อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 17
ค่ำคืนแรกของการแต่งงานกัน วิทย์กับสาต่างอยู่ในชุดนอนแล้วทั้งคู่ วิทย์นั่งอยู่ที่เก้าอี้มีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย สานั่งอยู่ที่เตียงสีหน้าเรียบเฉย
“คุณอุษาง่วงไหมครับ”
“ยังค่ะ แต่คุณวิทย์คงจะง่วงกระมัง เมื่อคืนฉันมาแย่งที่นอน คุณต้องออกไปนอนที่โซฟานอกห้อง คงนอนไม่เต็มตานัก”
“เปล่าเลย ผมไม่ง่วงเลยสักนิด”
วิทย์นั่งมองสาอย่างหลงใหลในความงาม จนสาออกจะรำคาญ ตัดสินใจเอามือตบที่ข้างๆ ตัว
“คุณมานั่งนี่เถอะ”
วิทย์ลงนั่งบนเตียงข้างสา จับมือสามาจูบที่หลังมือเบาๆ พูดอ่อนหวาน
“ผมดีใจมากนะครับ ที่เราได้อยู่ด้วยกัน”
สารำคาญลีลารักที่แสนจะสุภาพของวิทย์นิดๆ เลยตัดบท
“ปิดไฟเถอะค่ะ”
ไฟดับวูบลง สาเอนตัวเข้ากอดวิทย์ พูดตรงๆ
“ตอนนี้ ฉันเป็นเมียของคุณวิทย์แล้ว ฉันอยากลืมคนอื่นให้หมด คุณวิทย์จะทำให้ฉันลืมคนอื่นได้ไหมคะ”
สาดันวิทย์นอนลงกับเตียงคู่เคียงกัน
เวลาผ่านไป สานอนอยู่บนเตียงกับวิทย์ วิทย์หลับสนิทไปแล้ว ส่วนสากำลังเคลิ้มๆ เหมือนเห็นเงาร่างสูงๆ ทาบทับมาบนมุ้ง สาเพ่งมอง ก่อนจะแหวกมุ้งออกไป เห็นร่างของสมศักดิ์ในชุดเดิมที่เห็นเมื่อเย็น ยืนมองอยู่ หน้าเศร้าสลด เนื้อตัวเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า
สาตกใจ ร้องกรี๊ด
วิทย์ลุกขึ้นมา “คุณสา เป็นอะไร”
“ฝันน่ะค่ะ”
“ฝันร้ายหรือครับ ฝันอะไร”
สาไม่ตอบ ใจสั่น
ด้านสุขกับแป้นนั่งๆ นอนอยู่ในมุ้ง เตรียมนอน แป้นรำพึง
“คุณสมศักดิ์แกไม่กลับบ้านมาสองคืนแล้ว”
สุขหัวเราะคิกคัก “แพ้พนันฉันแน่ล่ะ แม่แป้นคราวนี้”
“ไฮ้ นี่แกคิดว่าคุณสมศักดิ์...”
“ก็ลองอีรูปนี้ จะไปไหน ก็คงไปอยู่กับคุณอุษาโน่นล่ะ”
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ...ใครจะไปนึกว่าคุณสาแกจะทำได้”
มีเสียงตะโกนดังโหวกเหวกมาจากนอกบ้าน เรียกไม่หยุด
“ลุงสุข ป้าแป้น...ลุงสุข ป้าแป้น”
แป้นสงสัย “เสียงใครกัน”
สุขออกจากมุ้ง ตะโกนตอบไป “เออ ได้ยินแล้วโว้ยมาเรียกทำไมดึกๆ ดื่นๆ”
สุขเดินออกไปตรงนอกชาน เห็นเด็กเรือคนคุ้นเคยกันหน้าตาตื่นอยู่
“มีอะไรวะ”
“คนที่ชื่อสมศักดิ์ ที่อยู่บ้านลุงน่ะจ้ะ แกจมน้ำตาย”
“เฮ้ย!”
สีหน้าสุขกับแป้นตกใจสุดขีด
ร่างเปียกโชกของสมศักดิ์นอนอยู่ที่ท่าน้ำ มีชาวบ้านเฝ้าอยู่คนสองคน สุขกับแป้นไปถึง ถึงกับอึ้งไป
“เรื่องราวมันยังไงกันวะนี่ มีใครเห็นไหม ว่าแกไปจมน้ำได้ยังไง”
แป้นกับสุขมองดูศพสมศักดิ์อย่างแปลกใจ เมื่อเห็นในมือกำผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยแน่น
เช้าวันต่อมา สานั่งนิ่งมองร่างวิญญาณของสมศักดิ์ สีหน้าเศร้าใจ แป้นกับสุขเล่าเรื่องราวให้สาฟังอยู่บนศาลาวัด ตอนนี้มีชาวบ้านมาร่วมงานเพียงไม่กี่คน เห็นจรินทร์ดูแลโสภิตพิไลอยู่ไม่ห่างจากกลุ่มชาวบ้านนัก เด็กหญิงโสภิตพิไลนั่งนิ่ง สีหน้าเคร่งขรึม
“เขาว่าอยู่ดีๆ แกโดดลงน้ำไปค่ะ ค่ำแล้ว น้ำมันเย็น แกคงจะเป็นตะคริวแล้วก็คงจะกินเหล้าเมามาด้วย เลยอีท่าไหนไม่รู้ จมน้ำไป”
สาทอดถอนใจ สุขส่งผ้าเช็ดหน้าของหญิงโสภาให้
“ตอนฉันไปพบศพ ก็เห็นในมือแกกำไอ้นี่แน่นเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร”
สารับมาดู สะท้านไปทั้งตัว
“ผ้าเช็ดหน้าของคุณหญิงโสภาค่ะ คุณหญิงปักให้คุณสมศักดิ์ ตอนที่รักกันใหม่ๆ”
“โถ... พ่อคุณ” แป้นครวญ
สามองผ้าเช็ดหน้า ถอนใจอีก “คุณหญิงเธอรักคุณสมศักดิ์มากนะคะ เธอคงรักของเธอจริงๆ เธอถึงมาเอาของเธอไป”
ทุกคนกลับมาจากงานศพเดินขึ้นบ้าน ในเวลาตอนกลางคืน ตลอดทางโสภิตพิไลนิ่งขรึมน่าสงสาร
จรินทร์บอก “ไปนอนกันเถอะโสภิต”
โสภิตลงนั่งนิ่งแถวนั้น ไม่เดินต่อ สาเดินไปหาโสภิตพิไล พูดอ่อนหวาน
“คืนนี้นอนกับป้านะคะ ป้าจะนอนเป็นเพื่อน”
โสภิตพิไลมองสา ดวงตาว่างเปล่าส่ายหัว สาดึงลูกสาวมากอด ปลอบโยน
“ต่อจากนี้ไป ป้าจะดูแลโสภิตเองนะลูกนะ เราจะไปอยู่ด้วยกันนะ”
โสภิตพิไลลุกออกจากอ้อมกอดสา “ไม่ หนูไม่อยู่กับคุณป้า ไม่ชอบ”
แป้นตกใจ “อุ๊ย โสภิต ไม่ได้นะไม่ได้ พูดแบบนี้กับคุณป้าได้ยังไง บาปกรรม”
โสภิตพิไลหน้าเสีย สาสงสาร รีบแก้แทน
“อย่าไปว่าแกเลยค่ะ พี่แป้น” สาพูดเสียงหวาน “โสภิตจ๋า ทำไมถึงไม่ชอบ คุณป้ารักโสภิตมากนะลูกรู้ไหม”
สุขเสริม “นั่นสิ คุณป้าทั้งสวย ทั้งใจดี แล้วก็รักโสภิตมากกว่าใคร”
“แต่คุณป้าทำคุณจิ๋งตาย ทำคุณพ่อตายด้วย”
คำพูดซื่อๆ ทำเอาทุกคนตกใจ
“อะไรนะ โสภิต ไปเอามาจากไหน” สาถาม
“คนที่วัดบอก คุณป้าทำพ่อแม่หนูตาย หนูเกลียดคุณป้า”
โสภิตพิไลลุกวิ่งหนีเข้าบ้านไป
ทุกคนยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก สายืนนิ่งงัน ตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว
อ่านต่อหน้า 2 / 09.30 น.
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 17 (ต่อ)
ตอนกลางคืน ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ท่ามกลางบรรยากาศบ้านเมืองที่เข้าสู่สงครามอันยืดเยื้อยาวนาน
ในโรงละครคืนนี้ แลเห็นคนดูเพียงไม่กี่คน ซึ่งลดลงจากปกติกว่าครึ่งกำลังปรบมือพร้อมๆ กับม่านบนเวที ปิดลงมา สาและคณะนักแสดง ในละครชุด “น้ำใจรัก” กำลังโค้งเป็นครั้งสุดท้าย
บุญยง ส่งสัญญาณให้คณะนักดนตรียืนขึ้นบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี คนดูลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
มาลัยยืนอยู่ ที่หลืบด้านข้างเวที มองออกมาที่นั่งคนดูที่ว่างโหรงเหรง สีหน้าเศร้า อาลัย
ต่อมามาลัยอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ มีโต๊ะทำงานและมีบทละครเก่าๆ อยู่ในชั้น มีพิมพ์ดีด หนังสือและเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่
มาลัยมองดูบทละครที่เข้าเล่มเรียงกันอยู่ ทั้ง ศกุนตลา, โรมิโอ-จูเลียต, เสียกรุง และ น้ำใจรัก บางอันเหลืองเก่า สีหน้ามาลัยเศร้าถนัดตา บุญยงซึ่งยังไม่เปลี่ยนชุด แค่ปลดเนคไทด์รุ่ยร่าย เปิดประตูเข้ามา หน้าตากังวล
“พี่มาลัย” มาลัยยังไม่หันมา “คนมาดูละครเราน้อยลงทุกวัน วันนี้ไม่ถึงยี่สิบคน”
“ทำยังไงได้ล่ะ บุญยง สงครามยืดเยื้อมาเป็นปี เศรษฐกิจไม่ดี คนก็ยากจนลงทุกวัน...” มาลัยพูดขำๆ แต่สีหน้าเศร้า “จะซื้อข้าวสักถังยังต้องคิดแล้วคิดอีก จะเอาเงินที่ไหนมาดูละคร”
“แต่ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เราแย่แน่...ทำอะไรสักอย่างซี”
มาลัยหันมา ยิ้มเศร้าๆ ให้บุญยง
“บุญยง เธอจำละครเรื่องแรกของพวกเราได้ไหม”
“ศกุนตลา”
“แล้วละครเรื่องที่ดีที่สุดล่ะ”
“ไม่มี...เพราะเราต้องคิดไว้เสมอว่า เรื่องต่อไป จะต้องดีกว่าเรื่องที่แล้วมา”
มาลัยมองบุญยงอย่างชื่นชม น้ำตาคลอด้วยความเศร้าใจ บุญยงตกใจ
“พี่มาลัย พี่ร้องไห้ทำไม!”
“แล้วเธอรู้ไหม ว่าเรื่องไหนจะเป็นละครเรื่องสุดท้าย”
บุญยงอึ้ง ยังไม่ทันพูดอะไร วิทย์ สา และคนอื่นๆ ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ทยอยกันเข้ามา
หน้าตากังวล
“ทุกคนมากันแล้ว”
วิทย์ถามแทนคนอื่นๆ “พี่มาลัยเรียกพวกเรามาพบ มีเรื่องอะไรหรือครับ”
“สามสี่เดือนที่ผ่านมา คนดูละครของเราลดลงมาก เพราะสงครามกับสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงทุกวัน มันจึงมาถึงเวลาที่พี่ต้องบอกทุกคนว่าพี่เสียใจมาก ที่โรงละครมาลัยภิรมย์ของเรา จะต้องปิดตัวลง”
ทุกคนอึ้งๆ
สาถามเสียงอ่อย “เมื่อไหร่คะ”
“วีคนี้ จะเป็นวีคสุดท้ายที่เราจะแสดง...พี่ขอบคุณทุกคนที่ร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกันมาตลอด พวกเธอเป็นเพื่อนที่ดี เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่พี่ภูมิใจมากนะ ที่ได้ทำงานร่วมกับพวกเธอ”
มาลัยพูดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา วิทย์เข้าไปกุมมือปลอบ มาลัยร้องไห้ทุกคนหน้าเศร้า เงียบงัน
ในความเงียบนั้น บุญยงก็ค่อยๆ ร้องเพลงขึ้นมา
“Should old acquaintance be forgot and never brought to mind.? Should old acquaintance be forgot and auld lang syne.?”
คนอื่นๆ ยกเว้นสา ร้องขึ้นพร้อมกัน
“For auld lang syne, my dear, for auld lang syne, We’ll take a cup of kindness yet, for auld lang syne.”
ทุกคนรวมตัวกันเข้ามา ประสานมือกันกอดมาลัยเป็นกลุ่ม รวมทั้งวิทย์และสา ท่ามกลางความเศร้าและตื้นตันนั้น
สาแอบมองหน้าวิทย์ หนักใจ
ไม่นานต่อมา วิทย์กับสาเดินกลับบ้าน ผ่านทางบ้านวิภา เพื่อไปบ้านตัวเอง สาปรับทุกข์กันไปด้วย
“แล้วจากนี้เราจะยังไงกันดีคะ คุณวิทย์”
วิทย์พูดตามธรรมดา ดูไม่เครียดเอาเลย “ผมจะลองหางานใหม่”
“โรงละครอื่นก็คงแย่พอกัน ที่ยังอยู่ได้ ก็คงไม่รับคนเพิ่ม”
วิทย์หยุดเดิน จับมือสามาบีบ ยิ้มแบบคนไม่กังวลเรื่องอนาคต
“คืนนี้พระจันทร์สวยออก...อย่าเพิ่งไปกลุ้มใจเรื่องพรุ่งนี้เลย”
วิทย์ดึงสามากอด สาที่ชีวิตผ่านความยากลำบากมามาก ได้แต่แอบถอนใจ ยังไม่หายกังวล
วิภาอยู่ในชุดนอน ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นบน เห็นสากับวิทย์ยืนกอดกันกลางสนาม ก็กระแอมเสียงดังไม่พอใจ วิทย์กับสาแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นวิภายืนหน้าบึ้ง วิทย์ยิ้มทัก
“ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกหรือครับ คุณพี่”
วิภาสะบัดหน้า ปิดหน้าต่างใส่เสียงดัง ปัง! สาหมั่นไส้วิภา
สาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เดินเข้ามาในชุดนอน เห็นวิทย์ สวมเสื้อกล้าม กางเกงแพร แลดูเซ็กซี่ง่วนกับการดูแลไวโอลินอยู่ที่ริมหน้าต่าง ด้านนอกแสงจันทร์ส่องสว่าง
สายืนพิศดูเสี้ยวหน้าคมคายของวิทย์ มองท่อนแขนล่ำสัน ผิวเนื้อเกลี้ยงเกลา ก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา สาเดินเข้าไปอิงแอบชวนคุย
“คุณพี่วิภาเธอไม่ชอบขี้หน้าฉันเอาจริงๆ จังๆ”
“เธอหวงผมน่ะ” วิทย์วางไวโอลิน หันมาอธิบายยิ้มๆ “พี่วิภาเธอเป็นพี่สาวคนโต เลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็ก เธอเลยรักผมมาก แถมตัวเธอยังโชคร้าย แต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ คุณพระสามีของเธอก็เสียไป ทิ้งเธอให้เป็นหม้าย เธอเลยยึดเอาผมเป็นเหมือนลูกชาย...ก็เท่านั้นเอง”
สากอดซบกับแขนวิทย์ “เธอรักคุณ เลยมาเกลียดฉัน แบบนี้มันถูกหรือคะ”
วิทย์กอดตอบ “กลัวอะไร ผมรักคุณคนเดียวก็พอแล้วนี่”
สาช้อนตามองวิทย์ ดวงตาวาววามบอกความปรารถนา
“คืนนี้พระจันทร์สวยจริงๆ อย่างที่คุณว่า...”
“คุณรู้ไหม ว่าตะกี๊ผมกำลังคิดถึงอะไร”
สายิ้มหวานปานจะหยด วิทย์ช้อนอุ้มสาทั้งตัว เดินไปที่เตียง
วิทย์วางสาลงบนเตียงอย่างถนอม สาตัวอ่อนระทวยแต่วิทย์กลับผละออกไปสางงวิทย์เดินกลับไปที่ริมหน้าต่าง หยิบไวโอลินขึ้นมา
สายันตัวลุกขึ้นนอนตะแคง มองวิทย์งงๆ “คุณวิทย์คะ”
วิทย์มองสา ดวงตาเปี่ยมด้วยความรัก อ่อนโยน เคลิ้มฝัน
“คืนที่เราพบกันครั้งแรก พระจันทร์ก็สวยอย่างนี้ ผมเล่นเพลงให้คุณฟัง จำได้ไหม” วิทย์เริ่มเล่นเพลง Claire de Lune “มันชื่อ แกลร์ เดอ ลูน แปลว่า...แสงจันทร์”
วิทย์เล่นไวลิน สาเซ็งอารมณ์หด ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“มานอนเถอะค่ะ”
วิทย์ไม่เข้าใจ “คุณนอนเลยครับ ผมจะกล่อมคุณด้วยเสียงเพลง”
สาลุกพรวดเดินปังๆ ออกไปจากห้องนอน วิทย์หยุดสีไวโอลิน งง
“คุณอุษา”
สาเดินมาที่ลานหลังบ้าน ตรงนั้นมีเก้าอี้นั่งเล่น ห่างออกไปมีตุ่มน้ำสำหรับอาบน้ำกลางแจ้งอยู่ด้วย
สาทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรง หงุดหงิด
วิทย์ยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างห้องนอนเห็นสานั่งหน้างอ ยิ่งแปลกใจร้องถาม
“คุณอุษา คุณเป็นอะไรไป”
สาตะโกนตอบอย่างขัดใจ “ช่างฉันเถอะน่ะ”
สาลุกหนี เดินออกไป หันหลังให้วิทย์ บังเอิญไปหยุดที่ตุ่มน้ำ
วิทย์ยิ่งงง “คุณอุษา”
สาส่งเสียงแว้ดใส่ “ฉันปวดหัว”
ในความหงุดหงิดพลุ่งพล่านนี้เอง บทรักระหว่างสากับสมศักดิ์แวบเข้ามาในความคิดของสา เป็นฉากๆ
สาคว้าขันน้ำ ตักน้ำราดหัวตัวเองโครมๆๆ เหมือนกับจะล้างความคิดนั้นออกไป แต่ภาพกลับประดังประเดเข้ามา สาจ้วงตักน้ำราดตัวเองจนเปียกโชกทั้งตัว
วิทย์ตามลงมาดู เห็นสาอาบน้ำทั้งที่สวมเสื้อผ้า ก็ยิ่งแปลกใจมาก
“คุณสา” สาหันมอง ตาขุ่น “คุณเป็นอะไรของคุณ”
สาปาขันใส่วิทย์ แล้วเดินหนีกลับเข้าบ้านไป วิทย์ยืนถือขัน งงสุดๆ
ตอนเช้าตรู่ วิภาฟังสมรฟ้องเรื่องสากับวิทย์เมื่อคืน สีหน้าไม่พอใจ
“อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาอาละวาดกลางดึก เป็นบ้าอะไร”
“วุ้ย ก็คงทำฤทธิ์ทำเดชให้ผัวง้อนั่นล่ะค่ะ คุณ จะมีอะไร ท่าทางหล่อนเจ้ามารยาจะตายไป”
“ฮึ ถือว่าผัวรักผัวหลงทำอะไรไม่มีเกรงใจ” วิภาขัดใจ ลุกขึ้นจะไปจัดการ “เห็นทีฉันจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้...สมร ไปตามวิทย์มาหาฉัน”
“คุณหนูไม่อยู่แล้วค่ะคุณขา เธอออกไปตั้งแต่เช้า หน้างี้เซ้าเศร้า...น่าเวทนา”
“แล้วแม่อุษาล่ะ”
สมรยิ้มเยาะ “เพิ่งจะโมงกว่าเท่านั้น หล่อนก็อยู่บนเตียงสิค้า คุณวิภา...ตะวันยังไม่ส่องก้น หล่อนก็ยังไม่ตื่นหรอกค่ะ”
วิภาโมโห ลุกพรวดขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 17 (ต่อ)
วิภามาทุบประตูบ้านวิทย์ ปังๆๆๆๆ อย่างไม่เกรงใจ ส่วนในห้องซึ่งอยู่สาในชุดนอน งัวเงียขึ้นมาจากเตียง ตกใจได้ยินเสียงวิภาดังมา
“แม่อุษา เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหม แม่อุษา”
วิภาทุบประตูปังๆ เรียกไม่หยุด “แม่อุษา”
ประตูเปิดออกมา วิภาเห็นสายืนอยู่ในชุดนอน ท่าทางเพิ่งตื่น ก็ชักสีหน้า
“มีเรื่องอะไรหรือคะ คุณพี่”
“นี่มันกี่โมงแล้ว แม่อุษา หล่อนจะนอนกินบ้านกินเมืองหรือยังไง”
สาหน้านิ่ง รู้ว่าวิภาจงใจมาหาเรื่อง พยายามข่มใจอธิบาย
“เมื่อคืนดิฉันไม่ค่อยสบาย กว่าจะได้หลับก็เกือบรุ่งสาง”
“ไม่ใช่มัวแต่ทำฤทธิ์ใส่น้องชายฉันอยู่จนดึกดื่นหรอกหรือ”
“แม่สมรไปเพ็ดทูลคุณพี่หรือคะ” สาจิกตาใส่สมร
“อุ๊ยตาย อิฉันก็แก่จนผมสองสีแล้ว เห็นอะไรก็ว่าไปตามที่เห็น” สมรโต้
“หล่อนกล้าดียังไง มาขึ้นเสียงใส่น้องชายฉันจำใส่กะลาหัวเอาไว้บ้างซี” วิภาเน้นคำ “เขาเป็นใคร แล้วหล่อนเป็นใคร”
สาอดนอน อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เลยของขึ้น สวนไปทันที
“เขาก็เป็นผัว ดิฉันก็เป็นเมีย...เมียขึ้นเสียงใส่ผัวบ้างไม่ได้หรือคะ”
วิภาแว้ดใส่ “ไม่ได้! ผัวหล่อนเขาเป็นถึงลูกเจ้าพระยา ตัวหล่อนเป็นแค่ลูกขี้ข้าวิทย์เขาสูงส่งกว่าหล่อนตั้งเท่าไหร่”
“ผัวเมียกัน มันจะไปสูงส่งกว่ากันได้ยังไง” สาประชดกลับรุนแรง “สมสู่อยู่กินกันได้ ก็แปลว่าเป็นพวกเดียวกัน”
วิภากับสมรสะดุ้ง ที่สาพูดหยาบคาย
“ว้าย ดูพูดเข้า”
“สัญชาติไพร่!”
“ฉันก็ไม่เคยเห็นผู้ดีที่ไหนเขาเป็นแบบนี้ ผู้ดีจริงๆ ที่ฉันเคยเห็นมานะคะ คุณพี่ เขาพูดดี คิดดี ทำดี ไม่เหมือนคุณพี่เลยซักนิด”
วิภาโกรธจัด “นังอุษา”
วิภาบันดาลโทสะเงื้อมือจะตบสั่งสอน สายกมือขึ้น เงื้อง่า
“ถ้าคุณพี่ตบมา ฉันตบกลับนะคะ”
วิภาไม่กล้า ลดมือลง แล้วชี้หน้าอาฆาต
“แก นังอุษา สักวันจะได้เห็นดีกัน”
วิภาสะบัดออกไป สมรตาม สามองตามอย่างเหนื่อยใจ
สาเบื่อๆ เลยแวะมาหาแป้นที่บ้านสวนตั้งใจเอาเงินค่าเลี้ยงดูโสภิตพิไลมาให้ และปรับทุกข์เรื่องวิภา แป้นกำลังตัดใบตองฉับๆ ออกจากต้นกล้วย คุยกับสาไปด้วยขำๆ
“คุณสาก็จริงจริงเล้ย ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ยอมๆ เขาไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
สาช่วยเก็บใบตองที่ตัดหล่นลงพื้นมาเรียงเป็นกองพูดไปด้วย
“นั่นน่ะสิ พี่แป้น แต่ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นมันอารมณ์ไม่ดี เลยเผลอทะเลาะกับเขาเสียยกใหญ่”
แป้นสะดุดหู หยุดตัดใบกล้วย “อารมณ์ไม่ดี? กลุ้มใจเรื่องอะไรอีกหรือคะ”
สาพูดไม่ออกว่าเป็นเรื่องบนเตียง ได้แต่ถอนใจเปรยขึ้นมาอ้อมๆ
“พี่แป้นรู้ไหม ที่ฉันแต่งงานกับคุณวิทย์ เพราะหวังจะใช้เธอเป็นกำแพงกันฉันออกจากคุณสมศักดิ์ แต่พอคุณสมศักดิ์เธอไม่อยู่แล้ว กำแพงที่ฉันก่อเอาไว้มันกลับกลายเป็นกำแพงคุก ขังตัวฉันซะเอง”
แป้นมองสาอย่างวิเคราะห์
“คุณสาไม่มีความสุข...คุณไม่ได้รักคุณวิทย์...คุณวิทย์ไม่ได้ดีกับคุณหรอกหรือคะ”
สาถอนใจอีกเฮือกแทนคำตอบ
ที่ร้านกาแฟเจ้าประจำข้างโรงละคร วิทย์เองก็มาปรับทุกข์กับบุญยงอยู่ที่นี่ อาโกเจ้าของร้านเอากาแฟมาวางสองแก้ว
“ผมรักเธอมาก แต่ผมก็ไม่เข้าใจเธออยู่ดี”
“คิดมากน่ะ เธออาจจะกลุ้มใจเรื่องปิดโรงละครก็ได้ อย่าว่าแต่คุณอุษาอั๊วเองยังกลุ้ม”
บุญยงยกกาแฟขึ้นดื่ม แล้วแทบสำลักออกมา หันไปด่าอาโก
“ไอ้โก นี่มันกาแฟอะไรวะ รสชาติเหมือนยาถ่าย”
โกไม่ยี่หระ หันมาตอบหยิ่งๆ “กาแฟเม็ดมะขาม .. เม็ดกาแฟมันขาดตลาด ไม่มีขาย”
บุญยงบ่น “ขมฉิบหาย”
“น้ำตาลก็ขาดตลาด หวานมากไม่ล่าย”
“เออๆ” บุญยงเซ็งลุกขึ้นยืน พูดกับวิทย์ “อั๊วไปก่อนนะ วิทย์ พอดีมีธุระ”
โกหูผึ่งหันมา “อาบุญยง ค่าโกปี๊”
บุญยงย้อนแสบ “เงินก็ขาดตลาดเหมือนกัน ตกงาน บ่อจี๊ ไม่มีเงิน...ติดไว้ก่อนโว้ย”
“เอาของผมก่อนก็ได้ พี่”
วิทย์หยิบกระเป๋าเงินออกมาจ่ายเงินแทนให้ พยายามคิดในแง่ดี
“บางที คุณอุษาอาจจะกลุ้มใจที่ตกงาน อย่างที่พี่ว่าก็ได้”
สากับแป้นช่วยกันหอบใบตองเดินกลับมาบ้าน ยังคุยกันต่อเนื่องเรื่องปัญหาครอบครัวสา
“ไม่ใช่เรื่องเงินเรื่องทอง ไม่ใช่เรื่องเจ้าชู้หลายใจ ไม่ใช่เรื่องตบตีลงมือลงไม้แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ คุณสา”
สาอึดอัด ไม่กล้าพูดตรงๆ ได้แต่อ้อมค้อม
“เอาเป็นว่า ฉันกับคุณวิทย์ชอบอะไรไม่เหมือนกันน่ะค่ะ พี่แป้น”
“โธ่ คุณ พี่น้องท้องเดียวกัน ยังชอบอะไรไม่เหมือนกันเลย สำมะหาอะไรกับคนอื่น...อย่างฉันกับตาสุขก็เหมือนกันซะที่ไหน ฉันตื่นมาก็ต้องหาอะไรทำอยู่เฉยไม่ได้ มันจะขาดใจ แต่ตาสุขก็นั่น...นั่งแหมะอยู่วัดนั่น โขกหมากรุกเล่นได้ทั้งวัน...ผัวเมียน่ะนะคุณสา ที่สำคัญ ขอให้เป็นคนดี มีศีลเสมอกันเป็นอันใช้ได้”
สาฟังแล้วอึ้งไปนิด “ก็จริงของพี่แป้น คุณวิทย์กับฉันถ้าจะอยู่กันไม่ยืดก็เพราะศีลไม่เสมอกันนี่แหละ”
สากับแป้นเอาใบตองมากองบนบ้าน สามองหา
“แล้วนี่โสภิตไปไหนคะ พี่แป้น”
“จรินทร์คงพาไปเล่นที่ไหนกระมัง” แป้นร้องเรียกลูกสาว “ริน รินเอ๊ย”
“ช่างเถอะจ้ะ พี่แป้น ไม่ต้องไปตามมาหรอก ใช่ว่าแกจะอยากเจอหน้าฉันเสียเมื่อไหร่”
“โถ คุณ” แป้นสงสาร พยายามปลอบ “แม่ลูกกัน ตัดกันไม่ขาดหรอกค่ะ”
“โสภิตแกไม่รู้นี่คะ ว่าฉันเป็นแม่ .. ฉันขอฝากแกไว้กับพี่แป้นอย่างนี้ก่อนนะคะ” สาหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้ “นี่ค่ากินค่าอยู่ของแก เอาไว้แกครบหกขวบเมื่อไหร่ ฉันจะพาไปเข้าโรงเรียนประจำ”
“โรงเรียนฝรั่ง ที่พวกผู้ลากมากดีเขาเรียนน่ะหรือคะ คุณสา” แป้นท้วง สาพยักหน้า “มันแพงนาคุณตัวคนเดียว จะไหวหรือ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ ฉันอยากให้โสภิตไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุด ที่ที่เหมาะสมกับแก เพราะถึงยังไง โสภิตพิไลก็เป็นสายเลือดคนหนึ่งของราชสกุลรวีวาร”
“บ้านเมืองก็หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ คุณจะไปหาเงินจากไหน คุณสา ถ้าพิมพ์แบงค์เองได้เหมือนพวกญี่ปุ่นล่ะว่าไปอย่าง”
แป้นบ่นด้วยอดห่วงไม่ได้ แต่ก็มองสาอย่างชื่นชม
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 17 (ต่อ)
วันหนึ่ง ที่กองบัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ย่านถนนสาธร
ภายในห้องประชุมในอาคารนั้น เซกิ ชายหนุ่มญี่ปุ่นแต่งกายในชุดสูทสุดเนี้ยบ กำลังเซ็นสัญญาร่วมกับโทโมกิ นายทหารญี่ปุ่นยศนายพลตรี ทั้งสองแลกกันเซ็นสัญญาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอเซ็นเสร็จ ทั้งคู่ต่างลุกขึ้นยืน เซกิโค้งคำนับ แล้วพูดขอบคุณ
“ขอบคุณท่านโทโมกิเป็นอย่างมากที่ให้ความกรุณากับผม”
เซกิพูดจบก็โค้งคำนับอีกครั้ง นายพลโทโมกิโค้งตอบ แล้วกล่าว
“คุณเซกิให้ความร่วมมือ ในการจัดหาสินค้าให้กับกองทัพ ด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด ในนามของกองทัพญี่ปุ่น ผมขอขอบคุณคุณเซกิเช่นกัน”
ทั้งสองต่างโค้งให้กัน เซกิยิ้มชื่น
ไม่นานต่อมาบนถนนย่านการค้า รถยนต์คันหรูขับมา เป็นรถคันเดียวในถนน ท่ามกลางผู้คน ชาวบ้านทั้งเดินและขี่จักรยาน อย่างพลุกพล่าน
จอม เด็กหนุ่มคนขับรถของเซกิขับรถ วางท่าโก้ ส่วนด้านหลัง เซกินั่งสบายอารมณ์ ข้างตัวมีกระเป๋าเอกสารใบหนึ่ง
“นายห้างจะกลับบริษัทเลย หรือจะไปไหนต่อครับ”
“ไปหาข้าวกลางวันกินก่อน”
“ครับ”
จอมยืดอกขับรถ ภูมิใจ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังมาผู้คนบนถนนพากันตกใจ แตกตื่น
จอมร้อง “เฮ้ย!”
เซกิเปลี่ยนใจ “กลับไปบริษัทเดี๋ยวนี้ จอม”
เสียงปืนยิงโจมตีทางอากาศดังกึกก้อง มีควันและเปลวไฟพวยพุ่งเป็นหย่อมๆ จอมขับรถเลี้ยวไปอีกทางปรากฏว่าในซอยนั้นกลับยิ่งมีคนพลุกพล่าน วิ่งแตกฮือกันมา เสียงปืนยังดังต่อเนื่องมา
“ขับฝ่าไปให้ได้ เร็ว”
จอมกดแตร แล้วขับตะบึงไป แหวกหมู่ชาวบ้านที่วิ่งหนีระเบิด ในบรรดาคนวิ่งพล่านหนีกันวุ่นวาย ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในฝูงคน โดนกระแทกมาชนกับหน้ารถของเซกิ
เซกิตะโกน “ระวังคน”
ร่างของหญิงคนนั้นล้มลง รถจอด เซกิรีบลงจากรถมาดู
“คุณ”
เซกิเข้าประคอง เมื่อหญิงคนนั้นหันมา ปรากกว่าเป็น อีสา เซกิตะลึงในความสวย
“คุณ...”
สามองเซกิ รู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
สาจะลุกแล้วรู้สึกเจ็บแขนแปล๊บ ด้วยตอนล้มเอาแขนลงกระแทกพื้น ร้องขึ้น
“โอ้ย”
เสียงปืนดังแหวกอากาศมา เซกิร้อนใจ
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไปกับผมก่อน”
เซกิช้อนอุ้มสาจนลอยขึ้นมาทั้งตัว พาขึ้นรถ สาตกใจ
รถยนต์หรูของเซกิขับมาจอดที่หน้าตึกหลังใหญ่ สูงสี่ชั้น ตกแต่งเรียบร้อยสะอาดสะอ้านแบบญี่ปุ่น
สานั่งอยูในรถกับเซกิ มองอย่างตื่นๆ เซกิหันมาพูดกับสาอย่างสุภาพ
เซกิค้อมศีรษะเล็กน้อย “ที่ทำงานของผมเอง”
เซกิเดินนำสาเข้ามาด้านใน มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ 4-5 โต๊ะ มีพนักงานคนไทยบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง นั่งทำงานอยู่อย่างแข็งขัน
ชายญี่ปุ่นคนหนึ่งแต่งกายเรียบร้อยเดินผ่านมาเห็นเซกิ หยุดโค้งคำนับเซกิคำนับตอบ พนักงานนั้นเดินผ่านไป
สามองอย่างตื่นตาตื่นใจ เซกิหันมาอธิบาย
“บริษัทของผมเป็นตัวแทนจำหน่ายยา และเวชภัณฑ์ จากญี่ปุ่นแล้วก็ยังเป็นตัวแทนจัดหาของใช้ที่จำเป็น ให้กับกองทัพญี่ปุ่นด้วยคุณ...” เซกิมองเป็นเชิงถามชื่อ
“อุษาค่ะ” สาบอก
“คุณอุษา ผมชื่อเซกิ...ที่นี่เป็นที่ทำงาน แล้วก็เป็นบ้านของผม” พลางผายมือไปทางบันได “เชิญ”
“ไปไหนคะ”
“คุณบาดเจ็บเพราะผม ขออนุญาตให้ผมได้รักษาพยาบาลคุณ เชิญ”
สามองหน้าเซกิ เห็นเซกิโค้งแล้วโค้งอีก สาเห็นว่าเซกิน่าไว้วางใจ จึงเดินขึ้นบันไดไป
ที่ชั้นบนของบริษัท ถูกตกแต่งเป็นบ้านแบบญี่ปุ่น มีประตูกระดาษเลื่อนได้ ปูเสื่อตาตามิ ตกแต่งอย่างสวยงามสามองอย่างตื่นใจ
“นี่บ้านของคุณหรือคะ”
เซกิยิ้ม โค้งคำนับ “เชิญนั่งก่อน”
สานั่งอยู่ในห้องสไตล์ญี่ปุ่นสานั่งมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
เซกิยกถ้วยชามาวางให้ เป็นถ้วยกระเบื้องสวยงามแปลกตา ดูมีค่า
“ดื่มชาก่อน แล้วผมจะทำแผลให้คุณ”
สาหยิบถ้วยชามาดู ค่อยๆ ดมแล้วจิบ เซกิมองอย่างเอ็นดู
“ชอบชาญี่ปุ่นไหม”
“หอม แล้วก็ชุ่มคอดีค่ะ”
เซกิยิ้ม “ผมดีใจที่คุณชอบ ส่งแขนมา”
สางง เซกิโค้ง แล้วเอื้อมมือมาจับแขนสาอย่างสุภาพแต่มั่นคง สาตกใจนิดหน่อย
“อุ๊ย”
เซกิมองแขนสา “มีแผลนิดหน่อย คุณต้องใส่ยา”
เซกิเอาผ้าขนหนูชุบน้ำในชามอ่าง บรรจงเช็ดแขนให้สาอย่างนุ่มนวล เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอยถลอก ใช้นิ้วทายาที่เป็นลักษณะขี้ผึ้งให้
ตลอดเวลาที่ทำแผลนั้น เห็นว่าเซกิมองสา และสาก็มองเซกิอยู่เช่นกัน มือของเซกิมั่นคง อบอุ่น ทำให้สาใจเต้นไม่เป็นส่ำ
เซกิพันผ้าให้เป็นลำดับสุดท้าย แล้วจับแขนสาวางลงอย่างนุ่มนวล
“เสร็จแล้ว คุณอุษา”
สาสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์ “เอ่อ ขอบคุณค่ะ”
สากับเซกิมองหน้ากันซึ้งๆ
เย็นวันเดียวกันนั้น วิทย์ออกอาการไม่ค่อยพอใจมาก เมื่อสากลับมาแล้วบอกว่าได้งานทำในบริษัทญี่ปุ่น
“คุณอุษาจะไปทำงานกับพวกญี่ปุ่น !? ทำไม”
สาหน้าเสีย มีพิรุธนิดๆ แต่ทำสะบัดสะบิ้งกลบเกลื่อนไป
“จะให้ฉันงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ หรือคะ คนเราก็ต้องกินต้องใช้”
“ทุกวันนี้เราก็ยังอยู่ได้”
“คุณอยู่ได้ก็อยู่ไปแต่ฉันไม่อยู่ด้วยล่ะ กลัวอดตาย”
สาลุกหนีไป วิทย์มองตาม รู้สึกได้ถึงระยะห่างของชีวิตคู่
ที่บ้านสวนแป้นยามเย็น ในอีกหลายวันต่อมา
สุขเดินผิวปากออกมาที่นอกชานที่แป้นกับจรินทร์จัดสำรับรออยู่ มีโสภิตพิไลอยู่ด้วย
“หิวจัง มีอะไรกินมั่งวันนี้” สุขชะงัก ตกใจ “แม่โว้ย”
แป้นที่กำลังตักข้าวบ้าจี้ ตกใจ ทำหม้อหล่นจากมือ
“ว้าย ตาเถรหก” เลยหันไปด่าผัว “ตาสุข แกจะบ้าเหรอ ร้องเอะอะขึ้นมาทำไม”
“ก็มันต๊กกะใจน่ะซี” สุขชี้สำรับที่มีเป็ดย่างตัวโตแดงแจ๋น่ากิน “นี่มันอะไร”
“ก็เป็ดย่างน่ะซีพ่อ ถามได้” จรินทร์ว่า
“ข้ารู้แล้ว นังริน แต่มันมาได้ยังไง”
“มันบินมาจากป่าหิมพานต์ล่ะมั้ง” แป้นประชด
“อ๋อ... เฮ้ย เป็ดย่างนะยายแป้น ไม่ใช่นางกินรี ข้าวยากหมากแพงอย่างนี้แกไปเอาเป็ดย่างมาจากไหน” สุขคาใจนัก
จรินทร์อวด
“ไม่ใช่แค่เป็ดย่างนะพ่อ ยังมีขนมปัง นมข้น แล้วก็น้ำแดง”
โสภิตพิไลเอ่ยขึ้น “ป้าแป้นขา หนูจะกินหนมปังน้ำแดง”
“จ้ะๆ เดี๋ยวกินข้าวอิ่มแล้ว ป้าทำให้กินนะ”
สุขเท้าสะเอว มองของที่ว่า หน้าตายังสงสัย
“แกยังไม่บอกฉันเลย ยายแป้น แกไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”
“คุณสาเขาเอามาให้” แป้นหยิบเงินมาอวดด้วย “แล้วก็ให้เงินเอาไว้อีกสองร้อย”
สุขตาโต “สองร้อย!”
“ค่าขนมของโสภิต” แป้นบอก
สุขงง “ทั้งของ ทั้งเงิน คุณสาแกไปรวยมาจากไหน”
“แกว่าแกไปทำงานกับญี่ปุ่นนายห้างเขาใจดี ให้เงินล่วงหน้ามา”
สุขทึ่ง “โอ้โห ร่ำรวยอู้ฟู่อ้าฟ่าอย่างนี้ คุณสาแกไปทำงานอะไรวะ”
ที่สุดสาก็มาทำงานกับเซกิ ในตำแหน่งกึ่งเลขา วันนี้สาแต่งตัวเรียบๆ เสื้อผ้าชุดเก่าดูเรียบๆ กำลังยืนจดนับจำนวนลังสินค้าในห้องเก็บของ พวกลังไม้ เวชภัณฑ์ที่มาจากญี่ปุ่น ที่คนงานชายกำลังลำเลียงเข้ามาวางไว้ให้ห้องเก็บของด้านหลัง
เซกิเดินเข้ามายืนมองสา แววตาหลงใหล พอสาหันมาเห็นเซกิมองมา ก็สะเทิ้น อดทำท่าหว่านเสน่ห์ไม่ได้
เย็นแล้วที่ห้องทำงานของเซกิ สาเดินถือสมุดบันทึกเข้ามา ท่าทางชดช้อยเซกินั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
สาส่งสมุดบันทึกให้ “รายการของที่เข้ามาวันนี้ค่ะ นายห้าง”
“อุษาซังเรียกผมว่าคุณเซกิเถอะ”
“แต่คนอื่นๆ เขาเรียกคุณว่านายห้างนี่คะ”
“อุษาซังไม่เหมือนคนอื่นๆ”
เซกิพูดเป็นนัยลึกซึ้ง สายิ้มเขิน
“คุณเซกิมีอะไรจะใช้ฉันอีกไหมคะ”
เซกิยิ้ม หันไปหยิบกล่องกระดาษขนาดใหญ่ แต่น้ำหนักเบา มาวางบนโต๊ะ สาดูอย่างแปลกใจ
“คุณเปิดดู”
สาเปิดอย่างตื่นเต้น ข้างในกล่องเป็นชุดกระโปรงสวยงามลายดอกสีสดใส เนื้อผ้าดูหรูมีราคาแพง
“โอ้โห”
“ผมสั่งมาจากญี่ปุ่น” เซกิมองสาทั้งตัว “คิดว่าอุษาซังน่าจะใส่ได้”
สาทำเขิน แต่รีบเอามาทาบตัว “อุ๊ย ชุดสวยๆ อย่างนี้จะให้ฉันใส่ไปไหนคะ”
“พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของนายพลโทโมกิ เขาเป็นลูกค้าสำคัญของบริษัทเรา อุษาซังต้องไปกับผม…นะครับ”
เซกิสั่งเสร็จก็โค้งอย่างสุภาพ สายืนอึ้ง ลังเล กลัวๆ อยากๆ
“ไปงานเลี้ยงจะดีหรือคะ”
เซกิหยิบกล่องอีกกล่องขึ้นมา เปิดให้ดู เป็นสร้อยมุกเส้นเล็กๆ สวยงาม เข้ากับชุด สาตาวาวถูกใจ พอใจเหลือเกิน
เช้าวันต่อมา วิภาเดินนำสมรมาที่บ้านวิทย์ ในมือสมรมีถังน้ำ ไม้กวาด อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน สมรเดินไปฟ้องไป
“คุณไปดูด้วยตาเองเถอะค่ะ คุณขา ห้องคุณหนูรกอย่างกับรังหนู ขี้ฝุ่นก็จับจนหนาเตอะ ไม่รู้คุณหนูทนอยู่เข้าไปได้ยังไง”
“แล้วแม่อุษาไม่จับไม่ทำอะไรบ้างหรือไง ตัวเองเป็นแม่บ้านแท้ๆ”
สมรกับวิภาเดินมาถึงชานบ้าน
“วุ้ย หล่อนจะไปทำตอนไหนเล่าคะ คุณ หมอนก็เห็นเอาแต่เขียนคิ้ว แต่งหน้าออกไปตะลอนๆ นอกบ้านทุกวัน”
ขาดคำ สาก็เปิดประตูออกมาได้ยินพอดี สาใส่ชุดสวย ที่เซกิมอบให้ วิภาชะงักมองตะลึง สมรทำตาโต พยักพเยิดให้วิภาดู
สาทัก “คุณพี่กับแม่สมรมาอวยชัยให้พรดิฉันแต่เช้าเชียวนะคะ”
“ฉันพาสมรมาทำความสะอาดบ้านให้น้องชายฉัน เห็นว่าโสโครกจนแทบจะอยู่ไม่ไหว”
วิทย์เดินตามออกมา พูดยิ้มๆ “ผมก็อยู่ของผมได้นี่ครับ คุณพี่”
วิภามองสาหัวจรดเท้า “แล้วนี่จะไปไหน”
วิทย์แก้แทน “คุณอุษาเขาจะออกไปทำงานน่ะครับ คุณพี่”
สายกมือไหว้ลวกๆ “ขอตัวนะคะ”
สาเดินออกไป วิภากับสมรมองตาม ขัดหูขัดตาและไม่ชอบใจ
“แต่งตัวซะขนาดนั้นไปทำงานหรือไปยั่วผู้ชาย” วิภาแขวะ
วิทย์ฟังแล้วไม่พอใจ
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่สโมสรทหารญี่ปุ่น สถานที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีธงญี่ปุ่นประดับ แขกในงานเป็นนายทหารและพ่อค้าชาวญี่ปุ่น บางคนใส่ยูนิฟอร์ม บางคนใส่สูท บางคนมาพร้อมภรรยาที่แต่งชุดประจำชาติ นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตามมุมห้อง นายทหารที่อายุน้อยก็เกาะกลุ่มเฮฮากับหญิงสาวสองสามคน
สาอยู่ในชุดสวยที่เซกิซื้อให้ สวมสร้อยคอ ดูสวยเฉิดฉายเดินเข้ามาพร้อมกับเซกิ ที่แต่งตัวหรูหราเต็มที่ ทุกคนหันไปมองเซกิกับสาเป็นตาเดียวสาแอบยิ้ม
เสียงโทโมกิทักขึ้นมาอย่างร่าเริง
“เซกิซัง”
สากับเซกิหันไปตามเสียง แขกแหวกออกเป็นทาง เห็นโทโมกิเดินมา หูตาแวววาวมองมาที่สาอย่างสนใจ
“โทโมกิซัง”
เซกิโค้งคำนับ สายืนยิ้มเก้อๆ ทำตัวไม่ถูกเซกิผายมือแนะนำ
“คุณอุษา นี่คือท่านนายพลโทโมกิ...โทโมกิซัง นี่คุณอุษา”
สาจะไหว้ แต่โทโมกิยื่นมือมาก่อน สาจับมือด้วยอย่างอายๆ
“คุณเป็นผู้หญิงไทยที่สวยมากๆ”
เซกิพูดยิ้มๆ กันท่า “คุณอุษาเป็นเพื่อนของผม”
โทโมกิรู้ทัน หัวเราะชอบใจ ทั้งหมดหัวเราะกัน
งานเลี้ยงดำเนินไป กลางบรรยากาศชื่นมื่น
ที่โต๊ะของโทโมกิ สากับเซกินั่งอยู่ด้วย โทโมกิมีหญิงชาวญี่ปุ่นในชุดยูกาตะแนบข้าง โอบกอดนัวเนียกันตลอด เซกิทำสัญญานมือให้พนักงานยกถาดสาเกมา
“ผมขอให้พวกเราดื่มอวยพรให้กับโทโมกิซัง”
ทุกคนรับแก้วสาเกมา สามองแก้วในมือตัวเอง ดมๆ ดูๆ ไม่แน่ใจ ว่ามันคืออะไร
เซกิชูแก้วขึ้น “แด่ โทโมกิซัง”
ทุกคนในงานร้องตามกันและดื่ม
สาเห็นสาวญี่ปุ่นตรงข้ามดื่มหน้าตาเฉย เลยดื่มบ้าง คำแรก แทบสำลัก
“นี่มันเหล้านี่คะ”
“สาเก เป็นเหล้าที่ทำมาจากข้าว คนญี่ปุ่นชอบดื่มกัน” เซกิยิ้มขัน
“ฉันไม่เคยดื่มเหล้า”
เซกิรินส่งให้อีก ยิ้มมีนัย “ทุกอย่างต้องมีครั้งแรก ต่อๆ ไปคุณจะชอบเอง”
สารับมาจิบ กล้าๆ กลัวๆ
จังหวะนี้เสียงเพลงดังขึ้นที่มุมห้อง เซกิลุกขึ้นประกาศ
“และนี่คือของขวัญจากผม สำหรับโทโมกิซังและทุกๆ ท่านในคืนนี้”
เสียงเพลงพื้นบ้านญี่ปุ่นดังขึ้นอีก สาวญี่ปุ่นออกมาร้องเพลงและร่ายรำเพลงพื้นบ้าน สามองอย่างตื่นเต้น
“โอ้โห ระบำญี่ปุ่น”
เซกิรินสาเกให้สาอีก สาดูรำไปดื่มไปอย่างรื่นรมย์ ไม่ระวังตัว รู้สึกมีความสุขเป็นครั้งแรกในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา
เซกิมองสานัยน์ตาเป็นประกายด้วยความหลงใหล ราวกับจะกลืนกินทั้งตัว
อ่านต่อตอนที่ 18