ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 23
ท้องพระโรงหน้าหงสาวดีทุกคนหมอบเฝ้าพระเจ้าสการะวุตพีอยู่หน้าสิงหาสนบัลลังก์
“เพลานี้พวกตองอูได้ระดมพลมาสู่กรุงแปรแล้ว อีกไม่กี่เพลาคงบุกมาประชิดหงสาวดีแน่ หากพระองค์ไม่คิดแก้กลหงสาวดีเราอาจแพ้ศึกได้” สอพินยาบอก
“ต่อให้ยกมาเป็นสิบเมืองสิบทัพ ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าไม่มีใครข้ามกำแพงหงสาวดีได้” เสียงโคนสุคญีบอกอย่างมั่นใจ
“แต่ถ้าเราไม่ประมาท เตรียมแก้กลให้แยบยล เราจะได้กองทัพหนุนช่วย และจะได้ทั้งเมืองตองอูและเมืองแปรเป็นเมืองออกเพิ่ม”
“น้องเราคิดสิ่งใดถึงมั่นใจ”
สอพินยาหันไปให้ไขลูตอบ
“หากพระองค์ทรงผูกมิตรกับกรุงอังวะ ส่งหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าโสหันพวา ให้ยกกองทัพอังวะมาประชิดกรุงตองอูไว้ พระเจ้าโสหันพวาคงยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
“จะเด็ด มันสังหารน้องชายของเมงกยอกแงแม่ทัพอังวะไปถึงสองคนในศึกแปรครั้งก่อน เมงกยอกแงคงถือโอกาสนี้ร่วมมือกับเราแก้แค้นจะเด็ดเป็นแน่”
“พระเจ้าสการะวุตพีอยู่หัวเจ้า กรุงหงสาวดีรุ่งเรืองยิ่งใหญ่มาหลายร้อยปี การนำทัพเข้าสู่ศึกควรมีพระราชวินิจฉัยถึงเหตุให้ท่องแท้ก่อนว่าศึกนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร จะได้แก้…”
“ท่านสอยันปาย ตองอูกับแปรมันจะยกทัพมาประชิดกำแพงในวันนี้พรุ่งนี้แล้ว ท่านยังจะทำเหมือนคนมือด้วนตีนด้วนอยู่หรือ”
สอยันปายจำต้องเงียบ สการะวุตพีหันมาฟังไขลูต่อ
“ขณะที่พระเจ้ามังตราและแม่ทัพบุเรงนอง ยกทัพมาประชิดหงสาวดี ตองอูจะขาดแม่ทัพตัวนำไม่อาจต้านอังวะได้ ต้องเสียทีแก่ทัพพระเจ้าโสหันพวาเป็นแน่แท้”
“กลอุบายนี้ประเสริฐแท้ หากพระเจ้าพี่ไม่ถือข้อได้เปรียบกระทำการก่อน หงสาวดีจะต้องเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำในวันหลัง”
สการะวุตพีนิ่ง ตัดสินใจลำบาก
สวนดอกไม้ ในอุทยานกรุงแปร มังตราถูกเหล่านางข้าหลวงผูกตาแล้วให้อเทตยาหลอกเอาผลไม้ป้อนใส่ปากอย่างสนุกสนาน มังตราถูกผูกตาวิ่งไล่จับอเทตยากับนางข้าหลวงไปรอบๆ อุทยาน มหาดเล็กตองอูคนหนึ่งเข้ามาคุกเข่ารายงาน
“ขอพระราชานุญาต”
มังตราดึงผ้าผูกพระเนตรลง ไม่พอใจ
“มีอะไร ก็สั่งการแล้วไงว่าเราไม่ว่าง ให้จัดการไปได้เลย”
“พระเจ้าแปรเสด็จมาประทับที่อุทยาน ให้มากราบทูลพระองค์ว่า อยากปรึกษาราชการ”
มังตรานิ่ง หันไปมองทางพลับพลาที่ประทับ
ที่พลับพลาอุทยาน มังตราประทับฟังพระเจ้านรบดีอย่างอารมณ์ดี อเทตยากับนางข้าหลวง หมอบเฝ้าอยู่ห่างๆ
“อามีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาหลาน”
“ท่านอากังวลพระทัยการอันใด”
“เออ นับเป็นคราวเคราะห์ที่พระมหาเถรมาสิ้นลงในแผ่นดินอา อาจึงได้ประชุมเหล่าเสนาบดี เพื่อแสดงน้ำใจที่หลานไม่นับแปรเป็นผู้ร่วมก่อเหตุ จึงเห็นว่าแปรน่าจะให้การสนับสนุนช้างม้าและเสบียงอาหารทุกสิ่ง เพื่อเป็นกำลังทัพให้ตองอูรุกไปหงสาวดี”
“นับเป็นการดีที่อาท่านแสดงไมตรีจิต ข้าพเจ้าจะนำไปแจ้งให้แม่ทัพบุเรงนองให้”
“เออ แล้ว อาอยากให้หลานท่านประทับที่แปรนี่ ดังเมืองตองอูของหลานเอง มีการใดที่อยากให้อาสนองสุขขอแจ้งอาหญิงได้เลย”
“อาหญิงท่านเมตตา ส่งอเทตยามาคอยปรนิบัติให้คลายโศก ทำให้ข้าพเจ้ารู้พระนิสัยพระเจ้าอาแล้วว่าทรงอ่อนโยนเพราะมีสตรีคอยลดความกระด้างนี่เอง ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้น้องอเทตยามาคอยปรนิบัติเช่นนี้ตลอดไปจะได้หรือไม่”
มังตราหันมายิ้มให้อเทตยา อเทตยานิ่งเฉย พระเจ้านรบดีลอบมอง ยิ้มอย่างพอใจ
จะเด็ดรายงานแผนถวายมังตราที่ประทับฟัง โดยมีคนอื่นรายล้อมรอบๆ แผนที่
“เสือหมอบแมวเซาแจ้งว่า พวกหงสาได้ส่งสารไปยังอังวะแล้ว”
“แล้วไง”
“อังวะคงผูกไมตรีกับหงสาวดีแล้วยกทัพเข้าตีตองอูเป็นแน่”
“พี่ท่านจะเลิกทัพกลับ ไม่ตีกรุงหงสาวดีแล้วอย่างนั้นหรือ”
“หามิได้ ข้าพเจ้ากับพี่จาเลงกาโบและสีอ่องจะเร่งเข้าตีหงสาวดีตามแผนเดิม ส่วนพระองค์โปรดเร่งนิวัติตองอูกระทำหมายจะนำทัพมาช่วยเสริมข้าพเจ้าตีหงสาวดี”
“ให้เราอยู่แปรแล้วพี่ท่านกลับตองอูเองไม่ดีกว่าหรือ”
จะเด็ดเหลือบมองมังตรางงๆ
“ข้าพเจ้าต้องการทำกลลวงอังวะว่าพระองค์จะทรงจัดทัพหลวง ตามไปช่วยข้าพเจ้าที่หงสาวดีซึ่งเป็นทัพหน้า แต่ความจริงแล้วพระองค์ย้อนทัพขึ้นไปตีตลบอังวะเสียเอง แล้วให้ท่านครูตะคะญีจัดทัพอีกทัพหนึ่งตามตีอังวะให้แตกกระเจิงซ้ำ การนี้ถือเป็นความลับ อย่าให้คนแปรรู้”
“แล้วน้องท่านจะเอาทหารที่ไหนบุกตีกรุงหงสาวดี ในเมื่อทหารที่ข้าพเจ้านำมาจากตองอูจำนวนน้อยเกินกว่าจะบุกเอาชนะหงสาวดีได้” สีอ่องถาม
“เราจะเอาทหารแปรมาร่วมเป็นทัพหน้าด้วย เพลานี้พระเจ้าแปรมีความกลัวจะเกิดสงครามกับตองอู ถึงยอมรับสั่งให้ช้างม้าและเสบียงแก่ทัพเราไปตีหงสาวดี หากเราจะหาญให้ทรงมอบกองทหารมาด้วย คงไม่ใช่เรื่องยาก”
มังตรามองจะเด็ดนิ่ง ไม่สบายใจก่อนจะตัดสินพระทัยรับสั่ง”
“ถ้าพี่ท่านจะให้ข้าพเจ้ากลับตองอูจริงๆ ข้าพเจ้าขอนำแม่นางหลานหลวงอเทตยากลับไปอยู่ตองอูด้วยได้ไม๊”
จะเด็ดตกใจ หันมาจ้องมังตราอย่างนึกไม่ถึง
“แม่นางโชอั้วที่ตองอู ยังบาดพระทัยแม่อยู่หัวนันทวดีอยู่ น้องท่านยังจะนำแม่อเทตยาแปรกลับไปอีกได้อย่างไร”
“ไม่รู้ละ ถ้าพี่ท่านไม่จัดการให้ ข้าพเจ้าก็จะไม่กลับตองอู”
จะเด็ดหนักใจกับมังตรามาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
พระเจ้านรบดีประทับอยู่ที่แท่นทรงพระอักษร สีพระพักตร์ทรงวิตก พระอัครมเหสี รานอง เข้าเฝ้าอยู่
“พวกตองอูได้คืบจะเอาศอก ให้ช้างม้าและเสบียงแล้วคิดว่าจะยุติ ยังขอกำลังไพร่พลเพิ่ม มันน่าแค้นใจจริงๆ”
“พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประทานให้หรือไม่”
“จะเอาอย่างไรดีรานอง ถ้าให้ทหารแปรไปรบด้วย เราก็อดสงสารข้าทหารตัวเองไม่ได้ที่ต้องมาเดือดร้อน จากลูกจากเมียโดยไม่ใช่การของเรา”
“เป็นเพราะไอ้พวกหงสาแท้ๆ ที่มาสังหารคนตองอูในอาณาจักรเราทำไมไม่ไปฆ่ากันตายที่อื่นก็ไม่รู้”
“ข้าพเจ้าคิดว่าการนี้หากตองอูชนะศึก ก็คงกลับมาชำระความกับแปรต่อในฐานที่มิได้ปกป้องพระคุณเจ้ามังสินธูให้ปลอดภัย”
“อเทตยาก็มิอาจช่วยได้หรือ”
“อารมณ์แค้นพระเจ้ามังตรานั้นน่ากลัวยิ่งกว่ากองทหารนับแสน อิสตรีผู้เดียวจะต้านพลังร้ายได้เช่นไร”
“เราไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไม๊ ต้องยอมให้ชีวิตทหารไปตายโดยมิใช่การศึกเรา”
“มิใช่การศึกเราก็เหมือนเป็นการศึกของเรา หากตองอูรบแพ้หงสา เราชาวแปรก็คงไม่ต่างจากการแพ้ศึกด้วยเพราะสนับสนุนทัพตองอูมาแต่ต้น หงสาวดีคงไม่ปล่อยให้แม้หญ้าแพรกบนแผ่นดินแปรได้ขึ้นเขียวขจีเป็นแน่”
“แล้วจะยกทหารให้ตองอูบัญชาการเองอย่างนั้นหรือ เขาคงสั่งทหารแปรออกหน้าให้ไปตายก่อน”
“ข้าพเจ้าขอเป็นผู้นำทัพแปรร่วมบัญชาการกับกองทัพตองอูเอง จะสั่งการงานใดพระเจ้าตองอูคงให้การปรึกษาข้าพเจ้าก่อน” รานองเสนอตัว
“แล้วการนี้จะทำเช่นไรหากประชาชนแปรลุกขึ้นมาประท้วง มิยอมให้ลูกหลานเขาไปร่วมรบด้วย เรามิเสียความเป็นพระเจ้าแปรหรือ”
พระเจ้านรบดีนิ่ง ไม่มีทางเลือกใดใด ได้แต่จำยอม
อเทตยากำลังใช้สวิงเล็กๆ ไล่จับผีเสื้อเพลินอยู่ในอุทยานกับนางข้าหลวง จนกระทั่งแยกตัวห่างไปยังต้นไม้ใหญ่เห็นจะเด็ดยืนจ้องอยู่ก็ตกใจ
“ตกใจมากหรือที่เห็นเป็นข้าพเจ้า”
“แม่ทัพบุเรงนองแห่งตองอู ศัตรูเมืองใดเห็นย่อมสะดุ้งเป็นธรรมดา”
“น้องท่านเห็นข้าพเจ้าเป็นศัตรูเสียแล้วหรือ”
“ท่านเห็นข้าพเจ้าอยู่ข้างท่านตั้งแต่เมื่อไหร่”
อเทตยาสะบัดหน้าจะไปจะเด็ดฉุดข้อมือไว้
“แล้วผู้ใดเคยวิงวอนจะมีทารกกับข้าพเจ้า”
อเทตยาโกรธจัดตบหน้าจะเด็ดทันที จะเด็ดคว้ามือไว้ได้ อเทตยาเอามืออีกข้างตบจะเด็ดก็จับได้อีก อเทตยาแค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้ออกมา
“มีประโยชน์อะไรที่จะทอดร่างให้ชายอื่นเพราะแค้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ดอกน้องท่านทำลวงเพื่อพระเจ้าลุงและเมืองแปร”
“ข้าพเจ้าคนอาภัพ หญิงอื่นนับร้อยบุเรงนองถือเป็นเมียได้ ละไว้แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวที่บุเรงนองรังเกียจ แต่ ข้าพเจ้ายังผูกใจรักท่านอยู่ ไม่เคยลืม”
จะเด็ดสงสารค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดตอบ
“พระเจ้ามังตราจะนำน้องท่านกลับตองอูด้วย” อเทตยาตกใจ
“พระเจ้ามังตราจะยึดข้าพเจ้าเป็นบริจาริกานะซิ”
“เมื่อน้องท่านมั่นในตัวพี่แล้ว พี่จะส่งไปเสียตัวแก่ชายอื่นเพื่อการใด พระเจ้ามังตราแม้จะโทสะฉุนเฉียวง่าย แต่หากได้สตรีคอยพนอเอาพระทัย พระอารมณ์จะอ่อนไหวยิ่งกว่าเทียนโดนเพลิงลน ปัญญามีกับตัวจงนำมารักษาตัวให้รอดเถิด เสร็จศึกหงสาวดีพี่จะรีบกลับไปรับขวัญที่ตองอู”
“ระหว่างเดินทางข้าพเจ้าพอเอาตัวรอดได้ แต่เมื่อถึงตองอูแล้วข้าพเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร”
“พี่จะฝากหนังสือให้น้องท่านไปกราบทูลพระพี่นางจันทรา ตะละแม่ตองอูผู้นี้น้ำใจเมตตา น้องท่านอยู่ใต้ร่มเงาตะละแม่ผู้นี้ จะไม่มีวันทุกข์ใจเด็ดขาด”
“ท่านสัญญาแล้วนะ ข้าพเจ้ายินดีจะไปคอยพี่ท่านที่ตองอู”
อเทตยายิ้มให้จะเด็ดอย่างมีความสุข จะเด็ดจูบหน้าผากนางเป็นการปลอบใจ
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 23 (ต่อ)
จะเด็ด มังตรา จาเลงกาโบ สีอ่องและนายทหารกำลังปรึกษาการทัพอยู่
“พระเจ้าแปรออกปากให้ยืมทหารตามแผนแล้ว พระอุปราชรานองจะเป็นผู้นำทัพไปเอง”
“ถ้าอย่างนั้น ขอจาเลกาโบพี่ท่านรีบจัดทัพออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลยและพี่สีอ่อง จงเร่งจัดขบวนส่งเสด็จพระเจ้าอยู่หัว กลับตองอูเพลาเดียวกัน”
“ทำไมต้องรีบอย่างนั้น เรายังพอมีเวลา”
“เราต้องรีบ ถ้าประชาชนแปรลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์การนี้ พระเจ้าแปรอาจรวนเร เมื่อยกทัพไปถึงทุ่งหันสาวัดดีขอพี่ท่านจงยั้งทัพรอข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้ากับพี่สีอ่องส่งเสด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วจะรีบนำทัพตามไปสมทบ เราจะเป็นกองแรกที่ได้ปีนกำแพงหงสาวดี”
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นในห้องบรรทมกุสุมา จะเด็ดกำลังแต่งชุดรบอยู่ท่ามกลางแสงเงินทองยามเช้า กุสมาเข้ามาช่วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ข้าพเจ้าคาดเดาไม่ถึงว่าพี่ท่านจะยกทัพออกจากแปรแต่วันนี้ ทำอำพรางเหมือนไม่ไว้ใจข้าพเจ้า”
“กลศึก หากล่าช้าศัตรูจะรู้แผนได้ เราต้องเร่งรีบชิงหาการได้เปรียบ ข้าพเจ้าอยากให้หงสาวดีตกใจที่เห็นทัพตองอูกับแปรมุ่งไปประชิดอย่างสายน้ำป่าหลาก”
“ข้าพเจ้าอยากตามพี่ท่านไปในทัพด้วย”
จะเด็ดหยุดชะงักหันมาปลอบกุสุมา
“น้องท่านมีกรรมเพราะมาได้ผัวเป็นขุนศึกในยามแผ่นดินร้อน จำต้องห่างกันปีครึ่งครึ่งปีก็ต้องทำใจ ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่โอ่กลางศึกกินนอนได้กับทหารเลวทั้งปวง หากน้องท่านไปด้วยจะมีแต่ลำบาก”
“ข้าพเจ้าออกศึกกับพี่ท่านมาแล้วเมื่อตอนออกจากเมาะตะมะ”
“เพราะศึกหนนั้นทำให้พี่นี้จำฝังใจ น้องท่านก็รู้ ตัวนายฝ่ายโน้นเป็นใคร หากรู้ว่าน้องท่านไปด้วย หนแรกไม่คิดสู้แต่พอรู้จะเดือดดาลใจสู้ขึ้นมา” กุสุมาร้องไห้
“ข้าพเจ้าคงอายุสั้น เพราะพี่ท่านคอยสะกิดให้นึกถึงมลทินตัวอยู่เสมอ”
จะเด็ดสงสารดึงกุสุมาเข้ามากอด
“อภัยพี่เถิด พูดไปไม่ได้เจตนา เป็นแต่อยากยกย่องว่าเมียตัวนี้สวยกว่าหญิงทั้งอิระวดี ใครเห็นก็อยากจะรักไม่ใช่มีแค่บุเรงนองคนเดียว”
กุสุมาเริ่มยิ้มขึ้นมาได้ แต่ก็ยังอาลัยที่จะต้องจากกันไกล
จะเด็ดในชุดนักรบ เดินเข้ามากราบลาสังขารมหาเถร
“บัดนี้ จะเด็ด ผู้ที่พระคุณเจ้าทำนุบำรุงมาก่อน จะออกทำศึกกับกรุงหงสาวดีเพื่อปิตุภูมิหนึ่ง ศัตรูพระมหากษัตริย์หนึ่ง ศัตรูพระอาจารย์หนึ่ง ซึ่งจะสัปยุทธกับผู้ใดจงมีแต่ชัยชนะให้ปรากฏเกียรติสานุศิษย์ของผู้กล้ามหาเถรมังสินธูเถิด กาลก่อนข้าพเจ้าจะทำการใดก็จะทะนงตัวว่าเจ้าขรัวกุโสดอคอยแก้ให้จึงมีจิตฮึกหาญ เพลานี้สิ้นพระคุณเจ้าแล้วความฮึกเหิมชั่วดีลดลง ขอพระคุณเจ้าอยู่กับเกล้าข้าพเจ้า สิ่งใดที่สอนสั่งขอจำให้มั่นอย่าได้ลืม หากได้ชัยชนะหงสาวดีแล้ว เมืองตองอู เมืองแปร เมืองอังวะ ทั้งสามเมืองนี้ไม่ควรแก่อัฐิอังคารพระคุณเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าตั้งมโนปณิธานมั่นว่าจะอัญเชิญอัฐิพระคุณเจ้าไปไว้ในสถูปกลางเมืองหงสาวดีให้จงได้”
จะเด็ดก้มกราบอย่างมั่นใจ
กองทัพม้าจะเด็ดกับสีอ่อง ควบมาตามป่าเขา ลัดเลาะไปอย่างรวดเร็ว สีอ่องที่ขี่ม้านำขบวนไปอย่างรวดเร็ว
จะเด็ดที่ขี่ม้านำมาอีกขบวนหนึ่งอย่างรวดเร็วเช่นกัน
อีกเส้นทางหนึ่ง ขบวนรถม้ามังตราวิ่งผ่านป่าไปตามเนินเขาโดยมีกองทหารคุ้มกันอย่างดี ภายในรถม้า มังตรานั่งกอดอเทตยามาตลอดทาง อเทตยาต้องคอยบ่ายเบี่ยงแสร้งทำโน้นทำนี่ไปเรื่อย บางครั้งสู้ไม่ได้ต้องหยิกข่วนบ้าง จนมังตราต้องถอย มองชอบใจ นึกวางแผนไว้ในใจ
ขบวนรถม้ามังตราวิ่งไปตามเนินเขา กองทหารคุ้มกันควบตามอย่างรวดเร็ว มังตราหันมายิ้มให้อเทตยาอย่างมีเลศนัย
อเทตยามองมังตราอย่างหวาดกลัว ใจระทึก
ค่ายพักแรมของมังตราระหว่างเดินทัพกลับตองอู มีกระโจมตั้งอยู่หลายหลังจุดคบไฟสว่างไสว ทหารเดินยามรอบบริเวณ
ภายในกระโจมพักอเทตยา อเทตยาเตรียมตัวนอน มีพวกข้าหลวงกำลังจัดที่นอนให้อเทตยาอยู่ ประตูกระโจมเปิดผลั๊วออก มังตราเดินเซเพราะฤทธิ์น้ำจัณฑ์เข้ามา อเทตยาตกใจ
“คืนนี้เราจะนอนห้องนี้ ทุกคนออกไป” เหล่านางข้าหลวงรีบกราบแล้วออกไป รวมทั้งอเทตยาด้วย “ยกเว้นท่าน อเทตยา” อเทตยาตัวสั่น
“ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่ร่วมห้องกับพระองค์ได้” มังตราเข้ามาจับไหล่อเทตยาไว้
“แม่นางมาในฐานะคู่สมแห่งเรา อีกสองเพลาก็ถึงตองอูแล้ว จะมาเหนียมอายอยู่อีกทำไม”
“ข้าพเจ้า…”
“คืนนี้เรามีจิตเสน่หากำเริบแล้ว ขอจูบน้องท่านให้ชื่นใจเถิด”
มังตราจะจูบอเทตยา อเทตยาบ่ายเบียงหนี ผลักมังตรากระเด็น มังตราโกรธ
“เจ้าถือดีอย่างไรมาผลักเรากระเด็น แม่นางโชอั้วลูกขุนพลแปรเรายังตบหมดสติมาแล้ว หรืออยากลองดีอีกคน” อเทตยา ตกใจ ร้องไห้ “เจ้าสมัครใจมากับเรา บัดนี้ทำไมมากลับใจเสีย หรือเป็นอุบายลวงของพระเจ้าแปร ก็ได้แปรกับตองอูจะได้ขาดกัน”
มังตราทำท่าจะเดินออกไป อเทตยารีบเข้าไปฉุดพระบาทไว้
“โปรดชะลอก่อนพระองค์ เป็นความผิดข้าพเจ้าเองพระเจ้าลุงไม่ทรงรู้การใดๆ”
“งั้นเจ้ารังเกียจเราเพราะอะไร”
“ข้าพเจ้าแต่น้อยคุ้มใหญ่ถูกเลี้ยงมาแต่ในราชวังหลวงแปร ไม่เคยพลัดบ้านทิ้งเมือง ครั้งนี้เป็นคืนแรกต้องจากบ้านมาไกล ขอพระองค์จงปรานีให้ข้าพเจ้าทำใจตั้งสติให้มั่นก่อนเถิด เพลาถึงกรุงตองอูแล้วยังเหลือเพลาที่พระองค์จะหาความสุขจากข้าพเจ้าอีกนานวัน”
อเทตยาร้องไห้สะอีกสะอื้น มังตราได้สติ ยิ้มออก ทรุดลงกอดอเทตยาด้วยความสงสาร
“เรานี้อยากชุบเลี้ยงท่านให้สมยศในแผ่นดินตองอู ก็ได้ จะอดใจไว้รอวันหน้า”
อเทตยากราบลงที่พระบาท
“เบื้องหน้าข้าพเจ้าประกอบสิ่งใดมิชอบพระทัย ขอพระองค์เห็นแก่น้ำใจซื่อ อย่าพิเคราะห์โทษโดยวู่วามเถิด”
“เราให้สัญญา”
มังตรายิ้มอย่างดีใจแล้วออกไป อเทตยามองตามอย่างโล่งอก
เวลาผ่านไป จะเด็ดควบม้านำทัพเข้าสู่หมู่บ้านหันสาวัดดีอย่างยิ่งใหญ่
“ท่านแม่ทัพบุเรงนองๆๆๆ”
จะเด็ด รานอง จาเลงกาโบ สีอ่อง และไปฟยู นำทหารและชาวบ้านมาต้อนรับอยู่เต็มลาน ไปฟยูและชาวบ้านระดับหัวหน้า ข้ามากราบจะเด็ด จะเด็ดรีบลงจากหลังม้าเข้ามาพยุงให้ไปฟยูลุกขึ้น
“ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้เจอท่านจ่าบ้านไปฟยูอีกครั้ง และครั้งนี้มีการใหญ่ที่ต้องการความช่วยเหลือ และคำปรึกษาจากท่าน”
รานองและจาเลงกาโบที่ยืนม้ามองดูอย่างชื่นชม
จะเด็ดกำลังปรึกษางานทัพกับไปฟยู รานอง จาเลงกาโบ สีอ่อง นายกอง อยู่หน้ากะบะทรายที่ทำเป็นแผ่นที่กรุงหงสาวดีกับหมู่บ้านทุ่งหันสาวัดดี
“ด้วยข้าพเจ้าเป็นพรานช้างชำนาญป่ารอบกรุงหงสาวดี หนทางที่จะมุ่งไปสู่กรุงหงสาวดีนั้นนอกจากทางน้ำแล้ว จะมีทางใหญ่เพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะเดินทัพสะดวก”
“แต่การยกทัพมาครั้งนี้หงสาวดีคงรู้การสิ้นแล้ว ป่านนี้คงตั้งทัพรอเราอยู่ หากมุ่งตรงทางใหญ่เพียงทางเดียว เราคงถูกท่านเสียงโคนสุคญีตั้งทัพสะกัดเราแน่ มีทางน้อยให้ลัดเลาะไปทางไหนได้บ้าง”
“มีทางน้อยแค่เดินเกวียนเรียงได้ตรงนี้” ไปฟยูชี้ให้ดู “แล้วแยกเป็นสองทาง ไปทะลุขอบชายทุ่งตรงนี้”
“ดี ถ้าอย่างนั้นขอท่านอารานองและสีอ่อง นำทหารกองเล็กลัดเลาะไปตามทางนี้ส่วนข้าพเจ้าจะไปทางใหญ่ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าขุนพลเสียงโคนคงยกทัพมาตั้งยันเราไว้ที่ทุ่งหันสาวัดดีเป็นแน่ เพื่อหยั่งกำลัง ข้าพเจ้าจะทำเข้าตี แต่ไม่ให้แตกหัก เพื่อชะลอเวลาให้ทัพพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ยกทัพหลวงลงมาตีด้วยพระองค์เอง ถ้าพร้อมเข้าแลกเมื่อไหร่ ข้าพเจ้าจะจุดไฟสัญญาณให้ท่านอาและสีอ่องเข้ารุมตี พวกหงสาวดีเห็นว่าเสียรู้ก็จะถอยร่นเข้าเมืองไปเอง”
“อย่าว่าเราเอาเรื่องไม่เป็นมงคลมาว่ากล่าวให้หมดกำลังใจเลย หากพระเจ้าอยู่หัวนำทัพมาไม่ทันการ น้องท่านจะแก้อย่างไร”
ทุกคนเงียบหันมองจะเด็ด จะเด็ดเองก็เงียบ
อ่านต่อตอนที่ 24