาณผ่านน้ำไหลเข้าสู่ตัวเบญจา ร่างที่ขาวซีดดูกลับมีแรงขึ้น
ไตรรัตน์ จุนจีและก้องฟ้าอยู่ในกลาสเฮ้าส์ เพราะพวกสาวๆเข้าไปทำ พิธีในบ้านเพื่อช่วยญาณิน
“ผมพอจะช่วยอะไรได้ไหมครับ” จุนจีถามขึ้น
ไตรรัตน์นึกได้
“จริงด้วย...คุณจุนจีทิ้งกองละครมานี่ รีบกลับไปเร็วๆครับ ป่านนี้ทีมงานรอคุณแย่แล้ว”
“แต่ผมเป็นห่วงคุณแก้ม คุณแก้มทำอะไร ผมก็อยากทำด้วย”
ก้องฟ้ารีบขัด
“ไม่เป็นไรครับ คุณจุนจีนั่นแหละ ไม่รีบกลับไป พรุ่งนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่ ได้ขึ้นหน้า 1 ข่าวบันเทิงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับแน่ แล้วพี่แก้มจะซวยกว่าเดิมนะครับ”
ไตรรัตน์ตบบ่าจุนจี ประมาณว่าไม่ต้องห่วง
“งั้น...ได้เรื่องยังไง บอกคุณแก้มให้โทบอกผมด้วย อันยอง”
จุนจีหันเดินออกจากบ้านไป สวนกับณัฐเดชที่รีบเข้ามาพอดี
“ไอ้ไตร...สาวๆปลอดภัยหรือเปล่า”
“ยังลุ้นคุณณินอยู่ ยังไม่พ้นอันตรายเลย”
“แต่เนตรโอเคใช่ไหม เนตรๆ พี่มาแล้ว”
ไตรรัตน์กับณัฐเดช รีบวิ่งเข้าบ้านไป พงอินทร์เพิ่งมาถึง วิ่งเข้ามา ก้องฟ้าทักทาย
“อ้าว...พี่โจ้ มากับเขาด้วยเหรอ”
“คุณกรรณหายป่วยแล้วยัง อยู่ๆเขาก็หนีพี่มา ทำไมไม่บอกกันมั่งเลย จะไปไหนมาไหน ทำไมไม่นึกว่าคนอื่นเขาเป็นห่วงแค่ไหน พี่ไม่ชอบๆ”
“อ้าว พี่สาวผมเขากลับบ้านน่ะ ถูกแล้ว...พี่จะมาทำอะไร เขากำลังทำพิธีไสยศาสตร์กัน ชีวิตพี่ญาณินกำลังวิกฤติอยู่ อย่าเข้าไป...จะมาพ่อแง่แม่งอน ชวนทะเลาะอะไรตอนนี้ ผิดกาลเทศะแล้วพี่”
ภายในบริษัทซิกส์เซ้นส์...วรวรรธกับอรวรรณประคองญาณินที่นอนตัวแข็งขึ้นมา มี 4 สาวนั่งพนมมืออยู่ในสมาธิอยู่ที่ปลายเตียง ไตรรัตน์และณัฐเดชเข้ามาในห้องพอดี ก้องฟ้ากับพงษ์อินทร์ มายืนตาโตกันข้างประตู 4 สาว ซึ่งมีพานใส่ลูกอมผงพรายกุมารมหาภูติ หลวงปู่ทิมวางอยู่ตรงหน้า สุคนธรสลืมตาขึ้นหยิบพานท่องคาถาบูชาลูกอมชั่วครู่แล้วส่งให้ ไตรรัตน์รับพานส่งไปให้ณัฐเดช หยิบลูกอมขึ้นมาพยายามบีบปากญาณินใส่ลูกอมเข้าปาก แต่ญาณินกรามแข็งมาก แถมยังกัดฟันอยู่...หนุ่มๆต้องช่วยกันบีบปาก แล้วงัดฟันของเธอให้อ้าขึ้น แล้วยัดลูกอมลงไป แล้วบีบปากปิด
ทันทีที่ลูกอมเข้าไปอยู่ในปาก สัมผัสลิ้น ตาญาณินก็เบิกกว้าง ตัวสั่นอย่างแรงราวกับถูกไฟฟ้าช็อต จนต้องช่วยกันจับไว้ 4 สาวที่อยู่ในสมาธิกำลังเพ่งจิต ส่งพลังสัมผัสพิเศษออกมา...ปรากฏเป็นพลังไหลจากตัว 4 สาวเป็นประกายไหลมาตามสายสิญจน์วิ่งตรงไปหาญาณิน หนุ่มๆที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกก็อึ้งมองอย่างตื่นเต้น ธูปทั้ง 3 ดอกในกระถางค่อยๆไหม้สั้นลงเรื่อยๆและตัวญาณินก็สั่นขึ้นเรื่อยจนเตียงสั่นโยกลั่นเปรี๊ยะๆ
การถอนอาคมของญาณินต่างกันคนละขั้วกับของเบญจา...เบญจาใช้ดูดวิญญาณเข้าร่างรักษา แต่ของญาณินใช้วิธีปัดเป่าไล่อาคมและสิ่งชั่วร้ายออกจากตัว...ญาณินตัวสั่นเมื่อประกายพลังจากทั้ง 4 สาวที่ส่งมาตามสายสิญจน์ไหลมาถึงมือ ญาณินที่พันสายสิญจน์ไว้โดยรอบ ทันทีที่พลังสัมผัสตัว ร่างของเธอก็สั่นอย่างแรง จนไตรรัตน์ วรวรรธ ณัฐเดช อรวรรณ ต้องช่วยกันจับไว้
เมื่อพลังจิตที่เข้าไปในร่างญาณินเจอเข้ากับอาคมของเบญจาที่ต้านเอาไว้ ทำให้เตียงทั้งเตียงสั่นราวกับถูกจับโยก
อาคมไสย์ดำในตัวญาณินพยายามต้านกลับ แต่ถูกลูกอมในปากของเธอขับออก เป็นพลังสีดำลอยออกมาจากหัวเป็นสาย ราวกับเป็นปล่องไฟร่างที่เขียวช้ำของญาณิน ค่อยๆคืนสภาพมาดูมีเลือดมีเนื้อ
ทุกคนมองแล้วดีใจ โดยเฉพาะอรวรรณ จนกระทั่งอาคมไสย์ดำไหลออกไปหมด ญาณินก็เริ่มรู้สึกตัว ไอๆ แล้วพ่นลูกอมผงพรายพรวดออกมา ตกบนที่นอน เธอหายใจหอบค่อยๆลืมตาขึ้นมอง พงษ์อินทร์ตะลึง กระซิบถามก้องฟ้า
“ทั้งหมดนี่...มันคืออะไรกัน”
“ดูไว้ครับพี่...จะจีบสาวๆแก๊งค์นี้ ต้องทำใจให้ชิน”
ณัฐเดชดีใจ
“ยัยณินลืมตาแล้ว”
ญาณินหันมาหาอรวรรณแล้วถามอย่างงงๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะป้า”
“คุณหนูรู้สึกตัวแล้ว คุณหนูของป้า”
อรวรรณกอดญาณินร้องไห้ ขณะที่หนุ่มๆผละออก หมดเรี่ยวหมดแรงตามๆกัน แล้วสุคนธรส กรรณา กรรัมภา เนตรสิตางศ์ก็ถอนตัวออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นเห็นญาณินกลับมาเป็นปกติอยู่บนเตียงก็ดีใจ
“ยัยเจ๊”
ทั้ง 4 สาวกรูกันขึ้นเตียงไปกอดญาณิน
“พวกแกทั้ง 4 คนช่วยฉันไว้ใช่มั้ย ขอบใจมากนะเพื่อน ที่ไม่ยอมปล่อยให้ฉันตาย”
เบญจาก็กำลังจะหายด้วยการดูวิญญาณมาเป็นพลัง หลวงพิชัยภักดียอมให้วิญญาณของตัวเองถูกดูดเข้ามาด้วย เพิ่งจะมาทำลายพิธีของเบญจา หลวงพิชัยภักดีพยายามฝืนใช้ทั้งมือและเท้าถีบดันตัวเองออกจากสายวิญญาณที่ลอยไป
“ไม่มีวันเสียล่ะที่ฉันจะยอมให้แกใช้พลังวิญญาณของฉัน อึ้บๆ ย๊าก”
หลวงพิชัยภักดีดันตัวเองหลุดร่วงออกมาได้ มายืนอยู่ที่พื้น สมคิดและกรกฎรับรู้ได้ถึงการมาของหลวงพิชัยภักดี
“เหอะ เนี่ยะนะเหรอมิสเตอร์ร็อบบี้ คิดส์ ถุย...แกไปหลอกนังมิรันตีคนเดียวเถอะ แกมันคนชั่ว ฉันฟังเรื่องแกมามากพอแล้ว...ไอ้สมคิด ทำผิดสร้างเวรสร้างกรรมไม่ยอมสำนึก ยังมีหน้ากลับมาทำชั่วช้าอีก”
สมคิดหัวเราะลั่น
“ฮ่ะๆ เก่งนี่ไอ้ผีเฒ่า สมแล้วที่เป็นผีหวงสมบัติ จนไม่ได้ไปผุดไปเกิด”
“แกไม่ต้องมาสามหาวกับฉันไอ้หมอผีไร้วิชา ฉันรู้ว่าแกไม่มีคาถาอาคมอีกแล้ว แกก็เลยคิดจะหลอกใช้อาคมนังเบญจามาแก้แค้นหลานชายฉัน”
“หลอกใช้งั้นเหรอ ฮ่ะๆทำไมฉันจะต้องหลอกใช้ ในเมื่อวิชาอาคมของเบญจา ฉันเป็นคนถ่ายทอดให้มันเองกับมือฉัน”
หลวงพิชัยภักดีชะงัก
“ถ่ายทอดเหรอ งั้นนังเด็กนี่ก็เป็นลูกศิษย์ของแกน่ะซิ”
“ฮ่ะๆ...ยังโง่ไม่หยุด ตาเฒ่าเอ้ย”
“ฉันไม่ยอมให้แกทำพิธีสำเร็จหรอก”
หลวงพิชัยภักดีหันไปทางเบญจา ที่กำลังดูดวิญญาณใกล้จะรักษาตัวเองหายจากอาคมของสุคนธรสแล้ว หลวงพิชัยภักดีคิดจะขัดขวาง หันไปเงื้อไม้เท้าจะตีอ่าง แต่สมคิดรู้ทัน
“มันจะเล่นงานเบญจา...กรกฎ”
กรกฏถลาเข้ามาเอาตัวเข้ารับไม้เท้าของหลวงพิชัยภักดีจนถูกตีเข้าที่ตัว แทนที่จะเจ็บหลวงพิชัยภักดีกลับถูกอิทธิฤทธิ์ยันต์ที่กรกฏสักไว้กับตัวต้านและเหวี่ยงรัศมีออกมาเป็นหางจระเข้ฟาดหาง พร้อมกับหน้ากรกฏที่อ้าปากขู่เหมือนจระเข้
“ห่ะ มันสักยันต์นี่หว่า ยันต์ลายอะไรของมันวะ เป็นจระเข้” หลวงพิชัยภักดีผงะ
“สักยันต์จระเข้นารายณ์อวตารเว้ยไอ้ผีแก่ ส่วนนี่...ยันต์หมูทองแดง เหลียวหลัง ค๊าก”
ขาดคำกรกฏเหวี่ยงขาเตะเป็นรัศมีลายสักหมูทองแดงเขี้ยวโง้วพุ่งเข้าชน ทำให้หลวงพิชัยภักดีผงะถอย กรกฏตามใส่ไม่ยั้งด้วยอิทธิฤทธิ์รอยสักมากมายที่สักไว้ในตัว ทั้งพญาหนุมาน ท้าวเวสสุวรรณ พญาราชสีห์ ที่พุ่งเข้าเล่นงานหลวงพิชัยภักดี เหวี่ยงกระเด็นไปรอบห้อง จนหลวงพิชัยภักดีทรุดอ่อนแรง ตัดสินใจหนีทะลุกำแพงออกไป กรกฏจะตาม สมคิดห้ามไว้
“ไม่ต้องตาม”
สมคิดมองไปที่เบญจา เห็นเธอกลับมามีแรง ลุกขึ้นยืนจากน้ำในอ่างวิญญาณชุดสุดท้ายไหลเข้าตัวจนหมด เบญจาก้าวลงจากอ่าง มองมาที่สมคิดที่ยืนยันไม้เท้าอยู่ด้วยสีหน้ากระหยิ่มใจ
“เป็นยังไง ตอนนี้พลังวิญญาณที่แกได้รับเข้าไปในร่าง ไม่ได้แค่ช่วยชีวิตแกเท่านั้น แต่ยังทำให้แกแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม”
“ขอบคุณมากค่ะพ่อ ที่ช่วยชีวิตหนู”
“ฮ่ะๆ”
สมคิดหัวเราะลั่น
ประตูห้องน้ำเปิดผัวะออก...ติณห์กับมิรันตีหันไปมอง เท้าเปียกน้ำของเบญจาก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำ ยืนตัวเปียกโชก แต่สีหน้าดูหายเป็นปลิดทิ้ง เบญจาส่งยิ้มที่ดูแสนจะเย็นยะเยือกมาให้ ติณห์สุดจะผิดหวังที่เธอหายแต่ต้องฝืนยิ้มไป ขณะที่มิรันตีสุดแสนดีใจ
“โอ้ว...หนูมิรันตีหายแล้ว แท้งก็อด ไม่ใช่ซิต้องขอบคุณมิสเตอร์ร็อบบี้ ยูจีเนียส...ยูเหมือนพระเจ้าที่ช่วยชีวิตเบญจาได้”
สมคิดเดินยิ้มก้าวตามออกมากับกรกฏ มิรันตีหันมาดุลูกชาย
“เอ๊า อึ้งอะไรอยู่ติณห์ หยิบผ้านั่นมาห่มให้หนูเบญจาซิ ดูสิตัวเปียกหนาวสั่นไปหมดแล้ว”
ติณห์หันไปคว้าผ้าคลุมจองเบญจาที่วางพาดอยู่ เดินเข้ามาโอบคลุมให้ ฝืนพูดรับขวัญ
“ผมดีใจที่คุณปลอดภัย ทีหลังอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกนะ ผมไม่อยากเสียคุณไป”
เบญจาส่ายหน้า
“ไม่มีวันที่หนูจะเสียพี่ไปเหมือนกัน พี่เป็นของหนู...พี่ติณห์”
เบญจาโผกอดติณห์ไว้แน่น กระซิบย้ำที่หู
“ได้ยินมั้ย พี่ต้องเป็นของหนูคนเดียว หนูไม่มีวันยอมให้นังญาณินแย่งพี่ไปจากหนู หนูจะฆ่ามันให้ได้”
ติณห์ฟังแล้วสยองจนสะท้าน แต่ต้องฝืนกอดตอบ ตามองไปเห็นสมคิดกับกรกฏมองจับตาดู สายตาสมคิดมองเคลือบแคลงในตัวติณห์ ไม่ไว้ใจนัก
อ่านต่อหน้า 2
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 15 (ต่อ)
ผู้กำกับและทีมงานต้องพักกองนั่งรอจุนจีจนเซ็ง แต่ละคนก้มหน้าก้มตาตาเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองฆ่าเวลา ลีจองกุ๊กเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น รอคอยจุนจี
“เฮ้ย”
ทุกคนหยุดเล่นมือถือ ผู้กำกับโวยวายลั่นกอง
“เฮ้ย! พวกแกจะก้มหน้าก้มตาเล่นมือถืออีกนานมั้ยวะ”
ทีมงานรีบเก็บมือถือ บางคนวิ่งหางานทำ ผู้กำกับเรียกผู้ช่วยมา
“เอ็งไปบอกไอ้ผู้จัดการกุ๊กนะ ว่าถ้าวันนี้ฉันต้องยกกอง ถ่ายไม่ได้ เรื่องนี้จะต้องถึงหูสรยุทธ”
“แล้วทำไมเราไม่ฟ้องบริษัท KBS ต้นสังกัดมันเลยล่ะครับเพ่”
“เดี๋ยวพอเรื่องมันฉาวออกสรยุทธ มันก็ไปเข้าหูผู้บริหาร KBS เองแหละไอ้ปลวก”
“อ๋อครับ แบบนี้เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว”
ผู้กำกับมองผู้ช่วยอย่างรำคาญ
“พูดมากอยู่นั่นแหละ ไปๆ รีบไปบอกมัน”
“ครับๆ”
ผู้ช่วยลุกเดินไปพลางตะโกน
“คุณลีจองกุ๊กครับ ผู้กำกับฝากมาบอกว่าถ้าวันนี้ยกกองไม่ได้ถ่ายจะแฉออกราย การสรยุทธ แล้วจุนจี ต้องไปนั่งแก้ข่าว ให้สรยุทธโอบไหล่ออกเรื่องเล่าเช้า นี้ครับ”
“อ้าวเฮ้ย!”
ผู้กำกับสะดุ้ง ที่ผู้ช่วยดันบอกเวอร์เกิน ทันใด เสียงมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์ก็ดังแว่วมา ลีจองกุ๊กมองไปเห็นจุนจีขี่บิ๊กไบค์เท่มาแต่ไกล
“อย่าให้สรยุทธโอบเลยนะครับ จุนจีกลับมาแล้ว เฮ” ลีจองกุ๊กดีใจ
จุนจีขี่รถเข้ามาจอด เห็นสีหน้าทุกคนมองแบบไม่พอใจ ลีจองกุ๊กรีบเข้าไปโวย
“จุนจี...รู้มั้ยว่าทุกคนเดือดร้อน ฉันไม่รู้จะแก้ตัวแทนนายยังไงเนี่ย”
“นายไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแทนฉันหรอก”
“อ้าว ทำไมพูดยังงี้ นายทำผิดนะ นายจะไม่ทำบ้าอะไรเลยเหรอ ดูหน้าทุกคนซี จะขย้ำเราอยู่แล้ว”
จุนจีไม่ตอบ ก้าวลงจากรถเดินวางหน้าเฉยดุ่ยๆไปยังผู้กำกับและทีมงาน ผู้กำกับมองแล้วอารมณ์เสีย
“ดูหน้ามัน จะสำนึกผิดสักนิดก็ไม่มี”
แต่แล้วผู้กำกับต้องอึ้ง เมื่อจุนจีเดินหน้าเฉยมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็ก้มหัวโค้งให้เขา และทีมงานทุกคน
“มีอันฮัมนีดา...ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ทำให้ทุกคนต้องเสียงานเสียการ”
ผู้กำกับมองเหล่ๆ
“แล้วคุณหายไปไหนมาครับ อยู่ๆก็ซิ่งรถหายไปแบบนั้น”
“ผมไปทำธุระอย่างหนึ่ง ที่สำคัญมากน่ะครับ แต่อย่าถามผมเลยครับว่าอะไร เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะเทคิวให้คุณ จองกุ๊ก…”
ลีจองกุ๊กรีบเดินเข้ามา
“เว ?”
“วันนี้ให้คิวละครถึงกี่โมง”
“5 โมงเย็น”
“ให้เขาถึงเช้าเลย”
“หา แต่พรุ่งนี้นายมีนัดให้สัมภาษณ์ที่คลื่นวิทยุแต่เช้านะ เดี๋ยวตื่นไม่ไหว”
“ให้คิวเขาไป ถ่ายดึกแค่ไหนก็ได้ ผมยินดีครับ”
จุนจีผงกหัวผู้กำกับแล้วเดินผละไป ผู้กำกับยิ้มออก ลีจองกุ๊กรีบเดินตามจุนจีไป ผู้กำกับรีบสั่ง
“เอ๊า...ลุกๆ พระเอกเขาให้คิวแล้ว ลุยเลย !”
จุนจีเดินไปแต่งตัวเตรียมเข้าฉากต่อไป ลีจองกุ๊กรีบตามมาแล้วเห็น จุนจีชะงักยืนอยู่กับที่เพราะเห็นคิมซองซูกำลังให้สัมภาษณ์อยู่กับนักข่าวบันเทิง 2 คน
“จุนจีก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เอะอะก็แกล้งป่วย เดี๋ยวก็โวยวายว่าผีหลอก วันนี้ก็หนีออกจากกองไปซะเฉยๆไม่รับผิดชอบ”
“ผู้หญิงนั่นเป็นแฟนของจุนจีจริงๆรึเปล่าครับ” นักข่าวถาม
ลีจองกุ๊กพยายามดึงจุนจีเดินหลบไป แต่จุนจีไม่ยอมไป คิมซองซุยังคงสนุกปาก
“โฮะๆ แหม ผมก็ไม่ใช่คนชอบเม้าเรื่องคนอื่นนะ แต่ผู้หญิงเขาก็สวยจะตาย จุนจีก็ชอบสาวๆสวยๆมากๆนะครับ ภาษาไทยเรียกอะไรนะ เจ้าชู้...ใช่ไหม เอาเป็นว่า... ก็เขาไม่ได้มาทำอะไรให้เราเห็นต่อหน้า ผมก็คอนเฟิร์มไม่ได้ แต่รู้ว่าสนิทกัน มั้กมาก”
“เดี๋ยวนี้พวกไฮโซเขาฮิต มีเพื่อนสนิทเป็นดารานักร้องเกาหลีกันใช่ไหมครับ”
“ก็รวยซะอย่าง อยากสนิทกับดารา ก็สนิทได้ทุกชาตินะครับ แต่สำหรับดาราเกาหลีอย่างผม ผมไม่เลือกคบแต่คนรวยนะครับ คนจนผมก็คบ ผมรักทุกคน”
“แล้วสรุปว่าคุณแก้มเป็นแฟนปาร์คจุนจีรึเปล่า”
นักข่าวถามนย้ำประเด็นที่อยากรู้ ลีจองกุ๊กพยายามดึงจุนจีหลบไปอีกครั้ง แต่จุนจีไม่ยอมไปแถมโพล่งออกมา
“อยากรู้เรื่องคุณแก้มถามผม...ผมอยู่นี่”
คิมซองซูหันมาเห็นจุนจีก็ตกใจ ขณะที่จุนจีเดินปรี่เข้ามาหา 2 นักข่าว
“จุนจี...ไม่เอาน่า อย่าพูดอะไรนะ” ลีจองกุ๊กพยายามปราม
“นายเฉยเถอะน่า ว่าไงครับคุณนักข่าว ผมพร้อมจะบอกความจริงแล้ว”
“เอ่อ...เร็วๆ ตั้งกล้องเร็ว ได้ข่าวใหญ่แล้วเว้ย”
นักข่าวทั้ง 2 รีบยกมือถือขึ้นตั้ง app ถ่ายเป็นคลิปทันที คิมซองซูฉุนกึก โดนจุนจีขโมย ความสำคัญไปจนได้ ลีจองกุ๊กลุ้นสุดชีวิตว่าจุนจีจะพูดอะไร จุนจียิ้ม...
“อัน-นยอง-ฮา-เซ-โย! หวัดดีครับ...ผมปาร์คจุนจี ข่าวที่ว่าผมกับคุณแก้มแอบคบ กันลับๆ ผมขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเกาหลีว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ครับ! คุณแก้มเธอเป็นกุลสตรีไทย มีน้ำใจช่วยเหลือผมมาตลอดเวลาที่ผมมาถ่ายละครที่เมืองไทย”
ลีจองกุ๊กโล่งใจที่จุนจีตอบแบบนั้น จุนจีกล่าวต่อไป...
“คุณพ่อของคุณแก้มเป็นเจ้าของเครื่องสำอางชื่อดังที่เมืองไทย เร็วๆนี้เราอาจจะมีโปรเจ็คร่วมกัน เพราะฉะนั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณแก้มจะมาทำหน้าที่เป็นเหมือน ผู้จัดการคอยดูแลผมที่เมืองไทยร่วมกับคุณลีจองกุ๊กครับ”
“หา !”
ลีจองกุ๊กอ้าปากค้าง
ภาพจีให้สัมภาษณ์มาปรากฏอยู่ในจอแท็ปเลตของอติเทพที่กำลังนั่งดูคลิป เพราะข่าวที่ถูกปล่อยออกมาเผยแพร่อย่างรวดเร็ว
“ขอความกรุณาแฟนคลับของผม ถ้าเห็นคุณแก้มไปไหนมาไหนกับผมติดตามผม ช่วยให้เกียรติเธอด้วยเหมือนกับที่ให้เกียรติปาร์คจุนจีซารางเฮโย...ขอบคุณครับ”
จุนจีทำท่ามือชนกันเป็นรูปหัว ใจ แล้วจบแบบยกมือไหว้
“ไอ้บ้าเอ้ย! มันออกมาออดอ้อนแก้ข่าว ยกมือไหว้แค่นี้มีคนเข้ามาตอบกระทู้เป็น พันๆคน ตอบออฟฟิซเชี่ยลไลน์อีกเป็นหมื่น ไอ้พวกหลงดาราเกาหลีไอ้พวกติ่งไร้ สมอง โง่งมงาย ไปเชื่อมันได้ยังไงวะ อึ้ย!”
อติเทพเงื้อแท็ปเลตจะเขวี้ยงทิ้ง อรวีเดินออกจากครัวมาพร้อมแก้วกาแฟที่ชงให้อติเทพ ร้องบอก
“อย่าค่ะ”
อรวีรีบวางแก้วเข้ามาจับแขนที่เงื้อแท็ปเลตของอติเทพ พูดปลอบพลางดึงแท็ปเลตเก็บ
“ทำลายข้าวของไป คุณก็ไม่ชนะปาร์คจุนจีหรอกค่ะ”
อติเทพผลักอรวีผงะออกไป
“โว้ย! คนกำลังเซ็งๆ ยังจะมาพูดอย่างงี้อีกเหรอหะ รู้ไหมว่าฉันเหนื่อยฉันเครียด แค่ไหน เดี๋ยวกูก็ฆ่ามันซะให้รู้แล้วรู้รอด”
อรวีตกใจ
“อย่านะคะ อย่าให้มีคนต้องตายอีกเลย”
โกลเดนเบบี๋ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้อง รู้ทันที่ว่าอติเทพอยู่ในห้อง
“ฮึ่ม! นายอติเทพมาหาน้องวิอีกแล้ว ไอ้คนบาปหนา สวรรค์มีให้ไป ไม่ยอมไปคิด แต่จะขยันทำชั่ว ไปลงนรก”
โกลเดนเบบี๋เดินหายตัวผ่านประตูห้องเข้าไป ขณะเดียวกันพิมพ์พิลาศโผล่มาจากเงามืด มองมาที่ห้องด้วยสีหน้าโกรธ แค้น หึงหวง แล้วหายตัวเข้าไปยืนอยู่ในห้อง
ในห้อง…อติเทพยังคงนั่งเครียดพูดพล่ามอย่างสับสน
“ฉันแค่อยากเท่านั้นล่ะน่า คนอย่างฉันไม่ใช่โง่ๆ กว่าฉันจะมีวันนี้ เป็นนายอติเทพผัวเศรษฐีนีพันล้าน ฉันต้องทนลำบากกล้ำกลืนแค่ไหน”
อรวียืนฟังอย่างเห็นใจ โกลเดนเบบี๋นั่งฟังอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางอยากจะอ้วกกับคำพูดเลวๆของอติเทพ
“ฉันต้องลงทุนทำให้นังแก่นั่นตายใจ ต้องตามใจมันทุกอย่าง ทนปรนเปรอความหวานให้กับมัน ทั้งๆที่ฉันรักเธอคนเดียว”
“โหย...แบบนี้ก็เสร็จมันสิ ซึ้งเข้าไปใหญ่ ยัยอรวีเอ๊ย...”
โกลเดนเบบี๋ส่ายหน้า พิมพ์พิลาศยืนฟังอยู่ด้วย อรวีเดินเข้ามาโอบอติเทพทางด้านหลัง
“ถึงไม่ได้มรดกของคุณพิมพ์พิลาศ แต่ก็ยังมีสมบัติอื่นในบ้านอีกเยอะแยะ ทำไมเราไม่เอาสมบัติพวกนั้นไปขาย แล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศด้วยกันล่ะคะอติเทพ ตอนนี้ปาร์คจุนจีก็กลายเป็นศัตรูเราแบบเปิดเผยแล้ว มันไม่มีทางแบ่งอะไรให้คุณหรอก”
“หนีไปให้โง่น่ะซิ แค่ทำยังไง ที่จะบีบให้ไอ้จุนจีมันเซ็นยอมรับเท่านั้น ฉันก็จะเป็นผู้ชายที่รวยเละ หมดหนี้หมดสิน อรวี เธอต้องอย่ายอมแพ้สิ เราต้องอดทนไปด้วยกัน เธอต้องไม่ทิ้งฉันเข้าใจไหม”
อติเทพหันมากอดลูบไล้อรวี เพื่อมัดใจหลอกล่อให้ช่วยเขาต่อไป
“แล้วเราจะแต่งงานกัน เรื่องต่างประเทศน่ะ เรื่องสิวๆ ฉันจะพาเธอไปฮันนีมูนให้ทั่ว ฉันไปมาแล้วกะยัยแก่แร้งทึ้งทุกๆเมืองที่ว่าหรู ทุกๆโรงแรมดังห้าดาวในโลก”
“คุณพูดจริงๆนะคะอติเทพ”
โกลเดนเบบี๋ยกฝ่ามือปิดหน้าไม่อยากมอง
“อย่าไปเชื่อมันน้องวิ มันสตอเบอรี่ มันหลอกใช้”
ขณะที่อติเทพพยักหน้า
“จริงซิ ก็เธอช่วยฉันถึงขนาดนี้ ฉันจะลืมเธอได้ยังไง เราจะมีครอบครัวที่รวยมหาศาล อบอุ่น พรั่งพร้อม มีทุกสิ่งทุกอย่างจนเหลือเฟือ เราจะนั่งแต่รถเฟอรารี่ แลมโบกินี่ พอร์ช...”
อติเทพก้มลงจูบซอกคออรวี อรวีกำลังเคลิ้มแล้วตาต้องเบิกกว้างช็อค เมื่อมองเห็นวิญญาณหึงหวงของพิมพ์พิลาศลอยผ่านเข้ามาประตูมายืนมองด้วยใบหน้าโกรธโปนไปด้วยเส้นเลือด
“อรวี...ฉันเคยนึกว่า เธอน่ะ น่าสงสาร ใสๆ แต่ที่แท้ เธอมันเนรคุณ เธอเป็นงูพิษอีกตัว ที่ลอบกัดฉันข้างหลัง”
โกลเด้นเองก็ตกใจอ้าปากค้าง
“ย๊าย...พิมพ์พิลาศบุก”
“อ๊าย”
อรวีตกใจผลักอติเทพอย่างสุดแรง จนผงะออก
“โอ๊ย! ผลักฉันทำไมวะ เจ็บนะเว้ย เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“ผะๆ...ผีคุณพิมพ์พิลาศ”
“เฮ้ย!พูดเพ้อเจ้ออะไรของเธอเนี่ยะ ผีเผอที่ไหน”
“ก็นั่นนั่นไง ผีคุณพิม...อ็อกกก”
อรวียังพูดไม่ทันจบก็ต้องตาเหลือก เมือพิมพ์พิลาศลอยมาบีบคอ ทำเอาโกลเดนเบบี๋กรี๊ดลั่น
“อร๊าย...อย่าทำน้องหนู”
พิมพ์พิลาศไม่สนบีบคออรวีแน่นขึ้น พร้อมกับยกร่างอรวีสูงขึ้น
“เฮ้ย...อะไรวะนั่น”
อติเทพช็อค เมื่อเห็นร่างอรวีลอยสูงขึ้นเอง 2 มือจับที่คอตัวเองดิ้นรน ตาเหลือกถลนมองมาที่อติเทพอย่างขอความช่วยเหลือ
“อ็อกก....ช่วย...ด้วย”
ไฟในห้องก็เกิดติดๆดับๆ ด้วยพลังอาฆาตของพิมพ์พิลาศที่เพิ่มมากขึ้น โกลเดนเบบี๋ร้องห้าม
“ปล่อยน้องสาวหนูเดี๋ยวนี้นะคุณย่า อย่าฆ่าน้องสาวหนู อย่า...”
โกลเดนเบบี๋พยายามเข้าไปดึงมือ จนตัวโหนกับแขนพิมพ์พิลาศไปมา แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะพิมพ์พิลาศกำลังโกรธสุดขีด พลังวิญญาณสุดเฮี้ยน จนเลือดไหลออกจากตา ทำให้อติเทพได้เห็นภาพวิญญาณพิมพ์พิลาศเป็นครั้งแรก กำลังบีบคำอรวี อติเทพถอยตัวหนีหลังชนฝา
“น้องสาวแกมันร่าน มันแย่งผัวฉัน แกตายซะเถอะ...ตาย”
“น้องสาวหนูถูกหลอกใช้! ก็เหมือนกับคุณย่านั่นแหละที่หลงไอ้เทพบุตรจากนรกตัวนี้ จนหูหนวกตาบอด ไม่เคยรู้ว่ามันอยากได้สมบัติแต่ไม่เคยรักคุณย่าเลย คุณย่าถูกหลอกจนตาย”
“ฉันถูกหลอก...ฮือๆ”
ได้ผล...พิมพ์พิลาศร้องไห้คร่ำครวญออกมาอย่างอ่อนแอ ทำให้พลังอ่อนลงไปด้วย มือปล่อยคออรวีร่วงกับพื้น อรวีนอนหายใจเฮือกๆอย่างหมดแรง ขณะที่พิมพ์พิลาศร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดหันมาทางอติเทพ
“ทำไมถึงทำกับฉันยังงี้อติเทพ ฉันรักแกสุดหัวใจ ทำไมถึงทรยศฉัน”
“อ๊าก...พี่พิม...ไปผุดไปเกิดซะ...อย่ามาหลอกกันเลย อ๊าก”
อติเทพร้องโหยหวน
อติเทพขับรถไปโดยมีอรวีนั่งมาด้วยกันด้วยความเร็วสูง สภาพของทั้งคู่ยังคงอยู่กับความหวาดกลัว หวาดระแวง เพราะถูกผีพิมพ์พิลาศหลอก ทั้งสองคนผมหัวตั้งๆฟูๆ อรวีหันมามองอติเทพ
“แน่ใจเหรอคะว่า มานี่แล้วจะช่วยได้”
อติเทพหัวเสีย
“ไม่รู้เว้ย! ก็เพื่อนมันบอกมาว่าที่นี่เจ๋ง ก็ต้องลองดู จะอยู่เฉยๆให้ผีพี่พิมตามหลอกหลอนอยู่อย่างนี้เหรอ มีหวังได้ตายตามไปเป็นผีด้วย ตอนเป็นคนฉันอยู่ด้วยก็เข็ดเต็มทนแล้วอย่าให้ต้องเป็นผีไปเจอยัยกากชาชงแล้วแห้งๆอีกเลย”
อาจารย์คงสวมชุดขาว หน้าตาดุดัน รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา ที่คอห้อยสร้อย ประคำสีดำหลายเส้น ผมเกล้ามวยเป็นกระจุกเล็กๆกลางกระหม่อม นั่งอยู่ในสำนัก มองอติเทพ และอรวี
“เอ็งสองคนโดนวิญญาณตามมาล่ะสิ”
“เอ่อ...ครับ มันตามมาจะฆ่าเอาเลยล่ะ ผมหัวจะโกร๋นอยู่แล้ว”
“วิญญาณเมียเก่าเมียแก่ก็แบบนี้...ธรรมดา อยากมีเมียใหม่เต็มทีแล้วล่ะสิ...” อาจารย์คงชี้ไปที่อรวี
อติเทพทึ่ง
“อาจารณ์รู้ โอ้โห อาจารย์นี่แม่นจริงอะไรจริง”
“อ้าว…ไอ้นี่ ไม่แม่นได้ไง เพื่อนเอ็งโทมาบอกตะกี้”
“แล้วนี่...ตกลงอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า” อติเทพเริ่มสงสัย
“ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอาศรมข้าปลุกเสกในระบบทรีดี เฮ็ดดี ป่านนี้ไอ้วิญญาณอีแก่มันเข้ามาบีบคอเอ็งแล้ว อินี่มันเฮี้ยนมาก พวกเอ็งสองคนไปจองเวร จองกรรมมันเอาไว้ วิญญาณตายโหง ถูกคนฆ่าตาย มันเลยจะเอาคืน”
อติเทพอึ้งๆ
“ทำไมอาจารย์พูดยังกะผมไปฆ่าเขา”
“พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะคะ หมอพูดแบบนี้ มันไม่ใช่นะคะ” อรวีไม่พอใจ
อาจารย์คงมองซ้าย ขวา
“จุ๊ๆ ไม่ต้องกลัว แถวนี้ไม่มีซ่อนกล้อง หรือเครื่องดักฟัง หรือเทป ถ้าโดนจับ ให้บอกว่า...จะให้การในศาลเท่านั้น”
“อาจารย์”
“อ่าล้อเล่น...หุๆ ข้าไม่พูดไปหรอกน่า ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกะคดีความอะไรทั้งนั้น ข้าขอพูดคุยตกลงกะผีเท่านั้น รับรองว่า ไม่มีอะไรที่ต่อรองกันไม่ได้ถ้า...”
“ถ้าอะไร”
“ถ้ามีเงิน ฮี่ๆ”
อติเทพถอนใจเซ็ง
“อาจารย์จะเอาค่าไล่ผีเท่าไหร่ก็บอกมาซี”
“มี 3 ราคาให้เลือก แล้วแต่ระดับความเฮี้ยนของผี เฮี้ยนระดับอนุบาลก็ 3 หมื่น เฮี้ยนมากขึ้นระดับมัธยมก็ 6 หมื่น แต่ถ้าเฮี้ยนระดับสุดโค่ยก็แสนนึง ฮี่ๆ เมียหลวงเอ็งเฮี้ยนระดับไหนล่ะ”
อติเทพตัดสินใจบอก
“ระดับสุดท้าย”
“ฮี่ๆ ระดับสุดโค่ย อาจารย์ชอบ เดี๋ยวจะจับถ่วงน้ำให้เดี๋ยวนี้เลย”
“สงสารเขาค่ะอาจารย์ มันบาปกรรม” อรวีกังวล
อติเทพกระแทกอรวีให้เงียบ
“จัดการได้เดี๋ยวนี้เลยเหรออาจารย์”
“ก็ใช่น่ะเซ่ จะเก็บผีเมียเก่าไว้รอถ่านไฟเก่าคุหรือไง”
“แล้ว...ผมต้องทำยังไงมั่ง”
“แค่มีข้าวของเครื่องใช้ ของเมียเก่าเอ็งมาสักชิ้นก็พอแล้ว”
อติเทพนิ่งคิด
บริษัทซิกส์เซนส์...พงอินทร์เดินถือถาดใส่ของกินมา ผ่านห้องน้ำแล้วชะงัก เพราะประตูห้องน้ำแง้มๆ มีเสียงอ้วก โอ๊กอ๊าก ออกมา พงอินทร์ตกใจ รีบวางถาดที่โต๊ะ รีบเปิดเข้าไปดูเห็นกรรณาก้มหน้า ล้างหน้าล้างตาอยู่
“กรรณเป็นอะไร”
“อ้วกนิดหน่อย”
กรรณาเดินออกมา เอามือเช็ดหน้าพลาง พงอินทร์หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ตัวเองที่พับเอี่ยมออกมาจากเป๋ากางเกง แล้วจัดแจงเช็ดให้
“อะไรกัน แค่ไปอยู่กะฉันแป๊บเดียว แพ้ท้องเลยเหรอ”
“ไอ้บ้าโจ้”
กรรณากำหมัดจะชก พงอินทร์จับไว้
“ล้อเล่นน่า แปลว่ายังไม่หายไข้นะ หรืออ้วกเพราะท้องว่าง หรือเจ็บคอหรือเปล่า”
“อ๋อ ไม่ใช่หรอก บางที ถ้าเราใช้พลังมากๆ เวลาเจอวิญญาณหรืออาคมแรงๆ มันก็ทำให้อ้วกแตกแบบนี้แหละ”
พงอินทร์ตกใจ
“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เธอนึกว่าคนเขาสู้กะผีกันง่ายๆ สนุกๆเหรอ..ปกติ ฉันก็ไม่เคยเป็นนะ แต่ตอนนี้ร่างกายมันอ่อนแอ ไม่เต็มร้อย ก็เลยแย่”
พงอินทร์มองหน้า เอามือลูบๆผมให้พ้นหน้าผาก จับผมทัดหู แล้วจับแก้ม อังหน้าผาก
“ตัวก็ยังอุ่นๆนะ”
กรรณามองหน้า
“แล้วนายไม่กลับบ้านอีกเหรอ...ดึกแล้วนะ”
“ก็...อยากอยู่เป็นเพื่อนเธอ”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก ฉันมีเพื่อนเยอะแล้ว”
“ขาดอยู่ก็แต่...”
“อะไร...พูดดีๆนะ”
“ก็...ไม่อยากให้อยู่เป็นเพื่อน งั้นอยู่เป็น..แฟน..ได้ปะ”
พงอินทร์มองหน้าจริงจัง กรรณาส่ายหน้า
“นายนี่...พูดเล่นไปเรื่อยเลยนะ อุ๊ย...นั่น... ของใคร”
กรรณามองถาดของกิน
“ของเธอแหละ ฉันหามาให้”
“จริงดี้”
“ไม่จริง...พูดเล่น”
กรรณาอึ้ง ซึ้งใจ
“ขอบคุณนะ“
กรรณามานั่งที่โซฟาตรงโต๊ะนั่งเล่น แล้วกินอย่างหิวโหย พงอินทร์ยืนมองอย่างห่วงๆ และเอ็นดู ที่เห็นกรรณากินอย่างน่าอร่อย กรรณากินสักพัก นึกได้ มองหน้าพงอินทร์
“อ้าว แล้วนายล่ะ กินอะไรยัง หิวไหม”
พงอินทร์ยิ้ม
“รอเธอชวนอยู่นี่แหละ”
พงอินทร์ลงมานั่งข้างๆ แล้วกินไปด้วย ทั้งสองกิน ดื่มน้ำ แล้วนั่งใกล้กันมากๆจนไหล่พิงกัน กรรณาดูเหนื่อยๆ พงอินทร์ดึงมาพิง กรรณาก็ไม่ขืนตัว เอนพิงไปแบบไม่ค่อยมีแรง พงอินทร์ค่อยๆเอาแขนมาโอบ จับให้กรรณาพิงมาที่ตัวเองเต็มที่ กรรณาหลับตาลง อย่างอ่อนล้า
“เป็นพวกซิกเซ้นส์นี่...ฉันไม่รู้มาก่อนเลยนะ ว่าพวกเธอต้องเจอกับเรื่องอันตรายขนาดนี้”
กรรณาปรือตามามอง
“อีกหน่อยนายก็ชิน แต่ถ้านายรู้สึกว่า ฉันมันเป็นพวกตัวประหลาดเกินกว่าที่นายจะรับไหว จะกลับตัว ไม่ต้องมาสนิทกันก็ยังทันนะ”
พงอินทร์ยิ้ม แล้วดึงกรรณามากอดที่ไหล่
“พอดีฉันชอบคนประหลาดอยู่แล้ว น่าจะพอไหวนะ”
พงอินทร์หันมอง กรรณาหลับผล็อยไปแล้ว พิงอกพงอินทร์อย่างสบาย
เนตรศิตางศ์เดินนำวรวรรธกับณัฐเดชเข้าไปในบ้าน
“หมอหิวไหม” ณัฐเดชหันมาถาม
“หิวมื้อดึกเหรอคะ งั้นเดี๋ยวเนตรทำข้าวต้มปลาดุกฟู” เนตรศิตางศ์อาสา
ณัฐเดช กับวรวรรธพูดพร้อมกันเสียงดัง
“ไม่ต้อง”
วรวรรธรีบแก้ตัว
“คือ..เดี๋ยวผมต้มน้ำใส่บะหมี่ถ้วยให้นะ”
ณัฐเดชรีบสนับสนุน
“ดีๆ เอาๆ ไม่ได้กินมาตั้งนานละ บะหมี่สำเร็จรูป ใส่ไข่ แล้วเติมพริกเยอะๆ ว้าว พูดแล้วน้ำลายหก”
เนตรศิตางศ์เหล่
“ทำไมล่ะคะ ของแบบนั้นมันจะอร่อยกว่าอาหารดีๆ ที่เนตรจะทำเหรอ”
วรวรรธยิ้ม
“ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ...แต่...เนตรใช้พลังไปมากแล้ว เนตรอย่าเหนื่อยอีกเลย เนตรควรพักมากกว่า”
“ใช่ๆ มาๆ” ณัฐเดชจับเนตรนั่งลง “วันนี้เนตรผ่านภารกิจมาอย่างโชกโชนแล้ว เนตรควรได้รับการดูแลจากพี่และหมอ”
“เดี๋ยวผมจัดให้ครับ” วรวรรธรีบไป
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
เนตรศิตางศ์ยืนๆแล้วโงนเงน ณัฐเดชรีบประคอง
“เนตรหน้าซีดมากเลย ไหวมั้ย”
“ไหวค่ะ แค่เพลียไปหน่อย เดี๋ยวคืนนี้นอนพัก พรุ่งนี้ก็คงหาย”
วรวรรธเดินกลับออกมา
“เนตร...ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่ดูแลเนตรเอง พี่ณัฐ...ผมไม่ไว้ใจ...ว่า...หลังจากเนตรเจอเรื่องวันนี้ แล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า”
ณัฐเดชพยักหน้าเห็นด้วย
“ได้...ความปลอดภัย และสุขภาพของน้องฉัน สำคัญที่สุด...นายไม่ต้องกลัว ฉันไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรอกน่า”
วรวรรธจับมือเนตรศิตางศ์ แตะชีพจรอย่างห่วงใย
“ชีพจรปกติ แต่ขอวัดความดันก่อนดีกว่า เพื่อความมั่นใจ”
วรวรรธกุลีกุจอ เอาที่วัดความดันออกมาจากกระเป๋า ณัฐเดชมองอย่างวิตก
แสงจันทร์สีเหลืองนวลสาดส่องมายังสำนักอาจารย์คง ยามความมืดเข้าปกคลุม ภายในบ้านอาจารย์คงเริ่มพิธี จุดเทียนที่โต๊ะหมู่บูชาที่มีแต่หัวกะโหลก หัวกะโหลกสัตว์ เทวรูปซาตาน ก่อนจะมานั่งลงพนมมือ มีพานหัวกะโหลกใส่ ผ้าพันคอของพิมพ์พิลาศวางอยู่ตรงหน้า
“ผ้าพันคอของเมียเก่าผมพอได้นะครับ” อติเทพถาม
“เออได้...ข้าจะเริ่มพิธีปลุกเสกวิญญาณล่ะนะ พวกเอ็งสองคนถ้าเห็นอะไรล่ะก็หุบปากให้เงียบ อย่าเอะอะโวยวายเด็ดขาด มันจะเสียพิธีแล้วของมันจะวิ่งเข้าตัว เข้าใจนะ”
อติเทพกับอรวีที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างหวาดๆพากันพยักหน้า อาจารย์คงหันไปพยักหน้าบอกลูกศิษย์ชายโพกหัวเป็นกะเหรี่ยงท่าทางผอมแห้งสองคน ลูกศิษย์เดินเอาแผ่นหนังสัตว์จารึกตัวอักษรขอมโบราณวางลงบนโต๊ะหน้าอาจารย์คง จากนั้นอาจารย์ก็คว้าผ้าพันคอมากำไว้ เริ่มบริกรรมคาถาด้วยภาษาที่ชวนขนลุก เสียงบริกรรมคาถาผ่านไปครู่หนึ่ง ฤทธิ์แห่งเวทก็ทำให้เกิดลมภายนอกบ้านพัดแรงขึ้นจนเกิดเสียงดังวู้ๆ ลมพัดแรง ทำให้ต้นไม้เอนไหว พระจันทร์ปรากฏมีเงาดำมาพาดผ่าน ตามมาด้วยเสียงหมาเห่าหอนรับกันเป็นช่วงๆ เสียงหมาหอนทำให้อรวีกลัวจนต้องเบียดเข้ากอดแขนอติเทพไว้ มุมห้อง ลูกศิษย์สองคนนั่งกอดกันกลมดิก เปลวเทียนที่ปักอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาไหวระรัว แรงขึ้นๆ
หน้าสำนักอาจารย์คง ลมพัดปั่นป่วนไปทั่ว พร้อมเสียงหมาเห่าหอนที่โหยหวนมากขึ้น วิญญาณพิมพ์พิลาศปรากฏขึ้น มองไปที่สำนักอาจารย์คง
“ที่นี่ที่ไหน ใครเรียกฉันมา...เรียกฉันมาทำไม”
อติเทพกับอรวีต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงพิมพ์พิลาศดังโหยหวนมากับสายลม อาจารย์คงแปร่งเสียงบริกรรมคาถาดังขึ้นเรื่อยๆ อาจารย์ยื่นมือไปกำขี้เถ้าในโถทองเหลือง เงยหน้าจากแผ่นหนังสัตว์จารึกคาถา ปาขี้เถ้าไปที่พื้นบ้านตรงหน้า ปรากฏกลุ่มควันคลุ้งขึ้นทันทีเมื่อควันจางไป วิญญาณโหงพรายสองตัวรูปร่างอัปลักษณ์ หมอบอยู่ที่พื้น มันเงยหน้าขึ้น ที่ปากของพวกมันถูกเย็บไว้ด้วยด้าย อรวีกับอติเทพแทบช็อค แม้แต่ลูกศิษย์ทั้งสองยังผวา
อาจารย์คงชักมีดอาคมออกมา ชี้ไปที่โหงพรายทั้งสองพร้อมออกคำสั่ง
“วิญญาณนังแก่ มันโดนจิกหัวมายืนเบลออยู่ที่หน้าสำนักแล้ว ไปจับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
โหงพรายทั้งสอง พยักหน้า ก็จะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูบ้านแล้วร่างก็หายแว๊บไป
“รออีกแป๊บเดียว ไอ้โหงพรายของข้า มันก็จับนังผีเมียเก่าเอ็งมาให้ข้าจับทำเมีย เอ๊ย มาจับยัดใส่ขวดสะกดวิญญาณแล้ว”
อาจารย์คงพูดพลางคว้าขวดสีขาวที่มีอักษรขอมสีดำผูกมัดวิญญาณเขียนไว้ มาวางลง ที่ตรงหน้า
ด้านนอก....พิมพ์พิลาศใช้มือทั้งสองข้างที่มีเล็บโง้ว ตวัดตบหน้าโหงพรายทั้งสองไม่ยั้ง จนเป็นแผล เหวะหวะ โหงพรายทั้งสองร้องโหยหวน สองมือจับหน้าอย่างเจ็บปวด
“ไอ้วิญญาณ สถุน อย่างพวกแก ตอนเป็นคน ก็คงทำแต่เรื่องต่ำช้า ตายไปแล้ว ถึงต้องมารับกรรม ตกเป็นเครื่องมือไอ้หมอผี ให้มันใช้ก่อกรรมทำเข็ญต่อ อย่าไปผุดไปเกิดกันเลย ไปนรกกันให้หมด”
ภายในสำนัก...ปรากฏกลุ่มควันคลุ้งลอยเข้ามาในห้องที่พื้นตรงหน้าของอาจารย์คง ปรากฏร่างโหงพรายทั้งสอง นอนบิดโอดครวญด้วยสภาพร่างกายที่เหวอะหวะก่อนจะหายตัวไป ทำเอาอาจารย์ตกใจ ลุกขึ้น
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นคะ” อรวีตกใจมาก
“วิญญาณเมียเก่าของเอ็งนี่ มันระดับสุดโค่ยจริงๆด้วย ซวยละ” อาจารย์คงตะลึง
“นี่มันแปลว่าอะไร อาจารย์ อาจารย์เอาไม่อยู่แล้วใช่ไหม” อติเทพตกใจ
“เอาอยู่ๆ คนอย่างข้า...เอาอยู่อยู่ละ แต่...แบบนี้...ต้องขอขึ้นราคา”
“เท่าไหร่”
“สองแสน”
“หา..ปราบผี หรือออกรถกระบะ”
“ไอ้หน้างก นังแก่มันยืนรอเล่นพวกเอ็งอยู่หน้าบ้านแล้ว ถ้าเอ็งไม่จ่ายสองแสน ข้าก็คงต้องขอถอนตัว มันเสี่ยงมาก เสี่ยงถึงชีวิต จะจ่ายไม่จ่าย ถ้าไม่ตกลงที่สองแสน ข้าหยุดพิธีเดี๋ยวนี้”
อติเทพไม่พอใจ อรวีรีบบอก
“ให้เขาไปเถอะค่ะ คุณอติเทพ เงินสองแสน เราหาใหม่ได้ แต่ถ้าวิญญาณคุณพิมพ์พิลาศหลุดเข้ามา เราคงไม่มีชีวิตไปหาเงินได้อีกแม้แต่บาทเดียวนะคะ”
“ก็ได้ๆสองแสนก็สองแสน”
“ฮ่ะๆ”
อาจารย์หัวเราะชอบใจ คงทรุดลงนั่งอย่างเดิม เตรียมพร้อมอุปกรณ์เครื่องรางของขลังรับมือพิมพ์พิลาศ แล้วพนมมือท่องคาถาอีกครั้ง ก่อนจะตะโกนออกไป
“นังผีเมียหลวง เก่งจริงแกเข้ามาในสำนักซิ มาสู้กับฉันตัวต่อตัว”
ลมกระโชกแรงจนหน้าต่างแต่ละบานสั่นพึ่บพั่บเสียงดังไปหมด ทันใด พิมพ์พิลาศปรากฏกลางห้อง ใบหน้าโกรธเกรี้ยว
“ไอ้คนหยาบช้า หลอกหากินบนความเดือดร้อนของชาวบ้าน แกกล้ามาลามปามปีนเกลียวกับฉันงั้นเหรอ”
“ก็แกอยากมาหลอกหลอนผัวแกกับนังเมียน้อยทำไม ตายไปแล้วยังคิดว่าเขาจะรักแกลงอีกเหรอ ตอนเป็นคนเขายังกลืนไม่ลง แล้วตายแล้ว ใครเขาจะหอมซากผีของแก”
ลูกศิษย์อาจารย์คงทั้งสอง รีบเปิดประตูวิ่งหนีโวยวายออกไปจากห้อง อติเทพกับอรวีอ้าปากค้าง ตาเหลือกถลนตกใจสุดขีด พิมพ์พิลาศชี้ไปที่อติเทพทันที
“ไอ้อติเทพ ไอ้ชั่ว แกกล้าเอาหมอผีมาจับฉันเหรอ แกมันเศษมนุษย์”
แต่อาจารย์คงไวกว่า มือกำข้าวสารเสกท่องคาถาอย่างเร็วแล้วซัดไปที่ตัวพิมพ์พิลาศ
“อร๊าย”
พิมพ์พิลาศร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด วิญญาณเธอไม่เคยเจออาคมหมอผีมาก่อน
“ทำไมถึงเจ็บปวดอย่างงี้ ไอ้หมอผีสถุลแกเอาอะไรมาปาฉัน”
“ฮ่ะๆ น่าสมเพชอีผีคุณนายไฮโซ ไม่เคยลิ้มลองข้าวสารเสกนี่คงเป็นครั้งแรกของแกซินะ งั้นชิมน้ำมนต์ที่ฉันเสกเองดูบ้างเป็นไง”
อาจารย์คงคว้าขวดน้ำมนต์สาดใส่ น้ำมนต์ถูกพิมพ์พิลาศก็เกิดเป็นควันราวกับถูกน้ำกรด
“อร๊าย...เจ็บปวด ร้อนลวกไปหมดแล้ว ไอ้คนใจร้าย แกมันสกปรกโสโครก เหี้ยมโหดไร้เมตตาธรรม เก่งจริงอย่าใช้อาคมซิ มาสู้กับฉันตัวต่อตัวด้วยบุญบารมีสิ”
“เรื่องอะไร กูไม่มีหรอก บุญบารมี มีแต่บาปบารมี รับมือกับวิญญาณตายโหง หึงหวงผัวอย่างแกมันต้องใช้ของแบบนี้ ถึงจะสะใจซาดิสท์เว้ย”
อาจารย์คงคว้าไม้หวายลงอาคมฟาดไปที่พิมพ์พิลาศอีก ทำเอาร่างพิมพ์พิลาศลงไปนอน กับพื้น
“อร๊าย ฉันจะฆ่าแก”
พิมพ์พิลาศลุกขึ้นกระโจนใส่จะบีบคอ แต่อาจารย์คงไวกว่า คว้าด้ายสีเหลือง ทองเส้นเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อปาออกไปใส่ ด้วยมนต์ดำ...เชือกเส้นนั้นขยายตัวกลายเป็นงูเหลือมสีเหลืองทองอร่ามรัดร่างพิมพ์พิลาศเอาไว้ เธอพยายามดิ้น มันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้หมอเถื่อน...ปล่อย”
“ฉันปล่อยแกแน่ แต่ปล่อยเข้าไปอยู่ในขวดนี้”
อาจารย์คงหยิบขวดขึ้นมาพนมท่องคาถา เป่าพ่วงๆ 3 ครั้งแล้วยื่นปากขวดไป งูอาคมเลื้อยกระโจนเข้าปากขวด กลายเป็นกลุ่มควันย่อส่วนพาพิมพ์พิลาศเข้าขวดไปด้วยพร้อมเสียงกรี๊ดร้องของพิมพ์พิลาศ
“จักรช่วยย่าด้วย”
อาจารย์คงใช้จุกผ้ายันต์สีดำปิดฝาขวด
ญาณินนั่งหน้ากระจกในห้องนอน เธออาบน้ำแล้ว สดใสขึ้น สุคนธรสหวีผมถักเปียให้ กรรัมภาในชุดนอน นอนท้าวคาง มองดูอยู่บนเตียง
“รส...กลับบ้านไปพักบ้างก็ได้นะ”
สุคนธรสส่ายหน้า
“ไม่เอา...ฉันจะนอนกะเจ๊ เราจะนอนกันสามคนเนอะยัยแก้ม เหมือนสมัยอยู่หอพักมหาลัย...”
“ดีๆ ฉันก็คิดถึงบรรยากาศแบบนั้นของพวกเรามาก” กรรัมภาเห็นด้วย
“อ้าว...แล้ว...สามีแกล่ะยัยรส”
“ช่างสามี ฉันเป็นห่วงเจ๊มากกว่า สามีหาง่าย เพื่อนตายหายาก”
กรรัมภาเหล่
“หาง่ายจริงหรา?”
สามสาวหัวเราะกัน อรวรรณในชุดนอน เปิดเข้ามาพร้อมผ้าห่ม มาที่ที่นอนที่ปูเพิ่มหน้าเตียง
“อ้าว...สนุกอะไรกันอยู่นะ แหม...คุณหนูหัวเราะได้แล้ว ป้าได้ยินคุณหนูหัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่น้า”
“ป้าออ..คืนนี้ป้าออหลับให้สบายเถอะค่ะ แก้มรู้..ว่าป้าไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นมานานละ”
“งั้นป้านอนด้วย เป็นสี่สาวเลยนะ”
“เอ๊ะ แล้วยายกรรณล่ะ” กรรัมภาสงสัย
“โอ๊ย...อย่าไปสนใจเขาเลยค่ะ..เขากำลังพักผ่อน หลับไปละมั้ง”
ทั้งสี่ล้มตัวลงนอน ญาณินบ่น
“ไม่รู้ว่า..ติณห์จะเป็นไงมั่ง”
สุคนธรสพยักหน้า
“ไม่รู้ว่า..ไอ้หมอสมคิด..มันจะเอาไง”
“ยิ่งคิด ยิ่งห่วงติณห์”
“งั้น...เราต้องรีบหลับเอาแรงเลย หยุดคุย”
กรรัมภาแย้ง
“ทำไมล่ะ ฉันมีเรื่องอยากคุยเยอะมากเลย”
“พรุ่งนี้เราต้องเตรียมตัวทำศึกหนัก ฉันคิดว่าที่เราเจอมา มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น มันจะต้องมาแก้แค้นพวกเราแน่ๆ ถ้าเรายังเดี้ยงกันคนละนิดละหน่อย เราจะเสร็จมัน”
สุคนธรสบอกอย่างหนักใจ อรวรรณเสนอ
“ป้าว่า เรามาช่วยกันสวดมนต์ ให้พระพุทธคุณ คุ้มครองคุณติณห์กันเถอะค่ะ”
ทั้งสี่ลุกนั่งแล้วพนมมือ สวดมนต์ด้วยกัน
เบญจานอนหลับอยู่บนเตียง เพราะความอ่อนเพลีย ติณห์นั่งเฝ้าเพราะความจำยอมอยู่ข้างเตียง เวลาที่นาฬิกาบอกเวลา 00.05 น.
ติณห์สังเกตว่าเบญจานอนหลับสนิท ก็ค่อยๆย่องไปที่ประตูห้อง พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออก มาเพราะจะโทรหาญาณิน ติณห์เปิดประตูห้องออกมา ชะงัก รีบเก็บมือถือแทบไม่ทัน เพราะกรกฎยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง จ้องมาที่เขาเขม็ง ติณห์ฝืนยิ้ม
“เบญจาหลับไปแล้ว ผมจะกลับห้อง ถ้ามีอะไรไปตามผมได้ทันทีเลยนะ กอ รอ กอ ดอ”
กรกฎไม่ตอบ ติณห์หุบยิ้ม ตัดสินใจเดินไป
ติณห์เดินมาหน้าบ้าน จะหาทางหนีทีไล่เพราะโดนตามแจตั้งแต่เบญจาฟื้นช่วงบ่าย ติณห์กำลังจะล้วงมือถือขึ้นโทร แต่หันไปมองที่หน้าบ้านตัวเอง เห็นกรกฎยืนกอดอกมองเขาอยู่
ติณห์หันกลับมาอย่างเซ็งๆ
“ขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลยเว้ย...ญาณินคุณเป็นไงบ้าง ผมเป็นห่วงคุณ เหลือเกิน”
ดึกแล้วก้องฟ้า ยังนั่งหาข้อมูลที่โต๊ะทำงาน โดยมีไตรรัตน์กำกับ
“ดึกมากแล้ว พอได้แล้วมั้งครับ” ก้องฟ้าหาว
“สรุปว่า วิชาไสยศาสตร์หมอผีที่เจ๋งๆในโลกนี้ ฝั่งเอเชีย ก็มีของอินเดีย มลายู อินโด พม่า เขมร ทิเบต ฝั่งตะวันตก มีของพวกชนเผ่ามายัน และอินเดียนแดง คนดำแบบวูดู แม่มดยุโรปกลาง ผีดิบยุโรปตะวันออก งั้นพริ้นท์ออกมาให้หมดเลยก๊อง”
“เดี๋ยว...”
“เดี๋ยวอะไร...ก๊อง...แกเจอแหล่งไสยศาสตร์ที่ไหนอีกไหมเราต้องรู้ให้ได้สิ ว่าไอ้อาคมที่ยัยเบญจาใช้ มาจากแหล่งไหนกันแน่”
“ครอ...”
“ครอ...ครออะไร แกหมายถึงโครอาเซียเหรอ”
“คร่อก...”
ก้องฟ้าฟุบหลับลง ไตรรัตน์ส่ายหัว
“เอ๊า...จบข่าว...โอเค พักผ่อนๆ”
ไตรรัตน์จับก๊องให้นอนไปทางหนึ่ง แล้วตัวเองมากด ปริ๊นท์ข้อมูล สุคนธรสเดินมาดู
“ไตรรัตน์ ยังทำงานอยู่เหรอ”
“ผมให้ก๊องช่วยหาข้อมูลแหล่งไสยศาสตร์ต่างๆในโลก เพื่อจะให้คุณเอาไปเทียบเคียงกับวิชาชั่วต่างๆที่หมอสมคิดมันทำกับเรา รอแป๊บ..ต้องปริ๊นท์ทีละหน้า”
สุคนธรสมองอย่างทึ่ง ซึ้งใจ
“ไตรรัตน์”
ไตรรัตน์ตกใจ
“อะไร..ทำไม...”
สุคนธรสผวาเข้ามากอด
“ฉัน...ฉันสงสารคุณจัง คุณควรจะมีชีวิตแต่งงานที่มีความ สุขกับผู้หญิงธรรมดาๆ แต่นี่...คุณต้องมาเจอกับเรื่องแปลกๆ เพราะฉัน กับเพื่อนๆมาตลอด”
ไตรรัตน์ลูบผมสุคนธรสด้วยความรัก
“เพราะคุณกับเพื่อนคุณที่ไหนกัน นายติณห์ก็เพื่อนผม สมคิด...มันก็เป็นศัตรูของบ้านผม พวกคุณต่างหาก ที่ต้องมาเจอเรื่องบ้าๆพวกนี้เพราะคุณช่วยผม มันเรื่องของผมตรงๆเลย”
“เราจะต้องเจออะไรอีกมากแน่ๆ มันคงไม่จบง่ายๆ”
“แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกัน ต่อสู้ข้างๆกัน ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณคุณมากๆ”
“ผมก็ขอบคุณคุณมากๆ”
ทั้งสองกอดกัน มองตากัน แล้วค่อยๆจูบกัน ก้องฟ้าแอบเปิดดูแล้วตาลุก ก่อนจะปิดตาแน่น
อ่านต่อหน้า 3
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 15 (ต่อ)
เช้าวันใหม่...ติณห์ค่อยๆเปิดประตูหน้าบ้านออกมา มองซ้าย มองขวา ไม่เห็นใครแล้วค่อยๆวิ่งหลบเข้ามุมหนึ่งบริเวณโรงจอดรถ หลวงพิชัยภักดีโผล่มาข้างๆในสภาพไม่สมประกอบ
“ไอ้ติณห์”
“เฮ้ย !”
ติณห์ตกใจ หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“แกรนด์ปา ! โผล่มาแบบนี้ผมหัวใจวายตายพอดี”
“ขวัญอ่อนจังนะเอ็ง...เออ...พวกไอ้สมคิดไม่เห็นเอ็งใช่ไหมวะ”
“ไม่เห็น...อย่าช้าเลย เราไปกันดีกว่า”
ติณห์พูดจบจะขึ้นรถ แต่หลวงพิชัยภักดีโวยวาจนติณห์ชะงัก
“ฉันไปไม่ได้ ธูปล่ะจุดหรือยัง”
“เออ...ใช่...ลืมไปเลย”
ติณห์รีบควักธูปออกมา 1 ดอก แล้วจุดธูป ยกขึ้นไหว้ท่วมหัว
“ผมขอให้วิญญาณของแกรนด์ปา ติดตามผมออกไปจากบริเวณนี้ด้วยเทอญ...สาธุ”
ติณห์ลืมตาอีกทีหลวงพิชัยภักดี โผล่ไปนั่งเบาะหน้าเรียบร้อยแล้ว
“เร็ว...จะรอให้มันมาจับได้หรือไง”
“โอเคครับแกรนด์ปา...แหม…เร่งจนมือผมสั่นไปหมดแล้ว หายตัวว้าบไม่ได้บ้างก็ แล้วไป”
ติณห์บ่นไปพลางวิ่งไปเข็นรถพลางให้ไกลหน่อยแล้วค่อยสตาร์ทรถ กลัวพวกสมคิดได้ยิน
“นั่งสบายเลยนะแกรนด์ปา” ติณห์เข็นรถเหงื่อตก
“เป็นหนุ่มเป็นแน่น อย่าบ่นน่าไอ้ติณห์”
เข็นรถจนเห็นว่าไกลออกมาจากตัวบ้านแล้วก็รีบขึ้นรถ สตาร์ทแล้วรีบขับออกไปทันที
ตัดรับมุมหนึ่งในบริเวณบ้าน กรกฎโผล่ออกมามองรถติณห์วิ่งออกไปจนลับตา กรกฎสะบัดดัดคอซ้ายขวา ดัดมือกร๊อบๆ
กรรณาชงกาแฟอยู่ในครัว พงอินทร์ทอดไข่ดาวข้างๆ
“เธอ...เธอ..เตงชอบไข่แบบไหน”
“ทะลึ่ง”
“อะไรอ้า..ไข่ดาวเนี่ย เอาแบบไข่แดงสุกๆ หรือเป็นน้ำๆเละๆ หรือเอา แบบกรอบๆ หรือแบบนุ่มๆขาวๆ...มันทะลึ่งตรงไหน”
พงอินทร์ทำมือทำไม้ไปด้วย กรรณาหัวเราะ
“ยังจะมาขำอีก ผู้หญิงอะไร ในหัวคงมีแต่เรื่องนั้นตลอดๆ”
“ฉันล้อเล่น...ฉันเอาแบบสุกอ่อน นิ่มๆ ขาวๆ ไม่เอาสุกกรอบ แต่ไม่เอาเละๆ”
“Yes... mam...”
“แล้วเธอเอากาแฟแบบไหน”
“แบบไม่หวาน”
“เอ๊ะ จำได้...ว่าเธอชอบกินอะไรหวานๆนี่นา”
“ใช่...แต่ตอนนี้...ทุกอย่างมันหวานพอแล้ว ฉันไม่ต้องการน้ำตาลอีก”
กรรณาค้อน พงอินทร์หัวเราะ ไข่สุกพอดี พงอินทร์ตักใส่จาน อยู่ๆโทรศัพท์ดัง พงอินทร์หันไปดู
“ใครโทรมาแต่เช้า”
พงอินทร์หยิบมาดู แล้วรีบกดรับ...
“ครับผม..หนึ่ง...”
ริมถนนแห่งหนึ่ง น้ำหนึ่งยืนหน้าเย็นอยู่ ใส่แว่นดำ
“โจ้...หนึ่ง...หนึ่งคิดว่า...หนึ่งเจอเรื่องน่าสนใจบางอย่าง...เกี่ยวกับการตายของพี่สาวคุณที่บ่งชี้ว่ายัยช่อเพชร คือคนที่เกี่ยวข้องอย่างมาก”
“จริงเหรอ”
“ออกมาเจอหนึ่งเดี๋ยวนี้ ได้ไหมคะโจ้”
“เดี๋ยวนี้เหรอ ได้ๆที่ไหนนะ โอเคๆ”
พงอินทร์วางโทรศัพท์ หันมามองหน้ากรรณา
“มีอะไรคะ”
“เขามีเรื่องสำคัญจะบอกผม...ผมไปก่อนนะ แล้วมีอะไร จะรีบโทรรายงานนะ”
พงอินทร์วิ่งออกไปทันที กรรณาอึ้งมองตาม กาแฟ 2 แก้ว และไข่ดาวที่วางเก้อ
อรวรรณพยุงญาณินมาดูเดินเล่น ดูดอกไม้ด้านนอกบริษัท
“ดูเหมือนคำว่า ความสงบสุข ความราบรื่น ไร้อุปสรรค มันคงจะไม่มีจริง ในโลกนี้” ญานินบ่น
“ชีวิต...ต้องสู้นะคะ คุณหนู เราต้องไม่ท้อนะคะ เราต้องมีความหวังสิ”
“ศัตรูของเรามันน่ากลัวเหลือเกิน ป้าออคะ ณินเป็นห่วงเพื่อนๆทุกคน..เรา 5 คน จะสู้กับมันไหวไหม”
“ต้องได้สิคะ พวกเราเป็นคนดี คนดีต้องไม่แพ้คนชั่วสิคะ ถ้าโลกนี้ ความชั่วร้ายเป็นฝ่ายชนะ แล้วโลกมันจะเป็นโลกอยู่ต่อไปได้ไง ฟ้าต้องผ่า แผ่นดินต้องแยกเป็นเสี่ยงๆแน่นอน”
“ฟังดูแล้ว เหมือนโลกของเราจะใกล้วันนั้นเข้าไปเต็มทีแล้วนะคะ”
“โธ่...ไม่ค่ะ ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”
ทันใดรถของติณห์วิ่งตะบึงเข้ามา มีคุณหลวงนั่งมาด้วย อรวรรณ ญาณินตะลึง รถจอด ติณห์เห็นญาณิน ดีใจ รีบวิ่งลงมา
“ญาณิน”
“ติณห์”
ทั้งสองผวาเข้ากอดกัน อรวรรณยืนตะลึงดู หลวงพิชัยภักดีในสภาพสะบักสะบอม แว้บลงมา ยืนข้างๆ
“โอ๊ย..ดีใจๆ รอดมาได้ นี่ก็ว่าเป็นบุญนักแล้ว”
ติณห์จับตัวญาณินออก เพื่อมองดู
“ดาร์ลิ้ง...อาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม ที่รัก”
“คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ติณห์ แล้วคุณล่ะ มาได้ไง แล้วคุณแม่ล่ะคะ”
ญาณินหันมามองหลวงพิชัยภักดี ยกมือไหว้
“คุณหลวง ไปโดนอะไรมาคะ”
“คุณหลวง แกรนด์ปาคุณติณห์น่ะเหรอคะ..ท่านเป็นอะไรหรือคะ อวัยวะบางส่วนหายไปหรือคะ หัว..หรือแขนขาคะ” อรวรรณสงสัย
“เอ๊า..แม่คนนี้..ช่างจินตนาการจริงๆ ไม่ถึงขนาดนั้นจ้าแม่ แค่ช้ำในนิดหน่อย” หลวงพิชัยภักดีมองค้อน
“คุณหลวงโดนทำร้ายด้วยอะไรมาคะ”
“สถานการณ์มันเลวร้ายเกินกว่าที่เราจะรับไหวแล้ว ผมเลยตัดสินใจ ต้องออกมาก่อน แล้วค่อยไปช่วยมอม อยู่แบบนั้น ทุกอย่างมันจะแย่ลง ผมเหมือนคนถูกมัดแขนมัดขา ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ที่สำคัญ ผมเป็นห่วงคุณมากเหลือเกิน”
“ฉันก็ห่วงคุณ...ติณห์ ไอ้หมอสมคิดมันน่ากลัว มันจะฆ่าใครเมื่อไหร่ก็ได้”
ติณห์ดึงญาณินมากอดอีก
“ผมโอเค ที่รัก ยิ่งได้มาอยู่กับคุณแบบนี้ยิ่งโอเค ญาณินคุณคงไม่รู้ว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน ยิ่งได้รู้ว่าคุณมีอาการเหมือนเกือบจะตายไปแล้ว ผมก็แทบจะเป็นบ้า ไม่เอาแล้วนะ ญาณิน ผมจะไม่ยอมให้เราแยกจากกันอีกแล้ว พอกันที ผมไม่เอาอีกแล้ว”
ญาณินกอดติณห์แน่น ร้องไห้ อรวรรณเช็ดน้ำตา ฟืดฟาดไปด้วย หลวงพิชัยภักดียืนยิ้มชื่นใจกับความรักของทั้งคู่
น้ำหนึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหารกับพงอินทร์ เธอส่งโทรศัพท์มือถือให้ดู
“นี่เป็นเบอร์ของช่อเพชรที่ติดต่อหนึ่งมาเมื่อคืนนี้ค่ะ เธอพยายามถามเรื่องโจ้และ อยากจะคุยกับโจ้ เธอบอกให้หนึ่งโทรหาเธอทันทีที่เจอโจ้”
น้ำหนึ่งมองหน้าพงอินทร์เชิงรอคำอนุญาตว่าจะยังไง พงอินทร์ตอบอย่างมั่นใจ และอยากรู้
“หนึ่งโทรเลย”
น้ำหนึ่งกดมือถือโทรออกทันที พงอินทร์มองลุ้นๆ โดยไม่รู้ว่าเครื่องอัดเสียงเครื่องหนึ่ง วางอยู่บนโต๊ะในบ้านหลังหนึ่ง เสียงโทรดังขึ้นครู่หนึ่งสั้นๆ พลันเครื่องอัดเสียงหมุนเองแบบอัตโนมัติ
น้ำหนึ่งที่ถือรอสายอยู่นั้นรีบพูดทันที...
“ฮัลโหล ฮัลโหล อา..ใช่ๆ...คุณคุยกันเลย”
น้ำหนึ่งยื่นมือถือส่งให้พงอินทร์ พงอินทร์รับ
“คุณช่อเพชร”
เครื่องอัดเสียงตอบอัตโนมัติเล่นเสียงที่อัดเอาไว้ก่อนหน้านี้
“คุณพงอินทร์ ฉันรู้ว่าคุณตามหาตัวฉันอยู่ แต่ตอนนี้ดิฉันไม่มีเวลามากนัก ขอให้คุณตั้งใจฟัง ฉันกำลังอยู่ในอันตราย ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งหนึ่งไม่อาจเปิดเผยตัวได้ แต่ฉันมีเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับนายแผนยุทธ กับคุณพิมอรพี่สาวคุณ ที่อยากบอกคุณ…ภายในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า ฉันจะรอพบคุณ แค่นี้ก่อนนะคะ...”
เสียงสัญญาณหายไป
“ฮัลโหล เดี๋ยวสิ เฮ้ ฮัลโหล...”
“เธอวางสายไปแล้วเหรอคะ”
พงอินทร์พยักหน้า ก่อนยื่นมือถือส่งคืนให้น้ำหนึ่ง
“ตกลงเธอว่ายังไงบ้างล่ะคะ เล่าให้ฉันฟังบ้าง ได้ไหมคะโจ้”
พงอินทร์ถอนใจ ขณะที่น้ำหนึ่งแอบยิ้มเยาะ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เพราะก่อนหน้านี้ เธอเป็นคนอัดเสียงตอบเสียงโทรศัพท์อัตโนมัติ โดยเปลี่ยนเสียงให้คล้ายช่อเพชร
เนตรศิตางศุ์นั่งให้วรวรรธทาเล็บมือให้
“เล็บเนตรสั้นค่ะ เพราะเนตรทำกับข้าว ไว้เล็บยาวแล้วมันไม่สะดวก มันเลยไม่สวย ใช่ไหมคะ”
วรวรรธยิ้มให้
“ใครบอกว่าไม่สวย นี่สวยจะตาย ทาเล็บละสีเลยนะ”
เนตรศิตางศุ์หัวเราะ
“หมอชอบผู้หญิงไว้เล็บยาวๆ ทำเล็บแฟนซีๆหรือคะ”
“เปล่าหรอก ผมอยากเล่นทาเล็บเนตร”
“ฮ้า...อย่าบอกนะ ว่า...ที่จริง หมออยากเล่นแต่งตัวตุ๊กตา...หรืออยากทาเล็บตัวเอง”
“อยู่นิ่งๆสิ เดี๋ยวเลอะนะ”
“เนตรรู้แล้ว คุณหมออยากมีแฟนไว้เล็บยาวๆสวยๆจริงๆด้วย”
“เปล่า”
“ไม่จริง...คุณหมอชอบคนเล็บยาว”
“ก็บอกว่าเปล่า”
“ใช่สิ เนตรมันไม่ได้เรื่อง เล็บไม่สวย ไม่เซ็กซี่”
“อ้าว อะไรวะเนี่ย อยู่ดีๆก็หาเรื่อง”
“บอกมานะ ว่าชอบผู้หญิงเล็บยาว หรือเล็บสั้น”
“แล้วแต่เนตรเลย เนตรเล็บยาวก็ชอบ เล็บสั้นก็ชอบ ขอให้เป็นเนตรเป็นพอโอเคป้ะ”
เนตรศิตางศุ์ยิ้มแป้น
“โอเค...แบบนี้รับได้”
ทั้งสองคนต่างหัวเราะ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา วรวรรธมองโทรศัพท์แล้วรีบรับเมื่อเห็นชื่อว่าเป็นพงอินทร์…
“คร้าบ…คุณโจ้”
“หมอรีบออกมาหาผมด่วนครับ เรื่องสำคัญ ผมกำลังจะไปพบช่อเพชร อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะครับ”
“เอ่อ...ครับๆ ยังไงถ่วงเวลารอผมสักนิดนะ ผมจะรีบไป”
วรวรรธวางสาย แล้วหันมาบอกเนตรศิตางศุ์
“เนตร…ผมจะไปช่วยคุณโจ้พงษ์อินทร์สืบคดีพี่สาวเขานะ”
เนตรศิตางศุ์กระตือรือร้น
“มีความคืบหน้าหรือคะ”
“ครับ...มีผู้หญิง…ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเมียน้อยของพี่สาวเขา และอาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพิมอรด้วย ติดต่อมา”
“งั้นก็รีบไปสิคะ เร็วๆเข้า”
“เนตรไม่งอนนะ”
“จะงอนทำไม นี่หมอเห็นเนตรเป็นผู้หญิงงี่เง่า ไร้สาระรึไงคะ”
ณัฐเดชโผล่เข้ามาพอดี
“อ้าว หมอ เนตร เล่นทาเล็บกันเหรอ แหม...น่ารักๆ ตามสบายนะ มาเอาของแป๊บ...”
ณัฐเดชรีบขึ้นห้องไป เนตรศิตางศุ์เร่ง
“รีบไปเลยค่ะหมอ...เร็วๆ เดี๋ยวคุณโจ้รอ”
วรวรรธหันมา หอมแก้มเนตรศิตางศุ์ แล้วรีบออกไป
วรวรรธรีบเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่งที่จอดอยู่หน้าบ้าน คว้าหมวกกันน็อคมาสวม เสียบกุญแจจะสตาร์ทเครื่อง แต่มีมือหญิงคนหนึ่งมา จับมือเขาไว้ เขามองมือที่เล็บยาวสวยงาม ทาสีสด ดึงกุญแจไปพบว่าเป็นสุพิชชา ยืนยิ้มมีเลศนัยถือกุญแจรถไว้
“พีช” วรวรรธตะลึง
สุพิชชายืนแกว่งกุญแจรถของวรวรรธในมือไปมา
“เอาคืนมา…” วรวรรธหันมองเข้าไปในบ้านว่ามีใครเห็นไหม
“อย่าเล่นน่ะพีช”
“ใครว่าพีชเล่นล่ะคะ”
“พีช ผมต้องรีบไป”
“จะรีบทำไมคะ...เราก็ใช่ว่าเจอกันบ่อย คุยกันสักเดี๋ยวก็ได้”
สุพิชชาทำยื่นแกว่งกุญแจไปให้ วรวรรธยื่นมือมาจะรับ แต่ก็ถูกดึงกลับ
“พีช...ผมไม่สนุกด้วยนะ”
สุพีชชาหันหน้ามา จ้องตาวรวรรธ แล้วเดินตรงรี่เข้าไปใกล้ เหลือบมองไปข้างในบ้านแวบหนึ่ง ก่อนยื่นกุญแจไปจ่อตรงหน้า
“เมี้ยวๆ แมวขโมย อะไรกันเนี่ย พี่ชายเขาไม่อยู่ แอบมาไล่ตะครุบน้องสาวเขาหรือคะ พอพี่ชายมาปุ๊บถึงกับเผ่นเลย”
“หยุดทำตัวแบบนี้ได้ไหม เอามา”
วรวรรธคว้ากุญแจ
“ไม่ใช่โอกาสทองของเจ้า”
พลันสุพิชชากลับดึงกระชากมือวรวรรธเสียหลัง เหมือนรวบสุพิชชาเข้าไปกอดรวบไว้กับตัว เนตรศิตางศุ์เดินมาที่ประตู มองออกมาเห็นทั้งสองกอดรัดกันอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์เข้าพอดี เนตรศิตางศุ์อึ้ง
“พีช นี่คุณจะทำอะไรของคุณ ปล่อยผม”
สุพิชชาดังล็อคมือและแขนวรวรรธเอาไว้ที่ตัวเธอ ขณะที่เขาพยายามจะดึงออก เลยดูเหมือนเขากอดรัดตัวสุพิชชาไปมา สุพิชชาน้ำเสียงแข็ง กร้าว มีแววอาฆาตมากขึ้น
“หมอคะ...หมอยิ่งออกแรงดิ้นก็จะดูไม่ดีนะคะ คนในบ้านจะมองออกมายังไง...หมอมีความสุข แล้วพีชไม่มี หมอคิดว่าพีช จะยอมหรือคะ”
“พีช...คุณบ้าแล้วนะ คุณต้องพบแพทย์แล้ว ที่โรงพยาบาลของคุณก็น่าจะมีจิตแพทย์ไม่ใช่หรือ”
สุพิชชาเปลี่ยนกิริยาอาการไปเป็นคนละคน รวบกดมือทั้งสองของวรวรรธไว้ด้วยมือเดียว แล้วใช้อีกมือตวัดเกี่ยวโน้มคว้าต้นคอวรวรรธเข้ามาแนบหน้าเธอ จนดูเหมือนเขาก้มลงไซร้ซอกคอเธอพลางขู่
“ฟัง...นับจากวันนี้ หมอหมดเวลาที่จะอยู่อย่างเป็นสุขได้แล้ว ในเมื่อหมอทำร้ายพีช พีชก็จะไม่มีวันปล่อยหมอให้มีความสุขฝ่ายเดียวอีกต่อไป”
“พีช…”
เนตรศิตางศุ์เดินออกมา
“นี่...พวกคุณทำอะไรกันคะ”
วรวรรธหันขวับไปเจอเนตรศิตางค์มายืนอยู่ตาเขียวปั้ดอยู่
“เนตร”
วรวรรธหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก สุพิชชากรีดเล็บ ส่งกุญแจให้
“เราเล่นเกมส์ซ่อนกุญแจกันจ้า น้องเนตร”
วรวรรธรีบปลดตัวออกมาจากสุพิชชา เข้ามาโอบเนตรศิตางศุ์ จับมือเธอมากุมไว้
“เนตร...เนตรก็รู้นี่ ว่าคุณพีชเป็นยังไง”
สุพิชชามองมือเนตรศิตางศุ์ แล้วหัวเราะ
“ต๊าย...ทำไมเล็บเป็นยังงั้นล่ะจ๊ะ น้องเนตร อยากมือสวยเหมือนผู้หญิงอื่นเขาเหมือนกันเหรอ..ฮะๆ”
เนตรศิตางศุ์รีบหุบเล็บซ่อนหลังไว้ แล้วมองสองคนสลับกันไปมา สุพิชชากรีดนิ้ว อวดเล็บสวย
“หมอของเนตรชอบแหย่พี่พีชเรื่อย ทำแบบนี้ทำไมก็ไม่รู้ ไหนว่าเราสองคนจบกันแล้วไม่ใช่หรือคะ พี่ของบอกตามตรง ว่าพี่ไม่ช้อบ ไม่ชอบ หมอทำแบบนี้ ก็เหมือนจะแกล้งให้พีชกับน้องเนตรมองหน้ากันไม่ติดนะคะ พีชโกรธหมอดีกว่า ไม่อยากปล้ำกะหมอหรอก เดี๋ยวเล็บสวยๆของพีชจะหักซะเปล่าๆ”
สุพิชชาทำค้อน เดินลิ่วกลับไปที่รถณัฐเดชเข้าไปนั่งในรถปิดประตูปัง เนตรศิตางศุ์มองตาม แล้วหันมามองหน้าวิวรรธ
“เนตร...เนตรก็เคยโดนใช่ไหม”
“โดนอะไรคะ”
“ก็เกมของพีชเขาไง เขามีวิธีที่จะแกล้งเรา”
ณัฐเดชถือแฟ้มงานออกมาพอดี
“เอ้า อะไรกัน นี่จะออกไปไหนอีก อ๋อ หรือออกมาทักทายพีชเขาเหรอ”
“เปล่าครับ ผมมีงานด่วน ถ้ายังไง จะรีบรายงานพี่นะครับ คดีพี่สาวนายโจ้ไงครับ”
“พีช...พีช...ไม่ลงมาทักทายน้องๆก่อนเหรอจ๊ะ” ณัฐเดชหันไปร้องเรียก
“เราทุกกันเรียบร้อยแล้วค่ะ ทักกันอย่างรักใคร่สนิทสนมเลยล่ะ ขอตัวก่อนนะคะ เนตรจะรีบไปล้างเล็บทุเรศๆนี่ก่อน” เนตรศิตางศุ์บอกเสียงเข้ม
“เล็บที่ผมทาให้ ห้ามล้างนะ” วรวรรธขัด
“จะล้าง...จะไม่ทาอีกแล้ว ทาไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
เนตรหันเดินลิ่วเข้าบ้านไป ณัฐเดชหัวเราะ
“อะไรของเขา ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง ว่ามั้ยหมอตาหนู”
“เอ่อ...ครับ เข้าใจยากมาก”
ณัฐเดชเดินตรงไปขึ้นรถ วรวรรธลังเลจะเอาไงดี ก่อนวางหมวกกันน็อคไว้ที่รถ แล้ววิ่งตามเนตรศิตางศุ์เข้าไป พลางตะโกนเรียก
“เนตร...เนตร...”
เนตรศิตางศุ์ปิดประตูบ้านปัง ลั่นกลอนล็อค วรวรรธวิ่งมาทุบประตู
“เนตร เชื่อผมนะ เนตรก็รู้ ว่าพีชเขาเป็นยังไง เนตรอย่าหลงไปตามเกมเขาสิ”
เนตรศิตางศุ์ยืนมองหน้าวรวรรธครู่หนึ่ง นิ่ง ตาเย็นชาเฉียบ ก่อนรูดม่านปิดพรึบใส่
“รีบไปทำงานสิ เนตรจะล้างเล็บ ไม่ทงไม่ทาแล้ว ชอบคนเล็บสวยๆก็ไปเลย”
วรวรรธได้แต่ยืนเซ็งอยู่ตรงนั้น...
บริษัทซิกส์เซ้นส์...ติณห์นอนหลับอยู่ที่โซฟาในเรือนกระจก หน้าตาสงบ ผ่อนคลาย หายเครียด ญาณินเดินเข้ามา พร้อมชามก๋วยเตี๋ยว และน้ำดื่ม เห็นติณห์ยังหลับอยู่ก็ไม่ปลุก วางถาดลงแล้วเดินมานั่งข้างๆ มองอย่างสงสาร ติณห์ลืมตามาดู ตาทั้งสองสบกัน ต่างปีติ ตื้นตัน
“ที่รัก ผมไม่ได้นอนหลับสนิทแบบนี้มานานแล้ว” เขาจับมือเธอมากุม
“ฉันมาทำคุณตื่นหรือเปล่า”
“เปล่า...ผมดีใจที่หน้าแรก ที่ได้เห็นตอนลืมตาขึ้นมา คือคุณ แล้วเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันด้วย”
“ฉันก็ดีใจ ที่เราได้คุยกันอย่างนี้ ไม่ใช่คุยแค่โทรศัพท์”
ติณห์ลุกขึ้นนั่ง
“อยู่ที่นั่น...ทุกคืน ผมต้องนอนสะดุ้ง ฝันร้าย รู้สึกว่ามีผี หรืออะไรที่น่ากลัวอยู่รอบตัวไปหมด ผมแทบจะลืมไปแล้ว ว่าความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย มันเป็นยังไง”
“คุณนอนต่อไหมคะ ดูคุณเหนื่อยมากๆเลย”
ติณห์ลูบหน้า
“เห็นหน้าดาร์ลิ้งผมก็หายเหนื่อยแล้ว”
ญาณินยิ้ม ลูบผมติณห์
“ดูสิ ผมก็ยาว แก้มก็ตอบ”
“เวลากินไม่ได้นอน เวลานอนไม่ได้กินเลยครับ”
“ก็ถูกแล้วนี่คะ คุณไม่ควรกินเวลานอน ไม่ควรนอนเวลากิน”
ทั้งสองคนหัวเราะกัน สดใส ญาณินดึงมือลุกขึ้น
“มากินก๋วยเตี๋ยวก่อนเถอะค่ะ”
“ฝีมือคุณเนตรหรือเปล่า” ติณห์สยอง
ทั้งสองหัวเราะกันอีก
“ร้านปากซอยค่ะ”
“อา...ค่อยยังชั่ว ไปกินเดี๋ยวนี้เลย”
ญาณินจูงติณห์มานั่ง
“ฉันปรุงให้นะคะ ไม่ใส่น้ำปลา ใส่แต่น้ำส้ม ใช่ไหมคะ”
“ผมเป็นคนเปรี้ยวๆ”
ทั้งสองหัวเราะกันขำๆอีก ญาณินปรุงก๋วยเตี๋ยวให้
“ไม่อยากเชื่อเลย ว่าฉันไม่ได้หัวเราะแบบนี้มากี่วันละ”
“เหมือนกันครับ ที่รัก ผมไม่ได้แม้แต่จะยิ้มอย่างจริงใจสักครั้ง”
“ถ้าเราหัวเราะกันได้ อุปสรรคอะไร ก็ไม่สำคัญอีกแล้วนะคะ”
“ถูก...that’s right”
แล้วทั้งสองป้อนกันไปมาอย่างมีความสุข
พงอินทร์เดินมาที่มุมเปลี่ยวของชุมชนข้างทางรถไฟ ตามแผนที่ในจอมือถือ บริเวณนั้นมีหญ้าขึ้นรกเป็นบริเวณกว้าง เขามองรอบๆมีแต่ซอยตัดไปมา เปลี่ยวแต่ไม่เห็นผู้คนเลย เขามองดูเวลา จนครู่หนึ่งยกมือถือขึ้นมากด
“คุณหมอวรวรรธ...ไม่รับโทรศัพท์ซะอีก...”
พงอินทร์กดวางสายยืนกระสับกระส่าย แล้วตัดสินใจ
“ไปเองละกัน”
พงอินทร์เดินลัดเลาะ เข้าตรอกซอย เลี้ยวไปมามองๆสังเกตรอบๆตัวที่เดินผ่าน ไม่มีผู้คนสักคนเดียวจนมาถึงที่หน้าบ้านเก่าร้างหลังหนึ่ง เขามองเข้าไปในบ้านซึ่งเงียบ ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ
ติณห์และญาณินเดินตามหาวิญญาณหลวงพิชัยภักดี
“แกรนด์ปาหายไปไหน แกรนด์ปาคร้าบ...Are you here”
“คุณหลวงคะ...คุณหลวง”
ติณห์เดินหาอยู่ชั่วครู่ก็มาหยุดยืน เริ่มกังวล
“หายไปไหนเนี่ย เกรนปายูเป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉัน...อยู่...นี่...เจ้าติณห์ หนูญาณิน”
ติณห์กับญาณิน หันขวับไปต้องตกใจ เมื่อเห็นวิญญาณหลวงพิชัยภักดียืนโงนเงนอยู่ ภาพวิญญาณเลือนๆลางๆราวกับภาพที่สัญญาณขาดๆหายๆ
“ห่ะ แกรนด์ปา! What ‘s wrong with you ทำไมร่างแกรนด์ปาเหมือนทีวีจะดับ” ติณห์หน้าตื่น
“ใช่ ดูเหมือนว่าวิญญาณฉันใกล้จะหมดพลังแล้ว โอ๊ะ”
หลวงพิชัยภักดีเข่าทรุดลง ติณห์กับญาณินตกใจ
“แกรนด์ปา/คุณหลวง”
ติณห์ลืมตัวเข้าไปพยุง แต่คว้าได้แต่อากาศ
“คุณณิน…ช่วยแกรนด์ปาที”
ญาณินตกใจกับสภาพวิญญาณเลือนรางของหลวงพิชัยภักดี
“วิญญาณคุณหลวงกำลังจะโดยสลายพลังงาน ต้องรีบให้ยัยรสช่วย ไม่อย่างงั้นวิญญาณคุณหลวงจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด ต้องหลงทางอยู่ในความมืด ติดอยู่ระหว่างภพภูมิไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์”
สุคนธรสกำลังถือธูปหนึ่งดอกที่จุดแล้วนั่งบริกรรมคาถา ขณะที่ติณห์ ญาณิน ไตรรัตน์ อรวรรณกำลังรีบจัดโต๊ะวางของเซ่นไหว้ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีเลือนรางนั่งกุมไม้เท้าหมดสภาพ วิญญาณจางลงเรื่อยๆอย่างลุ้นๆ สุคนธรสลืมตาขึ้นจากท่องบริกรรม เป่าไฟยอดธูปให้ดับ แล้วจุ่มปลายธูปลงไปในน้ำในขันทองเหลืองที่ไตรรัตน์ถืออยู่ ไตรรัตน์รีบนำขันไปให้ติณห์ ทุกคนนั่งกันพร้อมรอกรวดน้ำ...สุคนธรสใช้ปลายธูปที่เป็นถ่านดำ ขีดเขียนชื่อหลวงพิชัยภักดีลงไปในกระดาษแล้วยื่นให้ญาณิน
“เร็ว รีบเผาแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณคุณหลวง ก่อนที่วิญญาณคุณหลวงจะถูกทำลายพลังไปซะก่อน”
ญาณินรีบรับมาจุดไฟเช็คเผา แต่ไฟแช็คจุดไม่ติด
“ติดซี เป็นไรเนี่ยะ”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีค่อยๆจางลงเรื่อยๆจน ไม่เห็นขาแล้ว หลวงพิชัยภักดีเงยหน้ามองมาที่ติณห์อย่างหมดหวัง กรรัมภาตกใจ
“ว้าย...ดูคุณหลวงซิ”
ติณห์ตะลึง
“แกรนด์ปา”
“มา ผมจุดเอง”
ไตรรัตน์พยายามจุด ไฟแช็คก็ไม่ติดอีก
“เหมือนแกล้งเลยเนี่ยะ จุดไงก็ไม่ติด”
สุคนธรสส่ายหน้า จนใจ
“หรือว่า...ชะตาของคุณหลวง อาจจะหมดบุญลงแค่นี้”
กรรณาหันไปเห็นกล่องไม้ขีด เลยคว้ามาจุดๆมือไม้สั่น
“ลองไม้ขีดดู ไฟแช็คอาจจะเสีย” กรรณาจุดๆ “ติดซีติด”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีจาง เหลือแต่หัว แต่ก็ยังไม่ติด ญาณินคิดบางอย่างได้
“ติณห์ค่ะ คุณเป็นหลาน คุณลองตั้งใจอธิษฐานแล้วลองจุดดูเองซีคะ”
“โอเคๆ”
ติณห์รับไม้ขีดมาจากกรรณาแล้วพนมมืออธิษฐาน
“บุญกุศลที่ผมได้สะสมตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน และบุญกุศลของผมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขอส่งบุญทั้งหมดนี้ให้แก่คุณตาผมด้วยเถิด”
ติณห์หยิบก้านไม้ขีดออกมา แล้วจุด จังหวะนั้นวิญญาณหลวงพิชัยภักดีกำลังจะหายไปแล้ว แต่ไม้ขีดติด ติณห์จุดเผาชื่อหลวงพิชัยภักดี ทิ้งลงในขัน ญาณินหน้าตื่น
“วิญญาณคุณหลวงจะหายไปแล้ว”
สุคนธรสเร่ง
“รีบกรวดน้ำเข้าซิ เผื่อบุญกุศลที่พอมี จะช่วยรวมรวมวิญญาณคุณหลวงกลับมาทัน เร็วเข้า”
ญาณินหันไปบอกติณห์
“ติณห์คะ เร็ว”
ติณห์ถือขันเทกรวดน้ำ โดยที่ญาณิณและทุกคนเกาะแขนส่งใจไป ทุกคนหลับตาสวดมนต์ ขณะที่สุคนธรสพนมมือสวดมนต์เรียกวิญญาณไปด้วย จนน้ำหมดขัน ทุกคนมองไปยังจุดที่วิญญาณหลวงพิชัยภักดีหายไปอย่างลุ้นแต่ก็ไม่มีวี่แววหลวงพิชัยภักดี ขณะที่สุคนธรสยังคงท่องบทสวดมนต์เรียกวิญญาณต่อไป ติณห์ทรุดนั่งหมดแรง น้ำตาคลอ ไตรรัตน์จับไหล่ปลอบเพื่อน ญาณินกับสาวๆเศร้าเสียใจ
“เฮ้ย...เศร้าอะไรกันไอ้ติณห์ หนูณิน” หลวงพิชัยภักดียืนอยู่หลังทั้งคู่
ติณห์กับญาณินหันไปมอง
“แกรนด์ปา/คุณหลวง”
ทุกคนดีใจ ขณะที่วิญญาณหลวงพิชัยภักดีก้มมองตัวเองที่ค่อยๆชัดเต็มตัวขึ้น กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
“ฉันกลับมาว่ะ ฮ่ะๆ ไอ คัม แบ็ค ว่ะๆ”
สุคนธรสสวดจบ ลืมตาขึ้นถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน ยิ้มที่เห็นหลวงพิชัยภักดี ขณะที่ไตรรัตน์รีบวิ่งเข้าไปอุ้มสุคนธรส
“เมียจ๋า...เมียเก่งจังเลย เมียเรียกวิญญาณคุณหลวงกลับมาได้ ฮ่ะๆ”
หลวงพิชัยภักดีมองทุกคน
“ขอบใจมากนะทุกคน ที่ช่วยให้ฉันกลับมาฟิตปั๋งอีกครั้ง โดยเฉพาะเอ็งนะเจ้าติณห์หลานรัก ขอบใจที่ซู้ดที่เอ็งแบ่งบุญมาให้ตา ไอเลิฟยูที่สุด จู๊บๆ”
“ไอเลิฟยูทู จู๊บๆ”
ติณห์ตอบแต่หันไปจูบแก้มญาณินแทน
“อุ้ย...ติณห์อ่ะ” ญาณินเขิน
“ฮะแฮ้ม ไอ้ติณห์เอ็งทำงี้ต่อหน้าข้าได้ไง เกรงใจผู้ใหญ่บ้าง ฮ่าๆ”
ทุกคนหัวเราะมีความสุข
พงอินทร์เดินเข้าไปเคาะประตูบ้านร้าง
“สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ”
ทุกอย่างยังคงเงียบ
“มีใครอยู่ไหมครับ”
ทันใด พงอินทร์รู้สึกเหมือนมีใครจ้องเขาอยู่ทางด้านหลังรีบหันกลับไปมองแต่ไม่เจอใคร...ด้านหลังของพงอินทร์กลับปรากฏเป็นพิมอรยืนอยู่ พยายามเตือนน้องชายตัวเองถึงอันตรายที่กำลังจะมา
“ออกจากที่นี่เร็วโจ้”
พงอินทร์ยังคงยืนมองซ้าย มองขวาอยู่
“โจ้...ออกจากที่นี่เร็ว”
พงอินทร์เห็นท่าไม่ดี หันมองบ้านหลังนั้นอีกหน แล้วตัดสินใจออกจาบริเวณนั้น กำลังจะเดินกลับทางเดิม แต่ที่มุมไกลมีวัยรุ่นสองคนโผล่ออกมาพร้อมไม้ในมือ พงอินทร์หยุดกึกชะงัก พิมอรร้อนใจ
“วิ่งเร็ว...โจ้...วิ่ง”
พงอินทร์หันหลังวิ่งไปอีกทาง วัยรุ่นสองคนออกวิ่งตาม พิมอรวิตกกังวล ห่วงน้องชายมากแต่ช่วยอะไรไม่ได้
พงอินทร์วิ่งหนีวัยรุ่นสองคนนั้นมาจนถึงแยก จะเลี้ยวไปทางขวาแต่เจอวัยรุ่นอีกสองคนวิ่งมาดักไว้ ในมือมีไม้เช่นกัน พงอินทร์วิ่งหลบไปอีกทาง วัยรุ่นทั้งสี่มาเจอกันทางแยกแล้วทั้งหมดก็วิ่งตามไป...พงอินทร์วิ่งมาถึงมุมหนึ่ง ก่อนรีบวิ่งเลี้ยวหลบไปอีกทางหนึ่ง แก๊งวัยรุ่นไล่หลังมาเห็นหลังพงอินทร์ไวๆ
พงอินทร์วิ่งมาถึงตรอกตัน ไปต่อไม่ได้ หันซ้ายหันขวาไปมา เหงื่อโทรม แก๊งวัยรุ่นวิ่งมาถึงสุดตรอก แต่ไม่พบใคร มองหากันเลิ่กลั่ก ลูกพี่ตะโกนลั่น
“ไอ้หน้าจืด ออกมาซะดีๆ ยังไงก็ไม่รอด”
ลูกพี่พยักหน้าให้ลูกน้องที่เหลือ กระจายกันหารอบบริเวณนั้น ลูกน้องกระจายหาตามซอกที่น่าสงสัยต่างๆ ลูกพี่เดินเข้าไปใช้ไม้หน้าสามฟาดที่ละจุดๆ ที่เป็นที่แอบที่บังได้ พงอินทร์แอบนิ่งลุ้นอยู่จุดหนึ่ง พลันเสียงมือถือดัง ที่หน้าจอขึ้นชื่อว่าน้ำหนึ่งโทรมา พงอินทร์หน้าซีด ลูกพี่หันขวับลูกน้องต่างหันมา พงอินทร์กดสายน้ำหนึ่งทิ้ง ก่อนรีบวิ่งออกจากจุดซ่อนทันที พวกลูกน้องเห็นร้องเอะอะ ออกไล่กวดตามทันที
พงอินทร์วิ่งไม่คิดชีวิต เสียงโทรเข้าดังขึ้นอีก พงอินทร์ก้มลงไปมองยังคงเป็นสายจากน้ำหนึ่ง ทันใดนั้นไม้หน้าสามก็แล่นมาปะทะที่ท้องพงอินทร์เข้าเต็มๆจนหงายล้มฟุบ เป็นลูกพี่วัยรุ่นที่เป็นคนตี มันยืนจังก้าหน้าตาเหนื่อยโทรมไม่แพ้กัน
“นึกว่าจะหนีพ้นเหรอ”
ลูกพี่ตรงเข้ากระหน่ำตี พงอินทร์พลิกหลบ มันตามหวดต่อ พงอินทร์หลบจ้าละหวั่น จนมีท่อเหล็กอีกอันลอยเข้ามาฟาดขวางไว้ จนพงอินทร์กลิ้ง พวกลูกน้องตามมาถึง ลูกพี่รีบสั่ง
“เอามันให้น่วม”
ลูกน้องที่เหลือเข้ารุมตี พงอินทร์ใช้ศิลปะป้องกันตัวที่เคยเรียนมา หลบไปมา จนแย่งไม้จากวัยรุ่นคนหนึ่งได้แล้วหวดวัยรุ่นนั้นลงไปกองกับพื้น วัยรุ่นที่เหลือรุมตี พงอินทร์ใช้ไม้นั้นป้องกันตัว ตีไป หลบไป พิมอรโผล่มาในบริเวณนั้น เป็นห่วงพงอินทร์มาก
“หยุดทำร้ายโจ้...ได้โปรดหยุดเถอะ”
พิมอรร้องไห้ออกมา
“เพราะพี่แท้ๆ เธอถึงต้องมาเป็นแบบนี้”
พิมอรเห็นภาพพงอินทร์กำลังโดนรุมบ้างก็ป้องกันได้ บ้างก็โดนไม้ฟาดตามลำตัว แขน ขา จนพงอินทร์อ่อนแรงลง พิมอรเสียใจ
“ทำไม...ฉันกับน้องทำอะไรผิด”
พงอินทร์ฮึดมาอีกเฮือก ตีจนลูกน้องอีกสองคนกระเด็น แต่ไม้ของพงอินทร์เองก็โดน ลูกพี่วัยรุ่นตีจนลอยหลุดมือไป
“กูเอง”
ลูกน้องหยุดตี หัวหน้าเดินแหวกเข้ามาแล้วชักมีดสั้นออกมา พิมอรร้องไห้โฮ
“อย่า...หยุดนะ...ฉันขอร้อง... โจ้...โจ้ หนีเร็ว”
พงอินทร์ไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก ลูกพี่ถือมีดเดินอาดๆเข้ามาหาแล้วตวัดมีดผ่านตัวพงอินทร์ไป โดนเฉี่ยวๆทำให้เสื้อถึงกับขาด แต่แค่นั้นก็ทำให้หน้าท้องของเขาเนื้อเปิดฉีกออกมา เลือดไหลซึม
“เอาแค่นี้ก่อน” ลูกพี่เอามีดชี้ที่หน้า “แต่คราวหน้า ถ้าเอ็งยังเสือกมันวุ่นวายเรื่องของคุณช่อเพชรอีก รับรองได้ว่าเอ็งไม่ได้กลับไปนอนบ้านอีกต่อไป ไปเว้ย”
ลูกพี่เตะใส่หน้าพงอินทร์จนหงายกองอีกที ก่อนเดินข้าม นำลูกน้องกลับไป พงอินทร์ในสภาพสะบักสะบอมก่อนหมดสติสลบนิ่ง พิมอรร้องไห้
“โจ้...”
พิมอรเดินเข้ามาสวมกอดน้องชายที่หมดสติไป ร้องไห้ที่ไม่อาจช่วยได้
น้ำหนึ่งสวมหมวกบังหน้า ยืนรออยู่ที่ตรอกเปลี่ยว หยิบแว่นดำขึ้นมาสวม แก๊งค์วัยรุ่นเดินเข้ามาหา น้ำหนึ่งยื่นเงินเป็นปึกให้ลูกพี่แก๊งวัยรุ่น
ติณห์ ญาณินและทุกคนนั่งล้อมโต๊ะ ประชุมกัน
“ไอ้หมอสมคิดมันก็เหมือนงูพิษที่โดนเราตีให้หลังหักแต่ไม่ตาย มันตั้งใจกลับมาแก้แค้น แบบเก่งกว่าเดิม และจัดหนักกว่าเดิมแน่ๆ” ไตรรัตน์พูดขึ้น
“การที่มันส่งยัยเบญจาเข้ามาก่อน เพื่อเข้ามาถึงพวกเรา โดยใช้คุณณิน กับฉันเป็นบันได ก็คงเป็นเพราะ พวกสาวๆทุกคนอยู่รวมกัน คงเข้าถึงได้ยาก แต่คุณณินโดนแยกไปอยู่ห่างเพื่อน แล้วก็พอดีมีปัญหาส่วนตัว คือเรื่องของคุณแม่ผม” ติณห์อธิบาย
“ฉัน...เป็นคนที่มีปัญหาเป็นจุดอ่อน ที่มันก็เลยฉวยโอกาสตรงจุดนี้ แทรกซึมเข้ามาเนียนๆ” ญาณินบอกเสียงเครียด
สุคนธรสคิดๆ
“ทุกอย่าง ถูกมันวางแผนมาอย่างดี และยัยเบญจา ก็คือทายาทอสูรของมัน”
กรรัมภาเสริม
“ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหมอสมคิดมาอย่างดี แถมเป็นคนที่มีซิกส์เซ้นส์เหมือนพวกเรา”
“สรุปว่า...ไอ้หมอสมคิดเป็นยานแม่ ที่ส่งยัยเบญจา มนุษย์ต่างดาว มาเล่นงานเรา” กรรณาสรุป
หลวงพิชัยภักดีแปลกใจสงสัย
“แต่วิชาของมันแปลกมาก เหมือนมันเอาวิชาไสยศาสตร์ของทุกสาขามาประยุกต์ใหม่ และมันยังมีวิชาเก่าๆ แบบระดับบูรพาจารย์ ชนิดที่ไม่มีใครสู้มันได้ด้วย”
สุคนธรสหนักใจ
“วิชาหลวงลุงทุกสิ่งอย่าง ฉันได้งัดออกมาประลองกะมันจนแทบจะหมดไส้หมดพุงแล้ว”
“หมอสมคิดมันคือนักโทษหนีคดีนะครับ เราให้ตำรวจที่เมืองกาญจน์บุกไปจับมันเลย ไม่ได้เหรอ” ก้องฟ้าเสนอแนะ
ญาณินขัดขึ้น
“ถ้าตำรวจเป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีคาถาอาคม เชื่อแน่ว่าทำอะไรมันไม่ได้ แต่ที่สำคัญ มันมีตัวคุณมิรันตี คุณแม่ของติณห์เป็นตัวประกันด้วย”
ติณห์หน้าเครียด
“อย่างที่บอก มันต้องวางแผนมาอย่างดี ไม่ได้มาแบบสะเปะสะปะ”
สุคนธรสนึกได้
“เดี๋ยวนะ...ฉันว่า เราต้องช่วยคุณแม่คุณติณห์ออกมาจากเงื้อมมือมันก่อน”
กรรณาเห็นด้วย
“ใช่...ถ้าคุณแม่คุณติณห์ออกมา เราค่อยแจ้งตำรวจ”
ไตรรัตน์เสริม
“แล้วก็ปิดประตู ตีแมว เอาหลวงลุงไปจัดการกะมันเลย ดีไหม ที่รัก”
สุคนธรสมุ่งมั่น
“เราต้องรีบทำทุกอย่าง อย่างเร็วที่สุด”
ติณห์พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่...ไม่งั้น มอมเสร็จแน่”
“มันจะเอารีสอร์ทแกไปเป็นของมันเหรอวะ” ไตรรัตน์ถาม
หลวงพิชัยภักดีสวนทันที
“ไม่ได้...ฉันไม่ยอม”
ติณห์หันไปบอก
“แกรนด์ปาครับ ผมไม่ให้มันเกิดขึ้นหรอกครับ”
“คุณติณห์...เดี๋ยวนี้คุณมองเห็นคุณหลวงด้วย เฮ้ย เจ๋งอะ” ก้องฟ้าดีใจ
“แกอยากเห็นมั่งไหมล่ะ”
หลวงพิชัยภักดีกอดคอ ก้องฟ้าไม่รู้เรื่อง ทำท่าขนลุก
“เฮ้ย เป็นไรอะ ขนลุก เย็นคนคอวาบเลย”
แล้วหลวงพิชัยภักดีก็นึกได้
“แต่ทำไม...มาคราวนี้ ไม่เจอไอ้หนูกุมาริกาโกลเด้นเบบี๋ล่ะ”
“เดี๋ยวนี้...โกลเด้นเบบี๋ไม่ค่อยอยู่ให้ใช้งาน แต่เวลาฉันไปปฏิบัติการณ์ มันชอบมาก่อกวน ขัดขวางและมีท่าทีแปลกๆด้วย” กรรัมภาบอก
“นังหนูเอ๊ย แกอยู่ไหน ฉันคิดถึงแนะเว้ย แกมีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือโดนใครทำอะไร มีอะไรบอกตาได้นะ นังหนู นังหนูๆ โหลๆ อยู่แถวนี้ป่าว ทราบแล้วเปลี่ยน ว.1เรียกว.2” หลวงพิชัยภักดีเดินไปรอบๆ แล้วหันมาบอก “ขอโท๊ดค่ะ ไม่มีสัญญาณจากหมายเลขที่ท่านเรียกค่ะ”
ทุกคนอึ้ง
ภายในห้องนอนคอนโดยามบ่าย...อรวีนอนหลับกระสับกระส่ายเหงื่อแตกราวกับผีอำอยู่บนเตียง มือขาเกร็ง พยายามจะขยับตัวแต่ทำไม่ได้ หน้าตาอึดอัดราวถูกอะไรกดทับที่หน้าอก แล้วอยู่ๆเธอก็ลืมตาผึงขึ้น ดวงตาตระหนกตกใจ กลอกตามองไปรอบๆ แล้วก็มองเห็นโกลเด้นเบบี๋ยืนคร่อมอยู่ อรวีตกใจแทบช็อค
“ไปทำอะไรมาอรวี ถึงได้สภาพดูไม่ได้แบบนี้”
อรวีเหมือนคนไข้ขึ้น หัวฟู ตาโหล ไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเจอผีพิมพ์พิลาศที่สำนักอาจารย์คงมา
“ไม่นะ เราฝันไป”
อรวีหลับตาปี๋พยายามสวดมนต์
“อย่ากลัวหนูเลย หนูเป็นห่วงพี่นะ...ต้องมีอะไรแน่ๆถึงกลัวหัวชี้ขนาดนี้ พี่ไปทำอะไรมา”
“อ๊าย...อย่ามากหลอกมาหลอนฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
อรวีกระเด้งลุกจากเตียงไปยืนข้างโต๊ะ เสียงมือถือดังลั่นขึ้นมา อรวีตกใจ
อรวีร้องลั่นสะดุ้งตื่น
“อ๊าย”
อรวีลุกขึ้นนั่งพรวด พบว่าตัวเองเหมือนกับฝันไป แต่เสียงมือถือยังคงดังอยู่หัวนอน อรวีรับสาย...สมชายคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานกำลังหงุดหงิดมาก
“นี่มันบ่ายแล้ว...ทำไมไม่มาทำงานอีก”
“ค่ะๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
อรวีวางสายแล้วนึกอะไรได้
อรวีเปิดตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักอันล่างสุด ล้วงเข้าไปใต้สุดก็พบรูปใบหนึ่ง หยิบขึ้นมาดูเป็นรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผูกหางเปียยืนจูงผู้หญิงคนหนึ่ง มันคือรูปอรวีตอนเด็กๆกับแม่ โดยที่รูปเด็กคนนั้นหน้าเหมือนโกลเด้นเบบี๋เหมือนเป็นคนๆเดียวกัน อรวีร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
อ่านต่อหน้า 4
สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 15 (ต่อ)
อรวีในชุดทำงานเดินมาไขรถตัวเองก่อนจะเข้าไปนั่งที่คนขับสตาร์ทรถ ด้านหลังมีโกลเด้นเบบี๋นั่งหน้าเศร้าอยู่...อรวีขับรถออกมาจากคอนโด กำลังจะออกถนนใหญ่หันไปมองด้านขวา เพื่อหาจังหวะรถว่าง พอว่างก็ออกรถทันที โดยลืมดูว่าหน้ารถมีคนกำลังเดินตามหาบ้านเลขที่เซ่อซ่า จากนามบัตรในมืออยู่ โกลเด้นเบบี๋ร้องลั่น
“อรวี ระวัง นั่นมัน...”
อรวีหันไปพอดี ตกใจแต่เหยียบเบรกไม่ทัน ชนคนข้ามถนนล้มลงไป
“ว้าย”
อรวีรีบลงไปดูด้วยใบหน้าซีดเซียว เห็นหญิงอายุราว 50 ที่แต่งตัวแบบบ้านนอกเข้ากรุง ใส่ชุดที่ดีที่สุด ถือกระเป๋าเดินทางใบย่อม
“คุณคะ...เป็นอะไรไหมคะ ดิฉันไม่เห็นคุณจริงๆค่ะ ขอโทษนะคะ”
“เจ็บสะโพกนิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นอะไรมาก”
“เจ็บมากไหมคะ หนูพาไปโรงพยาบาลไหมคะ”
หญิงคนนั้นหันมาตอบ
“ไม่ต้องพาไปหรอกจ้ะ เดี๋ยวก็...”
หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบพอเห็นหน้าอรวีเท่านั้นก็ตะลึง
“ไอ้วิ”
อรวีชะงักหลายปีที่ไม่เจอ ไม่คิดว่าจะเจอ
“ไอ้อรวี...ใช่ไหม”
แม่น้ำตาไหลเผาะ
“แม่ แม่...”
อรวีร้องไห้ แล้วทั้งคู่ก็สวมกอดกัน มุมหน้ารถโกลเด้นเบบี๋ยืนมองร้องไห้สะอื้นอยู่
พิมพ์พิลาศถูกงูอาคมฟันรัดพันธนาการไว้ในขวดขังวิญญาณ อึดอัดทรมานดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่หลุด เธอหยุดดิ้นอย่างรู้สึกเหนื่อย แล้วสมองก็คิดอะไรออก เลยตะโกนออกไป
“นี่ไอ้หมอผี แกอยู่ข้างนอกหรือเปล่า ไอ้อาจารย์คง ได้ยินฉันไหม”
อาจารย์คงมองจ้องที่ขวด ได้ยินเสียงพิมพ์พิลาศเรียก
“นังผีคุณนายนี่มันปากมากจริงๆ เอะอะโวยวายอะไรนังผีเมียแก่ หนวกหูโว้ย”
“อย่ามาว่าฉันแก่นะยะ ถึงฉันจะแก่ แต่ฉันก็มีกิน มีเงินมีสมบัติใช้ไปตลอดทั้งชาติ ก็ไม่มีวันหมดย่ะ แล้วหมอหน้าผีอย่างแกมีอะไรมั่ง นอกจากหัวกะโหลกเต็มสำนัก”
“หึ แกรวยแล้วไง รวยสุดท้ายแกก็ไม่ได้ใช้ ต้องกลายมาเป็นผีฮ่ะๆ”
“แล้วแกอยากจะใช้มั๊ยล่ะ ฉันจะให้”
“เอิ้ก”
อาจารย์คงเบรกหัวเราะ
“ไหนพูดให้ชัดๆอีกทีซิ ตะกี้แกว่าอะไรนะนังผีคุณนาย”
“ฉันเป็นเศรษฐีนีเจ้าของตึกคอนโดหรูหลายแห่ง บ้านฉันใหญ่ยังกับวังมีเงินฝากในธนาคารเป็นพันล้าน ถ้าแกปล่อยฉันไป ฉันยินดีควักจ่ายให้แกแสนนึง”
“โอ้โห...ตั้งแสนนึง ฮ่ะๆโธ่อีคุณนายโรงเกลือ มีเงินฝากเป็นพันล้าน แต่แกเอาเงินมายัดใต้โต๊ะให้ฉันแค่แสนเดียว ถุย แกอยู่ในขวดนั่นต่อไปเถอะ”
“แกจะเอาเท่าไหร่ล่ะ บอกฉันมาซิ เอาคอนโดสักหลังไหม เอาติดริมแม่น้ำแล้วเปิดเป็นสำนักผีลอยฟ้า หรือจะเอารถโรลสลอยด์ ถ้าแกปล่อยฉันไปฉันจะประเคนให้แกหมดเลย”
“แกจะเอาไอ้ของพวกนี้มาให้ฉันได้ยังไง”
“ติดต่อกับหลานฉันได้ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันบอกเขาให้”
“ติดต่อกับหลานได้...ฮ่าๆ ฉันว่าฉันมีวิธีหาเงินได้มากกว่าที่แกบอกมานะ ฮ่ะๆ”
อาจารย์คงเดินออกไป วิญญาณพิมพ์พิลาศเอะอะโวยวายไม่หยุด
“แกหมายความว่ายังไง แกมันเป็นหมอผี หรือเป็นโจร อย่าทำอะไรหลานช้าน”
อรวีก้มลงกราบตักแม่ วิญญาณของโกลเด้นเบบี๋ก้มลงกราบด้วย
“หนูขอโทษที่หนีแม่มาเป็นสิบปี ”
แม่ลูบไหล่ลูบหลังอรวีด้วยความความรัก
“แม่ไม่เคยโกรธเอ็งเลยวิเอ้ย มีแต่โกรธตัวเอง ถ้าวันนั้นแม่ใจเย็นกว่านี้สักนิด ไม่ด่าว่าแก แกคงไม่หนีแม่มา”
“แม่อย่าโทษตัวเองซี หนูเองที่ผิด คิดแต่สบาย อยากเข้ากรุงเทพ คิดว่าอยู่บ้านนอกมันลำบากไม่มีอนาคต หนูถึงทิ้งแม่มาได้ลงคอ”
โกลเด้นเบบี๋ประชด
“อยู่เป็นไง อยู่กรุงเทพสบายกว่าไหมล่ะ”
“แต่แกก็สบายกว่าอยู่กับแม่จริงๆ ดูแกตอนนี้ซี แกสวยขึ้น มีคอนโดอยู่สุขสบาย แกมีอนาคตอย่างที่แกฝันไว้แล้ววิ แม่ดีใจกับแกด้วย”
อรวียิ้มขมขื่น โกลเด้นเบบี๋เบ้หน้า
“อนาคตเหรอ อนาคตที่เป็นเมียน้อยเขาน่ะซิ แถมยังต้องตกกระไดพลอยโจรร่วมมือทำความชั่วกับนายอติเทพจะโกงสมบัติคนอื่นเขาด้วย”
แม่มองอรวีที่นั่งซึมเงียบไป
“วิ...ทำไมเงียบไปล่ะ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
อรวีนึกขึ้นได้
“แม่มาก็ดีแล้ว หนูมีเรื่องจะถามแม่อยู่พอดี”
“เรื่องอะไรเหรอลูก”
“แม่...หนูถามจริงๆเหอะ หนูเคยมีพี่หรือน้องกับเขาไหม”
แม่อึ้งๆไป ก่อนจะตัดสินใจตอบ
“มี...แกเคยมีพี่น้องฝาแฝด”
อรวีตกใจมาก แต่โกลเด้นที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ นั่งฟังอย่างสงบเพราะรู้อยู่แล้ว
“เป็นไปได้ยังไง หนูโตมาคนเดียว ไม่เคยเห็นมีพี่มีน้องเลยสักคน”
“แม่ไม่ได้เล่าให้แกฟังเองแหละ ก็ไม่รู้จะเล่าไปทำไม ในเมื่อพอคลอดออกมามันก็ตาย มันบุญน้อยเหลือเกิน ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกเลยแม่ยังไม่มีโอกาสได้ป้อนนมป้อนข้าวป้อนน้ำมันเลยสักคำ”
โกลเด้นเบบี๋ร้องไห้
“แม่จ๋า ฮือๆ ชาติหน้าเราคงได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก”
“มิน่า หนู...หนูคงไม่ได้ประสาทหลอนที่เห็นผีเด็กมาเรียกหนูว่าน้อง แล้วทำไมฝาแฝดเขาต้องมาหาหนูตอนนี้ด้วย ทำไม”
โกลเด้นเบบี๋โผกอดแม่ร้องไห้ ขณะที่อรวีนั่งตกตะลึงเมื่อได้รู้ความจริง พลางคิดไปถึงวิญญาณโกลเด้นเบบี๋ที่โผล่มาให้เห็นชัดๆสองครั้ง อรวีคิดแล้วยังสยองไม่หาย
“เอ่อ...แม่ว่าวิญญาณฝาแฝดหนู เขามาหาหนูทำไม เขาต้องการอะไร หรือเขาจะเอาหนูไปอยู่ด้วย เพราะเขาอิจฉา”
โกลเด้นเบบี๋หน้าเหวอ
“หา...ฉันเนี่ยนะ อิจฉา ฉันจะมาช่วยต่างหาก”
แม่มองหน้าอรวี
“แกพูดอะไรอย่างนั้น มันตายมายี่สิบกว่าปีแล้ว อีกอย่างตอนนั้นแม่เอาศพไปให้หลวงปู่ที่วัดทำพิธีให้ด้วย ป่านนี้น้องแกคงไปผุดไปเกิดแล้วมั้ง”
“เกิดอะไรล่ะแม่ หนูนั่งหัวโด่อยู่นี่ไง แต่ก็ดีแล้วที่แม่คิดอย่างงั้นแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงหนู”
ขณะที่อรวีนั่งคิด แม่ยื่นมือมาจับตัว
“ไอ้วิ”
อรวีสะดุ้ง
“เป็นอะไร้ ดูแกซิหน้าตาซีดเหลือเกิน ได้พักได้ผ่อนบ้างรึเปล่าลูก อย่ามัวแต่ทำงานนะ ต้องหาเวลาเข้าวัดเข้าวาเสียบ้าง จิตใจจะได้ผ่องใส คนกรุงเทพไม่เหมือนพวกเราๆ พอว่างก็เข้าวัดเอาข้าวไปถวยเพลทำบุญทำกุศล เกิดชาติหน้าจะได้ไม่ลำบาก”
“จ้ะแม่ หนูรู้ เพราะหนูเองก็บาปหนามากเหลือเกิน ไหนจะทอดทิ้งแม่แล้วยัง...”
อรวีหยุดพูดแล้วโผกอดแม่ร้องไห้อย่างสำนึก
“แม่...หนูไม่น่าทิ้งแม่มาเลย หนูน่าจะอยู่กับแม่ เวลาหนูจะทำอะไรผิดแม่จะได้ห้ามหนูไว้”
“ถ้าแกอยู่กรุงเทพแล้วมันไม่สบายใจ ก็กลับบ้านเราซิลูก กลับไปอยู่กับแม่ถึงแม่จะขายข้าวแกง แต่แม่ก็เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร”
“ขายข้าวแกง มันจะได้เดือนละกี่บาทกัน แต่เอาเถอะ หนูจะลองคิดดูนะแม่ หนูต้องบอกพ่อก่อน เพราะตอนนี้หนูทำงานอยู่กับพ่อ”
“ตามใจ...พ่อของเอ็งสบายดีซินะ อาชีพทนายก็คงทำให้เขาสุขสบายมากกว่ามาอยู่กับแม่ค้าขายข้าวแกงอย่างแม่ โดยเฉพาะ ทนายชนิดนั้นตายไป จะตกนรกขุมไหน แม่ไม่กล้าจะคิดด้วยซ้ำ”
โกลเด้นเบบี๋เบ้หน้า
“สุขสบายเพราะโกงสมบัติเขากินน่ะซีแม่ รู้ไหมว่าหนูกลุ้มใจอยู่เนี่ยพ่อทำแบบนี้ หนูไม่รู้จะช่วยพ่อยังไงดี เฮ่อ”
เย็นนั้น กรรณาเดินคุยกับสุคนธรสและไตรรัตน์ออกมาที่หน้าบ้าน
“ฉันกับนายไตวายไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว บ้านโน้นมีแต่คนแก่ อาม่าก็ป่วย เขาเป็นห่วงน่ะ” สุคนธรสบอก
กรรณายิ้มๆ
“เออ...ก็กลับไปซิ ฉันว่าอะไรล่ะ ไม่ต้องมาออกตัวแทนสามี”
“คนรักสามีมากก็เป็นยังงี้แหละครับ ฮ่ะๆ”
ไตรรัตน์พูดพลางกอดไหล่สุคนธรสแน่น หน้าหื่นมาก
“คืนนี้ใช่ไหม...ฮ่าๆ”
“นี่..ยังไม่เลิกอีกเหรอ ไอ้หมก” สุคนธรสด่า
ไตรรัตน์งงๆ
“หมกอะไร”
“หมกมุ่น”
“ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะจ๊ะที่รัก คุณรักผม คุณช่วยผมให้รอดตายมาแท้ๆ เราพ้นอันตรายมาได้ เพราะฉะนั้นคืนนี้เราควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่า จริงไหมจ๊ะ รับรองว่าต้องแซ่บจนปากเบินเลยล่ะ”
สุคนธรสตีไตรรัตน์อย่างเขินๆ แต่กรรณากลับปิดหูหน้าแดง
“โอ๊ย...ไม่ต้องพูดต่อได้ไหม น่ากลัวกว่าได้ยินเสียงผีอีก จะกลับก็กลับไปเลย”
“ให้ผัวอุ้มไหมจ๊ะเมียจ๋า ไปนะครับ”
ไตรรัตน์จะอุ้ม สุคนธรสเงื้อหมัดจะชก วิ่งไล่กันไป กรรณาสาวยังโสดยืนฉุน
“เมียจ๊ะเมียจ๋า แค่ได้ยินก็ขนลุกแล้ว ชาตินี้ฉันคงไม่มีสามีเด็ดขาด”
กรรณาเดินไปนั่งลงพลางหยิบมือถือขึ้นมากดโทร
“ฮัลโหลยัยเนตร อยู่ไหนอ่ะ วันนี้หายจ้อยไปกับหมอทั้งวันเลยนะ...ห่ะ...ว่าไงนะ นายโจ้เป็นอะไร”
สำนักงานทนายความ...สมชายตกใจแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ผีคุณพิมพ์พิลาศเหรอ”
“จริงๆนะคะ วิไม่ได้เห็นคนเดียว คุณเทพก็เห็น โผล่ออกมาแล้วก็บีบคอวิเกือบตาย” อรวียืนยัน
โกลเด้นเบบี๋นั่งเซ็ง สมชายไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่น่าเชื่อว่าผียัยพิมพ์พิลาศจะเฮี้ยนขนาดนี้ หึ แต่ก็ไม่น่าแปลกหรอก ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยัยนี่ก็ร้ายยิ่งกว่าปีศาจซะอีก ขนาดฉันทำงานรับใช้นังนี่มาเป็นสิบปีมันยังไม่เคยเห็น ความดีฉันเลย ใช้งานทีก็โขกสับจิกหัวใช้ตลอดเวลา เงินเดือนก็ให้แค่หยิบมือยังกับขอทานมันกิน ถึงทีฉันเอาคืนจากมันบ้างแล้ว”
โกลเด้นเบบี๋อ้าปากค้าง
“นี่แปลว่า...ทั้งสองคนร่วมมือกับสามีคุณพิมพ์พิลาศหมดเลยเหรอเนี่ย”
อติเทพเปิดประตูพรวดพรวดเข้ามาในห้อง ทั้งหมดหันไปมอง เห็นอติเทพดูร้อนใจ
“มีอะไรเหรอคุณอติเทพ” สมชายถาม
“ไอ้จุนจี...ไอ้เกาหลีนั่นมันสื่อสารกับผีย่ามันได้”
อรวีตกใจ
“จริงเหรอคะ”
“ฉันจะโกหกทำไม ไอ้อาจารย์คงมันโทรมาเล่าว่าวิญญาณยัยพิมพ์พิลาศคุยว่ามันติดต่อ กับหลานของมันได้ ไม่ต้องห่วง”
สมชายแปลกใจ
“อาจารย์คง”
“อ้อ...ลืมบอก ผมจ้างให้หมอผีจับวิญญาณอีแก่นั่นใส่หม้อเอาไว้”
สมชายมองอย่างแทบไม่เชื่อหู ขณะที่โกลเด้นเบบี๋ตกใจ
“มิน่าล่ะอยู่ๆวิญญาณคุณย่าก็เงียบจ้อยเลย ไม่โผล่มาอาละวาดอีกเลย”
สมชายยิ้มร้าย
“ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแหกตา ก็ลองให้หมอผีมันบอกให้วิญญาณนังย่ามันให้ต่อรองให้ไอ้จุนจี รีบเซ็นพินัยกรรมให้คุณเลยซิ”
“แต่...”
อรวีพยายามจะค้านแต่ไม่ทัน อติเทพสวนขึ้น
“ใช่...ถูกเลย...ไปอรวี ออกไปหาเอกสารแผ่นนั้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“คะ...ค่ะ”
อรวีออกไปจากห้องสมชาย อติเทพยิ้มพอใจ
“คราวนี้ล่ะ...ต้องสำเร็จแน่ๆ คุณทนาย”
อติเทพตบบ่าสมชาย แล้วเดินออกไป สมชายหัวเราะแล้วหยิบซีดีที่บันทึกภาพตัดต่อเหตุการณ์งูฉกวันที่พิมพ์พิลาศตาย
“ฉันก็หวังเช่นนั้นนะ นายอติเทพ แต่ถ้าแกหักหลังลูกสาวฉันล่ะก็ แกได้ตายในคุกแน่ หึๆ”
โรงพยาบาลยามค่ำคืน...กรรณารีบร้อนกระหืดกระหอบมาด้วยความเป็นห่วงพงอินทร์ ทั้งๆที่ตัวเองยังป่วยอยู่ กรรณาเดินมองหาเลขที่ห้องจนเจอ อ่านป้ายเห็นชื่อพงอินทร์เลยรีบผลักประตูเข้าไป เห็นพงอินทร์นอนบาดเจ็บอยู่ที่เตียงใบหน้าพกช้ำ ที่เอวพันผ้าพันแผลรอบ
“นายโจ้”
กรรณาปรี่เข้ามาหาพงอินทร์ที่เตียง ไม่มองแม้แต่วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์ที่นั่งกันอยู่ตรงโซฟา
“นายเป็นยังไงบ้าง ฉันไม่น่าเอาแต่นอยด์...น้อยใจ คิดมากบ้าบอ จนปล่อยให้นายออกไปหาคุณน้ำหนึ่งตามลำพังเลย ฉันขอโทษ”
กรรณาโผจับมือพงอินทร์ที่เตียงอย่างลืมตัวเพราะใจที่เป็นห่วง พงอินทร์รีบลุก ดึงเธอมากอด กรรณาชะงัก แต่รู้สึกดี ปล่อยให้เขากอด แต่เงยขึ้นจับดูหน้าตา
“แล้วนายเจ็บมากมั้ย”
ขณะที่เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธมองหน้ากันอึ้งๆ เพราะรู้ว่าน้ำหนึ่งอยู่ในห้อง
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลไกลหัวใจตั้งเยอะ แต่ดีใจนะที่เจ็บตัวหนนี้ ทำให้คุณมาอยู่ใกล้หัวใจผมขนาดนี้”
กรรณาชะงัก มองตัวเอง พบว่าตนกำลังเอนอิงพิงอกของเขา เธอเขินจะผละออก แต่พงอินทร์จับมือเอาไว้ไม่ให้ขยับไป ทั้งคู่มองตากันซึ้งๆ เนตรสิตางศุ์จะเอ่ยปากเตือนกรรณา
“เอ่อ...ยัยกรรณ”
แต่น้ำหนึ่งก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาเสียก่อน ถือถาดแอปเปิ้ลที่เพิ่งล้างเสร็จเดินออกมา หยุดอึ้งมองกรรณากับพงอินทร์ที่กำลังหวานกันอยู่ที่เตียง วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์หันมามองทำหน้าทำตาประมาณยุ่งแล้วซี ขณะที่น้ำหนึ่งตีหน้าสำนึกผิดทันที
“น้ำหนึ่งต้องขอโทษนะคะ ที่เป็นต้นเหตุให้โจ้ต้องเจ็บตัว”
กรรณารีบผละออกมาจากพงอินทร์
“เอ่อ...เปล่านะคะคุณน้ำหนึ่ง ฉันไม่ได้โทษคุณ”
“มันก็เป็นความผิดของฉัน ที่บอกโจ้ว่าคุณช่อเพชรอยู่ที่ไหน โจ้ก็เลยตามไป จนถูกทำร้าย หนึ่งขอโทษนะโจ้ หนึ่งไม่ควรจะมายุ่งกับเรื่องนี้เลย”
น้ำหนึ่งบีบน้ำตาร้องไห้ออกมา ทำเอาทุกคนไม่สบายใจไปหมด
“อย่าพูดอย่างงั้นซิหนึ่ง โอ๊ะ”
พงอินทร์ขยับตัวขึ้นนั่งทำให้เจ็บแผลที่ตัวจี๊ด น้ำหนึ่งได้โอกาสรีบวางจานผลไม้ตัดหน้ากรรณาเข้าไปประคอง
“อย่าเพิ่งขยับตัวซีโจ้ แผลเพิ่งเย็บ เดี๋ยวเลือดก็ออกหรอก นอนนิ่งๆนะ”
“ที่โจ้เจ็บตัว โจ้ไม่โทษหนึ่งเลยนะ หนึ่งต่างหากที่มีน้ำใจพยายามช่วยโจ้สืบเรื่องพี่พิมจนหนึ่งต้องพลอยมาเดือดร้อนไปด้วย”
“อย่าร้องไห้เลยค่ะคุณหนึ่ง ไม่เอา...อย่าคิดมาก”
กรรณาเข้าไปจับไหล่ แต่น้ำหนึ่งหันมาตวัดสายตามองราวกับมีดฟันฉับเข้าให้
“ตอนแรกหนึ่งก็ไม่คิดหรอก แต่พอได้ยินคุณพูดว่ารู้สึกผิดที่ปล่อยให้โจ้ออกมาเจอหนึ่ง หนึ่งก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวซวยอะไรไปรึเปล่าเนี่ย”
กรรณาอึ้งค้าง โดนหลอกด่านี่หว่า เนตรสิตางศุ์กับวรวรรธมองหน้ากัน...คิดว่าเอาแล้วไง
“โอเค ขอโทษนะคะคุณหนึ่ง ฉันเองที่พลาดที่พูดออกไปอย่างงั้น ฉันมันปากไม่ดี ขอโทษด้วยนะคะคุณหนึ่ง”
น้ำหนึ่งลุกขึ้นยืนมองหน้ากันกรรณานิ่ง
“ค่ะ ฉันจะไม่ถือโทษโกรธคุณ”
กรรณาหน้าชา พงอินทร์หน้าแหยไปเลย ตกอยู่ในสถานการณ์แฟนเก่ากับแฟนใหม่กำลังเชือดเฉือนกัน วรวรรธหาทางชิ่ง
“เอ่อเนตร...ผมว่าเรากลับบริษัทกันดีกว่า คุณกรรณมาแล้ว ก็ยกหน้าที่ดูแลคุณโจ้ให้คุณกรรณไป”
“อ๋อค่ะ...เนตรกลับก่อนนะกรรณ ฉันไปดีกว่า ไปก่อนนะคะคุณโจ้”
กรรณาพูดเบาๆ
“ได้ทีชิ่งหนีเลยนะยัยเนตร”
วรวรรธยิ้มให้
“หายเร็วๆนะคร๊าบคุณโจ้ คืนนี้ขอให้นอนหลับสบาย ไม่ฝันร้ายไม่เจ็บตัวเพิ่ม...ไม่...”
เนตรสิตางศุ์รีบขัด
“พูดมากน่าหมอ...ไปๆ...ไปนะคะ”
พงอินทร์ยิ้มให้
“เอ่อ...ขอบคุณมากครับหมอ คุณเนตร”
วรวรรธกับเนตรสิตางศุ์เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้น้ำหนึ่งกับกรรณายืนมองหน้ากันอยู่กลางห้อง โดยมีพงอินทร์นอนเกาหัวอึดอัดกับบรรยากาศอยู่ที่เตียง
วรวรรธเดินขำๆออกมา
“คุณกรรณเจอคู่ปรับตัวจริงแล้วงานนี้ แฟนเก่านายโจ้ดูหวานๆนิ่งๆ แต่พูดออกมาแต่ละที...เหมือนมีดหมอ แค่กรีดเบาๆแผลงี้บาดได้ลึก”
วรวรรธหันมามองเนตรสิตางศุ์ เห็นสีหน้าเครียดๆไม่ขำด้วย วรวรรธยื่นมือไปโอบหัวเธอมาซบไหล่
“โอ๋ๆ ไม่เอาน่า อย่าห่วงเพื่อนไปหน่อยเลย คุณกรรณก็มีดหมอเหมือนกัน แต่เป็นหมอมีอาคม ทั้งคมทั้งมีฤทธิ์ใครก็คว่ำลงยาก”
เนตรสิตางศุ์หยุดเดิน
“เนตรไม่ได้ห่วงยัยกรรณ เนตรห่วงหมอนั่นแหละ”
วรวรรธแปลกใจ
“ห่วงผม”
“เรื่องคุณพีชน่ะค่ะ”
วรวรรธอึ้งไปเลย เนตรสิตางศุ์พูดพรางตาแดงๆจะร้องไห้
“เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำพฤติกรรมแบบนี้ซะที เขาไม่สงสารพี่ณัฐบ้างหรือไง ถ้าพี่ณัฐรู้เข้าจะเสียใจขนาดไหน พี่ณัฐรักและไว้ใจเขามาก”
“ก็เพราะพีชเขารู้ไงว่าพี่ณัฐรักเขามาก เขาถึงทำอะไรที่จะทำให้พวกเรา ทั้งสามคนเสียใจเป็นทุกข์”
“แล้วคุณพีชทำยังงี้ทำไม เขาต้องการอะไร”
เนตรสิตางศุ์ปล่อยโฮออกมา
“เขาคงอยากให้เราทั้งสามคนแตกกัน อย่าร้องไห้เลยเนตร ขอให้เราสองคนเข้าใจกันและไว้ใจกัน สิ่งที่พีชทำ ก็จะไม่มีผลอะไรกับเรา แล้วทุกอย่างที่เขาคิดไม่ดีกับเราจะตีกลับไปที่ตัวเขาเอง”
วรวรรธโอบไหล่เนตรสิตางศุ์เดินไป
กรรณาเมื่อถูกน้ำหนึ่งร้ายใส่ ก็เริ่มมองเห็นอีกมุมของน้ำหนึ่งที่ซ่อนอยู่ กอดอกมองไปที่น้ำหนึ่งที่นั่งปอกแอปเปิ้ลอยู่ข้างเตียงไม่ห่างจากพงอินทร์
“ฉันว่าเรื่องคุณช่อเพชรนี่มันยังไงๆอยู่นะ”
น้ำหนึ่งชะงักมีดที่ปอกไปนิดหนึ่ง แต่ยังนิ่ง พงอินทร์อยากรู้
“ยังไงของคุณนี่...ยังไงเหรอ”
“ก็กี่ครั้งแล้วล่ะ ที่เราได้เบาะแสคุณช่อเพชร แต่พอตามไปก็คลาดกับเขา แล้วเราก็เป็นอันต้องโดนเล่นงานทุกที”
พงอินทร์คิดตาม
“แปลว่าคุณช่อเพชรจงใจที่จะทำร้ายเรา”
“นายโดนซะนอนเดี้ยง จนต้องเดือดร้อนคุณน้ำหนึ่งต้องมาคอยป้อนแอปเปิ้ลขนาดนี้ ยังสงสัยอะไรอีกเหรอค้าตะเอง”
พงอินทร์แทบแอปเปิ้ลติดคอ ขณะที่มือที่ถือมีดของน้ำหนึ่งหยุดปอก หันมาถามกรรณา
“ถ้าคุณกรรณกลัวว่าชีวิตจะไม่ปลอดภัย ก็คงต้องเลิกตามหาคุณช่อเพชรแล้วล่ะค่ะ”
“ผิดค่ะ...การโดนปองร้ายเนี่ยแหละ ของชอบฉันเลยล่ะ ยิ่งทำฉัน ฉันจะตามไล่ตามล่าไม่เลิก แล้วถ้าฉันจับคนที่ทำฉันได้เมื่อไหร่นะ ถึงเป็นผี รับรองว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่”
น้ำหนึ่งกลับยิ้มใส่
“ขอให้จับได้เร็วๆนะคะ โจ้จะได้เลิกเอาชีวิตมาเสี่ยงตามหาคนร้ายเสียที หนึ่งสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ค่ะ ว่าขืนช้า อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับโจ้ได้”
น้ำหนึ่งหันไปทำหน้าห่วงพงอินทร์...กรรณาแอบกัดปากหึงๆ ระหว่างนั้น กรรณาได้ยินเสียงร้องเพลงของพิมอรดังแว่วกับสายลม กรรณาชะงักฟังหันมองออกไปจากกระจากระเบียง พิมอรเข้ามาในโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะมีผีเจ้าที่ขวางอยู่ กรรณาตั้งใจฟัง
วิญญาณหลวงพิชัยภักดี เดินไปเดินมา
“เราคิดผิดรึเปล่าเนี่ย ที่ปล่อยให้เจ้าติณห์มันกลับรีสอร์ทไปคนเดียวแบบนี้”
“นั่นน่ะซิ เหมือนส่งเนื้อไปดงอสูรกายให้มันเขมือบไงก็ไม่รู้” ก้องฟ้าเป็นห่วง
ญาณิน นั่งเครียดอยู่ท่ามกลางอรวรรณกับ ก้องฟ้า
“ทำไงได้คะ มีติณห์คนเดียวเท่านั้นที่จะกลับเข้ารีสอร์ทไปได้ โดยที่พวกนั้นไม่ระแวง”
หลวงพิชัยภักดีขัดขึ้น
“ไม่มีทาง เจ้าติณห์เล่นหายตัวมาทั้งวันแบบนี้ ยังไงนังเบญจาก็ต้องระแวงกลับไปเจ้าติณห์ต้องเจอดีชัวร์”
อรวรรณกังวลใจ
“ทำไงดีคะคุณหนู ถ้าคุณติณห์เป็นอะไรขึ้นมา ไม่มีใครช่วยได้นะคะพวกเราอยู่ที่นี่กันหมด”
“ติณห์เขาคงรู้ค่ะป้า ว่ากลับไปต้องเจอกับอะไรบ้าง เขาต้องเตรียมตัวเตรียมใจกลับไปรับมืออยู่แล้ว”
หลวงพิชัยภักดีหน้าเครียด
“กลับไปคราวนี้เจ้าติณห์มันคิดการใหญ่ ถ้าไม่สำเร็จ ไอ้หมอสมคิด มันต้องไม่เอาไอ้ติณห์ไว้แน่”
ก้องฟ้าหนักใจ
“นี่มันสงครามอาคมชัดๆเลยล่ะ”
อรวรรณยกมือพนม
“คุณพระคุณเจ้าดูแลคุณติณห์ให้ปลอดภัยด้วยนะเจ้าคะ เอ่อ ก๊อง นายพูดกะใครน่ะ เป็นวักเป็นเวณ”
“อ้าว ก็ พูดกะพวกเรานี่แหละ ทำไมเหรอ”
หลวงพิชัยภักดีโอบบ่า ก้องฟ้าเหลือบมองงงๆ ญาณินหนักใจ
รถติณห์แล่นมาตามถนนสายยาวที่สองข้างทาง ขนาบด้วยต้นไม้สูงและป่าเขา บรรยากาศมืด ถนนเงียบ วังเวง ติณห์ขับรถไปด้วยใจคอที่กังวล อยู่ๆเขาก็หายออกจากรีสอร์ทมาแบบนี้ ไม่รู้ว่ากลับไปจะเจออะไรรออยู่ข้างหน้า ติณห์มองผ่านกระจกหน้ารถไปยังถนนตรงหน้า
“อะไรน่ะ”
ติณห์เพ่งมองไปเมื่อเห็นฝูงอะไรดำๆพุงมาจากข้างหน้าแล้วเขาก็ร้องตกใจเมื่อเห็นฝูงอีกาฝูงใหญ่ทะมึนบินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว จนชนเข้ากับรถดังสนั่น
“เฮ้ย”
ติณห์ตกใจเมื่อเห็นนกบินมาชนกับกระจกหน้ารถจนแทบมองไม่เห็นทาง เขาพยายามเปิดที่ปัดน้ำฝน แต่มันไม่ทำงาน
“ทำไมที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน”
เมื่อมองไม่เห็นทาง เขาก็ขับรถเป๋ไปเป๋มา ขืนขับต่ออาจจะชนกับอะไรได้จึงตัดสินใจเหยียบเบรกเอี๊ยดลั่นถนนตอนนั้นเองที่ปัดน้ำฝนก็ทำงานเอง ปัดซากนกและเลือดนกออกจากกระจกรถจนเห็นถนนมัวๆภายนอก ติณห์มองจ้องไปจนที่ปัดน้ำฝนปัดกระจกจนเกือบสะอาด ภาพของใครบางคนยืนอยู่กลางถนน ข้างหน้าชัดขึ้น ติณห์เลยเปิดไฟใหญ่หน้ารถส่องไป ต้องตกใจที่เห็นเป็นเบญจายืนขวางถนนอยู่แล้วมีฝูงอีกาบินเป็นฝูงใหญ่บินผ่านมาจากข้างหลัง
“เบญจา”
ติณห์ขนหัวลุกเห็นสีหน้าเบญจามองมาด้วยแววตาโกรธจัด เขาควานมือล้วงลงไปในถุงใบหนึ่งที่วางอยู่ที่เบาะข้างๆ กำของบางอย่างขึ้นมาจากถุงเปิดประตูลงจากรถ
ติณห์ก้าวลงจากรถมายืนที่ถนน...มองไปที่เบญจา
“พี่ติณห์ พี่หายไปไหนมา”
ติณห์ รวบรวมความกล้าก้าวเดินไปหา
“หนูถามว่าพี่หายไปไหนมา...พี่คิดทรยศหนูเหรอ”
เบญจาแผดเสียงโกรธ ทำให้รอบตัวปั่นป่วน ลมพัดแรง ใบไม้ปลิวราวกับเกิดพายุหมุน แต่ติณห์ปรี่เข้าถึงตัว ประกบปากจูบเบญจาทันทีพร้อมกับยกมือที่กำของลงจากรถไปที่คอของเบญจา เป็นสร้อยมีจี้เพชร ติณห์บรรจงสวมสร้อยให้ เบญจาตะลึงความโกรธมลายหายไปทันที ทำให้บรรยากาศรอบตัวที่ปั่นป่วน กลับมาปกติ ฝูงอีกาอันตรธานหายไป
“พี่ติณห์”
เบญจาโอบกอดจูบตอบติณห์
ญาณินนั่งสมาธิอยู่กลางห้องสีหน้าแสนเจ็บปวดเพราะจิตเธอมองเห็นภาพบาดใจ เธอมองเห็น...ติณห์กำลังจูบกับเบญจา ญาณินสะอื้นออกมา
“คุณหนู” อรวรรณมองอย่างเป็นห่วง
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีเดินผ่านห้องเข้ามาเห็น
“หนูณินร้องไห้ทำไม”
จนกระทั่งญาณินไม่สามารถครองสมาธิอยู่ หลุดจากสมาธิลืมตาขึ้นร้องไห้ออกมา อรวรรณตกใจ
“เป็นอะไรไปคะคุณหนู นั่งสมาธิอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ออกมา”
ญาณินโผกอดอรวรรณร้องไห้ อรวรรณโอบปลอบ ถอนใจ หลวงพิชัยภักดีมองอย่างเห็นใจ
“หนูณินเอ้ย...ฉันรู้ว่าหนูรู้สึกยังไง แต่ขอให้เชื่อใจหลานฉันเจ้าติณห์น่ะมีรักที่มั่นคงต่อหนู ต่อให้ยัยเบญจามันสวยหยาดฟ้ามาดินใช้เสน่ห์ยั่วยวนซักแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเอาชนะใจเจ้าติณห์ได้หรอก หนูเองนั่นแหละที่ต้องเอาชนะใจตัวเอง ไม่ให้หวั่นไหวระแวงให้ได้”
หลวงพิชัยภักดีพูดพลางยื่นมือไปลูบหัว ญาณินพยักหน้าพยายามหักห้ามน้ำตา
ติณห์ถอนจูบจากเบญจา
“ไอมิสยู...คิดถึงเบญจาที่สุดเลย”
“คิดถึงแล้วแอบหนีไปอย่างงี้เนี่ยะนะ”
“ก็พี่อยากจะไปหาของมารับขวัญเบญจาให้หายป่วยนี่ครับ ก็จเวลซูน ชอบสร้อยมั้ย พี่เลือกอยู่นานกลัวไม่ถูกใจฮันนี่ของผม”
เบญจาก้มลงจับสร้อย
“อืม...ชอบหรือเปล่าน๊า”
เบญจาทำเป็นมองหน้าติณห์ยิ้มๆยั่ว
“ถ้าไม่ชอบ พี่มีอีกอย่างนึงจะให้”
เบญจาแปลกใจ
“อุ้ย พี่ติณห์อ่ะ ยังมีอะไรอีกคะ อิๆ”
ติณห์ยิ้มแทนคำตอบ แล้วพาเบญจาไปที่รถเปิดประตูให้เธอนั่งในรถ
“เอาล่ะ...ทีนี้ก็หลับตาลง”
“ทำไมต้องหลับตาด้วยล่ะ”
“ถ้าไม่หลับ พี่ก็ไม่ให้นะ โคลสยัวร์อายซ์...พลีซเบบี้”
“โอเคค่ะ หลับก็หลับ”
เบญจาหลับตาลง สีหน้าติณห์ที่ยิ้มกลับมาเครียด
“ทำไมช้าจังคะพี่ติณห์...ไหนคะ...เร็วๆซี”
“เอ่อ...อย่าใจร้อนซีน้องเบญจี้ wait…wait…wait”
ติณห์หันไปเปิดท้ายรถ
เบญจาหลับตา
“ฮัลโหลพี่ติณห์...ได้หรือยังคะ...หนูรอนานแล้วนะ”
“เอาล่ะครับ...โอเพ่นยัวร์อาย”
เบญจาค่อยๆลืมตาขึ้นเห็นติณห์ยืนถือตุ๊กตาหมีตัวใหญ่รออยู่นอกรถ
“หายป่วยเร็วๆนะครับเบญจา”
“น่ารักจังเลย”
เบญจาลุกไปกอดตุ๊กตาหมีอย่างตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กสาวทั่วไป ไม่มีมาดจอมขมังเวทย์ให้เห็น
“ขอบคุณมากค่ะพี่ติณห์ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของหนู ที่หนูได้เล่นตุ๊กตา ตั้งแต่เกิดมา หนูไม่เคยได้รับอนุญาตให้เล่นของเล่นเลย ขอบคุณมากพี่ติณห์ ขอบคุณจริงๆ”
เบญจากอดซบ ติณห์ฝืนยิ้ม
“พี่ดีใจที่เบญจาชอบ เรากลับรีสอร์ทกันเถอะ ป่านนี้มัมคงรอพี่แย่แล้ว”
ติณห์และเบญจาพากันกลับมาที่รีสอร์ท เบญจาอุ้มตุ๊กตาหมีเข้ามาด้วย
“เฮ...ดูซิใครกลับมา แม่คิดว่าลูกทิ้งแม่ไปแล้วซะอีก”
ทั้งสองชะงัก หันไปมองทางเสียง พบมิรันตียืนอยู่กับสมคิดและกรกฎ
“โน ไอจะทิ้งมัมไปได้ยังไง”
สมคิดสวนขึ้น
“แล้วคุณหายไปไหนมาเหรอครับ ไปเยี่ยมพวกแม่มดหมอผีที่เข้ามาวางยาเบญจาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดรึเปล่า”
มิรันตีตบโต๊ะปังโมโหทันที
“นี่แกไปหานังญาณินมาเหรอติณห์”
สมคิดและกรกฎมองหน้ากัน รู้กันอยู่ในที ติณห์กำลังจะแก้ตัวแต่เบญจารีบแก้ตัวให้แทน
“เปล่าค่ะ พี่ติณห์ไม่ได้ไปหาญาณิน พี่ติณห์ไปซื้อของขวัญมาอวยพรให้เบญจาหายเร็วๆ ดูซิคะเนี่ยะ...สร้อยกับตุ๊กตา...ในชีวิตเบญจาไม่เคยมีของพวกนี้มาก่อนเลย”
สมคิดมองเบญจาอย่างโกรธมาก แต่มิรันตีหัวเราะชอบใจ
“ฮ่ะๆ ต๊าย...จะเซอร์ไพร้สหวานใจก็ไม่บอก ทำให้แม่หลงโกรธแทบแย่มานี่ มาลูก...ขอkissให้ชื่นใจหน่อย”
ติณห์เดินเข้าไปหา ก้มลงยื่นหน้าให้มาหอมแก้มแต่ตาติณห์แอบเหลือบมอง สมคิดกับกรกฏเห็นสมคิดบีบแก้วไวน์แทบแตกเป็นเสี่ยงๆมองไปที่เบญจาอย่างโกรธ มิรันตีจูบแก้มติณห์
“น่ารักที่สุด มายเบบี้ของมัม ลูกต้องดีกับน้องเขาให้มากๆนะ น้องน่ะทำทุกอย่างเพื่อรีสอร์ทของเรา นำ the best thing มาสู่รีสอร์ทของเรา โดย เฉพาะอย่างยิ่ง...ว่าที่หุ้นส่วนใหญ่ของเรามิสเตอร์ร็อบบี้ คิดส์”
ติณห์แทบเข่าทรุดล้มตึงอยู่ตรงนั้น แต่ต้องฝืนเงยหน้ามองไปที่สมคิดทำเป็นเซอร์ไพร้ส
“Really คู้ณจะมาเป็นหุ้นส่วนของเรา”
“หึๆ” สมคิดหัวเราะแทนคำตอบ
ติณห์เดินตามมิรันตีที่กำลังเดินกลับบ้าน
“อาร์-ยู-ชัวร์มัม”
“ชัวร์เรื่องอะไรเหรอจ๊ะลูกรักของมัม”
ติณห์พยายามพูดเบาๆ
“ก็ที่จะเอามิสเตอร์สมคิด มาเป็นหุ้นส่วนในรีสอร์ทเรา”
“มิสเตอ์สมคิดอะไร เขาชื่อมิสเตอร์ร็อบบี้ คิดส์ ยี้มาเรียกชื่อเขาสมคิด ฟังดูกระจอกบ้านนอกไร้สกุล เดี๋ยวเถอะเขาได้โกรธเอาหรอก”
ติณห์จับไหล่ทั้งสองของมิรันตีอย่างอ้อนวอน
“มัม...พลีซ...ฟังผมสักครั้งเถอะ พลีซ”
“เว้าวอนจังเลยเนี่ยะ...จะให้ฟังอะไรของแกห่ะ....อ่ะๆพูดมา”
“มิสเตอร์ร็อบบี้ คิดส์ก็คือหมอผีสมคิดที่เคยร่วมมือกับกำนันพงษ์ส่งภูติผีวิญญาณมาหลอกหลอนที่นี่ จนไอเกือบจะสร้างรีสอร์ทนี้ไม่สำเร็จ”
“จริงเหรอ” มิรันตีทำเป็นตกใจ
“เยสมัม เขาคือคนๆเดียวกัน เขาเคยถูกตำรวจจับ แล้วหนีหายสาบสูญไป อยู่ๆเขาก็come back กลับมาในคราบ Billionaire เศรษฐกิจพันล้าน มิสเตอร์ร็อบบี้ คิดส์”
“เศรษฐี ไม่ใช่เศรษฐกิจ...ฮ่าๆ” มิรันตีหัวเราะร่า
“มัมหัวเราะอะไร”
“ก็ทุเรศแกน่ะซิ บ้าไปแล้ว มาหาว่าเทพบุตรคนนั้นคืออดีตหมอผี นี่แสดงว่าแกยัง ไม่หายจากนังญาณินล้างสมอง แกยังแอบเชื่อมันอยู่ ฉันจะฟ้องหนูเบญจา”
“มัม...อย่าทำอย่างงั้น ถ้ายังเห็นไอเป็นลูกของมัมอยู่ เชื่อผมสักครั้ง อย่าไว้ใจให้ ร็อบบี้คิดส์มาเป็นหุ้นส่วนกับเรา...นะมัม...I’m your son ผมเป็นลูกมัมนะ” ติณห์พูดอย่างจริงจังมาก
มิรันตีนิ่ง มองหน้าลูกชาย
“OK! I’m give you a chance. หาหลักฐานมาซิว่ามิสเตอร์ร็อบบี้ไม่ใช่คนดี...ฮีเป็นหมอผีสมคิด...” มิรันตีกลั้นขำ “หาหลักฐานมายืนยันให้ได้แล้วไอจะเชื่อยูทุกอย่าง...จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก แล้วไล่เขาไปจากที่นี่ ไอจะคอยดู กู้ดไนท์”
มิรันตีจูบทีฝ่ามือแล้วไปทาบที่แก้มลูกชายก่อนจะเดินฮัมเพลงโอเปร่าไป
“หาหลักฐานมายืนยันเหรอ”
ติณห์ยืนคิดหาทางอย่างหนักใจ
ในบ้านพักของเบญจา สมคิดตบเบญจาจนล้มลง ตุ๊กตาหลุดจากมือ
“ในชีวิตของแก...อยากจะได้แค่ไอ้ตุ๊กตาทุเรศๆนี่เองเหรอ”
เบญจาหันขวับมามองสมคิด
“พ่อไม่เข้าใจ มันไม่ใช่แค่ตุ๊กตา แต่มันคือความห่วงใยที่มาประโลมใจหนูต่างหาก”
“แกนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ หึทำไมตั้งแต่เล็กจนโตที่ฉันเลี้ยงแกมา ฉันไม่เคยให้ของเล่นพวกนี้กับแกเลย ก็เพราะไอ้ของพวกนี้มันคือความอ่อนแอมันคือความฝันลมๆแล้งๆ ทีฉันไม่อยากให้มันมีอยู่ในตัวแก แกต้องเข้มแข็ง แกต้องไม่เพ้อไม่ฝัน ไม่มีความรัก มันจะทำให้แกเป็นคนขี้แพ้” สมคิดหันไปมองกรกฎ “เอาไปทิ้งซะ”
“ครับ”
กรกฎเข้าไปคว้าตุ๊กตา แต่เบญจาดึงคืน พร้อมกับสวนกรงเล็บใส่
“อย่ามายุ่งของพี่ติณห์”
กรกฎผงะหน้าหลบ กรงเล็บเฉี่ยวหน้าไป...
“เจ้านายสั่งให้ผมเอาไปทิ้ง...ส่งมาให้ผมครับคุณเบญจา ส่งมา”
กรกฎตามคว้าตุ๊กตา เลยถูกเบญจาเตะ
“ไม่”
กรกฎยกสองแขนเหล็กกันไว้ เบญจาฟาดท่อนแขนใส่ กรกฎจับไว้ ไม่คิดสวนคืนถ้านายไม่สั่ง ลงมือ สมคิดมาพอใจ
“เดี๋ยวนี้แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอเบญจา”
“พ่อ...หนูขอร้อง...ให้ตุ๊กตาตัวนี้อยู่กับหนูเถอะ”
“นังโง่ ไอ้ติณห์มันเห็นจุดอ่อนแก มันถึงซื้อตุ๊กตาตัวนี้มาง้อแก แกจะได้เลิกสงสัยว่ามันหายหัวไปหาอีนังญาณินมา”
เบญจาหยุดทันที
“ไม่จริง หนูใช้เสน่ห์พ่องั่ง แม่งั่งมัดใจพี่ติณห์เอาไว้ พี่เขาไม่มีทางทรยศหนูได้”
“เสน่ห์มัดได้ก็แก้ได้ ฉันชักไม่แน่ใจว่าเสน่ห์ของแกจะเอาไอ้กะล่อนนั่นอยู่”
เบญจาอึ้ง
“พ่อ”
“กรกฎ...ต่อแต่นี้ ฉันจะจับตาดูมันไว้ทุกฝีก้าว”
กรกฎผละมาจากเบญจายิ้มอย่างมีเลศนัย เบญจายังคงเชื่อมั่นในเสน่ห์ของตัวเอง
จุนจีและกรรัมภาคุยกันในห้องๆหนึ่งของโรงแรม
“จองกุ๊กสืบจากที่มาในอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ฝีมือนายอติเทพแน่ๆ ที่ปล่อยข่าวลือ ระหว่างผมกับคุณทำลายชื่อเสียงผม แล้วทำลายอนาคตของคุณ เพื่อที่จะหยุดเราสองคนให้เลิกคบกัน แล้วร่วมมือกันตามหาหลักฐานที่มันฆ่าคุณย่า”
“น่าสงสารคุณย่าคุณเนอะ ที่ต้องมาเจอผู้ชายเลวๆแบบนี้”
“ผมแปลกใจว่าทำไมวิญญาณคุณย่า ไม่หักคอนายอติเทพซะ”
กรรัมภามองหน้า
“นี่โอป่ะ วิญญาณใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่างนะ วิญญาณเป็นกระแสของพลังงานที่มีขีดจำกัด ไม่ใช่นึกอยากจะหักคอใครก็ทำได้นะคะ เฮ่อ ผู้ชายก็เป็นซะยังงี้เห็นแก่ตัว ส่วนผู้หญิงเราน่ะ รักเดียวใจเดียว”
จุนจีส่ายหน้า
“อานยาๆ อย่าเหมารวมทุกคนซิคุณ บางคนก็ยกเว้น อย่างจุนจีคนนี้ เชื่อได้เลยว่ารักเดียวใจเดียว”
จุนจีพูดพลางคว้ามือกรรัมภามากุมไว้ ทำเอาเธอตะลึงมองหน้าเขา จุนจีทำหน้าจริงจังก่อนจะเปลี่ยนมาหัวเราะ กรรัมภาฉุน ตี
“อำฉันเหรอ...นี่ๆ รู้ว่าฉันหลง ก็มาแกล้งเล่นมุกอยู่ได้ เกาหลีโกหก ขอให้ตกนรก”
จุนจียกมือป้องตัวเอง แล้วคว้ามือกรรัมภาดึงตัวมาโอบกอดไว้
“อุ้ย”
“ไม่เอาตกนรก ขอเปลี่ยนเป็นตกหลุมรักแทนได้มั้ย”
กรรัมภาเขินๆ
“เอ่อ...ฉันไม่เชื่อหรอก เกาหลีโกหก จะให้ยัยโกลเด้นมาหักคอคุณ” กรรัมภาตะโกนขึ้น “โกลเด้นอยู่ไหน...โกลเด้น”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จุนจีตกใจผละออกจากกรรัมภา
“มาจริงด้วย”
ประตูห้องเปิดออก ลีจองกุ๊กวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“เร็วๆ...”
จุนจีกระซิบบอกกรรัมภา
“เป็นอะไร ใจเย็นๆ”
“เย็นยังไงล่ะ ผู้กำกับและตัวแทนของบริษัทที่ร่วมทุนละครเรื่องนี้กำลังขึ้นลิฟท์มาหาแก ถ้าเกิดแกกะคุณแก้ม...” จองกุ๊กร้อนใจ
จุนจีหน้าตื่น
“ก็แย่น่ะสิ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“งั้นคุณแก้มไปหลบในห้องนอนก่อนนะ ผมยังไม่ให้คุณกลับนะ”
กรรัมภางงๆ
“ค่ะๆ”
จุนจีพากรรัมภาเข้าห้องนอนตัวเองไป ลีจองกุ๊กเหงื่อตก
อ่านต่อตอนที่ 16